ความรู้ในโลกนี้เรียนรู้ได้ไม่สิ้นสุด
Group Blog
 
All blogs
 

แจ๊ค หม่า แห่ง Alibaba.com







ในวันที่ 23 ก.ย. 48 ที่ผ่านมา ณ ศาลามหาประชาคมเมืองหังโจว
คราคร่ำไปด้วยผู้คนกว่า 3,200 คนที่สวมเสื้อยืดสกรีสัญลักษณ์ของอลิบาบา (alibaba.com)
Web Ecommerce ชื่อดังของจีนที่มีถิ่นกำเนิดในหังโจว และยาฮูไชน่า
โดยเป็นพนักงานของอลิบาบา ราว 2,500 คน และพนักงานจากยาฮู ซึ่งมีฐานในปักกิ่งอีก 700 คน
การรวมตัวกันครั้งนี้ ถือเป็นครั้งแรกของคนจาก 2 เว็บชื่อดังมาเจอกันอย่างเป็นทางการ
หลังจากที่ยาฮูซื้อหุ้น 40% อันเป็นมูลค่า 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐของอลิบาบา
บรรยากาศของงานเต็มไปด้วยความแช่มชื่น และทุกครั้งที่ หม่าหยุน หรือ แจ๊ค หม่า ผู้ก่อตั้งเว็บไซต์ อลิบาบา
/ Alibaba.com กล่าวถึงเป้าหมาย
สายตาจากผู้คนข้างล่างก็จะเต็มไปด้วยความกระตือรือร้นและชื่นชม....

แจ๊คหม่า
แจ๊ค หม่า ผู้ก่อตั้ง Alibaba.com ซึ่งเป็น Website E-Commerce อันดับ 4 ของโลก (ณ วันที่ 17 ต.ค. 48)

จากเด็กเกเรสู่เศรษฐี 4,000 ล้าน

ดูจากอดีตแล้ว อาจไม่เชื่อว่าคนอย่างหม่าหยุนจะผงาดขึ้นเป็นเศรษฐีพันล้านได้
เพราะในช่วงต้นของยุค 80 เขายังเป็นวัยรุ่นที่มีผลการเรียนย่ำแย่และเกเรมาก แต่โชคดีที่เขากลับตัว
หันมาเอาจริงเอาจังกับการเรียนภาษาอังกฤษ และมุ่งมั่น
กับการสอบเอนทรานซ์
สุดท้ายก็สามารถเข้าเรียนในวิทยาลัยครูแห่งหนึ่งในเมืองหังโจวได้ และเป็นบัณฑิตเพียงคนเดียวในรุ่น
ที่กลายเป็นอาจารย์ในมหาวิทยาลัย

ในปี 1995 หม่าหยุนคนที่เชื่อกันว่าเป็นคนที่ ‘มีภาษาอังกฤษดีที่สุดในหังโจว’
ก็ได้งานชิ้นหนึ่งที่ต้องเดินทางไปยังสหรัฐเมริกา โดยตำแหน่งแล้วเขา คือ ตัวแทนเจรจา
แต่หน้าที่หลักคือ การไปขอเงินจากบริษัทในสหรัฐ
หม่าหยุนรำลึกอดีตเล่าให้ฟังว่า ในช่วงแรกที่รับงานนั้นรู้สึกว่าเป็นงานไม่ยาก
และได้รับการดูแลอย่างดีเมื่อถึงจุดหมาย แต่ทว่าเมื่ออยู่ไปได้ระยะหนึ่ง จึงตระหนักว่าตัวเองกำลังถูกควบคุมตัว
และพบว่าบริษัทดังกล่าวมีเบื้องหน้าเบื้องหลังกับแก๊งมาเฟีย หลังจากนั้น เขายังโดนโกหกว่าจะพากลับหังโจว
แต่ในที่สุดกลับถูกทิ้งให้อยู่ที่สนามบินโดยไม่มีสัมภาระใดๆ ติดตัวเลย

ยังดีที่หม่าหยุนยังพอมีโชคอยู่บ้าง เพราะในกระเป๋ากางเกงของเขามีเงินจากการโยกสลอตแมชชีนที่ลาสเวกัสอยู่ 600 US$
จึงรีบใช้เงินนี้ซื้อตั๋วเครื่องบินไปหาเพื่อนที่ซีแอตเติล และที่นี่เองที่หม่าหยุนได้พบกับอินเทอร์เน็ต (Internet)
ซึ่งเป็นสิ่งที่คนในแผ่นดินใหญ่น้อยคนนักจะรู้จักในตอนนั้น

“ผมให้เพื่อนช่วยหาคำว่า ‘ประเทศจีน ’ ก็ไม่มีผลอะไรออกมา
ไหนจะคำว่า ‘เบียร์ ’ ก็มียี่ห้อต่างๆของทั้งสหรัฐฯ ของเยอรมนี แต่ว่าไม่มียี่ห้อของจีน
ผมจึงรับรู้ได้ว่าจะต้องใช้ Internet เป็นเครื่องมือช่วยทำให้แบรนด์ของจีนให้เป็นที่รับรู้ให้ได้”

เมื่อกลับมาถึงหังโจว หม่าหยุนรีบเชิญเพื่อนๆ มาประชุมที่บ้าน รวมสมาชิกวันนั้นได้ 24 คน
เขาประกาศในที่ประชุม 2 เรื่อง คือ 1. จะลาออกจากงานที่ทำอยู่
และ 2. จะทำเว็บไซต์ โดยจะเริ่มต้นที่เว็บ Yellowpagesของจีน
ซึ่งไม่น่าเชื่อว่า สมาชิกทั้ง 24 คนนั้นก็เห็นดีเห็นงามไปกับเขา และเดินตามเขามาจนวันนี้เข้าปีที่ 10 แล้ว

ในวันแรกที่ธุรกิจของเขาเริ่มต้น อุปสรรคที่ใหญ่ที่สุด ก็คือ
การสร้างความน่าเชื่อถือให้ลูกค้ารู้ว่าเขาไม่ใช่คนหลอกลวง ในโลกนี้มีสิ่งที่เรียกว่า Internet อยู่จริง

หลังจากนั้นในปี 1999 ขณะที่หม่าหยุนมีอายุได้เพียง 34 ปี
เขาก็ได้ก่อตั้งเว็บไซต์อลิบาบาขึ้นจนบัดนี้เว็บดังกล่าวก็มีอายุได้ 6 ปีแล้ว (ณ ปี 2548)
นิตยสารฟอร์บส์เชื่อว่า หม่าหยุนคนนี้มีแผนส่งออกผลิตภัณฑ์เมดอินไชน่าผ่านเว็บไซต์อลิบาบาไปยังทั่วโลก

ปัจจุบัน อลิบาบาเป็น Website E-commerce แห่งโลกไซเบอร์
ที่เป็นการรวมตัวกันระหว่างผู้ประกอบการกว่า 7 ล้านแห่ง
จาก 200 ประเทศ กับผู้ประกอบการจีนอีก 2 ล้านราย
ทุกวันร่วมกันดำเนินธุรกิจค้าขายกันบนโลกออนไลน์ จากการประเมินพบว่า
มูลค่าทางตลาดของ Alibaba หลังจากร่วมมือกับยาฮู(Yahoo.com) แล้ว ได้เพิ่มขึ้นเป็น 4,250 ล้านเหรียญสหรัฐ
ซึ่งใกล้เคียงกับยักษ์ใหญ์เว็บไซต์ของจีน อีก 2 ราย คือ shanda.com กับ netease.com
และเมื่อมีการจัดอันดับเศรษฐีแดนมังกรของหูรุ่นรีพอร์ท
ก็ได้ประเมินให้หม่าหยุนเป็นผู้ที่มีสินทรัพย์ทั้งสิ้นมากกว่า 4,000 ล้านหยวน

เจรจาธุรกิจ 82 ล้านเหรียญในห้องน้ำ

หม่าหยุน เป็นคนที่มีวาทศิลป์ดี
เขามีความสามารถทำให้คนที่ฟังเขาพูดเห็นดีเห็นงามไปกับเหตุผลที่เขายกขึ้นมาประกอบ
ตัวอย่างที่ดีอันหนึ่งก็คือ เมื่อเขาพบกับไช่จงซิ่น ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายการเงิน (CFO) คนก่อนของอลิบาบา
ที่มาเจรจาในฐานะของตัวแทนบริษัทร่วมลงทุน แต่ในที่สุดกลับถูกชวนมาทำงานให้กับอลิบาบาแทน

หรืออีกครั้ง เมื่อปี 1999 ที่หม่าเพิ่งประกาศว่าจะก่อตั้งบริษัท E-commerce ที่ใหญ่ที่สุดในโลก และมีน้อยคนนักที่เชื่อในคำพูดนี้
แต่ทว่าต้องยกเว้น " มาซาโยชิ ซัน " นักธุรกิจชาวญี่ปุ่นที่มีหุ้นใหญ่ในยาฮู
เพราะหม่าหยุนใช้เวลาเพียง 6 นาทีก็โน้มน้าวให้ซันยินดีลงทุน 20 ล้านเหรียญสหรัฐให้กับ Alibaba ของเขาได้

ปัจจัยสำคัญที่ทำให้หม่าหยุนและทีมพบกับความสำเร็จในวันนี้ นั่นก็คือ
พวกเขาเป็นกลุ่มกล้าฝันและทำให้ฝันนั้นเป็นจริง นอกจากนั้น ยังเป็นคนรักษาคำพูด
ดังที่ในช่วงปี 2001 ธุรกิจเว็บไซต์ทั่วโลกกำลังเผชิญกับปัญหา
ซันถึงกับออกปากกับหม่าว่า ในบรรดา CEO แต่ละบริษัทที่เขาเจอ
วาจาของแต่ละคนแตกต่างจากวันแรกที่เคยเชิญชวนให้ซันไปร่วมลงทุนด้วย
เหลือแต่เพียงหม่าเท่านั้นที่ยังพูดคำไหนคำนั้นเหมือนเดิม

ความเชื่อถือในตัวหม่าที่เกิดขึ้นในยามยากครั้งนั้นของซัน มีผลต่อเนื่องมาจนถึงปี 2003
เมื่อหม่าหยุนมีความคิดจะตั้งเว็บไซต์ประมูลสิ่งของขึ้นมาแข่งกับอีเบย์
ซึ่งก็เป็นอีกครั้งที่มีคนบอกว่า ความคิดของเขาเป็นไปไม่ได้ มีก็แต่ มาซาโยชิ ซัน คนนี้
ที่ยินดีลงเงิน 82 ล้านเหรียญสหรัฐให้กับหม่า และไม่น่าเชื่อว่าเงินจำนวนมหาศาลขนาดนี้
เขาสองคนกลับเจรจากันอย่างง่ายๆ ในห้องน้ำ

แจ๊คหม่า
แจ๊คหม่า กับ มาซาโยชิ ซัน หุ้นส่วนใหญ่ของ Yahoo
และ Mr. Mark Schwartz อดีตประธานโกลด์แมน แซคช์ (เอเชีย)

แล้วความจริงก็พิสูจน์ได้ว่าเงินลงทุนของเศรษฐีญี่ปุ่นไม่ได้สูญเปล่าเลย
เมื่อหม่าหยุนตั้งเว็บไซต์เถาเป่า (taobao.com) ให้ขึ้นมาเป็นคู่แข่งของอีเบย์ได้จริง
และสำหรับ Alibaba ตอนนี้ก็ได้รับการยอมรับแล้วว่าเป็นweb E-commerce ใหญ่เป็นอันดับ 4 ของโลก
รองจากยาฮู อะเมซอน และอีเบย์

หม่าหยุนยังบอกว่า ในปีนี้ (พ.ศ.2548) Alibaba จะมีสำนักงานย่อยในยุโรป
เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ญี่ปุ่นและอีกหลายประเทศ ซึ่งก็ต้องจ้างพนักงานอีกหลายร้อยอัตรา
แต่อย่างไรก็ตาม โครงการนี้ยังไม่ใช่โครงการที่ใหญ่ที่สุด
เพราะโครงการที่ต้องให้น้ำหนักมากที่สุดในอนาคต คือ การแสวงหารูปแบบใหม่ของการค้า
เพราะถึงวันนี้แล้ว การจะเป็น ‘บริษัทที่ยิ่งใหญ่’ของหม่า
หยุนยังคงมีภาพไม่ชัดนัก

“ ตอนนี้เหมือนพวกเรากำลังสร้างตึกขึ้นมา 1 หลัง วันนี้ติดตั้งก๊อกน้ำ พรุ่งนี้ติดตั้งชักโครก
เรื่องทุกเรื่องปนเปกันไปหมด นอกจากนั้นยังแก้ไปแก้มา ตอนนี้เรามีแค่ภาพโครงร่างคร่าวๆ
ผมคิดว่าปี 2009 ทุกคนคงจะได้เห็นภาพที่ชัดเจนยิ่งขึ้น
ของ Alibaba”

ในทัศนะของหม่าหยุน เขามองว่าเมื่อความคิดต่างๆ เกี่ยวกับธุรกิจ E-Commerce กลายเป็นจริง
เมื่อนั้น Alibaba ก็จะไม่เป็นเพียงธุรกิจของคนเพียงจำนวนหลักหมื่น
เขาหวังว่า E-Commerce จะกลายเป็นสิ่งที่สะดวก เหมือนกับน้ำประปา ‘แค่บิดก๊อกก็ได้ใช้’

ทั้งนี้ หม่าหยุน สรุปชีวิตการทำงานของตัวเองเป็น 3 ช่วง
ในช่วงแรก คือปี 1995 ที่เขายังเป็นอาจารย์สอนภาษา
อังกฤษในวิทยาลัยคอมพิวเตอร์เมืองหังโจว
ที่คาดว่าจะมีอนาคตเป็นหัวหน้าภาควิชาภาษาต่างประเทศ

ช่วงที่ 2 คือ ปี 1995 ถึงปี 1999 หม่าหยุนเริ่มต้นทำเว็บไซต์ Yellow Pages ร่วมกับการสื่อสารเมืองหังโจว
จากนั้นก็ได้ไปแสวงหาลู่ทางในปักกิ่ง แต่แล้วในคืนหนึ่งของปี 1999 ที่มีหิมะโปรยปราย
เขาและเพื่อนที่ไปด้วยกันก็เดินทางกลับมายังหังโจวด้วยความเศร้า

ช่วงที่ 3 คือ ปี 1999 - 2004 หม่าหยุนประสบความสำเร็จในการทำเว็บไซต์ E-Commerce
แบบ Business-to-Business (B2B) คือ การทำธุรกรรมระหว่างองค์กรธุรกิจด้วยกันเอง
เพื่อการค้าขาย การจัดการ การผลิตหรือวัตถุดิบ, การ
จำหน่ายสินค้า, การจ่ายเงินออนไลน์
และในอีก 5 ปีข้างหน้า เมื่อได้ร่วมมือกับยาฮูไชน่าแล้ว แม้จะมองอนาคตไม่ได้ชัดเจนนัก
แต่หม่าหยุนบอกว่า จะต้องพยายามให้ Alibaba เป็นเว็บ E-Commerceในฝันให้ได้

***ขอขอบคุณ (Thank You) ที่มาของข้อมูล, บทความและภาพประกอบ

- ผู้จัดการออนไลน์ วันที่ 17 ต.ค 48
- China Economic Net




 

Create Date : 29 มิถุนายน 2550    
Last Update : 29 มิถุนายน 2550 14:57:30 น.
Counter : 1111 Pageviews.  

"จูหรงจี" แมวดีที่จับหนูเก่ง







จูหรงจี
จูหรงจี ขณะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ในที่ประชุมสภาผู้แทนประชาชนทั่วประเทศ


จูหรงจี นายกรัฐมนตรีจีนคนที่ 5 ของสาธารณรัฐประชาชนจีน
1 ในผู้นำจีนรุ่นที่ 3 สมัยประธานาธิบดีเจียงเจ๋อหมินเป็นแกนนำ เขาโด่งดังในฐานะอดีตนายกรัฐมนตรี
ผู้มาพร้อมกับความมหัศจรรย์หลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นความสำเร็จในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจฟองสบู่
ที่ทั้งชาวจีนและต่างชาติยอมรับในฝีมือ
เขายังเป็นนักการเมืองแห่งประเทศฝ่ายคอมมิวนิสต์
ที่ผู้นำประเทศใหญ่ๆ ในโลกอยากจะพบปะสนทนาด้วย
หรือแม้แต่ข้อกังขาน่าอัศจรรย์ที่ว่า
จูหรงจี สืบสายเลือดมาจากปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์หมิง หมิงไท่จู่ จูหยวนจาง !

จูหรงจี เป็นคนตรงไปตรงมา เปิดกว้างและยึดถือความซื่อสัตย์
ยังเป็นนักการเมืองที่แปลกจากผู้นำจีนรุ่นเก่าๆ คือ บ่อยครั้งที่ปราศรัยต่อหน้าฝูงชน
เขามักจะกล่าวสดโดยไม่อาศัยร่าง และที่สำคัญยังเป็นคนมีอารมณ์ขันและเป็นกันเอง
ซึ่งกิตติศัพท์เรื่องนี้เป็นที่รู้กันอย่างกว้างขวาง
โดยเขามักปล่อยมุกกับสื่อมวลชนในงานแถลงข่าวและการสัมภาษณ์หลายต่อหลายครั้ง
จึงอาจนับได้ว่าเขาเป็นนักการเมืองระดับผู้นำของจีนคนแรกที่ใกล้ชิดกับสื่อ
โดยเฉพาะสื่อในฮ่องกง ไต้หวันและตะวันตกกล้าเล่นกล้าแซวเขาโดยมีการตั้งฉายาให้ว่า
“จูหน้าเหล็ก” (หมายถึงเป็นผู้อยู่บนความเที่ยงธรรม ไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหม)
“พระเจ้าซาร์เศรษฐกิจ” หรือแม้แต่ “กอร์บาชอฟแห่งประเทศจีน”

มือดีทางเศรษฐกิจ ทายาทที่ถูกวางตัวโดยเติ้งเสี่ยวผิง

นับตั้งแต่ผู้นำรุ่นที่ 2 ซึ่งมีเติ้งเสี่ยวผิงเป็นแกนนำ
ได้ริเริ่มแนวคิดเปิดประเทศและผลักดันการปฏิรูปศรษฐกิจขึ้น เมื่อปลายทศวรรษที่ 70 (ศตวรรษที่ 20)
ในช่วงเริ่มต้นที่ล้มลุกคลุกคลานนั้นเป็นเวทีพิสูจน์ความสามารถของคนทำงานทั้งหลาย
จูหรงจีก็เป็นผู้หนึ่งที่มีโอกาสเข้าไปร่วมงานในหน่วยงาน
ด้านเศรษฐกิจทั้งระดับท้องถิ่นและคณะกรรมการระดับประเทศ และได้แสดงฝีมือให้ผู้ใหญ่ได้เห็นหลายครั้ง
ในสายตาของรัฐบุรุษเติ้งเสี่ยวผิง จูหรงจี คือ “คนเก่งด้านเศรษฐกิจที่มีไม่มากนักในเมืองจีน”
เขาจึงได้รับการวางตัวจากเติ้งเสี่ยวผิงให้มาช่วยงานด้านปฏิรูปเศรษฐกิจในทีมผู้บริหารประเทศรุ่นที่ 3

ปี ค.ศ.1991 จูหรงจี ข้าราชการจากหน่วยงานวางแผนงานด้านเศรษฐกิจแห่งชาติ
ผู้ที่ได้ชื่อว่ารู้เรื่องเศรษฐกิจดีในวัย 63 ปี ได้ขึ้นดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน

ในฐานะอดีตนายกเทศมนตรีนครเซี่ยงไฮ้ที่อยู่ในตำแหน่งมา 3 ปี
ผู้นำความเปลี่ยนแปลงอย่างมหาศาลมาสู่มหานครแห่งนี้ ผู้คนยกย่องว่า เขา คือ
ผู้พลิกศักยภาพของเซี่ยงไฮ้ให้กลับมาเป็นศูนย์กลางการเงินและอุตสาหกรรมการผลิตชั้นแนวหน้าของประเทศสำเร็จ
และยังฝากผลงานเป็นโฉมหน้าใหม่ของเมืองผู่ตงที่เจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว รวมถึงการขยายเครือข่ายสื่อสารโทรคมนาคม
ตลอดจน การรุกคืบของโครงการก่อสร้างในแถบชานเมืองเซี่ยงไฮ้
ทำให้ชื่อของจูหรงจีเป็นที่รู้จักทั้งในและนอกประเทศ
และยังเป็นความหวังในการรับมือกับปัญหาเศรษฐกิจที่กำลังร้อนแรง
ทั้งในภาคอุตสาหกรรม เกษตรกรรมและการเงินในขณะนั้น

ทั้งนี้ สืบเนื่องมาจากการขานรับแนวคิดการปฏิรูปเศรษฐกิจของเติ้งเสี่ยวผิงอย่างเป็นรูปธรรม
ของเหล่าผู้นำระดับท้องถิ่น อาทิ การผุดขึ้นของเขตเศรษฐกิจอย่างคึกคัก
การกู้เงินจากธนาคารกลางเพื่อการลงทุนในธุรกิจต่างๆ ทั้งในและต่างประเทศ
รวมถึงการร่วมทุนกับต่างชาติอย่างไม่ลืมหูลืมตา
ตลอดจนการฉวยโอกาสจากตำแหน่งหน้าที่กระทำการคอร์รัปชันของเจ้าหน้าที่รัฐ ผู้บริหารท้องถิ่น
ตลอดจนเอื้อประโยชน์ต่อเครือญาติของบุคคลในพรรคฯ
และอีกหลายประการที่ส่งผลให้การขยายตัวทางเศรษฐกิจเป็นไปอย่างไร้ระเบียบและขาดสมดุล

จูหรงจีเข้าเฝ้าในหลวง
ขณะเข้าเฝ้าฯพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯของปวงชนชาวไทย เมื่อเดือนพฤษภาคม 2001


รองนายกฯ จูหรงจีผู้นั่งอยู่ในตำแหน่งดูแลรับผิดชอบด้านเศรษฐกิจ ได้เสนอ “หลักปฏิบัติ 16ประการ”
เพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจฟองสบู่ ควบคุมการขยายตัวและคลายความร้อนแรงทางเศรษฐกิจ
ควบคู่กับการปราบปรามการทุจริตฉ้อราษฎร์บังหลวง
ทั้งนี้....เมื่อหลักการดังกล่าวได้รับการเห็นชอบจากประธานาธิบดีเจียงเจ๋อหมิน
จูหรงจี ซึ่งในขณะนั้นยังไม่มีบารมีในพรรคฯ ก็สามารถผลักดันหลักปฏิบัติ 16 ประการออกมาได้อย่างเป็นรูปธรรม
และถึงแม้ในระยะแรกจะต้องเผชิญกับอุปสรรคปัญหาเรื่องคน และความขัดแย้งกับกลุ่มผลประโยชน์บางกลุ่ม
แต่จูหรงจีก็ใช้ความโปร่งใสและการเป็นระบบอย่างของข้าราชการที่มีประวัติขาวสะอาดเข้าต่อสู้

ความพยายามของจูส่งผลให้บรรดาเศรษฐีใหม่ทั้งหลายเสียผลประโยชน์ ถึงกับโกรธแค้นจูหรงจี
และหมายมาดว่าจะเอาชีวิตกันเลย แต่จูหรงจีก็ลั่นวาจาว่า
“คราวนี้เรามุ่งปราบเสือ ขอให้เตรียมโลงศพไว้ 100 โลง สำหรับเก็บศพพวกนั้น 99 โลง
และอีกโลงเผื่อตัวผม ผมพร้อมจะดับไปกับพวกนั้นเพื่อความสุขนิรันดร์ของประเทศชาติและประชาชน”

จูหรงจีผู้ซื่อตรง
จูหรงจี ได้ชื่อว่าเป็นผู้ที่ทำงานตรงไปตรงมาอย่างไม่เห็นแก่หน้าอินทร์หน้าพรหม


“พระเจ้าซาร์แห่งเศรษฐกิจ”

ในระหว่างที่นายกฯ จูนั่งอยู่ในตำแหน่งผู้นำรัฐบาล (มีนาคม ค.ศ.1998-2003)
ประเทศจีนต้องเผชิญกับวิกฤตการณ์ทั้งในและต่างประเทศที่เหนี่ยวรั้งการก้าวเดินของงานปฏิรูปเศรษฐกิจ
อาทิ วิกฤตการณ์การเงินที่เกิดขึ้นในประเทศแถบเอเชีย การเจริญเติบโตของเศรษฐกิจโลกชะลอตัว
ความขัดแย้งของโครงสร้างอุตสาหกรรมในประเทศ การว่างงานของเจ้าหน้าที่ในรัฐวิสาหกิจ
และการประสบอุทกภัยครั้งใหญ่ถึง 2 ครั้ง

ในขณะที่อีกด้านหนึ่ง ประเทศชาติก็ได้ผ่านเหตุการณ์สำคัญๆหลายเรื่อง อาทิ
- การเข้าเป็นสมาชิกองค์การการค้าโลก (WTO)
- กรุงปักกิ่งได้รับเลือกเป็นเจ้าภาพจัดงานโอลิมปิกในปี 2008
- การฟื้นฟูอธิปไตยแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีนเหนือเกาะมาเก๊า
พร้อมๆ กับการเริ่มดำเนินการโครงการพัฒนาเขตตะวันตกอย่างเป็นรูปธรรม รวมถึงความเจริญทางวัตถุ
ที่มีให้เห็นตามเมืองใหญ่ๆ อาทิ การใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ หรือรถยนต์ที่เพิ่มมากขึ้นตามท้องถนน ฯลฯ

ขณะที่นายกฯ จูหรงจีบริหารเศรษฐกิจประเทศจีน ในช่วงเศรษฐกิจโลกชะลอตัว
การลงทุนจากทั่วโลกลดลงครึ่งหนึ่งในปี 2000 เขาสามารถกระตุ้นการลงทุนในประเทศให้สูงขึ้นได้ถึง 10%
และในช่วง 9 เดือนแรกของปี ค.ศ.2002 ประเทศจีนมีมูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ(GDP)
ทะลุเป้าที่ตั้งไว้ เท่ากับ 7.9% ทั้งนี้เป็นผลมาจากการที่รัฐบาลเข้าไปแทรกแซงในธุรกิจเอกชน
โดยกระตุ้นอัตราค่าแรงให้เพิ่มสูงขึ้น ส่งผลให้ศักยภาพในการบริโภคเพิ่มสูงขึ้นตามไปด้วย
นอกจากนี้ปี 2002 มูลค่าการค้าของจีนก็ทะยานสูงขึ้น 18% โดยมูลค่าการส่งออกสูงกว่าการนำเข้า
และการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศก็ยังเพิ่มสูงขึ้น 22.6% เช่นกัน

ภารกิจนายกฯ
ภารกิจนายกรัฐมนตรี


ภาพที่เกิดขึ้นภายหลังตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของเขาสิ้นวาระลง คือ
สมาชิกสภาผู้แทนประชาชนแห่งที่ประชุมสภาผู้แทนประชาชนทั่วประเทศ
ต่างปรบมือยอมรับรายงานสรุปผลงานของเขากันอย่าง
พร้อมพรัก

........ “ ตัวเลขเศรษฐกิจประชาชาติของจีนปี ค.ศ.2003 เติบโตเฉลี่ย 7.7% เศรษฐกิจระบบตลาด
บนพื้นฐานการปกครองแบบสังคมนิยมของจีนเริ่มสร้างฐานขึ้นอย่างเป็นปึกแผ่น
และพร้อมจะเติบโตขึ้นต่อไปในอนาคต” คือบทสรุปที่เป็นทางการที่สุด

ในฐานะผู้นำรัฐบาลที่เบนเข็มไปสู่แนวทางปฏิรูปและพัฒนาเศรษฐกิจของจูหรงจี ที่เขายอมรับว่า
“สามารถบรรลุผลสำเร็จในงานใหญ่ที่หลายปีก่อนหน้านี้ไม่คาดคิดว่าจะทำได้สำเร็จ ”........

“งานใหญ่” ที่ประสบผลสำเร็จดังคำสรุปข้างต้นคงหนีไม่พ้น “เรื่องเศรษฐกิจ” ที่เป็นความชำนาญเฉพาะตัวของนายกฯ
ผู้ซึ่งได้รับคำยกย่องจากชาวจีนว่าเป็น “แมวดีที่จับหนูเก่ง” คนนี้

นักวิจารณ์ของจีนเคยกล่าวไว้ว่า ผลงานเรื่องเศรษฐกิจในช่วงที่เขาเป็นนายกรัฐมนตรี
ยังไม่โดดเด่นเท่าสมัยที่เป็นรองนายกฯ ดังนั้นจึงต่างยกย่องผลงานในช่วงนั้นที่ทำให้เขาได้รับฉายา
“พระเจ้าซาร์เศรษฐกิจ” ผู้รู้ดีว่าเมื่อไหร่จะ ‘จับ’ หรือ ‘ปล่อย’ โอกาส

ในขณะดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี จูหรงจีโดยการสนับสนุนจาก เติ้งเสี่ยวผิง
และประธานาธิบดี เจียงเจ๋อหมิน สามารถใช้อำนาจ “จอมทัพเศรษฐกิจ” ได้อย่างเต็มที่ในการแก้ปัญหาสำคัญๆ อาทิ

การเสนอทางออกเพื่อสางหนี้ที่เกิดขึ้นในระบบการเงินระหว่างรัฐวิสาหกิจขนาดใหญ่และ
กลางทั่วประเทศที่หมักหมมมานานกว่า 500,000 ล้านหยวน
โดยการอัดฉีดเงินเพื่อพยุงกิจการในเบื้องต้น และกำหนดเส้นตายในการทำงานให้กับเจ้าหน้าที่
เพื่อจับตาขั้นตอนการสางหนี้อย่างใกล้ชิด ถึงแม้ปัญหาดังกล่าวจะไม่สามารถกำจัดไปได้หมดสิ้น
และยังส่งผลมาถึงสมัยที่เขาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอีกครั้งก็ตาม
ทว่าหลังดำเนินงานตามแนวทางของจูหรงจีไปได้หนึ่งปี ก็สามารถสางหนี้ได้กว่า 300,000 ล้านหยวน

หรือตัวอย่างการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจที่ขยายตัวอย่างร้อนแรง การปั่นราคาที่ดิน และตลาดหุ้น
ธนาคารปล่อยกู้มากเกินไปจนเริ่มมีหนี้เสีย จูหรงจีได้เสนอให้มีการปรับอัตราดอกเบี้ยให้สูงขึ้น
รวมถึงเสนอ “หลักปฏิบัติ 16 ประการ”
ซึ่งเป็นมาตรการควบคุมระบบเศรษฐกิจมหภาค (หงกวนเถียวค่ง) เพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจอย่างเบ็ดเสร็จ

ถึงแม้ในเบื้องต้น นายหลี่กุ้ยเซียน ผู้ว่าการธนาคารกลางขณะนั้น
จะไม่เห็นด้วยในแนวคิดและนำหลักการของเขามาปฏิบัติ
แต่ภายหลังเมื่อจูหรงจีได้รับอำนาจจากกรมการเมืองให้เข้าดำรงตำแหน่งแทนหลี่ในปี 1993
เขาก็ได้เข้ามาดำเนินการกู้สถานการณ์หนี้เสียของธนาคารกลาง
สามารถบรรเทาปัญหาหนี้เสีย ปริมาณเงินล้นระบบ และจัดการกับตลาดเงินที่ไร้ระเบียบ
ที่โดยส่วนใหญ่เกิดจากการลงทุนในสินทรัพย์ถาวรได้สำเร็จ

จูหรงจีและเจียงเจ๋อหมิน
จูหรงจีทำงานในรัฐบาลภายใต้การสนับสนุนจากแกนนำพรรค นายเจียงเจ๋อหมิน


จากความสำเร็จของจูหรงจีและรัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนจีนในงานปฏิรูปเศรษฐกิจของประเทศ
ตลอดจนการปฏิรูประบบการเงิน การคลัง การจัดเก็บภาษี การลงทุน และระบบการค้ากับต่างประเทศ
โดยเฉพาะการส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศในธุรกิจขนาดกลางและย่อม
เพื่อวางรากฐานการเข้าเป็นสมาชิกองค์การการค้าโลก (WTO) ของประเทศจีน
ทำให้ปี ค.ศ.2003 คณะกรรมการสมาพันธ์ธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งทวีปยุโรป
ได้พิจารณามอบรางวัลอันทรงเกียรติที่เคยมอบให้กับอดีตประธานาธิบดีบิล คลินตัน แห่งสหรัฐฯ มาแล้ว
แก่อดีตนายกฯ จูหรงจีของจีน ซึ่งเขาได้บริจาคเงินรางวัลทั้งหมดให้กับมหาวิทยาลัยชิงหัว
สถาบันศึกษาที่ประสิทธิ์ประสาทวิชาให้แก่เขาเมื่อวัยหนุ่ม

>> ประวัติส่วนตัว <<

จูหรงจี เกิดเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม ค.ศ.1928 ที่ฉางซา ในมณฑลหูหนัน กำพร้าพ่อและแม่มาตั้งแต่เล็ก
จูหรงจี จึงอยู่ในการอุปการะเลี้ยงดูของคุณลุง จูเสียว์ฟาง
เขาจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยชิงหัว คณะวิศวกรรมศาสตร์ เอกวิศวกรรมไฟฟ้า เมื่อธันวาคม ค.ศ.1948
ที่นี่จูหรงจีได้ศึกษาเรียนรู้ด้านวิชาการและเข้าร่วมในกิจกรรมต่างๆ อันเป็นประโยชน์ต่อมาในหน้าที่การงาน
เขาจึงรำลึกในบุญคุณของสถาบันศึกษาแห่งนี้เสมอมาว่า
“ได้หล่อหลอมเขาขึ้นจนเป็นปัญญาชนที่เข้มแข็งของชาติ”
และถึงแม้จะจบการศึกษาไปแล้วจูก็ยังหาโอกาสไปบรรยายประสบการณ์ต่างๆ ในการทำงานเล่าสู่รุ่นน้องอยู่บ่อยๆ

ระหว่างปี ค.ศ.1947-1951 ขณะศึกษาอยู่ในมหาวิทยาลัยชิงหัว
จูหรงจีได้เข้าเป็นสมาชิกของสันนิบาตเยาวชนลัทธิประชาธิปไตยแผนใหม่
และก่อนเข้าเป็นสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์เมื่อตุลาคม
ค.ศ.1949 จูหรงจีก็เคยร่วมงานกับพรรคฯ มาบ้าง ปี ค.ศ.1951
เข้าทำงานในส่วนงานด้านการวางแผนการผลิตเขตภาคตะวันออกเฉียงเหนือในกระทรวงอุตสาหกรรม
ค่อยๆ ไต่เต้าขึ้นสู่หน่วยงานด้านการวางแผนงานระดับประเทศ
และยังเป็นวิศวกรแห่งสำนักงานประมวลเศรษฐกิจแห่งชาติ

ราวปีค.ศ.1955 จูหรงจีได้สมรสกับ นางเหลาอัน
เพื่อนนักศึกษาชาวหูหนันที่จบจากมหาวิทยาลัยชิงหัวคณะเดียวกัน
นางเหลาอัน เคยดำรงตำแหน่งรองผู้อำนวยการบริษัทที่ปรึกษาด้านวิศวกรรมแห่งชาติจีน
ทั้งคู่มีบุตร 2 คน เป็นหญิงชื่อ จูเอี้ยน และชาย จูเต๋อเหมี่ยว

จูหรงจีและภรรยา
จูหรงจีและนางเหลาอัน


จูหรงจียังเคยทำงานในสำนักงานด้านเศรษฐกิจแห่งบัณฑิตยสภาด้านสังคมศาสตร์
และอยู่ในคณะกรรมการเศรษฐกิจแห่งชาติ รวมถึงในกรมการเมืองแห่งเทศบาลนครเซี่ยงไฮ้ มหานครใหญ่
ซึ่งเป็นแกนหลักทางเศรษฐกิจของประเทศ

จูหรงจีเข้าดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี
และเป็นหนึ่งในคณะทำงานด้านเศรษฐกิจและการค้าในคณะรัฐมนตรี เมื่อปี ค.ศ.1991
และยังควบตำแหน่งแกนนำสำคัญในคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์แห่งชาติจีน

ปีค.ศ.1993 รองนายกฯ จูหรงจีควบตำแหน่งสำคัญ คือผู้ว่าการธนาคารกลางจีน (จงกั๋วเหรินหมินอิ๋นหัง)
ต่อมาในปี 1997 ก็เข้าเป็นกรรมการถาวรของพรรคฯ และกรรมการด้านบริหารในกรรมการกลางพรรคฯ
กระทั่งเดือนมีนาคม ค.ศ.1998 เขาก็ขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน
กุมบังเหียนงานปฏิรูประบบเศรษฐกิจแห่งชาติเต็มตัว
รวมถึงเป็นประธานคณะกรรมการโครงการก่อสร้างเขื่อนซันเสียของคณะรัฐมนตรี
ซึ่งเป็นโครงการระดับชาติในสมัยนั้นด้วย

นายกรัฐมนตรีจูหรงจี มีบุคลิกการทำงานที่รวดเร็ว เน้นการปฏิบัติงานภาคสนาม
ระดมความคิดจากผู้เชี่ยวชาญและนักวิชาการระดับสูง และแก้ปัญหาที่จุดเริ่มต้น
ตลอดจนการเรียนรู้งานจากผู้มีประสบการณ์มาปรับใช้ในงานของตน
เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้จูหรงจีเข้าถึงปัญหาและสามารถหาทางแก้ไขได้ตรงจุดจนประสบความสำเร็จ

จูหรงจี ดำรงตำแหน่งสำคัญในคณะกรรมการกลางพรรคฯ จวบถึงปี ค.ศ.2003
โดยอยู่ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีจนครบวาระ 5 ปี (นายเวินเจียเป่าเข้ามาดำรงตำแหน่งแทนในสมัยต่อมา )
หลังจากนั้นเขาก็วางมือจากวงการการเมือง
และใช้เวลาว่างเพลิดเพลินไปกับอุปรากรปักกิ่งที่เขาชื่นชอบ

อิริยาบถต่างๆ
เขาคือผู้นำจีนคนแรกที่มีความเป็นกันเองกับทุกคน
มีอารมณ์ขันและแสดงออกอย่างเปิดเผย แตกต่างจากผู้นำรุ่นก่อนๆ



"หลักปฏิบัติ 16 ประการ (หงกวนเถียวค่ง)"

ด้านการเงินการธนาคาร
1. ให้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก เงินกู้ และพันธบัตรที่ออกใหม่ของรัฐ
ตั้งแต่วันที่ 11 ก.ค.1993 เป็นต้นไป
2. ให้ธนาคารพิเศษเรียกคืนสินเชื่อที่ปล่อยกู้เกินวงเงินตามที่ธนาคารประชาชนจีน
ได้กำหนดเอาไว้กลับคืนมาได้ก่อนวันที่ 25 สิงหาคม 1993
3. ให้ธนาคารพิเศษทำการตรวจสอบกลไกระบบการเงินในการปล่อยสินเชื่อของตน
แล้วเรียกเก็บหนี้สินที่ปล่อยกู้ไปอย่างผิดระเบียบกลับคืนมา
4. ให้ธนาคารพิเศษแยกนโยบายการปล่อยกู้ของตน
กับนโยบายการปล่อยกู้ที่ให้แก่กลุ่มธุรกิจการค้าออกจากกัน
5. เพิ่มความแข็งแกร่งในการปฏิบัติงานให้แก่ธนาคารประชาชนจีน
โดยให้มีภาระหน้าที่สอดคล้องกับบทบาทในฐานะธนาคารกลาง
6. ให้ตลาดหลักทรัพย์ปฏิบัติตามกฎระเบียบของรัฐ
เกี่ยวกับการซื้อ-ขายหลักทรัพย์ในตลาดฯ อย่างเคร่งครัด

ด้านการคลัง

7. ให้ดำเนินการปรับลดงบประมาณลงร้อยละ 20
8. ขอให้พื้นที่ต่างๆทั่วประเทศร่วมมือกันขายพันธบัตรของรัฐให้หมดภายในวันที่ 15 ก.ค.1993

ด้านโครงการลงทุน

9. ให้ทำการไต่สวนใหม่กรณีที่ผู้นำรัฐบาลท้องถิ่นอนุมัติโครงการลงทุนต่างๆ
ในพื้นที่เศรษฐกิจที่ประกาศเปิดด้วยตัวเอง
10. ให้ลดการลงทุนในโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ลง
11. ให้เพิ่มการลงทุนทางด้านการคมนาคมและการท่าต่างๆ

ด้านอื่นๆ

12. ดำเนินการปฏิรูประบบอัตราการแลกเปลี่ยนเงินตราระหว่างประเทศ
13. ให้ยุติการใช้ใบยอมรับสภาพหนี้ หรือ "ไป๋เถียวจื่อ"
แทนการจ่ายเงินในการรับซื้อผลผลิตจากชาวนาโดยเด็ดขาด
14. ให้รัฐบาลท้องถิ่นยุติการใช้อำนาจในการเรียกเก็บภาษีพิเศษต่างๆ
หรือค่าฤชาธรรมเนียม ในการทำกิจกรรมอื่นใดจากผู้ใช้แรงงานในวิสาหกิจต่างๆ
ทั้งทางภาคเกษตรกรรมและภาคอุตสาหกรรมโดยเด็ดขาด
15. ให้องค์กรตรวจสอบวินัยในท้องถิ่นทำการตรวจสอบวินัย
ทางด้านการเงินการคลังของมณฑลและเขตปกครองตนเอง
16. ดำเนินการปฏิรูประบบราคาสินค้าขึ้นมาใหม่ให้แล้วเสร็จก่อนสิ้นปี 1993
เพื่อไม่ให้สินค้าขึ้นราคาโดยขาดการควบคุม

*หมายเหตุ :
- หลักปฏิบัติ 16 ประการ (หงกวนเถียวค่ง) คัดจากหนังสือ "เศรษฐกิจการเมืองจีน"
หน้า 260-261 เขียนโดย วรศักดิ์ มหัทธโนบล

**เรียบเรียงจาก :
- ไชน่าเดลี่ / ยูพีไอ / รอยเตอร์ส / ไวคิพีเดีย / ซินหัวเน็ต
***หนังสืออ้างอิง :
- “อะเมซิ่ง จูหรงจี” โดย สันติ ตั้งรพีพากร
- “บูรพาแดงเปลี่ยนสี” โดย วรศักดิ์ มหัทธโนบล สำนักพิมพ์มติชน และ
- "เศรษฐกิจการเมืองจีน" วรศักดิ์ มหัทธโนยล
จัดพิมพ์โดย ศูนย์จีนศึกษา สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

****ขอบคุณ (Thank You) ที่มาข้อมูล ข้อความและภาพประกอบ
- คนจีนเรียกเขา "จูหรงจี พระเจ้าซาร์แห่งเศรษฐกิจ"
โดย ผู้จัดการออนไลน์ 15 สิงหาคม 2548








 

Create Date : 03 มิถุนายน 2550    
Last Update : 3 มิถุนายน 2550 22:20:40 น.
Counter : 999 Pageviews.  

1  2  

peijing
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]







More Cool Stuff At POQbum.com

Friends' blogs
[Add peijing's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.