ประเทศจีนนั้น กำลังมาแรง เป็นที่จับตาของทั่วโลก ด้วยการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่โลดแล่นร้อนแรงจนน่ากลัว การขยายตัวของเมืองแบบก้าวกระโดดพรวดๆ รายได้ประชากรดีดตัว กลุ่มชนชั้นกลางขยายตัวยั่วน้ำลายของกลุ่มการค้าธุรกิจข้ามชาติ เม็ดเงินไหลเข้าเทเข้าทุนสำรองสกุลเงินตราต่างประเทศจนมีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก 1.2 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ โครงสร้างพื้นฐาน และเทคโนโลยีก้าวล้ำอย่างน่าทึ่ง อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ผู้นำจีนตระหนักอยู่เต็มอก คือ การเติบโตของประเทศนั้น เป็นไปอย่างไม่สมดุล ช่องว่างระหว่างกลุ่มคนมั่งคั่งถ่างกว้างมาก มีคนรวยขนาดนั่งเฮลิคอปเตอร์ไปกินอาหารพื้นบ้านแก้เซ็งในหมู่บ้านชนเผ่าไตในดินแดนที่ห่างไกลแห่งภาคตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศในมณฑลหยุนหนัน และมีคนจนถึงขนาดขุดศพขึ้นมาขายเพื่อหาเงินเลี้ยงชีพ ซึ่งกลุ่มหลังนี้ ดูจะมีจำนวนมหาศาล ผู้นำจีนไม่ได้นิ่งนอนใจต่อปัญหาดังกล่าว แม้มีแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ 5 ปี...เมื่อเร็วๆนี้ สถาบันบัณฑิตยสภาสังคมศาสตร์แห่งชาติ (China Academy of Sciences) ยังได้ออก แผนพัฒนาอย่างยั่งยืนของจีนในรอบ 50 ปี ซึ่งแผนฯ นี้ ได้กลั่นกรองจากการระดมสมองถึง 32 ปี ครอบคลุมหัวข้อทั่วทั้งจักรวาล ไม่ว่าจะเป็นประชากร ทรัพยากรธรรมชาติ พลังงาน สิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ สังคม วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี การศึกษา วัฒนธรรม รวมไปถึงปัญหาต่างๆ อาทิ ปัญหาความยากจน ฯลฯสำหรับสิ่งที่น่าสนใจในแผนฯ ที่ว่านี้ คือแผนเกี่ยวกับชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน การแก้ไขความยากจน
จีน เป็นประเทศที่ล่ำซ่ำร่ำรวย ก็ใช่ แต่บางเสียงก็แย้งว่า จีนยังเป็นประเทศที่ยากจนข้นแค้น ซึ่งก็ถูกต้องทั้งสองฝ่าย กล่าวอย่างทั่วไป แม้จีนมีทุนสำรองระหว่างประเทศมากที่สุดในโลกถึง 1.2 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ฟันกำไรจากยอดเกินดุลการค้าอื้อซ่าเป็นแสนล้านเหรียญ แต่พอหารเฉลี่ยด้วยจำนวนประชากรถึง 1,300 ล้านกว่าคนแล้ว จะพบได้ว่า จีนยังมีประชากรที่ยากจนในระดับที่น่าห่วงที่สุด หรือระดับ absolute poverty คือ ยากจนสุดๆ อีก 20 กว่าล้านคน ในแผนพัฒนายั่งยืน 50 ปีนี้ จีนตั้งเป้ากำจัดความยากจนให้ได้ภายในปี พ.ศ. 2593 โดยทำเป็นขั้นเป็นตอนไป รัฐบาลจีนตั้งใจไว้ว่าภายในปี พ.ศ. 2563 จีนจะไม่มี อำเภอที่ยากจน พอถึงปี 2573 จีนจะปราศจาก ตำบลยากจน และพอเข้าปี 2583 จีนจะไร้ซึ่ง หมู่บ้านยากจน จนถึงขั้นสุดท้ายในปี 2593 จีนจะหมดสิ้น ครอบครัวยากจน นั่นก็คือ ในแต่ละทศวรรษ จีนจะประสบผลในการแก้ไขปัญหาความยากจนเป็นขั้นๆ ไปจนกระทั่งประสบความสำเร็จในทุกหย่อมหญ้า
การตระเตรียมด้านพลังงาน เป็นปัญหาที่หลายๆ คนให้ความสนใจอย่างยิ่งในปัจจุบันเพราะเริ่มกระทบต่อการดำรงชีวิตประจำวันแล้ว ส่วนประเทศใหญ่ๆ อย่างสหรัฐฯ หรือ ญี่ปุ่น ก็เริ่มกระวนกระวายว่า จะมีพลังงานใช้ในอนาคตไม่เพียงพอ จนกลายเป็นประเด็นความมั่นคงด้านพลังงาน สำหรับจีนแล้ว ปัญหาพลังงานเป็นเรื่องที่ใหญ่มาก เพราะกระทบต่อทั้งภาวะการพัฒนาอุตสาหกรรมที่ต้องอาศัยพลังงานจำนวนมากและการรักษาสิ่งแวดล้อมภายในประเทศ ซึ่งจะเป็นตัวแปรสำคัญว่า จีนจะพัฒนาอย่างยั่งยืนได้หรือไม่ นอกจากนี้ จีนยังต้องเผชิญกับเสียงประณามจากมุมต่างๆ ของโลกในแต่ละวันว่าใช้พลังงานอย่างสิ้นเปลืองและก่อมลพิษจำนวนมหาศาล ซึ่งจีนเองก็ตระหนักดีถึงความสำคัญของประเด็นนี้ และมีการวางแผนการใช้พลังงานทั้งในระยะสั้นและระยะยาว
ในระยะสั้นนั้น จีนได้กำหนดไว้ในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 11 (ปี 2549-2553) ว่าจะลดปริมาณพลังงานที่ใช้ต่อ GDP ในแต่ละหน่วยลงให้ได้ร้อยละ 20 หรือ เท่ากับว่าจะลดไป ร้อยละ 4 ต่อปีนับจากปี 2549 ส่วนแผนการระยะยาว 50 ปีนั้น จีนจะเพิ่มจำนวนหน่วยของ GDP ต่อแต่ละหน่วยของพลังงานให้ได้อีก 15-20 เท่า ภายในปี 2593 กล่าวได้ว่า จีนหาทางใช้พลังงานให้ได้คุ้มค่ายิ่งขึ้นนั่นเอง ด้านคุณภาพชีวิต ภาวะทุนนิยม กำลังแทรกซึมอยู่ในแทบทุกอณูของสังคมประเทศคอมมิวนิสต์อย่างจีน ที่เคยชูธงมวลชนอัดฉีดสวัสดิการประชาชนเต็มพิกัด ก่อให้เกิดปัญหาความเหลื่อมล้ำของรายได้ระหว่างชายฝั่งทะเลตะวันออกกับดินแดนที่ห่างไกลความเจริญทางตะวันตกและระหว่างคนในเมืองที่ฟู่ฟ่ากับคนในชนบทที่ล้าหลัง รวมถึงคุณภาพชีวิตที่ลดลงในสังคมเมืองขนาดใหญ่ที่ตามมา จึงไม่น่ากังขาเลยที่จะเห็นหัวข้อนี้ถูกสำแดงความสำคัญอยู่ในแผนพัฒนาฯ ฉบับ 50 ปีด้วย
จีนตั้งใจว่าภายในครึ่งศตวรรษนี้ จะต้องเพิ่มดัชนีพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ (Human Development Index) ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเป็นอยู่ของประเทศโดยคำนึงถึงปัจจัยต่างๆ เช่น อายุคาดหมายเฉลี่ย อัตราการรู้หนังสือ การศึกษา และคุณภาพชีวิต ให้ได้สูงกว่าระดับ 0.900 ซึ่งเป็นระดับของประเทศที่พัฒนาแล้วขั้นสูง โดยถือเป็นเป้าหมายที่ยังอยู่ห่างไกลมาก เพราะในปี 2549 นั้น สหประชาชาติวัดระดับดัชนีพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ของจีนได้เพียง 0.768 เท่านั้น โดยอยู่ในลำดับที่ 81 จากทั้งหมด 177 ประเทศ อย่างไรก็ดี รัฐบาลจีนตั้งใจว่าเพื่อไปถึงเป้าหมายนั้น จะพยายามเพิ่มอายุคาดหมายเฉลี่ยของชาวจีนให้สูงเป็น 85 ปี เพิ่มระยะเวลาการศึกษาเฉลี่ยจาก 8.2 ปี เป็น 14 ปี ควบคุมอัตราการเสื่อมโทรมของระบบนิเวศน์ที่ร้อยละ 0 และเพิ่มสัดส่วนของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในการพัฒนาเศรษฐกิจให้สูงกว่าร้อยละ 75
แผนพัฒนาฯ ทั้ง 3 ด้านนี้ สะท้อนความมุ่งมั่นประการหนึ่งของรัฐบาลจีน นั่นคือ การให้ความสำคัญกับปากและท้องของประชาชนมากพอๆ กับการพัฒนาเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของประเทศในเวลานี้.
ขอบคุณที่ไปเยี่ยมป้านะคะระยะนี้อากาศเปลี่ยนบ่อยดูแลสุขภาพด้วยนะคะป้าหู้เปนห่วงน้า...
ต๊ะ...เอ๋....ป้าหู้มาส่งเข้านอนจ่ะอย่าลืมดูแลสุขภาพด้วยนะจ๊ะนอนหลับฝันดีน้า...ป้าหู้เปนห่วงน้า...
บายดีน๊า เช้าๆวันอาทิตย์ ...เลิฟ
หวัดดีก๊าบ..ป๋ม!...ไปเที่ยวบ้านสวน"บางน้ำผึ้ง"กะป๋มนะกั๊บบ...ตาม"ป๋มม..น้องสุนทร"ไปเลยก๊าบบบจิ้มที่ท้องป๋ม...ไปกันเล้ยยย...
Cute Comment Picturesจีนกำลังจะกลายเป็นประเทศมหาอำนาจไปแล้ว แต่ประเทศไทยเรา ดูเหมือนจะถอยหลังยังไงไม่รู้คะ
คนจีนในชนบทน่าสงสารมากๆๆค่ะ เห็นแล้วสะท้อนใจค่ะ