Group Blog
 
All Blogs
 

อดีต








 

Create Date : 07 มิถุนายน 2561    
Last Update : 7 มิถุนายน 2561 5:37:35 น.
Counter : 300 Pageviews.  

กลับมา



คงได้แค่เก็บเกี่ยวเรื่องราว และประสพการณ์ที่ผ่านเข้ามา

ปีนี้ ผ่านไปหลายปีมากที่ผมไม่เคยได้เขียนถึงชีวิตที่ผ่านมา
แต่เรื่องราวเก่าๆ....ยังคงอยู่เสมอ
แม้ว่าจะผ่านไป....12ปี....แล้ว
วันที่ผมว่าง.....
จะกลับมาเล่าประสพการณ์ในการเดินทางให้ได้รู้กันครับ




 

Create Date : 07 มิถุนายน 2561    
Last Update : 7 มิถุนายน 2561 5:01:17 น.
Counter : 227 Pageviews.  

2549



ประวัติศาสตร์ก็มีคนหลายคนที่เก็บตัวรอเวลาที่จะใช้ความรู้บ่มเพาะผลผลิตจากการกระทำเพื่อที่จะให้ได้มาซึ่งจุดหมายปลายทางที่ยิ่งใหญ่ในชีวิต หลายคนทำด้วยความสมัครใจ แต่หลายคนก็ไม่ได้ทำด้วยใจสมัคร ก็ช่างเถอะ จุดหมายปลายทางก็เพื่อจุดหมายเดียวกัน ถ้าเราไม่มีเวลา เราอาจไม่ได้ศึกษาจิตของตนเองก็ได้ การเฝ้าระวังจิตตามแนวทางของพระพุทธศาสนา บางเรื่อง พระพุทธเจ้าท่านพิสูจน์ได้มาตั้ง 2500 กว่าปีแล้ว มีหน้าที่ตรงไหน ก็ทำตรงนั้นให้ดีก็พอ ผมเองก็ไม่ได้ชอบทำงานแบบนี้หรอก แต่ว่าผมคงมีความสามารถแค่นี้ ช่างมัน คิดมากก็เท่านั้น ไม่มีอะไรดีขึ้น นอกจากทำตัวเราเองให้ดีก็พอ ไม่ต้องไปว่าคนอื่นเขา เพราะคนดีชอบแก้ไข คนจังไรชอบแก้ตัว
ผมก็ไม่รู้ว่าทำไมผลประโยชน์ยิ่งมาก ยิ่งทำให้คนในหน่วยงานยิ่งแตกแยกกันมากขึ้น เห็นแก่ตัวกันมากขึ้น ว่ากันไปตามเกมส์ก็แล้วกัน จะแพ้-ชนะ สุดท้ายก็ไปอยู่ที่จุดปลายทางเดียวกันคือ เชิงตะกอน ไม่เห็นมีใครยืนยงคงกระพัน หรืออยู่ค้ำฟ้าเลย เวลาอยู่ด้วยกัน ทำงานด้วยกัน กลับแก่งแย่ง ชิงดีเชิงเด่นกัน เพื่ออะไร ทำเพื่อในหลวงของเราดีกว่าใหม เป็นผลประโยชน์ร่วมกันของประเทศชาติ
บางทีการหลบหนีจากสังคม การเมืองที่วุ่นวายมันก็ดี ไปอยู่ที่ๆมันไม่มีการบังคับ ที่ซึ่งมีแต่เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น ไม่มีชนชั้นการปกครอง ไม่ต้องมีกฏต่างๆที่คอยให้เราต้องแหกมันเพื่อความอยู่รอด ในป่าเขา ก็ได้ ผมก็อยากออกไปอย่างนั้นเหมือนกัน ทำงานมันก็อย่างนี้แหละ เวลาที่เราอยู่ในความสนุกมันมักจะเป็นช่วงเวลาที่สั้น แต่เวลาที่ทรมานมันมักจะยาวนาน บางทีผมว่าชีวิตก็คงเป็นอย่างนี้ทุกคนแหละ ชีวิตที่สนุกมันมักจะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ แต่ชีวิตที่ทรมานมันมักจะยาวนาน
บทกวีบางครั้งมันก็ฟังแล้วสะเทือนใจอยู่ ผมโทรไปคุยกับคุณตา-คุณยายของลูก ตอนนี้ที่อ่างทองน้ำท่วมมาก ล้นเข้าบ้าน จากแม่น้ำเจ้าพระยาพังเขื่อนที่ชาวบ้านเอามากั้นน้ำเอาไว้ โชคดี ยังมีน้ำ – ไฟ ใช้อยู่ ผมเลยถามว่าลูกเป็นอย่างไรบ้าง เขาบอกว่า สนุกกับน้ำท่วมใหญ่เลย ก็ปิดเทอมด้วย ขี่จักรยานไปบ้านอาทัติ ซึ่งอยู่ในหมู่บ้านเดียวกัน ไปเล่นกับพวกพี่ๆเขา ก็เด็กรุ่นๆเดียวกันนั่นแหละ จะเอาอะไรกันมากกับชีวิตในวัยเด็ก มันก็มีแต่ความสนุกสนานอยู่ไปวันๆ พร้อมกับการเรียนรู้ชีวิตในทางอีกยาว เมื่อวานคุยโทรศัพท์กับเขา ลูกปอบอกว่า ถ้าคุณพ่อมีน้องใหม่แล้วน้องปอจะมีพ่อได้อย่างไรหละ ผมก็ไม่เข้าใจกับคำพูดที่ลูกพูดมา เหมือนกับว่า การเดินทางที่ยังไม่สิ้นสุด ยังต้องไขว่คว้า สิ่งที่มุ่งหมายยังรออยู่อย่างนั้น
การเรียนรู้เป็นประตูสู่ความสำเร็จ แม้ว่าบางครั้งมันจะไม่ได้สมบูรณ์อย่างที่เราคิดก็ตาม แต่ส่วนหนึ่งจากความพึงพอใจในสิ่งที่เราได้ทำ ก็เป็นความสุขอย่างที่เราควรจะได้รับมันแล้ว ผมได้รับโทรศัพท์จากลูก บอกว่าอยากให้พ่อไปลงเกมส์ให้ ผมบอกว่า ตอนนี้พ่อยังไม่ว่าง เดี๋ยว 2-3 วันผมจะไปทำให้อยู่ ก็คิดถึงลูกอยู่เหมือนกัน ก็เราไม่ได้เจอกันตั้งเดือนหนึ่งแล้ว คุยก็ไม่ค่อยได้คุย ทั้งๆที่เป็นเวลาที่ลูกปิดเทอม ผมน่าจะรับลูกมาเลี้ยงบ้าง แต่ว่าผมรู้สึกแย่ๆอย่างบอกไม่ถูก เพราะอะไรไม่รู้ มันสับสนไปหมด เพราะว่าสถานการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้น รวมทั้งวิธีการที่ต้องปฎิบัติมันก็ไม่ใช่อย่างที่ผมต้องการ ผมเลยเซ็งที่ทำงานอยู่เหมือนกัน
บนโลกที่มีการเปลี่ยนแปลง ความเสียหายอันเกิดจากการพัฒนาทางวัตถุมากกว่าทางจิตใจ สังคมที่ใช้วัตถุในการบำบัดความต้องการขั้นพื้นฐานของชีวิต โดยไม่รับการพัฒนาทางจิตใจ เทคโนโลยีที่พัฒนาอย่างไม่หยุดยั้ง การสื่อสารที่เติบโตโดยมีผู้ที่ได้รับผลประโยชน์ไม่กี่กลุ่ม ทำให้เกิดความห่างระหว่างชนชั้นของสังคม สังคมในชนบทถูกทำลาย จากภาวะที่ได้รับผลกระทบจากการพัฒนาทางเทคนิค รายได้ที่ลดลง แต่รายจ่ายกลับเพิ่มมากขึ้น เป็นปฏิกริยาผกผันกัน สิ่งต่างๆมันถูกผูกพันกัน และแตกแขนงเป็นสาขาต่างๆออกไป เป็นวิชาการต่างๆ ตามแต่ผู้ที่มีอำนาจทางความคิดจะออกแบบแผนให้เป็นอย่างไร แต่อย่างไรก็ตาม การศึกษาก็ไม่ได้จำเป็นต้องรู้ หรือบรรลุจุดยอดของวิชาการ หากผู้ที่ร่ำเรียนมิได้คิดถึงภาวะการเรียนรู้อย่างที่ควรจะเป็น
บางทีสิ่งทีเราเกลียด กลัว มักเดินทางเข้ามาหาเรา ให้เราได้สัมผัสกับมันเสมอ ซึ่งก็มักจะตรงข้ามกับสิ่งที่เราคิดและวาดหวังต้องการ มันมักจะเดินทางห่างเราออกไปๆอยู่เสมอเช่นกัน การระวังความคิดในเวลาที่ต้องอยู่คนเดียวเป็นสิ่งสำคัญ การรู้เท่าทันสภาวะแห่งจิต ไม่ตกเป็นเหยื่อของสังคม ที่เต็มไปด้วยสิ่งเร้าต่างๆมากมาย ไม่ว่าจะเป็นความเจริญทางวัตถุต่างๆ เทคโนโลยี สิ่งที่มองดูแล้วสวยงามจากประสาทสัมผัสที่สามารถจับต้องได้ ล้วนแต่ทำให้เราต่ำลงไปเรื่อยๆ ภาระหน้าที่และความรับผิดชอบต่อสังคมจะมีได้อย่างไร หากมนุษย์ที่เรียกว่าสัตว์สังคมเอาแต่ประโยชน์ส่วนตน มองเห็นคนอื่นด้อยกว่า ความผิดพลาดของตนกลับมองไม่เห็น ประโยชน์อะไร ในเมื่อเราไม่สามารถขัดเกลาจิตใจคนๆนั้นได้ การศึกษาไม่ได้ทำให้ยกระดับศีลธรรมและจริยธรรมของคนในสังคมให้สูงขึ้น แต่กลับมากมายไปด้วยตัณหาที่รุมเร้าให้อยากได้เพิ่มมากขึ้น การไม่รู้จักคำว่า “พอเพียง” ทำให้มนุษย์เราเดินตกหลุมพรางมากมาย นรก ไม่ได้อยู่ที่ใหนไกลหรอก แต่อยู่ในใจของเรานี่เอง การควบคุมความคิดของจิต ไม่ให้ฟุ้งซ่าน เจริญกรรมฐานตามแบบอย่างของพระพุทธเจ้า อาจช่วยให้ใจเราสงบขึ้นมาบ้างก็ได้ ผมอ่านหนังสือมาหลายเล่มอยู่ แต่ก็ไม่เคยได้นำมาใช้อย่างจริงจังเสียที
คำปลอบใจอย่างอ่อนโยน ให้กำลังใจ คือสิ่งที่มีคุณค่าที่สุดที่มนุษย์ด้วยกันควรมีให้แก่กันและกัน ทุกคนย่อมมีความผิดพลาดในการกระทำ แต่เมื่อพลาดไปแล้วก็ควรเห็นอกเห็นใจกัน อภัยให้กัน อิจฉา ริษยา ล้วนเป็นสิ่งที่ปิดกั้นความดี และสิ่งที่เราควรจะมองเห็น ให้และได้รับจากเพื่อนมนุษย์ร่วมโลกใบนี้
ระบายความคิดออกไป ความรู้สึกที่เรื่อยเปื่อย ความหวัง ความรัก ความทรงจำที่ไม่ได้มีความผิดใดๆเกิดขึ้น บทเพลงแห่งชีวิต จิตที่สงบ หลับใหลไปกับกาลเวลาช่วงที่เงียบเหงาของชีวิต ไม่เบียดเบียนกับสภาพของสังคมที่เหลวแหลก เห็นแก่ตัว ปรับตัวให้เข้ากับสภาพทางสังคม ยอมรับและทำใจให้กว้าง ความผิดหวัง พยายาม ไม่ท้อ เพื่ออะไร ทำไมต้องทำ ก็เพราะเราไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว
คิดถึงช่วงชีวิตที่ดีๆ คนเราจะมีสักกี่ครั้งที่จะพบกับคำว่ารักแท้ในชีวิต การช่วยเหลือเกื้อกูล ความห่วงใยซึ่งกันและกัน เป็นความรู้สึกของผมที่คิดว่าตัวผมเองช่างไม่มีความรับผิดชอบเอาซะเลย ความเงียบเหงา และคิดถึงอยู่กับอดีต ทำไมผมจะต้องจมอยู่กับอดีต ทำไมผมไม่ค่อยที่จะคิดถึงการกระทำในปัจจุบัน แต่นั่นแหละ อดีตก็เป็นที่มาของปัจจุบัน ความเป็นมาของชีวิต สิ่งที่ผิดพลาดในอดีตมักจะบอกว่าเราควรจะทำอะไรต่อไปในอนาคตที่กำลังจะคลืบคลานเข้ามาหา
ทุกคนก็ต้องมีควารับผิดชอบกันไป เวรกรรมที่ทำเอาไว้ บางครั้งก็ต้องยอมรับมัน เมื่อมันเดินทางเข้ามาหา เราหนีมันไม่พ้นอยู่แล้ว ยิ่งหนี มันก็ยิ่งรัดตัวเข้ามาหา ผมเองก็มีเวรกรรมอยู่เหมือนกัน สิ่งที่ทำไว้กับหลายๆคน ที่กลายเป็นความแค้นคอยราวีผมอยู่เสมอทุกเวลา สิ่งที่อยู่เบื้องก้นของสมอง และจิตใจ มันทำลายระบบการทำงานของสมอง เป็นความทรงจำที่ยากจะลืมเลือน แม้ว่าเวลาจะผ่านไปนานแล้วก็ตาม ผมรู้ว่าชีวิตเราถอยหลังไม่ได้ แต่ว่าอดีตมันเป็นอะไรที่ยากจะลืม ผมเหมือนคนย้ำคิด ย้ำทำ มันเป็นตั้งแต่เมื่อไรผมไม่รู้ ผมไม่มีความคิดที่จะอ่านหนังสือเพื่อพัฒนาตัวเองเลย เหมือนกับว่าปล่อยให้มันจมลงไป ดิ่งลงไป ยิ่งใกล้นรกเท่าไรยิ่งดี ช่างมัน เมื่อมันไม่ได้มีอะไรดีไปกว่านี้อีกแล้ว ของโทษครับแม่ ที่ลูกคนนี้คิดอย่างนี้ แต่บางทีผมก็ไม่อยากอยู่ในสังคมเน่าๆอย่างนี้เลย จริงๆผมคงไม่เหมาะกับการทำงานแบบข้าราชการเช้าชาม เย็นชามอะไรประเภทนี้ หรือการที่ต้องเอาใจไอ้พวกชนชั้นปกครองที่สมองมีแต่ความคิดเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน จนลืมสังคมรอบด้าน ลืมมองคนที่ต้องปฎิบัติ เอาแต่พวกพ้องและคนใกล้ตัว นี่แหละ ประเทศชาติต้องเจอกับคนประเภทนี้อีกเท่าไร มันถึงจะเจริญ การสวมหัวโขน จนกระทั่งลืมไปว่า วันหนึ่งก็ต้องลงไปอยู่ในหลุมศพ หรือถูกเผาร่าง เหลือเพียงชื่อที่คอยให้คนเขาสรรเสริญ หรือก่นด่า วันหนึ่งการเกษียนอายุก็จะใกล้เข้ามาเยือน วันนั้น วันที่ไม่เหลือซึ่งอำนาจอยู่ในมือ เหลือแต่ความทรงจำ และจะทำใจได้หรือ คิดว่ามันยาวไกลอีกนักหรือไง เวลานั้นสั้นนิดเดียว คนเรามีเวลาที่เท่ากัน แต่ว่าเราใช้เวลาต่างกัน จากวัยที่ไม่ต้องมีความรับผิดชอบ ผ่านมาจนกระทั่งเวลานี้ เราผูกปมปัญหาไว้มากเท่าไร หนทางที่เลวร้าย ปลายทางแห่งชีวิต การเดินทางที่ยาวนาน สิ้นสุดลงเมื่อสังคมเปลี่ยนไป ด้วยวัยวุฒิ ถึงเวลานั้นเราจะทนงตนไปได้อย่างไร ในเมื่อวันนี้เราไม่ได้สร้างสังคมที่เข้มแข็งเอาไว้
อนาคต คือ สิ่งที่ยังมาไม่ถึง ใครก็รู้ มันเป็นคำพื้นฐานที่ถูกกำหนดโดยสังคม การเอาเวลามาบีบบังคับสิ่งที่จะเกิดขึ้นในวันข้างหน้า ทุกวันนี้มันก็พันกันไปหมดแล้ว ไม่ว่าจะเป็นวิชา สาขาการเรียนรู้ที่ผูกสัมพันธ์กัน แยกไม่ออก จนไม่รู้ว่าเราเรียนไปเพื่ออะไร หรือเรียนไปทำไม ไม่ว่าจะเป็นวิชาในโรงเรียน หรือ มหาวิทยาลัย จบมาแล้วต้องหางานทำ ไม่มีการรองรับบุคคลตามสายงาน แม้กระทั่งบางคนเรียนมาอย่างหนึ่ง แต่สังคมต้องการอีกอย่าง ผมคิดว่าโรงเรียนหรือมหาวิทยาลัยคงไม่ได้สอนให้ “เลีย” แน่ๆ แต่ระบบสังคมเมืองไทยยังต้องการบุคคลประเภทนี้อยู่ มันถึงอยู่ได้ อย่างว่านั่นแหละ เข้าเมืองตาหลิ่ว ต้องหลิ่วตาตาม ก็เป็นลิ้วล้อนี่ ถูกบังคับมันก็ต้องทำตาม ทั้งๆที่ไม่ได้ต้องการอย่างนั้นเลย
ฟังเพลงแล้วคิดถึงบ้าน ใช่แล้ว ก่อนออกมาจากบ้านผมมากับความฝันอันสูงส่ง แต่ ณ วันนี้ ฝันที่ถูกละลายด้วยระยะของกาลเวลาที่ดึงมันออกห่างจากตัวผมไปเรื่อยๆ พร้อมกับนำความแก่ตัว ล้า ต่อสมองและแรงกาย ความฝันที่ค่อยๆหายไป เหลือแต่ความเป็นจริงที่ยังคงอยู่ และใกล้เข้ามา เวลาไม่หยุดนิ่งอยู่กับที่ ทุกวันเปลี่ยนไป จากการหมุนของโลกใบนี้ ทุกสิ่งที่เราสมมุติขึ้น เราให้มันเป็นอย่างนั้น เป็นอย่างนี้ แท้จริงตัวเรา ของเราก็ไม่มีตัวตนเช่นกัน เราเกิดมาเพื่อที่จะเป็นองค์ประกอบของโลกใบนี้ โลกที่วันหนึ่งก็ต้องสลายไปกับเวลา(ซึ่งก็สมมุติขึ้นเช่นกัน) แล้วเราจะเอาอะไร ก็ในเมื่อทุกอย่างที่เราเห็น มันเป็นสิ่งสมมุติขึ้นทั้งนั้น ตายไปก็เอาอะไรไปไม่ได้ ไม่มีใครยืนยงคงกระพัน แก่ตัวลงไปทุกวัน เก็บเกี่ยวประสพการณ์เอาไว้เล่าให้ลูกหลานฟัง ก็คงได้แค่นั้น
“ลาแล้วสามพราน ถิ่นสถานที่รักของข้า
จำร้างจำไร้ไกลตา จากดินฟ้าสถาบันใจ
สามพรานนี่เอย ก่อนเคยอยู่มาแต่ไร
จากสามพรานคร้านจะครวญใคร่ อีกเมื่อไรหนอได้กลับมา
งามล้ำสามพราน โอ้สวรรค์วิมานของข้า
ยังรักชีวิตชีวา เสน่หาดินฟ้าอาลัย
ทะเลสาบเอย ข้าเคยแลฝันสุขใจ
จากสามพรานคร้านจะลืมได้ ภาพที่ใจฝันไปใฝ่มา
เพลงรักสามพราน สั่นสะท้านสะเทือนเหมือนว่า
ยามร้างยามไร้ไกลตา กลับมาหนา มาหามาชม
สามพรานจะคอย จะคอย รอร้อยรื่นรมย์
เมื่อวิมานสามพรานคลุมคม บ่มอารมณ์ภิรมย์สุขเรา
ลาแล้วสามพราน อธิษฐานไหว้วานพระเจ้า
จงคุ้มครองทั้งลำเนา ร่มเสลาเราคตภูมิชัย
ขอทูลเทิดธรรม ประจำชีวิตจิตใจ
ถนอมนามสามพรานยิ่งใหญ่ เทิดเกียรติไกลไว้ตลอดกาล”
เพลงนี้ ผมฟังทีไรก็รู้สึกว่าเราต้องกลับบ้านสักวันหนึ่ง บ้านที่มีแม่คอยอยู่ พี่น้อง หลาน ซึ่งเป็นชีวิตในช่วงที่ผมไม่ต้องรับผิดชอบอะไรมากมายเหมือนเช่นปัจจุบันนี้ เป็นความสุขอย่างหนึ่งที่ถูกลืมไปในช่วงหนึ่งของชีวิต การค้นหา และแสวงหาชีวิตที่ดิ้นรนเพื่อที่จะให้มันดีกว่า แต่นั่นไม่ใช่ความจริง ผมกำลังห่างจากความรักและความห่วงใยจากคนรอบข้างที่ดูแลผมมาจนกระทั่งวันที่ผมสามารถที่จะยืนและเดินได้เอง ภาพความหลังมันผุดขึ้นมา ความรู้สึกนึกคิดเก่าๆ ผมได้แต่คิด ใช่แล้ววันหนึ่งคงได้กลับบ้าน แต่ก็ไม่รู้ว่าจะไปถึงบ้านในสภาพแบบใหนเหมือนกัน เราไม่ได้เดินทางไปถึงจุดหมายปลายทางอย่างที่ตั้งใจได้ แม้ว่าบางครั้งผมก็สะดุดเหมือนกันกับการใช้แนวทางชีวิตที่รุมล้อมด้วยอบายมุข โลกีย์ต่างๆที่ถูกสรรหามาปรุงแต่งให้ดูสวยงามจากภายนอก
ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง เวลาเปลี่ยน ใจคนเปลี่ยน เป็นเรื่องปกติ เราควบคุมชีวิตของใครๆก็ไม่ได้อยู่แล้ว ชีวิตใคร ก็ต้องเดินตามทางของชีวิตตนเอง การดิ้นรนเพื่อความอยู่รอด มันเป็นสัจธรรมของสังคม สังคมที่คนเราต้องอาศัยซึ่งกันและกัน ภาวะปาราสิต คือต่างคนต่างมีผลประโยชน์ร่วม การเดินทางไปสู่จุดหมายของชีวิต ปลายทางของชีวิตทุกคนก็คือความตาย ไม่มีใครหนีพ้น มันเป็นสัจธรรมของชีวิตที่ทุกคนต้องได้พบ ไม่มีใครหลุดรอด แล้วแต่ว่าเราจะเลือกที่จะตายอย่างสงบหรือด้วยความรุ่มร้อน ไม่มีอะไรแน่นอน สิ่งที่เหลือไว้คือการกระทำเมื่อครั้งยังมีชีวิตว่า ได้ทำอะไรไว้ให้คนที่ยังอยู่ได้รู้สึกจดจำหรือไม่ ถึงว่าวัยเกษียณตัวเองก็ตามทีการหลุดออกจากวงโคจรที่ไม่ต้องแบกรับภาระ กับสิ่งที่จะดำเนินต่อไปข้างหน้า หากเลือกได้ ผมว่าเราทุกคนก็คงต้องการสิ่งที่ดีที่สุดในชีวิต ไม่มีใครอยากเกิดมาลำบากแต่สิ่งที่ผมรับรู้ก็คือ หากว่าเราไม่ได้ผ่านความลำบากในชีวิตมาก่อน การใช้ชีวิตในวัยที่ต้องโดดเดี่ยวมักจะพบกับควาลำบาก การสอนเด็กคนหนึ่งให้มีความรับผิดชอบควรเริ่มทีละน้อยให้เขาเข้าใจโลกที่เต็มไปด้วยสารพัดปัญหา การเรียนรู้จากการซึมซับเอาวัฒนธรรมดีๆที่แตกต่างจากการเรียนรู้ในระบบเดิม ความหมายไม่ได้แตกต่างอะไรจากการเดินทางของคน 2 คน ที่ร่วมเดินทางด้วยกันโดยวัยที่แตกต่างกัน การถ่ายทอดประสพการณ์จากประสพการณ์จริงของชีวิต การอยู่ร่วมกันโดยความรัก ความเข้าใจ เป็นพื้นฐานของรากฐานชีวิตที่แข็งแรง
กาลเวลาผ่านไปแต่ละวันผมเองก็ไม่ใช่ว่าจะมีความสุข ไอ้สุขทางกาย ทางใจนั่นแหละ มันหายากมากสำหรับชีวิตอันห่วยแตกของผม ลูกปอคงไม่เข้าใจเหตุผลในสิ่งที่เกิดขึ้น ชีวิตคืออะไร บางทีการค้นหาความหมายของชีวิต ตัวเอง การไม่ถืออัตตา ก็น่าจะเป็นสิ่งที่ดี ผมคิดว่าการคิดและแปรรูปความคิดออกมาเป็นสิ่งที่สัมผัสได้นี่มันช่างยากเสียจริง เหมือนการเริ่มต้นทำอะไรๆที่มันต้องระดมทั้งความคิดและความตั้งใจอย่างสูง การเดินทาง สิ่งสำคัญอาจไม่ใช่จุดหมายปลายทาง หากแต่อยู่ที่ประสพการณ์ที่เราจะได้รับระหว่างการเดินทาง ความสุขของการเดินทางอยู่ที่การมองสิ่งรอบข้าง เหมือนการนั่งรถเดินทางไป เรามักจะชอบมองวิวรอบข้างที่ผ่านไปในระหว่างการเดินทาง โดยใช้ความคิดไปเรื่อยเปื่อยซึ่งมีทั้งสาระ และไม่มีสาระ มันก็เป็นของมันอย่างนี้นั่นแหละ เราก็คงมองมันอย่างผ่านไปโดยที่เราก็ไม่สามารถที่จะเก็บเอามันมาได้ นอกจากภาพถ่ายของสิ่งที่เราคิดว่าน่าสนใจและดูสวยงาม นอกเสียจากว่าเราจะหยุดและเก็บมัน ชีวิตก็เช่นเดียวกัน หากเราหยุดที่จะมอง และพิจารณา เอาใจใส่กับสิ่งที่เกิดขึ้น หยิบมันมาพิจารณา ความผิดพลาดในชีวิต และทำการแก้ใขมันให้ดีขึ้น บางทีชีวิตอาจดีขึ้นบ้างก็ได้ การเก็บเกี่ยวประสพการณ์เพื่อที่จะมาเรียงร้อยเป็นเรื่องราวผ่านตัวหนังสือ เผื่อใครบางคนที่เดินทางผ่านมาและได้พบกับเรื่องราวเหล่านั้น ซึ่งอาจทำให้เขาได้ย่นระยะเวลาการเดินทางหรือก็คือการเดินทางที่ไม่ผิดพลาด ไปสู่จุดหมายปลายทางโดยไม่เปลืองสิ่งใดๆ การฝืนชะตาชีวิตอย่างรุนแรงไม่ทำให้เกิดผลดีแต่อย่างใด การเดินทางอย่างเอื่อยเฉื่อย ก็ไม่ใช่สิ่งที่ดี ควรที่จะเดินทางบนทางสายกลางอย่างที่พระพุทธเจ้าท่านสอนไว้ คือไม่ตึงและไม่หย่อนจนเกินไป สัจธรรมที่ถูกค้นพบมานานแสนนาน ผ่านการหมุนรอบตัวเองของโลกใบนี้จำนวนนับไม่รู้ว่ากี่รอบต่อกี่รอบ ซึ่งมนุษย์ก็เรียกมันว่า วัน เดือน ปี แล้วแต่ใครจะคิด
ชีวิตที่เคยเข้มแข็ง จากคนที่เคยมีความพร้อมในการเดินทาง บัดนี้มันเริ่มล้าลงไปทุกที การกระแทกจากสังคมด้วยความที่ไม่เป็นธรรม น้ำตาไม่ได้ใหลออกมา แต่ว่าภายในจิตใจมันสลาย แหลกเหลว สาเหตุจากการไม่ยอมคน ตอกย้ำความคิด สับสน เงาที่เลือนลางจากความเป็นจริงเดินทางเข้าสู่ความมึนเมาของชีวิต เพราะสังคมกำลังอ่อนแอ ถูกวัตถุครอบงำจิตใจ ปวดร้าวจากการกระทำทางความคิด กำลังใจอยู่ที่คนเข้าใจและเสริมสร้างมันขึ้นมาจากใครบางคนที่เข้าใจในความคิด ชีวิตมิได้อยู่เพียงลำพัง แต่ขึ้นอยู่กับสังคมที่จะยอมรับได้ขนาดใหนนั่นเอง เดินหนีจากความเป็นจริง สังคมที่กำลังเปลี่ยนแปลง ยุคที่วัตถุถูกใช้บำบัดความต้องการทางร่างกายและจิตใจ เสพเข้าไปโดยไม่รู้ถึงอันตรายที่กำลังคืบคลานเข้ามาทำลายล้างมนุษย์ด้วยกันเอง การประหารด้วยเทคนิคพิเศษที่แตกต่างจากเดิม
ความเห็นที่แตกต่าง ความรงจำดีๆที่เลือนลาง ผมว่าแล้วทำไมราชวงศ์จีนจึงต้องกำจัดขันทีชั่ว เพราะว่าพวกนี้แม่งประจบสอพลอเก่ง เอาดีเข้าตัว เอาชั่วให้คนรอบข้าง ผมว่ายศฐาบรรดาศักดิ์ไม่ได้ช่วยให้คนมีความคิดที่ดีขึ้นมาเลย ปากเหมือนผู้หญิงชอบนินทาชาวบ้าน ความคิดเลวๆที่ถูกเจือปนด้วยกันกับคำพูดที่แสนจะดูห่วงใย แต่ความจริงใส้ในแม่งเน่า อย่าได้รับความช่วยเหลือจากกูอีกเลย ไอ้มนุษย์จังไร ใครจะเข้าใจผมว่าเป็นอะไรก็ช่างมัน ผมเบื่อแล้วกับการติฉินนินทา ความรู้สึกดีๆกับคนในที่ทำงานหายไปเยอะมาก ไม่มีอะไรจะต้องแคร์อีกแล้ว
แหวกว่ายไปในสายธารแห่งความจำเจ ซากปรักหักพังของสังคม ที่บ่งบอกถึงความเจริญในวัฒนาการทางความคิดและการสื่อสาร สิ่งที่พานพบมา ฉุดเราลงสู่เบื้องต่ำของความคิด ความก้าวล้ำสู่การรวมตัวของเพศทางความคิด มันเกิดขึ้นโดยมีวิวัฒนาการอย่างต่อเนื่องจากวัยเด็กสู่วัยผู้ใหญ่ที่ซ่อนงำหรือแอบเอาไว้อย่างไม่รู้ตัว
ระบายแล้วค่อยยังชั่ว พูดบ้างซะก็ดี มันจะได้รู้ว่า สิ่งที่พูดกันไปน่ะ เดี๋ยวมันก็ต้องถึงหูผมอยู่ดี เพราะว่าการพูดให้คนอื่นเสียหายน่ะ มันไม่ใช่สิ่งที่ดีหรอก ทำเพื่ออะไรกัน เวลาผ่านไปเรื่อย เราแก่ตัวลง แล้วจะเอาอะไรอีก ในเมื่อวันนี้เรายังไม่มีสิ่งที่ดีกว่า รอเวลาที่จะมาถึง วันหนึ่งข้างหน้าต้องดีกว่าวันนี้
และผมก็คงมีเพียงลูกสาวเท่านั้น ที่ยังคงเหมือนสายใยที่ผูกพันธ์ กาลเวลาเป็นสิ่งพิสูจน์อะไรหลายๆอย่าง ผมเจ็บปวดมากเวลาที่เกิดความรู้สึกว่า การแยกทางเดินของเราสองคน มันไม่ใช่สิ่งที่ควรจะเกิดขึ้น มันไม่ควรจะเกิดอะไรขึ้นสักอย่างที่ความรับผิดชอบชั่วดีที่มนุษย์ควรจะมีมันเอาไว้ ผมสัมผัสความเจ็บปวดนั้นได้ ไม่ต้องมีใครสอนหรือบอกหรอก
วิ่งหนีความจริงที่แสนเจ็บปวด พยายามห่างไกลออกจากสังคมที่กดขี่ข่มเหง จากความทรงจำที่เลวร้าย ไม่มีใครที่จะเห็นใจเรา ตอกย้ำความคิดที่สวนกระแสสังคม
ผมเปิดตู้รับไปรษณีย์หน้าบ้าน พบใบเสร็จรับเงินที่ส่งค่าประกันให้กับลูก เริ่มมีใบแรกแล้ว ทนอีก 2ปี 11เดือน ก็จะหมด แต่มันก็นานเหลือเกิน ตอนนี้เงินเดือนผมเข้าประมาณไม่ถึงหมื่นบาท ซึ่งรวมเงินประจำตำแหน่งแล้ว ถ้าเงินเดือนเพรียวๆ ก็น่าจะไม่เกิน 4-5 พันบาทต่อ ก็ทนๆเอาเงินเก็บที่สะสมไว้มาใช้ ประทังไปก่อน เดี๋ยวมันก็ดีขึ้นเองแหละ คิดว่าอย่างนั้นนะ อาศัยตอดๆเอาบ้างกับพวกๆ ก็ไม่ได้สักเท่าไรหรอก ชีวิตมันก็อย่างนี้แหละ ตอนมีไม่ค่อยอยากจะเก็บเอาไว้บ้าง เวลาเดือดร้อนก็เป็นอย่างนี้ ชีวิตมีขึ้นมีลง ตอนนี้ขาลงต้องทำใจ ไม่มีเพื่อนเยอะเหมือนช่วงที่กำลังรุ่งๆ ตอนนี้จะแบกหน้าไปขอความช่วยเหลือก็ละอายแก่ใจตัวเองเหมือนกัน จะทำอย่างไรดี
ชีวิตคือการเดินทาง ผ่านมาแล้วผ่านไป ถ้าผมไม่ขอย้ายไปใหน หรือทำชีวิตให้ดีขึ้นด้วยตัวเองมันก็คงจะยากที่จะพึงจมูกคนอื่นเขาหายใจ นึกถึงยามเจ็บป่วย จะมีใครสักกี่คนที่สนใจสอบถามเรื่องราวเกี่ยวกับตัวเรา ก็มีคนที่อยู่ด้วยข้างๆเพียงเท่านั้นนั่นแหละ เพราะฉะนั้น หากผมจะต้องช่วยใคร ผมจะพิจารณาให้รอบคอบมากกว่านี้อีก เพราะผมผ่านช่วงเวลาที่เจ็บปวด เลวร้ายมาก็โดยอาศัยกำลังใจจากใครบางคนเท่านั้น ไม่ใช่ทุกคนที่จะให้ผมหมด ผมไม่อยากเป็นขี้ปากชาวบ้าน หรือใครต่อใครที่ชอบพูดในสิ่งที่ไม่รู้ว่าเป็นความจริงหรือไม่จริง แต่มันก็เอาไปพูดซะผมเสียหายหมด บางทีผมก็ไม่ค่อยพูดอะไร เพราะว่าผมรู้ตัวว่า ผมเป็นคนปากไม่ดีเวลาพูด เพราะผมพูดตรงเป็นขวานผ่าซากเกินไป เลยไม่ค่อยอยากพูด ได้แต่ฟัง เอาเถอะ ช่างันใครจะคิดอย่างไรก็ช่างเขา เดี๋ยวก็จากกันไปเอง ไม่ว่าด้วยการเกษียณ หรือย้ายสังกัด หรือตาย แล้วแต่ เพราะมันก็ต้องมีการเปลี่ยนแปลงอยู่แล้ว ช่างเถอะ ไม่มีใครอยู่ค้ำฟ้าหรอก
บางทีการได้กำลังใจจากคนทางบ้านก็ทำให้ผมดีขึ้น ทำให้ผมอดทนต่อสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยการแก่งแย่งแข่งขัน สังคมจอมปลอม ไร้มิตรภาพที่จริงใจ สังคมที่ต้องปั้นหน้าเข้าหากันด้วยจุดประสงค์หลักคือผลประโยชน์ จริงๆผมว่าหน้าที่ของทุกคน ตำรวจมันย่อมทำเป็นอยู่แล้ว ไอ้ที่ไม่ทำน่ะ ไม่ใช่เพราะทำไม่เป็น แต่ไม่อยากทำต่างหากหละ
สุดท้ายมันก็เรื่องเดิมๆ คือการสั่งงานบังคับบัญชา ผมว่าการมียศสูงกว่า ไม่ได้บ่งบอกถึงคำว่ามันสมองเลย จะเอาแต่สบายท่าเดียว คนเรามันก็แก่ตัวไปทุกวันๆ จะเอาอะไรกันมากมาย เดี๋ยวก็เกษียณกันไปแล้ว ยังจะมาถืออำนาจอะไรได้อีก มีลาภ เสื่อมลาภ มียศ เสื่อมยศ ยังยึดติดอยู่กับมันจะได้นานสักเท่าไร เอาเวลาไปคิดเรื่องอื่นดีกว่า ผมไม่ค่อยซีเรียสเท่าไร แต่รู้สึกว่าไม่ค่อยอยากจะไว้ใจใครเลยในที่ทำงานตอนนี้ ไม่อยากคุยกับใครมาก เพราะว่ามากคนก็มากความ ยิ่งพูดมากยิ่งเข้าตัว ไม่รู้ทำไม
ตอนนี้ เรื่องสตางค์ให้พอใช้เดือนชนเดือนผมก็จะแย่อยู่แล้ว ทำไมมันไม่เคยมีอะไรที่ลงตัวพอดีบ้างเลยหรือไงนะ ปวดหัวกับการใช้เงินจริงๆ รายได้เฉลี่ยต่อเดือนที่ไม่ตามกับรายจ่ายเลย ผมคิดและฝันนะว่าจะเปลี่ยนรถใหม่ หากว่าดูแล้วเงินเดือนเหลือพอใช้ แต่ตอนนี้มันเหมือนกับว่ารายจ่ายมันประดังเข้ามาจนแทบจะลืมหูลืมตาไม่ขึ้นแล้ว เจ็บปวดที่สุด เดือนนี้ค่าซ่อมรถยนต์อย่างเดียวก็ปวดหัวแล้ว หาเงินก็ยากขึ้น รายได้ประจำเดือนก็ลดลงไปเรื่อยๆ จะหาเพิ่มเติมก็ไม่รู้จะหาที่ใหน อย่างไร เรียนรู้กับตัวเองได้มากขึ้น เหมือนปิดตัวเองให้อยู่ในขอบขีดอันจำกัดด้วยปัจจัยหลายประการ เออ ดีเหมือนกัน ผมจะคอยเฝ้าดูการเจริญเติบโตของลูกอยู่ห่างๆ คงได้แค่นั้น เพราะผมคงไม่มีอะไรดีกว่านี้แล้ว ชีวิตก็แก่ตัวไปเรื่อยๆ หวังอะไรกันมากกับสิ่งที่ปรุงแต่งด้วยสังคม ด้วยวัตถุนอกกาย จิตใจเรายังไม่นิ่งพอ ความอยาก มักทำให้เราตกหลุมพราง ฟุ้งเฟ้อในความสะดวกสะบาย ความอดทนและอดกลั้นต่อสิ่งยั่วเย้า ผมเกิดมาไม่ได้สบายเหมือนหลายๆคน ผมรู้ว่าแม่ผมลำบาก สิ่งหนึ่งที่ผมภูมิใจก็คือ ผมจำได้ว่ามีคนมาคุยกับแม่ และพี่ๆผมบอกว่าเขามาขอแม่แต่งงาน แต่แม่ปฏิเสธไป ผมภูมิใจแม่มาก เหตุการณ์นี้อาจจะเป็นอะไรที่คล้ายๆฝังอยู่ในจิตใจผมตลอด แต่สังคมทุกวันนี้มันไม่ได้ถูกปิดกั้น โลกเปิดกว้างขึ้น ทำให้ผู้หญิงเปลี่ยนไปจากสังคมเดิม
ผมดีใจที่เห็นลูกโตขึ้น
(แต่ว่าผมว่าตอนลูกตัวเล็กๆ น่ารักกว่าเยอะ) นี่แหละชีวิตที่ต้องเจริญเติบโตตลอดเวลา ผมก็จะแก่ตัวไปเรื่อยๆ ลูกบอกว่าคุณพ่อมีผมหงอกด้วย แล้วเราก็หัวเราะกัน ลูกเอาหัวเขามาชนหัวผม ผมบอกลูกว่าก็คุณพ่อแก่แล้วลูก สังขารเป็นสิ่งไม่เที่ยง ต้องทำใจ ผมไม่มีอะไรที่ต้องค้นหาเพิ่มเหมือนเมื่อก่อนสักเท่าไรแล้ว ใช่ พอเราโตขึ้น มุมมองโลกที่กว้างขึ้น การค้นหาในชีวิตก็จะน้อยลงเป็นเรื่องธรรมชาติ
“อยู่คนเดียว ระวังความคิด อยู่กับมิตร ระวังวาจา” เกลียดใคร ไม่จำเป็นต้องแสดงออกให้รู้มากมายเพราะยิ่งรู้ ยิ่งก่อปัญหา รู้เองภายในใจก็พอ ส่วนเวลาอยู่คนเดียวก็อย่าฟุ้งซ่าน มันไม่เกิดผลดีต่อชีวิตหรอก ผมว่าจะหยุดเรื่องต่างๆหลายๆเรื่อง หาความรู้ใส่ตัวบ้างดีกว่า นานพอสมควรแล้วกับการเดินทางในสายตำรวจท่องเที่ยว บางทีการย้ายหรือหาที่ทำงานใหม่อาจจะดีขึ้นบ้างก็ได้ ผมเบื่อการบริหารงานบุคคลที่ไม่เป็นธรรม ยุคนี้ใครสบายก็จะสบายตลอด การที่ผู้นำเชื่อคนแค่บางคน ไม่ได้ดูแลเอาใจใส่ผู้ใต้บังคับบัญชาอย่างทั่วถึง ผู้นำที่ปกป้องผลประโยชน์เพื่อคนเฉพาะกลุ่ม โดยที่ส่วนใหญ่ไม่ได้รับผลประโยชน์อย่างทั่วถึง
ชีวิตคือการเดินทาง เรากลับอยากอยู่นิ่งๆ แต่เมื่อเราอยู่นิ่งเป็นเวลานานๆ เราก็อยากออกเดินทาง การหยุดนิ่งเพื่อมองดูสถานการณ์รอบด้าน ความคิดที่ค้านกันในสมอง สิ้นเดือนก็เหมือนสิ้นใจ บางที่ผมก็ว่าจริงสำหรับข้าราชการบางคนที่ไม่ได้มีผลประโยชน์ หรือเงินนอกระบบที่เก็บเกี่ยวกันเป็นรายเดือน รางวัลสำหรับการไม่เรียกรับสินบนจากการกระทำความผิดก็คือ ความยากจน นั่นแหละคือสัจธรรม คือความจริงที่ปรากฏต่อความคิดผม เวลาคนเราจน ความเห็นแก่ตัวก็จะบังเกิดขึ้นอย่างไม่รู้ตัว ความไม่รู้หรืออวิชชา มันไม่ได้เห็นกันตอนที่คนเรามีความสุขกับการใช้จ่ายอย่างเหลือเฟือ ทำเป็นไม่เห็นบ้างก็ได้ รู้มากก็ยิ่งเจ็บปวดมาก กัดฟันสู้ทนต่อไปกับความยากจนที่ต้องเกิดมาเป็นข้าราชการ ข้าราชการคือผู้ที่เป็นข้ารับใช้ในส่วนของรัฐ มีหน้าที่จัดการงานต่างๆของรัฐให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย เกิดเป็นข้าราชการแล้วก็ต้องปฏิบัติตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชา อย่าคิดว่า ถ้าขาดเราไปแล้ว งานของที่ทำงานจะเดินไปไม่ได้ เราไม่ได้เป็นคนสำคัญขนาดนั้น แม้กระทั่งหัวหน้าหน่วยเองก็ตาม แม้ขาดไปก็ยังมีคนมาแทนได้เลย เพราะฉะนั้นเราเป็นเพียงกลจักรเฟืองเล็กๆ ที่ไม่ได้สลักสำคัญอะไร อย่าสำคัญตัวเองว่ามีความสามารถถึงขนาดนั้น ทำดีได้ แต่อย่าให้เด่น ทุกวันนี้คนเราต้องทำงานกันเป็นทีม มันไม่ได้สอนมาหรอก จากโรงเรียนน่ะแต่เราก็ควรรู้ไว้เท่านั้นเอง มิน่าหล่ะ เวลาที่นักเรียนจบมาใหม่ๆมักจะมีอุดมการณ์ที่จะมุ่งมั่นแก้ไขข้อบกพร่องของสังคม แต่พอเวลาผ่านไปสัก 10 ปีหรือกว่านั้น อุดมการณ์ต่างๆจะค่อยๆหายไปจากการกลืนเข้าไปในสังคม การรับเอาวัฒนธรรมตามบุคคลที่ได้ผ่านชีวิตการทำงานด้วยความหิวกระหายต่อความเป็นคน วัฒนธรรมการดำรงตนให้อยู่รอด สัตว์สังคมที่หิวกระหายความสบาย และเรื่องที่ต้องการไม่ว่าจะเป็นเรื่องพื้นฐานของชีวิต คือสัตว์มนุษย์ ที่ภาวะภายในใจถูกครอบงำด้วยวัฒนธรรมที่ถูกเรียกว่าเป็นการยกระดับจิตใจให้สูงขึ้น มันไม่ได้เป็นตัวชี้วัดว่าเราจะฝ่าฝืนกฏเกณฑ์ของธรรมชาติได้ พิมพ์ไป เขียนไป มันก็เหมือนกับจะทำให้เดือดขึ้น เอาเรื่องสบายใจดีกว่า ความคิดคนเรามันก็เหมือนกับมีอยู่หลายมุมมอง แล้วแต่ว่าเราจะมองมุมใหน เราต้องการมองมุมใหนเท่านั้นเอง เมื่อสมัยก่อน คนที่เป็นผู้บังคับบัญชามักจะเข้าใจลูกน้อง การทำงานก็เลยประสพความสำเร็จ เมื่อก่อนผมว่าเมื่อเราเห็นผู้บังคับบัญชาทำงาน เราก็ต้องทำงานด้วย มีอะไรก็แบ่งปันกัน ปกป้องกัน แต่ทุกวันนี้ผลประโยชน์มันเยอะ ความเห็นแก่ตัว ปิดบังผลประโยชน์แก่ตนให้ได้มากที่สุด โดยลืมคำนึงถึงความสามัคคีในหมู่คณะ จะเอาไปทำไมไอ้ยศต่างๆประเภทที่โตแต่หัว ประเทศที่มีนายพลเยอะมากที่สุดในโลกคือที่ประเทศไทยนี้แหละ ส่วนระดับผู้ปฏิบัติการกลับไม่มีการเพิ่มกำลังพล แล้วอย่างนี้ ประชาชนจะได้ประโยชน์ต่อการเปลี่ยนแปลง หรือผ่าตัดกรมตำรวจได้อย่างไร อยากเป็นนายพลกันหมด ส่วนระดับล่างหรือผู้ปฏิบัติการเป้นอย่างไรกูไม่สนใจ เฮ้อ ประเทศไทย ผมผ่านการเป็นตำรวจมาก็นานแล้ว อย่างน้อยก็สิบกว่าปีแล้ว ตั้งแต่ยังเป็นกรมตำรวจ จนกระทั่งเปลี่ยนมาเป็นสำนักงานตำรวจแห่งชาติ มันก็ไม่เห็นผลการเปลี่ยนแปลงอะไรที่ดีขึ้นสำหรับประชนชนเลย นี่แหละต้องทำใจ ไม่มีรัฐตำรวจอีกแล้ว นักเรียนพลตำรวจจบมาเป็นพลตำรวจแบบไม่มียศ คือเป็นตำแหน่งลูกแถวก็ไม่มีให้เห็นแล้ว ทุกวันนี้จบมาก็ติดยศสิบตำรวจตรีเลย มันมั่วจริงๆ เพิ่มกันเข้าไป สมัยก่อนกว่าจะติดยศได้ต้องผ่านความอดทนอย่างมากมาย ผ่านการทำงานที่ต้องอดทน สารพัดปัญหา ซึ่งไม่ใช่อย่างทุกวันนี้ เป็นตำรวจ 3 ปีก็ติดสิบตำรวจโท ผมยังใช้เวลา 6 ปีถึงจะได้ติดยศสิบตำรวจตรี มีใบประกาศจากท่าน พลตำรวจเอกประทิน สันติประภพ อดีตอธิบดีกรมตำรวจสมัยนั้น ผมภูมิใจมาก แม้ว่าผมจะไม่ได้เป็นหรือจบจากสถาบันนักเรียนนายร้อยตำรวจ แต่โรงเรียนตำรวจภูธร 2 ชลบุรี ก็สอนผมหลายอย่าง ทำให้แม่ผมภูมิใจ อย่างน้อยผมก็ไม่ใช่ไอ้ขี้เหล้า เมายา เที่ยวเตร่ เฮฮา ไร้สาระ จนไม่มีอนาคต หรือเอาสาระอะไรไม่ได้เลย แต่ว่าผมก็ทำได้เท่านี้ ก็อยากทำให้ดีกว่านี้ครับแม่ จะพยายามอดทน และทำต่อไปให้ได้ดีที่สุด อย่างน้อยก็เพื่อทุกๆคนที่อยากเห็นชีวิตที่ดีซึ่งผมควรจะทำได้ ภายใต้สภาวะอย่างนี้ เราคือสิ่งมีชีวิตเล็กๆบนโลกนี้ เมื่อครั้งตอนที่เราเป็นเด็ก เรามักมองว่าโลกนี้กว้างใหญ่สำหรับเรา เพราะเรายังพบกับโลกภายนอกน้อย สังคมเราจึงเป็นสังคมเล็กๆที่มีเพียง พ่อ แม่ ญาติ พี่น้อง วันหนึ่งเมื่อเราเติบโตขึ้น เราเริ่มมีเพื่อน มีสังคม ทุกอย่างล้วนทำให้เราต้องปรับตัวมากขึ้น การเข้าสังคม ตลอดจนสิ่งที่ต้องเผชิญกับสิ่งที่ทั้งเลวและดี ไม่มีใครบอกได้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น อยู่ที่ความพอใจของการมอง มุมมองของแต่ละคนย่อมไม่เหมือนกัน ความรัก การเอาใจใส่และการรับรู้จากประสพการณ์การมองของทุกคนย่อมแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับว่าเราจะเก็บเกี่ยวความทรงจำจากประสพการณ์นั้นได้มากน้อยแค่ใหน
พอทีกับการใช้งานลักษณะเสร็จนา ฆ่าโคถึก เสร็จศึกฆ่าขุนพล ผมไม่ได้หมายความว่าตัวเองเป็นขุนพล แต่พอทำงานแล้วเราก็เข้าใจ ผมก็คือเฟืองจักรเลวๆอันหนึ่งที่เขาคัดทิ้งเพราะหมดประโยชน์
ยังต้องค้นคว้าหาความรู้อีกเยอะ ทุกสิ่งในโลกเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา หากเราเดินตามมันไม่ทัน เราจะตกยุคทันที ทุกวันนี้มันก็วิวัฒนาการไปสูงแล้วสำหรับเทคโนโลยีที่เคลื่อนตัวอย่างไม่หยุดหย่อน ไม่ถึงชั่วอายุคนยังมีความเปลี่ยนแปลงขนาดนี้ แล้วลองคิดดูสิ อีก 30 ปีข้างหน้าจะไปอีกไกลขนาดใหน การถ่ายทอดเทคโนโลยีจากคนรุ่นหนึ่งสู่อีกรุ่นหนึ่งซึ่งเรียกว่าคนยุคเนกซ์เจนเนอร์เรชั่นไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดอีกต่อไป
พูดถึงตอนเป็นเด็ก ทั้งโดนหลอกล่อเท่าไรก็ไม่กิน ผมว่าผักมันไม่อร่อยเลย แต่พอโตมาไม่มีใครบังคับ แต่ก็อยากกินผักให้มากขึ้น เพราะการเรียนรู้มั้ง ผมเพิ่งมารู้ตอนโตว่าผักมีประโยชน์ คงไม่ใช่แต่เฉพาะผมเดียวหรอก ผมว่าหลายๆคนตอนที่เป็นเด็กก็คงไม่ต่างจากผมเท่าไรนัก เด็กคนใหนชอบกินผักบ้าง ขนาดลูกสาวผมเห็นผักชี ยังเขี่ยทิ้งเลย เหมือนกันทุกยุคทุกสมัยสำหรับเด็ก จะชุบแป้งหรือซ่อนเอาไว้ในไข่เจียวกรืออะไรก็แล้วแต่ แค่เคี้ยวคำแรกก็รู้สึกแล้วว่ารสชาติมันเปลี่ยนไป ทุกวันนี้ไม่ต้องบอกเลย เห็นเมื่อไรก็พยายามกิน มันอาจจะสายไปบ้าง แต่ก็คงไม่มากหรอก ถ้าเราเริ่มที่จะลดอาหารประเภทที่สะสมไขมันเอาไปไว้ในร่างกาย และเอาผักเข้าไปถ่ายแทนกับบ้าง ทุกวันนี้ก็ไม่ได้กินแล้ว ปลาหมึก อาหารทะเลที่อันตรายตลอดจนพวกหอยต่างๆอีก ก็ลดไปอย่าางทันตาเห็นเลย อีกอย่าง ผมรู้สึกว่าตัวเองเริ่มเป็นผู้ใหญ่มากขึ้นจะไปขอเงินชาวบ้านเหมือนเมื่อก่อนมากก็ดูไม่ดี ทำให้ไม่กล้าขอใครอีก ผมพยายามจะให้ชีวิตดีขึ้นแต่ไม่รู้ว่าเมื่อไรจะสมบูรณ์เหมือนอย่างที่ใจคิด บางงทีมันก็ท้อแท้กับการทำงาน เพราะรู้สึกว่าโดนบีบอย่างรุนแรง แม้ว่าคำพูดจะบอกว่า “จงทำหน้าที่ตนเองให้ดีที่สุด” แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าผมจะสนุกกับงานเลยสักนิด มันเหมือนหน้าที่จุกจิกอย่างไรบอกไม่ถูก “โลกนี้ไม่มีที่ว่างสำหรับคนอ่อนแอ” นั่นแหละ หวานเคยบอกผม ซึ่งมันก็เป็นเรื่องจริง ไม่ว่ายุคใหนต่อยุคใหนก็เหมือนกัน เอาใจสิ คนมันชอบกันอย่างนี้ พวกเชลีย เลียกันเข้าไป ถ้าอยากได้ดีในอาชีพนี้ ไม่ต้องสนใจหรอกว่าประชาชนมันจะได้อะไร ในเมื่อการสั่งการของคนเรามันชอบการเลีย ทำงานมากไปก็ไม่ใช่ว่าจะถูกตาเสมอ พอแล้วสำหรับความรู้สึกเลวๆ อย่าได้เอาติดตัวไปเลย ผมว่าแล้วทำไมตำรวจบางคนถึงรู้สึกอยากออกจากราชการก่อนเวลา ก็เพราะระบบการปกครองที่ไม่เป็นธรรมนี่เองที่เป็นตัวปัญหา ก่อความวุ่นวายขึ้นในสังคม
คนอ่อนแอ ปวดร้าวกับความคิดที่สวนทางกับความเป็นจริง ด่านชีวิต อุปสรรคที่โหดร้าย ทับทมประดังเข้ามา เบื้องหน้าคือจุดหมายปลายทางที่ต้องฝ่าฟันไป แต่เหมือนกำลังวิ่งหนีเงา เราก็รู้ว่าเงานั้นมันต้องเดินตามเราไปอยู่เสมอ ตราบใดที่เรายังมีลมหายใจ ร่างกายและชีวิต ปกปิดทำไม ให้สังคมยอมรับในความคิดไม่ใช่เรื่องง่ายนักหรอก ใช้ความรู้ ความสามารถฉุดตัวเองขึ้นจากหลุมน้ำอันแสนโสมม ของสังคมนี้ให้ได้ก่อน ก่อนที่จะสั่งสอนคนข้างหลัง มันเป็นลิขิตของสวรรค์
นั่นแหละ บทบางตอนของชีวิตที่ผ่าานวัยล่วงก้าวเข้ามาสู่วัยที่จะปลดภาระของการค้นหาความหมายในชีวิต ปริญญาคือใบเบิกทางให้กว้างขึ้น สำหรับพื้นฐานการดำเนินต่อไปและความคงอยู่ของชีวิต
“ยามจน ทนเก็บก้นยากรอง
ยามมี คาบเหล็กทอง ก็ย่อมได้
รวยมาหน่อย ก้นกรองเมนทอล
ยามปากจน ก็ย้อน สิ้นไร้กล้ายล(ก้นยา)”
นี่แหละวิถีชีวิต ยามรวย และยามจน ยามมีจะทำอะไรก็ดูดีไปหมด แต่ยามหมด อดแบบหมาหิวโซ เอาอะไรมากมายกับชีวิต มันก็เป็นแบบนี้แหละ ขึ้นๆลงๆ เป็นเรื่องของธรรมชาติ น้ำยังมีขึ้นลง นับประสาอะไรกับชีวิต ผมเองก็ไม่คิดว่าสิ่งที่ผมเขียนหรือพิมพ์ลงไปจะน่าอ่านเอาใจความสาระอะไรมากมาย มันเป็นเพียงความรู้สึกส่วนตัวผม ณ ช่วงเวลาหนึ่งเท่านั้นเอง
นี่แหละเป็นสาเหตุหนึ่ง ลูกผมบอกผมว่า ใครไม่เรียนต้องไปเป็นควายอยู่ในท้องนา อยู่กับคนท้ายบ้าน นึกถึงเมื่อไร ได้แต่นั่งอมยิ้ม เพราะว่า ไม่รู้ว่าใครเป็นคนสอน
บางทีการหยุดดูอะไรบ้างมันก็ดี เผื่อเราจะได้แก้ไขข้อบกพร่องได้บ้าง สิ่งที่ผ่านมาคือบทเรียนอันล้ำค่า ประสพการณ์ที่ไม่อาจลืมได้ ผมจะรู้อะไร ถ้าความรู้ที่ผมมีอยู่มันเทียบกับสิ่งที่เรายังไม่รู้อีกมายมายที่ซ่อนเอาไว้ในสังคมของโลกใบนี้ วันเวลาแต่ละวันที่ผ่านไป ไม่มีย้อยกลับมา เราไม่สามารถกรอกลับได้เหมือนตลับเทป หรือหยุดเวลาได้เหมือนกดปุ่มเครื่องเล่นซีดี หรือดีวีดี หรืออยากจะเลือกเล่นช่วงใหน นั่นหมายความว่าชีวิตที่ผ่านมา และผ่านไปล้วนมีคุณค่าเป็นอย่างยิ่ง ช่วงที่ประทับใจก็ควรเก้ยมันไว้ เอาไว้นึกถึงความสุขในช่วงที่ได้รับผ่านเข้ามาในชีวิต ลืมช่วงชีวิตที่เลวๆมันซะ เก็บเอามาคิดก็ไม่มีประโยชน์หรอก เพราะว่าการหยุดเพื่อคิดนั้น เวลาไม่ได้หยุดไปกับเราด้วย วันทุกวัน และเวลาทุกนาทีจะผ่านไปอย่างที่เราไม่ทันตั้งตัว
ไม่มีใครรู้อนาคตล่วงหน้าได้หรอก วันที่ผ่านมา เป็นวันที่ไม่อาจย้อนกลับได้เช่นกัน วันนี้ก็จงใช้ชีวิตให้คุ้มและมีความสุขที่สุดก็พอแล้ว ทรัพย์สินที่มีอยู่ก็ไม่จำเป็นต้องสะสมไว้เกินความจำเป็น เพียงพอที่จะเป็นการหยิบมาใช้ยามฉุกเฉินก็พอแล้วเช่นกัน สวรรค์ไม่ต้องไปรอเอาชาติหน้าหรอก เพียงความสนุกสนานวันนี้ วันที่ร่างกายยังสามารถที่จะทำกิจกรรมต่างๆได้ก็ดีแล้ว เมื่อแก่ตัวไป เราจะมีแรงหรือร่างกายจะรับสภาพไหวใหม หล่ะ ก็คงไม่ใช่ ตอนนี้ก็ใช่ว่าอายุผมจะน้อยเสียเมื่อไร เกือบ 40 ปีอยู่เร็วๆนี้แล้ว ไม่นานหรอก วันที่ผ่านไป การเดินทางที่ดูจะสั้นขึ้นทุกที เวลาที่เราจะใช้ก็ลดลงไปทุกที ปลายทางจุดหมายที่ไม่อาจเดินทางไปถึงจุดมุ่งหมายที่ต้องการ ได้เพียงเท่านี้ก็นับว่าบุญโขแล้ว ลูกโทรมา(เอ่อ...ผมว่าคุณตาเขาโทรมามากกว่า) คุยกันได้หน่อยเดียว ลูกบอกผมว่า เมื่อวานนี้อยู่ที่โรงเรียนเขาบอกว่าวันนี้เป็นวันพ่อแห่งชาติ ผมก็เลยถามลูกว่า แล้ววันพ่อเนี่ย น้องปอคิดถึงพ่อใหม ลูกบอก “หนูคิดถึงคุณพ่อ แต่เดี๋ยวจะไปอยุธยา เดี๋ยวคุณพ่อคุยกับคุณตานะ” ผมเลยคิดว่าต้องเป็นคุณตาเขาโทรมาเอง
มีคนบอกผมว่า คนที่ลงไปปฏิบัติหน้าที่ที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้นั้น กลับมาน่าจะได้รับเกียรติให้เป็นวีรบุรุษ แต่ผมมองว่ามันเป็นหน้าที่ที่ต้องปฏิบัติตามคำสั่ง เมื่อบ้านเมืองไม่ปกติสุข เราก็ต้องทำ ทุกอย่างแม้กระทั่งใจ ก็มีเรื่องราวเกิดขึ้นอีกมากมายในช่วงที่ผมลงไปปฏิบัติหน้าที่ มันไม่ใช่เรื่องการเป็นวีรบุรุษอะไรหรอก อย่างว่านั่นแหละ ชีวิตมีขึ้นก็ต้องมีลง การปฏิบัติหน้าที่ในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้นั้น ทำให้ผมเข้มแข็งและอดทนขึ้นมาก ทำให้ผมรู้สึกว่าการทำงานในเขตพื้นที่ที่เป็นอยู่อบ่างปกติสุข มักจะมีเรื่องการอิจฉาริษยา การแข่งแย่งกันเอาดีใส่ตัว เอาชั่วใส่คนอื่นยังมีอีกเยอะ ไอ้พวกนี้ต้องส่งมันไปอยู่ในช่วงสถานการณ์แบบขับขัน มันจะได้รู้และเข้าใจ ความสามัคคีมักจะไม่ได้เกิดขึ้นในที่ทำงานที่สบายนี้หรอก เพราะในโลกนี้และสถานที่ที่ทำงานอย่างนี้ มันมีคนประเภทที่สมัยก่อนอาจเรียกว่าขันทีชั่ว ประสพการณ์การรบไม่มี มันรู้อยู่แต่การเอาลิ้นเลียประจบสอพลอ ทำอย่างไรจะสบายภายใต้การปกครองภายใน ถ้าอยู่สนามรบหละก็ ตายสถานเดียว แต่ก็อย่างว่า ผมเองก็เอาตัวไม่รอดในสถานการณ์ที่เป็นอย่างนี้ พวกงี่เง่า สังคมชั้นสูง ไม่เคยรับรู้ความลำบากของคนที่เคยไปปฏิบัติหน้าที่ยังเขตไม่มีความปลอดภัยอย่างภาคใต้
คนเราก็มีทุกรูปแบบ ความจำเป็นและการรับรู้จากสังคม บทเรียนที่แตกต่างกัน มนุษย์เลยแตกต่างกัน อุปนิสัยส่วนตัวอีกต่างหาก แนวความคิดและจารีตประเพณี ล้วนเป็นปัจจัยการก่อตัวทางพื้นฐานของชีวิตแต่ละชีวิต ไม่เห็นต้องเอามาคิดให้เรื่องมากกันไปเลย ชีวิตที่พอเพียง ในหลวงท่านก็รับสั่งอยู่เสมอ การมีบ้านหลังใหญ่ ไม่ได้มีประโยชน์เลยกับการใช้ชีวิตสำหรับคนสองคน ผมก็เคยได้ยินอยู่ เรื่องการใช้ และมีในสิ่งที่พอดี ไม่ต้องเยอะมากหรอก เพราะยิ่งมีมากก็ต้องดูแลมาก เป็นห่วงมาก ทุกวันนี้ ผมก็แทบจะพอดีอยู่แล้ว ไม่มีอะไรจะต้องไขว่คว้ามามีอีกมากมาย ปลดหนี้ให้กับตัวเองก่อนจะดีที่สุด อย่าทิ่งภาระไว้เบื้องหลัง ให้คนข้างหลังต้องลำบากกับเราอีก เมื่อเราต้องจากไปอย่างไม่มีวันกลับ ชีวิตทุกวันนี้ มีอะไรดีๆ ก็มอบให้แก่กัน อย่าไปหวงมากเลย มันไม่มีประโยชน์เวลาเราตายไป เวลาช่วงสั้นๆที่อยู่ด้วยกันไม่ถึงร้อยปีนี้ เอาเถอะ ควรจะเป็นผู้ให้มากกว่าที่จะเป็นผู้รับจะดีกว่านะ ชีวิตจะได้ปล่อยวางได้
ทุกวันนี้ใครก็พูดถึงแต่ “แนวทางพระราชดำริ เรื่องเศรษฐกิจพอเพียง” ของในหลวง ไม่ว่าจะเป็นองค์กรต่างๆของรัฐบาล หรือเอกชน หน่วยงานทั้งเล็กและใหญ่พูดถึงกันอยู่เสมอ แต่ผมว่าทำไมจะต้องตีความหมายของท่านไปกันมากมาย ผมคิดว่า แนวความคิดของท่าน ท่านก็ทรงกล่าวอย่างตรงๆอยู่แล้ว เป็นเพราะว่า ในหลวงท่านทรงเป็นห่วงคนไทย ที่เป็นคนจนส่วนใหญ่ของประเทศ และคนรวยหลายๆคนที่ได้แต่พูด แต่ไม่ได้เดินตามแนวทางของท่านอย่างแท้จริง มีแต่การพูด แล้วก็ไม่ได้ทำเพราะคนมันรวยมักจะไม่คิดถึงคนจนจริงๆสักเท่าไรหรอก ชาวนา คือกระดูกสันหลังของชาติ การดำเนินชีวิตที่ถูกลืมจากสังคมไทย สังคมที่ถูกมอมเมาจากบุคคลที่มีอำนาจทางการเงิน เอาเงินรัฐบาลมาถลุง ทำลายความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจ เอาเทคโนโลยี และความสบายมาหลอกล่อคนจนในกระตุ้นต่อมความอยากได้ เพื่อที่จะได้ทันสมัย และเอาเงินออกมาให้กู้ในนามของรัฐบาล ภายใต้แนวความคิดของคนรวยบางกลุ่ม หรือกลุ่มนายทุนบางกลุ่มที่หวังผลประโยชน์ระยะยาว ไม่ใช่ว่าผมจะหัวเอียงซ้าย หรือไม่ชอบระบบการปกครองแบบทุนนิยมหรอก แต่ผมคิดถึงความเป็นจริง ไม่ได้อยู่ในอุดมคติ ที่ถูกสั่งสอนมาจากคนที่ร่ำรวย บางทีเราอาจลืมไปว่าการเดินทางในช่วงชีวิตหนึ่งๆ จุดหมายไม่ใช่การสะสมสมบัติพัสถาร แต่จุดหมายปลายทางที่แท้จริงของชีวิตคือ การได้หลุดพ้นจากวัฒจักรตามรอยพระพุทธเจ้า ผู้ค้นพบหลักความจริงผ่านมาถึงสองพันห้าร้อยกว่าปีมาแล้ว การหลุดพ้นจากสิ่งทั้งปวง สันติสุขที่ปรากฏและถูกจารึกมายาวนาน เป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ของโลกใบนี้
วันที่ท้อแท้ ไร้ซึ่งจุดหมาย ความเข้มแข็งทางจิตใจเท่านั้นที่จะเยียวยารักษาจิตใจ การรักษาจากภายใน รักษาร่างกายโดยจิตใจ ถ้าจิตใจเข็มแข็ง ร่างกายก็จะไม่อ่อนแอ จิตที่อ่อนแอย่อมทำให้สภาวะธาตุต่างๆในร่างกายเกิดความไม่สมดุลย์ ร่างกายคนเราก็ประกอบด้วยธาตุต่างๆที่เราอาจไม่รู้สึกอยู่ ไม่ว่าจะเป็นดิน น้ำ ลม ไฟ บางทีอาจเป็นสัญลักษณ์แสดงอะไรได้มากกว่าที่เราคิด แต่ก็อย่าหลงประเด็นไปในทางที่ผิด ความคิดที่ลุ่มหลงยึดติด เป็นทางนำไปสู่ความหายนะแห่งชีวิตได้ ไม่รู้ว่าจะทำไปเพื่ออะไร การยึดติด ยึดมั่น ถือมั่นว่าเป็นตัวกู ของกู อย่างที่ท่านพุทธทาสกล่าวเอาไว้
ผมอ่านข้อเขียนของ พิง ลำพระเพลิง ซึ่งเขียนถึง “แม่” ไว้น่าสนใจมาก กล่าวถึงเรื่องเวลาว่า เราสมมุติขึ้นมาทั้งสิ้น ช่วงชีวิตของแต่ละคน จะมีสักกี่ครั้งที่ได้เดินทางย้อนกลับไปดูอดีต การย้อนกลับไปนึกถึงเวลาช่วงที่ “แม่” ดูแลเรามารวมทั้งการได้กลับย้อนสู่ความรู้สึกที่รักและห่วงใย ใช่แล้ว เวลาของเราทุกคนเหลือน้อยอยู่เต็มที มีลูกเมื่อไร เราจะรู้ซึ้งถึงคำว่า “แม่” ความเป็นห่วง ลองนึกดูว่าหากเราได้เฝ้ามองดูลูกของเรา เมื่อครั้งที่ลูกยังตัวเล็กๆ จนกระทั่งเติบโต เดินทางจากอ้อมอกที่คิดว่าปลอดภัยที่สุดในยามที่เกิดมา ห่างเราออกไปเข้าสู่สังคมที่เป็นเหมือนกับที่เรากำลังเดินทางกันอยู่ ณ วันนี้ สรรพสิ่งที่อยู่รอบด้านจะปลอดภัยเหมือนกับอยู่ในอ้อมแขนของแม่หรือไม่ ลองคิดดูละกัน คนที่ห่วงเราที่สุดคือใคร ใช่แม่หรือไม่ ความรักที่ไม่ต้องการการตอบแทนด้วยสิ่งอื่นใด นี่คือความรักที่ยิ่งใหญ่ และแท้จริง ผมคิดว่าบางคนอ่านแล้วก็คงจะไม่ได้ซาบซึ้งอะไรสักเท่าไรหรอก เพราะผมเองก็เคยเป็นเหมือนกัน เคยอ่านงานเขียนที่ดีบางชิ้น แต่ความคิด ณ เวลานั้นมันไปไม่ถึงสิ่งที่คนเขียนพยายามสื่อสารให้เราเข้าใจ แต่เพียงงานเขียนบางชิ้น เรารู้สึกได้จากการที่อ่านเพียงผ่านตา แต่แล้วก็ต้องย้อนกลับมาอ่านมันใหม่ นั่นคืออะไร สิ่งที่สะกดความคิด และความรู้สึกในช่วงเวลาที่อ่านนั้นมันมีความหมายมากกว่าที่เราคิดเสียอีก ความคิดที่ผ่านอากาศทะลุไปหาแม่แล้ว แต่ผมไม่รู้หรอกว่า แม่จะรู้หรือปล่าว บางทีทำไมผมจะบอกว่ารักแม่ จะต้องรอเวลาไปถึงใหนกันหละ ในเมื่อเวลานี้ เรามีแม่ที่แสนดีรอคอยเรากลับไปหาท่านอยู่ การรอคอยของแม่นั้นยิ่งใหญ่นัก แม่บางคนรอกระทั่งจนวาระสุดท้ายของชีวิต รอเพื่อที่จะพบหน้าลูก ที่คือสายใยความผูกพันระหว่างคนสองคน คนหนึ่งเป็นผู้ให้ทั้งชีวิต อีกคนหนึ่งเป็นผู้รับและเป็นผู้ให้ตอบแทนบ้างก็ยังดี ตลอดชีวิตผมที่ผ่านมานี้ ไม่เคยเลยที่แม่จะบอกว่าขอ แม่มักจะบอกว่าให้ผมเอาตัวเองให้รอดเสียก่อน แม้บางครั้งเมื่อผมล้ม แม่ก็จะคอยเข้ามา เมื่อผมเจ็บป่วย แม่ก็เดินทางมาเยี่ยมจากจังหวัดนครปฐม พร้อมกับพี่สาวและน้องชาย การเดินทางที่ยาวนามย่อมมองเห็นคุณค่าและความตั้งใจ เราลืมกันแล้วหรือไรกันนี่ ผมพยายามเดินทางให้ดีที่สุดตามที่แม่มุ่งหวัง แต่ทุกคนนั่นแหละย่อมมีทางเดินที่ผิดพลาดบ้าง ผมเดินไปไม่ถึงดวงดาว ได้เท่านี้เอง
ชีวิตที่ไม่ได้เปลี่ยนแปลงโลกใบนี้ได้ ผมไม่ได้มีความพิเศษ ผมเป็นเพียงมนุษย์ ปุถุชนธรรมดาที่เกิดมา เดินทางแล้วผ่านไปโดยไม่ได้มีผลต่อมนุษยชาติอะไรเลย เป็นเพียงผงฝุ่นที่ยามเมื่อถูกลมพัดก็ปลิวหลุดหายไปจากความทรงจำของหลายๆคนบนโลกใบนี้ ชื่อเป็นเพียงนามที่ใช้เรียกตัวผมเท่านั้น ไม่ได้บ่งบอกว่าผมเป็นใคร หรือมีประโยชน์ต่อใครทั้งสิ้น เพียงสายลมที่พัดผ่านผิวกายไปเท่านั้น วิถีคิด วิถีชีวิต การเดินทาง ลมหายใจที่แผ่วเบา เมื่อเปรียบเทียบกับพายุฝนที่กระหน่ำลงมาอย่างแรง ไม่มีอะไรที่เราจะคงรูปไว้ได้ สังขารเป็นสิ่งไม่เที่ยง ละรูปกายเมื่อไร ชีวิตก็เหลือเพียงสิ่งที่มองไม่เห็นแม้กระทั่งสัมผัสทั้ง 5 คือ หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ทวารทั้ง 5 ช่องทางผ่านของธาตุทั้ง 4 ดิน น้ำ ลม ไฟ แตกกระจาย เรือนร่างที่ไร้ซึ่งความร้อนในตัวตน การแตกสลายของธาตุที่รวมกันอยู่ สิ่งโสมมที่อยู่ในเรือนร่างที่ถูกปรุงแต่งด้วยรูป รส กลิ่น เสียง วินาทีนั้นใครจะมองเห็นความสำคัญ เพราะชีวิตคือ จิตวิญญาณที่มั่นคง เตรียมตัวให้พร้อมกับความตาย รับรู้สิ่งที่จะต้องพบพานในชีวิต อดีตคือสิ่งที่ผ่านมาระหว่างการเดินทาง การละทิ้งจากความลุ่มหลงมัวเมาด้วยความรู้สึกสนุกสนาน หันหน้าเข้าสู่ร่มกาสาวพักรที่ร่มเย็น ซึ่งไม่ได้หมายถึงเฉพาะพุทธศาสนาแต่เพียงอย่างเดียว ผมหมายถึงทุกศาสนาก็สอนให้คนเรารู้จักการให้ เพื่ออะไรก็แล้วแต่ นั่นคือสิ่งที่ผู้ได้รับจะได้รู้จักการให้เช่นกัน การให้ในสิ่งที่พอเพียงแก่ความต้องการของชีวิตนั้นๆ ความอยากไม่ได้ทำให้เกิดผลดี มีมากก็เป็นห่วงมาก ไม่มีเลยก็แย่ นั่นแหละไม่มีควาสมดุลยืที่สุดของชีวิตที่จะได้มาโดยไม่ต้องค้นหาความหมายของชีวิต
ผมไม่ได้อยากให้เกิดอะไรขึ้นในทางที่ไม่ดี เพราะผมเลือกแล้ว ไม่อยากเลือกอะไรใหม่ ผมต้องดูแลตัวเองทุกอย่าง มันก็ไม่สนุกหรอก
เงินที่เก็บออมไว้เหลือน้อยเต็มที ใช้จ่ายอย่างประหยัดแล้วนะเนี่ย ช่างเถอะ ถึงมีเยอะ เราก็เอาไปไม่ได้อยู่ดีเวลาที่ตายจากโลกนี้ไป แล้วจะสะสมไปทำไม ไม่เป็นหนี้ดีที่สุด หรือจำเป็นต้องเป็นหนี้ ก็รีบใช้ซะ คนข้างหลังจะได้ไม่เดือดร้อน พรุ่งนี้จะดีกว่าวันนี้




 

Create Date : 29 เมษายน 2550    
Last Update : 29 เมษายน 2550 13:48:07 น.
Counter : 269 Pageviews.  


payom27
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add payom27's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.