Rome ดินแดนในฝัน

หายไปนานมากทีเดียว หน้าที่การงานยังคงเหมือนเดิมซึ่งเหน็ดเหนื่อยเหมือนเดิม แต่ปลายปีนี้คงมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่แน่นอน ^_^

 วันนี้เอารูปมาให้ชมกันค่ะ พอดีมีโอกาสได้ทำงานไปโรมและมีเวลาอยู่ที่นั่น 3 วัน ในสามวันนี้ไปฟลอเรนซ์ด้วยค่ะ แต่วันนี้ลงโรมให้ดูกันก่อนดีกว่า
ในโรมได้ไปเยี่ยมเยือนหลายที่ค่ะ เหนื่อยมากๆแต่เราต้องอัดให้ไปได้ครบทุกที่เพราะมีเวลาเท่านี้จริงๆ หาข้อมูลทุกอย่างจาก pantip ล้วนค่ะ ตามลายแทงกันไป
เลยได้เที่ยวและถ่ายรูปมาพอสมควร ดูรูปกันไปเล่นๆนะคะ  Smiley

เปิดรูปแรกก็อลังการงานสร้างจริงๆ ได้ไปเดินใกล้ๆรับรู้ได้ถึงความยิ่งใหญ่และความพยายามของคนสมัยนั้นจริงๆค่ะ ไม่มีโอากาสเข้าไปด้านในเพราะวันที่ไปเค้าสไตรค์กันพอดีค่ะ ปิดซะงั้น Smiley


ตามติดกันไปนะคะ ชมภาพไปเรื่อยๆ ใหญ่ไปหน่อยแต่อยากให้เห็นกันชัดๆ ^^
ฟ้าวันนั้นสวยจริงๆค่ะ

รูปนี้ถ่ายอีกวัน ตอนเช้าตรู่มีคู่รักเดินจูงมือกันไป น่ารักมากค่ะ

เดินมาอีกนิดจะเจอโรมัน ฟอรัมค่ะ

 

เปลี่ยนบรรยากาศมาดูฟ้าตอนเย็นกันบ้าง ภาพนี้ถนนด้านหน้า St Peter's Basilica ค่ะ

Vatican and St Peter's Square สวยงามมาก ยิ่งแสงตอนเช้ากระทบสีทองของโบสถ์ สวยมากค่ะ

Swiss Guard หน้าตาดีทุกคนจริงๆ

น้ำพุเทรวี่ช่วงตอนค่ำๆ คนเยอะมากจริงๆค่ะ แต่บรรยากาศดีมาก

Spanish Steps หรือบันไดสเปน นักท่องเที่ยวเยอะจริงนะคะ นี่มุมจากด้านล่างขึ้นไป

ทีนี้ลองมองจากมุมด้านบนบันไดลงมาบ้าง เอ่อออ มองไม่เห็นถนนเลย


วันนี้ลงรูปในโรมเท่านี้ก่อนนะคะ แล้วจะนำภาพเมืองฟลอเรนซ์และหอเอนปิซ่ามาให้ชมกันค่ะ
ราตรีสวัสดิ์ทุกท่านค่ะ Smiley

 

 

 




Create Date : 04 ตุลาคม 2555
Last Update : 11 ตุลาคม 2555 20:03:26 น.
Counter : 1061 Pageviews.

0 comment
ไปเดินเทียวเล่นที่ Wiesbaden กัน

ทำงานนี้มาสามปี นับครั้งที่ได้ไป Frankfurt น่าจะไม่เกินสิบสามครั้งนะ
ครั้งแรกได้ตรงกับวันเกิดพอดีเดือนมกรา ไฟล์ทที่สองที่ได้บินหลังจากเทรนเสร็จ
ถูกส่งไปทำงานเหงาๆ หนาวๆ เดินหง่าวชมเมืองคนเดียว
จำได้ว่าไปเดินย่านที่มีร้านขายของเยอะๆ แล้วไปซื้อช้อคโกแลตร้อนกินคนเดียวมองผู้คนเดินผ่านไปมา
คำเดียวคือ "เหงา" น้ำตาแทบร่วงเพราะคิดถึงบ้านด้วย Smiley คิดในใจทำไมวันเกิดต้องมานั่งเดียวดายอยู่คนเดียววะ

เอ่อออ ตั้งใจจะมาเล่าเกี่ยวกับเมืองที่เพิ่งค้นพบว่ามีเรื่องเล่าน่าสนใจ ไหงกลับกลายมาพล่ามอะไรอยู่ได้ตั้งย่อหน้านึงแน่ะ Smiley
ก็แค่อยากจะเกริ่นเท่านั้นเอง ว่าบินมาสามปีไม่เคยสนใจจะหาประวัติบ้านเมืองเค้าอ่านเลย
แต่พอคิดได้ว่าเผื่อโดนไม่ต่อสัญญา ครั้งนี้เลยเอาซะหน่อย
เพราะในหัวเมื่อเห็นตารางบินว่าได้แฟรงเฟริตเมื่อไหร่ จะคิดอย่างเดียวคือไปเดินย่านช้อปปิ้งและซื้อช้อคโกแลตกลับมาแจกคนที่บ้าน
(ถูกมากกก และอร่อยมากด้วย)
คราวนี้หาข้อมูลเที่ยวซะ พอหาอ่านได้เลยสนุก เดินเล่นถ่ายรูปมาซะหน่อยนึง
ถ้ามีเวลาและข้อมูกปึ้กกว่านี้จะเอาให้ปรุเลย คราวหน้านะแน่นอน


FRA 21-23 OCT 2010
แลนด์
แต่เช้าตรู่ที่แฟรงเฟริต พร้อมอุณหภูมิที่กัปตันประกาศ 0 องศาเซลเซียสค่ะ Smiley
ออกจากเครื่องมายืนตรงแอร์บริดจ์ มือก็แข็งละอ่ะ แจ๊กเก็ตยูนิฟอร์มเอาไม่อยู่อยู่แล้ว
รีบเดินออกจากเกทกันไปเอากระเป๋าที่สายพาน
ดั๊นนนน ต้องไปยืนรอรถบัสโรงแรมมารับอีกอยู่เกือบครึ่งชม. เพราะแลนด์เร็วไปหน่อย รถยังไม่มาซะงั้น
สั่นสิคะคุณ จะไหวเหรอ พอรถมารีบเดินอย่างเร็ว เอาเท้าไปอังอีตเตอร์บนรถเลย อุ่นสบายยย Smiley


ถึงโรงแรมหลับก่อนสักสามชม.ค่อยออกเดิน รอแดดออกสักนิดจะได้ไม่หนาวจนเกินไป
แพลนไว้ว่าจะเดินไปพาร์คก่อน ไม่ไกลจากโรงแรมนัก เป็นคนชอบพาร์คมากๆเพราะชอบนั่งชิลๆสบายใจดี
เดินไปเรื่อยๆ สบายๆ ถ่ายรูปไปพอหอมปากหอมคอ
แล้วเราก็ถึงสวนสาธารณะ Warmer Damme



สวยงามค่ะ มีนกเดินเต็มเลย ตอนแรกเห็นนึกว่าเป็นเป็ดชนิดนึง แต่หาข้อมูลใหม่เค้าว่าเป็นนก (ซึ่งตัวเท่าเป็ดเลย ฮ่าๆๆ)
ถนนในพาร์คจะเป็นดินๆหน่อย แล้วด้วยอากาศชื้นๆมันเลยแฉะนิดๆ มองเข้าไปไม่เห็นใครเดินเล่นเลย คงเป็นเพราะหนาว
มีแต่คนขี่จักรยานเป็นทางผ่านเข้าไป กล้าๆกลัวๆไม่อยากเดินละ เพราะสวนเหมือนป่ามาก
ยิ่งเห็นนกตัวเท่าเป็ด กลัวจะเดินแล้วมีสัตว์ป่ากระโดดโผล่ออกมามั้ยว้า Smiley หรือเป็นเพราะอ่านเพชรพระอุมามากไป กลัวเลย ฮ่าๆๆ


เดินไปเรื่อยในสวน ผ่านมุมนี้ สวยมาก ต้นอะไรไม่รู้ด้วยซ้ำแต่ใบสีเหลืองร่วงเต็มพื้นไปหมด ตัดกับต้นไม้สีเขียวด้านหลัง
มีฉากเป็นเด็กน้อยวิ่งเล่นอยู่ ชอบๆ
V
V



แล้วเราก็เดินตัดสวน ข้ามถนนตรงไปอย่างไร้จุดหมาย คืออยากเดินสำรวจไปเรื่อยๆมากกว่า
ผ่านเข้าย่านร้านค้าแต่โซนเมืองใหม่หน่อยละ
เจอร้านนาฬิกาคุ้กคูอ่ะ ใหญ่มากและทำออกมาได้น่ารักด้วย เป็นร้านขายของที่ระลึก ของส่วนใหญ่ทำจากไม้ค่ะ
เสียดายไม่ได้ซื้อนาฬิกาเก็บมาไว้สักอัน
แต่ก็ได้ของที่ระลึกสำหรับตัวเองมาอันนึงล่ะ ถูกใจ



เดินต่อไปเรื่อยๆ เริ่มเข้าเมืองเก่าละ
ก็มาเจอโบสถ์ใหญ่แห่งนึง คือโบสถ์ Marktplatz เป็นโบสถ์สมัยนิโอโกธิก ถ้าได้รู้ประวัติคงน่าสนุกกว่านี้
ส่วนรูปมุมขวาบนคือ Heidenmauer
เป็นกำแพงยุคโรมันโบราณ สร้างขึ้นเพื่อป้องกันการจู่โจมของ local Germanic tribes



เมือง Wiesbaden เป็นเมืองที่มีชื่อเสียงทางด้านสปา เรียกได้ว่าเป็นเมืองสปาเก่าแก่เลยก็ได้
เดินไปทางด้านเมืองเก่า เราจะเห็นคลับสปาหรือร้านเซาน่าอยู่หลายร้าน
ตอนแรกสงสัยว่าทำไมท่อน้ำทิ้งมีไอน้ำขึ้นมา สักพักก็นึกได้ อ๋อ เค้ามาโซนร้านสปาแล้ว


ซ้ายมือ คือ Kaiser-Friedrich-Therme เป็นสปาคอมเพล็กสมัยใหม่ 1910 ค่ะ





...........
......
...


หมดแล้วค่ะ ไปเดินเที่ยวคนเดียวก็สบายใจแบบนี้ล่ะ อยากจะหาประวัติอ่านให้มากกว่านี้
นี่ก็เลยเหมือนเอารูปมาให้ชมเล่นกันมากกว่า อาจจะหาสาระไม่ค่อยได้เท่าไหร่
เอาเป็นว่านั่งอ่านกันเพลินๆนะคะ


ส่วนอันนี้เป็นของที่ระลึกที่ได้จากแฟรงเฟริตคราวนี้ค่ะ









Free TextEditor



Create Date : 02 พฤศจิกายน 2553
Last Update : 2 พฤศจิกายน 2553 4:07:29 น.
Counter : 2716 Pageviews.

2 comment
มีเรื่องมาเล่า

 


กลับมาอัพเรื่องหน้าที่การงานบ้างดีกว่า
วุ่นวายกับเรื่องบ้านมาตลอดเลยค่ะ แต่ก็ถือว่ามีความสุขนะ Smiley


การทำงานสายอาชีพนี้ เราบอกตามตรงนะว่าไม่ได้สวยหรูเหมือนอย่างที่เห็นกัน
จริงอยู่ เราอาจจะได้ค่าตอบแทนสูง แต่มันก็แลกมากับความเหนื่อยล้า
บางครั้งหลังจากทำงานเสร็จแทบจะไม่อยากขยับตัวเลย
การบิน overnight flight สำหรับเราเป็นอะไรที่ทดสอบความอดทนเลยนะ
โดยเฉพาะ turnaround ไปอินเดียหรือปากีสถานทั้งหลาย
พวกโคชิน ทริวันดรัม มาดราส ลาฮอร์ การาจี ฯลฯ ไฟล์ทไทม์ยาวสักสามถึงสี่ชม.จากบาห์เรน
ส่วนตัวเราแล้ว เราเป็นคนตื่นเช้าสักแปดเก้าโมง บ่ายก็ไม่ได้นอนอยู่แล้วเพราะนอนกลางวันไม่ค่อยได้ค่ะ
รถบริษัทมารับสามทุ่มครึ่ง กว่าจะแลนด์ก็เช้าอีกวัน ตีไปเก้าโมงละกัน ก็ครบยี่สิบสี่ชม.ที่ตื่นนอน
จะว่าไปก็ชินค่ะ แต่พอจบไฟล์ทกลับถึงห้องก็หลับเป็นตาย ยิ่งถ้าทำไฟล์ทพวกนี้ติดกันสักสองไฟล์ท
อีกวันนี่ล้าไปเลยค่ะ

แต่ไอ้เรื่องตื่นนอนเกินยี่สิบสี่ชม.นี่ ถ้าได้ทำกทม.ไม่มีทางบ่นแน่นอนค่ะ
เคยอดนอนสูงสุดคือสามสิบกว่าชม. เพราะเราต้องใช้เวลาที่กทม.ให้คุ้มค่ะ
แม้จะเหนื่อยแค่ไหนก็สู้!! Smiley


มีเรื่องตืนเต้นมาเล่าค่ะ เมื่อวันที่สิบสามที่ผ่านมา ทำงานไฟล์ทกทม.ค่ะ
ไฟล์ทเต็มแน่นอน และผู้โดยสารเกือบทั้งหมดเป็นคนอิหร่านค่ะ
ถ้าคนที่ทำงานสายตะวันออกกลางจะทราบว่า คนแถบนี้และโดยเฉพาะชาตินี้ นิสัยเป็นเยี่ยงไร ห่ะๆ Smiley
เอาเป็นว่า วันที่สิบสามเป็นวันหยุดพิเศษ เรียกว่า ช่วง EID ค่ะ
เพราะเพิ่งหมดช่วงรามาดอนไปเมื่อวันที่สิบ ผู้โดยเลยเต็มเพราะไปเที่ยวพักผ่อนกัน


อิหร่านเป็นประเทศที่เคร่งมาก อย่างที่ทราบคือไม่มีเหล้าขาย ถึงมีก็หายากค่ะ
พอคุณๆขึ้นเครื่องมาได้เลยเต็มที่กันจริงๆ เสริฟกันมือเป็นระวิงเลย มีสิบมือได้ยิ่งดี
เอาล่ะ เรื่องตื่นเต้นที่ว่าคือ ช่วงระหว่างกำลังเตรียมของจะเสริฟ second service ใกล้จะแลนด์ละ
มีผู้โดยหญิงคนนึงเดินมาที่แกลลี่หลังบอกว่า เธอและลูกถูกรบกวนจากผู้ชายคนนั้น
มองออกไปกำลังได้ที่เลยค่ะ โวยวายและเสียงดัง เดินพูดลั่นเคบินหลังเลย (นั่งแถวรองจาก emergency exit seat)
พี่ซีเนียคนไทยที่เป็นหัวหน้าเคบินหลังก็เดินไปเตือนค่ะ ว่ารบกวนผู้โดยคนอื่น
ท่านผู้นี้ก็ไม่ฟังแต่อย่างใด ยังคงตะโกนโหวกเหวกเรื่อยๆ เริ่มเข้าเดินหาคนอื่นละ แรงขึ้นเรื่อยๆ
จริงๆเค้ามากับเพื่อนเค้าอีกสามคนนะคะ ก็ช่วยกันจับนั่นล่ะ ให้นั่งกับที่ ทั้งหมดตัวใหญ่มากก


เรียก CSM (Cabin Service Manager) มาช่วยแล้ว แต่วันนั้นลูกเรือเก้าคน มีผชคนเดียวค่ะ คือเชฟ
เค้าเองก็ยุ่งวุ่นวายกับการเตรียมเซอร์วิสอยู่ ก็ช่วยเดินลงมาเตือนผู้โดยแล้ว สงบไปพัก
เราก็ทำงานกันต่อไป พอจะเคลียถาด พี่แกเริ่มเดินอีกละ
หัวหน้าเลยตัดสินใจจับมัด แต่การจะมัดผู้โดยให้อยู่กับที่ได้ เราจำเป็นต้องขออนุญาตจากกัปตันก่อน
เพราะ restrained strap อยู่ในห้องนักบิน เลยต้องมัดค่ะเพื่อให้ผู้โดยสงบสติอารมณ์
เพื่อนเค้าสามคนเลยช่วยกดกับเบาะ ก็มีต่อสู้กันนิดหน่อย แล้วเชฟก็เป็นคนมัด
เนื่องจากไฟล์ทเต็มไม่มีเบาะว่าง เลยอุ้มไปนั่งจั๋มซีทด้านหลัง มัดมือ เท้าแล้วคาดเข็มขัดอีกที
คราวนี้พี่แกนิ่งละ เริ่มคร่ำครวญแทน ขอโทษ ชั้นผิดไปแล้ว ปล่อยเถอะนะ ฮ่าๆๆ
คือ ณ ตรงที่เค้าโวยวายเราบอกตามตรง กลัวนะ กลัวมันวิงเข้ามาต่อยหรือทำร้ายลูกเรือ
แต่พอโดนจับเท่านั้นล่ะ หงิดเลย อ้อนวอนทันใด อดหัวเราะไม่ได้จริงๆ คนเมานี่นะ
ตอนแรกคิดว่าเมายา เพราะลูกเรือทุกคนยืนยันว่าเสริฟเค้าไปแค่เหล้าแก้วเดียวเท่านั้น
ไปๆมาๆสืบแล้วเค้ากินเหล้าจากที่ซื้อมาเองในดิวตี้ฟรีแอบกินว่างั้น
กัปตันก็โทแจ้งที่กทม.ว่าขอตำรวจมาคุมตัว
พอแลนด์ ผู้โดยออกจากเครื่องหมดละ เหลือสี่คนนี้
ตำรวจเดินมา เอ่อออ พี่คะ เมาคนเดียว มากันเกือบสิบเลย
สุดท้ายแล้ว ผู้โดยสร่างเมาตอนแลนด์น่ะค่ะ เค้าไม่ได้ทำร้ายใคร หัวหน้าเลยไม่เอาเรื่อง
ไม่งั้นยาวไปต่อที่โรงพักอีก
พอท่านผู้นี้ออกจากเครื่องได้เท่านั้น ยิ้มร่าเลย ขอโทษลูกเรือทุกคนที่ทำให้เดือดร้อน

ตื่นเต้นเพราะเป็นครั้งแรกที่เราเจอว่ามัดผู้โดย
ก็นะ ได้ประสบการณ์เพิ่มอีกเรื่องนึง


จบละ Smiley








Free TextEditor



Create Date : 19 กันยายน 2553
Last Update : 19 กันยายน 2553 14:47:02 น.
Counter : 391 Pageviews.

7 comment
จุดเริ่มต้น...

 


จุดเริ่มต้นของการอยากทำอาชีพนี้ จริงๆเพราะเป็นคนชอบท่องเที่ยวและอยากเที่ยวเยอะๆ
..ถึงแม้ตอนนั้นจะไม่รู้ว่าพอได้มาทำอาชีพนี้แล้ว ที่เค้าว่าได้เที่ยวๆน่ะ มันต้องแลกกับการอดหลับอดนอนขนาดไหน
อย่างเช่นเราแลนด์เช้าลอนดอน ไม่ได้หลับมาทั้งคืนเพราะทำงาน แต่พอเข้าโรงแรมก็ต้องอาบน้ำแต่งตัวออกเลย
หรืออาจจะงีบสักสองชม. ถ้าไม่ไหวจริงๆ
..ถึงแม้ว่าตอนสมัคร เค้าจะบอกว่าข้อดีของอาชีพนี้คือการได้ท่องเที่ยวไปหลายประเทศและได้ไปในที่ๆหาโอกาสยากนักที่จะได้ไป
แต่!! เค้าก็ไม่ได้บอกอีกเช่นกันว่าบางประเทศ คุณอาจจะไม่ได้แม้แต่ย่างเท้าลงพื้นดินประเทศนั้นเลยก็ตาม Smiley


โอเค มาเข้าเรื่องกันดีกว่า ตั้งใจว่าจะเล่าถึงการเริ่มต้นและมีโอกาสได้มาสัมผัสอาชีพที่ผู้หญิงหลายคนใฝ่ฝันอยากทำกัน
ย้อนกลับไปเมื่อปี 2549 เพิ่งจะเรียนจบใหม่ๆ ได้ข่าวว่าเพื่อนในเอกคนหนึ่งได้งานแล้ว เป็นแอร์โฮสเตส โอเคก็ไม่ได้คิดไร
เพราะเธอสวยจริงแล้วเป็นหลีดชั้นปีของคณะอีกต่างหาก เหมาะสมค่ะ
เราก็เรื่อยๆ สมัครงานไปจนได้งานแรกก็ทำๆๆๆๆ ไปได้สี่เดือนก็ลาออก เพราะตระหนักแล้วว่างานเซลล์ไม่เหมาะกับเราจริงๆ
ระหว่างงานแรกก็ได้ข่าวอีกละว่าเพื่อนสนิทมากในกลุ่มได้เป็นแอร์ไปอีกหนึ่งคน มาไกลถึงตะวันออกกลางเลยทีเดียว ดีใจกับมันจริงๆ
เพราะมันก็เป็นคนชอบเที่ยวและเป็นคนรักอิสระมากๆ แล้วมันก็ลัดฟ้ามาทำงานก่อนหน้าเราหนึ่งปี


ไอ้เราก็ว่างงานหางานทำกันต่อไป ช่วงปีนั้นงานสายการบินบูมมากๆ ช่วงพีคของแต่ละสายมั้ง มารับสมัครกันแบบเยอะมากทีเดียว
เรามีเงื่อนไขสมัครได้ไม่กี่สาย เนื่องด้วยความสูงอันน้อยนิดนั่นเอง ที่เล็งไว้มีสายญี่ปุ่นกับสายฯตะวันออกกลางเท่านั้น
เดือนพฤษจิกายน 2548 ลองสมัครแอร์ครั้งแรกกับสายฯตะวันออกกลางแห่งหนึ่ง ก็หาข้อมูลเค้าไปนะ เผื่อโชคดีเข้ารอบมั่ง
วันนั้นไปแบบไม่หวังจริงๆ นัดกับเพื่อนคนหนึ่งไปด้วยกัน โพรเสสตั้งแต่เช้ายันเย็นหนึ่งวันเต็ม ผลคือ เข้ารอบไฟนอลค่ะ Smiley
ผู้เข้ารอบไฟนอลวันนั้นทั้งหมด 8 คน แต่สายฯรับไปเพียงหนึ่งคนเท่านั้น Smiley ห่ะๆ อดไป ก็ดีถือว่าได้ประสบการณ์ล่ะนะ


ว่างงานไปสามเดือนจนในที่สุดก็ได้งาน ทำฟร้อนในโรงแรมแห่งหนึ่ง สนุกมากกกกงานโรงแรม
เหมือนได้ผจญภัยไงไม่รู้ ยุ่ง วุ่นตลอดเวลาหรือเป็นเพราะโรงแรมเราย่านธุรกิจด้วยล่ะ
ได้ประสบการณ์การบริการ การแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ฯลฯ ทำงานนี้แบบสนุกสนานไปได้แปดเดือน
เอาละ สายฯเดิมที่เคยเข้าไฟนอลมาเปิดอีกครั้ง สมัครออนไลน์ไว้เลยได้ invitation letter เลย


(ในเวลาใกล้เคียงกัน เพื่อนสนิทกล่มเดียวกันอีกคนก็ได้เข้าร่วมเป็นหนึ่งในสายการบินญี่ปุ่นแบบที่มันฝันไว้เช่นกัน เหมาะอีกนั่นล่ะนะ
เพราะเรียนญี่ปุ่นมาเยอะซะขนาดนั้นและรักภาษาญี่ปุ่นมากด้วย)
ก็แลกกะกับรุ่นพี่อีกคนเลย ตอนนั้นกะดึก แลกกับเค้าไปหนึ่งวันเพื่อไปสมัครโดยเฉพาะ
เพื่อนสาวว่าที่แอร์ญี่ปุ่นคนนี้ก็ไปนั่งเป็นเพื่อนเราตั้งแต่เจ็ดโมงเช้ายันสองทุ่ม ซึ้งน้ำใจมาก
แล้วเราก็ทำสำเร็จ จากผู้สมัครวันนั้นร้อยกว่าคน เราเป็นหนึ่งในแปดที่ได้เซ็นสัญญา Smiley
ดีใจมั้ย อึ้งๆมากกว่า ว่าเราทำได้ด้วย เบลอๆไปนิดหน่อย กลับถึงบ้านแล้วเอาสัญญาที่เซ็นให้แม่ดู
ยังไม่อยากจะเชื่อเลยด้วยซ้ำ นั่งเปิดสัญญาอ่านอีกที นี่เราทำได้แล้วเหรอ!!!
..........
....
.
.
นั่นคือเหตุการณ์เมื่อเกือบสามปีที่แล้ว ฮะๆ


ถึง ณ ตอนนี้ แม้จะมีเหตุการณ์มากมายที่เกิดขึ้นที่นี่ทั้งดีและไม่ดี
แม้ปากจะบ่น จะด่าว่าบริษัทบางทีที่ไม่เป็นธรรมบ้าง
แต่เรายอมรับว่า เรา "รัก" บริษัทนี้
เค้าให้โอกาสเราได้ทำในสิ่งที่ไม่คาดคิดว่าจะได้ทำ ได้เที่ยว ได้มีเงินเก็บ
ได้ทดแทนบุญคุณพ่อแม่ และที่สำคัญกำลังจะทำให้เราได้มี "บ้าน" เป็นของตัวเอง


ขอบคุณจริงๆ











Free TextEditor



Create Date : 14 มิถุนายน 2553
Last Update : 14 มิถุนายน 2553 18:24:01 น.
Counter : 396 Pageviews.

5 comment
เนปาล..กับการเที่ยวคนเดียวครั้งแรก
25-27 Dec 2009 @ Kathmandhu, Nepal

ครั้งหนึ่งที่ได้มีโอกาสออกเที่ยวเมืองที่เราเคยฝันว่าอยากมา คราวนี้เราซื้อทัวร์จากเอเจนซี่ในโรงแรมไป บางคนอาจจบอกว่าแพงแต่สำหรับเรามันคุ้มนะ เราเลือกเที่ยวแค่ในเมือง เพราะไม่อยากให้เหนื่อยไป มีไกด์ส่วนตัวและคนขับ ประทับใจไกด์มาก ให้ความรู้เราเกี่ยวกับเนปาลเยอะเลย .....ถือว่าเป็นทริปที่ประทับใจ คิดถูกที่ออกไปเที่ยว




สถานที่แรก : Hanuman Dhoka (Old Royal Palace)




ด้านล่างมุมซ้ายบน ตรงนี้สมัยก่อนเรียก Hippi Temple เพราะจะมีพวกเร่ร่อนไม่มีที่อยู่มาอาศัยพักพิง
ไกด์เล่าว่าวันๆจะไม่ทำอะไร นอนแล้วก็ดูดกัญชากันทั้งวัน


ซ้ายล่าง :: ภายในวัดข้างในจะเป็นพระพิฆเณศวรที่หันหน้าไปสี่ทิศ เหนือ ใต้ ออก ตก
ผู้คนจะเข้าไปขอพรโดยการสั่นระฆังเพื่อเรียกท่านลงมาจากสวรรค์และให้พรแก่เรา



ซ้ายบนด้านล่าง :: รูปปั้นหนุมาน เค้าเชื่อว่าเป็นเจ้าแห่งความโชคดี
คนจะมาขอพรโดยการเอาหัวแตะไปที่ฐานของรูปปั้น
แล้วคนที่ยืนบนเก้าอี้ ไกด์บอกว่าเป็นเหมือน priest
จะเอาเศษดอกดาวเรืองวางไว้บนผมแล้วนำน้ำแป้งสีแดงแจะหน้าผากให้เพื่อแสดงถึงความโชคดี


V
V



สถานที่ที่ 2 และ 3 : Pashupatinath & Boudhnath


แม่น้ำที่เห็นคือสายน้ำที่ไหลมาจากเทือกเขาหิมาลัย ริมฝั่งคือที่เผาศพตามพิธีของคนโบราณ
ผู้ที่เข้าร่วมทำพิธีจะเป็นเพศชายเท่านั้น ถ้าเป็นพ่อแม่เสีย ทางพ่อจะให้ลูกชายคนโตทำ ส่วนแม่จะให้ลูกชายคนเล็ก
แต่ถ้าครอบครัวใดไม่มีลูกชายจะให้ทางด้านสัปเหร่อเป็นคนทำพิธีแทน

ทั้งวัดจะมีแท่นหินศิวลึงค์ทั้งหมด 365 อัน

ภาพกลางสองภาพคือที่บูนาธ stupaที่ใหญ่ที่สุดและเก่าแก่เป็นอันดับสองรองจาก Swayambhu


สถานที่ที่ 4 : Swayambhu

เป็นสตูปาที่เหมือนกับที่บูดนาธ แต่พอดีปิดปรับปรุงเลยไม่ได้ถ่ายมา

ด้านล่างเป็นภาพร้านขายของที่ระลึกริมทาง


วันนี้เท่านี้ก่อนนะคะ แล้วจะมาเล่าเรื่องด้วยภาพครั้งต่อไปค่ะ





ปล. ภาพไม่ครบค่ะ ขาดไปเซ็ทนึง ทำยังไงก็ไม่ได้จริงๆ ภาพเซ็ทสุดท้ายเป็นภาพแกะสลักไม้ในวัดกุมารีค่ะ สวยงามมาก ไว้ถ้ามีโอกาสจะเอามาลงใหม่


Free TextEditor



Create Date : 12 มิถุนายน 2553
Last Update : 12 มิถุนายน 2553 14:29:11 น.
Counter : 793 Pageviews.

7 comment
1  2  

UneFille
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]