THIS! IS! TRANSFORMERRRSSSS!!! (Fall of Cybertron : PC Version)
มัน! EPIC! มาก!

เกม Transformers : Fall of Cybertron เป็นเกมภาคต่อของ War for Cybertron ผมเพิ่งเล่นเกม Transformers ชุดนี้เป็นครั้งแรกเลยไม่รู้ว่าเกมซีรีส์นี้ทั้งสองภาค เป็นเกมที่ดีที่สุดของ Transformers หรือไม่ แต่อยากจะบอกว่า “มันมากกกกก!” ผมซื้อเกมนี้ตอน Steam ลดราคา แล้วรู้สึกว่ามันคุ้มค่าทุกบาททุกสตางค์


"บับเบิ้ลบี! ไม่น่าเลย เห็นกันอยู่หลัดๆ!" สงครามย่อมนำมาซึ่งความสูญเสีย!



สิ่งที่ผมรู้สึกคือ ถ้า War for Cybertron เป็นเหมือนหนังแอ็กชั่น-ไซไฟที่อุดมไปด้วยฉากแอ็กชั่น ส่วน Fall of Cybertron ก็เหมือนกับเป็น Saving Private Ryan ผสม Starwars เวอร์ชั่นหุ่นยนต์กันเลยทีเดียว


อารมณ์แบบเกมสงคราม ศัตรูมียานสำหรับหย่อนพวกทหารลงมาบุก เราก็ต้องสอย!



เหตุการณ์จากภาคแรกที่เมกาตรอนแห่ง Decepticons ยึดดาวไซเบอร์ตรอน (โลกของพวกทรานส์ฟอเมอร์ทั้งหลาย) ได้สำเร็จ ถึงพวก Autobots ที่นำโดยออพติมัสไพรม์จะขัดขวางแผนการของเมกาตรอนได้สำเร็จ แต่ก็ช้าไปแล้ว พวกทรานส์ฟอเมอร์จำต้องอพยพไปยังดาวดวงอื่นด้วย Ark แต่เมกาตรอนก็เข้ามาขวาง


"จะหนีด้วย Ark รึ! ไม่ให้แกไป จะเสียอะไรแค่ไหนยังไงเท่าไร!!! (กรุณานึกเป็นเพลง ไม่ให้เธอไป ของ Potato)" 



ออพติมัสปลุก "เมโทรเพล็กซ์" มาช่วย ดูไซส์ซะก่อน!! ออพติมัสเป็นแค่ขี้เล็บไปเลย!!!



เมโทรเพล็กซ์ทำลายปืนยักษ์ของ Decepticons!!


/
เป้าหมายในการเดินทางครั้งนี้คือ... โลก!? ในภาพคือโลกเมื่อหลายล้านปีก่อน (ทวีปยังติดกันอยู่) แสดงว่าทรานส์ฟอเมอร์ศึกษาโลกเรามานานแล้ว!



เกมภาคนี้ไม่ได้แบ่งเนื้อเรื่องเป็นสองฝ่ายเหมือนภาคแรก แต่ดำเนินไปตาม Chapter ซึ่งช่วงแรกเราเล่นเป็นพวก Autobots กลางๆเรื่องเราเป็น Decepticons ก็จะกลับมาเป็น Autobots และฉากตอนท้ายก็เป็นทั้งคู่สลับกัน!

แม่เจ้า! ฉากไคลแม็กซ์ของเกมที่ Decepticons ขัดขวางไม่ให้พวก Autobots อพยพ (ซึ่งจะมาลงท้ายที่โลกเหมือนภาคการ์ตูน Transformers Generation 1) มันสุดยอดมาก 


Autobots "เค้าจะหนีละน๊าาาา"


Decepticons "ไม่ให้หนีหรอกเฟ้ย!" 



เลือกเล่นเป็นเมกาตรอนหรือออพติมัสก็ได้ สองผู้นำกำลังดวลกันแล้ว!



ออพติมัส "แกตายยยย เมกาตรอนนนน!!!"



ออพติมัส "ปล่อยเค้าไปซะดีๆนะเฟ้ย!!!!




เนื้อเรื่องก็ดีกว่า Transformers เวอร์ชั่นหนังภาคไหนๆแน่ๆ มันมีจุดหักมุม มีเนื้อเรื่องที่ลงตัว นำเสนอเรื่องราวทั้งสองฝ่ายคือฝ่ายดีฝ่ายร้ายได้อย่างกลมกล่อม 


สตาร์สกรีมเห็นว่าเมกาตรอนโดน "เมโทรเพล็กซ์" ตบจนแบน เลยเป็นผู้นำแทนซะเลย



เมกาตรอนฟื้นมาเจอรูปปั้นสตาร์สกรีม



ยิงรูปปั้นแม่มเลย!!




ระบบเกมก็ถือว่าดีใช้ได้ มันไม่ได้เป็น openworld เหมือนเกมอื่นๆ เดินสู้เป็นเส้นตรง แต่เนื้อเรื่องทำให้เราได้เล่นภารกิจที่หลากหลาย ได้เล่นเป็น Transformers ในหลายๆรูปแบบ คือทั้งแบบตัวเล็กแบบตัวใหญ่ แบบบนดินและแบบบนฟ้า แบบปกติและแบบไดโนเสาร์! มีการอัพเกรดอาวุธซึ่งข้อเสียคือ อาวุธบางชนิดผมไม่ค่อยได้ใช้เท่าไหร่ ยิ่งพออัพเกรดปืนบางกระบอกจนเต็มแม็กซ์แล้ว ก็แทบจะไม่ได้ใช้ปืนอื่นเลย แล้วเนื้อเรื่องที่สลับกันไปมาก็ทำให้บางครั้งเราไม่ได้ใช้ปืนที่อัพเกรดเลยด้วย (อย่างตอนที่เล่นเป็นกริมล็อก ทรานส์ฟอเมอร์ที่เป็น “Dinobots (ไดโนเสาร์)”) 


เล่นเป็น Vortex ของฝั่ง Decepticons แปลงร่างเป็นเฮลิคอปเตอร์บุกปล้นพลังงาน (เอเนอจอน) จาก Autobots!!



ภารกิจต่อมาเล่นเป็น Swindle ของฝั่ง Decepticons บุกปล้นพลังงาน!



ตอนที่เราเล่นเป็น "กริมล็อก" ที่เป็น Dinobots ฝั่ง Autobots เราจะใช้ดาบแทนปืน (แปลว่าปืนที่อุตส่าห์อัพเกรดมา หมดสิทธิ์...)



กริมล็อกแปลงร่างเป็นไดโนเสาร์ได้!



กริมล็อกในเวอร์ชั่นไดโนเสาร์พ่นไฟใส่ศัตรูได้ด้วย (แต่ใช้ลำบากชะมัด)


สรุป:
ไม่มีอะไรจะพูดนอกจาก ทั้ง War for Cybertron กับ Fall of Cybertron มันทำให้ผมอยากลืมหนังของไมเคิล เบย์ แล้วก็กลับมาตื่นเต้นกับ Transformers อีกครั้ง!! 


ภาพแถมท้าย การกัตไต (รวมร่าง) ของฝ่าย Decepticons กลายเป็น "บลูติคัส" กระทืบมดปลวก Autobots เล่น!






ตายซ้าาาาาาา พวกมดปลวก Autobotsssss!!!







Create Date : 13 มกราคม 2558
Last Update : 13 มกราคม 2558 22:35:42 น.
Counter : 2274 Pageviews.

1 comment
Tomb Raider รำลึก : โอ้ ฉันรักลาร่า ครอฟท์!


(มี Spoil เนื้อหาเกม)

โอ้ว ลาร่า ครอฟท์ เธอเป็นตัวละครสาวจากเกม Tomb Raider ที่วันดีคืนดีก็ดังโป้งป้างถึงขนาดไปปรากฏตัวตามปกนิตยสารและโฆษณาหลายชิ้นทั้งๆที่เป็นแค่ตัวละครโมเดลสามมิติจากเกม 

เธอเป็น Indiana Jones ในคราบผู้หญิง ผสมกับความเซ็กซี่ขี้เล่นแบบเจมส์ บอนด์เล็กน้อย และผมก็รักทั้ง Indiana Jones กับเจมส์ บอนด์ ซะด้วย เลยหลงเสน่ห์ลาร่า ครอฟท์ตั้งแต่ตอนที่ได้จับเกมนี้เป็นครั้งแรกเลยทีเดียว





Tomb Raider (1996) : จบสามรอบเห็นจะได้


(ปี 1996 ลาร่ายังเหลี่ยม แต่กับสมัยนั้นถือว่าสวยพอสมควรเลยนะ)

ครั้งหนึ่งในชีวิตเลยจริงๆ ผมได้เล่นเกม Tomb Raider ครั้งแรกตั้งแต่ตอนที่มันออก PlayStation 1 ใหม่ๆ (โอกาสแบบนี้มีไม่ค่อยบ่อย ส่วนใหญ่เล่นล้าหลังชาวบ้าน) ตอนนั้นไม่มีเครื่อง อาศัยไปเล่นที่ร้านเกมเอา ตอนหลังญาติมีเครื่อง Sega Saturn ก็ยืมเครื่องกับตัวเกมมาเล่นจนจบ

ไม่เรียกว่า “พรหมลิขิต” หรือ “ฟ้าสั่ง” แล้วจะเรียกว่าอะไร!? วู้ว!

ผมรัก Tomb Raider ภาคแรก ผมรักบรรยากาศมืดๆที่ให้อารมณ์แบบเกมสยองขวัญ (พอๆกับ Resident Evil เลยละ ความรู้สึกในตอนนั้น) ตื่นเต้นทุกครั้งที่จะกระโดดระหว่างที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง เพราะฉากค่อนข้างยาก บางครั้งเราไม่รู้เลยว่าจะต้องกระโดดตรงไหน บางฉากเรากระโดดตรงๆไม่ได้ ต้องสไลด์ตัว กระโดดตีลังกากลับหลัง แล้วก็กระโดดอีกครั้ง โอย... เรียกว่าถ้าไม่พึ่ง Walkthrough จากในเนท ผมคงไม่รอดในบางฉากหรอก 


(ฉากมืดๆ ทึมๆ มองไปที่ไหนก็เหมือนกันไปหมด บางครั้งเลยหลงทางง่าย)

แถมเกมยังทำให้เราต้องสำรวจนู่นสำรวจนี่เพื่อจะหา secret หรือปืน Uzi อาวุธสุดยอดของเกมที่ซ่อนอยู่ ฯลฯ เรียกว่าคนที่ชอบเล่นเกมแบบสำรวจ จะได้สำรวจแบบจุใจเลยทีเดียว


(จำได้เลยว่าเวลาจะเอาปืน Uzi ซึ่งเป็น secret ของเกม จะต้องขึ้นไปอยู่บนหัวสฟิงค์ แล้วหาทางโดนไปที่ไหนสักแห่ง ซึ่งก็ตายบ่อยมาก)

เนื้อเรื่อง เกมภาคนี้ลาร่าต้องตามหาขุมทรัพย์สามชิ้นที่เรียกว่า Scion ซึ่งเกี่ยวข้องกับอาณาจักรแอตแลนติสที่ล่มสลาย ภาคนี้มีเหตุผล make sense ว่าทำไมขุมทรัพย์ที่เป็นกุญแจทั้งสามชิ้นถึงต้องซ่อนในที่ลับตาและวางกับดักไว้ตั้งมากมาย เพราะมันคือสิ่งที่จะพาไปสู่อาวุธร้ายได้หากตกไปอยู่ในมือของคนไม่ดี... แน่นอนว่ามันก็ต้องมีคนไม่ดีตามล่า ขุมทรัพย์นี้พร้อมกับลาร่าด้วยเช่นกัน (แล้วทำไมถึงไม่ทำลายมัน? รู้สึกมันจะมีประโยชน์เกี่ยวกับพันธุกรรมของสิ่งมีชีวิตอยู่นะ)

ผมชอบที่เนื้อเรื่องภาคนี้อ้างอิงจากหนึ่งในทฤษฎีของแอตแลนติส สถานที่ที่ลาร่า ครอฟท์ไปทั้งสามที่คืออเมริกาใต้, ยุโรป และอียิปต์ มีผู้เชี่ยวชาญ (?) บางคนกล่าวอ้าง (จับแพะชนแกะ) โดยใช้หลักฐานทางโบราณคดีกับตำนานเรื่องเล่า บอกว่าหลังอารยธรรมแอตแลนติสล่มสลาย ก็ได้กระจายอารยธรรมของตัวเองไปยังสถานที่สี่แห่ง ถึงขนาดมีออกเป็นหนังสือกับรายการสารคดีเลยด้วย ซึ่งสามในสี่แห่งในเกมก็ตรงกับตามที่นักวิชาการคนนั้นว่าไว้แหละครับ... 

ศัตรูในเกมส่วนใหญ่จะเป็นสิงสาราสัตว์ รู้สึกตื่นเต้นที่ทุกครั้งที่มีเสียงเพลงดังขึ้น เพราะแสดงว่าศัตรูปรากฏตัวแล้ว มีหลายครั้งต้องตกใจพอๆกับเกมสยองขวัญ แล้วตอนที่ไม่มีศัตรู ฉากจะค่อนข้างเงียบๆ ทำให้รู้สึกวังเวง กลายเป็นบรรยากาศกดดันเราได้ดีทีเดียว

เกมมีช่วงที่คลาสสิคอยู่หลายครั้ง หนึ่งในนั้นคือตอนสู้กับ T-Rex! แม่เจ้าโว้ย~ สมัยนั้นนับว่าอลังการมาก! ลาร่า ครอฟท์ VS ไดโนเสาร์! ตอนนั้นผมไม่รู้เลยว่าควรจะต้องปราบยังไง แล้วก็ตายอยู่บ่อยครั้งเหมือนกันกว่าจะรู้วิธีโค่นง่ายๆ (ยอมรับว่าไม่เก่งเอง) แล้วผมก็ตกใจกับจระเข้ของเกมนี้มาก ทุกครั้งที่ผมกระโดดลงน้ำ จะลุ้นตลอดว่ามีตุ้งเข้โผล่มามั้ย เพราะตัวของมันแทบจะกลืนกับฉาก ทำให้มองจากผิวน้ำไม่เห็นว่ามีหรือไม่มี บางทีต้องกระโดดลงน้ำไปล่อ แล้วก็รีบปีนขึ้นด้วยความตื่นเต้น โอ... สุดยอดจริงๆให้ตาย

ผมรักเกมนี้เป็นบ้า!!


(เมื่อก่อนฉากสู้กับ T-Rex เล่นเอาหัวใจแทบวาย ตื่นเต้นจนตัวโก่ง!)


(น้ำแบบนี้แหละมีไอ้เขี้ยม! ดูยากพอสมควร ต้องสังเกตการขยับปืนของลาร่าที่เล็งแบบอัตโนมัติเอา)


Tomb Raider II (1997) : จบแบบขี้โกง


(ภาค 2 ดูงามขึ้นมาหน่อย มีเปลี่ยนชุดระหว่างดำเนินเรื่องครั้งแรก)

สารภาพว่าตอนเล่นภาคสอง ผมเล่นเวอร์ชั่นที่ตัดมูวีออก เลยไม่ค่อยได้รู้เรื่องเท่าไหร่ มาอ่านเอาในเนททีหลังว่าลาร่าต้องตามหา “มีดแห่งซีอาน” ที่ว่ากันว่าจักรพรรดิในโบราณเอามีดเสียบหัวใจตัวเอง แล้วได้พลังแห่งมังกรมาครอบครอง ก่อนที่พระธิเบตจะดึงมันออกมา และเอามีดไปเก็บไว้ที่กำแพงเมืองจีน... เข้าอีหรอบเดิมคือมีคนร้ายต้องการมัน 

ระหว่างเล่น ผมก็ดันไปเจอสูตร “ข้ามฉาก” เข้า พอเจอฉากยากๆเล่นไม่ค่อยผ่าน ก็ข้ามฉากมันซะเลย ฮ่าๆๆๆ เฮ้อ... แต่ก็จบน่ะนะ (แบบขี้โกง) ถึงจะไม่ใช่สูตร “ข้ามฉาก” ก็ใช้สูตร “อาวุธครบทุกอย่าง” น่ะนะ ฮ่าๆๆๆ!!! แต่ผมสาบานได้ว่าเป็นแค่ภาคเดียวที่ใช้สูตรขี้โกง!!! 

ภาคนี้ลาร่ามีการเคลื่อนไหวมากกว่าภาคแรกนิดหน่อย มีพาหนะให้ขี่ บรรยากาศในเกมก็เหมือนกับภาคแรก ต่างที่มีศัตรูที่เป็นคนโผล่ออกมายิงเราด้วย และมีฉากที่ต้องไปผจญภัยนอกเหนือจากสุสานหรือวิหารโบราณ อย่างเวนิส ประเทศอิตาลี หรือเรือดำน้ำที่อยู่ใต้ทะเลลึก เป็นต้น อารมณ์คล้ายๆกับ Indiana Jones บางภาคนั่นแหละ


(ขับเรือไขปริศนา เมื่อก่อนนับว่าเป็นพัฒนาการที่น่าตื่นเต้นมาก)

ถึงจะขี้โกงแต่ก็เล่นเองอยู่หลายฉาก ดังนั้นจึงบอกได้เลยว่าผมชอบฉากต่อสู้กับบอสที่กลายร่างเป็นมังกร เราฆ่าตรงๆไม่ได้ ต้องหาวิธียิงแล้วดึงมีดออกมา คลาสสิคดีครับ! จากนั้นก็ปิดฉากด้วยการมีศัตรูตามมาบุกคฤหาสน์ของลาร่า

อ้อ ทุกวันนี้ ภาค 2 ยังขายดีที่สุดในบรรดาทุกภาคครับ


(ลาร่าตะลุยกำแพงเมืองจีน ภาคนี้ได้เห็นวิวทิวทัศน์ภายนอกเป็นครั้งแรก เพราะภาคแรกจะอยู่ในสุสานหรือวิหารมืดๆอย่างเดียว)


(กราฟฟิคดีขึ้น เห็นหางเปียยาวๆของลาร่า และกับดักก็เหมือนจะโหดขึ้นกว่าภาคแรกด้วยนะ)


Tomb Raider III : Adventures of Lara Croft (1998) : เล่นตอนต้นไปได้หน่อยเดียว

ผมไม่ได้เล่นเต็มๆ เลยบอกไม่ได้ แต่ดูจากคลิปวีดีโอใน Youtube แล้ว ก็คล้ายๆกับภาคสองนะ เห็นว่าบางคนก็ชอบเกมภาคนี้มากที่สุด เนื้อหาคือลาร่าต้องเข้าไปเกี่ยวข้องกับพลังลึกลับจากเศษอุกกาบาตที่ตกในแอนตาร์กติก้า  ส่วนฝ่ายศัตรูคือคนของบริษัท RX Tech ซึ่งทายสิว่าต้องการเอาเศษอุกกาบาตไปทำอะไร? เดากันได้อยู่แล้ว (คงไม่เอาไปทำแซนด์วิชหรอก!)


(เท่าที่เคยเล่น เปิดฉากแรกมาที่อินเดีย กับดักตอนสไลด์แรกเริ่มตายบ่อยมาก... รู้ว่าผมมันห่วยเอง)


(เห็นว่าภาคนี้มีไปบุกสถานที่อย่าง Area 51 ด้วย...)


Tomb Raider : The Last Revelation (1999) : จบสองรอบ


(ลาร่าภาคนี้ดูสวยขึ้นกว่าแต่ก่อนเยอะ เริ่มจะเหลี่ยมน้อยลง หน้าอกหน้าใจก็ดูนูนขึ้น...)

ผมสงสารลาร่าภาคนี้ครับ!

เธอต้องลุยแบบแทบจะ Non-stop แบบข้ามวันข้ามคืน ไม่ได้หลับไม่ได้นอน คือทุกภาคลาร่า ครอฟท์ยังมีโอกาสได้พักผ่อนบ้าง อย่างน้อยก็ในขณะเดินทาง แต่นี่คือตลอดการเดินทางต้องต่อสู้ตลอด ออกจากวิหารก็ขับรถ จากขับรถก็ไปสู้ต่อบนรถไฟ จนตอนกลางเกมเธอดูอ่อนล้าเหมือนอยากจะพักผ่อนบ้าง แต่ก็ไม่ได้พัก แล้วก็ต้องตะลุยต่อจนถึงเช้าของอีกวัน! เหนื่อยว่ะ เหนื่อยแทนเลย

ศัตรูภาคนี้เป็นระดับเทพเจ้าที่ชื่อ Seth เลยทีเดียว! คือลาร่าตามหา “เครื่องรางแห่งเทพฮอรัส” ก่อนที่จะรู้ว่ามันเป็นกุญแจสู่การปลดปล่อยเทพเจ้าแห่งความมืด ตอนนั้นเองที่ลาร่าต้องเจอกับทหารรับจ้างที่ศาสตราจารย์เวิร์นเนอร์ วอน ครอย อาจารย์สมัยเด็กของเธอส่งมา วอน ครอยต้องการเครื่องรางนั่น ลาร่าจึงต้องหาทางหยุดยั้งก่อนจะสายเกินไป แต่ก็ล้มเหลว... Seth ถูกปลดปล่อยออกมาเพื่อจะพาโลกไปสู่ยุคมืดจนได้!   


(ลาร่าตามล่า "เครื่องรางแห่งฮอรัส" และได้รู้ความจริงว่ามันใช้กักขังเทพเจ้า Seth ผู้ดำมืด ภารกิจจึงหนักหน่วงกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา)


(วอน ครอย อาจารย์ของลาร่าผู้สอนให้เธอบุกสุสาน และก็เป็นจะฝังลาร่าเสียเอง?)

เกมค่อนข้างจะมืดหม่นในด้านเนื้อหาสำหรับผม มันกดดันตลอดทั้งเกม ยิ่งใกล้จบเกม ตัวร้ายก็ยิ่งทรงอำนาจมากขึ้น ตัวผมเองก็ยิ่งรู้สึกกดดันมากขึ้น

และเป็นภาคที่ทำร้ายจิตใจแฟนลาร่า... เธอถูกฝังอยู่ในสุสานตอนจบครับ!


(ลาร่าห้อตะบึงเพื่อแข่งกับเวลา ก่อนที่หายนะจะลุกลามสู่ทั่วโลก!)


Tomb Raider Chronicles (2000) : จบสองหรือสามรอบนี่แหละ 


(เปิดเกมด้วยมูวีแห่งความเศร้าสร้อย...)

เป็นภาคปิดฉากความดังของลาร่า ครอฟท์สำหรับเวอร์ชั่น PS1 มาถึงตรงนี้เกม Tomb Raider เริ่มจำเจ แฟนๆเริ่มเบื่อเพราะเล่นออกเกม Tomb Raider กันทุกปี แล้วก็ต้องเจอกับระบบเดิมๆมาตลอด

ภาคนี้ลาร่า... เธอยัง “ตาย” อยู่ครับ คนรับใช้กับบรรดาคนสนิทก็จะมาเล่าเรื่องของเธอในแต่ละแง่มุม มีตั้งแต่ตอนที่เธอเริ่มผจญภัยในยุคแรกๆ (ยังเอ๊าะๆ ทำผมแกละสองข้าง โมเอ้ซะไม่มี) จนกระทั่งถึงยุคหลังๆก่อนจะไปถูกฝังที่อียิปต์ ตัวเกมเป็นภารกิจสั้นๆคือมีทั้งที่เป็นสุสาน เรือดำน้ำ ฯลฯ เรียกว่าหลังจากเจอเรื่องหนักๆมาจาก The Last Revelation ภาคนี้ก็เบาไปเลย มีฉากที่ลาร่าได้โชว์ความเซ็กซี่ขี้เล่นของตัวเองมากมาย ใครชอบแบบขำๆ ก็คงจะชอบภาคนี้แหละครับ


(ด่านนี้เป็นปฏิบัติการไฮเทคทั้งด่าน ลาร่าแต่งชุดแบบตามสมัยนิยมคือ ชุดหนังรัดรูปสีดำ ใส่แว่นตาดำ เหมือน Matrix)

ผมชอบด่านในไอร์แลนด์ตอนลาร่ายังเป็นเด็กวัยรุ่น ไม่มีปืนไปสู้กับศัตรูเพราะยังเป็นเด็ก และต้องเผชิญหน้ากับบรรดาภูตผีในตำนาน! (อารมณ์เหมือนเล่นเกมสยองขวัญดีครับ)

แถมนิดนึง ลาร่าเวอร์ชั่นเด็กได้โผล่ครั้งแรกที่ภาค The Last Revelation ภาคนี้ก็เอาโมเดลเก่ามาใช้เพิ่มอีกหน่อย

อ้อ เกมจบแบบให้เห็นความหวังแวบๆว่าลาร่าอาจจะรอด ซึ่งเกมภาคถัดมาคือตัวคอนเฟิร์มเรื่องนั้น


(ลาร่าแบบโมเอ้ สมัยยังไม่ใช้ปืนสู้ ออกครั้งแรกภาค The Last Revelation แล้วก็เอากลับมาใช้ใหม่ในภาคนี้)


(ชอบด่านไอร์แลนด์เพราะมันเหมือนเกมสยองขวัญนี่แหละ)


Tomb Raider : The Angel of Darkness (2003) : เล่นไม่จบสักรอบ


(ลาร่าฟื้นขึ้นมาด้วยโทนดำมืดกว่าเดิม ชุดอิงจาก Lara Croft : Tomb Raider ที่แองเจลีน่า โจลี่เล่น คือเป็นสีดำ)

นี่คือการปิดฉาก Tomb Raider แท้จริง บริษัท Core Design ที่สร้างเกมนี้มาตั้งแต่ภาคแรกพยายามเข็นลาร่าให้เกิดในทิศทางใหม่ๆ เพราะตอนนั้นมีเวอร์ชั่นภาพยนตร์ที่แองเจลีน่า โจลี่เล่นเป็นลาร่า ครอฟท์ออกฉายและประสบความสำเร็จด้านรายได้ด้วย

เนื้อเรื่องน่าสนใจมาก ภาคนี้มีฉากเปิดเรื่องที่แข็งแรงที่สุดในบรรดาเกม Tomb Raider ทั้งหมด (ในความเห็นผมนะ) คือเปิดฉากที่ศาสตราจารย์วอน ครอย ตัวต้นเหตุที่ทำให้ลาร่าถูกฝังในภาค The Last Revelation ถูกฆาตกรรม และผู้ต้องสงสัยก็คือลาร่า เธอจึงต้องค้นหาความจริงของเรื่องทั้งหมด ฉากมูวีต้นเรื่องเจ๋งมากทั้งโทนภาพ มุมกล้อง การตัดต่อ และเพลงประกอบ เหมือนหนังฆาตกรรมลึกลับ ก่อนจะตามด้วยฉากที่เราต้องหนีตำรวจ 

แต่ตัวเกมไม่เวิร์คอย่างแรก เสน่ห์ความเป็น Tomb Raider หายไปหมด ลาร่าไม่ได้ไปบุกสุสานอะไรมากมาย ส่วนใหญ่จะวิ่งในเมืองหรือไม่ก็พิพิธภัณฑ์ ที่สำคัญคือระบบการควบคุมก็แย่ เดินก็ช้า กระโดดก็ลำบาก มุมกล้องก็ไม่ไหวเลย จังหวะเกมก็อืด ไม่ได้แอ็กชั่นอย่างเดียวแล้วด้วย แต่มีฉากที่ให้เราต้องเลือกคำพูดเหมือนเกม Adventure แบบ Point & Click น่าเบื่อมาก เนื้อเรื่องน่าสนใจ แต่เกมเพลย์ไม่ไหว ถ้าเทียบกับเกมในยุคเดียวกันอย่าง Prince of Persia : The Sands of Time ยิ่งแล้วใหญ่ ทั้งที่ Prince of Persia ก็ได้อิทธิพลจาก Tomb Raider ด้วยแท้ๆ... 

ผมยอมแพ้ดีกว่า... ลาก่อน ลาร่าของผม


(หนีการตามล่าตำรวจ ช่วงแรกๆจะอยู่ในเมืองซะเยอะ)


(ภาคนี้ใช้มีระบบ Stealth และต่อสู้ด้วยมือเท้า แต่ไม่เวิร์กสักอย่าง)


(มีตัวละคร "ตัวผู้" มาสร้างมุมโรแมนติกให้กับลาร่า แล้วรู้สึกว่าเราจะได้เล่นเป็นมันด้วย... เอิ่ม... ตูจะเล่นลาร่าเฟ้ย)


Tomb Raider Legend (2006) : จบสองรอบ


(ลาร่ากลับมาอย่างโฉบเฉี่ยวไฉไล และอุปกรณ์ที่ทำให้ห้อยโหนได้ดีกว่าภาคใดๆที่ผ่านมา)

มีการเปลี่ยนมือผู้ผลิตจาก Core มาเป็น Crystal Dynamic ลาร่า ครอฟท์ได้ถูกปลุกชีวิตขึ้นมาอีกครั้งด้วยการรีบูท มีการเอาส่วนดีของเกมภาคแรกๆและองค์ประกอบจากในเวอร์ชั่นหนังของแองเจลีน่า โจลี่มาผสมกัน ภาคนี้บุคลิกของลาร่าดูจะแตกต่างไปจากภาคก่อนๆหน้านี้หน่อย พลังของเทคโนโลยีก็ทำให้เธอมีรูปร่างเซ็กซี่กว่าเดิมและหน่วยก้านพร้อมบู๊มากขึ้น แล้วก็มีอุปกรณ์เทคโนโลยีมากกว่าแต่ก่อน (ตามแบบในหนัง) เสริมด้วยเกมเพลย์ที่เข้ากับยุคสมัย ทำให้การควบคุมลาร่าลื่นไหล แล้วก็เต็มไปด้วยการเคลื่อนไหวอ่อนช้อยดุจนักยิมนาสติก!!


(ระบบการปีนป่ายไหลลื่นกว่าเดิม)

ปูมหลังของลาร่ามีเปลี่ยนใหม่โดยอิงจากเวอร์ชั่นหนัง คือจากที่ลาร่าเคยเป็นขบถต่อพ่อแม่ซึ่งเป็นผู้ดีชาวอังกฤษ ก็กลายเป็นลูกติดพ่อแทน แล้วยังเสริมประเด็นเรื่องที่ลาร่ากับแม่รอดจากเครื่องบินตกที่ภูเขาหิมาลัย ตัวลาร่าไปแตะต้องดาบโบราณที่ติดศิลาเดอิสจนไปเปิดประตูมิติเข้าให้ ผลลัพธ์คือแม่ของเธอหายสาบสูญไป หลายปีต่อมา พอเติบใหญ่ขึ้นลาร่าก็กลับมาค้นหาความจริงของเรื่องนี้อีกครั้ง

เนื้อเรื่องน่าสนใจดีครับ มีตัวละครที่เป็นคู่ยูริ... เอ๊ย อดีตเพื่อนซี้ที่กลายมาเป็นคู่แข่งของลาร่าปรากฏตัวออกมาด้วย นั่นคือ “อแมนด้า อีเวิร์ท” 


(คู่ยูริ????)

แต่ประเด็นที่ผมไม่ชอบคือ 

1) อารมณ์แบบการบุกสุสานที่เงียบเหงา วังเวง ตื่นเต้นเหมือนภาคแรกๆได้หายไป กลายเป็นแอ็กชั่น แอ็กชั่น แล้วก็แอ็กชั่น การไขปริศนาก็ค่อนข้างน้อยด้วย

2) Quick Time Event ที่ให้กดนู่นนี่นั่นตามที่บอก เล่นเอาเซ็ง บางอย่างให้เรากระโดดเองก็ได้นะ ไม่เห็นต้องมาขึ้นให้กดปุ่มให้เสียอารมณ์เลย 

3)ข้อเสียของทีม Crystal Dynamic คือ เนื้อหาจับแพะชนแกะได้แย่มาก ไม่ค่อยเนียนเหมือน Core Design เอาดาบเอ็กซ์คาลิเบอร์ของกษัตริย์อาเธอร์โยงกับหิมาลัยและที่อื่นๆ อย่างไร้เหตุผล จำได้มั้ยครับ? Tomb Raider ภาคแรกอาจจะอิงทฤษฎีที่จับแพะชนแกะเหมือนกัน แต่มันก็มีเหตุผลของมันอยู่ คือดูจากร่องรอยอารยธรรมหลายๆอย่างที่เหมือนกันแล้วจับมาโยงเข้าด้วยกัน ใส่เหตุผลที่ทำให้วัตถุโบราณต้องถูกผนึกและติดตั้งกับดักไว้มากมาย แต่ขอโทษครับ ภาคนี้ “มันมั่วเหมือนภาคหนังนั่นแหละ” เซ็งเว้ย!

แต่โดยรวม ผมก็แฮปปี้พอสมควรนะ (ไม่งั้นไม่จบตั้งสองรอบหรอก) 



(แอ็กชั่นทำได้ไหลลื่นดีอยู่หรอกนะ เล่นแล้วเพลินใช้ได้)


Tomb Raider Anniversary (2007) : ไม่จบสักรอบ

ผมลืมภาคนี้ไปทุกที มันเหมือนไร้ตัวตน ผมรักลาร่า ครอฟท์ รัก Tomb Raider ภาคแรก แต่คำถามผมคือ... ผมจะต้องเล่นภาครีเมคของ Tomb Raider ภาคแรกไปทำไมวะ!? 

คือระบบของ Crystal Dynamic ทำให้เกมเพลย์ไหลลื่นกว่าสมัยก่อนก็จริง ลาร่างดงามขึ้นกว่าสมัยก่อนก็จริง แต่บรรยากาศเก่าๆน่ะ เทียบกันแล้วมันเจ๋งกว่าเยอะ เนื้อเรื่องก็เนื้อเรื่องเดียวกัน (ปรับเปลี่ยนอะไรหน่อย) ฉากก็คล้ายๆกัน แต่ของเก่ามัน “กดดัน” กว่า แฟนลาร่าหลายคนชอบก็เพราะ “มันได้กลับไปสำรวจสุสานแบบภาคแรก” แต่ก็เท่านั้น... ผมเลยเล่นไม่จบ



(ฉากเดียวกับ Tomb Raider ภาคแรก แต่ทำให้สวยขึ้น... แอ็กชั่นลื่นไหลขึ้น... แต่... ผมเฉยๆจนขี้เกียจเล่นต่อ แต่แฟนๆ Tomb Raider เขาก็เหมือนจะชอบกันนะ)


Tomb Raider Underworld (2008) : จบรอบเดียว


(ลาร่ากับภารกิจ "แม่กรูอยู่ไหน!?" แม้เป็นนรกก็จะตามไป!)

โอ้... ผมควรจะว่ายังไงดี ใจหนึ่งก็ชอบ อีกใจหนึ่งก็ไม่ชอบ เล่นจบแล้วก็โอเค แต่ไม่ได้อยากจะกลับไปเล่นใหม่ เนื้อเรื่องเหมือนจะน่าสนใจ มันต่อจากภาค Legend คือลาร่าตั้งใจตามหา “อวาลอน (Avalon)” เพราะเชื่อว่าแม่ของเธอจะอยู่ที่นั่น เกมเพลย์ก็มีอะไรหลากหลายขึ้น ตัวเกมเปิดกว้างให้เราได้สำรวจคล้ายๆกับเกมภาคแรกๆ ลาร่าได้กลับไปขุดสุสานแบบภาคแรกๆ (โดยไม่ต้องรีเมคเหมือน Anniversary) 

ผมชอบความใหญ่ของฉาก ทำได้อลังการมาก แล้วตอนท้ายก็บ้าพลังดี มีใช้ค้อน Thor (เมียวนีร์) กวาดศัตรูเป็นแถบไม่ว่าจะเป็นคนหรือสัตว์ประหลาด สะใจเป็นบ้า แล้วฉากสู้กับบอสก็สร้างสรรค์ใช้ได้ ไม่ได้สู้ตรงๆ แต่ใช้วิธีปีนป่ายเพื่อหยุดยั้งแผนการผู้ร้ายเอา อ้อ ภาคนี้คู่ยูริ... ไม่ใช่ หมายถึง... อแมนด้า เธอมีบทบาทที่เท่เอาเรื่องเลยทีเดียว


(ลาร่าใช้ค้อนของ Thor ไล่ฟาดศัตรู!)


(คู่ยูริ... เอ๊ย อดีตเพื่อนซี้กลับมาเท่กว่าภาค Legend)

ที่สำคัญ! ลาร่าโชว์เรียวขาและบั้นท้ายอันงดงามในชุดว่ายน้ำรัดรูป! โอ้ว!... เอ่อ ไม่ได้หื่นอะไรหรอกนะ แค่สีสันให้หัวจิตหัวใจมันชุ่มช่ำก็เท่านั้น! (หงิหงิหงิ)

แต่ว่า... 1) มุมกล้องปวดหัวมาก โดยเฉพาะตอนขับมอเตอร์ไซค์ กล้องเขย่าจนจะอ้วก แถมมุมกล้องยังทำให้กระโดดลำบากอีก
2) เป็นการจับแพะชนแกะที่ไม่ไหวเอามากๆ การรีเสิร์ชข้อมูลห่วยมาก ไร้จุดอ้างอิงทั้งหลักฐานโบราณคดีและตำนาน ไม่เหมือนกับภาคแรกๆ คือคิดจะโยงก็โยงกันอย่างไร้เหตุผล 

คิดดู ลาร่ามาประเทศไทย แต่วิหารนี่ยังกับอารยธรรมเขมรประมาณนครวัด อันนี้ยังพอหยวนให้ได้ ถือว่าเป็นวิหารลับที่ได้อิทธิพลจากเขมรมาแบบทั้งดุ้นเลยละกัน แต่ที่รับไม่ได้คือ ใต้วิหารดันมี “วิหารของ Thor เทพเจ้ายุโรปเหนืออยู่ด้วย”... ฮ่วย! นี่มันโยงเรื่องกันมั่วๆเลยนี่หว่า มายังไงกันละเนี่ย!? วิหารในไทย > Thor (ยุโรปเหนือ) > Avalon (อังกฤษ) บ้าไปแล้ว!

ภาคนี้ก็เป็นการปิดยุค Tomb Raider อีกหนึ่งยุค เพราะรายได้ไม่เข้าเป้า 

ลาก่อนอีกหนึ่งยุค... ลาร่าของผม


(ฉากขี่มอเตอร์ไซค์กล้องเขย่าซะจนอยากอ้วก)


(ไม่เคยเห็นแบบนี้ในไทยนะ... แต่ยังดีกว่าไอ้การมีวิหาร Thor อยู่ข้างใต้วิหารของไทย!)


Tomb Raider (2013) : สองรอบ


(ลาร่ากลับมาวิ่งจ้ำบึ้ดแบบซีรีส์ Lost คือดูจริงจังกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา)

แม่เจ้า! ลาร่ากลับมาคราวนี้เรียกว่า “ยกเครื่อง” ใหม่กันเลยดีกว่า ไม่เหลือเค้าลาร่าเดิม จนไม่แปลกใจที่แฟน Tomb Raider บางคนจะไม่ชอบ แต่ยังไง นี่ก็เป็นเกมภาคที่ผมชอบระดับต้นๆเลยนะ!

เกมภาคนี้เหมือนเป็นซีรีส์ Lost มากกว่าจะเป็น Tomb Raider เจอพายุจนติดเกาะเหมือนกัน ออกจากเกาะไม่ได้เหมือนกัน เจอกลุ่มคนที่มาติดเกาะก่อนหน้านี้แล้วเป็นผู้ร้ายของเรื่องเหมือนกัน ตัวเอกต้องเอาชีวิตรอดเหมือนกัน มีเรื่องลึกลับเหนือธรรมชาติเหมือนกัน ฯลฯ แถมตัวลาร่ายังได้รับดีไซน์ใหม่ ให้กลายเป็นเหมือน “เคท ออสติน” ในซีรีส์ Lost มากกว่าจะเป็นอินเดียน่า โจนส์หรือเจมส์บอนด์เวอร์ชั่นผู้หญิงอีกต่างหาก 

โทนของเกมภาคนี้มีความจริงจังมากขึ้น โหดร้ายมากขึ้น ลาร่าต้องล้มลุกคุกคลานชนิดที่เรียกว่า ถ้าเป็นคนจริงๆคงตายไปตั้งแต่ช่วงแรกๆแล้ว แต่ผมชอบ ไม่ใช่ชอบเพราะซาดิสม์หรือชอบความโหดร้าย แต่ชอบที่เรื่องราวของลาร่าภาคนี้มันน่าสนใจ 


(เอาตัวรอดกันสุดๆ ทั้งหมาป่าทั้งคน!)

มันเป็นจุดกำเนิดของตัวละครอันโด่งดัง เป็นการเล่าเรื่องเกี่ยวกับผู้หญิงตัวเล็กๆคนหนึ่งที่ต้องสู้เอาตัวรอด จนกระทั่งจะกลายมาเป็นนักทะลวงสุสานระดับเทพในภายหลัง เธอไม่เคยเจอเรื่องเหนือธรรมชาติมาก่อนและครั้งนี้เป็นครั้งแรก แล้วภาคนี้ลาร่าก็ไม่ได้เดินทางไปนู่นมานี่ทั่วโลกเหมือนภาคอื่นๆ ติดอยู่แค่เกาะๆเดียว อารยธรรมก็เป็นของญี่ปุ่นโบราณแบบเดียว ผมเลยค่อนข้างจะแฮปปี้ เพราะทีม Crystal Dynamic ห่วยในเรื่องการจับแพะชนแกะข้อมูลทางโบราณคดีหรือตำนานเอามากๆ


(ตอนแรกยังอ่อนแอ เลยใช้วิธีลอบยิงปักกะบาล... ก็ว่าโหดแล้วนะ)


(อัพเกรดกลายเป็นเจ๊โหด ยิงแม่มเลย!)

ระบบเกมก็ไหลลื่น การต่อสู้กับทำได้ดีชนิดที่เรียกว่าไม่มี Tomb Raider ภาคไหนต่อสู้ได้สนุกเท่านี้มาก่อน ลาร่าอาจจะไม่ได้บุกสุสานอย่างที่แฟนๆบ่นกัน ไม่ได้เข้าไปเกี่ยวข้องกับวิหารหรืออะไรมากมายเหมือนกับภาคก่อนๆ ความเป็น Tomb Raider เลยอาจจะหายไปบ้าง แต่... มันก็ทดแทนด้วยการให้เราได้สำรวจเพื่อเก็บสะสมอะไรเล็กๆน้อยๆระหว่างเกม ทำให้เราอัพเกรดอาวุธหรือทักษะของลาร่า เรียกว่าขโมยเทรนด์ของเกมยุคใหม่มาใช้ได้เป็นประโยชน์มาก (แหม เกมอื่นๆก็เอาอะไรหลายอย่างจาก Tomb Raider ภาคแรกๆไปเหมือนกันนี่)


(ระบบ Stealth ทำดีกว่าทุกภาคที่ผ่านๆมา... ทำให้เจ๊แกดูโหดขึ้นเยอะนะ...)

ผมยังไม่ค่อยชอบ Quick Time Event ที่ต้องกดปุ่มตามจังหวะบางอย่างเหมือนเดิม เซ็งทุกครั้งที่เจอ แต่ก็ยังดีกว่าภาค Legend ละนะ


(ระเบิดตูมตามอย่างกับหนังไมเคิล เบย์! ลาร่ากลายเป็น "อีสาวดินระเบิด ไปที่ไหนพังที่นั่น!!)


Rise of the Tomb Raider (2015)

ไม่รู้ว่าผมจะได้เล่นหรือเปล่า แต่อยากเล่นนะ อยากเล่นจริงๆ ผมอยากรู้ว่าทีมนี้จะพัฒนาลาร่าเวอร์ชั่นใหม่ยังไงต่อ อยากรู้ว่าจะหาวิธีทำให้มันดีกว่าภาคปี 2013 ได้หรือเปล่า อยากเล่นจริงๆให้ตายเหอะ! 


(ไม่มีเครื่องเล่นอ่า... ฮือ)



Create Date : 08 มกราคม 2558
Last Update : 8 มกราคม 2558 23:24:41 น.
Counter : 8655 Pageviews.

2 comment
ว้าววววว!!! มันเป็นบ้า!!! Transformers : War for Cybertron (PC Game)
ว้าววววว ว้าวววววววววววว ว้าววววววววววววววววววว ฟู่...... ผมไม่รู้จะว่ายังไงดี เกม Transformers : War for Cybertron มันเจ๋งมาก โอเค ผมรู้ว่า Fall of Cybertron ที่เป็นภาคต่อมันดีกว่า แต่ยังไง War for Cybertron ก็ยังเจ๋งมากอยู่ดี!



(ดีไซน์เหมือนเอาข้อดีของการ์ตูนกับของไมเคิล เบย์มาผสมกัน)


ผมไม่ใช่แฟน Transformers ฉบับดั้งเดิมร้อยเปอร์เซ็นต์ คือเรียกว่าได้ดูบ้างไม่ได้ดูบ้าง แต่ก็ชอบ “ออพติมัสไพรม์ (Optimus Prime)” มากๆ แล้วก็เข้าใจอารมณ์ของ Transformers ฉบับการ์ตูนภาคแรกพอสมควร เพราะงั้นถึงรู้สึกเฉยๆกับ Transformers ของไมเคิล เบย์ 

แต่ผมอยากบอกว่า... ลืมหนังไมเคิล เบย์แล้วมาเล่นเกมแทนเถอะ!

War for Cybertron อิงเนื้อหาตามอารมณ์ของการ์ตูนภาคแรก จริงๆมันคือเนื้อเรื่องก่อนภาคการ์ตูนด้วยซ้ำ คือในการ์ตูน พวกทรานส์ฟอเมอร์ได้ลงมาที่โลกแล้ว แต่ในเกมภาคนี้คือเป็นจุดเริ่มต้นของสงครามดาวไซเบอร์ตรอน และเป็นต้นเหตุที่ทำให้พวกทรานส์ฟอเมอร์ต้องอพยพมาอยู่ที่บนโลก 

เราเล่นเป็นทั้งสองฝ่ายคือทั้ง Autobot (ฝ่ายดี) และ Decepticon (ฝ่ายร้าย) เนื้อเรื่องคือดีเซพติค่อนที่นำโดยเมกาตรอน (Megatron) ค้นพบสิ่งที่เรียกว่า “ดาร์คเอเนอจอน” (Dark Energon – Energon ก็คือพลังงานของพวกทรานส์ฟอเมอร์ คล้ายๆกับอาหารหรือเชื้อเพลิง เติม Dark เข้าไปก็แปลว่าจะต้องไม่ค่อยดีนั่นแหละ) เมกาตรอนมองว่าดาร์คเอเนอจอนคือสิ่งที่จะมาพลิกสงคราม และเชื่อว่าจะต้องนำยุครุ่งโรจน์ของไซเบอร์ตรอนกลับคืนมา... แต่ก็ไม่น่าจะใช่ในทางที่ดีสักเท่าไหร่น่ะนะ

(จะเล่นเป็นออโตบอทหรือดีเซพติค่อนก่อนก็ได้ แต่เนื้อหาของดิเซพติค่อนมาก่อน)


(ด่านนึงเลือกเล่นเป็นหนึ่งในตัวละครสามตัว กรณีนี้คือเลือกเป็นเมกาตรอน)


ตอนที่เล่นฝ่ายดีเซพติค่อนเนี่ย อยากบอกว่า “เออ เป็นผู้ร้ายนี่มันก็เจ๋งดีว่ะ” สิ่งหนึ่งที่หนังของไมเคิล เบย์ทำไม่ได้ก็คือการดึงบุคลิกของตัวละครให้โดดเด่นท่ามกลางฉากแอ็กชั่นนี่แหละ ใช่ เกม War for Cybertron มีบุคลิกตัวละครแบบมิติเดียว (ร้ายเป็นร้าย ดีเป็นดี) แต่วิธีการเล่าเรื่องของเกมสามารถดึงความน่าสนใจของตัวละครฝ่ายร้ายออกมาได้ ทำให้เรารู้สึกว่าผู้ร้ายไม่ได้งั่ง ตัวเอกก็ไม่ได้โง่ เรียกว่าให้ราคาทั้งสองฝ่าย

(ดีเซพติค่อน! ไปยึดดาวไซเบอร์ตรอนก็เถอะพวกเรา!)

ส่วนเนื้อหาของออโต้บอทก็น่าสนใจไม่แพ้กัน เนื้อหาย้อนกลับไปก่อนที่ออพติมัสยังไม่ได้ติดยศไพรม์ (คือเป็นผู้นำ) ตอนนั้นผู้นำคือ เซต้าไพรม์ (Zeta Prime) เมื่อเมกาตรอนยึดดาวไซเบอร์ตรอนได้สำเร็จและเซต้าไพรม์เสียท่าให้กับเมกาตรอน ออพติมัสก็เลยต้องรับบทผู้นำจำเป็น พานักสู้กลุ่มเล็กๆไปทำภารกิจต่างๆ... จนกระทั่งได้เป็น “ไพรม์”!! 


(ออพติมัสยังเอาะๆ... ยังไม่ได้กลายเป็นผู้นำออโตบอท)


(บับเบิ้ลบี ขวัญใจสาวๆโชว์เทพในฉากมูวี)


(เมกาตรอนยึดดาวไปแล้ว ออโต้บอทเลยต้องเอาตัวรอด)



ผมชอบเนื้อเรื่องเกมภาคนี้นะ มันเรียบง่ายไม่ซับซ้อน แต่มีการเล่าเรื่องที่น่าสนใจ ดึงจุดเด่นของทั้งสองฝ่ายคือฝ่ายดีและฝ่ายร้ายมาใช้ให้เป็นประโยชน์ 

ตัวทรานส์ฟอเมอร์สามารถเปลี่ยนเป็นยานพาหนะในรูปแบบต่างๆได้ แถมยังมีอาวุธให้เปลี่ยนตลอดทางด้วย เลือกใช้เพลินไปเลยจริงๆ


(เมกาตรอนเป็นรถถัง ยิงสะใจ แต่เคลื่อนไหวช้า)


(มีถนนให้แปลงเป็นรถแล้ววิ่งเล่น)

สเกลของฉากถือว่าสุดยอดมาก (แต่ไม่ใช่ openworld) บางครั้งเราต้องสู้กับหุ่นยักษ์ตัวเบ้อเริ่ม และบางครั้งเราก็ต้องเล่นเป็นเครื่องบิน ที่โฉบเฉี่ยวไปในอวกาศผ่านเครื่องจักรขนาดยักษ์ ตรงจุดนี้แหละที่ทำเอาอ้าปากค้างไปเลย!


(สู้กับบอสของเนื้อหาดีเซพติค่อน หุ่นยักษ์โอเมก้าซูพรีม... เห็นชื่อแล้วนึกถึงพิซซ่า อลังการจนอ้าปากค้างเลย)


(มีฉากที่ต้องแปลงเป็นเครื่องบินแล้วปฏิบัติการในอวกาศด้วย!)


(บอสของเนื้อหาฝ่ายออโต้บอท สู้กับไทรป์ปิค่อน ขอบอกว่าโคตรเหนื่อยเลย)

เกมอุดมไปด้วยแอ็กชั่นแบบ Non-stop ฝูงศัตรูแห่กันมาให้เราถล่มไม่ยั้งตั้งแต่ต้นจนจบเกม เรียกว่ามันจนหยุดแทบไม่อยู่จริงๆ ตรงนี้มีข้อเสียอยู่เรื่องเดียวคือ เวลาที่ยิงกันนัวทั้งฉาก บางครั้งก็ยากจะแยกออกว่าตัวไหนคือฝ่ายเรา ตัวไหนคือฝ่ายศัตรู ขนาดตัวออพติมัสหรือบับเบิ้ลบี บางทีพอต้องยิงกันชุลมุนก็แยกแทบไม่ออกเหมือนกัน โชคดีที่เกมไม่ได้ให้เรายิงพวกเดียวกันเองได้ ไม่งั้นคงน่าหงุดหงิดไม่น้อย

ฟู่... เป็นเกมที่เล่นจบแล้วรู้สึกได้ถึงความพึงพอใจแบบเต็มสูบจริงๆ!




Create Date : 05 มกราคม 2558
Last Update : 5 มกราคม 2558 22:09:32 น.
Counter : 3209 Pageviews.

0 comment
5 อันดับคาแร็กเตอร์สาวในเกมประจำปี 2014 (My top 5 Video Game Female Characters 2014 )

1. ผมไม่ได้เล่นเกม PC มานานหลายปี เกมทั้งหมดที่เล่นในปี 2014 นี้คือเกมเก่าบ้างใหม่บ้าง ดังนั้นคาแร็กเตอร์ที่ผมหยิบยกมา จึงเกมเก่าเสียเป็นส่วนใหญ่

2. ตัวละครพวกนี้เป็นแค่ความชอบส่วนตัว

อันดับ 5 : มิรินด้า ลอว์สัน (Mass Effect 2 – 3)

ตัวละครหญิงในเกม Mass Effect ทั้งสามภาค มีความโดดเด่นในแบบของตัวเอง ดังนั้นผมจึงเลือกยากมาก ไม่รู้จะให้ใครมาอยู่อันดับนี้ สุดท้ายผมขอเลือกมิรินด้า เธอไม่ใช่ตัวละครหญิงในเกม ME ที่ผมชอบที่สุด แต่ในบรรดาตัวละครที่ผมพูดคุยด้วย

ผมสนใจเนื้อเรื่องของเธอมากที่สุด เธอเป็นผู้ที่ถือกำเนิดขึ้นมาโดยพ่อที่ต้องการจะให้ลูกสาวสมบูรณ์แบบ ถูก “สร้าง” ขึ้นมาเพื่อให้เพอร์เฟค ทำให้เธอมีรูปร่างงดงาม ฉลาด เปี่ยมด้วยความสามารถ และแข็งแกร่งทั้งพลังกายและพลัง Biotic (คล้ายๆพลังจิตหรือเวทมนตร์นั่นแหละ) แต่ไม่ว่าจะบรรลุเป้าหมายแค่ไหนพ่อก็ไม่เคยภูมิใจเธอเลย  พ่อควบคุมชีวิตเธอในทุกๆด้าน ต่อให้หนีออกจากพ่อมา เขาก็ยังตามเธอพบได้อยู่ดี 

เพราะฉะนั้น เมื่อตอนที่เชพพาร์ด (ตัวเราเวอร์ชั่นผู้ชาย) สามารถเจาะกำแพงจิตใจของเธอได้ ตอนนั้นผมถึงได้รู้สึกว่าตัวมิรินด้าน่าสนใจขึ้นมาในทันที

(มิรินด้าเธอหุ่นเพอร์เฟคมาก โดยเฉพาะ...ตรงบั้นท้าย แม่เจ้าให้ตายเถอะ!)


อันดับ 4 : สโนว์ไวท์ (The Wolf Among Us)

The Wolf Among Us ดัดแปลงจากหนังสือการ์ตูนชื่อ Fables ซึ่งเป็นเรื่องราวกับเกี่ยวกลุ่มตัวละครจากเทพนิยายที่ต้องอพยพหนีออกมาจากโลกเทพนิยายเพราะปีศาจร้ายรุกราน จากนั้นก็มารวมตัวกันมาอยู่ในสังคมโลกมนุษย์และตั้งชุมชน Fabletown ขึ้นมาในเมืองใหญ่ สโนว์ไวท์ในหนังสือการ์ตูนนั้น เธอหย่ากับเจ้าชายรูปงาม (Prince Charming) และต้องมาเป็นผู้นำชุมชนของพวกตัวละครจากเทพนิยาย คอยรับมือกับปัญหาต่างๆโดยมีนายอำเภอชื่อบิ๊กบี้ (หมาป่าจาก “หนูน้อยหมวกแดง” กับ “หมูสามตัว”) เป็นผู้คอยช่วยเหลือ

เกม TWAU เป็นภาคก่อนหน้าหนังสือการ์ตูน จึงมีเนื้อหาส่วนที่พูดถึงเส้นทางของสโนว์ไวท์ก่อนจะก้าวมาเป็นผู้นำชุมชน Fabletown แบบในหนังสือการ์ตูน คนที่รู้สึกว่าตัวเองอ่อนแออย่างเธอ จะก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำชุมชนได้อย่างไร เกมนี้ได้ให้บทบาทที่ทั้งสำคัญและน่าสนใจแก่เธอมากทีเดียว

(ซ้าย : บิ๊กบี้แห่ง "หนูน้อยหมวกแดง" และ "ลูกหมูสามตัว" / ขวา : สโนว์ไวท์ก่อนจะเป็นผู้นำชุมชน Fabletown) 


อันดับ 3 : อลิซาเบธ (Bioshock Infinite)

จะมีใครทั้งน่ารักและน่าสงสารเท่าเธอ อลิซาเบธเป็นเด็กสาวไร้เดียงสาซึ่งถูกจับขังอยู่บนรูปปั้น ก่อนที่จะได้รู้ว่าความจริงว่าพ่อเธอคือใคร เธอมีความสามารถพิเศษในการเปิดประตูมิติ คอยสร้างสิ่งต่างๆเพื่อช่วยเหลือพระเอกระหว่างการเดินทางในเกม ช่วยหยิบกระสุนหรือหยูกยาให้ แล้วก็มักจะคอมเม้นท์สิ่งต่างๆได้น่ารัก และบางครั้งก็น่าสนใจ เธอเป็นเหมือนตัวละครดิสนีย์ในโลกยูโทเปียจอมปลอม

โดยเฉพาะใน DLC Burial at Sea เธอเปลี่ยนภาพลักษณ์จากเด็กสาวไร้เดียงสาเป็นหญิงร้ายที่มาพร้อมกับแผนการ (แบบนิยาย Noir) และความรู้สึกผิดในใจที่สุดท้ายแล้ว เธอก็ไม่ได้ต่างอะไรกับพ่อของเธอ....

(ภาพลักษณ์ของอลิซาเบธในช่วงครึ่งแรกของเกม ดูเป็นตัวละครดิสนีย์มาก)


อันดับ 2 : เซลิน่า ไคล์ / แคทวูแมน (Batman Arkham City)

เกม Batman Arkham Asylum กับ Arkham City มีผู้ร่วมคิดเรื่องและเขียนบทคือ Paul Dini ผู้เคยสร้าง Batman The Animated Series ซึ่งถูกยกให้เป็นซีรีส์การ์ตูนซูเปอร์ฮีโร่คลาสสิคตลอดกาลจนถึงทุกวันนี้ ดังนั้นตัวละครในเกม Batman ทั้งสองภาคจึงถูกใจแฟนแบทแมนมาก

แคทวูแมนเวอร์ชั่นนี้ค่อนข้างใกล้เคียงกับในหนังสือการ์ตูนและอนิเมชั่น เธอเป็นด้านสีเทาในโลกที่บิดเบี้ยวของก็อทแธม อยู่กึ่งกลางระหว่างแบทแมนและเหล่าตัวร้ายทั้งหลาย เธอแค่ทำตามความพึงพอใจของตัวเอง เซ็กซี่ ฉลาด ลีลาสุดยอด (ในเกม ชอบเวลาสไลด์ตัวมาก) ค่อนข้างจะมีใจให้กับแบทแมน แต่ความสัมพันธ์ของทั้งคู่เป็นเหมือนแมวหยอกหนู (มีปีก) เสียมากกว่า  

ติดใจก็แค่ในคอมมิค New 52 เธอดันมีเซ็กส์กับแบทแมนทั้งที่อยู่ในชุดแบทแมนกับแคทวูแมนนี่น่ะสิ... แต่นั่นเป็นเรื่องของในคอมมิคเนอะ!

(ดีไซน์ของเวอร์ชั่นเกมจะคล้ายๆกับของหนังสือการ์ตูน ยกเว้นตรงร่องอกที่เซ็กซี่กว่า!)



(เงิบตรงที่ Catwoman vol.1 ของ New 52 (รีบูทใหม่) เธอมีเซ็กส์กับแบทแมนทั้งในชุดนั้นเลย)


อันดับ 1 : ลาร่า ครอฟท์ (Tomb Raider 2013)

ผมเป็นแฟนลาร่า ครอฟท์มาตั้งแต่เธอยัง “หน้าอกเหลี่ยม” (ก็คือสมัยที่ภาคแรกออกใน PS1 นั่นแหละ) ผมไม่ได้เล่น TR ภาค 3 และ Angel of Darkness ก็เล่นไม่จบ แต่นอกนั้นคือเล่นจบ ดังนั้น ไม่ว่าใครจะบอกว่า ลาร่า ครอฟท์เวอร์ชั่นรีบูทนี้ จะไม่ใช่ลาร่าที่รู้จักบ้างอะไรบ้าง แต่สำหรับผม ผมยินดีต้อนรับลาร่า ครอฟท์เวอร์ชั่นใหม่แบบเต็มวงแขนเลยทีเดียว 

ลาร่า ครอฟท์ภาคนี้ไม่ได้เป็น “เจมส์ บอนด์เวอร์ชั่นผู้หญิงผสมอินเดียน่า โจนส์เวอร์ชั่นผู้หญิง” เหมือนสมัยก่อน เรื่องการเล่นมุก โปรยความเป็นเจ้าเสน่ห์ โชว์ความเซ็กซี่ในหลายสถานการณ์ ฯลฯ จากในเวอร์ชั่นเก่าจึงไม่เหลือ เธอเป็นเหมือนตัวละคร “เคท ออสติน” จากในซีรีส์ Lost มากกว่า หรือไม่ก็เป็นเจมส์ บอนด์ของแดเนียล เครก คือสมจริง ไม่ได้ปากหนาเซ็กซี่ ไม่ได้อกสะบึมเอวคอด เป็นแค่สาวคนหนึ่งที่ต้องการจะเอาตัวรอด ซึ่งผมถือว่าเป็นไปตามสมัยนิยม คือคนสมัยนี้ไม่ได้ชอบเจมส์ บอนด์หรือฮีโร่ที่ดูเกินจริงเหมือนสมัยก่อนแล้ว ไม่ว่าจะเป็น Iron Man, Batman, Hulk, Thor, Superman ทุกตัวละครจะถูกปรับให้ดูเป็นไปได้บนโลกความเป็นจริง (ต่อให้มีพลังพิเศษแค่ไหนก็ตาม) เพื่อให้คนดูสัมผัสได้ง่ายขึ้น

ทีมผู้สร้างตั้งใจจะเอา “ลาร่า ครอฟท์” กลับมาเป็นที่นิยมอีกครั้ง เพราะเสน่ห์เดิมๆไม่อาจเรียกแฟนรุ่นใหม่ได้อีกแล้ว ดังนั้น การปรับเปลี่ยนลุคของฮีโร่สาวครั้งนี้ จึงถือว่าประสบความสำเร็จไม่น้อย น่าติดตามว่าในอนาคต ลาร่าจะถูกพัฒนาต่อไปอย่างไร 



(เห็นลาร่าครอฟท์ภาคใหม่แล้ว นึกถึงเคท ออสตินจากซีรีส์ Lost ทุกที)



Create Date : 01 มกราคม 2558
Last Update : 1 มกราคม 2558 18:49:29 น.
Counter : 5643 Pageviews.

0 comment
Hotel Dusk : Room 215 (DS) ความนัวร์ที่... ติดเรท PG-13 : บทวิจารณ์เกมในแง่มุมของคนรักหนัง
**นี่ไม่ใช่บทวิจารณ์เกมที่เน้นการวิจารณ์ตัวเกม แต่ขอมุ่งประเด็นไปที่ตัวเรื่องและบทของเกมเป็นหลักในฐานะที่เป็นคนรักหนังด้วยเช่นกัน**

**text ละลานตาเหมือนตัวเกม เหอๆ**

(บทความนี้ ลงที่ //www.thainin.com โดยอัพเดทใช้ชื่อว่า panda 2 air)




หนังฟิล์มนัวร์ , นิยายอาชญากรรม, เรื่องลึกลับ และเกม adventure เหล่านี้คือคำนิยามสั้นๆของ Hotel Dusk : Room 215



นับตั้งแต่เห็นภาพครั้งแรก ก็รู้สึกสนใจเกมนี้ขึ้นมาโดยทันควัน แม้รู้สึกว่าจะเป็นเกมเล็กๆที่ไม่ได้รับการโปรโมทหรือกล่าวถึงเท่าไหร่ แต่ใครจะไปนึกว่าเกม Hotel Dusk เกมนี้จะกลายเป็นเกมฮิตอย่างเงียบๆขึ้นมาได้โดยเฉพาะกับที่อเมริกาเหนือ มันไม่ได้ฮิตเหมือน Mario มันไม่ได้ฮิตเหมือน Zelda มันไม่ฮิตเท่าแม้กระทั่งกับตาทนายบ๊องๆ Phoenix Wright แต่อย่างน้อย Hotel Dusk ก็คือเกมที่น่าสนใจและสามารถฮิตได้ในกลุ่มเล็กๆ มันกวาดเสียงวิจารณ์ที่ดีจากเหล่านักวิจารณ์ได้แม้โดยเฉลี่ยจะอยู่ที่ 7-8 ก็ตามที... ถือว่าเป็นเกมเล็กๆที่น่าเซอร์ไพรส์เกมหนึ่งเลยทีเดียว

ค่าย Cing เป็นค่ายเกมอิสระที่ว่ากันว่ามีคนทำงานเพียง 29 คนเท่านั้น (ข้อมูลจาก wikipedia เจ้าเก่า – แต่ไม่แน่ใจว่าข้อมูลเก่าใหม่แค่ไหน...) แต่ค่ายนี้กลับสามารถสร้างเกมเล็กๆที่น่าสนใจได้ถึงสองเกม แถมยังมีการพัฒนาที่ก้าวขึ้นมาอีกด้วย

Hotel Dusk สรุปพล็อตได้คร่าวๆก็คือ มันเป็นเรื่องของอดีตตำรวจ ไคล ไฮด์ที่ผันตัวเองมาเป็นเซลล์แมน ถึงกระนั้นเขาก็ยังไม่ลืมอดีตเมื่อ 3 ปีที่แล้วที่เขายิงเพื่อนร่วมงานของเขาเนื่องเพราะน่าที่การงาน และอดีตนั้นก็ติดตัวเขามาตลอด 3 ปีโดยในหัวของเขาจะมีคำถามวนเวียนอยู่เสมอว่า... ทำไม? ทำไมนายถึงได้ทำแบบนั้น!! (ใส่ความ Y ตามกระแส) แต่เรื่องราวที่ค้างคาใจของเขากำลังจะได้รับคำตอบเมื่อเอ็ด เจ้านายของเขาสั่งให้เขาไปทำงานที่โรงแรมแห่งหนึ่ง โรงแรมนั้นเป็นโรงแรมเล็กๆที่ชื่อว่า Hotel Dusk ไคลได้เข้าพักห้องที่มีชื่อเสียงที่สุดในโรงแรม มันคือห้องเลข 215 ที่มีชื่อห้องว่า wish และมีตำนานเล่าขานกันว่า มันเป็นห้องที่สามารถทำความปรารถนาของคนที่เข้าพักให้เป็นจริงได้ ...และนับตั้งแต่เขาได้เข้าพักโรงแรมแห่งนี้ ไคลก็กลายเป็นมนุษย์ดวงซวยที่ต้องเกี่ยวพันกับคน 10 กว่าคน ต้องพบการสืบสวนและข้อมูลใหม่ๆทุก 20 นาทีตลอด 8-9 ชั่วโมง! (ตั้งแต่ 5 โมงเย็นยันตี 2!!)

Hotel dusk คือส่วนผสมของเกม Adventure + นิยายอินเทอร์แอ็คทีฟ แนวดราม่า -อาชญากรรม-ลึกลับที่เดินตามเงาของหนังฟิล์มนัวร์อย่างเห็นได้ชัด จริงๆแล้วควรเรียก Hotel Dusk ว่า “นีโอนัวร์” (หนังแนวนีโอนัวร์ก็คือหนังฟิล์มนัวร์ที่ถูกสร้างหลังจากยุค 40-50) มันมีเรื่องราวสืบสวนสอบสวน มีเรื่องอาชญากรรม การทรยศหักหลัง การแบล็กเมล์ การลักพาตัว การโจรกรรม ตัวละครที่เต็มไปด้วยเงื่อนงำ อาจจะรวมถึงเรื่องการฆาตกรรมด้วยซ้ำ ไม่เพียงเท่านั้น ตัวเกมยังนำเสนอภาพออกมาในรูปแบบของลายเส้นที่เหมือนภาพร่างดินสอ ผสมสีลงไปน้อยๆ ชวนให้นึกถึงหนังฟิล์มนัวร์ยุค 40-50 ที่เป็นหนังขาวดำ เน้นแสงต่ำๆ นั่นเป็นการตอกย้ำว่า Hotel Dusk นั้นเจริญรอยตามหนังฟิล์มนัวร์มาต้อยๆ ยกเว้นแต่...

ถ้า Hotel Dusk เป็นหนังจริงๆ ก็คงถือว่าเป็นหนังฟิมล์นัวร์ที่แตกต่างจากชาวบ้านชาวช่องเขาสักหน่อย มันพยายามดำเนินรอยตามแต่ก็ยังขาดอะไรหลายๆอย่างไป อาทิเช่น ... มันมีพระเอกแม้จะปากหมาแต่ก็ไม่เคยทำร้ายเด็ก,ผู้หญิง หรือใช้ความรุนแรงเกินกว่าเหตุในการตัดสินสถานการณ์, ขาดเรื่องราวพัวพันที่เกี่ยวกับการคบชู้ เซ็กส์ และยาเสพติด เป็นต้น (เรื่องการคบชู้ แม้เกมนี้จะมีกลิ่นอายให้คนเล่นได้รู้สึก แต่มันก็บางเบาเหลือเกิน...)

หนังฟิล์มนัวร์ก็คือหนังแนวอาชญากรรมที่วิพากย์วิจารณ์และตีแผ่ด้านมืดของมนุษย์หรือสังคมในมุมใดมุมหนึ่ง Hotel Dusk เกือบทำได้ขนาดนั้นแต่มันก็ยังไม่ถึง เหมือนCing ยังต้องการให้ NDS เป็นเครื่องเล่นเกมที่ปราศจากรอยมลทินที่มากไปกว่านี้ ยิ่งเห็นชื่อ Satoru Iwata ประดับอยู่ในเครดิตตอนท้ายด้วยแล้ว ยิ่งชวนให้นึกถึงอะไรบางอย่าง... ถ้าการ์ตูนของดิสนี่ย์คือการ์ตูนของดิสนี่ย์อยู่วันยังค่ำ เกมของนินเทนโด ก็ยังเป็นเกมของนินเทนโดอยู่วันยังค่ำเช่นกัน... แม้จะมีเรื่องราวลึกลับที่เกี่ยวข้องกับด้านมืดของคน แต่ Hotel Dusk ก็ไม่ได้เจาะลึกไปถึงแก่นเหมือนอย่างที่หนังฟิล์มนัวร์มักทำกัน แถมตอนท้ายแม้มีบางเรื่องยังค้างคาแต่ก็ยังจบลงอย่างชื่นมื่นและสดใส ตัวละครส่วนใหญ่จะได้รับ value (คุณค่าที่เกิดจากเรื่องราว) แล้วก็เดินตามทางของตัวเองต่อไป...

เหมือน Hotel Dusk เป็นหนังฟิล์มนัวร์ที่ลดความรุนแรง ลดคำหยาบ ลดความหดหู่ ลงจนกลายเป็นเหมือนหนังฟิมล์นัวร์เรท PG-13...

แหม ที่กล่าวมาต้นๆนี่เหมือน Hotel Dusk ไม่ดีเลย... ไม่ใช่หรอกครับ จริงๆแล้ว Hotel Dusk มีเนื้อเรื่องและการเขียนไดอะล็อกที่ดีและค่อนข้างเฉียบคมในบางแง่มุม (ชอบตอนที่ไคลสอนตาเจฟ) มีตัวละครที่แฝงความลึกลับมากมาย มีอดีตที่ซ่อนเร้นอยู่เบื้องหลังอยู่ในโรงแรมเล็กๆแห่งนี้... หลายอย่างอยู่ในเกณฑ์ดี

หลายคนอาจรู้สึกว่าเนื้อเรื่องบางอย่างไม่ได้รับการคลี่คลาย คนรอบข้างที่หายตัวไปก็ยังหาร่องรอยไม่เจอ แต่เชื่อผมเถอะ นั่นไม่ใช่ประเด็นใหญ่ หนังดีหลายเรื่องมักจะมีปมที่ไม่ได้รับการคลี่คลายเสมอ โดยเฉพาะหนังของผู้กำกับเซอร์แตกอย่าง เดวิด ลินซ์ ซึ่งหนังของเขาบางเรื่อง... คนดูไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันเป็นหนังเกี่ยวกับอะไรกันแน่!!

...อยู่ในเกณฑ์ดี... แสดงว่ายังไม่เยี่ยม???

ใช่ครับ ตามความเห็นส่วนตัวแล้ว บทและไดอะล็อกของ Hotel Dusk นั้นดี จังหวะการเล่าเรื่องจะเหมือนพวกหนังที่เล่าเรื่องแบบเนิบๆ... ไปเรื่อยๆ... เก็บอารมณ์เรื่อยๆ... นั่นไม่ใช่เรื่องที่แย่ (แล้วแต่รสนิยมของผู้บริโภคโดยแท้) แต่ปัญหาของบท Hotel Dusk ก็คือ มันยังขาดหมัดฮุกที่เด็ดดวงทั้งจากเนื้อหาและการเล่าเรื่อง มีความน่าผิดหวังเกิดขึ้นเล็กน้อยเมื่อพบว่าตอนจบไม่มีการพลิกล็อกอะไรมากมาย ไม่มีการกระแทกเนื้อหาอะไรกับคนเล่น ทุกอย่างเดินไปตามเส้นทางของมันจนขาดจุดเร่งเร้าที่ชวนตะลึง ปกติแล้วหนังฟิล์มนัวร์มักจะมีปมด้านมืดของเรื่องราวที่กระแทกความรู้สึกของคนดูให้คิดตามอยู่เสมอ เช่น Seven พาเราไปรับรู้เรื่องบาปทั้ง 7 ผ่านฆาตกรจอห์น โด, Fargo พาเราไปรับรู้ว่าด้านมืดของคนทำเรื่องเลวร้ายอะไรได้บ้าง, L.A. Confidential พาเราไม่รับรู้เรื่องการคอรัปชั่นในแวดวงตำรวจ ฯลฯ ... แต่ Hotel Dusk … ทุกอย่างราบเรียบ มันไม่ได้ส่งผลกระทบใดๆมากนัก มันเหมือนแค่... โอเค... ปริศนาถูกคลี่คลาย... ไคลได้พบความจริงและได้เข้าใจว่าทำไมเพื่อนของเขาจึงต้องทรยศเขาเมื่อ 3 ปีที่แล้ว แต่มันก็แค่นั้นเอง... ไม่ได้ส่งแง่มุมใดให้เราเก็บมาคิดต่อหลังจากที่เกมดำเนินจบลงแล้ว ต่างจากหนังฟิล์มนัวร์ที่ยกตัวอย่างมาข้างต้นที่แม้หนังจบลงแล้ว แต่เรายังคงคิดถึงมันต่อได้ (จะว่ามีมันก็มีอยู่นะ อย่างเรื่องของนักเขียนนิยายที่ชื่อซัมเมอร์ หรือเรื่องพ่อลูกที่พักห้อง 219 เพียงแต่นั่นเป็นซับพล็อต เป็นพล็อตรอง ดังนั้น มันจึงไม่ได้ถูกขับเน้นให้เด่นเท่ากับพล็อตหลักของไคล เมื่อเกมจบลง ประเด็นเหล่านั้นจึงไม่ได้เป็นประเด็นที่พิเศษอะไรมากมาย) ไปๆมาๆกลายเป็นว่า Phoenix Wright ยังตีแผ่ด้านเหล่านี้ได้น่าสนใจกว่าเสียอีก...

จริงๆแล้วบทของ Hotel Dusk ถือว่าฉลาด คนเขียนสร้างปมขึ้นมามากมาย แล้วท้ายที่สุดก็ผูกปมต่างๆเข้าด้วยกันได้น่าสนใจ แล้วบทเฉลยบางอย่างก็ถูกวางไว้อย่างฉลาด (เช่น สาเหตุจริงๆที่ทำให้ไคลมาอยู่ที่โรงแรมนี่...) ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ปมบางปมยังค้างคา อย่างที่บอก เรื่องนี้มันเป็นเรื่องจิบๆ ปัญหาใหญ่จริงๆที่ทำให้บทของ Hotel Dusk ไม่กลมกล่อมคือ มันยุ่งเหยิงมากเกินไปจนเมื่อเวลาที่จะเอามาเย็บเข้าด้วยกัน มันกลับเห็นรอยปุ มันกลับเห็นส่วนเกิน กลับรู้สึกว่ามันยังไม่ใช่เนื้อเดียวกัน เช่น เรื่องของเจฟ ผู้ที่พักในห้อง 213... เรารับรู้เรื่องของเขา เรารับรู้ว่าครอบครัวของเกี่ยวข้องกับอะไร เรารับรู้ว่าเจฟจะเปลี่ยนไปในทางไหน แต่... แล้วอย่างไรรึ? นอกจาก Value ที่เจฟได้รับและตัดสินใจที่จะกลับตัว ท้ายที่สุดแล้วมันก็ไม่ได้พาเราไปเจาะลึกลงสู่ด้านมืดด้านใดอย่างแท้จริง และไม่ได้มีผลกระทบโดยรวมต่อเนื้อเรื่องหลักที่เกี่ยวข้องกับไคลและแบรดเล่ย์มากนัก (ทั้งๆที่มันเกี่ยว...กันแบบอ้อมๆ)

แต่มีอยู่ประเด็นหนึ่งที่ชวนให้ติดใจ ซับพล็อตของตัวละครในโรงแรมนี้ก็ช่วยขับเน้นบุคลิกของไคลได้อย่างฉลาด แม้จะดูปากกล้าไปหน่อย แต่ท้ายที่สุดแล้วไคลก็ยังมีจิตวิญญาณของคนที่เป็นตำรวจที่ดีและพร้อมจะช่วยเหลือคนทุกคน (ถ้าคุณไม่เลือกคำตอบให้ไคลปากสุนัขบ่อยๆล่ะนะ) และนั่นคือสิ่งที่ไคลได้ค้นพบนอกเหนือจากคำตอบที่เกี่ยวกับแบรดเลย์ อย่างน้อยบทของเกมนี้ก็ทำให้เราเข้าใจได้ว่า ต่อไปนี้ไม่ว่าไคลจะออกไปทำงานอะไรแบบไหน ไคลก็ยังเป็นไคล เขาก็ยังคงเป็นตำรวจที่ดีเสมอมา

แต่ตรงนี้ก็ทำให้ไคลเป็นตัวพระเอกที่ “สว่าง” เกินพระเอกหนังฟิล์มนัวร์ทั่วๆไป ซึ่งอย่าได้ลืมว่ามันเป็นหนังแนวที่ผู้ผลิตเกมนี้ยึดถือเป็นส่วนหนึ่งในหัวใจของเกม

บทของ Hotel Dusk ยุ่งเหยิงกว่า Trace Memory (เกมก่อนหน้านี้ของ Cing ที่ทำลงให้กับ DS) อย่างแน่นอน แต่มันก็ลงตัวกว่ามาก แม้จะพบปัญหาเดียวกันก็คือ บทสรุปในตอนท้าย Trace Memory นั้นยังผูกปมระหว่างตัวนางเอกกับผี D ได้ไม่ลงตัวนัก แม้จะช่วยกันค้นหาปริศนา แต่มันก็เหมือนกับทางใครทางมันมากไปหน่อย ทำให้ความประทับใจค่อนข้างลดน้อยลงไปนิด ผิดกับ Hotel Dusk ที่แม้จะยังเอาซับพล็อตทั้งหลายมารวมกันได้ไม่เนียนจนเป็นเนื้อเดียว แต่มันก็ทำหน้าที่เล่าเรื่องของมันได้ดีและมีความลงตัวกว่า

มาถึงตรงนี้แล้ว ต้องบอกว่า Cing คือค่ายเกมที่น่าจับตามอง ค่ายนี้อาจไม่ใช่ค่ายเกมที่ยิ่งใหญ่หรือดังเป็นพลุแตก แต่ก็น่าติดตามว่าเกมต่อไปที่ Cing จะทำออกมานั้น จะเป็นเกมแบบไหน จะเป็นเกมแนว adventure แบบนี้อีกหรือไม่ และบทหรือตัวเกมจะดีกว่าสองเกมที่ผ่านมานี้หรือเปล่า จะยังคงพัฒนาขึ้นเรื่อยๆได้หรือเปล่า ตรงนี้น่าสนใจมากเลยทีเดียว

สรุป

มองในแง่มุมของคนรักหนัง (และรักเกมไปด้วย) Hotel Dusk คือเกมที่ยังไม่เยี่ยมสุดๆ แต่ก็คือเกมที่ดี มันมีเนื้อเรื่องที่น่าติดตาม มีไดอะล็อกที่ดี มีบทที่เข้าที และมีการนำเสนอที่น่าสนใจ ...ถ้าให้พูดด้าน Gameplay บ้าง ก็ต้องบอกว่า Hotel Dusk เป็นเกมที่ไม่มีอะไรแปลกใหม่มากนัก ไม่มีระบบการเล่นที่ชวนฮือฮา มันเป็นไปอย่างเรื่อยๆ ไม่ดีแต่ก็ไม่เลว (แม้บางช่วงจะต้องอึดอัดกับการที่ “ไม่รู้จะทำอะไรต่อ” ก็ตาม) มันเป็นเกมที่อ่านๆจิ้มๆ จิ้มๆอ่านๆ แต่อย่างน้อยที่สุด ถ้าคุณเป็นคนรักการดูหนัง (แนวฟิล์มนัวร์ / แนวดราม่า-ลึกลับ-อาชญกรรม) เป็นคนรักการอ่านนิยาย และเป็นคนรักเกม Hotel Dusk : Room 215 ก็คือเกมเล็กๆที่จะสามารถตอบสนองตัวคุณเองได้ไม่มากก็น้อย

ถึงมันจะเป็นเกมนัวร์ที่... “สว๊างสว่าง” อย่างที่ไม่น่าเป็นก็ตามที...

คะแนนพิศวาส : 8/10 (แม้ Phoenix Wright ภาคแรกจะยังเป็นเกม Adventure ใน DS ที่ชอบที่สุดและสนุกสุดในตอนนี้ แต่ Hotel Dusk ก็ถือว่าเป็นเกมที่ทำให้ผมนึกถึงมันและประทับใจกับตอนจบอยู่ลึกๆได้เหมือนกัน...)



Create Date : 30 มกราคม 2550
Last Update : 28 ธันวาคม 2557 12:58:36 น.
Counter : 1241 Pageviews.

3 comment
1  2  3  4  5  6  7  8  

หมาหัวโจก
Location :
กรุงเทพ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 18 คน [?]



All Blog