[The Witcher Trilogy รำลึก] ไฉนซีรีส์นี้จึงได้สำคัญนัก
สารภาพว่าผมเพิ่งเล่นซีรีส์ The Witcher เมื่อประมาณปีสองปีที่ผ่านมานี่เอง ก่อนหน้าที่ The Witcher 3 : Wild Hunt จะออกอยู่หลายเดือน

(เกรัลท์จาก The Witcher ภาคแรก ปี 2007)


ผมได้ยินมานานแล้วว่าเกมนี้มี "เนื้อเรื่องที่ดี" 

ผมรู้ว่ามันดัดแปลงมาจากหนังสือที่เหมือนเอา Lord of the Rings มาผสมกับ Game of Thrones และบวกด้วยตำนานภูตผีปิศาจของโปแลนด์หรือยุโรปเหนือ 

ผมรู้ว่านิยายดังมากที่โปแลนด์และผมไม่เคยอ่านเลยสักเล่มเดียว (แต่กำลังสนใจว่าจะไล่เก็บเวอร์ชั่นภาษาอังกฤษ เนื่องจาก ในไทยยังไม่มีแปล และผมอ่านโปแลนด์ไม่ออก!)


(เรื่องสั้นเปิดตำนาน The Witcher นี่คือเวอร์ชั่นภาษาอังกฤษที่เปลี่ยนปกให้เข้ากับเกม)


ผมเห็น Steam ลดราคาแล้วก็ซื้อมาดองไว้ ยังไม่มีแรงใจจะเล่นเท่าไหร่ จนกระทั่งตอน Wild Hunt ใกล้ออกและกำลังโหมโฆษณาหนัก ผมจึงลองเล่นภาคแรกดู 

ตอนแรกผมไม่ได้ชอบระบบของมันเลย แต่เมื่อผมเปิดใจกับมัน สุดท้ายแล้วซีรีส์ The Witcher กลับกลายเป็นเกมซีรีส์หนึ่งที่ผมจะจำไปอีกนาน เคียงคู่กับ Tomb Raider และ Mass Effect

ไฉนมันจึงได้สำคัญนัก?

คำตอบนั้นก็คือ...



1. ความกำกวมทางด้านศีลธรรม

ภาพรวมของซีรีส์ The Witcher นั้นทำได้ดีในแง่ของเนื้อเรื่องที่ "กำกวมทางด้านศีลธรรม" ซึ่งถือเป็นจุดเด่นของนิยาย คนที่เคยอ่านนิยายล้วนบอกว่าเกมซีรีส์ The Witcher เก็บตกประเด็นนี้ได้ดีมาก ทางเลือกของเรามีผลต่อตัวเกมตั้งแต่ต้นยันจบ อีกทั้งผลการเลือกของเรา บางครั้งยังมีผลลัพธ์ที่ออกมากำกวม ไม่สามารถฟันธงได้ว่า "ดี" หรือ "เลว" บทพูดของเกมซีรีส์ค่อนข้างฉลาดเพราะไม่ว่าจะเลือกทางไหน เราอาจจะถูกอีกฝ่ายวิพากษ์วิจารณ์ได้เหมือนกัน ไม่เหมือนกับเกมของ Bioware อย่าง Mass Effect ที่จะฟันธงไปเลยว่า เฮ้ย อันนี้ดี เฮ้ย อันนี้เลว


(โลกของ The Witcher มีความคลุมเครือทางศีลธรรมสูง)



2. เราสวมบทเป็นนักล่าค่าหัว ไม่ใช่ฮีโร่กู้โลก

ซีรีส์ The Witcher ทำให้ผมเป็นนักล่า ไม่ใช่นักล่าแบบ Monster Hunter แต่มันเหมือนกับ "แซมและดีน" ใน Supernatural หรือ "กัซ" ใน Berserk มากกว่า เราออกเดินทางไปตามเมืองต่างๆ หางานทำเพื่อเลี้ยงชีพ ซึ่งงานของเราคือการกำจัดภูตผีปิศาจบ้าง กำจัดโจรบ้าง 

เราสวมบทบาทเป็นเกรัลท์ เดอะวิชเชอร์ที่เก่งกาจ แนวทางของเดอะวิชเชอร์ไม่ใช่นักรบ ไม่ใช่ผู้กล้ากอบกู้อาณาจักร เกรัลท์อาจมีช่วยงานกษัตริย์บางองค์ แต่ก็เหมือนกับการทำงานตามปกติ คือทำงานเพื่อรับค่าตอบแทน 

อย่างไรก็ตาม เส้นทางของเกม The Witcher ได้มอบอิสระให้เรา ดังนั้นเราอาจช่วยเหลือใครสักคนด้วยความรู้สึกส่วนตัวก็เป็นได้ (ในขณะที่ The Witcher ในนิยายจะออกในแนวทางสายกลาง ไม่ฝักฝ่ายฝ่ายใดเป็นพิเศษ)


(เกมภาคแรกบอกว่า "ฉันคือวิชเชอร์ ฉันไม่ตัดสินใครหรือลงโทษใคร ฉันแค่แก้ปัญหาของมนุษย์เท่านั้น" คำพูดนี้บ่งบอกถึงความเป็นวิชเชอร์ได้ดีที่สุด)



3. อิสระในการเลือก

เมื่อพูดถึงอิสระแล้ว เกมนี้หลายครั้งจะบีบให้เราเดินอยู่บนทางแยกที่ตัดสินใจลำบาก อย่างที่บอกในตอนต้นๆว่าการเลือกของเรามีผลไปตลอดเกม แม้กระทั่งตัวเลือกที่เป็นคำพูดก็ส่งผลด้วยเช่นกัน 

บางครั้งตัวเลือกที่ผุดขึ้นก็เล่นเอาผมชะงักไปนาน ไม่รู้ว่าจะเลือกเส้นทางไหนดี

บางครั้งเราคิดว่าได้เลือกหนทางที่ถูกต้อง แต่แล้วกลับต้องมาพบว่ามันผิด 


(ทางเลือกของเรา บางครั้งก็ให้ผลลัพธ์ที่คาดไม่ถึง)



4. ความหลากหลายของภารกิจ+การเขียนที่ดี

ขยายมาจากข้อ 2 : ภารกิจของเดอะวิชเชอร์ไม่ใช่การล่าภูตผีปิศาจไปเรื่อยๆ บางครั้งเรามีการสืบคดีฆาตกรรม บางครั้งเรารับเควสท์เพื่อค้นหาความจริงอะไรสักอย่าง เราก็ต้องไล่ตามเงื่อนงำตรงนั้นไป หลายครั้งภารกิจมีการหักมุมจนต้องอึ้ง 

ทั้งหมดนั่นเกิดการการเขียนเนื้อเรื่องและบทที่ดี แน่นอนว่าตัวนิยายต้นฉบับน่าจะส่งอิทธิพลสำคัญต่อทีมเขียนเนื้อเรื่องและบทในเกม แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังควรชื่นชมว่าเกมซีรีส์นี้มีการดัดแปลงที่ดีมาก

(มีกระทั่งภารกิจไล่ต้อนหมู!!)


5. SEXXXXX!!!!

อาจอุจาดไปหน่อย แต่นี่ถือเป็นไฮไลท์อย่างหนึ่งของ The Witcher บางตัวเลือกที่ผมเลือกนั้น ก็ไม่ได้อะไรมากนอกจากอยากเห็นฉาก sex ของเกรัลท์กับตัวละครที่เล็งเอาไว้ มันกลายเป็นกิมมิคเล็กๆที่สร้างอรรถรสให้กับเกมได้เหมือนกับเกมซีรีส์ Mass Effect เพียงแต่ฉาก sex ของ The Witcher บางครั้งก็แฝงไว้ด้วยอารมณ์ขำๆอยู่เหมือนกัน


(เกรัลท์ x ชานี่ ใน Heart of Stone น่าจะเป็นฉากเซ็กส์ที่ยาวที่สุดในซีรีส์)


6. รายละเอียดของโลกที่แน่นปึ้ก

เนื่องจากนิยายซีรีส์ The Witcher มีออกมาขายหลายเล่ม ดังนั้นรายละเอียดของโลกย่อมต้องมากตามไปด้วย 

CD Projekt Red ทำได้ดีในแง่ของการเก็บรายละเอียดโลกผ่านคำพูดของตัวละคร ภารกิจที่เกรัลท์ต้องเจอ รวมถึงหนังสือหนังหามากมายที่ปรากฏอยู่ในเกม

เพียงแต่... แน่นอนว่าคนที่เคยนิยายมาแล้วย่อมต้องเข้าใจรายละเอียดพวกนั้นได้ดีกว่าคนที่ยังไม่อ่าน อย่างเรื่องของเยนนิเฟอร์กับซิริ ถ้าไม่เคยอ่านนิยายมาก่อนจะไม่รู้เลยว่า "แม่มด" ที่ปรากฏอยู่ในหนังสือเล่มหนึ่งภายในเกมภาคแรกสุด คือเยนนิเฟอร์ ตัวละครที่มีความสำคัญทั้งในนิยายและเกมภาค 3 : The Wild Hunt


(โลกของวิชเชอร์เต็มไปด้วยตำนาน ประวัติศาสตร์ด้านสงคราม ทั้งสงครามระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ สงครามระหว่างมนุษย์กับอมนุษย์อย่างเอลฟ์หรือคนแคระ ฯลฯ)


แถมท้ายอีกนิด

คนที่ไม่ได้อ่านนิยาย แต่อยากรู้เรื่องของโลก The Witcher แบบพอสังเขปทั้งตัวนิยายและเกมละก็ ลองหาหนังสือชื่อ The World of the Witcher ของสำนักพิมพ์ Dark Horse ดูสิครับ



หนังสือเล่มนี้จะบอกเล่ารายละเอียดแบบพอสังเขปตั้งแต่การปรากฏตัวของเผ่าพันธุ์ต่างๆ เหตุผลที่มนุษย์มักรบราฆ่าฟัน รายละเอียดของการถือกำเนิดพวกวิชเชอร์ รายละเอียดของพวกแม่มด ฯลฯ 

รับรองว่าคุ้มมาก!!






คราวต่อไป เรามาคุยกันเรื่อง The Witcher ภาคแรก (2007) กันเถอะ!! 



Create Date : 20 มกราคม 2559
Last Update : 22 มกราคม 2559 23:42:18 น.
Counter : 5852 Pageviews.

0 comment
Pony Island (PC) : เกมพัซเซิลที่หลอนและสร้างสรรค์มาก!
มกราคมปี 2016 เป็นปีที่เกมอินดี้สตาร์ทได้แรงมาก แค่เดือนเดียวผมได้เล่นเกมอินดี้เจ๋งๆถึงสองเกมแล้ว หนึ่งคือ Oxenfree และสองคือ Pony Island

(อย่าโดนหน้าไตเติ้ลหลอก!)


ผม... อธิบายความเป็น Pony Island ได้ลำบากมาก มันคือเกม "พัซเซิล-สยองขวัญ" ที่ให้อารมณ์เหมือนกับ Undertale กับ Her Story ของปีที่แล้ว งานด้านภาพและความกวนโอ๊ยเหมือน Undertale แต่มีการดึงให้ผู้เล่นมาเป็นส่วนหนึ่งของเกมแบบเดียวกับ Her Story

ในเกมนี้คุณจะรับบทเป็น "คนเล่นเกม" ที่กำลังจะเล่นเกม Pony Island เกมม้าสดใสน่ารัก ทว่าไปๆมาๆกลับกลายเป็น "นรก" ที่ต้องหนีเอาตัวรอดชนิดหัวซุกหัวซุน!


(เกมเริ่มต้นมาก็ส่อพิรุธแบบแปลกๆแล้ว)



ความประทับใจอันดับแรกที่มีต่อ Pony Island คือ บรรยากาศของเกมมันหลอนอยู่เอาเรื่อง มันเป็นเกมสยองขวัญแบบที่ไม่มีผีหรือปีศาจโผล่มาให้เห็นเป็นตัวเป็นตนแบบเกมทั่วๆไป "ศัตรู" ที่แท้จริงที่คุณจะต้องต่อกรด้วยอยู่ใน "ทุกในอณูของตัวเกม" ไม่ใช่แค่บอสที่โผล่มาให้เราสู้ในตอนท้ายๆเท่านั้น

คุณจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของเกมอย่างแท้จริง! คุณคือ "ผู้เล่น" ที่ต้องหาทางเอาชนะเกมให้ได้ และด้วยเหตุนั้นเอง เกม Pony Island จึงสามารถสร้างอารมณ์ร่วมกับผู้เล่นจริงๆได้อย่างประหลาด บางส่วนของเกมก็อดทำเอาผมขนลุกไม่ได้เหมือนกัน


('ตัวเรา" จะอยู่หน้าจอตลอดเวลาและมีอะไรพิลึกๆเกิดขึ้นตลอด)


(บางครั้งเราจะได้สนทนากับ "อะไรสักอย่าง" ในเกม)

ความประทับใจอันดับสอง เพื่อจะเอาตัวรอดจากเกมม้านรก โดยส่วนใหญ่แล้วคุณจะต้องเจาะเข้าไปในระบบของเกม Pony Island แล้วแก้ไข "พัซเซิล" ให้ได้ ซึ่งตัวพัซเซิลของเกมนี้ค่อนข้างจะท้าทาย ตอนแรกเหมือนจะง่ายๆ แค่เอาบล็อกลูกศรหรือสัญลักษณ์บางอย่างขยับปรับเปลี่ยนให้ลงช่องสี่เหลี่ยมว่างๆ แต่พอเล่นไปเล่นมาก็ชักจะหินขึ้นเรื่อยๆ (แต่ก็ไม่ยากจนถึงขนาดตึงมืออะไรมากนัก) และบางส่วนก็มีให้เราพิมพ์เป็นคำลงไปด้วย



(นี่คือหน้าตาพัซเซิลส่วนใหญ่ของเกม)


นอกจากพัซเซิลไขปัญหาบนหน้าจอคอมแล้ว บางครั้งคุณต้องเข้าไปเล่นในเกมซึ่งตอนนั้นมันจะกลายเป็นเกมแพล็ตฟอร์มเหมือนอย่างมาริโอ้ คือมีสิ่งกีดขวางแล้วคุณก็ต้องกระโดดข้าม มีศัตรูมาคุณต้องยิงใส่ ฟังดูเหมือนจะง่าย แต่หลังๆนี่มีบางฉากที่เล่นเอาผมเกลียดไปเลย



(บางส่วนของเกมเป็นเกมแพล็ตฟอร์มแบบมาริโอ้)


อันดับสามคือ นอกจากอารมณ์สยองขวัญแบบเน้นขนลุกแล้ว มันยังมีมุกตลกบ้าๆแบบ Undertale แฝงอยู่มากมาย มันเอาความเป็น "เกม" มาใช้ยิงมุก "หลุดกรอบ" อยู่ตลอดเวลา เช่น บางครั้งมันแสร้งทำเป็นว่า "เพื่อนใน Steam" ทักคุณ! (ใช่ มันเอาอวาตาร์ของเพื่อนใน Steam ของเรามาใช้จริงๆ!) หรือบางครั้งก็แกล้งขึ้นหน้าจอว่า "เกม Error"! ไม่ใช่หน้าจออินเตอร์เฟซของเกม แต่เป็นอินเตอร์เฟซของ Window เลย!

ตรงจุดนี้ผมไม่รู้ว่าคนที่เล่นผ่าน Mac จะออกมาเป็นแบบไหน และผมคิดว่าคนที่เล่นก็อปคงไม่ได้อารมณ์ไอ้ตรงที่เพื่อนในลิสต์ของ Steam ทักมาอย่างแน่นอน แต่ถ้าคุณเล่น Window และเล่นของแท้ผ่าน Steam คุณจะได้อรรธรสที่แท้จริงของเกมนี้

เกมนี้แม้จะมีความสั้น 4-5 ชั่วโมงจบ แต่กว่าจะเล่นจบก็รู้สึกเหนื่อยอย่างประหลาด

นอกจากนี้เกมยังมีให้เก็บ "ตั๋ว" ซึ่งมีซ่อนอยู่ในเกมหลายจุด ถ้าคุณเก็บตั๋วได้ครบ คุณจะได้เจอบอสลับของเกมและฉากจบอีกแบบด้วย


เช่นเดียวกับ Undertale ผมมีปัญหาอยู่อย่างหนึ่งกับเกมแนวๆประเภทนี้ นั่นก็คือ ผมรู้สึกว่ามันไม่ใช่เกมแบบ 10/10 มันเป็นเกมที่สร้างสรรค์มากถึงมากที่สุด แล้วเกมเพลย์ก็เพลินมาก แต่มันก็ยังไม่ใช่ 10/10 เกมประเภทนี้ผมจะบอกไม่ถูกว่าทำไมถึงไม่ได้ชอบมันแบบเต็มร้อย เป็นเพราะงานด้านภาพ? ไม่น่าจะใช่ แล้วมันเป็นเพราะอะไรกันแน่ ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน 

ดังนั้น ถ้าจะให้พูดถึงข้อเสียของเกม Pony Island... ผมกลับนึกไม่ออกซะงั้น...

(เหมือนจะสดใส เหมือนจะเอาฮา แต่ด่านนี้ "ท้าทาย" เอาเรื่อง)


สรุป

Pony Island คือเกมพัซเซิล-สยองขวัญที่เหมาะกับคอเกมที่ชอบหาอะไรแปลกๆสร้างสรรค์มาเล่น ผมติดแหงกอยู่หน้าจอเกมราวกับกำลังหาทางเอาตัวรอดจากเงื่อมมือของนรกจริงๆ เกมค่อนข้างสั้น เล่น 4 ชั่วโมงก็จบแล้ว แต่ว่า... นี่จะเป็นหนึ่งในประสบการณ์ที่ได้มอบรสชาติอันแปลกใหม่ให้กับคอเกมอย่างแน่นอน 

อย่างไรก็ตาม ถ้าพูดถึงการเล่นอีกรอบแล้ว ผมรู้สึกอยากกลับไปเล่น Undertale มากกว่านะ


คะแนน : 7.6/10



Create Date : 17 มกราคม 2559
Last Update : 17 มกราคม 2559 20:29:18 น.
Counter : 2050 Pageviews.

0 comment
Oxenfree (PC) : แฟนเกม Adventure จงซื้อมาเล่นซะ!!
แม่เจ้า... แม่เจ้า!!

ปี 2015 ผมมี Life is Strange เป็นตัวเบิกโรงเกมแนว Adventure ที่น่าตื่นเต้นตอนเดือนมกราคม

เดือนมกราคมปี 2016 นี้ผมมี Oxenfree!! ผมซื้อของแท้ในราคา 369 บาทเต็มๆจาก Steam และไม่รู้สึกเสียดายตังค์เลยสักนิด



Oxenfree เป็นเกมเดบิ้วท์เกมแรกของค่าย Night School Studio ซึ่งก่อตั้งโดยอดีตพนักงาน Telltales (ที่ทำ The Waking Dead, The Wolf Among Us) เรื่องราวเกี่ยวกับ Alex เด็กสาววัยรุ่นซึ่งไปเที่ยวเกาะๆหนึ่งกับพี่ชายไม่แท้ชื่อ Jonas และเพื่อนอีกสามคน ทว่าการไปเที่ยวครั้งนั้นกลับกลายเป็นหนึ่งคืนแห่งฝันร้ายไปเสียแล้ว

ผมจะสรุปง่ายๆดังนี้นะครับ



ด้านบวก :

+ ภาพเป็นแบบ 2.5 มิติ (อยู่ระหว่างสองมิติกับสามมิติ) ซึ่งภาพถือว่าสวย มีเสน่ห์ใช้ได้สำหรับเกมอินดี้เล็กๆคนทำไม่กี่คน



+ ระบบตัวเลือกคำพูดลื่นไหลเป็นธรรมชาติ ทำให้บทสนทนากับการเลือกของเราค่อนข้างต่อเนื่อง ตัวเลือกที่ปรากฏขึ้นมีเวลาบีบให้เราต้องรีบเลือก ถ้าไม่เลือกก็จะเลือนหายไป ดังนั้นเราจะต้องตัดสินใจเร็วหน่อย ซึ่งถือว่าทำให้เกมท้าทายขึ้นอีกนิด




+ การเลือกของเราตลอดเกม มีผลต่อตอนจบของเกม

+ เกมเหมือนจะจบในตัว ไม่ใช่แบบ Episode ที่ต้องคอยติดตาม ดีเลย!

+ เนื้อเรื่องน่าสนใจและคนเขียนบทเขียนเรื่องได้น่าติดตามมากถึงมากที่สุด

+ ทั้งภาพและบรรยากาศของเกมทำได้น่าขนลุกในหลายครั้ง!



+ มีอารมณ์แบบ "Lovecraft" (คือสยองขวัญ,ลึกลับที่แทรกความเป็นไซไฟเข้าไป) และ Silent Hill แฝงอยู่



+ บทพูดของตัวละครลื่นไหลเป็นธรรมชาติดีมาก เทียบกับ Life is Strange แล้วบทพูดของ Oxenfree ดีกว่ามาก

+ เสียงพากย์ของตัวละครดีมาก



ด้านลบ :

- เกมสั้น เล่นแค่ 4-6 ชั่วโมงก็จบได้แล้ว

- พัซเซิลแปลกๆ จะว่าแย่ก็ไม่ใช่ แต่จะว่าดีก็ไม่เชิง



- บางครั้งต้องเดินบนเส้นทางเดิมๆสองหรือสามครั้ง การปีนป่ายแรกๆก็โอเค แต่พอต้องปีนขึ้นๆลงๆกลับไปกลับมาก็ชักจะเริ่มเบื่อๆอยู่บ้าง (โดยเฉพาะถ้าคิดจะตามเก็บ "จดหมายที่ซ่อนอยู่ตามฉาก" ให้หมด)



- เกมมีเซฟเดียว และไม่มีให้เซฟเองระหว่างเดินทาง จะเซฟก็ต่อเมื่อตอนเปลี่ยนฉากเท่านั้น (พูดง่ายๆคือถ้าอยากกลับไปเลือกตัวเลือกใหม่ หรือเกมเกิดแฮงค์จนต้องออกจากเกมก่อนได้เซฟ ก็ต้องเหตุการณ์นั้นกันใหม่อีกครั้งตั้งแต่เริ่มเดินเข้าฉากมา)



สรุป :

Oxenfree ไม่ใช่เกม Adventure ที่สมบูรณ์แบบ แต่ถ้าใครชอบเกมที่มีบรรยากาศลึกลับ-สยองขวัญอารมณ์ Silent Hill หรือนิยายแบบ Lovecraft, ชอบเกม Adventure สไตล์ Telltales, ชอบเนื้อเรื่องที่เต็มไปด้วยเรื่องลึกลับน่าติดตาม, ชอบเกมที่มีบทพูดดีๆ ตัวละครน่าสนใจ และมีตัวเลือกที่ส่งผลต่อตอนจบของเกมล่ะก็ ห้ามพลาด Oxenfree โดยเด็ดขาด!



และขอเสริมว่า ซื้อของแท้ไปเถอะ อุดหนุนค่ายเกมเล็กๆแต่ทำออกมาได้ดีเสียหน่อยแล้วกัน 

คะแนน : 8.1/10 



Create Date : 16 มกราคม 2559
Last Update : 16 มกราคม 2559 22:45:10 น.
Counter : 3658 Pageviews.

0 comment
8 อันดับเกม PC ที่ผมอยากขอบคุณประจำปี 2015
ข่าวดี! ปีหน้าโน้ตบุคผมอาจรับมือกับเกมใหม่ๆได้ยากขึ้น! เย้!

ดังนั้นแทนที่จะมานั่งเสียดายหรือขวนขวายซื้ออะไรที่กำลังทรัพย์ยังไม่พร้อม...

ผมควรใช้เวลาทั้งหมดนี้เพื่อขอบคุณเกม PC ที่ผมเล่นในปีนี้จะดีกว่านะ!



อันดับ 8 :

Batman: Arkham Knight


(เนื้อหาส่วนที่ดีที่สุดของเกม)

ในฐานะแฟนแบทแมนทั้งหนังและหนังสือการ์ตูน ผมขอขอบคุณ Rocksteady ที่นำเสนอแบทแมนเวอร์ชั่นเกมได้อย่างยอดเยี่ยม, ขอบคุณในพล็อตที่น่าสนใจ โดยเฉพาะประเด็นเกี่ยวกับแบทแมนและโจ๊กเกอร์ นี่เป็นการสำรวจความสัมพันธ์ของทั้งคู่ที่น่าสนใจและลึกซึ้งที่สุดในบรรดาทั้งสามภาค, ขอบคุณที่มีภารกิจไขคดีฆาตกรรมหรือสถานที่เกิดเหตุที่น่าสนใจ 

ถึงแม้ว่า...

การเปิดเผยตัวจริงของวายร้าย Arkham Knight น่าผิดหวังมากถึงมากที่สุด (อ้อ ไอ้หมอนี่เอง ตูว่าแล้วเชียว), การขับรถแบทโมบิลน่าหงุดหงิดในบางครั้ง และต้องไขปริศนาด้วยแบทโมบิลตลอด (อ๊ะ ปริศนา... อ้อ ต้องขึ้นแบทโมบิลอีกแล้วสินะ เฮ้อ), การต่อสู้ด้วยรถถัง รถถัง แล้วก็รถถัง (อ๊ะ เจอบอส... อ้อ ต้องโหมดรถถังอีกแล้วสินะ เฮ้อ) แล้วก็ตอนจบที่... น่าผิดหวัง (อะไรกัน จบแบบนี้อีกแล้ว ทำไมพักหลังๆใครๆก็ใช้มุกนี้กันเยอะฟะ? เพราะหนังแบทแมนของคริสโตเฟอร์ โนแลน?)


(อย่ามาแอ๊บ! ตูรู้ว่าเอ็งเป็นใคร! เหล้าเก่าในขวดใหม่ชัดๆ!)


อับดับ 7 : 

Life is Strange


(Episode 2 มีซีนที่ทรงพลังที่สุดของซีรีส์)

ขอบคุณเกมที่มีเนื้อเรื่องน่าสนใจ, ขอบคุณเกมที่มีอารมณ์แบบซีรีส์สุดโปรดอย่าง Twin Peaks, ขอบคุณเกมที่สร้างผลกระทบทางด้านอารมณ์ได้อย่างยอดเยี่ยม มีฉากดราม่าดีๆมากมาย, ขอบคุณระบบเกมที่ "ย้อนเวลาได้" ซึ่งทำให้ปริศนาในเกมดูสนุกขึ้น สามารถย้อนเวลากลับไปเลือกเส้นทางที่ตัวเองชอบได้เสมอ, ขอบคุณที่สร้างตัวละครดีๆอย่างแม็กซ์และโคลอี้ขึ้นมา, ขอบคุณตอนจบที่สะเทือนใจ

ถึงแม้ว่า

การดำเนินเรื่องจะค่อนข้างเอื่อยๆในบางครั้ง, ปริศนาไม่ได้ยากหรือท้าทายมากมาย, EP5 โดยรวมน่าผิดหวัง, ทางเลือกในทุก Episode ไม่มีผลต่อตอนจบ สุดท้ายเป็นเหมือน Mass Effect คือจะดีจะเลวขึ้นอยู่กับตัวเลือกก่อนจบ 

(whYYYYYYYYYYYYYYYYY!?)




อันดับ 6 :

Her Story


(นี่แหละเกม อย่าเถียงน่า!)

ขอบคุณสำหรับเกมเล็กๆที่ผูกเรื่องได้ดีและสร้างสรรค์, ขอบคุณที่ “มีกึ๋น” พอจะสร้างเกมโดยไม่มีบทสรุปที่แท้จริง (แต่มีเงื่อนงำให้ผูกเรื่องราวได้เอง), ขอบคุณการเขียนบท “การสอบปากคำ” ที่น่าสนใจ, ขอบคุณที่ทำให้ผมเป็นเหมือนกับนักสืบคอยค้นหาความเป็นจริงว่ามันเกิดอะไรขึ้น, ขอบคุณ! ขอบคุณ! ขอบคุณที่ทำให้ผมรู้สึกหลอนแม้เกมจะจบลงไปแล้ว!

ถึงแม้ว่า

ไม่ค่อยจะท้าทายเท่าไหร่เลยแฮะ


อันดับ 5 :

Metal Gear Solid V : The Phantom Pain


(คลาสสิค!)

ขอบคุณเกมเพลย์ที่ยอดเยี่ยมแห่งปี, ขอบคุณ A.I. ศัตรูที่ฉลาด ปรับกลยุทธ์ไปตามวิธีการเล่นของผม, ขอบคุณที่ทำให้ผมหมดเวลาไปกับการลอบเร้น ค้นหาทหารที่ถูกใจ และลักพาตัว...หมายถึง พากลับฐานมาเป็นพวก, ขอบคุณเวลาเป็นชั่วโมงๆกับการหาวิธีปฏิบัติภารกิจให้เสร็จสิ้นด้วยวิธีที่หลากหลาย, ขอบคุณเทปคลาสเซ็ทเพลง 80 ที่ยอดเยี่ยม, ขอบคุณตัวละครไควเอท... อย่ามาแตะไควเอทตูนะเฟ้ย ไอ้พวกมือถือสากปากถือศีล!

ถึงแม้ว่า

โลกโอเพนเวิลด์จะแล้งๆน่าเบื่อ (ถ้าเทียบกับอะไรที่คล้ายๆกันอย่าง Far Cry) , เนื้อเรื่องที่น่าผิดหวัง (สำหรับเกมซีรีส์ MGS ที่มีจุดเด่นด้านเนื้อเรื่องมาตลอด), ภารกิจซ้ำๆไปมา โดยเฉพาะของ Chapter 2 ที่แม่งเอา Chapter 1 มาให้เล่นใหม่อีกรอบในโหมด Challenge เนี่ยนะ?, ต้องเล่นฉาก Prologue ใหม่ตั้งแต่ต้นเพื่อดูฉากจบที่แท้จริงเนี่ยนะ?, แบทเทิลเกียร์อุตส่าห์แนะนำอย่างเท่แต่ไร้ประโยชน์ต่อเกมโดยรวม?, มาเธอร์เบสกว้างไปเพื่อ?, การสู้กับบอสไม่สนุกเท่ากับภาคก่อนๆ, Chapter 51 ที่ถูกตัดไป... สรุปคือเกมมันไม่เสร็จนี่หว่า!! ฮ่วย!!


(แบทเทิลเกียร์ แนะนำอย่างเท่เพื่อ?)


อันดับ 4 :

Undertale


(หนึ่งในพัซเซิลที่กวนตีนมาก!)

ขอบคุณเกมเล็กๆที่สร้างสรรค์, ขอบคุณที่จิกกัด JRPG (เกมอาร์พีจีญี่ปุ่น) จนพรุนได้อย่างน่ารักน่าชัง, ขอบคุณระบบเกมที่มีอะไรพลิกล็อกทำให้ผมคาดไม่ถึง, ขอบคุณที่เส้นทางการเลือกของผมมีผลตลอดทั้งเกมชนิดที่เรียกว่าผลลัพธ์ตอนท้ายเกือบเป็นอะไรที่ขำไม่ออก, ขอบคุณความคลุมเครือทางด้านศีลธรรมที่ลึกกว่าเกมใหญ่ๆอย่าง Fallout 4 เสียอีก, ขอบคุณมินิเกมบ้าสุดโต่ง, ขอบคุณความ “กวนตีน” ของผู้สร้างเกมในระดับสุดยอด (ต้องใช้ว่า “ช่างกล้า”), ขอบคุณเพลงเพราะๆสำหรับเกมอินดี้เล็กๆ

ถึงแม้ว่า

การดีไซน์แมพมันจะโล่งๆแบบประหลาดๆ... เหมือนตัวแมพจะไม่ได้ถูกเน้นความสำคัญอะไรมาก

(ไอความบ้าคลั่งของบอสใหญ่นี่มันอะไรกัน!?)




อันดับ 3 :

Fallout 4


(บางอารมณ์ให้ความรู้สึกเหมือนคาวบอยท่องโลกกว้าง)

ขอบคุณเวลาเป็นชั่วโมงๆที่ผมได้เสียไปกับเกม “Action-Survival” เกมนี้, ขอบคุณที่ทำให้ผมได้สนุกกับการออกสำรวจโลก ค้นหาขยะ สร้างบ้านเป็นของตัวเอง อัพเกรดอาวุธด้วยขยะเล็กขยะน้อย, ขอบคุณที่ระบบยิงของภาคนี้อัพเกรดจากภาคก่อนๆเยอะจนสู้ได้สนุก, ขอบคุณที่ศัตรูมีความยากขึ้น หลบหลีกจนรู้สึกว่าน่ารำคาญ, ขอบคุณที่สร้างโลกซึ่งทุกๆอย่างพร้อมจะฆ่าผมให้ตายได้ทุกๆเมื่อ เช่น น้ำ แมลง โจร ซูเปอร์มิวแตนท์ หุ่นยนต์ ฯลฯ, ขอบคุณที่การสำรวจทุกอย่างให้ Exp หมดเหมือนภาคก่อนๆ ดีจัง!

ถึงแม้ว่า

โหลดนานนนนนเป็นบ้า หงุดหงิดเว้ย!, ความเป็น RPG ลดลงไปเยอะ (ถ้าเทียบกับ New Vegas กลายเป็นเกมแอ็กชั่น-เซอร์ไววัลไปแล้ว), บั๊กเยอะว่ะ, ระบบทางเลือกด้วยคำพูดบางครั้งก็ดี บางครั้งก็แย่, “เส้นทางเลือก” ของเราไม่ได้มีผลลัพธ์ที่น่าสนใจ ไม่ว่าผมจะเลือกเข้าข้างกลุ่มไหน พอถึงตอนจบก็จะลงท้ายที่อะไรคล้ายๆกันอยู่ดี (ไม่เอาน่า เกมเล็กๆอย่าง Undertale ยังทำได้ดีกว่าเลย!), A.I. ตัวละครบางครั้งก็งี่เง่า, บทพูดตัวละครซ้ำๆจนบางทีก็รู้สึกรำคาญ (พูดแบบเดิมอยู่นั่นแหละ ไอ้เวร! Shut up!)


(เฮ้อ ไม่ต้องกลัวว่าภาพนี้จะสปอยล์หรอก ฉากจบน่าผิดหวังจนไม่รู้จะสปอยล์ยังไง)


อันดับ 2 :

Grand Theft Auto V


(มินิเกมที่เล่นเพลินจนลืมเวลา!)

ขอบคุณเกมอาชญากรรมชั้นเยี่ยม, ขอบคุณสำหรับเวอร์ชั่น PC ที่ยอดเยี่ยม, ขอบคุณโลกโอเพ่นเวิลด์ที่น่าสนใจ มีอะไรเล็กๆน้อยๆเกิดขึ้นตลอด, ขอบคุณภารกิจที่หลากหลาย, ขอบคุณการเขียนบทที่แสบๆมันๆ, ขอบคุณมินิเกมที่มีตั้งแต่เล่นเทนนิส เล่นกอล์ฟ จนไปถึงปั่นจักรยานภูเขา! หรือหา “คุณตัว” มาแอบจู๋จี๋บนรถ (ได้ถึงสามยก!...)

ถึงแม้ว่า

ตัวละครแต่ละตัว โดยรวมแล้วจะค่อนข้างน่าสนใจน้อยไปนิด (ต้องอยู่รวมกันเท่านั้นถึงจะน่าสนใจ)


(บางครั้งเทรเวอร์ก็โรคจิตเกินความจำเป็น)


อันดับ 1 :

The Witcher 3


(ครอบครัวที่ไม่ปกติ พยายามเล่นบท "พ่อ,แม่,ลูก" แบบครอบครัวปกติ)

ขอบคุณเกม Action-RPG ที่มีระบบอันลุ่มลึก, ขอบคุณตัวละครที่น่าสนใจ ไม่ใช่แค่ตัวเกรัลท์กับซิริ แต่รวมถึงตัวละครประกอบเล็กๆน้อยๆซึ่งเขียนบทได้ดีกว่าตัวละครใหญ่ๆใน MGS V : TPP เสียอีก!, ขอบคุณองก์สองของเกมที่ยอดเยี่ยมจนผมแทบน้ำตาไหล, ขอบคุณการที่ทำให้ผมได้สวมบทบาทเป็นเดอะวิชเชอร์ ท่องไปทั่วทั้งดินแดน รับฟังคำขอร้องจากคนนู้นคนนี้แล้วจึงออกปราบภูตผีปิศาจโดยต้องคอยเช็คประวัติของศัตรูว่ามันแพ้อะไร, ขอบคุณระบบตัวเลือกตลอดทั้งเกมที่มีผลต่อตอนจบ ไม่ใช่แค่ “สามตอนจบหลัก” เท่านั้น แต่ยังมี “ตอนจบย่อย” ที่หลากหลายไปตามการกระทำของผม, ขอบคุณเนื้อเรื่องที่แสนจะกินใจ เรื่องราวฉันท์พ่อลูกระหว่างเกรัลท์กับซิริทำให้ผมน้ำตาซึม, ขอบคุณโลกที่งดงาม, ขอบคุณ "วิชเชอร์เซนส์" ซึ่งทำให้ผมได้เล่นทั้งบทบาทของนักล่าปิศาจและเชอล็อกโฮลมส์ในเวลาเดียวกัน, ขอบคุณ DLC อันยอดเยี่ยม, ขอบคุณ CD Projeckt Red ผู้พัฒนายอดเยี่ยมแห่งปี คุณน่ารักมากในหลายเรื่องๆ

ถึงแม้ว่า

ระบบการต่อสู้จะรู้สึกน่าหงุดหงิดในบางจังหวะ, เกลียดบั๊กเสียงประหลาดๆ อย่างเสียงปรบมือเปาะแปะที่ไม่ค่อยเข้ากับภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้า, การต่อสู้กับบอสน่าผิดหวังไปหน่อย, องก์แรกเริ่มเรื่องช้าไปหน่อย ส่วนองก์สามแผ่วลงไปนิด


(บอสไวลด์ฮันท์น่าผิดหวัง)




Create Date : 30 ธันวาคม 2558
Last Update : 30 ธันวาคม 2558 23:46:30 น.
Counter : 3759 Pageviews.

1 comment
Fallout 4 : ขอเชิญทัวร์บ้านหลังแรกของผม!! T . T
เกม Fallout 4 ที่เพิ่งออกขายเมื่อต้นเดือนพฤศจิกายน 2015 นอกจากโลกจะค่อนข้างใหญ่เป็นอิสระแล้ว ยังมีให้เราสร้างบ้านได้อีก ตอนแรกก็ไม่ได้ตั้งใจจะสร้างอะไรมากมายหรอกครับ แต่แค่รู้สึกว่า "เอาวะ ลองดูหน่อย" แล้วก็กลายเป็นการติดลมจนเป็นแบบนี้แหละครับ!

หมายเหตุ : ยังไม่เสร็จร้อยเปอร์เซ็นต์ ยังไม่ได้เดินไฟฟ้า เลยไม่รู้ว่าจะต้องขยับอะไรตรงไหนอีก



ไม่ได้สวยหรูอะไรมากมายแต่ก็รู้สึกภูมิใจละนะ มันเหมือนกับสร้างบ้านด้วยมือตัวเองเลย เพราะเริ่มตั้งแต่ยังเป็นพื้นที่โล่งๆ ในรูปด้านล่างคือผมยังไม่แน่ใจว่าจะทำประมาณไหนดี เลยลองติดประตูไว้ก่อน แต่ก็จะเห็นว่าสุดท้ายคือไม่ได้ใช้มันอยู่ดี


พูดถึงระบบการสร้างบ้าน รู้สึกว่าจะไม่ค่อยยืดหยุ่นเท่ากับพวก The Sims แต่ก็อย่างว่า เกม Fallout 4 คือเกม RPG ไม่ใช่แนวซิมูเลเตอร์ ฟังก์ชั่นการสร้างบ้านเลยออกมาแบบสำเร็จรูปเสียมากกว่า มันค่อนข้างง่ายนะถ้าจะสร้างแบบตามแพทเทิร์นของมัน แต่พอจะสร้างแบบสร้างสรรค์หน่อย รู้สึกว่าลำบากนิดๆ (อาจเป็นเพราะยังไม่ชินเองก็ได้)






คอนเซ็ปท์บ้านของผมนั้นง่ายมาก

ชิว โปร่ง เหมือนอยู่รีสอร์ทใกล้แม่น้ำ

ครับ โปร่งแบบไม่ต้องห่วงขโมยขโจรกันเลยทีเดียว แต่เนื่องจากมันเป็นเกม ผมเลยขอจัดเต็มแบบไม่ต้องสนใจอะไรทั้งสิ้นนอกจาก "ตัวเราอยากจะได้แบบไหน"

ดังนั้นตัวบ้านส่วนใหญ่จะค่อนข้างโปร่งครับ เป้าหมายคือ ต้องการให้เห็นวิวทิวทัศน์ที่เป็นแม่น้ำกับป่าให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้

มาดูด้านหน้าก่อนครับ ด้านหน้าจะมีกำแพงปิดทึบกว่าด้านหลังหน่อย ยกเว้นตรงบันไดที่จะขึ้นจากชั้นสองไปยังชั้นสาม ผมเลือกจะให้มันเปิดโล่งแล้วก็ใช้กำแพงไม้มากั้นเพื่อไม่ให้ตก ทำให้วิ่งขึ้นได้สบายมาก


ส่วนพื้นที่ว่างอีกด้านของตัวบ้าน บอกตามตรงว่ายังไม่รู้จะเอามาทำอะไร เอาไว้คิดทีหลังก็แล้วกันครับ



จริงๆผมโอเคที่ผนังส่วนใหญ่ของตัวบ้านจะโล่งๆ เพียงแต่ว่าถ้ามันมีคอนเซ็ปท์ของการเป็น "ร้านอาหาร" เหมือนรีสอร์ทใกล้แม่น้ำ เลยรู้สึกว่าควรจะติดอะไรเพิ่มเข้าไปหน่อย เลยเลือกแป้นบาสเก็ตบอลเพราะดูเก๋ดี ส่วนของชั้นสามเป็นหัวของวัวกลายพันธุ์ (มีสองหัวติดกันในตัวๆเดียว)



ด้านหน้าของบ้านก็คือโซนร้านอาหารหรือที่ให้แขกนั่งเหมือนกัน บริเวณนี้ผมกำหนดให้ลูกค้าสูบบุรี่ได้ตามใจชอบ แต่ด้านในร้าน... "ห้ามสูบบุหรี่"!!!



โต๊ะกลมสองตัวนั้น ตอนแรกผมจะเอาไปใส่ไว้ภายในร้านชั้นหนึ่ง เพียงแต่มันดูเกะกะเลยต้องอัปเปหิมันออกมาอยู่ด้านนอก ซึ่งลูกค้าก็สามารถมานั่งชิว ชมภาพชีวิตของชาวบ้านได้ครับ



อีกด้านของด้านหน้าเป็นโซฟาให้ลูกค้ามานั่งชิวอีกเหมือนกัน หรือใครจะใช้ตรงนี้สำหรับนัดแนะกับเพื่อนฝูงก่อนเข้าร้านก็ได้ หรือเบื่อๆอยากออกมาสูบบุหรี่พลางชมชีวิตของชาวบ้านก็ไม่มีปัญหา




ตรงด้านหน้าบ้านจะมีทางขึ้นไปยังชั้นสองซึ่งก็คือบ้านส่วนตัวของผมเอง เพื่อให้ตรงคอนเซ็ปท์ "บ้านโปร่งเหมือนรีสอร์ทใกล้แม่น้ำ" ตรงชั้นสองจะมีประตูรั้วกั้นเอาไว้ด้วย แล้วทำไมถึงไม่เอาบันไดไปไว้ด้านข้างหรือด้านหลังล่ะ? อืม... นั่นสินะครับ ฮ่าๆๆๆ! หาข้อแก้ตัวไม่ถูก!



ที่อยู่ติดกับบันไดคือ "ห้องส้วม" ครับ แต่อย่าถามผมว่าทำไมมันถึงไม่มีอ่างล้างมือด้วย ...ไปถามคนทำเกมเถอะครับ

ด้านหน้าห้องส้วม ผมเลือกแพทเทิร์นที่ทรงสี่เหลี่ยมจตุรัสที่มีกำแพงกับช่องประตูตรงกลาง ทำให้พื้นที่ด้านหน้าทางเข้าห้องน้ำดูดีขึ้นมาหน่อย แล้วก็มีติดป้ายสัญลักษณ์ชายหญิงกับตกแต่งรูปปั้นอะไรเล็กน้อยด้วย ผมค่อนข้างชอบตรงด้านนี้เลยนะ

ข้อเสียของห้องส้วมนี้คือ ฟากด้านในตัวห้องส้วมค่อนข้างแคบ ชนิดที่เรียกว่าน่าอึดอัดเลยละ


ส่วนประตูห้องส้วม ผมเลือกใช้บานประตูสีแดงเพราะลองใช้สีอื่นแล้วมันดูกลืนๆ แล้วก็เลือกอันที่มีช่องด้านบน เพราะอะไรน่ะเหรอครับ? เพื่อระบายอากาศไงเล่า!



ทีนี้มาดูด้านในบ้าง ตัวโถส้วม... มันเละอย่างที่เห็นนี่แหละครับ หาอันดีๆมาใช้ไม่ได้เลย... ไม่สิ รู้สึกว่าในเกมจะไม่มีโถดีๆให้เราเอามาใช้เลยนะ แย่จัง... แน่นอนว่าถ้าเป็นของจริง ผมต้องเลือกอันที่ดีที่สุดอยู่แล้ว!



ด้านตรงข้ามโถส้วมคือรูปภาพ เอาไว้ผ่อนคลายเวลาขับถ่ายครับ ฮ่า... ชิวซะไม่มี แน่นอนว่าของจริงผมต้องมีติดเทียนอาโลม่าหรืออะไรสักอย่างด้วย

ก็ห้องส้วมมันคือส่วนที่สำคัญที่สุดของบ้านหรือรีสอร์ทใช่มั้ยล่ะ!?




ทีนี้มาดูด้านหลังบ้าง

ด้านหลังมุมเฉียง : ด้านซ้ายของภาพคือครัวกลางแจ้งนั่นเองครับ จากมุมนี้เราจะเห็นแค่ "ส่วนหนึ่ง" ของตัวบ้าน ไม่เห็นทั้งหมด ปัญหาคือ ถ้าเอามาใช้สร้างในชีวิตจริง เราจะต้องเผชิญทั้ง "ถ้ำมอง" จากฟากตรงข้าม, โจรที่ถ้าหากจะปีนก็ปีนกันง่ายๆ แล้วก็ยุงหรือสัตว์อย่างพวกตุ๊กแกหรืออะไรแบบนี้แหละ! 



ด้านหลังตรงบริเวณครัว จะมีทางลงให้มาทิ้งขยะได้ด้วย เป็นจุดเดียวของบ้านที่เชื่อมระหว่างด้านหน้าบ้านกับด้านหลังบ้านครับ



ครัวกลางแจ้งนั้น จะเห็นว่าผมต่อพื้นออกไปนอกบริเวณ มีที่ปิ้งย่างซึ่งใช้การอะไรไม่ได้ในเกม แต่ดูเข้ากับบรรยากาศดีเลยเอามาใช้ ส่วนที่อยู่ถัดออกไปคือ Cook Station ที่เอาไว้ให้เราย่างเนื้อของสัตว์กลายพันธุ์จริงๆ


มาดูต่อที่ภาพด้านหลังมุมตรง จะเห็นว่าผมต้องการความโปร่งโดยเน้นที่ "ทิวทัศน์" แม่น้ำกับป่าเป็นหลัก



ต่อมาก็คืออีกมุมของด้านหลัง ซึ่งได้มีสร้างรั้วเอาไว้ด้วย



รั้วเนี่ย ผมทำให้มันรัดกุมจนปีนขึ้นจากตรงนี้ไม่ได้ ถึงผมจะเน้นคอนเซ็ปท์ "โปร่ง" แต่ก็อยากจะทำรั้วกั้นเอาไว้บ้างเพื่อให้มันดูดีหน่อย ผมลองกระโดดดูแล้ว ข้ามไม่ได้แน่นอน (แต่ถ้าเป็นของจริงละก็ ปีนได้สบาย ฮ่าๆ)





ชั้น 1

ตั้งใจทำบ้านแบบชิวๆ แต่คิดไปคิดมาก็ "เอ๊ะ ถ้าทำให้บรรยากาศเหมือนร้านล่ะ" ก็เลยเป็นที่มาของคอนเซปท์ "บ้านโปร่งที่เหมือนรีสอร์ทใกล้แม่น้ำ" ถ้าดูจากด้านหน้า ลูกค้าจะมองทะลุตัวร้านจนเห็นวิวทิวทัศน์ด้านหลังได้ระดับหนึ่ง นี่คือสิ่งที่ผมชอบเวลามองจากหน้าบ้าน

หัวใจของจุดนี้ และเป็นจุดที่ผมสร้างเป็นอันดับแรกสุดของตัวบ้านเลยก็คือ บริเวณเคาน์เตอร์สำหรับนั่งชิวนี่แหละครับ!



ดูจากภาพจะเห็นว่าตรงมุมหนึ่งมีทีวีตั้งอยู่เอาไว้ดูอะไรขำๆพลางนั่งจิบเครื่องดื่มไปด้วย ด้านขวาจะเห็นสะพานทางเข้าของหมู่บ้าน

ทีนี้ถ้าลองมองไปด้านซ้าย เราจะเห็นภาพอันสวยงามของแม่น้ำและป่า... โอ้ว สุดยอด เลยคิดดูสิครับ นั่งจิบเบียร์หรือไวน์ดีๆ บนเคาน์เตอร์แล้วก็ดูวิวแบบนี้ไปด้วย... ผมละแทบอยากจะกระโดดเข้าไปในเกมนี้ทันทีเลย!



ตอนกลางคืนก็มีลูกน้องเรามานั่งดื่มด้วย ยังไม่ได้ติดไฟฟ้าเลยมืดๆหน่อย... ชิวเลยสินะ แก!



ถัดมาทางด้านหลังเคาน์เตอร์จะมีโต๊ะแบบแฟมิลี่ (โต๊ะใหญ่) ใกล้ๆกันเป็นตู้เพลงเอาไว้ฟังชิวๆ



โต๊ะแบบแฟมิลี่นั่น ถ้านั่งหันหลังให้วิว จะได้เห็นหน้าร้านเวลาใครเดินเข้าออก กับภาพน้องหมาน้องแมวเอาไว้ดูแก้เบื่อด้วย



แต่ท่านั่งอีกฝั่งก็จะแจ็กพ็อตนิดนึง เพราะได้เห็นวิวกับบรรยากาศโล่งๆโปร่งๆของตัวร้าน ถ้าตรงเคาน์เตอร์ไม่ว่าง มานั่งตรงนี้แทนก็โอเคอยู่




ที่ว่ามานั่นคือโซนด้านขวาของชั้นหนึ่ง ทีนี้มายังโซนด้านซ้ายบ้าง โซนทางด้านซ้ายนี้จะเน้น "ความเป็นส่วนตัว" มากกว่าจะนั่งชมวิวทิวทัศน์กัน

พอเดินเข้ามาก็จะเห็นโซฟาเดี่ยวสีแดงซึ่งตั้งหันหน้ามาทางทางเข้าของร้าน นั่งตรงนี้อาจไม่เห็นวิว แต่ได้ดูภาพชีวิตของชาวบ้าน "แบบในร่ม" แทน เอาไว้สำหรับต้องการนั่งขำๆ ไม่ได้กินอะไรหนักๆ แค่เครื่องดื่มเล็กๆน้อยๆแล้วค่อยไป หรือไม่ก็รอคน




ถัดจากโซฟาสีแดงไป จะมีโต๊ะกลมเล็กสามตัวกับเคาน์เตอร์เล็กอีกหนึ่งตัว



เริ่มไล่นั่งจากตัวด้านในสุดของร้านกันเลยนะครับ เก้าอี้ตัวด้านในสุดนี่... ค่อนข้างจะเป็น "โลกส่วนตัว" คือแทบไม่เห็นวิวหรืออะไรมากมาย เรียกว่าเอาไว้ใช้คุยงานกันอย่างเดียวเลยจริงๆ



ส่วนที่นั่งอีกฟากของโต๊ะด้านในสุด ก็จะได้เห็นโลกภายนอกกับเขาบ้าง แต่แค่นิดหน่อยน่ะนะ


ถัดมาเป็นโต๊ะกลมที่ก็ถือว่าอยู่ด้านในสุดอีกเหมือนกัน ถ้านั่งฝั่งหนึ่งเราพอจะเห็นท้องฟ้ากับป่าอยู่บ้าง ถือว่าไม่อึดอัดจนเกินไป เหมาะแก่การนั่งกินข้าวอย่างเดียวหรือนั่งคุยงานไม่ก็เรื่องสำคัญอีกเช่นกัน



ส่วนที่นั่งอีกด้านของโต๊ะตัวนี้ ก็ค่อนข้างจะโอเคกว่าโต๊ะด้านใน อย่างน้อยคือจะได้เห็นโลกภายนอกของฝั่งตัวหมู่บ้าน ตอนสร้างใหม่ๆมีลูกค้ามานั่งดื่ม ก็ไม่เห็นบ่นไรนะ ฮ่าๆๆๆ



ถัดออกมาคือตัวที่อยู่ใกล้กับโซฟาสีแดงที่สุด โต๊ะตัวนี้แน่นอนว่าต้องเห็นวิวด้านนอกมากขึ้นกว่าสองตัวด้านใน



ลองหันหน้านั่งไปทางหน้าร้าน ก็เห็นวิวหมู่บ้านได้อยู่ระดับหนึ่ง ถ้าหันหน้าไปทางหลังร้าน ก็จะเหมือนกับตัวด้านในก่อนหน้านี้ ไม่ได้ต่างกันมากเท่าไหร่



ในบรรดาโซนด้านใน จุดที่จะเห็นวิวได้มากสุดคือตรงเคาน์เตอร์นั่นเอง แน่นอนว่าเอาไว้สำหรับนั่งชิวคนเดียวเวลาต้องการเห็นมุมอื่นนอกจากทิวทัศน์ฝั่งแม่น้ำหรือป่าบ้าง (หรือเคาน์เตอร์ตรงนั้นเต็ม เลยต้องมานั่งตรงนี้แทน ซึ่งก็ยังถือว่าดีกว่าโต๊ะกลมด้านในสุด)




เอาละ จบทัวร์ชั้นที่หนึ่งแล้ว ไปทัวร์ชั้นสองกัน


ชั้น 2

คอนเซ็ปท์ของชั้นสองคือ "ที่อยู่อาศัยแบบโคตรจะโล่งโจ้ง" ใช่แล้ว นอนตากลม อาบน้ำตากลมกันเลยทีเดียว!

พอขึ้นบันไดจากทางหน้าบ้านแล้วเปิดประตูรั้วมาปุ๊บ... ทางด้านหนึ่งจะเป็นห้องนอนครับ ห้องนอนนั้นผมเลือกปิดสามมุมแล้วเปิดโล่งอีกมุมหนึ่งแทน เป็นการสร้างความเป็นส่วนตัวขึ้นมาอีกนิด พูดง่ายๆคือ เป็นการ "แบ่งโซนด้วยความรู้สึก" มากกว่าจะมีกำแพงมาช่วยกั้น 

ถ้าผมมีเมียแล้วเมียถามผมว่า "นี่ พี่ ทำไมเปิดโล่งซะขนาดนี้ล่ะ เวลามีอะไรกันจะทำไง"

ผมก็คงจะตอบว่า

"ก็ทำให้มันดังสนั่นไปเลยสิจ้ะ ที่รัก"

ฮ่าๆๆๆๆ!!!

อ้อ ตรงปลายเตียงนอนคือตู้ใส่ของครับ



ถ้าตื่นนอนตอนเช้ามา เราจะเห็นวิวทิวทัศน์ทันทีเลยครับ เพราะอย่างนี้ผมเลยเลือกจะเปิดโล่งแทนการปิดด้วยฝาผนัง 

แต่ถ้าเป็นของจริง แน่นอนว่าจะต้องเลือกติดด้วยกระจกแทนเพื่อกันยุงหรือสัตว์เลื้อยคลานทั้งหลาย


ส่วนรูปภาพประดับห้องนอน ผมเลือกติดตรงด้านข้างมากกว่าจะเป็นตรงหัวนอนก็เพราะ เวลาที่นอนลงไป (หันหัวไปทางกำแพง) สายตาของเราก็จะเห็นภาพทันทีเลยไงครับ

ภาพที่ผมเลือกส่วนใหญ่จะเกี่ยวข้องกับทะเล เอาไว้เพื่อผ่อนคลายอารมณ์ทั้งก่อนนอนและหลังตื่น



ทีนี้มาถึงส่วนสำคัญ "ห้องอาบน้ำ" ครับ

ใช่ ผมเรียกว่า "ห้องอาบน้ำ" แต่แม่มเปิดโล่งเลยครับ! ถึงได้เรียกว่าลงอ่างแช่น้ำตากลมไง! 

เซ็กซี่ชะมัด!



ที่ผมทำแบบนี้เพราะ เวลาลงอ่างอาบน้ำ เราจะเห็นวิวที่สวยใช้ได้เลยครับ 


...อ้อ เช่นกัน ถ้าเป็นของจริงก็ต้องมีกระจกมากั้นแทนฝาผนังเพื่อกันสิ่งแปลกปลอมอันไม่น่าพึงประสงค์ทั้งหลาย

เอาละ จบชั้นสองแล้ว ไปชั้นสามกันต่อเลย!


ชั้น 3

ผมพยายามสร้างบ้านทั้งหมดมานี่ก็เพื่อชั้นนี้เลยครับ ชั้นที่สาม ชั้นที่เอาไว้สำหรับนั่งอ่านหนังสือชิวๆ 

เนื่องจากว่ามันเป็นเกม ผมเลยไม่ต้องกังวลเรื่องฝนตกหรืออะไรมากนัก เลยเลือกจะสร้างบริเวณสำหรับนั่งอ่านหนังสือเงียบๆ หรือนั่งชิวเงียบๆคนเดียวแบบเปิดโล่งที่สุดเท่าที่จะทำได้ เน้นให้เห็นวิวของแม่น้ำกับป่าในวงกว้าง และเห็นมุมสวยได้ดีกว่าตรงเคาน์เตอร์ชั้นหนึ่ง



พูดถึงบันไดทางขึ้นชั้นสามนิดหน่อย ผมเลือกจะให้มันเปิดโล่งที่สุดตามคอนเซ็ปท์ที่อยู่ในหัว ถ้าดูจากนอกบ้านจะเห็นว่าตรงบันไดผมเอาไม้มาปิดกั้นทั้งตรงปลายบันไดชั้นล่างและหัวบันไดชั้นบน ทั้งหมดก็เพื่อให้วิ่งขึ้นวิ่งลงได้สะดวก ไม่เผลอวิ่งตกจากบ้านไปก่อนนั่นเอง

ตอนออกแบบตรงนี้ผมกังวลว่าจะเอาอะไรมาวางเป็นรั้วให้พอดี จะเห็นว่าส่วนหนึ่งเป็นการเอาเสามาปักๆแทนกำแพง เพราะตัวเลือกในเกม (เท่าที่ผมเห็นอยู่ตอนนี้) มันไม่มีกำแพงที่ดูเหมาะ เลยต้องใช้วิธีปักๆๆๆแบบนี้แทน ซึ่งก็ออกมาดูเก๋ดี



ก่อนจะเข้าไปบริเวณที่อ่านหนังสือ ก็ต้องผ่านประตูรั้วด้วยเหมือนกันครับ



แล้วก็มาถึงหัวใจสำคัญครับ ฮ่า... นี่แหละที่ผมต้องการ การสร้างบ้านทั้งหมดได้บรรลุเป้าหมายแห่งการฟินแล้ว

ทั้งในเกมและชีวิตจริง ผมอยากนั่งชิว กินบรรยากาศไป จิบกาแฟไป อ่านหนังสือไปแบบนี้แหละครับ



องค์ประกอบสำคัญของบริเวณอันสุดรักคือ เก้าอี้เอนหลังพร้อมที่พาดขาหนึ่งตัว โคมไฟตั้งพื้นเอาไว้ใช้อ่านหนังสือตอนกลางคืน และโต๊ะเล็กสำหรับวางหนังสือ แก้วกาแฟ และกากาแฟนั่นเอง

เท่านี้แหละ เรียบง่ายแต่โคตรฟิน!



เวลานั่งแล้ว เราก็มองวิวได้อย่างทั่วถึง ผมคำนึงถึงเวลาที่อ่านหนังสือจนเหนื่อยสายตาแล้วอยากพักบ้าง ลองนึกดูสิครับ พอลดหนังสือลงปุ๊บ ภาพแบบนี้ก็ปรากฏขึ้นมาทันที... โอ้ พระเจ้า ผมขอบ้านที่มีมุมเจ๋งๆแบบนี้สักหลังเหอะ!!





นี่แหละครับ "บ้านกึ่งร้านอาหารสไตล์รีสอร์ทใกล้แม่น้ำ" มันเหมือนจะเป็นแค่เกม แต่ส่วนหนึ่งมันคือภาพสะท้อนในความรู้สึกของผมที่อยากจะได้อะไรแบบนี้ในชีวิตจริง

โดยรวมแล้วผมค่อนข้างพอใจและภูมิใจกับบ้านหลังแรกในเกม Fallout 4 ซึ่งไม่ได้คำนึงเรื่องความเป็นจริงอะไรมากมาย ไม่ได้คำนึงถึงความสูงหรือความใหญ่โตมโหฬาร แต่เน้นไปที่ "บรรยากาศ" ถ้าเอาแนวความคิดนี้ไปประยุกต์กับของจริงได้ก็คงดี

ปัญหา (ในเกม) ตอนนี้มีแค่ว่า 

1) ถ้าเดินไฟฟ้าแล้ว จะต้องปรับเปลี่ยนตรงไหนอีกหรือเปล่า

และ

2) พื้นที่ชั้นสาม หัวใจของบริเวณอ่านหนังสือก็จริง แต่ด้านในจะมีส่วนที่เป็นกำแพงโอบสามด้านเหมือนกับตรงห้องนอนของชั้นสอง บริเวณนั้นผมเอาไว้เก็บของ แต่ไอ้ตรงที่เปิดโล่งอีกด้านนี่น่ะสิ จะทำยังไงกับมันดี







Create Date : 15 พฤศจิกายน 2558
Last Update : 15 พฤศจิกายน 2558 17:26:14 น.
Counter : 6586 Pageviews.

0 comment
1  2  3  4  5  6  7  8  

หมาหัวโจก
Location :
กรุงเทพ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 18 คน [?]



All Blog