12 วัน 12 หนัง Star Trek : Day 4 - The Voyage Home


นี่คือ "12 วัน 12 หนัง Star Trek" เป็นการเอาหนัง Star Trek กลับมาดูอีกรอบรวดเดียว 12 ภาค (ยกเว้น Insurrection กับ Nemesis ที่นับว่าเป็นการดูครั้งแรก) แล้วอัพบล็อกแบบ "1 วันต่อ 1 ภาค" หลายๆภาค เมื่อเอากลับมาดูอีกรอบ จะรู้สึกยังไงกันนะ?

อนึ่ง#1 ไม่นับ Star Trek Beyond ซึ่งยังอยู่ในโรงภาพยนตร์และมีเขียนเอาไว้แล้ว
อนึ่ง#2 คะแนนที่ให้เป็นแค่ความชอบส่วนตัว หาได้เป็นตัวกำหนดความคลาสสิคหรือความนิยมไม่




Star Terk IV: 
The Voyage Home (1986)


[เรื่องราวเป็นแบบไหน]

หลังจากเคิร์กและลูกทีมเอนเตอร์ไพรส์สามารถช่วยชีวิตสป็อกได้สำเร็จ พวกเขาตัดสินใจจะกลับไปยังโลกเพื่อรับผิดชอบการกระทำที่เกิดขึ้น ทว่าตอนนั้นเอง โลกกำลังเผชิญหน้ากับวิกฤติครั้งใหญ่อีกครั้งหนึ่ง เมื่อมีโพรบ (ยานสำรวจ) ลึกลับจากต่างดาวบินมายังโลกมนุษย์ ส่งสัญญาณประหลาดออกมา และทำให้พื้นโลกปั่นป่วน 

ดูเหมือนว่าโพรบนั่นจะส่งสัญญาณหาวาฬ ทว่าในศตวรรษที่ 23 วาฬได้สูญพันธ์ไปแล้ว เคิร์กกับพวกลูกเรือจึงต้องย้อนเวลาไปในยุคที่มีวาฬอยู่ แล้วหาทางเอาวาฬกลับมายังศตวรรษที่ 23 ให้ได้!



Smiley

[มันเป็นยังไง]

เขาถือกันว่า The Wrath of Khan, The Search for Spock และ The Voyage Home เป็นหนังไตรภาค คือต้องดูสามภาคติดกันถึงจะเรียกว่าเนื้อหาจบสมบูรณ์ The Voyage Home ประสบความสำเร็จทั้งในแง่ของเสียงวิจารณ์และรายได้ ทั้งที่โทนเรื่องแตกต่างจากภาคอื่นๆอย่างชัดเจน

แล้วถ้าวัดกันเฉพาะรายได้ในสหรัฐ The Voyage Home ถือว่าเป็นหนัง Star Trek ที่ทำเงินสูงที่สุดในบรรดา 10 ภาคเก่า ก่อนที่ Star Trek ภาครีบูท 2009 ของเจ เจ อบลัส์จะมาโค่นตำแหน่งลง



Smiley

[รายได้]
109.7 ล้านเหรียญสหรัฐ

Smiley

[คะแนนส่วนตัว]
7/10

Smiley

[ความเห็นของข้าพเจ้า]

ถ้ามองกันแบบผิวเผิน ผมไม่น่าจะชอบ The Voyage Home ได้เลย เพราะมันไม่มีการผจญภัยในอวกาศ ไม่มีฉากต่อสู้ ไม่มีผู้ร้ายที่ชัดเจน ไม่มียานเอนเตอร์ไพรส์ ถึง The Motion Picture จะไม่มีฉากแอ็กชั่น แต่อย่างน้อยๆก็ยังมีการเผชิญหน้ากับสิ่งลึกลับในอวกาศ

ทว่า... หัวใจของภาคนี้คือ การตามหาวาฬ!

ถ้าจะให้อธิบายแบบเห็นภาพ ลองนึกตามนี้ดู... 

มันเหมือนกับไตรภาค The Lord of the Rings ที่ภาคสุดท้าย จบตำนานด้วยการไปตามหาเพื่อนรักของเซารอนที่จากกันไปนาน ซึ่งอาจจะเป็นหมาสักตัวที่ถูกเลี้ยงในวังของพระราชาสักที่ แล้วก็ต้องหาทางเอาหมาเพื่อนรักของเซารอนมาคืนเพื่อให้สงครามยุติลงอย่างสันติวิธี อะไรทำนองนั้น... น่ารักซะไม่มี



แต่นี่แหละ คือสิ่งที่ทำให้ The Voyage Home พิเศษกว่าภาคอื่นๆ เต็มไปด้วยความคิดสร้างสรรค์ จึงไม่แปลกใจเลยสักนิดที่นักวิจารณ์จะชอบ ในขณะเดียวกัน แทนที่จะนำเสนอแบบไซไฟฮาร์ดคอร์จ๋า หนังกลับนำเสนอด้วยโทนตลกๆแทน เมื่อพวกเคิร์กย้อนเวลามาในยุค 1980 อารมณ์มันเหมือนพวกบ้านนอกหลงกรุง เพราะฉะนั้นจึงเข้าถึงกลุ่มคนดูทั่วไปได้ง่าย



ส่วนตัวผมเอง... ผมก็ค่อนข้างเห็นด้วยกับบรรดานักวิจารณ์และคนดู คิดดูสิครับ การจะทำหนังภาคต่อชนิดที่เรียกฉีกโทนฉีกไอเดียไปจากภาคอื่นๆแบบสุดกู่อย่างนี้ มันต้องใช้ความกล้ามากมาย หนำซ้ำการจะเล่าเรื่องที่ไม่มีแอ็กชั่น ไม่มีผู้ร้ายให้สนุกได้ ผู้กำกับกับคนเขียนบทก็ต้องมีความสามารถในการเล่าเรื่องไม่น้อยเลย

หลังย้อนเวลามาในยุค 80 พวกเคิร์กต้องแบ่งทีมกันไปทำภารกิจที่แตกต่างกัน ทีมหนึ่งไปตามหาวาฬ ทีมหนึ่งไปหาเชื้อเพลิงสำหรับยาน อีกทีมไปหาทางขนวาฬขึ้นยานได้ ซึ่งผู้เขียนบทกับผู้กำกับก็เล่าเรื่องได้ฉลาดมาก มีมุกคมคายแทรกอยู่ในเรื่องมากมาย มันไม่ใช่แค่มุกเปิ่นๆแบบบ้านนอกเข้าเมือง แต่มันอารมณ์ประชดประชันเวลาที่พวกเคิร์กมองคนยุค 80 ด้วย เพราะเคิร์กมาจากสังคมค่อนข้างจะยูโทเปียในศตวรรษที่ 23 จึงมองสังคมในยุค 80 ค่อนข้างป่าเถื่อนพอสมควร



ให้ยกตัวอย่างก็เช่น 

มีอยู่ฉากหนึ่ง เคิร์กกับแม็คคอยต้องไปช่วยเชคอฟจากในโรงพยาบาลในยุค 80 แล้วแม็คคอยไปเจอคุณยายคนหนึ่งกำลังป่วยหนัก แม็คคอยได้ฟังอาการจากคุณยายแล้วก็ต้องร้องว่า "นี่มันยุคมืดหรือยังไงกัน" แล้วก็ให้ยากับคุณยาย 

ฮาว่ะ เป็นมุกที่บรรเจิดมากสำหรับคอไซไฟ แถมคนดูทั่วไปก็ยังเข้าใจได้ง่ายด้วย



นอกจากนี้ The Voyage Home ยังเป็นการเล่นเกี่ยวกับมิตรภาพในทีมเคิร์ก ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญสำหรับซีรีส์ Star Trek มาตลอด เรารู้สึกได้ว่าเคิร์ก, สป็อก, แม็คคอย, ซูลู, เชคอฟ, อูฮาร่า, สก็อต ล้วนแต่ผูกพันกันอย่างลึกซึ้ง ไม่มีตัวละครตัวไหนด้อยค่าเลย พอตัวละครผูกพันกัน คนดูก็มีความสุขไปกับการดูหนังภาคนี้ไปด้วย



แต่สิ่งที่ผมชอบเป็นการส่วนตัวคือ ไอ้โพรบของต่างดาวนี่แหละ 

ไอ้เจ้าโพรบนี่เป็นยานที่ร้ายกาจมากถึงมากที่สุดชนิดที่ไม่มียานใดๆในสตาร์ฟลีทจะต่อกรได้เลย จนมานั่งนึกๆดูว่า เอ... ถ้าไอ้โพรบนี่มาสู้กับวีเจอร์ใน The Motion Picture จะเป็นยังไงกันนะ เพราะทั้งคู่มีประสิทธิภาพในการทำลายโลกได้ในพริบตาเหมือนกัน! (แถมยังมีเป้าหมายในการตามหาอะไรสักอย่างที่อยู่ในโลกมนุษย์เหมือนกันด้วย)   




พูดถึงเรื่องปรัชญา

เห็นกันอย่างชัดเจนเลยว่าภาคนี้เล่นเกี่ยวกับ "การอนุรักษ์โลก" ซึ่งเป็นประเด็นง่ายๆ ใครๆก็เข้าใจได้ กรณีนี้คือประเด็นเรื่อง "การล่าวาฬ" ชัดเจนตั้งแต่ต้นเรื่องเลยว่าวาฬจะสูญพันธุ์ในศตวรรษที่ 24 เพราะผลพวงจากคนยุคปัจจุบัน (ในมุมของคนดู) 

อย่างไรก็ตาม หนังเรื่องนี้ไม่ได้บอกว่ามนุษย์เป็นสิ่งชั่วร้าย มันอาจจะเหมือนกับตบหัวแล้วลูบหลังไปเสียหน่อย แต่เมื่อถึงตอนจบ หนังก็แสดงให้เห็นว่าเมื่อสูญเสียบางสิ่งไป มนุษย์ก็ได้เรียนรู้บทเรียนจากอดีต แล้วพร้อมจะทำอนาคตให้ดีขึ้นกว่าเดิม เป็นบทเรียนที่แสนเชย แต่ก็เข้าท่าสำหรับหนังภาคนี้ และเหมาะกับปรัชญาสไตล์ Star Trek ซึ่งคนในยุคอนาคต เป็นคนที่มีอารยธรรมแบบยูโทเปียมากกว่ายุคปัจจุบันของคนดู 



อีกประเด็นหนึ่งที่ผมชอบคือการเรียนรู้เรื่อง "ชีวิต" ของสป็อก

สป็อกเป็นชาววัลแคนที่เน้นเรื่องตรรกะ ในขณะเดียวกันเขาก็มีส่วนที่เป็นชาวเทอร์ราน (มนุษย์โลก) อยู่ด้วย หลังจากที่สป็อกเกิดใหม่จากผลของเทคโนโลยีเจเนซิส ทำให้สป็อกยังสับสนเรื่องของตรรกะกับอารมณ์อยู่มาก แต่เควสท์การตามหาวาฬครั้งนี้ นอกจากจะทำให้สป็อกได้ฟื้นฟู "ด้านอารมณ์" กับพวกเพื่อนๆร่วมทีมแล้ว สป็อกยังได้เรียนรู้ผ่านการ "หลอมรวมจิตใจ" กับวาฬอีก

ผมชอบฉากที่สป็อกแชร์จิตใจกับวาฬมาก มันเหมือนเป็นเรื่องขำๆ แต่ในขณะเดียวกันก็รู้สึกว่าลึกซึ้งไปด้วย




ถ้าจะมีอะไรติดใจกับ The Voyage Home คงจะเป็นเรื่องที่มุกตลกในบางครั้งเหมือนกับซิทคอมพิลึก ปฏิริยาของคนยุค 80 ในเรื่องก็ออกจะแปลกๆ ซึ่งก็เป็นอารมณ์ตลกสมกับเป็นหนังยุค 80 อยู่น่ะนะ

เอาเป็นว่า คล้ายๆกับ The Wrath of Khan ผมชอบ The Voyage Home แต่มันมีอะไรสักอย่างที่ทำให้ผมไม่ได้ชอบแบบสุดกู่เหมือนนักวิจารณ์หรือคนดูบางกลุ่ม... เท่านั้นเอง


[บล็อกที่เกี่ยวข้อง]


Smiley Star Terk IV: The Voyage Home (1986) <----You're here.
Smiley Star Trek V: The Final Frontier (1989) <---- 12 สิงหาคม 2559
Smiley Star Trek VI: The Undiscovered Country (1991) <---- 13 สิงหาคม 2559
Smiley Star Trek Generations (1994) <---- 14 สิงหาคม 2559
Smiley Star Trek: First Contract (1996) <---- 15 สิงหาคม 2559
Smiley Star Trek: Insurrection (1998) <---- 16 สิงหาคม 2559
Smiley Star Trek: Nemesis (2002) <---- 17 สิงหาคม 2559
Smiley Star Trek (2009) <---- 18 สิงหาคม 2559
Smiley Star Trek Into Darkness (2013) <---- 19 สิงหาคม 2559




Create Date : 02 สิงหาคม 2559
Last Update : 11 สิงหาคม 2559 23:04:22 น.
Counter : 1647 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

หมาหัวโจก
Location :
กรุงเทพ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 18 คน [?]



All Blog