ผู้กล่าวคำเท็จอยู่ จะไม่ทำความผิดอื่น เป็นไม่มี ตอนที่ 1
กระทู้นี้เคยตั้งอยู่ในห้องศาสนา Pantip.com แต่ถูกคนกลุ่มนึงซึ่งยอมรับความจริงๆไม่ได้ ได้แจ้งลบกระทู้นี้ไป ** ที่ผมเอาข้อเท็จจริงมาชี้แจงนี้ ผมไม่ได้ต้องการชักจูงใครให้เลิกปฏิบัติทางดูจิต หรือ ชักชวนให้ทิ้ง ทุกอย่างอยู่ที่ท่านนักปฏิบัติ จะหาเหตุผล เอาเอง ตัดสินใจเอง ไม่มีใครตัดสินใจแทนใครได้ แต่การลบกระทู้ข้อเท็จจริงโดยผู้ที่ยอมรับไม่ได้ถ้าใครมาตั้งข้อสงสัยในตัว หลวงพ่อปราโมทย์ แล้วลบข้อเท็จจริงนั้นออก เป็นการปิดกั้นความจริง สำหรับท่านอื่นที่ยังไม่รู้ความจริง หรือ ที่ยังมีข้อสงสัยอยู่ เป็นการกระทำที่เป็นการปิดกั้นปัญญาของผู้ศึกษาธรรม กระทู้นี้เกี่ยวกับคำแถลงการของสวนสันติธรรม ฉบับที่ 9 ข้อที่สาม (เนื้อหาอยู่ด้านล่าง) ในคคห.43 หลวงพ่อท่านตอบผ่านคุณP_Vicha
ท่านยอมรับเองว่าสิ่งที่ท่านบอกนั้นกล่าวถึงตัวท่านเอง ถึงมรรคผลที่ท่านเข้าถึงเอง | แต่ทำไม่คำแถลงสวนสันติธรรมออกมาว่า ๓. มีการกล่าวหว่านล้อม โน้มน้าว ชักจูง ทำให้ผู้ฟังเข้าใจได้ว่า หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช บรรลุธรรมเป็นพระอริยบุคคลขั้นใดขั้นหนึ่งแล้ว รวมถึงเรื่องอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ต่างๆ คำชี้แจง ในความเป็นจริงหลวงพ่อปราโมทย์ไม่ได้กระทำเช่นนั้น เพียงแต่บางคราวได้เล่าถึงการละกิเลสของพระอริยบุคคลแต่ละชั้น ซึ่งก็เป็นไปตามพระไตรปิฎก และบางทีก็บอกเล่าถึงสิ่งที่ครูบาอาจารย์ท่านเล่าให้ฟังมา ผมตั้งข้อสังเกตุว่า คำแถลงการณ์นี้ สวนสันติธรรมเป็นคนแถลง หลวงพ่อปราโมทย์เป็นประธานในสวนสันติธรรม คำแถลงการนั้นที่ออกมา จะไม่ผ่านสายตาท่านหรือ ทั้งๆที่เกี่ยวกับตัวท่านโดยตรง แล้วท่านปล่อยออกมาได้ยังไงครับ คำแถลงการที่โกหกแบบนั้น ทำแต่บอกไม่ได้ทำ สัจจะความจริงๆปไหนครับ มุสาวาทา ไปไหนครับ ผมไม่ได้บอกว่า ใครเป็นพระอริยะ ใครไม่เป็น มีเยอะแยะที่ท่านบรรลุแล้วท่านประกาศตัวเลย ไม่กลัวใคร ไม่ใช่ตอนเทศน์บอกใช่ๆ แต่พอมีคนออกมาท้วงก็กลับคำว่าไม่ได้พูด พอจนด้วยหลักฐานก็ออกมายอมรับ พระอริยะเป็นอย่างนี้เหรอครับ กลับไปหลับมาหรือ ให้ท่านทั้งหลายพิจารณาเอง
Free TextEditor
LINK สำหรับโหลดข้องความในกระทู้ครับ กดตรงนี้ สำหรับ MAC สำหรับ ท่านที่ใช้ PC โหลด linkนี้นะครับ
เพิ่มเติมที่หามาได้ใหม่ มีอยู่เรื่อยๆ แทบทุกแผ่น CD23 FILE 510202 26.28 กระทั่งในการภาวนาในขั้นที่ละเอียดขึ้นไป ก็ต้องอดทนมาเลยอย่างเราภาวนาไปนะ ดูไปปุ๊ปจิตว่างไปหมดละ โลกธาตุนี่ว่างสว่างเห็นทุกสิ่งทุกอย่าง ราบเสมอเป็นหน้ากลองหมดเลยมีแต่ความสุขอยู่ตรงนั้นแหละ แต่ละวันก็เป้นอย่างนั้นอีกๆ ต้องอดทนนะต่อความสุขตรงนี้ อดทนต่อความดีตรงนี้ อดทนต่อการแขวนป้ายว่าเป็นพระอริยะชั้นสูง อู้ยเราคงบรรลุแล้วล่ะอะไรอย่างเนี้่ย ต้องทนนะ การที่จะทิ้งสิ่งเหล่านี้ที่แสนดีที่สร้างขึ้นมา สร้างขึ้นมาเพราะความโง่แท้ๆเลย เรานึกว่าดีวิเศษมากเลย เราปรุงแต่งจนกระทั่งโลกธาตุนี้ว่างจนไม่มีอะไรเลย นึกว่านิพพาน ดูไปหลายวันด้วยความไม่นิ่งนอนใจ ว่าจบกิจแล้ว (กำลังอยู่ในขั้นอนาคามี?) ดูไปเรื่อยๆมันหมองได้อีก โมหะแทรก แทรกมาได้ยังไงนี่แสดงว่าไม่ใช่ละ ไม่ใช่ใจหายไหม ใจหายนะ เหนื่อยแทบตายเลยสร้างขึ้นมาแล้วพบว่ามันไม่ใช่ละ ไม่ใช่แล้วยังไงละ ก็โยนมันทิ้งสิ ไม่ใช่แล้้วจะเอาไว้ทำไม ครั้งที่หนึ่งก็ยังพอสู้นะ ครั้งที่สอง ที่สามก็เป็นอย่างนี้อีก ภาวนาไปพลิกแพลงไปจนวันนึงนะ ท้อใจละถอดใจ โอ้วาสนาเราคงได้แค่นี้ละชาตินี้ ไม่จบหรอกทำได้แค่นี้ คงจะต้องเวียนว่ายตายเกิด น่าอะเหน็ด อะหนาด แต่ช่างมันเถอะ ได้แค่นี้ก็แค่นี้นะ ใจหมดความดิ้นรน เพราะภาวนาจนดิ้นรนสุดขีดจนหมดแรงดิ้นละ ดิ้นจนหมดแรงดิ้นสู้จนกระทั่งหลังชนกำแพงละก็ยืนให้เค้าชก ก็ไม่หนีไปไหน ที่หนีไปไหนไม้่ได้ เพราะว่าไม่มีที่จะหนีละ แต่เดิมเรามีความทุกข์ขึ้นมาเราก็หนีไปที่อีน เราก็พ้นทุกข์ใช่มะ ตอนนี้จิตนี้คือตัวทุกข์ จิตเป็นตัวทุกข์แล้วจะหนีไปไหนอ่ะ จะหนีไปไหนจิตก็หนีไปกับเราด้วย ไม่มีที่จะหนีนะในสังสารวัฏ ไม่เหลืออะไร สักย่างก้าวเดียวให้ยืนอยู่อย่างมีความสุขได้เลย นี่ต้องภาวนาจนถึงขนาดนี้ ใจถึงจะกล้าหาญที่จะทิ้งโลกไปได้เพราะมันเห็นแล้ว มีแต่ทุกข์ล้วนๆนะ ถ้ายังเห็นว่าย่อมนี้เป็นโอเอซิสอยู่นะไม่มีทิ้งหรอก จะวิ่งตะกายไปหาโอเอซิส
Create Date : 04 กุมภาพันธ์ 2553 |
Last Update : 8 กุมภาพันธ์ 2553 11:44:20 น. |
|
7 comments
|
Counter : 316 Pageviews. |
|
|
|
12.00 หลวงพ่อใช้เวลาไม่นานหรอก ประมาณ7เดือน เพื่อที่จะเรียนรู้จิตใจตัวเอง เมื่อเราเรียนรู้จิตใจตังเองดีแล้ว ครูบาอาจารย์ท่านก็บอกเลยว่า เราช่วยตัวเองได้ คนที่ไม่รู้ทันใจตัวเองนะยังช่วยตัวเองไม่ได้หรอก เพราะกิเลสมันครอบงำใจเราทั้งวัน มาได้เหมือนกันนะ มาได้แว๊บๆ พอระลึกรู้นะก็ขาดสะบั้นลงไปเลย เราก็ปิดอบายได้ ไม่ต้องไปอบายได้ ครูบาอาจารย์ท่านบอกว่ามีที่พึงละ คือมีพระรัตนไตรเป็นที่พึงจริงๆ มันไม่ใช่แค่สวดมนต์ พุทธังสารนัง ธรรมสานัง อันนั้นมีที่พึงเฉพาะว่าจะแต่ใจยังเป็นเด็กร่อนเร่พเนจร ไม่มีที่พึง แต่ถ้าเราภาวนาจนเราเข้าถึงจิตถึงใจเราได้แล้วเนี่ย มันจะเกิดความอบอุ่นใจ รู้สึกได้ว่าเราเป็นลูกมีพ่อมีแม่แล้ว เมื่อก่อนเป็นลูกกำพร้าไม่รู้ว่าลูกใคร พอเราภาวนาเข้าถึงจิตถึงใจครั้งแรก เรารู้เลยว่าเราเป็นลูกมีพ่อมีแม่ พ่อแม่ของเราก็คือพระทุธเจ้า หรือครูบาอาจารย์ที่ท่านสอนเราจนได้ดวงตาเห็นธรรม เราจะรู้สึกว่าท่านเป็นพ่อเป็นแม่เรา ครูบาอาจารย์องค์อื่นๆถัดมาเนี่ย แม้ว่าท่านจะสอนเราจนบรรรลุพระอรหันต์นะ เราก็จะไม่รู้สึกว่าท่านเป็นพ่อแม่เรา เราจะรู้สึกว่าท่านเป็นพี่เรา เป็นพี่เลี้ยง
เพราะฉะนั้นคนไหนได้ฟังธรรมของใครจนเห็นดวงตาเห็นธรรมจะรู้สึกซาบซึ้งถึงอกถึงใจว่าท่านผู้นั้นคือพ่อคือแม่ ที่แท้จริง