สาระดีๆในชีวิต
|
|||
คนเรารักกันได้อย่างไร ?
คนเรารักกันได้อย่างไร ?
Pease Allan และ Pease Barbara ผู้เชี่ยวชาญด้านความสัมพันธ์ได้กล่าวไว้ว่า "เมื่อเวลาที่พบเจอ คนที่ใช่ สมองจะหลั่งสารสื่อประสาทที่จำเป็นต่อการสร้างสภาพแวดล้อมที่ดึงดูดคนๆนั้น สารเด่นๆที่ถูกค้นพบ ได้แก่ โดพามีน อ๊อกซิโทซิน เทสโทสเทอโรน เอสโทรเจน และ นอร์อีพีเนฟรีน โดยสมองจะหลั่งสารฮอร์โมนเหล่านี้ออกมา เพื่อทำหน้าที่ขับเคลื่อนให้มนุษย์ได้จับคู่กันเพื่อดำรงเผ่าพันธุ์สืบต่อไปนั่นเอง" เมื่อมีรัก ทุกคนคงเคยพร่ำถามตัวเองว่า ความรักมันเกิดขึ้นได้อย่างไร ทำไมถึงต้องเป็นเขา/เธอคนนี้ ทำไมเรารู้สึกแปลกๆ หัวใจเต้นแรง หน้าแดง มือเปียก พวกแนวศิลปินอาจบอกว่ารักเป็นเรื่องของอารมณ์ล้วนๆ เหตุผลไม่เกี่ยว รักมีทั้งความรันทดและความงดงาม รักเป็นเรื่องที่โรแมนติกเกินกว่าจะพรรณนา สำหรับพวกแนวเหนือธรรมชาติจะเชื่อว่า เนื้อคู่ของเราถูกกำหนดมาแล้ว จะต้องตามหาคนที่มีด้ายแดงผูกนิ้วก้อยให้เจอ บ้างก็ว่ารักเกิดจากกรรมเก่า มีการตามมารักมาเลิกกันเป็นชาติๆ ไป การรักใครสักคนอาจจะเป็นเพราะโดนสาป ไสยศาสตร์เท่านั้นที่ช่วยได้ ในขณะที่นักวิทยาศาสตร์ก็มีคำอธิบายที่ฉีกทั้งสองแนวนี้ออกไป ซึ่งแม้ว่าจะฟังแล้วไม่ได้อารมณ์ ไม่โรแมนติก และไม่ลี้ลับเท่า แต่สิ่งที่นักวิทยาศาสตร์กำลังจะบอกเรานี้ ล้วนแต่เป็นข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นในตัวเรา โดยมีเราเป็นผู้กระทำทั้งสิ้น ก่อนจะมีความรักลองมาทำความรู้จักกับทฤษฎีรัก 3 ตอน ของ ดร.เฮเลน ฟิชเชอร์ แห่งมหาวิทยาลัยรุทเจอรส์ (Rutgers University) ในนิวเจอร์ซี กันก่อนดีกว่า ดร.ฟิชเชอร์ บอกว่า ห้วงความรักของคนเราแบ่งเป็น 3 ตอน โดยจะมีฮอร์โมนที่แตกต่างกันมาร่วมแสดงบทบาทในแต่ละตอน ตอนที่ 1 ช่วงเกิดตัณหา ตัณหาราคะถูกขับโดยฮอร์โมนเพศ 2 ตัว คือ เทสโตสเตอโรน (Testosterone) และเอสโตรเจน (Estrogen) เทสโตสเตอโรนเป็นฮอร์โมนที่ไม่ได้พบเฉพาะในผู้ชายเท่านั้น ผู้หญิงก็มีเช่นกัน ดร.ฟิชเชอร์ บอกว่า เจ้าฮอร์โมนเพศสองตัวนี้เอง ที่ช่วยควบคุมอาการอยากได้โน่น อยากได้นี่ ของเรา ตอนที่ 2 ช่วงคลั่งรัก เป็นช่วงที่ทำให้ชีวิตเราผิดเพี้ยนไป ไม่รับรู้ ไม่สนใจสิ่งรอบกาย ไม่กิน ไม่นอน เอาแต่นั่งฝัน เพ้อ ละเมอถึงคนรัก อาการต่างๆ ที่เกิดขึ้นในช่วงนี้ ถูกควบคุมโดยกลุ่มสารสื่อประสาทที่เรียกว่า โมโนอะมิเนส (Monoamines) ซึ่งประกอบด้วย โดพามีน (Dopamine) เป็นสารเคมีที่ช่วยให้สมองตื่นตัว เช่นเดียวกับนิโคตีนและโคเคอีน นอร์อะดรีนาลิน (Norepinephrine) หรือรู้จักกันในนามของ อะดรีนาลิน (Adrenalin) ที่เป็นตัวการทำให้เราเหงื่อแตกและหัวใจเต้นรัวยามตื่นเต้น เซโรโทนิน (Serotonin) หนึ่งในสารสำคัญที่ทำให้เราเกิดอาการ...ซึม..เศร้า..เหงา..เพราะรัก ตอนที่ 3 ช่วงผูกพัน ไม่มีใครที่จะทำตัวคลั่งรักได้ตลอดชีวิต เมื่อผ่านพ้นไปช่วงเวลาหนึ่ง ถ้าไม่โบกมือลากันไปเสียก่อน คู่รักก็จะฉุดกระชากลากจูงกันเดินมาสู่ช่วงแห่งความผูกพัน ในตอนนี้จะว่าด้วยการตกลงปลงใจที่จะใช้ชีวิตคู่และสร้างครอบครัว ฮอร์โมนสองตัวสำคัญคือ ออกซิโตซิน (Oxytocin) จากต่อมไฮโปทาลามัส (Hypothalamus) ซึ่งช่วยกระตุ้นให้เกิดการขับน้ำนมและเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างมารดาและทารก โดยมีการพบว่าออกซิโตซินจะถูกขับออกมาเมื่อชายหญิงมีความสัมพันธ์ทางเพศที่ลึกซึ้ง ทฤษฏีบอกไว้ว่ายิ่งชายหญิงมีความสัมพันธ์กันลึกซึ้งแค่ไหน ความผูกพันก็มีมากขึ้นเท่านั้น วาโซเพรสซิน (Vasopressin) สารสำคัญอีกตัวหนึ่งที่เป็นตัวรักษาสมดุลของน้ำในร่างกาย จะถูกขับออกมาเมื่อร่างกายขาดน้ำ ความตึงเครียดสูง ความดันเลือดสูง หรือเมื่อคู่รักมีความสัมพันธ์ทางเพศ นักวิทยาศาสตร์กลุ่มหนึ่งพยายามทำการศึกษาถึงฤทธิ์เดชของวาโซเพรสซิน โดยหลังจากที่พวกเขาได้ฟังตำนานรักของหนูแห่งทุ่งหญ้าแพรรี (Prairie vole) ซึ่งเป็นหนึ่งในร้อยละ 3 ของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่จับคู่อยู่กินกันแบบผัวเดียวเมียเดียวตลอดช่วงชีวิต (Monogamous) ที่มีว่า ถ้าคู่ของพวกมันตาย อีกตัวก็จะตรอมใจตายตามไปในไม่ช้า โดยไม่คิดจะมีใหม่ ด้วยจิตริษยาต่อหนูแห่งทุ่งหญ้าแพรรี่ที่ถือและปฏิบัติตามศีลข้อสาม ห้ามผิดลูกผิดเมียเขาอย่างเคร่งครัด นักวิทยาศาสตร์กลุ่มนี้ทำการให้ยาที่ลดปฏิกริยาของวาโซเพรสซินในหนูตัวผู้ ปรากฏว่าหนูตัวผู้ตัวนั้นไม่ถึงกับศีลแตก แต่เริ่มมีอาการเย็นชา ห่างเหินคู่รัก และไม่แสดงอาการหึงหวงเมื่อมีหนูหนุ่มตัวอื่นๆ เข้ามาตีท้ายครัวเลยสักนิด หลังจบปฏิบัติการสร้างความร้าวฉานแล้ว พวกเขาก็ได้ข้อสรุปมาให้ชาวโลกชื่นใจว่า ถ้าขาดวาโซเพรสซินเมื่อไร ก็ให้เตรียมพร้อมรับมือหายนะที่กำลังจะมาสู่ครอบครัวได้เลย ไม่ว่าทฤษฎีความรักและฮอร์โมนในทางวิทยาศาสตร์จะเป็นอย่างไรก็ตาม ผมอยากให้ทุกท่าน ที่อ่านมาถึงบรรทัดนี้ ได้ย้อนกลับมาดูข้อสรุปของ Pease Allan และ Pease Barbara ได้กล่าวว่า ฮอร์โมนต่างๆที่หลั่งออกมาเหล่านี้ จะมีช่วงเวลา "โปรโมชั่น" นั่นก็หมายความว่า ความรุ้สึก อารมณ์ต่างๆ จะเกิดขึ้นในระยะเวลาจำกัด จากนั้นจะค่อยๆลดลง และหมดไป ภายในระเวลา 1 - 2 ปี ( แต่ก็เป็นระยะเวลาเพียงพอที่จะให้มนุษย์จับคู่และกำเนิดบุตร) จึงเป็นที่มาของคำแนะนำว่า จะแต่งงานกันควรใช้ระยะเวลาดูใจกันในช่วงเวลานึง (ประมาณ 2 ปี เป็นอย่างน้อย) อ๊ะๆ อ่านมาถึงตรงนี้แล้ว หลายท่านคงสงสัยแล้วซิว่า อ้าว ? แล้วพ่อแม่ฉันล่ะ อยู่กันมาตั้งสิบๆปี เค้าก็ยังไม่เห็นจะเลิกลากันไปเลยนิ ยังครับ ยังไม่จบ Pease Allan และ Pease Barbara ยังได้สรุปต่อไปอีกว่า "ปัจจัยหลักที่ทำให้คู่รักยังคงสามารถอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข ถึงแม้ฮอร์โมนกระตุ้นต่างๆได้หมดลงไปแล้วนั้น คือ " 1.ค่านิยม ยิ่งสอดคล้องกันมากยิ่งส่งผลดี 2.ความเชื่อหลัก ยิ่งสอดคล้องกันมากยิ่งส่งผลดี 3.ความสามารถในการจัดการความแตกต่าง คุ่รักที่อยู่ร่วมกันได้นาน จะต้องสามารถจัดการความแตกต่างระหว่างคู่รักของตัวเองได้เป็นอย่างดี ดังนั้น คุณเองคงจะเห็นคุ่รักหลายๆ คู่ ที่มีค่านิยมและความเชื่อสอดคล้องกัน ถึงแม้ในด้านอื่นๆ อาจจะมีความแตกต่างกันมาก เช่น ใจร้อน ใจเย็น ก็อยู่ร่วมกันได้ อ่านมาถึงจุดนี้ ผมเองก็ขอให้ทุกท่าน ที่กำลังตามหาความรัก ได้นำเอาความรู้จากบทความนี้ไปช่วยเป็นแนวทางในการเลือกคู่ หรือ จัดการความสัมพันธ์ของคู่รักของท่านครับ อ้างอิงรายละเอียดเนื้อหา คลิกที่นี่ โกล์ดเซนต์กับ 12 ราศี ( ฉบับคัดคนเข้ากับนิสัยตามราศี )
สวัสดีครับ ที่จริงแล้วบทความในนี้ เป็นเรื่องเชิงโหราศาสตร์ผสมไปด้วย เป็นการสังเกตอุปนิสัยของ โกล์ดเซนต์ เพื่อนำมาเปรียบเทียบกับ ลักษณะอุปนิสัยของคนราศีต่างๆ แต่ที่มาตั้งหัวข้อไว้ในกลุ่มการ์ตูน ก็อยากให้ผู้ที่ติดตามเรื่องนี้ ช่วยแสดงความคิดเห็นด้วยครับ
สนใจก็คลิกดูที่ลิงค์ด้านล่างได้ โกล์ดเซนต์กับ 12 ราศี ตอนนี้ยังทำไม่ครบ แต่ก็จะทยอยทำจนครบทั้ง 12 ราศีครับ หากใครเห็นว่า โกล์ดเซนต์คนไหน เหมาะกับราศีอะไร ช่วยแสดงความคิดเห็นกันนะครับ ที่บ้านมีผึ้งหลวงมาทำรัง ทำไงดีครับ
วันนี้มีเพื่อนบ้าน ชี้ให้ดูว่า มีรังผึ้งใหญ่มาก พอหันไปดู
อ้าว บ้านเรานี่หว่า เลยเดินเข้าไปดูใกล้ๆ พบรังผึ้งขนาดใหญ่ ประมาณ 1 เมตรได้ ทรงรัง เป็นรังแบนๆ รูปคล้ายๆ หัวใจ เคยเห็นข่าวว่า ผึ้งหลวงนั้นดุมาก ยิ่งดูขนาดรังแล้วปริมาณค่อนข้างมาก (ตัวเองอยู่บ้านมายี่สิบกว่าปี ไม่เคยเห็นผึ้งมาทำรังในบ้านใหญ่เท่านี้เลย) ถ่ายรูปให้ดู ภาพอาจไม่ชัดเท่าไร เพราะมีมุมถ่ายน้อยมาก ผึ้งนี่ก็เก่งจริง หามุมอับ เข้าถึงยาก ฝ่ายพ่อก็บอกว่า ตามความเชื่อโบราณ ถ้ามีผึ้งมาทำรังมักมีโชคลาภ ต่างคนต่างอยู่ แต่ในใจผมก็กลัวคนมือบอน จะมาปารังผึ้งแตกกระเจิงน่ะซี มีใครเคยเจอผึ้งพวกนี้ทำรังในบ้านบ้างครับ แล้วผึ้งจะทำรังอยู่อีกนานรึเปล่า ผลสำรวจเงินเดือนของงานไอทีในแถบเอเชีย คนไอทีอย่าพลาด!!
เป็นการสำรวจ ของ ZDNet Asia IT Salary Benchmark Survey 2008
ของประเทศในแถบเอเชีย 7 ประเทศ คือ Hong Kong, India, Indonesia, Malaysia, the Philippines, Singapore and Thailand. ส่วนแรกเป็นการสรุปเงินเดือนของงานด้านไอทีของแ่ต่ละประเทศครับ สังเกตว่า ประเทศที่มีค่าครองชีพสูง ก็ได้รับรายได้สูงเช่นกัน เช่น ฮ่องกง กับ สิงคโปร์ ส่วนนี้ เป็นการสรุปลักษณะงานด้านไอทีกับรายได้ในแต่ละประเทศ งานนี้จะเห็นได้ว่า ลักษณะงานที่มีรายได้สูงที่สุดของแต่ละประเทศคือ งานด้าน IT Management รองลงมาก็เป็นงานด้าน Project Management ส่วนงานกลุ่ม Support รายได้ค่อนข้างจะน้อยสำหรับทุกประเทศที่ทำการสำรวจ ต่อไปเป็นเรื่องความสัมพันธ์ของประสบการณ์การทำงานกับรายได้ที่ได้รับ ตรงนี้น่าสนใจมากครับ ธุรกิจที่จ่ายค่าจ้างให้กับคนไอทีของเรา ในประเทศไทยนั้น เป็นธุรกิจด้านกฎหมายและไฟแนนซ์ ได้ประมาณ 8 แสนบาทต่อปี เลยทีเดียว แต่งานของรัฐบาลและการศึกษานั่นจ่ายให้ค่อนข้างน้อยกว่าธุรกิจอื่นๆ (คิดไว้แต่แรกแล้ว) และสุดท้าย สำหรับคนไอทีในประเทศไทยเลยครับ ทักษะยอดนิยมที่ทำรายได้ให้กับคนไอทีในประเทศไทย อันดับ 1 ด้าน Database Management อันดับ 2 ด้าน Servers/ Networking อันดับ 3 ด้าน Application Development อันดับ 4 ด้าน System Administration อันดับ 5 ด้าน Desktops/ Software เท่าที่ดูมา งานด้านไอทีสำหรับประเทศไทย ชาวไอทีควรมีทักษะด้านการจัดการผสมเข้าไปด้วยครับ สังเกตได้จากลักษณะงานที่มีรายได้สูง มักจะเป็นด้านการบริหารจัดการผสมกับด้านไอที ใครจะเรียนหรือสนใจทำงานด้านไอทีในระดับสูงๆและเงินเดือนเยอะๆ ควรผสานเอาความรู้ด้าน Management เข้าไปด้วยครับ ใครอยากรู้รายละเอียดข้อมูลทั้งหมด เชิญที่นี่ครับ ผมคัดลอกมาจาก //www.zdnetasia.com/techjobs/it_employment_trends_08/0,3800013453,62042202,00.htm ระวัง!! ข้อผิดพลาดในการเขียนใบสมัครงาน
ที่มา : //www.doe.go.th
เมื่อทราบแล้วว่าบริษัทจะพิจารณาอะไรบ้าง แต่เป็นที่น่าเสียดายว่า ในปัจจุบันผู้สมัครงาน จำนวนมากยังไม่ให้ความสำคัญในการเขียนใบสมัคร หรือไม่ปฏิบัติตามข้อแนะนำที่กำหนดไว้ในใบ สมัคร ทำให้พลาดโอกาสสูญเสียเวลาและค่าใช้จ่ายในการสมัครงานไปโดยเปล่าประโยชน์ จึงขอกล่าว ถึงข้อผิดพลาดในการกรอกใบสมัครที่ทำให้ผู้สมัครต้องพลาดโอกาสที่จะได้รับการพิจารณาเข้า สัมภาษณ์หรือรับเข้าทำงาน ดังนี้ 1. ลายมือของผู้สมัครงาน ลายมือของผู้สมัครงานสามารถบ่งบอกถึงหลายสิ่งหลายอย่างที่เกี่ยวกับผู้สมัครงาน เช่น ความรักสวยรักงาม ความเป็นระเบียบเรียบร้อย ฯลฯ ซึ่งในข้อนี้บริษัทมิได้พิจารณาว่าลายมือของผู้ สมัครงานสวยหรือไม่ แต่จะพิจารณาว่าลายมือของผู้สมัครงานนั้นคนทั่วไปสามารถอ่านออกหรือไม่ ข้อแนะนำสำหรับเรื่องลายมือในการกรอกใบสมัครก็คือ ลายมือไม่จำเป็นต้องสวย หรือ ตัวบรรจง แต่ ขอให้เขียนให้อ่านง่าย ๆ เป็นระเบียบเว้นวรรคตอนให้ถูกต้องก็ใช้ได้ และที่สำคัญอย่าใช้เวลาในการ กรอกใบสมัครนานเกินไป 2. การกรอกข้อมูล ข้อผิดพลาดส่วนใหญ่ เกิดจาก - การกรอกข้อมูลไม่ครบถ้วนตามที่ใบสมัครกำหนด - การกรอกข้อมูลผิดพลาดจากจุดประสงค์ที่ใบสมัครต้องการทราบ - การกรอกข้อมูลหรือเขียนข้อความผิด ๆ หรือมีการแก้ไขมาก - กรณีการกรอกข้อมูลไม่ครบถ้วนนั้น โดยทั่วไปใบสมัครของบริษัทเกือบทุกแห่งมักมีข้อความที่ ว่า "โปรดกรอกข้อความให้ครบถ้วน" แต่ในบางครั้งผู้สมัครงานนั้นไม่มีข้อมูลที่จะให้ในข้อนั้น ๆ เช่นข้อ มูลเกี่ยวกับสถานะทางทหาร ผู้สมัครงานที่เป็นสตรีก็คงไม่มีข้อมูลนี้ให้กรอก หรือสถานะทางครอบครัว เกี่ยวกับคู่สมรสซึ่งบางคนยังโสด เป็นต้น วิธีการแก้ไขข้อผิดพลาดข้อนี้ก็คือข้อความใดในใบสมัครที่ผู้ สมัครงานไม่มีข้อมูลจะให้ก็ควรเขียนเครื่องหมาย (-) ไว้ในช่องว่างนั้น เพื่อเป็นข้อบ่งชี้ให้เห็นว่าไม่ได้ ลืมเติม แต่ไม่มีข้อมูลลักษณะนี้ก็เป็นการสื่อให้เห็นว่าผู้สมัครไม่ใช่คนประมาทเลินล่อและไม่มีเจตนาที่ จะปกปิดข้อมูล - ขอย้ำว่าการกรอกข้อมูลในใบสมัครงานไม่ครบถ้วนนั้น นอกจากผู้คัดเลือกจะเกิดทัศนคติที่ไม่ดีกับผู้สมัครแล้วยังทำให้ผู้สมัครงานพลาดโอกาสอีกด้วย เช่นข้อมูลเกี่ยวกับประวัติการศึกษา ผู้สมัคร มักกรอกข้อมูลเฉพาะการศึกษาในช่วงก่อนการเข้าทำงานเท่านั้น แต่หารู้ไม่ว่าข้อมูลของการศึกษาใน เบื้องต้นก็มีส่วนทำให้ผู้สมัครงานมีโอกาสได้งานทำมากขึ้น เช่น บังเอิญจบจากสถานศึกษาที่ผู้ สัมภาษณ์หรือผู้คัดเลือกเคยศึกษามาก่อนก็จะทำให้รู้สึกว่าผู้สมัครงานรายนี้เป็นพรรคพวกหรือเกิดทัศ นคติที่ดี ทั้ง ๆ ที่ยังไม่เห็นผู้สมัครงานเลยก็ได้ แต่ถ้าผู้สมัครงานกรอกข้อมูลตกหล่นในส่วนที่เป็นสาระ สำคัญแล้ว โอกาสที่จะได้รับการพิจารณาก็แทบจะหมดไปเลย - กรณีการกรอกข้อมูลผิดพลาดจากวัตถุประสงค์ของใบสมัคร การผิดพลาดเช่นนี้เป็นการผิด พลาดที่ทำให้เกิดการสื่อสารผิดเพี้ยนจากเจตนารมณ์ของผู้ต้องการข้อมูลและผู้ให้ข้อมูล บางครั้งก็ มองดูเป็นเรื่องตลกไป แต่บางครั้งก็ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้สมัครงานได้ - ตัวอย่างเช่น ในใบสมัครมีข้อความให้กรอกเกี่ยวกับสถานที่เกิดของผู้สมัครงาน โดยเขียนว่า สถานที่เกิด ผู้สมัครก็กรอกข้อมูลว่า "ที่บ้าน"หรือ "โรงพยาบาล" ซึ่งถ้าดูโดยผิวเผินก็น่าจะไม่มีอะไร ผิดพลาด แต่แท้ที่จริงแล้ว บริษัทนั้นต้องการทราบว่า "เกิดที่จังหวัดอะไร" ครั้นผู้พิจารณาคัดเลือกเขา เห็นผู้สมัครกรอกข้อความว่า "ที่บ้าน" หรือ "โรงพยาบาล" ก็เลยทำให้คิดไปว่าอีกหน่อยก็คงมีคนกรอก ข้อความว่า "บนทางด่วน" "บนรถแท็กซี่" หรือ "บนเครื่องบิน" เพราะมารดาของผู้สมัครงานเดินทาง ไปโรงพยาบาลไม่ทันบริษัทอาจมองว่าผู้สมัครงานนั้นไม่มีสามัญสำนึกและยิ่งผู้สมัครงานนั้นมีการ ศึกษาถึงระดับปริญญาตรี หรือปริญญาโทแล้ว แต่ยังกรอกใบสมัครเช่นนั้นจะให้ผู้คัดเลือกหรือผู้ สัมภาษณ์พิจารณาผู้สมัครงานนั้นเป็นเช่นใด เพราะข้อมูลเหล่านั้นไม่ได้เอื้อประโยชน์อะไรเลย - ตัวอย่างอีกแบบหนึ่งคือ การกรอกข้อมูลความรู้ความสามารถพิเศษผู้สมัครงานบางคนก็กรอก เล่นดนตรีไทย เป็นนักกีฬาฟุตบอล ขับรถยนต์ได้ เป็นต้น การกรอกข้อมูลในลักษณะนี้ก็คงไม่ได้ เอื้อประโยชน์ต่อการทำงานเท่าใดนัก แต่ก็ไม่เกิดผลเสียหายต่อการพิจารณาของผู้คัดเลือกผู้สมัครงาน เช่นกัน ตัวอย่างเช่น ใบสมัครงานของผู้สมัครงานของผู้สมัครงานรายหนึ่งซึ่งจบนิติศาสตร์ เขากรอกข้อ ความในส่วนของความรู้ความสามารถพิเศษว่า พิมพ์ดีดได้ ใช้เครื่องโทรสารได้ การกรอกข้อมูล ลักษณะนี้แม้ว่าจะเป็นความจริง แต่ก็ไม่ถือว่าเป็นความสามารถพิเศษที่จะนำมาอวดอ้างได้ ไม่สมกับ ภูมิความรู้ของผู้ที่ได้รับการศึกษามาขนาดนี้ เพราะการใช้เครื่องโทรสารนี้เด็กจบประถมศึกษาปีที่ 6 หากนายจ้างฝึกวิธีใช้เพียง 3 ครั้ง เขาก็ทำได้คล่องแคล่วแล้ว หากผู้สมัครงานที่มีคุณวุฒิการศึกษาสูง แต่เขียนความรู้ความสามารถพิเศษเช่นนี้ก็อาจถูกมองว่าเป็นคนที่ไม่สามารถแยกแยะว่าอะไรเหมาะ สมหรือไม่เหมาะสม หรือมีมาตรฐานในการทำงานที่ต่ำ ในทางตรงกันข้าม ถ้าผู้สมัครงานจบการศึกษา ที่ต่ำแต่สามารถใช้อุปกรณ์สำนักงานได้ถือว่ามีความสามารถพิเศษได้ - แนวทางแก้ไขในเรื่องนี้ก็คือ การกรอกข้อมูลในหัวข้อใดที่ผู้สมัครงานอ่านแล้วไม่เข้าใจหรือไม่ แน่ใจว่าต้องการให้กรอกข้อความว่าอย่างไร ขอให้ผู้สมัครงานสอบถามเจ้าหน้าที่ที่ทำหน้าที่ในการรับ พิเศษ ขอให้พิจารณากรอกเฉพาะข้อมูลที่เห็นว่าสมกับภูมิความรู้ จะทำให้ดูเป็นผู้มีความฉลาดและ ไหวพริบ - การเขียนข้อความผิด ๆ กรณีนี้มองเป็นเรื่องเล็กๆ น้อย ๆ แต่ก็อาจก่อให้เกิดผลเสียที่ร้ายแรง และแสดงให้เห็นว่าผู้สมัครงานนั้นเป็นผู้ที่ขาดความละเอียดรอบคอบและยิ่งมีข้อผิดพลาดที่ไม่ได้รับ การแก้ไขก่อนส่งใบสมัครด้วยแล้ว ใบสมัครงานนั้นก็จะถูกคัดออกไปทันทีเพราะในทรรศนะของผู้คัด เลือกบุคคลเข้าทำงานจะถือว่าใบสมัครงานคือตัวแทนของผู้สมัครงาน ถ้าผู้สมัครงานไม่สนใจและไม่ เอาใจใส่ในการกรอกข้อมูลให้ถูกต้องครบถ้วนแล้วก็เป็นเรื่องของผู้สมัครงานที่จะต้องรับผิดชอบเอง และคงไม่มีบริษัทใดให้โอกาสแก่ผู้สมัครงานได้กลับไปเขียนใบสมัครงานใหม่เพราะบริษัทคงไม่ ต้องการรับคนทำงานที่ทำงานบกพร่อง ผิดพลาดจนต้องแก้ไขบ่อย ๆซึ่งจะส่งผลเสียต่อการทำงานของ เพื่อนร่วมงานและผู้บังคับบัญชา - วิธีป้องกันสำหรับข้อนี้ก็คือ ต้องหัดเขียนหนังสือให้ชัดเจน และอ่านข้อความให้เข้าใจอย่างถ่อง แท้ก่อนจึงค่อยคิดและกรอกใบสมัครงาน ถ้าไม่แน่ใจให้ใช้ดินสอร่างก่อนและทบทวนอีกครั้งก่อนจะ เขียนด้วยปากกา การทำเช่นนี้จะช่วยให้สามารถลดข้อผิดพลาดลงได้บ้าง |
OvO
Rss Feed Smember ผู้ติดตามบล็อก : 6 คน [?] สนใจเรื่องเกี่ยวกับเรื่องโหราศาสตร์ ความรู้โหราศาสตร์แบบต่างๆ ศาสต์ทำนายไพ่ทาโรต์ และชื่นชอบการประยุกต์โหราศาสตร์มาเพื่อพัฒนา เรียนรู้และเข้าใจคน
Custom Search
All Blog
|
||
Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved. |