เลือกอาหารเพื่อสุขภาพตามอายุ

ปัจจุบันการบริโภคอาหารเพื่อสุขภาพในชีวิตประจำวัน เช่น บริโภคผักและผลไม้เป็นประจำทุกวัน โดยเลือกผักและผลไม้ที่มีสีต่างๆกัน ทำให้ร่างกายได้รับเส้นใยอาหารแลพไฟโตเคมิคัลที่มีคุณสมบัติเป็นสารต้านออกซิแดนท์ เช่น ไลโคฟีนในมะเขือเทศ แคโรทีนอยด์ในแครอท และคลอโรฟิลด์ในผักใบเขียว สารออกซิแดนท์เป็นสาเหตุของการแก่ก่อนวัยและการเกิดโรคภัยต่างๆ ความนิยมบริโภคถั่วเหลือง แหล่งโปรตีนจากพืชซึ่งปลอดภัยมากกว่าโปรตีนจากสัตว์ และการบริโภคน้ำมันพืชมีกรดไขมันจำเป็น พบมากในน้ำมันมะกอก รำข้าว ทานตะวัน และน้ำมันงา โดยเฉพาะการได้รับวิตามินอีซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ปัจจุบันน้ำมันพืชเข้ามามีบทบาทต่อผู้รักสุขภาพอย่างขาดไม่ได้


เคล็ดไม่ลับ 5 วิธีการเลือกอาหารเพื่อสุขภาพตามช่วงอายุ


การรู้จักเลือกรับประทานอาหารไม่เพียงแต่ช่วยเรื่องสุขภาพเท่านั้น หากยังเอื้อต่อความสวยความงามอีกด้วย ความจริงการเลือกอาหารให้เหมาะสมตามช่วงวัยก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ช่วยให้สุขภาพดีได้ เพราะในแต่ละช่วงอายุมีความแตกต่างกันในด้านพัฒนาการของร่างกายและลักษณะการดำเนินชีวิต วันนี้จึงขอเสนอเรื่องราวของอาหารที่เกี่ยวข้องกับช่วงอายุทั้ง 4 ซึ่งไม่ใช่เรื่องยากแต่อย่างใดที่คุณจะลองทำตาม



วัยที่ขึ้นต้นด้วยเลข 2 ช่วงอายุตั้งแต่ 20 ปีขึ้นไปเป็นช่วงที่ร่างกายมีการพัฒนาและเติบโตเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเรียน การทำงาน และเป็นวัยที่ใช้ชีวิตอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ยิ่งมีการเคลื่อนไหวในชีวิตประจำวันมากเท่าไร ร่างกายก็ยิ่งเผาผลาญและใช้พลังงานมากขึ้นเท่านั้น ดังนั้น ควรเลือกรับประทานอาหารที่เหมาะสม โดยเลือกรับประทานจำพวกเนื้อสัตว์และถั่วต่างๆ รวมถึงข้าวและแป้งมากเป็นอันดับหนึ่ง ตามด้วยผักผลไม้เป็นอันดับสอง ส่วนนมและอาหารทดแทนแคลเซียมต่างๆ เช่น เต้าหู้ ปลาเล็กปลาน้อย นมถั่วเหลืองเสริมแคลเซียม ตามมาเป็นอันดับสาม และให้ความสำคัญของไขมันเป็นอันดับสุดท้าย ปลาเป็นอาหารสมองที่ช่วยรักษาผนังเซลล์ประสาทในสมองให้แข็งแรง ไม่หลงลืมอะไรง่ายๆ ผักสีเขียวอย่างผักบุ้ง ผักกระเฉด ผักคะน้า ถั่วฝักยาว ช่วยบำรุงสายตา สร้างกระดูกและฟันให้แข็งแรง ผักผลไม้สีเหลืองอย่างกล้วยหอมก็ถือเป็นผลไม้คลายเครียดชนิดหนึ่ง



วัยที่ขึ้นต้นด้วยเลข 3 อายุขึ้นเลข 3 หลายคนเริ่มตกใจกลัว แต่การรู้จักเลือกรับประทานจะทำให้ผู้อื่นไม่สามารถเดาอายุคุณจากรูปร่างหน้าตาได้เลย ในช่วงเริ่มวัยผู้ใหญ่ความต้องการพลังงานยังคงอยู่ เพราะเป็นช่วงชีวิตของการทำงาน แต่ต้องเพิ่มความระมัดระวังในเรื่องของไขมันและโคเลสเตอรอลที่จะส่งผลกระทบกับรูปร่างหน้าตาภายนอกที่เห็นการเปลี่ยนแปลงได้ชัดเจน นอกจากนี้ยังส่งผลกระทบต่อสุขภาพร่างกายในอนาคตด้วย เพราะการรับประทานอาหารที่มีไขมันหรือโคเลสเตอรอลสูง เช่น หมูสามชั้น เนยแข็ง กะทิ เนยเทียม เป็นต้น จะสร้างปัญหาให้หลอดเลือดและหัวใจ แต่คุณสามารถเลือกรับประทานอาหารที่ช่วยลดไขมันและโคเลสเตอรอล เช่น ปลาทะเล ช่วยลดความดันโลหิต พวกถั่วเมล็ดแห้งอย่างถั่วแดง ถั่วเขียว ถั่วเหลือง ช่วยลดความเสี่ยงจากโรคหัวใจ และมีโปรตีนสูงเพื่อให้พลังงานแทนสัตว์ใหญ่ได้อีก อาหารจำพวกข้าว ธัญพืชไม่ขัดสี อย่างข้าวซ้อมมือ ขนมปังโฮลวีท มีใยอาหารสูง ช่วยให้อิ่มท้องนานและส่งผลดีต่อระบบลำไส้



วัยที่ขึ้นต้นด้วยเลข 4 วัยทองถูกเรียกแทนวัย 40 ปีขึ้นไป เนื่องจากสภาพร่างกายเริ่มเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะผู้หญิง ส่วนผู้ชายวัยนี้ก็จะเริ่มมีโรคต่างๆที่ไม่เคยออกอาการ ซึ่งเรียกกันว่าเป็น “วิถีทางธรรมชาติ” แต่ทั้งนี้การชะลอวัยหรือป้องกันโรคต่างๆที่มากับวัยไม่ได้ยุ่งยากเกินกว่าที่เราจะทำได้ สำหรับช่วงวัยนี้ความต้องการพลังงานจะลดลง แต่ความต้องการแคลเซียมและวิตามินต่างๆเพิ่มขึ้น ซึ่งจะได้รับจากผักผลไม้ที่มีกากใยอาหารสูง แล้วยังมีสารต้านอนุมูลอิสระอย่างวิตามินซีจากอาหารที่หารับประทานได้ง่าย เช่น ส้ม ฝรั่ง มะเขือเทศ แคนตาลูป ส่วนอาหารที่มีวิตามินอี ได้แก่ น้ำมันพืช เนยถั่ว ถั่วลิสง อัลมอนด์ นอกจากนี้ควรรับประทานเต้าหู้ โปรตีนไขมันต่ำ ซึ่งให้แคลเซียมมากกว่าเนื้อสัตว์อย่างอื่น แต่ไม่ควรลืมหลีกเลี่ยงอาหารที่เป็นตัวเร่งความแก่ให้เร็วขึ้น เช่น อาหารไขมันสูงประเภททอดกรอบหรือผัดน้ำมันมากๆ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และเครื่องดื่มกาเฟอีนทั้งหลาย



วัยที่ขึ้นต้นด้วยเลข 5 การก้าวเข้าสู่ช่วงวัย 50 เป็นต้นไปนั้นไม่ได้ส่งผลต่อร่างกายอย่างเดียว แต่ยังส่งผลต่อสภาพจิตใจด้วย เพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับวัยนี้คุณควรเข้าใจการทำงานของร่างกายที่มีประสิทธิภาพลดลง โดยเฉพาะระบบการย่อยการดูดซึมอาหาร ทำให้ร่างกายขาดสารอาหารบางอย่าง ช่วงนี้คุณอาจไม่รู้สึกกระหายน้ำเท่าไหร่ แต่ควรดื่มน้ำให้สม่ำเสมอ อย่างน้อยวันละ 8-12 แก้ว เพื่อป้องกันการขาดน้ำโดยไม่รู้ตัว ควรรับประทานคาร์โบไฮเดรตให้น้อยลงและพยายามเลือกชนิดไม่ขัดสี เน้นอาหารจำพวกปลาเพื่อไม่ให้ขาดโปรตีน ที่สำคัญคือเป็นเนื้อสัตว์ที่ย่อยง่าย



วัยนี้จะพบปัญหากระดูกเปราะ กระดูกพรุนอย่างชัดเจน ดังนั้น ควรได้รับแคลเซียมอย่างเพียงพอ อาหารแคลเซียมสูงอยู่ในนม โยเกิร์ตชนิดครีม เนยแข็ง หรือแม้แต่ปลาตัวเล็กตัวน้อย พวกผักใบเขียวก็มี เช่น คะน้า กวางตุ้ง และบรอกโคลี จะช่วยลดปัญหาเรื่องกระดูกให้รุนแรงน้อยลง การแก้ไขภาวะขาดน้ำอาจให้ดื่มน้ำสมุนไพร เช่น กระเจี๊ยบ เก๊กฮวย น้ำใบเตย นอกเหนือจากน้ำเปล่า เพราะช่วยบรรเทาโรคบางอย่างและให้ประโยชน์กว่าการดื่มเครื่องดื่มที่มีกาเฟอีน


สิ่งสำคัญไม่ว่าคุณจะอยู่ในช่วงวัยใดควรดูแลเรื่องการกินอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นโรคหรือไม่ก็ตาม เพราะคนส่วนใหญ่มักจะดูแลตัวเองเมื่อพบว่าตัวเองมีโรคหรือมีปัญหาสุขภาพแล้วเท่านั้น นอกจากนี้การเพิ่มกิจกรรมเคลื่อนไหวระหว่างวันให้มาก ทำบ่อยๆจนติดเป็นนิสัย จะช่วยให้สุขภาพดีมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะประโยชน์ด้านระบบการไหลเวียนเลือด ควบคุมน้ำหนักตัว และลดความเครียดของร่างกายได้


ที่มา: หนังสือพิมพ์โลกวันนี้



Create Date : 01 สิงหาคม 2554
Last Update : 1 สิงหาคม 2554 18:53:17 น.
Counter : 781 Pageviews.

0 comment
โรคปวดข้อมือ (ผู้ใช้คอมพิวเตอร์นานๆ ระวังไว้ครับ)
ปวดข้อมือ (Carpal Tunnel Syndrome - CST )

เป็นโรคซึ่งพบบ่อยมากโรคหนึ่งในวัยกลางคนถึงคนสูงอายุ โรคนี้เกิดขึ้นเพราะเส้นประสาทที่ข้อมือถูกกด ทำให้มีอาการ ปวด ชา และ อ่อนกำลังที่มือ โรคนี้ถ้าได้รับการรักษาที่ถูกต้องแต่เนิ่น ๆ ก่อน 6 เดือน จะหายขายได้

สาเหตุ

เกิดจากการใช้มือทำงานซ้ำ ๆ เป็นเวลานานหลาย ๆ ปี เช่น การพิมพ์ดีด การใช้แป้นพิมพ์คอมพิวเตอร์การห่อของในโรงงาน เป็นต้น
จากอุบัติเหตุ ทำให้ข้อมือช้ำ กระดูดหัก ข้ออักเสบ
จากโรคทั่วไปของร่างกาย เช่น โรคเบาหวาน ต่อมไทรอยด์ เนื้องอกบริเวณข้อมือ เป็นต้น

อาการ

อาการเริ่มต้นมักจะเป็นน้อย ๆ แล้วค่อย ๆ เป็นมากขึ้น เริ่มด้วยอาการปวดที่ข้อมือและมักจะปวดกลางคืนมากกว่ากลางวัน บางครั้งปวดจนตื่นกลางดึกต้องลุกขึ้นสะบัดมือสักพักแล้วค่อยทุเรา พอเป็นมากขึ้นจะมีอาการชาที่นิ้วมือ นิ้วชี้และนิ้วกลาง ทางด้านอุ้งมืออาจมีความรู้สึกเหมือนนิ้วหนาและหนักและกล้ามเนื้อฝ่อ ถ้าเป็นนาน 4 - 5 เดือน อาการมักจะเป็นตลอดเวลา

การป้องกัน

พยายยามอย่าใช้ข้อมือเคลื่อนไหวซ้ำ ๆ นานเกินไป เช่น การใช้คีมหยิบจับอุปกรณ์ชิ้นเล็ก ๆ ซ้ำ ๆ
เวลาที่ใช้เครื่องมือ ด้วยท่าที่ถือข้อมือจับแทนที่จะใช้นิ้วจับ
พยายามใช้มือ ด้วยท่าทีถือข้อมือตรง ไม่งอมาก อาจใช้ที่ดามข้อมือช่วย
เปลี่ยนการใช้มือซ้าย - ขวา พักการใช้มือครั้งคราว พยายามลดความกดดันมือเวลาใช้มือ

การรักษา

ใช้ที่ดามข้อมือ ตลอดทั้งกลางคืน - กลางวัน
รับประทานยาแก้อักเสบ
การทำกายภาพบำบัด
การฉีดยา
การผ่าตัดผ้าเส้นพักผืดกดเส้นประสาทโดยการฉีดยาชาที่ข้อมือ อาการจะหายเร็วและได้ผลดีมาก
ในกรณีที่ปวดจากเอ็นข้อมืออักเสบ ซึ่งเป็นโรคปวดข้อมือที่พบบ่อยที่สุด

ช่วงที่ปวดอยู่

หลีกเหลี่ยงกิจกรรมที่ทำแล้วปวด
ประคบบริเวณที่ปวดนาน 30 นาที วันละ 1-2 ครั้ง หรือ อาจจะประคบด้วยความเย็น โดยใช้น้ำแข็งห่อผ้าขนหนูประคบที่ปวดนาน 10-15 นาที บ่อย ๆ ได้ตามความต้องการ แต่ควรเว้นช่วงในการประคบมากกว่า 30 นาที แล้วจึงประคบใหม่อีกครั้ง

ช่วงที่หายปวดแล้ว

ใช้หนังยาง (หนังยางเส้นใหญ่) รัดปลายนิ้ว วกางนิ้วออก (ใช้แรงดึงของหนังยางเป็นแรงต้าน) ค่อย ๆ เพิ่มจำนวนหนังยางขึ้นเรื่อย ๆ ตามที่ทำได้ โดยไม่เจ็บ จำนวน 20 ครั้ง ทำบ่อยได้ตามต้องการ
สามารถบริหารข้อมือเพื่อผ่อนคลายและป้องกันการปวดข้อมือ



Create Date : 28 มีนาคม 2554
Last Update : 28 มีนาคม 2554 21:17:47 น.
Counter : 7716 Pageviews.

1 comment
อ่านดูเพื่อสุขภาพตาของคุณเอง

ตอนนี้ในประเทศไทยมีคนเป็นโรค 'วุ้นในลูกตาเสื่อม' ถึง 14 ล้านคน แล้วครับจากข้อมูลทางหนังสือพิมพ์
(นี่เฉพะาแค่ที่มีข้อมูลบันทึกไว้นะครับ คนที่ไม่รู้ตัวเองว่าตัวเองก็เป็นมากขนาดไหน?)
ผมคิดว่า ในขณะที่คุณอ่านข้อความของผมนี้จากทางเนตบางคนก็เป็น แต่ไม่รู้ตัวครับ
************************************************** ********
อาการก็คือ== คุณจะเห็นเป็นคราบดำๆ เหมือนยักใย่ ลอยไปลอยมา เหมือนคราบที่ติดกระจกน่ะครับ
จะเห็นชัดก็ต่อเมื่อ คุณมองไปยังภาพแบล็คกราวนด์ที่มีสีสว่าง เช่น ท้องฟ้าขาวๆ ฝาห้องขาวๆ
ฝาห้องน้ำขาวๆ จะเห็นเป็นคราบดำๆ ลอยไปลอยมา

ถ้าอาการมากกว่านั้นก็คือ ประสาทตาฉีกขาด คุณจะมองเห็นแสงแฟลช ในที่มืด ไม่ว่าหลับตาหรือลืมตา
(น่ากลัวมากๆ) และถึงขั้นนี้จะต้องผ่าตัด (ซึ่งไม่มีอะไรรับประกันว่าจะดีเหมือนเดิมจะตาบอดหรื อไม่?)
************************************************** ********
สาเหตุของโรคนี้คือ == ' การใช้สายตามากเกินไป' (เล่นคอม)
แต่ก่อนโรคนี้จะเกิดกับผู้สูงอายุ หรือ คนที่มีอาชีพใช้สายตามากๆ เช่น
ช่างเจียรไนเพชรพลอย ที่ต้องใช้สายตาเพ่งมากๆ
แต่เดี๋ยวนี้คนเป็นโรควุ้นในลูกตาเสื่อมกันมากเพราะ เล่นเนต หรือ เล่นคอม
(คุณฟังไม่ผิดหรอกครับ เดี๋ยวนี้คนเป็นโรคนี้กันมากเพราะเล่นคอมนี่แหละ)
************************************************** ********
ถามว่าทำไม คนเล่นเนต เล่นคอม ถึงเป็นกันมาก?
ไม่ว่าคุณจะเล่นเนต,เล่นเกมส์, อ่านไดอารี่,อ่านบทความ,อ่านหนังสือ
หรืออะไรก็ตาม ที่อยู่บนจอคอมพิวเตอร์ 'ล้วนทำให้สายตาคุณเสียได้ทั้งสิ้น '
เพราะว่า ถ้าคุณอ่านหนังสือที่เป็นแผ่นกระดาษธรรมดาๆ
'ระยะห่างระหว่าง ลูกตา กับ ตัวหนังสือ จะคงที่ แน่นอน'
เพราะขอบของตัวหนังสือจะคมชัด ทำให้สมองกะระยะโฟกัสได้ถูกต้องแน่นอน
กล้ามเนื้อและประสาทตา จึงทำงานค่อนข้างคงที่

แต่ ! ตัวหนังสือบนจอคอมพิวเตอร์นั้น มีลักษณ์เป็นจุดๆ ประกอบกัน เหมือนแขวนลอยบนจอ ขอบของตัวหนังสือไม่ชัด
สมองจะสับสนในการปรับระยะโฟกัส (เพราะจอแก้ว จะมีความหนาของแก้ว แต่เรามองผ่านมันไป )
(และจอ LCD เราก็ต้องมองผ่านเข้าไปเหมือนกัน ตัวหนังสือมันไม่ได้ติดอยู่ด้านบนเหมือนอยู่บนแผ่นกร ะดาษ)
การปรับระยะโฟกัสจึงไม่แน่นอน
************************************************** *******
บวกกับ ลักษณะการอ่านหน้าหนังสือในคอมนั้น จะต้องใช้เม้าส์จิ้ม ลากแถบด้านข้างจอ
เพื่อเลื่อนบรรทัดหนังสือขึ้นลง เพื่อจะอ่านบรรทัดด้านล่างได้ หรือไม่ก็ ใช้ลูกหมุนที่อยู่บนเม้าส์หมุนเพื่อเลื่อนบรรทัดหนัง สือ

แต่ การเลื่อนบรรทัดนี้ มันไม่เหมือนกับการอ่านหนังสือจากแผ่นกระดาษ
ที่แขนกับคอจะปรับการมองขึ้นลงโดยอัตโนมัติ มีระยะที่แน่นอน สัมพันธ์กัน แต่ว่าการเลื่อนบรรทัดด้วยแถบด้านข้าง
หรือลูกกลิ้งบนเม้าส์นั้น มันจะมีลักษณะการเลื่อนแบบกระตุกๆ (คุณสังเกตุดู)
มันจึงทำให้ปวดตามากๆ เพราะลูกตา จะต้องลากลูกตา เลื่อนตามบรรทัดที่กระตุกๆ นั้นไปตลอด

บวกกับ การพิมพ์ตัวหนังสือนั้น บางที คุณต้องก้มเพื่อมองนิ้ว ว่ากดตำแหน่งบนแป้มพิมพ์ถูกตัวอักษรหรือไม่
ทำให้เดี๋ยวก้ม เดี๋ยวเงย ลูกตาปรับโฟกัสบ่อยเกิน ทำให้ลูกตาทำงานหนัก กว่าจะพิมพ์งานเสร็จ คุณจะปวดตามากๆๆ

อย่างเด็กนักศึกษา เร่งพิมพ์รายงานส่งอาจารย์ ติดต่อกันข้ามคืน สองสามวัน ตาจะปวดมากๆ
รวมทั้งเวลาการเปิดโปรแกรม word ในการพิมพ์ตัวหนังสือมักจะมีสีพื้นที่เป็นสีสว่าง
(ที่นิยมก็คือ ตัวหนังสือดำ พื้นสีขาว )
สีพื้นที่สว่างขาวจ้า นี่เอง ทำให้ตาคุณจะเกิดอาการแพ้แสง

ถ้ามีการพิมพ์ติดต่อกันนานๆ เพราะจ้องจอสีขาวนานเกินไปหรือไม่ก็ ในคนที่ชอบเล่นเกมส์บ่อยๆ
มักจะมีการปรับแสงสว่างให้จ้าที่สุด เพราะเวลาเล่นเกมส์ ภาพพื้นหลังของเกมส์มักจะมืดๆ
เป็นสีกำแพง เป็นสีปราสาท มันจะให้สีสวยสดดี

แต่การทำแบบนี้มีข้อเสียคือ บางทีคุณหรือพี่น้องของคุณมาใช้คอมเครื่องนั้นต่อ
จะทำให้บางครั้งลืมปรับความสว่างกลับมาให้มืดเหมือนเ ดิม
จากที่แค่สว่างพอที่จะพิมพ์รายงาน กลายเป็นจ้องจอสว่างจ้า ตลอดคืนไม่รู้ตัว
************************************************** *************
สรุปก็คือ
1.การมองตัวหนังสือที่แขวนลอยอยู่ในจอ โฟกัสไม่แน่นอน กล้ามเนื้อลูกตาทำงานหนัก
'ทำให้สายตาเสีย'
2.การเลื่อนตัวหนังสือและแถบบรรทัด ในหน้าคอม หรือ หน้าเนต มันจะเลื่อนแบบเป็นกระตุกๆ
'ทำให้สายตาเสีย'
การกระตุกๆ ของแถบบรรทัดนี่เอง ที่ทำให้สายตาเสีย ถ้าคุณอ่านหนังสือจากเวปมากๆ
คุณจะติดนิสัยเสียอย่างนึงติดตัวไปคือ คุณจะติดนิสัย มองอะไรก็ตาม ไม่ว่าใกล้ไกล
จะปรับโฟกัสมองเพ่งอยู่เสมอ ผลก็คือ กล้ามเนื้อตาทำงานหนัก
คุณจะเริ่มมองของที่อยู่ไกลๆ เบลอๆ คุณจะไม่สามารถปรับโฟกัส มองของใกล้ แล้วมองไกล ได้ทันทีเหมือนเคย
(กล้ามเนื้อประสาทลูกตาจะล้า การปรับโฟกัสลูกตาเริ่มช้าลง)
3.การก้มๆเงยๆ มองแป้นพิมพ์ และมองจอคอม กลับไปกลับมา
'ทำให้สายตาเสีย '
4.การปรับจอภาพที่มีแสงสว่างจ้า มากเกินไปโดยไม่รู้ตัว
'ทำให้สายตาเสีย'
(ข้อนี้ คล้ายๆ กับ การเปิดดูทีวี ในห้องมืดๆ เป็นประจำ แล้วทำให้สายตาเสียน่ะเอง อย่างเดียวกัน)
5.การใช้จอคอม ที่มีความกว้างมากเกิน !!
(จอคอมกว้างๆ นั้น เหมาะสำหรับการดูภาพ ดูหนัง แต่ไม่เหมาะกับการดูตัวหนังสือ !!)
เพราะว่า สายตาคนเรานั้นมีระยะการมองตัวอักษรที่ 1 ฟุต (12นิ้ว)
แต่จอคอมสมัยใหม่ กลับมีความกว้าง 17 นิ้ว 19 นิ้ว หรือมากกว่านั้น
ซึ่งมันกว้างเกินระยะกวาดสายตามอง จากขอบหนึ่งไปสู่ อีกขอบหนึ่ง
(ทำให้ปวดทั้งคอ ทั้งลูกตา)

แค่คุณนั่งอ่านหนังสือบนจอกว้างแบบนี้ หนึ่งชั่วโมง ลูกตาคุณจะทำงานปรับโฟกัส กลับไปกลับมา เป็นพันๆ ครั้ง
และถ้าเป็นปี หรือ หลายปี ติดต่อกัน สายตาคุณเสียแน่นอน เพราะฉนั้น ถ้าคุณจะอ่านหนังสือจากจอคอม
ขนาดของจอคอมของคุณควรไม่เกิน 15 นิ้ว

ถามกลับไปว่า ทำไม กระดาษเอกสาร ที่ใช้ในการอ่าน การเขียนทั่วไปจึงมีขนาด A4 ?
(คำตอบ ก็คือ ความกว้างของกระดาษ A4 ไม่กว้างเกินไป กำลังพอดี ในการกวาดสายตามอง ยังงัยล่ะครับ)
และเป็นคำตอบเดียวกับที่ว่า ทำไมขนาดของจอคอมคุณที่จะเอามาอ่านหนังสือ ไม่ควรเกิน 15 นิ้ว นั่นเอง
************************************************** ********
และส่วนมากคนทั่วไป มักจะคิดไม่ถึงว่า การเล่นคอมทุกวัน ง่ายๆ นั้น
จะเป็นสาเหตุใหญ่ที่สามารถทำให้ตาบอดได้ ถ้าเกิดรุนแรง เพราะกว่าจะรู้ตัวไปหาหมอ
หมอก็อาจจะบอกว่าคุณไม่สามารถรักษาหายได้แล้ว และต้องรักษาด้วยการผ่าตัดเท่านั้น!!!
************************************************** ********
ผมจึงอยากจะฝากประโยคเอาไว้ให้คนที่เล่นคอมทุกคนว่า
'คอมพิวเตอร์นั้น มีไว้สำหรับการค้นหามูล ไม่ได้มีไว้สำหรับการอ่านเป็นประจำ'
โดยเฉพาะการอ่าน อะไรก็ตามที่ยาวๆ เป็นประจำ ไม่ว่าจะเป็นไดอารี่ หนังสือบนเนต คุณเสี่ยงทั้งนั้น
เพราะฉนั้น 'เราควรจะกลับมาอ่านหนังสือกระดาษกันเหมือนเดิม



Create Date : 22 สิงหาคม 2550
Last Update : 22 สิงหาคม 2550 8:12:14 น.
Counter : 582 Pageviews.

7 comment
รู้จักกับ " งา "
ที่มา Bangkok Health

"งา" เมล็ดจิ๋วคุณค่าแจ๋ว

ชื่อวิทยาศาสตร์ Sesamum indicum Linn.
วงศ์ : Pedaliaceae
ชื่ออื่นๆ งาดำ งาขาว

เป็นไม้ล้มลุก สูงประมาณ 30-100 ซม. ลำต้นเป็นเหลี่ยม มีร่องตามยาวของลำต้น มีขนปกคลุม ใบเป็นใบเดี่ยว เรียงตรงข้ามหรือสลับ ลักษณะใบเป็นรูปไข่ หรือรูปใบหอก กว้างประมาณ 2-5 ซม. ยาวประมาณ 6-10 ซม. ดอกเป็นดอกเดี่ยว เป็นหลอด ออกที่ซอกใบ กลีบดอกสีขาวหรือสีชมพู ออกโดยรอบลำต้นตอนบน ผลเป็นผลแห้ง มี 4 พู เมล็ดแบน ขนาดเล็ก มีจำนวนมาก รูปไข่ สีดำ เรียก"งาดำ" สีขาวหรือสีนวล เรียก" งาหม่น"

ประโยชน์ใช้ทำอาหาร ขนมแล้วยังใช้ทำน้ำมันระเหยยาก โดยบีบจากเมล็ด หุงเป็นมันมันใส่บาดแผล ถูทาแก้เคล็ดขัดยอก พบว่างามีสาร beta-sitosterol ซึ่งมีฤทธิ์ลดการอักเสบได้

ตามตำรายาไทยระบุว่า
ใบ ทำให้ผมดกดำ
เมล็ด บำรุงกำลัง บำรุงร่างกาย
น้ำมันงา บำรุงผิว ไม่ระบุส่วนใช้ ทำให้กำลังอบอุ่น บำรุงกำลัง
ตำราแพทย์จีนโบราณจัดเป็นยารสหวาน ฤทธิ์ปานกลาง บำรุงกำลัง ช่วยในการระบาย แก้ท้องผูก รักษาแผลในกระเพาะอาหาร ช่วยถอนพิษ ขับพยาธิตัวกลม หมอพื้นบ้านในชุมชนไทยใหญ่ และชุมชนพม่าจะใช้น้ำมันงาทารักษาโรคปวดข้อ เคล็ดขัดยอก ข้อบวมและข้อเท้าแพลง

เมล็ดงามีน้ำมันสูงถึง 35-57% น้ำมันที่สกัดได้เป็นน้ำมันที่ดีเยี่ยมคือ มีกรดไขมันที่ไม่อิ่มตัวสูง กรดนี้ช่วยควบคุมระดับโคเลสเตอรอล ไม่ให้มีมากเกินไป ป้องกันไม่ให้หลอดเลือดแข็ง ป้องกันโรคหัวใจและโรคเกี่ยวกับ หลอดเลือดบางชนิด โปรตีนในงาก็มีมากไม่น้อย เป็นโปรตีนที่จำเป็นสำหรับผู้ที่ถือมังสวิรัติ สำหรับผู้ที่ไม่รับประทานเนื้อจะพึ่งโปรตีนจากถั่ว ซึ่งเป็นโปรตีนที่ขาดกรดอะมิโนที่ชื่อเมธิโอนีน ซึ่งเจ้าเมธิโอนีนนี้กลับมีมากในโปรตีนของงา ดังนั้น ถ้าเรากินถั่วพร้อมกับงา เราก็จะได้โปรตีนครบถ้วน

งาเป็นอาหารที่มีแร่ธาตุมาก ที่สำคัญคือ ธาตุเหล็ก, ไอโอดีน, สังกะสี, แคลเซียม, ฟอสฟอรัส งามีแคลเซียมมากกว่าพืชผักทั่วไปถึง 40 เท่า มีฟอสฟอรัสมากกกว่าพืชผักทั่วไปถึง 20 เท่า ซึ่งธาตุ 2 ตัวนี้เป็นธาตุที่สำคัญในการเสริมสร้างกระดูก ฉะนั้นจึงควรให้เด็กๆ กินงา กระดูกจะได้แข็งแรง เจริญเติบโตสูงใหญ่

สำหรับสุภาพสตรีในวัยหมดประจำเดือนไปแล้วก็ควรจะรับประทานงามากๆ เพราะจะได้แคลเซียม เนื่องจากคนหมดประจำเดือนจะบกพร่องในฮอร์โมนเอสโตรเจน ทำให้มีการดึงแคลเซียมออกมาจากกระดูก โอกาสที่จะเป็นโรคกระดูกเสื่อมก็มีมาก

งายังเป็นอาหารที่อุดมไปด้วยวิตามินบี คือนอกจากมีวิตามินบี1 วิตามินบี2 วิตามินบี3 อยู่มากแล้ว ยังมีวิตามินบี5 วิตามินบี6 วิตามินบี9 ไบโอติน โคลิน ไอโนสิตอล กรดพาราอะมิโนเบนโซอิค (พวกนี้เป็นวิตามินบีทั้งสิ้น) และเนื่องจากกลุ่มวิตามินบี ช่วยบำรุงประสาท ดังนั้น ท่านที่มีอาการไม่สบายต่างๆ ที่เกิดจากระบบประสาท เช่น นอนไม่หลับ อ่อนเปลี้ยเพลียแรง เป็นเหน็บชา ปวดเส้นตามตัวแขนขา เบื่ออาหาร ท้องผูก เมื่อยสายตา ควรหันมารับประทานงาเป็นประจำ

"น้ำมันงา" ( Seasame oil หรือ Teel oil หรือ Benne oil หรือ gingelly oil ) คือ การคิดค้นวิธีแปรรูป งาขาวได้รับความนิยมนำมาผลิตเป็นน้ำมัน เพราะมีกลิ่นหอม รสชาติดี เหมาะกับการปรุงอาหาร ส่วนงาดำนั้นใช้ทำยามีรสออกขมนิด ๆ แต่พบว่างาดำมีคุณค่าทางอาหารสูงกว่า จึงใช้งาดำเป็นวัตถุดิบหลักในการผลิต

ส่วนน้ำมันงาที่ได้จากการบีบงาโดยใช้ความร้อน ( cold expression) เรียกน้ำมันงาเชย สตรีไทยโบราณใช้น้ำมันงาเชยประทินผิวให้ผิวสวย เนียน ส่วนแพทย์แผนโบราณใช้หุงผสมกับน้ำคั้นสมุนไพรต่างๆรวมกัน เคี่ยวจนเหลือแต่น้ำมัน สำหรับใช้ทาภายนอก เป็นยาทา ถู นวด มักใช้ผสมยาทา สำหรับกระดูกหัก ทานวดเคล็ด ยอก ปวด บวม หรือใช้บำรุงรากผม

เคล็ด(ไม่)ลับกับน้ำมันงา

-ใช้น้ำมันงาประกอบอาหารรับประทานเป็นประจำ จะช่วยป้องกันโรคหลอดเลือดแข็งตัว หลอดเลือดหัวใจตีบตัน และอาการท้องผูก
-น้ำมันงา ใช้ลดการหมักหมมในช่องท้อง โดยทานน้ำมันงาดิบ ๆ 1 ถึง 2 ช้อนโต๊ะ ขณะท้องว่าง เพื่อให้ลำไส้ขับสิ่งที่หมักหมมอยู่ออกไป
-น้ำมันงา ใช้ทาผมจะทำให้ผมดำเป็นมันวาว ไม่แห้งแตกปลาย และใช้ทาผิว เพื่อให้ความชุ่มชื้น ลดรอยหยาบกร้าน ช่วยให้ผิวพรรณผุดผ่อง
-น้ำมันงาใส่ขิง ช่วยบรรเทาอาการปวดเมื่อย โดยใช้ขิงสดขูดละเอียดผสมกับน้ำมันงาในปริมาณเท่ากัน จุ่มผ้าฝ้ายลงในส่วนผสมนี้ นำมาถูนวดบริเวณที่ปวดเมื่อย
-ใช้กระเทียมสับผสมน้ำมันงา รักษาโรคผิวหนังอย่างกลาก เกลื้อน เรื้อนกวาง ทาบริเวณที่มีอาการ
-น้ำมันงาผสมน้ำปูนใส ช่วยบรรเทาอาการปวดแสบปวดร้อนจากน้ำร้อนลวกได้เป็นอย่างดี ใช้น้ำมันงา 1 ส่วน น้ำปูนใส 1 ส่วน ตีให้เข้ากันจนเป็นครีมขาว เอาผ้าขาวบางที่สะอาดจุ่มแล้วแปะไว้บริเวณที่เป็นแผล
-แก้ปัญหาผมร่วง ใช้น้ำมันงาเคี่ยว ทิ้งไว้ให้เย็น แล้วนำมาทาบริเวณที่ผมร่วง วันละหลาย ๆ ครั้ง จนกระทั่งผมเริ่มขึ้น
-น้ำมันงา ใช้นวดบรรเทาอาการช้ำบวม ให้ทาน้ำมันงาแล้วนวดเบา ๆ รอบ ๆ บริเวณ จะทำให้ตรงที่ช้ำบวมหายเร็วขึ้น
-เป็นหวัด แพ้อากาศ ให้รับประทานงาเป็นประจำ (ทานช่วงเช้า ประมาณ 2 ช้อนโต๊ะ) จะทำให้หายใจโล่ง อาการดีขึ้น
-ฤทธิ์ระบายท้องของงา ช่วยลดอาการอักเสบของหัวริดสีดวง ช่วยห้ามเลือดจากหัวริดสีดวง และน้ำมันงายังใช้ทาหัวริดสีดวง แก้ริดสีดวงอักเสบได้ด้วย



Create Date : 17 ธันวาคม 2549
Last Update : 17 ธันวาคม 2549 11:24:54 น.
Counter : 604 Pageviews.

3 comment
อาการข้างเคียงของวัคซีน...เรื่องที่ต้องเฝ้าติดตาม
ที่มา หนังสือ "วัคซีน.....น่ารู้"
สมาคมกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย

อาการข้างเคียงของวัคซีน...
เรื่องที่ต้องเฝ้าติดตาม

ในการผลิตวัคซีน จะเน้นเรื่องประสิทธิภาพในการป้องกันโรคเป็นสำคัญแต่ในเวลาเดียวกัน ความปลอดภัยของวัคซีนก็เป็นเรื่องที่ต้องคำนึงถึงควบคู่ไปด้วยเสมอ วัคซีนหลายชนิดถูกยกเลิกใช้เนื่องจากมีอาการข้างเคียงหรือปฏิกิริยาหลังจากรับวัคซีนเกิดขึ้นบ่อย เช่น วัคซีนทัยฟอยด์ในยุคต้น ๆ พบอาการไข้สูงหลังฉีดวัคซีน หรือในบางครั้งเป็นอาการข้างเคียงที่เป็นอาการรุนแรงแต่อาจไม่พบบ่อยนัก เช่น วัคซีนป้องกันโรคท้องเสียจากไวรัสโรตากับการเกิดภาวะลำไส้กลืนกัน จึงได้มีความพยายามในการพัฒนาวัคซีนให้มีประสิทธิภาพสูงพร้อม ๆ กับความปลอดภัยที่เพิ่มมากขึ้น วัคซีนที่ผลิตโดยใช้สมองสัตว์และอาจเกิดผลเสียในระยะยาวได้ถูกแทนที่ด้วยวัคซีนชนิดใหม่ เช่น วัคซีนพิษสุนัขบ้าที่ทำจากสมองสัตว์ที่เคยมีใช้ในสมัยก่อน ได้ถูกยกเลิกไม่ให้นำมาใช้ประเทศไทยแล้ว

วัคซีนที่ใช้ในปัจจุบันส่วนใหญ่มีความปลอดภัยสูง แต่ยังคงพบอาการข้างเคียงหลัง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นอาการที่ไม่รุนแรงและยอมรับได้ การเฝ้าสังเกตอาการข้างเคียงของวัคซีนทั้งในระยะสั้นและระยะยาวจึงเป็นเรื่องที่ต้องติดตามและเป็นความรับผิดชอบร่วมกันของพ่อแม่ผู้ปกครอง แพทย์ บริษัทผู้ผลิตรวมทั้งกระทรวงสาธารณสุข

การเกิดอาการข้างเคียงของวัคซีนแต่ละชนิด

อาการข้างเคียงของวัคซีนมีความแตกต่างกันไปตามประเภทของวัคซีน วัคซีนเชื้อตายมักทำให้เกิดอาการข้างเคียงได้รวดเร็วหลังได้รับวัคซีนโดยเฉพาะเรื่องไข้ เช่น อาการไข้หลังแดวัคซีนไอกรน วัคซีนเชื้อเป็นมักมีอาการข้างเคียงคล้ายกับอาการของโรคนั้น แต่ไม่รุนแรงและมักเกิดขึ้นหลายวันหลังได้รับวัคซีน เช่น อาการผื่นหลังฉีดวัคซีนอีสุกอีใสและวัคซีนหัด วัคซีนชนิดกินมักทำให้เกิดอาการของระบบทางเดินอาหารมากกว่าวัคซีนชนิดฉีด

ประเภทของอาการข้างเคียงหลังได้รับวัคซีน

อาการข้างเคียงหลังได้รับวัคซีนมีสองประเภทใหญ่ ๆ คือ อาการข้างเคียงเฉพาะที่ และอาการข้างเคียงทั่วไป อาการเฉพาะที่ได้แก่ อาการที่เกิดขึ้นบริเวณตำแหน่งที่ฉีดวัคซีน เช่น อาการบวมแดง อาการเจ็บ อาการคัน ส่วนอาการทั่วไปคือ อาการข้างเคียงที่เกิดขึ้นร่างกายนอกเหนือจากบริเวณที่ฉีดวัคซีน เช่น อาการไข้ อ่อนเพลีย ผื่น

อาการไข้หลังจากรับวัคซีนเป็นเรื่องที่พ่อแม่และแพทย์ให้ความสำคัญมากกว่าอาการข้างเคียงอื่น วัคซีนชนิดฉีดเกือบทุกชนิดสามารถทำให้เกิดไข้ได้บ่อย และอาจจะมีอาการไข้อาจสูงถึงจนทำให้เกิดอาการชักได้ ส่วนใหญ่อาการไข้มักเกิดขึ้นสองชั่วโมงหลังฉีดวัคซีนและเป็นอยู่ไม่เกินสองวัน และหากมีอาการไข้ในการฉีดวัคซีนเข็มก่อน ๆ อาจคาดคะเนได้ว่าจะมีอาการไข้บ่อยยิ่งขึ้นในการฉีดเข็มต่อ ๆ มา ปัจจุบันมีวัคซีนไอกรนชนิดใหม่ที่ได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้นเนื่องจากมีอาการข้างเคียงลดลงแต่ยังมีราคาสูง แนะนำให้นำมาใช้แทนวัคซีนชนิดเต็มเซลล์หากการฉีดครั้งก่อนเกิดอาการข้างเคียงที่รุนแรง


การดูแลอาการข้างเคียงหลังได้รับวัคซีน

หลังฉีดวัคซีนควรเฝ้าดูอาการข้างเคียงที่พบบ่อยสำหรับวัคซีนแต่ละชนิด ซึ่งทั้งอาการข้างเคียงทั่วไปและอาการข้างเคียงเฉพาะที่ อาการเฉพาะที่มักดีขึ้นและหายได้เองภายใน 2-3 วัน การรักษาเฉพาะที่อาจทำโดยการประคบด้วยน้ำอุ่น ซึ่งจะช่วยให้อาการทุเลาลงหรืออาจให้ยาแก้ปวดลดไข้ร่วมด้วย การให้ยาลดไข้เมื่อมีไข้หรือการให้ยาลดไข้ไว้ล่วงหน้าหลังจากฉีดวัคซีนไอกรนชนิดเต็มเซลล์จะช่วยให้อาการไข้ลดลง แนะนำให้ใช้ยาลดไข้ล่วงหน้ากรณีเด็กเคยมีไข้สูงจากการฉีดครั้งก่อนหรือเด็กเป็นโรคซึ่งมีความเสี่ยงสูงต่อการชัก โดยให้ยาลดไข้หลังฉีดวัคซีนประมาณ 1-2 ชั่วโมง กรณีอาการรุนแรงหรือไม่ดีขึ้นภายใน 2-3 วัน ควรปรึกษาแพทย์



Create Date : 10 ตุลาคม 2549
Last Update : 10 ตุลาคม 2549 9:05:42 น.
Counter : 1476 Pageviews.

3 comment
1  2  3  

OvO
Location :
เชียงใหม่  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 6 คน [?]



สนใจเรื่องเกี่ยวกับเรื่องโหราศาสตร์ ความรู้โหราศาสตร์แบบต่างๆ ศาสต์ทำนายไพ่ทาโรต์ และชื่นชอบการประยุกต์โหราศาสตร์มาเพื่อพัฒนา เรียนรู้และเข้าใจคน




Custom Search
MY VIP Friend