Group Blog
  •  

  •  
  •  
  •  
  •  
  •  
  •  
  •  
  •  
  •  
  •  
  •  ชีวิตในญี่ปุ่น
  •  
  •   
  •  
  •  
  •  
All Blog
20. วัยเด็กเล็กนี่แหละที่  “แตะชาดย่อมแดง”
     เรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้ ผมได้ยินจากพนักงานบริษัทแห่งหนึ่ง พนักงานคนนี้ต้องไปทำงานต่างประเทศ ขณะนั้นเขาพึ่งได้ลูกสาวน่ารัก แต่ทางบริษัทให้เขาไปคนเดียว เขาจึงส่งภรรยาและลูกไปอยู่กับตายายที่โทฮาขุ (ภาคอีสานของญี่ปุ่น)

     1 ปีผ่านไป เขาหมดภาระหน้าที่ในต่างประเทศ และย้ายกลับไปอยู่บ้านที่เดนโซฝุในโตเกียวพร้อมทั้งครอบครัว ตอนนั้นลูกสาวเขาเพิ่งจะหัดพูดหลังจากนั้นไม่นาน พอเด็กเริ่มพูดได้บ้าง พ่อแม่ถึงกับตกตะลึง

     ทั้งนี้เพราะคำพูดที่ออกมาจากปากลูกสาวทุกคำเป็นสำเนียงโทฮาขุ(อีสาน)อย่างชัดเจน เวลาพูดคำว่ารถ ผู้เป็นพ่อย้ำสำเนียงภาคกลางซ้ำแล้วซ้ำอีกว่า “จิโดซะ” แต่ลูกสาวกลับออกเสียงเป็น “ซุโดซะ” ครอบครัวของเขามีแต่คนพูดภาคกลางทั้งนั้น มีเฉพาะลูกสาววัย 2 ขวบคนเดียวเท่านั้นที่พูดภาษาอีสาน จึงเป็นเรื่องแปลกมาก

     ได้ความว่า ระหว่างที่เขาไปต่างประเทศ และภรรยากลับไปอยู่บ้านเดิมนั้น ตากับยายรักหลานมากและดูแลอย่างใกล้ชิดชนิดไม่ยอมห่างเลย ภรรยาของเขาก็คิดว่าลูกสาวยังเป็นเด็กแดงๆพูดไม่ได้จึงไม่ระวังเรื่องภาษาเลย

     หลายปีหลังจากนั้น เมื่อเด็กเข้าโรงเรียนประถม แกก็ยังติดสำเนียงอีสานอยู่นั่นเอง

     เรื่องนี้เป็นเพราะภายในสมองของเด็กมีการสร้างเส้นสายสำเนียงอีสานขึ้นก่อนที่เด็กจะพูดได้เสียอีก และเมื่อสร้างเส้นสายเสร็จเรียบร้อยแล้ว จะให้วางสายใหม่อีกครั้งหนึ่งนั่นเป็นเรื่องยุ่งยากมากสำหรับมนุษย์เรา มีผู้กล่าวว่าการทำลายเส้นสายเก่าเพื่อวางสายใหม่นั้น ต้องใช้เวลานานมากกว่าการวางสายถึง 4 เท่า

     ในภาษาญี่ปุ่นมีคำพังเพยว่า “แตะชาดย่อมแดง” โดยเฉพาะในวัยเด็กเล็กนี่แหละที่รับอิทธิพลจากสิ่งแวดล้อมได้ง่ายมาก เพราะฉะนั้นหน้าที่สำคัญที่สุดของพ่อแม่คือ สร้างสิ่งแวดล้อมที่ถูกต้องเหมาะสมให้แก่ลูก



Create Date : 24 มกราคม 2556
Last Update : 24 มกราคม 2556 15:18:10 น.
Counter : 558 Pageviews.

0 comment
19. เด็กทารกเมื่อวาน  ต่างกับวันนี้ลิบลับ
     เราเห็นลูกอยู่ทุกวันจึงไม่ค่อยสังเกตเห็นความเจริญเติบโตของเด็กนักแต่ที่จริงเด็กทารกโตเร็วกว่าที่เราคาดเสียอีก นักจิตวิทยาที่มีชื่อเสียงระดับโลกชาวสวีส ชื่อศาสตราจารย์ ฌอง ปิอาเจต์ (Jean Piaget) ได้สังเกตและศึกษาลูกของตน 3 คน จนกระทั่งตั้งทฤษฎีขั้นตอนการเจริญเติบโตของเขาขึ้นมาได้ ยิ่งผมอ่านหนังสือของเขามากขึ้นเท่าไร ผมยิ่งมองเห็นความสำคัญของการให้การศึกษาและสร้างสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมกับขั้นตอนการเจริญเติบโตของเด็กมากขึ้น

    จากการสังเกตและศึกษาศาสตราจารย์ ฌอง ปิอาเจต์ เขาพบว่า ทารกแรกเกิดนั้นจะดูดของทุกอย่างที่มาแตะริมฝีปากของแก แต่พออายุสัก 20 วัน ถ้าสิ่งของนั้นไม่มีนมออกมาแกจะเลิกดูด แล้วแกจะร้องเอานมอย่างถึงที่สุด

    เมื่ออายุได้ 3 เดือน เด็กเริ่มมีความสนใจที่จะทำอะไรด้วยตนเอง แกเริ่มใช้ขาเตะตุ๊กตาที่แขวนอยู่เหนือเปล ต่อมาเมื่อเด็กอายุเกินขวบครึ่ง จะรู้จักใช้ไม้เขี่ยเพื่อเอาขนมปังซึ่งอยู่ไกลเกินเอื้อม และเมื่ออายุเกิน 2 ขวบ เด็กเริ่มรู้จักเชื่อมโยงความหมายอันเป็นนามธรรมกับคำในภาษาตามความคิดของแก เช่นถ้าผู้ชายก็เป็น “พ่อ” หรือ “ฝน” ช่วยล้างถนนให้สะอาด เป็นต้น

    พอเด็กอายุประมาณ 4 ขวบ แกจะเชื่อว่าน้ำส้มในแก้วเล็กเต็มแก้วนั้นมากกว่าน้ำส้มครึ่งแก้วใหญ่ ทั้งๆ ที่ความจริงปริมาณเท่ากัน หรือขนมปังกรอบแผ่นเดียวกัน ถ้าหักเป็นชิ้นเล็กๆแกเชื่อว่าจะมีปริมาณเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นการสังเกตอย่างละเอียดของแก

     ดังนั้น ระยะปฐมวัย เป็นระยะที่เด็กเติบโตทั้งทางร่างกายและทางจิตใจได้อย่างรวดเร็วมากอย่างไม่น่าเชื่อ เพราะฉะนั้น คุณแม่ซึ่งเป็นผู้เลี้ยงดูและใกล้ชิดลูกอยู่ตลอดเวลา จะต้องรู้จักสังเกตว่าเด็กทารกซึ่งพูดไม่ได้นั้น ต้องการอะไรเวลาไหน สนใจอะไร และสร้างสภาพแวดล้อมและให้การฝึกอบรมที่เหมาะสม การเรียนรู้ภาษาต่างประเทศนั้น เวลาเริ่มต้นที่เหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญมาก ในทำนองเดียวกัน การศึกษาในระยะปฐมวัยนั้น การให้สิ่งที่เหมาะสมในช่วงเวลาที่เหมาะสมเป็นจุดที่สำคัญที่สุด

     อาทิเช่น การสอนให้เด็กเล่นสังเกตหลังจากที่เด็กเดินได้แล้วเป็นเรื่องยากลำบากมาก แต่ถ้าเราสอนให้เด็กเพิ่งเริมหัดเดินรู้จักการเล่นสังเกตควบคู่กันไปเพียงไม่กี่เดือนแกจะเล่นได้เก่งทีเดียว นักจิตวิทยาชาวอเมริกัน ชื่อ แมคโกรว์ (McGrow) ได้พิสูจน์เรื่องนี้โดยทำการทดลองกับเด็กแฝดคู่หนึ่ง เธอเริ่มสอนให้เด็กคนหนึ่งเล่นสังเกตเมื่ออายุ 11 เดือน และอีกคนหนึ่งเมื่ออายุ 22 เดือน เธอพบความแตกต่างของเด็กทั้งสองคนอย่างชัดเจน

     ผมคิดว่าที่ผ่านมาจนกระทั่งทุกวันนี้ เราเพิ่มความลำบากให้เด็กโดยไม่จำเป็น เพราะผู้ใหญ่เราเข้าใจผิดว่า เรื่องนั้นเรื่องนี้ยังเร็วเกินไปที่จะสอนเด็ก ทำให้เรื่องที่เด็กสามารถจดจำได้อย่างง่ายดายในเวลาที่เหมาะสมกลายเป็นเรื่องยากในภายหลัง



Create Date : 24 มกราคม 2556
Last Update : 24 มกราคม 2556 15:17:00 น.
Counter : 444 Pageviews.

0 comment
18.  ลูกของคนถ้าเติบโตในหมู่สัตว์ ก็จะกลายเป็นสัตว์
      ลูกของหมาคือหมา ลูกของหมาป่าคือหมาป่า และลูกของคนก็คือคนเป็นธรรมดา แต่ทว่าตามธรรมดานี่แหละ สภาพแวดล้อมอาจทำให้มันไม่ธรรมดาได้ ผมจะยกตัวอย่างให้ฟัง คือเรื่องของอมราและกมลา ลูกหมาป่าอันลือลั่นนั่นแหละครับ

      เดือนตุลาคม ปี ค.ศ.1920 ณ หมู่บ้านเล็กๆแห่งหนึ่งห่างจากเมืองกัลกัตตา ประเทศอินเดีย ไปทางตะวันตกเฉียงใต้ประมาณ 110 กิโลเมตร ได้เกิดข่าวลือว่ามีสัตว์ประหลาด 2 ตัว รูปร่างเหมือนคนอยู่ในถ้ำหมาป่า บังเอิญหมอสอนศาสนาสามีภรรยาชื่อ ซิงก์ (Synge) ได้ยินเรื่องนี้เข้า จึงไปค้นหาที่ถ้ำและจับสัตว์ 2 ตัวที่อยู่ในถ้ำนั้นมา ปรากฏว่ากลายเป็นเด็กผู้หญิงทั้งคู่อายุประมาณ 8 ขวบและขวบครึ่ง

      เขาตั้งชื่อสองพี่น้องว่า กมลาและอมรา และส่งไปเลี้ยงที่สถานที่เลี้ยงเด็กกำพร้า เพื่อเริ่มการศึกษาอย่างลูกมนุษย์

      สองสามีภรรยาให้ทั้งความรัก ความเอาใจใส่ และอดทนพยายามที่จะปลูกฝังคุณสมบัติและทักษะความเป็นคนให้แก่พี่น้องทั้งคู่นี้ แต่เด็กทั้งสองถูกหมาป่าเลี้ยงดูมาตั้งแต่สมัยทารก ตอนแรกทั้งคู่ไม่ยอมเลิกเป็นหมาป่า อยู่ในห้องก็คลาน 4 ขา พอมีใครยื่นมือเข้าไปก็กระโจนเข้าใส่ ตอนกลางวันชอบห่อตัวอยู่ข้างฝาและงีบหลับในห้องมืด พอตกกลางคืนก็เริ่มเห่าหอน อาหารชอบกินเนื้อบูดและไก่เป็นๆ

      ถึงกระนั้นความพยายามของสองสามีภรรยาก็ยังได้ผลบ้างเมื่อเวลาผ่านไป 2 เดือน อมราคนน้องเริ่มส่งเสียง”บู” ออกมาได้ แต่ประมาณ 1ปี อมราก็ตายจากไป

      ส่วนกมลาพี่สาว ต้องใช้เวลาถึง 3 ปี กว่าจะเดินได้ 2 ขาเหมือนคนแต่เวลาเธอทำอะไรตามสัญชาตญาณ เธอยังคลาน 4 ขาเหมือนเดิมตลอดเวลาที่เธอกลับมาอยู่ในสังคมมนุษย์ได้ 9 ปี และตายจากไปเมื่ออายุ 17 ปี เธอสามารถพูดได้ไม่เกิน 45 คำ และมีระดับสติปัญญาแค่เด็กอายุ 3 ขวบครึ่ง ซึ่งเป็นเรื่องน่าเศร้าเหลือเกิน และต่อมาไม่นานก็มีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นอีก

     เรื่องเกิดขึ้นที่ป่าดงดิบโมแซมบิค ในทวีปแอฟริกา ประมาณ 23 ปีก่อนหน้านี้ เกิดกรณีว่า ภรรยาสาวของชาวพื้นเมืองคนหนึ่งเกิดตายไป และทารกแรกคลอดของเธอก็หายไปด้วย

     หลังจากนั้นหลายเดือน มีคนพบเด็กเกาะดูดนมลิงบาบูนอยู่ในฝูงลิง จึงพยายามแย่งเด็กมาจากลิงบาบูน หลายครั้งหลายหนแต่ก็ไม่สำเร็จ จนกระทั่งต้องเลิกล้มความตั้งใจ หลังจากนั้นประมาณ 19 ปี เด็กคนนี้เติบโตเป็นเด็กหนุ่มที่แข็งแรง และเอาชนะลิงตัวอื่นๆจนสามารถเป็นจ่าฝูงของลิงดุร้ายนั้นได้ ต่อมาประมาณ 4 ปีก่อนหน้านี้ เขาถูกจับตัวมาได้ในขณะที่กำลังหลับอยู่บนต้นไม้ เขาถูกขังอยู่ในบ้านกรงตาข่ายเพื่อรับการฝึกอบรมให้กลับเป็นคนขึ้นมาและต่อมาได้ข่าวว่าเขาเริ่มใช้มือหยิบของกินและเดิน 2 เท้าได้แล้ว



Create Date : 24 มกราคม 2556
Last Update : 24 มกราคม 2556 15:15:21 น.
Counter : 1277 Pageviews.

0 comment
17.  ลูกนักวิชาการก็ไม่แน่ว่า จะเหมาะที่จะเป็นนักวิชาการ
     เรามักได้ยินคุณแม่จำนวนมากคุยว่า “ลูกของฉันเหมือนพ่อของเค้านะ ไม่ชอบวาดรูปหรือฟังเพลงเอาเสียเลย” หรือ “สามีของดิฉันเป็นนักประพันธ์ค่ะ ลูกถึงแต่งเรียงความเก่ง คงเป็นเชื้อสายพ่อเค้านะคะ” จริงอยู่เรามีคำพังเพยแต่โบราณว่า “ลูกไม้ย่อมหล่นไม่ไกลต้น”, ลูกย่อมเป็นลูกกบ” ,เถาแตงกวาย่อมไม่ออกผลเป็นมะเขือยาว”และมีตัวอย่างมากมายที่พ่อเป็นนักวิชาการ ลูกก็เป็นนักวิชาการ หรือพ่อเป็นพ่อค้า ลูกก็เป็นพ่อค้า

     อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ไม่ได้หมายความว่าเด็กเหมือนพ่อหรือได้รับเชื้อสายจากพ่อ จึงเป็นเช่นนั้น แต่เป็นเพราะเด็กถูกเลี้ยงดูมาภายใต้สภาพแวดล้อมซึ่งเหมาะที่จะเป็นอย่างนั้นตั้งแต่เกิด สภาพแวดล้อมซึ่งพ่อแม่สร้างขึ้นกลายเป็นสภาพแวดล้อมของเด็กและสร้างความสามารถของเด็กขึ้นมา เด็กจึงสนใจไปทางด้านนั้นด้วย

     ถ้าหากพันธุกรรมหรือสายเลือดเป็นตัวกำหนดความสามารถของเด็กล่ะก็ พ่อลูกตระกูลไหนก็ต้องสืบอาชีพเดียวกันต่อมาเรื่อยๆเหมือนกับระบบชนชั้นอันเข้มงวด ซึ่งยังคงหลงเหลืออยู่ในประเทศอังกฤษ

     แต่ในความจริง โลกของเราดีกว่านี้ มีไม่น้อยที่ลูกของนักวิชาการกลายเป็นนักสีไวโอลิน หรือลูกของหมอกลายเป็นนักประพันธ์ ตัวอย่างเช่น นายโคจิ โทโยดะ (Koji Toyoda) ลูกศิษย์คนโปรดของอาจารย์ ซูซูกิ ซึ่งตอนนี้เป็นผู้คุมวงดนตรี Berlin Broadcasting Philharmonic Orchestra หรือ นายเคนจิ โคบายาชิ Kenji Kobayashi ) ซึ่งเป็นผู้คุมวง Oktahoma Symphony ทั้งสองคนไม่ได้มีพ่อหรือแม่หรือญาติพี่ น้องเป็นนักดนตรีที่มีชื่อเสียงอะไรเลย สภาพแวดล้อมในวัยเด็กต่างหากที่สร้างพวกเขาขึ้นมาทุกวันนี้

     ท่านลองพิจารณารอบกายของท่านดูก็รู้ว่า พ่อแม่ที่เก่งกาจไม่จำเป็นจะต้องมีลูกที่เก่ง สังคมประณามเด็กแบบนี้ว่า เป็น “ลูกนอกคอก” แต่อันที่จริงความผิดไม่ได้อยู่ที่เด็ก สภาพแวดล้อมในระยะปฐมวัยต่างหากที่ทำให้เด็กกลายเป็น “ลูกนอกคอก”

     ในทางตรงกันข้าม ลูกของพ่อขี้เมา ขี้เกียจหลังยาว ที่โตขึ้นกลายเป็นช่างเทคนิคหรือศิลปินที่เก่งกาจก็มีตัวอย่างอยู่ไม่น้อย เข้าทำนอง “เหยี่ยวออกลูกเป็นนกอินทรีย์” เขาเหล่านั้นไม่ได้มีพรสวรรค์มาแต่กำเนิด แต่น่าจะกล่าวได้ว่าสภาพแวดล้อมช่วยสร้างความสามารถของพวกเขา

     เด็กแรกเกิดนั้นหน้าตาเหี่ยวย่นเหมือนกันหมดทุกคน และในทำนองเดียวกันเด็กแรกเกิดมีความสามารถและอุปนิสัยเหมือนกันหมด แต่สภาพแวดล้อมที่แตกต่างกัน ทำให้เด็กแต่ละคนที่โตขึ้นมามีความสามารถและอุปนิสัยแตกต่างกัน

     หมายความว่า อาชีพและความสามารถของพ่อแม่ไม่ได้เกี่ยวข้องโดยตรงกับการสร้างอุปนิสัยและความสามารถของเด็ก อาจกล่าวได้ว่าลูกหมอกลายเป็นหมอ ก็เพราะแกได้กลิ่นยาและเคยชินกับเสื้อกาวน์สีขาวและคนไข้มาตั้งแต่เกิด



Create Date : 24 มกราคม 2556
Last Update : 24 มกราคม 2556 15:14:16 น.
Counter : 385 Pageviews.

0 comment
สภาวะเป็นจริง  ของการเรียนรู้ ในระยะปฐมวัย 16. การศึกษาและสภาพแวดล้อม เหนือกว่ากรรมพันธุ์
    ตอนที่แล้ว ผมได้กล่าวถึงความสามรถอันน่าทึ่งซึ่งซ่อนอยู่ภายในตัวเด็กเล็ก และเด็กเล็กซึ่งเปรียบเสมือนต้นไม้อ่อนต้นนี้ จะเติบโตเป็นต้นไม้ใหญ่ที่แข็งแรงหรือเป็นไม้ดอกที่สวยงามได้หรือไม่ ขึ้นอยู่กับการอบรมสั่งสอน และการสร้างสภาพแวดล้อมของพ่อแม่

    ในตอนนี้ผมจะพูดถึงสภาวะที่เป็นจริงเกี่ยวกับการศึกษาในระยะปฐมวัยอย่างเป็นรูปธรรม ก่อนอื่นในบทนี้ ผมจะกล่าวถึงเรื่องจริงเกี่ยวกับการศึกษาในระยะปฐมวัยอย่างเป็นรูปธรรม ก่อนอื่นในบทนี้ ผมจะกล่าวถึงเรื่องจริงซึ่งพิสูจน์ว่าการศึกษาและสภาพแวดล้อมนั้นสำคัญเหนือกว่ากรรมพันธุ์

    กิบบุตซ์(Kibbutzt)ของอิสราเอลนั้น มีชื่อเสียงในด้านสังคมรวมหมู่ ณ ที่นี้ นักจิตวิทยาที่มีชื่อเสียงแห่งมหาวิทยาลัยชิคาโกชื่อ บลูม (Bloom) ได้ทำการศึกษาเปรียบเทียบระดับสติปัญญา (IQ) ระหว่างเด็กชายชาวยิวซึ่งเกิดและเติบโตใน กิบบุตซ์ กับเด็กแอฟริกัน ซึ่งอพยพมาอยู่ในอิสราเอล ปรากฏว่าคะแนนเฉลี่ยของเด็กชาวยิวสูงถึง 115 ในขณะที่เด็กแอฟริกันมีคะแนนเพียง 85 ความแตกต่างของเด็กสองกลุ่มนี้เห็นได้ชัดเจนมาก

   บลูมได้อธิบายว่าความแตกต่างนี้เป็นผลสืบเนื่องมาจากเชื้อชาติและสายเลือดของเด็กยิวกับเด็กแอฟริกัน หมายความว่า ความสามารถของคนถูกกำหนดด้วยความเด่นหรือความด้อยของกรรมพันธุ์ ก่อนที่จะมาถึงอิทธิพลของสภาพแวดล้อมและการศึกษาเสียอีก

   ในทางตรงกันข้าม คราวนี้นักจิตวิทยาชื่อฟอร์ด(Ford) ได้ทำการทดลองเรื่องนี้ด้วยระยะเวลานานพอสมควร เขารับสามีภรรยาชาวแอฟริกันอพยพคู่หนึ่งมาอุปถัมภ์ พอคู่นี้มีลูก เขาก็เอาเข้าสถานเลี้ยงเด็กทันที ละเลี้ยงดูในสภาพแวดล้อมที่เหมือนกับเด็กชาวยิวทุกอย่าง ต่อมาเมื่ออายุ 4 ขวบ เขาทำการวัดระดับสติปัญญา ปรากฏว่าเด็กคนนั้นมีคะแนนสูงถึง 115เท่ากับเด็กชาวยิว

    การทดลองของฟอร์ดครั้งนี้ล้มล้างทฤษฎีที่ว่าความสามารถของคนแตกต่างตามเชื้อชาติ การทดลองของฟอร์ดมีชื่อเสียงในฐานะที่แสดงให้เห็นชัดว่าความสามารถของคนไม่ได้ถูกกำหนดโดยกรรมพันธุ์จำพวกเชื้อชาติหรือสายเลือดแต่ถูกกำหนดโดยการศึกษาและสภาพแวดล้อมหลังกำเนิด

    ในประเทศญี่ปุ่นก็เช่นกัน มีการทดลองมากมาย ถ้าหากนำเอาลูกแฝดซึ่งเกิดจากไข่ใบเดียวกัน ไปเลี้ยงในสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกันตั้งแต่แรกเกิดต่อไปจะเป็นอย่างไร ผลการทดลองพิสูจน์ให้เห็นชัดว่า แม้แต่เด็กซึ่งเกิดจากพ่อแม่คู่เดียวกัน แต่ถ้าได้รับการเลี้ยงดูจากบุคคลต่างกัน ในสถานที่ต่างกัน ได้รับการศึกษาต่างกัน อุปนิสัยและความสามารถจะแตกต่างกันมาก

   ปัญหาที่ว่าเราจะให้การศึกษาอย่างไร สร้างสภาพแวดล้อมอย่างไร จึงจะพัฒนาศักยภาพของเด็กได้ดีที่สุด ในเรื่องนี้ก็เช่นกัน มีนักวิชาการหลายท่านได้ทำการทดลองต่างๆ และปรากฏผลการทดลองอยู่มากมาย ยิ่งกว่านั้นยังมีผู้ปกครองจำนวนไม่น้อยที่ไม่พอใจกับระบบการศึกษาในโรงเรียน และกล้าที่จะเอาลูกของตนเองเป็นตัวทดลอง นอกจากนี้ ก็มีการนำสุนัขหรือลิงมาใช้ทดลองในสิ่งที่ไม่สามารถทดลองกับคนได้ และค้นพบความจริงใหม่ๆหลายอย่าง ต่อไปผมจะพยายามเล่าเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้



Create Date : 24 มกราคม 2556
Last Update : 24 มกราคม 2556 11:38:05 น.
Counter : 663 Pageviews.

0 comment
1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  

Harutoaki
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 9 คน [?]



ตอนนี้ผันตัวมาเป็นแม่ค้าทำขนส่งจากจีนมาไทย หาตังค่าขนมให้เจ้าหนูฮิโร ใครสนใจติดต่อมาได้เลยนะคะ เราคิดราคาถูกสุดๆ

ส่วนอะไรที่เป็นข้อมูลเอามาแชร์กับเพื่อนๆเท่าที่จะทำได้นะคะ เพื่อนๆจะได้ไม่เจอเหตุการเซ็งแบบเรา หากเพื่อนๆมีข้อมูลอะไรเพิ่มเติมก็เขียนแนะนำเราเอาไว้ได้เลยนะคะจะได้เป็นความรู้กับเราด้วย.

สำหรับเพื่อนๆที่สงสัยเกี่ยงกับเรื่องวีซ่า สามารถทิ้งอีเมล์ไว้ให้เราได้นะค่ะ เวลาตอบบางทีบางคนไม่ใช่สมาชิกเราก็ไม่รู้ว่าจะได้เห็นข้อความเราไหม

เรื่องวีซ่าเราไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญแต่อย่างใด แต่ที่ลงข้อมูลไว้เผื่อคนที่ต้องการทำวีซ่าอย่างเราจะได้มีที่หาข้อมูลได้