All Blog
|
30. ทุกครั้งที่เด็กร้อง ต้องขานตอบ
หนังสือขายดีในสหรัฐอเมริกาชื่อ Revolution in Infant Learning" กล่าวถึงการศึกษาทดลองในเรื่องการเรียนรู้ของทารกดังต่อไปนี้
การศึกษาทดลองนี้ได้จัดทำในกรุงวอชิงตัน โดยฝึกอบรมบุคลากรจำนวนหนึ่ง แล้วส่งออกไปเยี่ยมบ้านครอบครัวคนผิวดำที่ยากจน ซึ่งมีเด็กเล็กอายุประมาณ 15 เดือนโดยส่งไปทั้งหมด 30 คน วิทยากรแต่ละท่านจะใช้เวลาวันละ 1 ชั่วโมง ไปเล่นหรือคุยกับเด็กแต่ละคน ยกเว้นวันอาทิตย์ นักจิตวิทยาชื่อ ดร.เอิร์ล เชเฟอร์ (Dr.Earl Sheefer) อธิบายว่า วิธีนี้เป็นการกระตุ้นสติปัญญาของเด็ก โดยเฉพาะทางด้านความสามารถในการใช้ภาษา นอกจากนั้นในการทดลองอีกครั้ง ดร.เอิร์ล เชเฟอร์ ยังได้ส่งอาสาสมัครสตรี 9 คน ไปเยี่ยมบ้านที่มีเด็กอายุ 14 เดือนและปฏิบัติเช่นเดียวกัน และเมื่อเด็กอายุ 27 เดือน เขาก็ทำการวัดสติปัญญา ปรากฏว่าระดับไอคิวของเด็กเหล่านั้นสูงกว่าเด็กอื่นประมาณ 10 -15 คะแนนโดยเฉพาะในเรื่องภาษานั้นมีความสามารถสูงมาก การทดลองดังกล่าวมุ่งเสริมการศึกษาของเด็กในครอบครัวยากจนซึ่งแม่ต้องออกไปทำงานนอกบ้าน ผลลัพท์ที่ออกมายังน่าชื่นชมขนาดนี้ เพราะฉะนั้นครอบครัวที่เลี้ยงลูกเองอยู่ที่บ้าน ถ้าแม่เอาใจใส่ ย่อมได้ผลลัพท์ดีกว่านี้อย่างแน่นอน เมื่อเด็กทารกอายุได้ 2 3 เดือน เด็กเริ่มหัวเราะส่งเสียงอ้อแอ้ และจะจดจำสรรพสิ่งรอบกาย คำพูดและการกระทำของพ่อแม่ เด็กจะจดจำฝังอยู่ในเซลล์สมอง เพราะฉะนั้นในช่วงระยะนี้ การที่แม่คุยกับลูกหรือไม่คุยจะส่งผลแตกต่างอย่างมากมายต่อการพัฒนาทางสติปัญญาของเด็ก มีเรื่องเล่าว่าสามีภรรยาหนุ่มสาวคู่หนึ่งได้ลูกชายคนโตในขณะที่ทั้งคู่ยังอาศัยอยู่ในแฟลตห้องเดียว เนื่องจากต้องอยู่ด้วยกันในห้องแคบๆขนาด 6เสื่อ (ประมาณ 10ตารางเมตร) ไม่ว่าแม่กำลังทำอะไร ก็ได้ยินเสียงลูกตลอดเวลา ตัวแม่เองก็ชอบคุยกับลูกเพื่อแก้เหงา ต่อมาครอบครัวนี้ได้ย้ายไปอยู่แฟลตใหญ่ขึ้น มี 3 ห้องพร้อมทั้งห้องอาหารและห้องครัว เมื่อที่อยู่กว้างขวางขึ้น ทั้งคู่จึงตกลงใจจะมีลูกอีกคนหนึ่งคราวนี้เขาได้ลูกผู้หญิง ลูกคนนี้ถูกเลี้ยงอยู่ในห้องเงียบสงบ ห่างจากครัวซึ่งแม่มักจะทำงานอยู่ที่นั่น ปรากฏว่าลูกชายคนโตเริ่มพูดคำที่มีความหมายได้ตอนอายุ 7 -8 เดือน แต่น้องสาวนั้นอายุเกิน 10 เดือนแล้วยังพูดไม่ยอมพูดอะไรสักคำ นอกจากนั้น ในขณะที่ลูกคนพี่เป็นเด็กร่าเริงน่ารัก น้องสาวกลับกลายเป็นคนนิ่งเฉย กล่าวได้ว่าการที่แม่พยายามคุยกับลูกหรือไม่นั้น สร้างความแตกต่างทางอุปนิสัยของลูกถึงขนาดนี้ทีเดียว 29. แม่ที่ร้องเพลงเสียงหลง ทำให้ลูกร้องเพลงเสียงหลงด้วย
"ลูกของดิฉันร้องเพลงเสียงหลง ไม่รู้จะทำอย่างไรดี พ่อของแกกับพวกญาติๆเขาก็ร้องเพลงเสียงหลงเหมือนกัน สงสัยจะเป็นกรรมพันธุ์นะ มีแม่หลายคนที่บ่นเช่นนี้ และในความเป็นจริง ถ้าพ่อแม่ร้องเพลงเสียงหลง ลูกมักร้องเพลงเสียงหลงไปด้วย แต่ถ้าจะให้ผมบอกข้อสรุปเสียก่อน ผมก็บอกได้เลยว่าการร้องเพลงเสียงหลงไม่ได้เป็นกรรมพันธุ์อย่างเด็ดขาด
สมมุติว่าท่านผู้อ่านเป็นแม่และเป็นคนร้องเพลงเสียงหลง ลูกท่านได้ฟังแต่เพลงกล่อมลูกที่ร้องผิดโน๊ตตั้งแต่เช้าจรดค่ำทุกวัน ลูกของท่านจะเป็นเช่นใด ? ในหัวของลูกคงจะมีรูปแบบของเสียงเพลงผิดๆ ฝังอยู่ข้างในเป็นแน่ ละเมื่อเด็กร้องเพลงก็จะร้องออกมาตามรู แบบที่ผิดๆนั้น เมื่อแม่ได้ยินก็เหมาเอาเองว่า ลูกฉันร้องเพลงเสียงหลง ฉันเอาชนะกรรมพันธุ์ไม่ได้จริงๆ ไม่ว่าบีโธเฟ่น หรือโมสาร์ท ถ้าหากตอนเด็กๆถูกเลี้ยงด้วยแม่ซึ่งร้องเพลงเสียงหลงละก็ คงกลายเป็นคนที่แยกระดับเสียงไม่ได้อย่างแน่นอน ผมอยากจะบอกว่า เด็กที่ร้องเพลงเสียงหลงนั่นแหละหูดีนัก เพราะแกสามารถจดจำเสียงเพลงผิดๆได้อย่างถูกต้องไม่ผิดเพี้ยน เพราะฉะนั้น ถ้าหาก บีโธเฟ่นหรือโมสาร์ทมีแม่ที่ร้องเพลงเสียงหลง ก็คงจะกลายเป็นนักดนตรีที่ร้องเพลงเสียงหลงที่หาคนอื่นทาบติดยาก ต่อไปผมอยากจะยกตัวอย่างจริงๆ เพื่อยืนยันว่าการที่ร้องเพลงเสียงหลงไม่ใช่กรรมพันธุ์ เพราะมีเด็กที่เคยร้องเพลงเสียงหลงและสามารถแก้ให้หายได้อาจารย์ อิชิ ซูซูกิ ได้นำเด็กชายอายุ 6 ขวบคนหนึ่งซึ่งร้องเพลงเสียงหลงมาจากเมืองมัสสุโมโตะ และแก้ให้หายได้สำเร็จ ได้ความว่า แม่ของเด็กคนนี้เป็นคนที่ร้องเพลงเสียงหลงขนาดหนักอาจารย์ซูซูกิ มีความเชื่อว่าเด็กที่ร้องเพลงเสียงหลง เพราะถูกเลี้ยงโดยแม่ซึ่งที่ร้องเพลงเสียงหลง จึงให้เด็กฟังเพลงซึ่งแม่เคยร้องผิดๆในทำนองที่ถูกต้องซ้ำอีก จำนวนครั้งที่ให้ฟังนั้นมากกว่าที่เด็กเคยได้ยินจากแม่กว่า 4เท่า ในที่สุดรูปแบบทำนองเพลงผิดๆที่ฝังอยู่ในหัวเด็กก็ถูกทำลาย มีรูปแบบทำนองที่ถูกต้องเข้าไปแทนที่ และเด็กก็หายจากอาการที่ร้องเพลงเสียงหลง ไม่แต่เท่านั้น เด็กคนนี้ยังพัฒนาขึ้นมาถึงขั้นเล่นเพลงไวโอลินคอนแชร์โตของบราห์มและบีโธเฟ่นได้อย่างถูกต้อง ปัจจุบันนี้เขาสามารถเปิดคอนเสิร์ตเดี่ยวที่ประเทศแคนาดาได้ทีเดียว ดังนั้น พัฒนาการทั้งทางด้านอุปนิสัยและสติปัญญา รวมทั้งความสามารถในการแยกเสียงของเด็ก เป็นผลจากพฤติกรรมทุกๆวันของแม่มีอิทธิพลต่อลูกอย่างมากมายเหลือเกิน 28. ลูกนอนกับพ่อแม่ เป็นสิ่งดีที่พึงปฏิบัติ
เช่นเดียวกับเรื่อง อุ้มติดมือ เรื่อง นอนกับแม่ นี้เป็นสิ่งที่คนสมัยก่อนถือว่าไม่ควรทำ แน่ละมันอาจจะเป็นปัญหาถ้าเด็กเป็นเอามากถึงขนาดที่ว่า ถ้าไม่มีพ่อแม่นอนอยู่ข้างๆแกจะไม่ยอมนอนเอาเสียเลย แต่เด็กที่เป็นปัญหาถึงขนาดนี้ผมก็ไม่เคยได้ยิน ตรงกันข้าม ถ้าหากคำนึงถึงประโยชน์ในด้านการพัฒนาการทางสติปัญญาและอุปนิสัยที่ดีของเด็กแล้ว การนอนกับพ่อแม่กลับมีความหมายในด้านดี
เหตุผลประการหนึ่งคือ แม่มีงานยุ่งทั้งวันจึงไม่ค่อยมีเวลาคุยกับลูกตามสบาย แต่อย่างน้อยที่สุดในช่วงเวลาที่ลูกเข้านอนจนกระทั่งจะหลับนั้น แม่อยู่คุยกับลูกอย่างใกล้ชิดได้ เหตุผลประการหนึ่งคือ ช่วงเวลาก่อนหลับนี้ เป็นช่วงที่เด็กอยู่ในภาวะจิตใจที่สงบและยินดีรับฟังทุกสิ่งทุกอย่าง เวลาเช่นนี้แทนที่แม่จะนอนอยู่ข้างๆลูกเฉยๆ หรือตัวแม่ชิงหลับครอกไปเสียก่อน แม่น่าจะร้องเพลงกล่อมลูก เล่านิทานให้ฟัง หรืออ่านหนังสือให้ฟัง ซึ่งการทำเช่นนี้แม่คาดหวังได้เลยว่าจะมีอิทธิพลอย่างใหญ่หลวง ตอนกลางคืนเป็นโอกาสที่ดีที่พ่อซึ่งตอนกลางวันไม่อยู่บ้านใช้เป็นช่วงเวลาสร้างความสัมพันธ์กับลูก อาจารย์เซจิ คายะ (Seiji Kaya) อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยโตเกียวเล่าให้ฟังว่า ท่านอ่านหนังสือให้ลูกฟังก่อนนอนบ่อยๆ บางครั้งท่านอ่านในสภาพครึ่งหลับครึ่งตื่น และลูกก็ทำท่าจะหลับ แต่พอหยุดอ่านปรากฏว่าลูกยังฟังอยู่ซึ่งเรื่องอ่านหนังสือก่อนนอนนี้ท่านมาคิดได้ในภายหลังว่าเป็นสิ่งที่ดีมาก ไม่นานมานี้ ที่ประเทศรัสเซียมีการวิจัยอย่างจริงจังเรื่องการเรียนรู้ระหว่างหลับ ปรากฏว่าถ้านำข่าวสารต่างๆมากรอกหูคนซึ่งอยู่ในสภาพครึ่งหลับครึ่งตื่นเต็มที เขาจะจำได้โดยไม่รู้ตัว ทฤษฏีนี้ชี้ให้เห็นว่า ช่วงเวลาก่อนนอนของเด็กนั้น ถ้าเราใช้ให้ดีอาจให้ผลอย่างเกินคาด 27. นิสัย อุ้มติดมือ ควรให้ติดเป็นอย่างยิ่ง
เด็กที่กำลังร้องโยเย พออุ้มแกจะหยุดร้องและยิ้มหัวได้ทันที เรื่องนี้พ่อแม่ทุกคนย่อมมีประสบการณ์ครั้งแล้วครั้งเล่า การทำเช่นนี้คนสมัยก่อนมักบอกว่าไม่ดี เพราะจะทำให้เด็กติดนิสัย อุ้มติดมือ กล่าวคือ ถ้าทุกครั้งที่เด็กร้อง เราอุ้มเพื่อให้เด็กหยุดร้องบ่อยครั้งเข้า เด็กจะติดเป็นนิสัยและร้องไม่ยอมหยุดถ้าไม่มีใครอุ้ม
เรื่องนี้อาจเป็นคำเตือนพ่อแม่ไม่ให้รักลูกจนหลง และตามใจเด็กมากเกินไป ถ้าเป็นเช่นนั้นผมก็ยอมรับ แต่ถ้าถึงขนาดพยายามที่จะไม่อุ้มเด็กเท่าที่จะทำได้ละก็ ผมว่ามีปัญหาแน่ เด็กทารกยังไม่รู้จักใช้ภาษาหรือทำท่าทางแสดงความรู้สึกของตน การร้องไห้จึงเป็นวิธีเดียวที่ทารกสามารถเรียกร้องผู้อื่นให้ตอบสนองความต้องการของแก การที่เด็กร้องแปลว่า แกต้องการบอกอะไรสักอย่าง ถ้าพ่อแม่ไม่สนใจตอบสนองก็เท่ากับเป็นผู้ตัดสื่อสัมพันธ์แต่ฝ่ายเดียว โดยเฉพาะสำหรับทารกแรกเกิดนั้นเป็นที่ยอมรับแล้วว่า การสัมผัสทางกายกับแม่เป็นสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับการสร้างพื้นฐานทางจิตใจและอารมณ์ของเด็ก หนังสือพิมพ์อาซาฮีฉบับวันที่ 5 มีนาคม ค.ศ.1071 ได้ลงรายงานผลการทดลองเกี่ยวกับเรื่องนี้โดยใช้ลิง ดร.แฮรี่ ฮาร์โลว์ (Dr. Harry Harlowe) หัวหน้าของศูนย์วิจัยเกี่ยวกับมนุษย์และลิง (Primates Fessarch Centre) ของมหาวิทยาลัยวิสคอนซินได้ทำการทดลองโดยแยกลูกลิงออกจากแม่ลิงทันทีที่เกิดออกมา และใช้ตุ๊กตาต่างๆ แทนแม่ เพื่อศึกษาดูว่าลูกลิงจะเลือกแม่แบบไหน ตุ๊กตาที่ใช้เป็นตุ๊กตาทรงกระบอกทำด้วยลวด และอีกตัวหนึ่งทำด้วยผ้า ตุ๊กตาทั้งสองตัวมีความอบอุ่น มีขวดให้นม และสามารถแกว่งตัวไปมาอย่างช้าๆ ผลการทดลองปรากฏว่าลูกลิงชอบความอบอุ่น สัมผัสอ่อนนุ่ม นม และชอบให้แกว่ง ดร.อาร์โลว์ ผู้ทำการทดลองสรุปว่า ลูกคนก็คงชอบความอบอุ่นสัมผัสอันอ่อนนุ่ม นม และชอบให้แกว่งไกวเบาๆ เช่นเดียวกัน เขาเน้นว่าการที่แม่อุ้มลุกน้อยอย่างนุ่มนวลจึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับสุขภาพจิตของทารก ที่ผมตั้งหัวข้อนี้ค่อนข้างดุเดือดว่า นิสัยอุ้มติดมือควรให้ติดเป็นอย่างยิ่ง เพราะผมคิดว่าแม่ลูกควรมีการสื่อสารสัมพันธ์กันอย่างแน่นแฟ้น และสิ่งนี้จะเป็นพื้นฐานในการสร้างเด็กให้เติบโตขึ้นมาเป็นคนอารมณ์ดี มีจิตใจกว้างขวาง สิ่ ง ดี สำ ห รั บ เ ด็ ก เ ล็ ก คื อ อะ ไ ร บ้ า ง 26. การศึกษาของเด็กเล็ก ไม่มีสูตรตายตัว
ที่ผ่านมา ผมได้พูดถึงความสำคัญของสภาพแวดล้อมต่อเด็กเล็ก ว่ามีอิทธิพลต่อการสร้างตัวเขามากมายแค่ไหนในแง่มุมต่างๆ แน่นอน ผู้รับผิดชอบสำคัญในเรื่องการอบรมสั่งสอนลูกดือแม่ เพราะฉะนั้น แม่ควรมีความเป็นตัวของตัวเองในการเลี้ยงดูลูกไปตามขั้นตอนของความเจริญเติบโตของเด็ก ข้อเสนอแนะต่อไปนี้ของผม คุณแม่อาจนำไปพิจารณาและใช้ในการเลี้ยงลูกได้
เมื่อผมแนะนำว่า ควรให้เด็กฟังเพลงดีๆ ให้ดูภาพเขียนแท้ๆ ฝีมือจิตรกร ทุกครั้งจะต้องมีคุณแม่มาปรึกษาผมว่า ดนตรีดีๆ กับภาพเขียนแท้ๆ นั้นคืออะไร เพลงของบีโธเฟนดีหรือโมสาร์ทดี ภาพของแวนโกะห์หรือปีกัสโซ่ดีแน่นอน พวกผมเองก็ขอให้ผู้เชี่ยวชาญทำการวิจัยว่า ดนตรีประเภทไหน ภาพเขียนแบบไหนดีสำหรับเด็กและออกข่าวสนับสนุน แต่เรื่องนี้ก็เป็นเพียงการเสนอข้อมูลอย่างหนึ่งให้ตัดสินใจเท่านั้น ไม่ใช่แนวทางแบบครอบจักรวาล ไม่ว่าเรื่องอะไร ชาวญี่ปุ่นมักขอบแสวงหารูปแบบตายตัวออกมาแบบหนึ่งให้ได้ ถ้าไม่มีใครบอกว่าให้ทำแบบนี้แบบนั้นก็รู้สึกว่าจะไม่สบายใจ แต่ทว่าในเรื่องของการศึกษาโดยเฉพาะการศึกษาในวัยเด็กนั้นไม่มีสูตรตายตัว คุณแม่คิดว่าอะไรดีก็ให้ลูกได้เลย ผมคิดว่าการที่ชาวญี่ปุ่นแสวงหาการศึกษาแบบสูตรตายตัวนั้น เป็นข้อบกพร่องสำคัญข้อหนึ่งของการศึกษาของญี่ปุ่น พอเด็กอายุ 4 ขวบก็เข้าอนุบาลพออายุ 6 ขวบก็เข้าโรงเรียนประถม แบบนี้ไม่ได้คำนึงถึงความสามารถของเด็กเลย เพียงแต่ใช้อายุเป็นเครื่องวัดและสร้างระบบโรงเรียนขึ้นมา ในโรงเรียนอนุบาลต้องสอนวาดรูปและนับเลข พอขึ้นประถม 1 ก็สอนอักษรญี่ปุ่น ขึ้นประถม 2 สอนอักษรจีน แบบนี้เป็นความคิดแบบสูตรตายตัว วิธีการให้การศึกษาในระยะปฐมวัยก็เช่นเดียวกัน ถ้าไม่มีใครคิดสูตรตายตัวขึ้นมาให้ก็พากันไม่มั่นใจที่จะทำ ผมอยากจะบอกว่า สูตรตายตัวนั้นมีไว้สำหรับทำลายต่างหากเล่า! |
Harutoaki
Rss Feed Smember ผู้ติดตามบล็อก : 9 คน [?] ตอนนี้ผันตัวมาเป็นแม่ค้าทำขนส่งจากจีนมาไทย หาตังค่าขนมให้เจ้าหนูฮิโร ใครสนใจติดต่อมาได้เลยนะคะ เราคิดราคาถูกสุดๆ ส่วนอะไรที่เป็นข้อมูลเอามาแชร์กับเพื่อนๆเท่าที่จะทำได้นะคะ เพื่อนๆจะได้ไม่เจอเหตุการเซ็งแบบเรา หากเพื่อนๆมีข้อมูลอะไรเพิ่มเติมก็เขียนแนะนำเราเอาไว้ได้เลยนะคะจะได้เป็นความรู้กับเราด้วย. สำหรับเพื่อนๆที่สงสัยเกี่ยงกับเรื่องวีซ่า สามารถทิ้งอีเมล์ไว้ให้เราได้นะค่ะ เวลาตอบบางทีบางคนไม่ใช่สมาชิกเราก็ไม่รู้ว่าจะได้เห็นข้อความเราไหม เรื่องวีซ่าเราไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญแต่อย่างใด แต่ที่ลงข้อมูลไว้เผื่อคนที่ต้องการทำวีซ่าอย่างเราจะได้มีที่หาข้อมูลได้ |