O[r]NgoinG (^^,)GoingO[r]N--สิ่งดี ๆ ซ่อนตัวอยู่ในทุกวันของคุณ
Group Blog
 
All blogs
 

สมองฟิต ความคิดปิ๊ง(ตอนที่ 2)

ไม่รู้จะหาข้ออ้างอะไร มาทำให้ตัวเองรู้สึกดี หนังสือเล่มบางนิดเดียว แต่อ่านไม่จบสักที เห้อ อ่านมาตั้งหลายวันเพิ่งได้ถึงบทที่ 4 แ้ล้วเมื่อไหร่จะได้ฟิตสมองสักทีละเนี่ย งั้นก็เริ่มเลยแล้วกัน


สิ่งแรกที่ต้องทำในการออกกำลังกายสมองคือ
กระตุ้นสมองยามเช้าและก่อนเข้านอน

เนื่องจากทุกเช้าทุกคนต่างมีภารกิจที่เริ่งรีบ ส่งผลให้สมองทำงานอย่างเต็มสปีด ดังนั้นจึงเป็นการดีหากจะผ่อนคลายตอนเช้าและก่อนนอนด้วยการเติมกิจกรรมที่
แปลกใหม่ ที่เป็นการกระตุ้นสมองให้กระปรี้กระเปร่าอีกครั้ง ด้วยวิธีการที่ง่าย (ในบริบทของสังคมตะวันตกนะคะ เพราะหนังสือนี้เป็นหนังสือแปลจากผลวิจัยของต่างประเทศ บางอย่างอาจจะทำได้ยากในบ้านเรา)

1.หอมหวานวานิลาหลังลืมตา

เปลี่ยนการรับรู้กลิ่นใหม่ ๆ ในช่วงเช้า แทนที่จะรับกลิ่นกาแฟเหมือนเดิม ลองเปลี่ยนกลิ่นอื่น ๆ ดูบ้าง หรือจะวางพวกกลิ่นบำบัดไว้ข้างเตียง ให้ได้กลิ่นอ่อน ๆ ชวนฝันดี

(การจับคู่กลิ่นใหม่ ๆ กับกิจวัตรช่วงเช้าอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้เซลล์ประสาทสัมผัสทำงานประสานกันและสร้างเครือข่ายแบบใหม่ ๆ ในสมอง)

2. หลับตาอาบน้ำ

เปิดก๊อกน้ำ ปรับความแรงหรืออุณหภูมิของน้ำโดยใช้ประสาทสัมผัสและความรู้สึก
(แต่ อย่างลืมฝึกวิธีเปิด ปิด ปรับอุณภูมิก๊อกน้ำ่ก่อน ไม่งั้นได้โดนลวกแน่ ๆ)

(การฝึกวิธีนี้เป็นการปลุกสมองโดยการเปลี่ยนแปลงการทำกิจวัตรประจำวันที่ซ้ำซาก
จำเจ ให้มีความแปลกใหม่ ให้สมองตื่นตัว แต่อาจจะไม่ได้เปลี่ยนอะไรมาก และค่อนข้างใช้เวลา)

3.เกมสลับมือ ขยับสมอง

ลองฝึกใช้มือข้างที่ไม่ถนัดทำกิจวัตรประจำวัน เช่น การแปรงวันด้วยมือข้างที่ไม่ถนัด หมุนฝาหลอดยาสีฟัน หรืออื่น ๆ โดยใช้มือที่ไม่ถนัด

(การฝึกแบบนี้เป็นการกระตุ้นสมองส่วนที่ไม่ค่อยได้ใช้งาน ให้เริ่มสั่งการเพื่อปฏิบัติกิจกรรมต่าง ๆ ที่สมองซีกนี้ไม่ค่อยได้มีส่วนร่วม ซึ่งจะส่งผลให้วงจรและเครือข่ายสมองในส่วนเยื่อหุ้มสมองที่ทำหน้าที่ควบคุม
และรับส่งคำสั่งจากมือ มีการขยายตัวอย่างมากและในอัตราที่รวดเร็ว หรืออาจลองทำอะไรด้วยมือข้างเดียว ก็ได้)

4. สัมผัสความมีสไตล์

หลับตาเลือกชุดทำงาน ดวยการใช้ประสาทสัมผัสเป็นตัวช่วยในการตัดสินใจเลือก เช่น วันนี้เป็นวันผ้าไหม ลองสัมผัสเนื้อผ้า และเลือกชุดที่เข้ากัน

(การฝึกใช้มือและนิ้วในการแยกความแตกต่างของผิวสัมผัสของสิ่งของ จะช่วยให้สมองสร้างและขยายเครือข่ายสื่อสารของเซลล์ประสาทที่เกี่ยวข้องกับ
การรับสัมผัส)

5. อยู่ในโลกไร้เสียง

ปิดหูด้วยการใส่หูฟังขณะรับประทานอาหารเพื่อสัมผัสโลกเงียบ

(การสกัดกั้นโสตประสาทรับเสียงโดยสวมหูฟังจะบังคับให้คุณใช้ตัวช่วยอื่น ในการทำกิจกรรมง่าย ๆ เช่น รู้ว่าขนมปังปิ้งที่อยู่ในเครื่องปิ้งได้ที่แล้ว โดยไม่ต้องพึ่งเสียง)

6. เช้าวันธรรมดาที่ไม่ธรรมดา

ลองเลืิอกทำกิจกรรมใหม่ ๆ ที่ต่างไปจากทุกวัน เช่น เปลี่ยนลำดับการทำกิจกรรม ถ้าเคยกินข้าวก่อนแต่งตัว ลองแต่งตัวก่อนกินข้าวดู หรือ ถ้าเคยกินกาแฟ กับขนมปัง เปลี่ยนมาลองกินข้าวดู เปลี่ยนเีสียงนาฬิกาปลุก เปลี่ยนรายการวิทยุ โทรทัศน์ จูงหมาไปเดินเล่นในถนนที่ไม่เคยไป เป็นต้น

(กิจกรรมใหม่ ๆ จะกระตุ้นเซลล์ประสาททีก่ินพื้นที่สมองชั้นนอกในบริเวณกว้าง วิธีเติมกิจกรรมใหม่นี้จะให้ผลลดลงเมื่อกิจกรรมนั้นกลายเป็นสิ่งที่ำทำเป็นกิจวัตร เนื่องจากสมองต้องใช้พลังในการทำสิ่งใหม่ ๆ มากกว่าตอนทำกิจกรรมที่ทำจนชินแล้ว)

7. เสียงซิมโฟนีในห้องน้ำ

สัมผัสความหรูหราตอนอาบน้ำด้วยสารพัดกลิ่น ผิวสัมผัส และแสงไฟ เพื่อการเชื่อมโยงของเซลล์ประสาทแบบไม่ซ้ำเดิม

(กลิ่นบางกลิ่นจะกระตุ้นอารมณ์เฉพาะ เช่น กลุ่นที่ให้ความรู้สึกกระปรี้กระเปร่า กลิ่นที่ทำให้สงบผ่อนคลาย ในการอาบน้ำแบบนิวโรบิคส์ การจับคู่กลิ่นและเสียงดนตรีเข้ากับกิจกรรมที่ผ่อนคลายนับเป็นการสร้างประสบการณ์
คลายเครียด ที่สมองจะนำอกอมาใช้ใหม่ เมื่อได้รับกลิ่นหรือเสียงนั้นอีกครั้ง)

8. เพลินกับเสียงสุนทรีย์

อ่านหนังสือแบบออกเสียงให้เพื่อนหรือคนใกล้ชิดฟัง แล้วสลับบทบาทกัน ลองเป็นผู้ฟังบ้าง วิธีนี้อาจเป็นการอ่านหนังสือที่ช้า แต่จะช่วยให้คุณใช้เวลาอย่างมีค่าและช่วยให้คุณมีหัวข้อสนทนากับเพื่อนร่วมงานได้

(ขณะอ่านออกเสียง เราใช้วงจรในสมองคนละส่วนกับวงจรที่ใช้ขณะอ่านในใจ ในการฟัเงสียงสมองชั้นนอกจะได้รับการกระตุ้นทั้งซีกซ้ายและขวา ในขณะที่การพูดจะมีการทำงานในสมองทั้งซ้ายและขวารวมทั้งส่วนที่เรียกว่าซีรีเบลลัม ส่วนการอ่านหนังสือด้วยการมองตัวหนังสือเพียงอย่างเดียวจะเกิดการกระตุ้น
ในสมองชั้นนอกซีกซ้ายเพียงส่วนเดียวเท่านั้น)

9. เซ็กซ์ สุดยอดกิจกรรมออกกำลังสมอง

เซ็กซ์เป็นการออกกำัลังกายสมองที่ดี เพราะในกิจกรรมร่วมรักมีการใช้ประสาทสัมผัสทุกอย่างที่ก่อให้เกิดการกระตุ้น
ในวงจรสมองทุกส่วนรวมทั้งวงจรที่รับรู้เรื่องอารมณ์

- - ตอนนี้อ่านได้แค่นี้ เอาไว้อ่านได้ครบแล้วจะมาเพิ่มเติม

ที่มา : Lawrence C.Katz, and Manning Rubin. Keep your brain alive. 2nd. se-ed. BKK : 2007




 

Create Date : 01 ตุลาคม 2550    
Last Update : 1 ตุลาคม 2550 12:45:15 น.
Counter : 943 Pageviews.  

สมองฟิต ความคิดปิ๊ง

เมื่อวานได้อ่านหนังสือ เล่มหนึ่งชื่อ สมองฟิต ความคิดปิ๊ง หรือในชื่อภาษาอังกฤษว่า Keep your brain alive ของ Lawrence C.Kata, Ph D. และ Manning Rubin ซึ่งแปลมาโดย อารี ชัยเสถียร เป็นหนังสือที่น่าสนใจ และตรงใจมาก ๆ เล่มหนึ่ง เพราะคิดว่าตัวเองกำัลังประสบกับปัญหาเรื่องนี้พอดี คือปัญหาเรื่องความจำ ที่พูดแบบนี้ก็เพราะว่า บางทีหลง ๆ ลืม ๆ แม้แต่รหัสบัตรเอทีเอ็ม ซึ่งกดอยู่ประจำ จู่ ๆ ก็เกิดอาการตื้อขึ้นมา ตอนที่เสียบบัตรเข้าไปแล้ว นึกรหัสไม่ออกเอาเฉย ๆ ก็กลัวว่าตัวเองจะเป็นอัลไซเมอร์เหมือนกัน แต่พอได้อ่านหนังสือเล่มนี้ รู้สึกดีขึ้นเยอะเลย

ที่หน้าปกใน ชวนให้อยากอ่านเป็นทวีคูณทีเดียว

"83 วิธีปฏิบัติการขยับสมอง
นิวโรบิคส์

สมองฟิต ความคิดปิ๊ง

ปลุกสมองให้ตื่นตัวเพื่อสุขภาพและพลังความจำที่ดี"

แล้วก็มีรูปการ์ตูน ซึ่งดูแล้วสรุปเอาเองว่ามันคือเซลล์สมองกำลังออกกำลังกาย น่ารักมากเลย

ซึ่งเนื้อหาภายในก็จะเล่าให้ฟังเกี่ยวกับหลักการทำงานของสมอง ซึ่งไม่ยากแก่การเข้าใจ จากนั้นก็จะนำเสนอ วิธีในการออกกำลังกายสมอง

แต่ตอนนี้ยังอ่านไม่จบ เพิ่งอ่านไป 2 บท เอาไว้เนื้อหาต่อไปค่อยมาโพสต์หลังจากอ่านเสร็จ




 

Create Date : 25 กันยายน 2550    
Last Update : 25 กันยายน 2550 9:34:45 น.
Counter : 420 Pageviews.  

วิธีการ สร้างมนุษย์สัมพันธ์

By Kran KGz., MissConsult.com
June 12, 2006

คุณอยากเป็นคนมีเสน่ห์ไหมคะ? แน่นอนคะ เราทุกคนต้องตอบว่าอยากเป็นคนที่มีเสน่ห์ สามารถเข้ากับทุกคนได้โดยง่าย และ เป็นที่ยอมรับของคนในสังคมต่างๆได้ด้วยเช่นกัน

คุณเคยสังเกตไหมคะ ว่าทำไมคนบางคน ถึงเข้าสังคมได้อย่างคล่องแคล่ว ทำไมเขาถึงมีความมั่นใจ และ ทำให้คนอื่นรู้สึกอยากคุยด้วย บางครั้งเราเอง ก็เป็นคนมีความมั่นใจ แต่ อาจจะไม่ทราบว่า ต้องทำอย่างไรเราถึงจะเป็นคนที่ทุกคนรู้สึกอยากคุยด้วย และ การได้คุยกับเราเป็นเรื่องไม่น่าเบื่อ เรื่องนี้ไม่ยากคะ เพียงคุณเตรียมพร้อมและมีความตั้งใจในการสร้างมนุษย์สัมพันธ์ที่ดี เราก็สามารถเพิ่มทักษะด้านมนุษย์สัมพันธ์ของเราให้ดีขึ้นได้อย่างบุคคลที่เข้าสังคมเก่งๆได้คะ


การจะเป็นผู้ที่มีทักษะด้านมนุษย์สัมพันธ์ที่ดี และ ทำให้ผู้อื่นชื่นชอบได้นั้น เราสามารถยึดหลักง่ายๆดังต่อไปนี้คะ


* ความกล้า : ความกล้าในที่นี้ หมายถึงความกล้าในการที่จะทำจิตใจของเราให้กล้าเข้าไปทักทายผู้อื่นก่อนนะคะ ปัญหาส่วนใหญ่ของคนเราก็คือ ความไม่กล้าที่จะสร้างความสัมพันธ์กับผู้อื่นก่อน หรือ เรียกว่า ขี้อาย นั่นเองคะ อาการขัดเขิน เริ่มต้นไม่ถูก เป็นปัญหาที่ทำให้เราพลาดโอกาสในการสร้างความสัมพันธ์กับผู้อื่น และ ความกลัวเป็นสิ่งหนึ่งที่ทำให้เราไม่กล้าที่จะทำอะไร และ ในที่สุด ก็จะเป็นการยากที่เข้ากับผู้อื่นได้

ความกลัวนี้ เกิดจากความคิดของเราเป็นหลักคะ แค่เราคิดว่า คนอื่นอาจจะไม่ชอบเรา เราไม่คู่ควรกับคนกลุ่มนี้ เราไม่ค่อยมีอะไรน่าสนใจ แค่ความคิดแบบนี้ ก็สามารถทำให้เรากลัว ว่า คนอื่นต้องคิดเหมือนเรา ดังนั้นก็เลยเลือกที่จะเก็บตัวไม่คุยกับใครก่อน ทำให้เป็นการยากที่จะให้ผู้อื่นเข้าถึงตัวเราได้เช่นกันคะ ในความจริงแล้ว เป็นเพราะเราคิดไปเอง และ เลือกที่จะคิดผิดๆ ดังนั้น ทางแก้แรกที่เราควรจะทำก็คือ อย่าพยายามคิดเช่นนั้น คุณควรจะภูมิใจในตนเอง ถึงเราจะไม่มีอะไรเด่นเลิศให้เป็นที่สังเกตได้ แต่ อย่างน้อย เราก็มีคนมีจิตใจดี และ พร้อมจะเป็นมิตรกับทุกคน เราก็เป็นคนที่มีความสามารถ มีความคิด มีสติ ครบถ้วน ไม่ได้ด้อยหรือน้อยกว่าใคร การที่คุณคิดได้แบบนี้ จะทำให้คุณมีความมั่นใจในตนเองมากขึ้น

หลังจากนั้น ก็ต้องเพิ่มความกล้าให้แก่ตนเอง โดยคิดว่า เราต้องกล้ามอบความรู้สึกอยากเป็นมิตรให้คนอื่นก่อน กล้าที่จะเข้าไปทักก่อน คิดเสียว่า เรามีจิตใจที่ดี เราต้องการมิตรภาพ เพียงแต่เราพร้อมจะยื่นให้ก่อน ดังนั้น ไม่ต้องรอที่จะให้ใครทำอะไรให้เรา ถ้าสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่ดี คุณสามารถเริ่มทำก่อนได้คะ คิดได้ดังนี้ เราก็จะกล้าแล้วคะ และ เป็นความกล้าที่ถูกต้องด้วยคะ ถ้าการเข้าไปทักของเราไม่ได้รับการตอบรับในทางทีดี ก็ไม่ต้องวิตกกังวล เพราะผู้มีมารยาททางสังคม และ คนที่มีไมตรีจิตที่ดี ย่อม ยินดีในการได้รับไมตรีจิตที่ดีจากคุณเช่นกันคะ เป็นไปได้ว่า อาจจะได้พบกับคนที่ไม่มีมารยาท หรือ ไม่เข้าใจในไมตรีจิต จากคุณ เป็นเรื่องธรรมดาคะ อย่าปล่อยให้คนเหล่านั้น ทำให้คุณหมดความเชื่อมั่น และ กลับไปทำตัวลึกลับ ได้เชียวคะ ถ้าเจอแบบนี้ คุณก็แค่คิดว่า ช่างเถอะ ก็แค่คนที่ไม่มีไมตรีจิต หรือ คนไม่มีมารยาท ผ่านแล้วก็ผ่านไป แค่นี้เองคะ



* ยิ้ม ในการสร้างมิตรภาพนั้น หลักที่สำคัญก็คือ อย่าแสดงอาการ หรือ ความต้องการในการสร้างมิตรภาพออกมามากเกินไป เพราะเมื่อใดก็ตามที่คุณแสดงออกถึง ความปรารถนา หรือ ความตั้งใจอย่างมุ่งมั่นในเรื่องนี้ มันจะเกิดผล ลบ กับตัวของคุณเอง นั่นคือ บุคคลอื่นจะหนี ดังนั้น การสร้างมิตรภาพ ต้องอยู่บนพื้นฐานของความพอดี และ ความพึงพอใจของเราและบุคคลอื่น ไม่จำเป็นต้องบอกตนเองว่า เราต้องเป็นที่รู้จักของทุกคน หรือ ทุกคนต้องรู้จักเรา

สิ่งที่ดีที่สุดในการสร้างมิตรภาพในความพอดีให้เกิดขึ้น ก็คือ การสร้าง รอยยิ้ม เพราะการยิ้มเป็นการช่วยให้จิตใจสบาย และ ลดความตึงเครียด นั่นคือ เมื่อคุณรู้สึกอยากสร้างมิตรภาพ ให้ยิ้ม และ ควรเป็นยิ้มที่แสดงออกถึงความสบายใจ และ จริงใจของคุณในการสร้างมิตรภาพ อย่ายิ้มแบบ ผ่าน ๆ หรือ ที่เรียกกันว่า ยิ้มตามมารยาท เพราะ ถ้าคุณไม่ใช่คนดังในวงสังคมมาก่อน คุณจะสร้างมิตรภาพให้เกิดขึ้นได้ยาก การยิ้มที่เกิดจากความจริงใจ และ เกิดบนพื้นฐานของความรู้สึก จะเป็นรอยยิ้มที่ประทับผู้พบเห็น

* เป็นผู้ให้ก่อน หมายถึงว่า ไม่จำเป็นที่ต้องรอให้ใครทำอะไรให้เราก่อนที่เราจะทำอะไรให้ใคร นั่นหมายถึงว่า ในการสร้างมิตร หรือ มนุษย์สัมพันธ์ ไม่มีกฎเกณฑ์ ว่า คุณจะต้องรอให้ใครสักคนมาทักคุณก่อน หรือ เข้ามาไหว้ คุณก่อน เพื่อแสดงถึงว่า คุณเป็นที่ยอมรับ เป็นที่รู้จัก ถ้าคุณรู้จักใคร และ สังเกตเห็นเขาก่อน คุณสามารถเดินเข้าไปไหว้ และ ทักก่อนได้เสมอ จำไว้เสมอคะ เราไม่จำเป็นต้องรอให้ใครให้อะไรเราก่อน แล้วเราค่อยตอบแทน เพราะในโลกแห่งความเป็นจริง เราทุกคน ชอบที่จะเป็นผู้รับ ดังนั้น จงเรียนรู้ที่จะเป็นผู้ให้ก่อนเสมอคะ และ คุณจะเป็นที่ชื่นชอบได้โดยง่าย

* ความจำ เรื่องนี้เป็นความสำคัญอย่างยิ่ง คุณควรฝึกความจำให้ดีในเรื่องชื่อของคนแต่ละคน อย่าจำชื่อผิดโดยเด็ดขาด คิดดูสิคะ ถ้ามีใครสักคน เดินตรงดิ่ง พร้อมรอยยิ้มที่ดูคุ้นเคย เดินเข้ามาทักคุณ พร้อมกับถามว่า "สบายดีไหม" คุณย่อมรู้สึกดีมากๆ แต่พอคนผู้นั้นบอกว่า "ยินดีที่ได้เจอคุณอีกนะครับ คุณ สมศักด์ " ทั้งทีๆ คุณชื่อ อรรถพล!

คุณว่า ความรู้สึกดีๆ ทีผ่านมาจะเป็นยังไรคะ แน่นอนคะ คุณคงคิดว่า บุคคลท่านนั้นไม่จริงใจกับคุณแน่ๆ ดังนั้น เรื่องของชื่อเป็นความสำคัญที่จำพลาดไม่ได้ ถ้าจำไม่ได้ ก็สามารถสอบถามจากบุคคลอื่น ก่อนเข้าไปทัก หรือ ถ้าถูกทักก่อน ก็พยายามที่จะซักถามให้ทราบชื่อก่อนที่จะพูดชื่อที่เราไม่มั่นใจออกไปโดยเด็ดขาดนะคะ

* การฟัง การฟังนะคะ ไม่ใช่ การพูด เพราะชอบเข้าใจผิดกันเสมอว่า คนที่เข้าสังคมเก่งคือคนที่คุยเก่ง จริงๆแล้วไม่ใช่เลยคะ คนที่มีเสน่ห์มากที่สุด ก็คือ คนที่ฟังเก่ง มากกว่า คนพูดเก่ง คะ สังเกตที่ตัวเราก็ได้คะ ถ้าเราได้พบท่านผู้หนึ่ง ที่เอาแต่พูด และ พูด พูดแต่เรื่องของตนเอง แน่นอนคะ มันคงเป็นเรื่องที่น่าเบื่อที่เราจะต้องนั่งฟัง ไปเรื่อย ๆ ตามมารยาท หรือ บางครั้ง เราไม่ทราบเรื่องมาก่อนเพราะเพิ่งได้รู้จักครั้งแรก ยิ่งทำให้เราอึดอัด แต่ถ้าเปลี่ยนไป พบกับอีกท่านหนึ่ง ที่ซักถามเก่ง ถามในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเรา ถามในเรื่องที่เราทำ ถามโน่นถามนี้ที่เป็นโอกาสให้เราได้พูด ได้เล่า คุณว่า ท่านใด จะทำให้คุณรู้สึกดีกว่ากันคะ

*
การพูด เพราะการฟังสำคัญที่จะทำให้คนอื่นชอบเรา แต่การพูดก็สำคัญไม่น้อยกว่ากันคะ เพราะถ้าเราไม่พูดเสียเลยก็คงไม่ได้ ดังนั้น เราเองต้องเป็นผู้ที่พูดเป็นด้วยคะ นั่นคือ อย่าพูดในเรื่องเศร้า อย่าพูดแต่เรื่องของตนเองโดยไม่มีใครซักถาม อย่าพูดเชิงสั่งสอนหรือเทศนา อย่าพูดจากที่เป็นเชิงกระทบกระเทียบใคร อย่าพูดนานเกินไปจนไม่รู้จบ ไม่ให้โอกาสคนอื่นได้พูด พยายามพูดให้คนอื่นได้มีส่วนร่วมในการพูดร่วมกับเรา

สำหรับท่านที่ไม่ทราบว่าจะเริ่มต้นคำพูดอะไรดี สำหรับการรู้จักใครสักคนในครั้งแรก คุณสามารถพูดด้วยคำถามง่ายๆ เกี่ยวกับสิ่งทั่วๆไป โดยไม่ต้องวิตกหรอกคะว่าจะเป็นคำถามที่คุ้มค่า หรือ ฉลาดถามหรือไม่ เช่น ถามว่าบ้านอยู่ที่ไหน แค่นี้ คุณก็สามารถต่อการสนทนาได้ยาวแล้วคะ เช่น อาจให้คู่สนทนา แนะนำบริเวณนั้น ในกรณีที่คุณไม่รู้จัก ในกรณีที่คุณรู้จัก ก็ชวนคุยในสถานที่ ที่คุณรู้จัก ไปๆมาๆ จะกลายเป็นคู่สนทนาที่คุยกันได้ถูกคอทีเดียวคะ

* มั่นใจ หรือ ความมั่นใจ ก็คือ การไว้ใจตนเอง รักตนเอง แต่ไม่ได้หลงตนเองนะคะ การแสดงออกถึงความมั่นใจ เป็นการแสดงออกบนพื้นฐานของความพอดี และ อารมณ์ที่เปิดรับความคิดเห็น สิ่งต่างๆ ได้โดยไม่รู้สึกเป็นภาระ หรือ วิตกกังวล ความหลงตนเอง คือ การคิดว่า ตนเองต้องดีเลิศ ใครว่าไม่ดีไม่ได้ ใครแสดงอะไรที่คิดว่าจะกระทบกับเราไม่ได้ ดังนั้นจะเป็นอารมณ์ในการปิดกั้น และ บังคับผู้อื่น นะคะ ถ้าอยากเป็นคนมั่นใจ นั่นก็คือ การพัฒนาด้านการแสดงออก การเดิน การพูด ให้อยู่ในรูปแบบของเรา และ เป็นรูปแบบของความสุภาพเรียบร้อย ยิ้มง่าย ไม่ขี้โมโห ไม่วิตกกังวลกับคำพูดเล็กๆน้อย

* ชนะใจ อันนี้เป็นเคล็ดลับในการสร้างมิตรภาพในระยะยาวคะ การชนะใจก็คือการใช้ข้อทั้งหมดร่วมกัน ซึ่งจะทำให้ผู้สนทนากับเรา รู้สึกเป็นมิตร และ อยากพูดกับเรามากขึ้น รวมถึง ความรู้สึกไว้วางใจ ในการพูดในสิ่งที่คิดได้อย่างอิสรเสรี โดยไม่ต้องวิตกกังวล นั่นคือ เราต้องเป็นคนที่รู้จัก ยกย่องผู้อื่นในจุดที่ยกย่องได้ ไม่เป็นคนคุยข่ม หรือ พูดขัดคอใคร ในเรื่องที่เขากำลังสนทนา เป็นคนที่รับฟังและให้คำเสนอแนะในกรณีมีคนต้องการ และ เป็นคำเสนอแนะในลักษณะที่เป็นบวก

* "ขอบคุณ" แน่นอนคะ เป็นคำที่เราไม่สามารถลืมได้เลย จงเรียนรู้ที่จะพูดคำว่า "ขอบคุณ" ในกรณีที่มีคนทำอะไรให้แก่คุณ แม้นว่าจะเป็นเรื่องเล็กๆน้อยๆ ก็ตาม และควรเป็นการพูดที่ตั้งใจและจริงใจด้วยคะ เพราะการพูดขอบคุณแบบตั้งใจ จะทำให้ผู้ฟัง รวมถึง ผู้ได้รับคำขอบคุณ ตระหนักได้ถึงน้ำเสียงและกริยาอาการของคุณ ว่าจริงใจและตั้งใจในการกล่าวนั้น แต่ถ้าคุณพูดแค่เป็นพิธีการ น้ำเสียงและกริยาของคุณจะไม่แสดงออกถึงความโดดเด่น และ มันก็มีค่าเหมือนกับ ไม่ได้พูดอะไรเลยคะ

หวังว่าคงไม่ยากเกินไปสำหรับการนำไปประยุกต์ใช้ เพื่อเพิ่มทักษะด้านมนุษย์สัมพันธ์ของเรากับบุคคลรอบข้างนะคะ




 

Create Date : 10 กันยายน 2550    
Last Update : 10 กันยายน 2550 13:40:26 น.
Counter : 1584 Pageviews.  

The Power of COLORS

By Kran KGz., MissConsult.com
July 21, 2006

The Power of COLORS
อิทธิพลของสี & การแต่งกายในที่ทำงาน

สำหรับการแต่งกายในการทำงาน นักจิตวิทยาเผยว่า อิทธิพลของสีเสื้อผ้ามีผลต่อความรู้สึก และ อิทธิพลต่อผู้ทำงานคนข้างเคียง เพราะสีมีอิทธิพลต่อความรู้สึก ดังเราจะเห็นว่า ในงานเศร้า จะไม่มีใครใส่เสื้อสีสด และ ในงานที่ต้องการความรื่นเริง แทบไม่มีใครใส่เสื้อสีเข้ม โดยไม่แอบมีสีสดใสขับ

เพราะอิทธิพลของสีมีผลโดยรวมทางด้านการรับรู้ ดังนั้น มีการวิเคราะห์กันว่า สีแบบใดเหมาะสมและควรใส่ในเหตุการณ์ใดบ้าง ในสถานการณ์การทำงานที่เราต้องเจอ เพื่อให้เกิดผลประโยชน์มากที่สุด

มีการวิจัยเรื่องอิทธิพลของสี หรือ การแต่งกายที่เหมาะสมในสถานการณ์การทำงานต่างๆ ออกมา โดยการวิจัย พบว่า ในแต่ละสถานการณ์ข้างล่าง เราสามารถใช้สีของเสื้อเข้ามาช่วยให้แต่ละสถานการณ์ประสบความสำเร็จได้มากขึ้น
มาลองเรียนรู้และถ้าจะนำไปใช้ในแต่ละสถานการณ์ก็ดูน่าสนใจดีไม่น้อย!


* สถานการณ์ที่ 1 คุณเป็นผู้นำการประชุม หรือ เป็นผู้นำเสนอหัวข้อการประชุม

Wear: สีแดง
Why: เพราะคนอื่นจะเห็นคุณ โดดเด่น และ เต็มเปี่ยมด้วยพลัง อีกทั้งยังทำให้ดูมีอำนาจ ทำให้หัวข้อที่คุณเป็นผู้นำเสนอ ได้รับความสนใจ และ ผู้ฟังจะถูกดึงดูดด้วยอิทธิพลของสีทำให้เกิดความน่าเชื่อถือในสิ่งที่คุณนำเสนอด้วยเช่นกัน แต่ทั้งนี้ สิ่งที่คุณนำเสนอ ก็ต้องดีด้วย เพราะถ้าเป็นเช่นนั้น การประชุมดังกล่าวของคุณ คงได้รับผลสำเร็จ และ ได้รับการยอมรับโดยไม่ต้องสงสัย
Don't: สถานการณ์ที่ไม่ควรใส่สีแดง ก็คือ สถานการณ์ที่คุณถูกเรียกเพื่อประเมินผลงาน หรือ ประเมินประจำปี เพราะจะทำให้คุณดูน่าอึดอัด และ ไม่น่าเป็นมิตร



* สถานการณ์ที่2 เจ้านายคุณอารมณ์ไม่ดี (ถ้าเจอสถานการณ์ที่เจ้านายหรือหัวหน้าของคุณอารมณ์ไม่ดี หรือ อยู่ในช่วงที่เศร้า)

Wear: สีน้ำตาล
Why: สีน้ำตาลเป็นสีที่ส่งอิทธิพล ถึงความเป็นมิตร ความอบอุ่น และ ความซื่อสัตย์ คนที่มองสีน้ำตาล อารมณ์จะนิ่งลง และ รู้สึกถึงความเป็นมิตร ทำให้คุณไม่ไปเพิ่มความน่าอึดอัด น่าหงุดหงิดให้หัวหน้าคุณโดยใช้เหตุ
Don't: สถานการณ์ที่ไม่ควรใส่สีน้ำตาล ก็คือ สถานการณ์ในการประชุมทุกรูปแบบ เพราะถ้าคุณใส่สีน้ำตาลในที่ประชุม คุณจะกลายเป็นคนที่ทุกคนไม่สนใจ ประหนึ่งไม่มีตัวตน และ ถึงแม้นคุณจะพูดอะไรที่ดี หรือ น่าสนใจ แต่ก็จะกลายเป็นไม่น่าสนใจไปซะได้



* สถานการณ์ที่3 คุณต้องการขอ หรือ เสนอข้อเสนอของคุณให้แก่คนอื่น

Wear: สีฟ้าอ่อน
Why: สีฟ้าอ่อนให้อิทธิพลที่ดีต่อผู้เห็น ทำให้ดูน่าเชื่อถือ และ เต็มไปด้วยความคิด
Don't : สถานการณ์ที่ไม่ควรใส่สีฟ้าอ่อน ไม่มี สำหรับสีฟ้าอ่อน เราถือว่าเป็นสีที่สบายตา และ สามารถใส่ได้แทบทุกโอกาส ไม่ก่อให้เกิดผลเสียต่อสถานการณ์ใดๆ

* สถานการณ์ที่ 4 การไปทำงานวันแรก

Wear: สีดำ
Why: สีดำเป็นสีที่บ่งบอกถึงความมั่นใจ และ ความเฉียบแหลม ความคิดสร้างสรรค์ รวมถึง การดูน่านับถือ
Don't : สถานการณ์ที่ไม่ควรใส่สีดำ ในสถานการณ์ที่ทุกคนส่วนใหญ่ ใส่สีดำ เพราะทุกอย่างจะดูกลมกลืนไม่น่าสนใจ คุณสามารถหลีกเลี่ยงไปใส่สีเทาแทนจะดีกว่า



* สถานการณ์ที่ 5 การชักจูงหรือโน้มน้าวทีมงานให้เห็นด้วยกับความเห็นของคุณ

Wear: สีขาว
Why: คุณจะดูซื่อสัตย์ จริงจัง เชี่ยวชาญ เป็นมืออาชีพ ทำให้คนอื่นในทีมต้องการที่เห็นหรือได้ฟังในสิ่งที่คุณกำลังโน้มน้าว และ เห็นด้วยโดยง่าย
Don't : สถานการณ์ที่ไม่ควรใส่ คือ สถานการ์ที่เป็นลักษณะการประชุมแบบ Brain storming กับคนอื่นๆ เพราะคุณจะดูไม่มีความคิดสร้างสรรค์ ดูจืด และ ไม่น่าสนใจ



* สถานการณ์ที่ 6 ไล่คนออก

Wear: สีเขียว
Why: อิทธิพลสีเขียว จะทำให้คุณดูสุภาพ เยือกเย็น สุขุม ส่งอิทธิพลให้คุณดูจริงใจ และ หนักแน่น คำพูดที่พูดก็จะดูเป็นไปด้วยความจริงจัง และ ช่วยเหลือ ทำให้สถานการณ์ที่ดูเคร่งเครียด น่ากลัว ลดแรงกดดันลงได้อย่างมาก
Don't : สถานการณ์ที่ไม่ควรใส่ สถานการณ์ที่คุณต้องยื่นคำขาดกับคนใดคนหนึ่ง เพราะอิทธิพลของสีเขียวไม่ทำให้คุณดูน่ากลัว มากไปกว่า ดูมีเมตตา ดังนั้น กับสถานการณ์ที่คุณต้องยื่นคำขาดกับใคร ก็ควรหลีกเลี่ยงสีเขียว

ลองนำไปประยุทธ์ลองใช้ดูในแต่ละสถานการณ์การทำงานของเรา อย่างน้อย หลักทางจิตวิทยาเรื่องอิทธิพลของสี อาจจะช่วยทำให้สถานการณ์ที่เราต้องเผชิญผ่อนคลายลงก็ได้




 

Create Date : 10 กันยายน 2550    
Last Update : 10 กันยายน 2550 13:32:56 น.
Counter : 376 Pageviews.  

การสร้างความเชื่อมั่น

By Aroonrat W., MissConsult.com
Sep 26, 2006

:::: การสร้างความเชื่อมั่นในตนเอง เป็นสิ่งที่สำคัญสำหรับผู้ทำงานทุกท่าน เพราะกล่าวได้ว่า เป็นส่วนหนึ่งที่ส่งอิทธิพลให้คนผู้นั้น มีบุคลิกที่โดดเด่น และ แตกต่างจากคนอื่นๆ ในกลุ่ม

ดังที่เราจะเคยเห็นว่า ทำไมคนบางคน ถึงดูมีความมั่นใจ และ ดูดี ทำให้ ทำอะไรๆ ก็ดูดี แต่เราพูดเฉพาะคนที่มีความเชื่อมั่น และ ความมั่นใจในสิ่งที่ถูกต้อง เพราะ ยังมีหลายๆคนที่ดูเหมือนจะมีความมั่นใจมากเกินไป จนกลายเป็นโอ้อวด ในสายตาผู้อื่น แทนที่จะดูดี น่าเกรงขาม กลายเป็นดูแย่ และ ตลก ไปเสียได้

ดังนั้น การสร้างความเชื่อมั่น และ สร้างบุคลิกที่ดีแก่ตนเองนั่น เราเองเป็นผู้ที่สามารถฝึกและดูแลตนเองได้ดีมากกว่า สถาบันฝึกสอบบุคลิกภาพไหนๆเสียอีก เพราะว่า สถาบันหลายๆที่ มักจะสอนในแบบของหุ่นยนต์ หรือ ดูเกินจริงไปนิด ทำให้หลายๆคน ไม่กลายเป็นแข็ง ก็กลายเป็นระวังตัวมากจนเกินไป

การสร้างความเชื่อมั่น และ บุคลิกที่ดีแก่ตนเอง พื้นฐานเราเองต้องมีความรักในตนเองเป็นพื้นฐานเสียก่อน รู้จักตนเองดี เพราะว่า จิตแพทย์ ชื่อดัง อย่าง อาจารย์ วิทยา นาควัชระ ได้กล่าวไว้ว่า นอกจากสาเหตุด้านกรรมพันธุ์แล้ว (พ่อ แม่ ไม่มั่นใจในตนเอง ไม่เชื่อมั่น ก็ย่อมถ่ายทอดให้แก่ลูกได้) ยังมีสาเหตุอื่นๆ อีก หลายประการเช่น
การขาดความภูมิใจในความเป็นมนุษย์ ตั่งแต่เด็กๆ อาจจะมาจากการอบรมเลี้ยงดูที่ไม่ถูกต้องเช่น พ่อแม่ติชมลูกไม่ถูกกาลเทศะ ชมมากไปก็ไม่ดี เด็กไม่ภูมิใจ ตำหนิมากไปก็ลืมมองความดีของลูก พยายามหาแต่ข้อไม่ดีมาตำหนิ เกิดการหมดกำลังใจหมดความภูมิใจ เมื่อเติบโตก็จะทำให้กลายเป็นคนขาดความเชื่อมั่น ความรักในตนเอง

ประการที่สอง การคิดดูถูกตนเองว่าเป็นคนไม่ดี ไม่เก่ง ซึ่งมาจากนิสัยที่ชอบโทษตัวเอง ประจานตัวเอง และ ลงโทษตัวเองตลอดเวลา เมื่อมีเหตุการณ์ผิดพลาด หรือ ไม่ดีเกิดขึ้นในชีวิต

ประการที่สาม มีลักษณะของการถูกข่มขู่มาตั่งแต่เด็กๆ ทำให้ไม่มีโอกาสได้แสดงออก หวาดกลัว การโดนว่า รังแก ทั้งทางตรง และ ทางอ้อม ย่อมส่งผลให้ผู้นั้น มีอาการไม่มั่นใจ และ ไม่เชื่อมั่นในตนเองได้

ประการที่สี่ คือ มีนิสัยชอบเปรียบเทียบตัวเองกับผู้อื่น คิดว่า คนอื่น เก่งกว่า สวยกว่า หล่อกว่า หรือ ดีกว่า มักจะมองหาปมด้อยแก่ตนเอง เพื่อเปรียบเทียบกับคนอื่นๆอยู่เสมอ นานๆเข้ากลายเป็นคนชอบนินทาว่าร้ายคนอื่น และ ขี้อิจฉา

ประการที่ ห้า คือ การที่มีข้อ หรือ ปมด้อย ที่ตนเองคิดว่า คนอื่นจะรู้หรือสังเกตเห็นได้ ทำให้ไม่สบายใจ หรือไม่มั่นใจ เช่น คิดว่า ตัวเองผิวคล้ำดำ ไม่สวย คนอื่นจะต้องเห็นว่าตัวเองตัวดำ ดูตลก ทั้งๆที่คนอื่นไม่คิด ตัวเองก็จะคิดไปก่อน ทำให้หมดความมั่นใจในตนเองได้

สำหรับ การสร้างความเชื่อมั่น และ สร้างความมั่นใจให้แก่ตนเอง คุณไม่จำเป็นต้องไปฝึกอบรมา พัฒนาบุคลิกภาพ มากกว่า การพัฒนาจิตใจภายในของตัวคุณเสียก่อน หรือ เรียกกันว่า จิตใต้สำนำให้ได้เสียก่อน หลังจากนั้น เมื่อคุณเรียนรู้ที่จะรักตนเอง และ รู้สึกดีกับตนเองแล้ว การที่คุณไปเข้าการฝึกอบรมต่างๆที่เกี่ยวกับบุคลิกภาพย่อมส่งผลประโยชน์สูงสุดให้คุณพัฒนาได้อย่างเป็นตัวคุณเอง มากกว่า เป็นรูปแบบของมนุษย์หุ่นยนต์หรือ แสแสร้ง

เรามาดูหลักง่ายๆกับการสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ตนเองดังนี้


รู้จักตนเอง
คนเรานี้แปลก บางคนรักที่จะเรียนรู้คนอื่น อยากรู้อยากเห็นคนอื่นว่าเป็นยังไง บ้างคน ชื่นชอบดาราบางคนมากขนาดที่รู้จักดาราคนนั้นได้ดี ละเอียดยิบ ชนิดที่ว่า ดาราผู้นั้น ยังไม่รู้จักตนเองได้ดีเท่า ถ้าเราใช้นิสัยนั้นมาเรียนรู้ตนเองแทนที่จะไปสนใจคนอื่น รับรองได้ว่า เราจะรู้ว่า เรานั้น เป็นอย่างไร มีจุดดีจุดด้อยอย่างไรบ้าง เพื่อพยายามหาทางแก้ไขข้อบกพร่อง และ ส่งเสริมจุดเด่นของเรา
การรู้จักตนเอง ไม่เพียงรู้จักแต่นิสัยที่แท้จริงของเรา แต่เราต้องรู้ให้ลึกขนาดที่ว่า อะไรที่ทำให้เรารู้สึกดี อะไรที่ทำให้เรารู้สึกแย่ และ อวัยวะส่วนไหนของเราที่ดูดี และ อวัยวะส่วนไหนที่เราไม่ค่อยมั่นใจ เพราะอะไร
ถ้าเราเรียนรู้ตนเอง และ เข้าใจตนเองอย่างแท้จริง ราจะรัก และ พยายามเป็นตัวของตนเอง ในรูปแบบที่เราชื่นชอบอย่างแท้จริง


ความกล้าหาญ
รู้จักกล้าที่จะรับผิดชอบในสิ่งต่างๆที่ทำ กล้าที่จะทำอะไรด้วยตัวเอง และ กล้าที่จะเรียนรู้อะไรใหม่ๆ รวมถึง ความกล้าในสิ่งที่ถูกต้อง เช่น กล้าพูด กล้าทำ และ กล้าคิด เผอิญอุปสรรคต่างๆ ในชีวิต กล้ารับผิดชอบหน้าที่การงาน และ ทำให้ดีที่สุด ถ้าฝึกได้ดังนี้ เราเองจะภูมิใจในตนเอง ที่ละนิด และ ในที่สุด เราจะเคารพตัวเราเอง และ เรียนรู้ที่จะเชื่อมั่นในตนเอง


เพิ่มพูนทักษะที่จำเป็น
อันนี้เป็นผลพ่วงจากการรู้จักตนเอง ว่า อะไรที่เป็นจุดด้อยของเรา และ เราต้องเรียนรู้สิ่งใดเพิ่มเติม เพื่อแก้ไข และ สร้างความมั่นใจให้แก่ตนเอง ก็จะทำให้เราเรียนรู้ที่จะแก้ไข และ สุดท้าย เราก็จะมั่นใจในตนเอง และ ยังทำให้เราภูมิใจในตนเองมากยิ่งขึ้น ดังนั้น เราจำเป็นต้องศึกษา หาความรู้ ฝึกฝน ให้รู้ และเชี่ยวชาญ เพราะการยิ่งเรียนรู้มากก็ยิ่งมีความรู้มาก เมื่อมีความรู้มากก็มีคนให้คำแนะนำปรึกษามากขึ้น มีคนนิยม เชื่อถือมากขึ้น


นิยมความสำเร็จ
ความเชื่อมั่นก็เหมือนกับไฟชีวิตที่ทำให้เรามีพลังในการทำสิ่งต่างๆ กระตือรือร้น และ มีทัศนคติที่ดีในการทำสิ่งต่างๆ อย่างไรก็ตาม ไฟก็อาจจะมอดได้เป็นบางครั้ง ดังนั้น การเพิ่มเชื้อไฟให้แก่ตนเองเป็นระยะจะทำให้เรามีพลังในชีวิตได้ตลอดเวลา การเป็นคนนิยมความสำเร็จ จะทำให้เราตั้งใจทำสิ่งต่างๆด้วยความตั้งใจ และ อยากทำให้ดีที่สุดนั่นเอง

เชื้อไฟที่ดีที่สุดในการทำให้ไฟในชีวิตลุกโชนมากขึ้น ก็คือ การประสบความสำเร็จในการทำสิ่งต่างๆ แม้นกระทั่งคำชมเชยจากหัวหน้า เพื่อน หรือ คนในครอบครัว ก็สามารถทำให้เรามีความสุข และ มีพลังในการทำสิ่งต่างๆได้ดียิ่งขึ้น

อย่างไรก็ตาม การติดในคำชื่นชม ก็ไม่เป็นการดีต่อตนเอง ดังนั้น เราควรเป็นคนที่รู้จักเลือกในการได้รับคำชมจากคนที่ดีพอ หรือ คนที่ดีอย่างแท้จริง มากกว่า จะต้องการให้ทุกคนชื่นชม เพราะถ้าเป็นเช่นนั้น แทนที่เราจะเป็นคนที่เชื่อมั่นในตนเอง จะกลายเป็นว่า ไม่มีความมั่นใจในตนเองมากกว่า

ดังนั้น จงฉลาดเลือกการได้รับคำชมจากคนที่มีคุณค่า และ ดีพอเท่านั้น เพราะ ความจริงแล้ว ถ้าเราทำอะไรสำเร็จ แม้นจะเป็นเรื่องเล็กๆ เช่น การแก้นิสัยเกียจคร้านของตนเองได้ เราเองก็จะภูมิใจในตนเองได้โดยไม่ต้องให้คนอื่นชื่นชมก็ได้ และ เราก็สามารถมีกำลังใจ ทำการใหญ่ๆ ให้สำเร็จได้ง่ายมากขึ้น
เป็นคนชอบการแก้ไขมากกว่าบ่น หรือ ท้อแท้
เรียนรู้ความจริงว่า ชีวิตย่อมมีอุปสรรค ซึ่งเป็นเรื่องธรรมชาติ แต่สิ่งที่จะทำให้สิ่งต่างๆแตกต่างกันออกไป ก็คือ ใครเรียนรู้ที่จะแก้ไขมากกว่าท้อแท้ รวมทั้งปัญหาบางอย่างก็เป็นเรื่องเล็กน้อย ก็ไม่ควรนำมาทำให้เป็นปัญหาใหญ่ของตนเอง เช่น เราอาจจะเป็นคนตัวเล็ก ผิวคล้ำ เราก็ไม่ควรนำมาเป็นปมด้อย หรือ ลดความเชื่อมั่นในตนเอง เพราะ ถ้าเราทำหน้าที่ต่างๆ รวมทั้ง ขยัน พูดจาดี สิ่งต่างๆเหล่านั้น ก็ไม่เป็นอุปสรรคทำให้ใครๆ มองเห็นว่าเป็นปมด้อย หรือ ทำให้เราไร้ค่าในสายตาใคร

หรือ ถ้าเราเป็นคนขี้อาย หรือ พูดไม่เก่ง เราก็ควรเรียนรู้ หรือ หัดพูดบ่อยๆ หรือ หาแพทย์ช่วยแก้ไข สิ่งต่างๆ ไม่มีอะไรที่แก้ไขไม่ได้ เพียงแต่ว่า เราจะยอมแก้ไข หรือ บ่น แล้วปล่อยให้ดำเนินต่อไป ดังนั้น เมื่อเจอปัญหาใดๆ เรียนรู้ให้กำลังใจตนเอง และ มองหาทางแก้ไข และ ทำใจยอมรับ สำหรับปัญหาที่ไม่สามารถแก้ไขได้ เช่น เรื่อง สูง เตี้ย หรือ เรียนรู้การแต่งกายให้เหมาะกับเรา ก็สามารถทำให้เรามั่นใจได้ และ การเป็นคนเรียนรู้การแก้ไข ยังทำให้เราเป็นคนมีเหตุผล และ มีความภูมิใจในตนเองด้วย ถ้าเราทำได้สำเร็จ


เห็นคุณค่าของตนเอง และ สิ่งที่ตนเองมี
มีคนมากมาย ที่ชอบมองหาสิ่งที่อยู่ห่างตนออกไป โดยลืมมองหาสิ่งที่มีค่าของตนเอง ซึ่งบางทีคนอื่นอาจจะเห็นว่าเรามีดี มีอะไรที่มีคุณค่าในตนเอง แต่ตัวเราเองกลับมองไม่เห็นคุณค่าในสิ่งนั้น

ยกตัวอย่างง่ายๆ เรามักจะเห็นว่า ฝรั่ง มักนิยม การมีผิวสีแทน ขณะที่คนมีผิวสีแทน นิยมมีผิวสีขาว เป็นต้น อย่างไรก็ตาม การเห็นคุณค่าในสิ่งที่ตนเองมี ย่อมเป็นสิ่งดี แต่การเห็นคุณค่าผู้ที่ดีกับเรา ย่อมเป็นการสร้างนิสัยที่ดี หลายๆคนมักมองเห็นคนไกลตัวดีกว่า สิ่งที่ตนเองมี เช่น เราอาจจะมีแฟนที่ดีอยู่แล้ว แต่กลับมองว่า น่าเบื่อ ทำให้เราหันไปมองคนอื่น กลายเป็นปัญหานอกใจ สุดท้ายทำให้เราทำผิดพลาด หรือ เสียสิ่งที่ดีๆไปได้ การที่เราเห็นคุณค่าในสิ่งที่เรามี จะทำให้เราภูมิใจ และ คิดหาทางทำดีที่สุดในสิ่งที่เรามี หรือ ใส่ใจกับสิ่งที่เรามีมากขึ้น


สร้างบุคลิกที่ดีให้แก่ตนเอง
บุคคลที่ฉลาดย่อมคิดเสมอว่า ตนเองนั้นยังบกพร่องอยู่ และขยันเรียนรู้ รวมทั้ง ขยันปรับปรุงตนเองอยู่ตลอดเวลา บุคลิกภาพเป็นกุญแจสำคัญที่จะใช้ในการติดต่อกับผู้อื่น เป็นองค์ประกอบสำรหับความสำเร็จในชีวิต การแต่งกายที่สะอาด การเคลื่อนไหวในอิริยาบถที่น่าดูจะสร้างความประทับใจให้แก่ผู้เห็น และ ทำให้เราดูน่าเชื่อถือมากยิ่งขึ้น


คิดในทางบวก
สิ่งที่คนอื่นพูดอาจจะเป็นข้อมูลหรือเป็นประโยชน์กับเราได้ ถ้าเรามองในด้านดี การเป็นคนคิดในทางบวก เป็นการป้องกันอันตรายทางความคิดที่จะเกิดกับตัวเราในอนาคต เพราะในสังคมปัจจุบัน เป็นไปได้ว่า เราเองต้องเจอกับเหตุการณ์ คน หรือ สิ่งที่ไม่คาดคิดมากมาย ถ้าเรามองโลกในแง่ร้าย ทุกอย่างรอบตัวก็ดูจะแย่ และ อาจจะหมดกำลังใจได้โดยง่าย ทำสิ่งใดๆ ก็จะไม่อยากทำ แต่ถ้ามองโลกในแง่ดี คิดทางบวก เราจะพยายามหาทางออกในทุกทางหรือ ทุกปัญหาที่เราเจอ


ฝึกจิตใจให้สงบ และ อารมณ์เย็น
เรียนรู้ที่จะเป็นคนที่สงบเมื่อถึงคราวต้องสงบ และ กระตือรือร้นเมื่อต้องกระตือรือร้น การฝึกสมาธิ หรือ การสร้างพลังใจให้แก่ตนเอง โดยการสร้างความมั่นคงทางอารมณ์ภายใน ย่อมส่งผลให้เรามีความเชื่อมั่นในตนเองมากขึ้น

รู้จักวางตัว
รู้จักการวางตัวในแต่ละสถานการณ์ แต่ละบุคคล ได้อย่างดีและเหมาะสม จะยิ่งทำให้เราเป็นผู้มีเสน่ห์ และ มีมารยาท เรื่องนี้ สามารถฝึกกันได้ ซึ่งถ้าต้องเข้าสังคมระดับสูง มารยาทการทานอาหาร อาจต้องเป็นพิธีการมากยิ่งขึ้น ซึ่งเรื่องนี้ เราอาจจำเป็นต้องอาศัยการฝึกอบรมเพิ่มเติม
แต่ถ้าเป็นทั่วไปๆ เราก็สามารถใช้หลัก ใจเขาใจเรา คือ การคิดก่อนถาม และ ฝึกเป็นคนเข้าหา มีมารยาท รู้จักการให้ความเคารพแก่ผู้อาวุโส และ เป็นนักฟังที่ดี รับรองได้ว่า เราก็จะจัดได้ว่า เป็นคนที่วางตัวเป็นคนหนึ่งทีเดียว
สำหรับ ทั้งหมด เป็นเรื่องที่เราฝึกได้ และ ควรฝึกให้คล่องในระดับที่ดี ก่อนที่เราคิดไปฝึกการพัฒนาบุคลิกภาพเพิ่มเติมจากสถาบันต่างๆ เพราะจะยิ่งทำให้เราค้นพบความเป็นเอกลักษณ์ของเราเองได้อย่างถูกต้อง




 

Create Date : 10 กันยายน 2550    
Last Update : 10 กันยายน 2550 13:26:29 น.
Counter : 713 Pageviews.  

1  2  3  

ธีร์ตา
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add ธีร์ตา's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.