สมาคมครูหนุ่มหล่อแห่งประเทศไทย
Group Blog
 
All Blogs
 

ประวัติวอลเลย์บอล

ประวัติวอลเลย์บอล
กีฬาวอลเลย์บอล (Volleyball) ได้เริ่มขึ้นในปี พ.ศ. 2438 โดย William G. Morgan ผู้อำนวยการด้านพลศึกษาแห่งสมาคม Y.M.C.A. ( Young Mans Christian Association) เมืองโฮล์โยค ( Holyoke) มลรัฐแมสซาชูเซตส์ ประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งได้เกิดขึ้นเพียง 1 ปี ก่อนการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกสมัยใหม่ ครั้งที่ 1 ณ กรุงเอเธนส์ โดยเขาได้พยายามคิดและดัดแปลงกิจกรรมต่างๆ เพื่อให้ใช้เป็นกิจกรรมนันทนาการหรือผ่อนคลายความตึงเครียดให้เหมาะสมกับฤดูกาล และเขาก็เกิดความคิดขึ้นในขณะที่ได้ดูเกมเทนนิส เพราะกีฬาเทนนิสเป็นกีฬาที่ต้องใช้อุปกรณ์ เช่น แร็กเกต ลูกบอล ตาข่าย และอุปกรณ์อื่นๆ อีกมาก จึงได้มีแนวคิดที่จะใช้ตาข่ายสูง 6 ฟุต 6 นิ้ว จากพื้นซุงเป็นระดับสูงกว่าความสูงเฉลี่ยของผู้ชาย และได้ใช้ยางในของลูกบาสเกตบอลมาทำเป็นลูกบอล แต่ปรากฏว่ายางในลูกบาสเกตบอลเบาและช้าเกินไป จึงได้ใช้ยางนอกของลูกบาสเกตบอล ซึ่งก็ปรากฏว่าใหญ่และหนาเกินไปไม่เหมาะสม ดังนั้น ในปี พ.ศ. 2449 Morgan ได้ติดต่อบริษัท A.G.Spalding and Brother ให้ทำลูกบอลตัวอย่างขึ้น 1 ลูก โดยมีขนาดเส้นรอบวง 25-27 นิ้ว น้ำหนัก 9-12 ออนซ์ เพื่อนำมาใช้แทนลูกบาสเกตบอล


ในต้นปี พ.ศ. 2439 ได้มีการประชุมสัมมนาผู้นำทางพลศึกษาที่วิทยาลัยสปริงฟิลด์ ในครั้งนั้น Dr. Luther Gulick ผู้อำนวยการโรงเรียนฝึกพลศึกษาอาชีพและกรรมการบริหารด้านพลศึกษาของสมาคม Y.M.C.A. ได้เชิญให้นาย William G. Morgan นำเกมนี้เข้าร่วมในการจัดนิทรรศการที่ New College Gymnasium โดยใช้ผู้เล่นฝ่ายละ 5 คน


นาย Morgan ได้อธิบายว่าเกมใหม่ชนิดนี้เรียกว่า มินโตเนต (Mintonette) เป็นเกมที่ใช้เล่นลูกบอลในโรงยิมเนเชียม แต่อาจจะใช้เล่นในสนามกลางแจ้งก็ได้ ซึ่งผู้สามารถเล่นลูกบอลโดยไม่มีสิ่งกีดขวางเหนือความสูงของตาข่ายจากด้านหนึ่งไปอีกด้านหนึ่ง การเล่นเป็นการผสมผสานกันระหว่างเกม 2 ประเภทคือ เทนนิส และ แฮนด์บอล


ศาสตราจารย์ Alfred T. Halstead ผู้อำนวยการพลศึกษาแห่งวิทยาลัยสปริงฟิลด์ ซึ่งได้ชมการสาธิตได้ให้ข้อคิดเห็น และลงความเห็นว่า เนื่องจากเกมการเล่นส่วนใหญ่ลูกบอลจะต้องลอยอยู่ตลอดเวลา เมื่อตกลงพื้นก็ถือว่าผิดกฎเกณฑ์การเล่น จึงใช้ชื่อเกมการเล่นนี้ว่า วอลเลย์บอล ซึ่งในที่ประชุมรวมทั้งนาย Morgan ต่างก็ยอมรับชื่อนี้โดยทั่วกัน


ในปี พ.ศ. 2495 คณะกรรมการบริหารสมาคมวอลเลย์บอลแห่งประเทศสหรัฐอเมริกา ได้เสนอให้ใช้ชื่อเป็นคำเดียวคือ Volleyball และนาย Morgan ได้แนะนำวิธีการเล่นให้แก่ Dr.Frank Wook ซึ่งเป็นนักฟิสิกส์ และ John Lynoh หัวหน้าหน่วยดับเพลิง โดยได้ร่วมกันร่างกฎเกณฑ์ในการเล่นขึ้น 10 ข้อ ดังนี้


1.เกม (Game) เกมหนึ่งประกอบด้วย 9 อินนิ่ง (Innings) เมื่อครบ 9 อินนิ่ง ฝ่ายใดได้คะแนนมากว่าเป็นฝ่ายชนะ

2. อินนิ่ง หมายถึง ผู้เล่นของแต่ละชุดได้เสิร์ฟทุกคน

3. สนามเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า กว้าง 25 ฟุต ยาว 50 ฟุต

4. ตาข่ายกว้าง 2 ฟุต ยาว 27 ฟุต สูงจากพื้น 6 ฟุต 6 นิ้ว

5. ลูกบอลมียางในหุ้มด้วยหนังหรือผ้าใบ วัดโดยรอบไม่น้อยกว่า 25 นิ้วและไม่เกิน 27 นิ้ว มีน้ำหนักไม่น้อยกว่า 9 ปอนด์ และไม่เกิน 12 ปอนด์

6. ผู้เสิร์ฟและการเสิร์ฟ ผู้เสิร์ฟจะต้องยืนด้วยเท้าหนึ่งบนเส้นหลัง และตีลูกบอลด้วยมือข้างเดียว อนุญาตให้ทำการเสิร์ฟได้ 2 ครั้ง เพื่อที่จะส่งลูกบอลไปยังแดนคู่ต่อสู้เช่นเดียวกับเทนนิส การเสิร์ฟจะต้องตีลูกบอลได้อย่างน้อย 10 ฟุต และห้ามเลี้ยงลูกบอล อนุญาตให้ถูกตาข่ายได้ แต่ถ้าลูกบอลถูกผู้เล่นคนอื่นๆ ก่อนถูกตาข่ายและถ้าลูกข้ามตาข่ายไปยังแดนคู่ต่อสู้ถือว่าดี แต่ถ้าลูกออกนอกสนาม จะหมดสิทธ์การเสิร์ฟ ครั้งที่ 2

7. การนับคะแนนลูกเสิร์ฟที่ดีฝ่ายรับจะไม่สามารถโต้ลูกกลับมาได้ให้นับ 1 คะแนนสำหรับฝ่ายเสิร์ฟ ฝ่ายที่จะสามารถทำคะแนนได้คือฝ่ายเสิร์ฟเท่านั้น ถ้าฝ่ายเสิร์ฟทำลูกบอลเสียในแดนของตนเอง ผู้เสิร์ฟจะหมดสิทธิ์ในการเสิร์ฟ

8. ลูกบอลถูกตาข่าย (ลูกเสิร์ฟ) ถ้าเป็นการทำเสียครั้งที่ 1 ให้ขานเป็นลูกตาย

9. ลูกบอลถูกเส้น ให้ถือเป็นลูกออก

10. การเล่นและผู้เล่น การถูกตาข่ายโดยผู้เล่นทำลูกบอลติดตาข่าย หรือ ลูกบอลถูกสิ่งกีดขวาง และกระดอนเข้าสู่สนามถือเป็นลูกดี


ผู้อำนวยการพลศึกษาต่างๆ ของ Y.M.C.A. พยายามส่งเสริมและให้การสนับสนุนกีฬาชนิดนี้โดยนำเข้าไปฝึกในโรงเรียน ซึ่งครูฝึกพลศึกษาของมหาวิทยาลัยสปริงฟิลด์ ในมลรัฐแมสซาชูเซตส์ กับมหาวิทยาลัย George William มลรัฐอิลลินอยส์ ได้เผยแพร่กีฬาชนิดนี้ไปทั่วสหรัฐอเมริกาและแคนาดา โดยมีการทำเป็นแบบแผน เพื่อจะได้นำไปเผยแพร่ต่อไปดังนี้


1. นาย Elwood s. Brown ได้นำกีฬาวอลเลย์บอลไปสู่ประเทศฟิลิปปินส์

2. นาย J. Haward Crocher นำไปเผยแพร่ที่ประเทศจีน

3. นาย Franklin H. Brown นำไปเผยแพร่ที่ประเทศญี่ปุ่น

4. Dr. J.H. Cary นำไปเผยแพร่ที่ประเทศพม่า และอินเดีย


ปี พ.ศ. 2453 นาย Elwood S. Brown เดินทางไปฟิลิปปินส์ ได้ช่วยจัดตั้งสมาคม และริเริ่มการแข่งขันครั้วแรกที่กรุงมะนิลา ในปี พ.ศ. 2456 โดยเรียกการแข่งขันครั้งนี้ว่า Far Eastern Games


ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 1 Dr.Grorge J. Fischer เลขาธิการปฎิบัติการสงคราม ได้นำเอากีฬาวอลเลย์บอลเข้าไว้เป็นกิจกรรมส่วนหนึ่งในการฝึกทหารในค่าย ทั้งในและนอกประเทศ และได้พิมพ์กฎกติกากีฬาวอลเลย์บอลเพื่อแจกจ่ายไปยังหน่วยต่างๆ ของทหาร ทั้งกองทัพบกและกองทัพเรือ เพื่อให้ทหารได้ใช้เวลาว่างกับกีฬาโดยอุปกรณ์ต่างๆ เช่น ลูกวอลเลย์บอล และตาข่ายจำนวนหลายหมื่นชิ้นได้ถูกส่งไปยังค่ายทหารที่ประอยู่ตามหน่วยต่างๆ ทั้งในประเทศและกอง ทัพพัธมิตร นับว่า Dr.Grorge J. Fisher เป็นผู้ช่วยเหลือกีฬาวอลเลย์บอลเป็นอย่างมากจน ได้ชื่อว่าบิดาแห่งกีฬาวอลเลย์บอล


ปี พ.ศ. 2465 ได้มีการปรับปรุงกฎกติกาของวอลเลย์บอลใหม่ โดยสมาคม Y.M.C.A. และสมาคมลูกเสือแห่งอเมริกัน N.O.A.A. ได้จัดการแข่งขันกีฬาวอลเลย์บอลขึ้นมีรัฐต่างๆ ส่งเข้าแข่งขัน 11 รัฐ มีทีมเข้าแข็งขันทั้งสิ้น 23 ทีม รวมทั้งทีมจากแคนาดา


ปี พ.ศ. 2467 กองทัพบกและกองเรือของสหรัฐอเมริกา ได้ส่งเสริมกีฬาวอลเลย์บอลอย่างจริงจัง จนกระทั่งได้แพร่เข้าไปยังกลุ่มโรงเรียน และสมาคมต่างๆ ซึ่งเรียกกันว่าสมาคมกีฬาและสันทนาการแห่งสหรัฐอเมริกา ซึ่งภายหลังได้เปลี่ยนเป็นสันทนาการแห่งชาติ ได้นำเอากีฬาวอลเลย์บอลบรรจุไว้ในกิจกรรมของสมาคม


วันที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2471 ไดมีการตั้งสมาคมวอลเลย์บอลแห่งสหรัฐอเมริกาขึ้น เรียกว่า The Untied States Volleyball Association มีชื่อย่อ USVBA ที่ Dr. George J. Fischer เป็นประธาน และ Dr. John Brown เป็นเลขาธิการ ได้ตั้งความมุ่งหมายในการบริหารกีฬาวอลเลย์บอลออกเป็นข้อๆ ดังต่อไปนี้


1. จัดการประชุมประจำปีเพื่อจดทะเบียนมาตรฐานของกีฬาวอลเลย์บอลให้ดีขึ้น

2. วางแผนงานพัฒนากีฬา และการจัดการแข่งขัน

3. จัดการแข่งขันชิงชนะเลิศแห่งชาติ

4. พัฒนากติกาในการเล่นให้ดีขึ้น

5. จัดหาสมาชิกให้เพิ่มขึ้น


ปี พ.ศ. 2479 ได้มีการจัดการแข่งขันประจำปีที่นครนิวยอร์ก จากการแข่งขันนี้ทำให้มีความเข้าใจเกี่ยวกับการแข่งขันวอลเลย์บอลดีขึ้น โดยมีสมาชิกเข้าร่วมจำนวนมาก


ปี พ.ศ. 2483 สมาคม USVBA ได้รับสมาชิกเพิ่ม 2 ทีม คือ มหาวิทยาลัยเทเบิล และมหาวิทยาลัยเพนซิลวาเนีย และได้มีการแข่งขันประเภทประชาชนทั่วไปที่รัฐฟิลาเดลเฟีย


ปี พ.ศ. 2485 มีการแบ่งเขตออกเป็น 12 เขต สมาชิกต่างๆ ได้ขอร้องให้สมาคม Y.M.C.A. หยุดรับสมาชิกเพราะมีสมาชิกมากเกินไป ทำให้บริการได้ไม่ทั่วถึง เอกอัครราชทูตของรัสเซีย ในกรุงวอชิงตัน ได้ส่งเอกสารเกี่ยวกับกฎกติกาของวอลเลย์บอล ซึ่งได้จัดพิมพ์เป็นรูปเล่ม โดยมีนาย Herry E. Willson และ Dr. David T. Gaodon เป็นผู้จัดพิมพ์ขึ้น


วันที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2485 นาย William G. Morgan ผู้ริเริ่มกีฬาวอลเลย์บอลได้ถึงแก่กรรม


ปี พ.ศ. 2486 สมาคมสตรีของ AAHPER (America Association of Health,Physical Education and Recreation) โดยมี Dr. John Brown เป็นเลขาธิการและเหรัญญิกของสมาคม ได้นำเอากีฬาวอลเลย์บอลบรรจุเข้าไว้ในกิจกรรมของสมาคมสตรี และดำเนินการแข่งขันภายในกลุ่ม


ระหว่างวันที่ 1-7 พฤษภาคม พ.ศ. 2487 ได้จัดให้มีการแข่งขันกีฬาวอลเลย์บอลนานาชาติขึ้น โดยมีทีมที่สนใจเข้าร่วมการแข่งขันจำนวนมาก


ปี พ.ศ. 2489 ได้เริ่มมีการสอนกีฬาวอลเลย์บอล โดยใช้อุปกรณ์การสอน เช่น ภาพยนตร์เกี่ยวกับการเล่นและการแข่งขันซึ่งเป็นฟิล์ม 16 มิลลิเมตร จำนวน 2 ม้วน ในการทำภาพยนตร์ครั้งนี้คิดเป็นเงินประมาณ 7,800 ดอลลาร์ฯ หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ก็ได้มีการประชุมเกี่ยวกับการแข่งขันระหว่างชาติ โดยเริ่มที่ชิคาโก ซึ่ง Andrew Stewert เลขาธิการโอลิมปิกแห่ง สหรัฐอเมริกา เพื่อนำกีฬาวอลเลย์บอลจัดแข่งขันในกีฬาโอลิมปิกต่อไป


ปี พ.ศ. 2490 ได้มีกฎกติกาจัดพิมพ์ใหม่ โดยสมาคม USVBA ซึ่งทางสมาคมได้ส่งนาย FB. De Groot และนาย Royal L. Thomas เป็นตัวแทนเข้าร่วมประชุมที่กรุงปารีส โดยร่วมจัดการแข่งขันระหว่างชาติขึ้น ซึ่งเป็นผลให้เกิดสหพันธ์กีฬาวอลเลย์บอลนานาชาติขึ้นในต้นปีนี้เอง


ปี พ.ศ. 2491 มีการประชุมสมาคม USVBA ที่ South Bend Indiana และปรับปรุงสมาคม USVBA มีการเลือกตั้งคณะกรรมการใหม่ขึ้น โดยสมาคมได้ส่งทีมวอลเลย์บอลชายไปตระเวนแข่งขันในยุโรป


ปี พ.ศ. 2492 หนังสือ Time Game เขียนโดยสมาคม USVBA รายงานการแข่งขันวอลเลย์บอลที่ลอสแอนเจลีส ซึ่งเป็นการแข่งขันระหว่างประเทศ ผู้ที่ชนะเลิศได้แก่ รัสเซีย ที่ 2 ได้แก่ เชโกสโลวาเกีย และในปีนี้เองประเทศผรั่งเศสได้สมัครเข้าเป็นสมาชิกของสมาคม USVBA ด้วย


ปี พ.ศ. 2493 Dr. Fisheer ข้าราชการบำนาญที่มาร์แชลแอลเวลเตอร์ ได้นัดประชุมผู้นำทางกีฬาวอลเลย์บอล โดยแต่ละประเทศได้เขียนรายงานการประชุมเป็นภาษาสวิส และมีการสาธิตการเล่นกลางแจ้ง และในปีนี้ประเทศอังกฤษได้นำเอากีฬาวอลเลย์บอลไว้ในกิจกรรมของสมาคม Y.M.C.A. ของอังกฤษด้วย


ปี พ.ศ. 2494 นาย Robert J. Lavelca ได้ทำสไลด์เกี่ยวกับทักษะเบื้องต้นในการเล่นกีฬาวอลเลย์บอลขึ้น


ปี พ.ศ. 2495 ได้มีการจัดแข่งขันวอลเลย์บอลหญิงขึ้นครั้งแรก โดยมีนาย Migaki Nishikawa ประธานสมาคมวอลเลย์บอลแห่งประเทศญี่ปุ่น โดยจัดให้มีการแข่งขันระหว่างประเทศในแถบตะวันออกไกล และกีฬาวอลเลย์บอลนี้ได้ถูกจัดเข้าแข่งขันในโอลิมปิกครั้งแรกที่เมืองเฮลซิงกิ และมีการแข่งขันวอลเลย์บอลชิงแชมป์โลกครั้งแรกที่เมืองสโคร์ จากนั้นสมาคมวอลเลย์บอลแห่งญี่ปุ่นก็มีการส่งเสริมกีฬาชนิดนี้มาก โดยส่งทีมวอลเลย์บอลของมหาวิทยาลัย Lashita ซึ่งชนะเลิศการแข่งขันของประเทศญี่ปุ่นไปแข่งที่สหรัฐอเมริกา




 

Create Date : 20 กุมภาพันธ์ 2552    
Last Update : 20 กุมภาพันธ์ 2552 13:53:58 น.
Counter : 1886 Pageviews.  

เมียหลวง

เนื้อเพลงประกอบละครเมียหลวง
เมียหลวง

รู้ดีว่าเธอนะมันหลายใจ
รู้ดีเธอมีใคร
รู้ดีว่าเธอไม่แคร์กันเท่าไหร
ถ้าเธอมองข้างใจ
รู้ดีว่าเธอไม่เหมือนเก่า
รักเธอรักตัวเอง

หมดแรงหวัง หมดแรงท้อ
หมดแรงแบบเพ้อมันถอดใจ ก็ตัวฉันไม่เข้าใจ
เธอเคยเห็นฉันมีค่าไหม

หมดแรงหวัง หมดแรงท้อ
หมดแรงตัดพ้อเหมือนถอดใจ
ก็ตัวฉันไม่เข้าใจ
เธอเคยเห็นฉันมีค่าไหม ฮื้อ




 

Create Date : 14 กุมภาพันธ์ 2552    
Last Update : 14 กุมภาพันธ์ 2552 6:17:33 น.
Counter : 752 Pageviews.  

เทคนิคการสอบ เตรียมทหาร

เทคนิคการสอบ เตรียมทหาร
... รอบแรก ...
โดย นตท.ณัฐวุฒิ มงคลการ
เขียนวันที่ 22 มีนาคม 2550
@เตรียมความพร้อม ก่อนสอบ@
การออกกำลังกาย
การออกกำลังกายต้องทำเป็นประจำอยู่เสมอ ทั้งก่อนออกและหลังออกกำลังกายจะต้องยืดเหยียดกล้ามเนื้อ
( วอร์มอัพ ) ก่อนซัก 10 -15 นาที เพื่อให้กล้ามเนื้อมีความพร้อม สำหรับการออกกำลังกายควรเตรียมความพร้อมของ
ร่างกายโดยการวิ่ง เพราะการวิ่งจะช่วยทำให้ความฟิตของร่างกายเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว (โดยเฉพาะการออกกำลังกายกลาง
แดด จะช่วยให้เราเผาผลาญพลังงานในปริมาณที่มากกว่าปกติ แต่! ระวังจะเกิดการเป็นลมหรือ เกิดอาการฮีทสโตรก
ทำให้ถึงแก่ชีวิตได้ ดังนั้นจึงต้องดื่มน้ำเป็นประจำ เป็นปริมาณมาก เพื่อไม่ให้ร่างกายขาดน้ำ
** ข้อควรระวัง **
การออกกำลังกายกลางแดด ควรกระทำในผู้ที่ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ไม่ใช่นานๆ ออกครั้ง การออกกำลังกาย
กลางแดดควรทำอาทิตย์ละ 2 ครั้งก็เพียงพอแล้ว )
นอกจากนี้การวิ่งยังทำให้เพิ่มสมรรถภาพส่วนต่าง ๆ ได้มากขึ้นอีกด้วย ไม่ว่า จะเป็น การว่ายน้ำ การ sit-up
หรือการกระโดด ต่างๆ เป็นต้น ส่วนการดึงข้อ จะสามารถดึงได้มากขึ้นนั้น ต้อง ดึงฝืน ( การดึงฝืนคือการที่เราสามารถ
ดึงได้มากที่สุดแล้ว ฝืนแขนดึงต่อไปอีกครั้งหนึ่ง แม้จะได้หรือไม่ก็ตาม การดึงแบบนี้ ใช้เวลา 2 อาทิตย์ จาก ไม่ได้เลย
จะได้ประมาณ 7-9 ครั้ง )
การอ่านหนังสือ (ใกล้วันสอบ )
การอ่านหนังสือก่อนสอบควรอ่านพอประมาณ ไม่จำเป็นต้องอ่านหนัก อ่านทน ไม่ได้นอน หรือนอนน้อย เพราะ
การอ่านแบบนี้จะทำให้สมองพักผ่อนน้อย กล้ามเนื้อประสาท อ่อนล้า ทำให้สิ่งที่อ่านผ่านหายไปหมด และตอนเช้าจะทำ
ให้ง่วงเพลีย เบื่อหน่าย ไม่มีความกระตือรือร้นที่จะรับรู้หรือรับฟังอีก
การอ่านควรอ่านประมาณ 1 -1 ½ ชั่วโมง แล้วทำการพักผ่อนอิริยาบท เดิน ดื่มน้ำ ล้างหน้า ฟังเพลง เพื่อให้
กล้ามเนื้อสมองผ่อนคลายรอการใช้งานต่อไป เปรียบเสมือนการออกกำลังกาย ถ้าออกติดต่อกันเป็นเวลานานมาก ๆ จะทำ
ให้เกิดการเป็นตะคริว กล้ามเนื้อบาดเจ็บได้
จะเห็นได้ว่าหลายคนมีค่านิยมที่ว่า การอ่านหนังสือดึก ถ้าง่วง ก็ดื่มกาแฟ จะได้ไม่ง่วง อ่านหนังสือได้ต่อไป
แต่ถ้าถามไปว่าไอ้ที่อ่านไปรู้เรื่อง เข้าใจหรือเปล่า คำตอบที่ได้เกือบทั้งร้อย คือไม่รู้เรื่อง ได้แค่ “ ได้อ่าน ”
การอ่านหนังสือ ถ้าเกิดอาการง่วง ไม่ควร ดื่มกาแฟ เพราะกาแฟทำให้ร่างกายเราไม่ง่วงก็จริง แต่สติความคิด
ภายในเรายังง่วงอยู่ จึงแนะนำว่าไม่ควรดื่มกาแฟขณะที่ง่วง แต่ถ้าไม่ไหวจริง อ่านไม่ทัน (หรือไม่ได้อ่าน) ควรปฎิบัติดังนี้
คำแนะนำกรณีง่วงนอน
1.ควรหาของร้อน ๆ ดื่ม เช่น โอวัลติน ไมโล เนสเล่ หรือน้ำอุ่น
2.ควรหาน้ำล้างหน้าล้างตา (เป็นน้ำอุ่นได้ยิ่งดี) แปรงฟัน หรืออาบน้ำเลยก็ได้
3.ลุกขึ้นมากายบริหารซักท่า สองท่า ก็จะช่วยได้(แนะนำ! ดันพื้นซัก ห้าสิบซิ)
** ร่างกายควรได้รับการพักผ่อนประมาณ 6 ชั่วโมงเป็นอย่างน้อย สำหรับในช่วงการใช้สมองอย่างหนัก **
+การอ่านหนังสือสอบ+
วิชา คำนวน
การอ่านวิชาคณิตศาสตร์
ที่ผ่านมา วิชาคณิตศาสตร์เน้นความเข้าใจ ถึงแม้น้องท่องสูตรได้มากมาย แต่โจทย์ที่ออกมาจะออกแบบสูตรพื้นๆ
แต่ดันออกแบบถามความเข้าใจเรา ไม่มีกฎตายตัวแน่นอนน้องจึงต้องพยายามอ่านสูตรพื้นฐานต่าง ๆ ให้เข้าใจ ทำโจทย์
เพื่อให้เราเชื่อมโยงสูตรแต่ละสูตรได้ สุดท้าย จะเห็นว่าสูตรที่แปลกตาน้องหลายสูตร เกิดจากสูตรไม่กี่สูตร เชื่อมโยง
ผสานกับความเข้าใจเท่านั้น
วิชาวิทยาศาสตร์ ถ้ามองในภาพมัธยมปลาย จะแบ่งได้ สามส่วน คือ ฟิสิกส์ เคมี ชีววิทยา แต่ในการออกข้อสอบ
นั้น จะออกเพียงพื้นฐานเท่านั้น เพื่อที่จะทดสอบว่า น้อง มีความรู้พอที่จะศึกษาต่อในระดับมัธยมปลายหรือไม่ อย่าเห็นว่า
ออกไม่ค่อยมากแล้วจะทิ้งไป เพราะข้อสอบวิทย์ ม.ปลายเพียงสอง สามข้อนี้ เป็นจุดตัดสินว่า น้องอาจจะได้ลำดับที่ 180
หรือ 200 เลยทีเดียว เพราะแต่ละอันดับที่จะห่างกันเพียงไม่กีคะแนนเท่านั้น
การอ่านวิชาวิทยาศาสตร์-ฟิสิกส์
วิชาฟิสิกส์จะเน้นเข้าใจสูตร (เข้าใจจริงๆ นะ ไม่ใช่ ท่องได้เฉยๆ)แล้วสามารถทำการคำนวณโจทย์ทดสอบใน
รูปแบบต่าง ๆ
เตรียมตัวแบบวิธีลัด (ไม่ค่อยอยากให้ทำนะ ถ้าใจไม่ถึงพอและเสี่ยงมากด้วย)
ถ้ามองภาพรวมยังไม่เข้าใจว่าเรื่องแต่ละเรื่องเป็นอย่างไร แนะนำว่า ให้ท่องสูตรให้แม่น (เข้าห้องน้ำ เดิน วิ่ง ท่อง
จนขึ้นใจ ชนิดที่ว่าขึ้นตัวแปรเดียวเขียนได้เป็นหน้ากระดาษ) แล้วเราตะลุยข้อสอบ ทำไม่ได้ เปิดเฉลย อ่านให้
ละเอียดละออ แล้วกลับไปทำใหม่ เขียนวิธีทำข้อนั้นซัก 3-4 รอบจะเข้าใจได้เองในConceptของโจทย์ทำไปเรื่อย ๆ
เท่าที่จะทำได้(อย่าทำไปได้ 2-3 ข้อ แล้วเบื่อเลิกทำไปซะก่อนล่ะ)
ถ้าน้อง ๆ ทำไป จะเห็นได้ว่าโจทย์แต่ละข้อที่ออกในหนังสือ จะมีลักษณะคล้าย ๆ กัน แต่เปลี่ยนนิดหน่อย พลิก
แพลงบ้างเท่านั้น ถ้าไม่เชื่อ ลองหาหลังสือ ฟิสิกส์ Entrance พันข้อ มานั่งเปิด ๆ ดู แล้วจะเห็นว่าคล้าย ๆ กัน ใน
หลาย ๆ ข้อเลยล่ะ
วิธีแบบแน่นปึ๊ก (อดทน ตั้งใจ มุมานะเป็นเยี่ยมเลยล่ะ)
มีการอ่านสองแบบ
แบบที่ หนึ่ง การอ่านสูตรรวมในเรื่องนั้น ๆ ทั้งหมด แล้วค่อยมา ตะลุยข้อสอบ เช่น เรื่องแรงและพลังงาน
ก็อ่านสูตร ตั้งแต่ สูตรแรง พลังงานศักย์ จลน์ ไปจนหมด แล้วค่อยทำข้อสอบ
แบบที่สอง อ่านแบบสูตรต่อโจทย์ คือ อ่านหนึ่งสูตร แล้วเสาะแสวงหาโจทย์ที่เกี่ยวกับสูตรที่อ่าน แต่ในบางข้อต้อง
ใช้หลายสูตรมาหาและความเข้าใจด้วย ฉะนั้นจึงควร ให้อาจารย์ คอยแนะนำเป็นดีที่สุดในเรื่องของการทำโจทย์ต่าง ๆ
เคมี (จำ+เข้าใจ+คำนวณ สัพเพเหระมากมายเยอะแยะ)
จะเห็นได้ว่าเนื้อหาวิชาเคมีนั้น เป็นนื้อหาที่มีภาค ทฤษฎี และภาคสูตรคำนวณ จึงต้องอ่านให้เข้าใจเป็นเรื่อง ๆ
เพราะสูตรกับทฤษฎีนั้นก็จะอธิบายกันเองอยู่แล้ว
การท่องตารางธาตุเป็นสิ่งสำคัญมาก ถ้าน้องท่องได้จะได้เปรียบคนอีกมากมาย เพราะน้องท่องได้ ก็เรียง น้ำหนักมวล
ค่าประจุต่าง ๆ ได้ ซึ่งมีคนอีกหลายคนไม่ท่องกัน เพราะคิดว่าไม่สำคัญ แต่เมื่ออยู่มัธยมปลายอาจารย์จะปากเปียกปากแฉะ
เกี่ยวกับเรื่องการท่องตารางธาตุมาก ๆ เพราะจะเป็นพื้นฐานเคมีทุกเรื่องเลย(โจทย์บางโจทย์ ให้เรียงน้ำหนักธาตุเท่านั้นเอง)
วิชา ท่องจำ+เข้าใจ
วิชาท่องจำ และความเข้าใจเป็นพวกวิชาภาษาไทย ภาษาอังกฤษ สังคม ซึ่งต้องใช้เวลาในการอ่านมากกว่า
วิชาคำนวณ
วิทย์พื้นฐาน(บางเรื่อง)
หลักการอ่านก็ไม่ยาก แต่หลักการจำต้องอาศัยความพยายามซะหน่อยในการท่องจำ จะบอกให้ทราบในหัวข้อต่อ ๆ
ไป (เช่น เรื่องหิน แร่ เป็นต้น)
วิชาภาษาอังกฤษ
พี่เห็นว่า Grammar ช่วยได้มากที่สุด รองมาพวก การอ่านแปล เข้าใจ สื่อบทความ ส่วนเรื่องศัพท์ เป็นเรื่อง
รองๆ เพราะมีหลายครั้งที่ออกข้อสอบมา ศัพท์อะไรไม่รู้เลย (เพราะไม่เคยเห็น ยากมาก) จึงต้องอาศัย Grammar+คำใบ้
ในโจทย์นิดหน่อยในการทำข้อสอบ (ถ้าจำไม่ผิดเรียกว่า Context Clue อะไรประมาณเนี๊ย)
ลองให้อาจารย์ช่วยแนะดู พี่ก็อธิบายในหน้ากระดาษนี้ไม่ได้หรอก
Grammar พี่ว่าน้อง ๆ ควรเน้น Simple Tenseกับ Continous Tense ต่าง ให้เข้าใจ(ซึ่งแต่ละ
อย่างมี 3 แบบคือ อดีต(past tense) ปัจจุบัน(present tense) อนาคต(future tense) โดยการจำรูปแบบ
ประโยค การใช้ ข้อยกเว้นต่างๆ
ประโยค 12 แบบ
Simple Continuous Perfect Perfect Continuous
Past Pa.S. Pa.C. Pa.P. Pa.P.C.
Present Pr.S. Pr.C. Pr.P. Pr.P.C.
Future F.S. F.C. F.P. F.P.C.
เวลาทำข้อสอบเตรียมทหารนั้น ต้องสังเกตเป็นอย่างมากเพราะในโจทย์จะมีอะไรเล็ก ๆ น้อยที่คาดไม่ถึง เช่น โจทย์
รูปภาพต่าง ๆ โจทย์สัญลักษณ์ จะมีคำใบ้เสมอ ๆ
วิชาภาษาไทย
พี่อาจจะแนะนำได้ไม่มากนัก เพราะทุกเรื่องก็สำคัญหมด เช่น เรื่องคำ-เขียนผิดเขียนถูก หรือเรื่องประโยค-
ประโยคต่อไปนี้เป็นประโยคชนิดใด เรื่องบทความวรรณคดี-กลอนบทนี้มาจากเรื่องอะไร แง่คิดอะไร และจะมีคำถาม
เกี่ยวกับบทความ หนังสือแปลกประหลาดมาเสมอ ที่เราไม่เคยอ่านไว้เป็นจุดตัดสินคะแนน(แต่ไม่ต้องใส่ใจคำถามพิลึก
นั้นมาก เพราะ เกือบจะร้อยละ 80-90 ไม่รู้เหมือนกัน)
เวลาอ่านภาษาไทยแนะนำพวกหลักภาษามาก่อนเลย พวกวรรณคดี ยังไงน้องก็ต้องเคยผ่านตามามั่งแล้ว เนื้อหา
พวกนี้มันเป็นเรื่องเป็นตำนานมีอารมณ์ความรู้สึก จะจำได้ง่ายกว่า พวกหลักภาษาเพราะมันไม่ได้สื่อออกมาเป็นเรื่องราว
ความรู้สึก
วิชาสังคม
อ่านง่ายหายไว เป็นคติของพี่ เพราะอ่าบปั๊บ หายปุ๊บ ถ้าอ่านไม่เป็น เพราะการอ่านวิชาสังคมต้องอ่านแบบ
เชื่อมโยง ไม่ใช่การอ่านแบบผ่านหัวข้อ
หนังสือ สังคม ประวัติศาสตร์ทุกวันนี้ มักจะเรียงลำดับหัวข้อมา ทำให้อ่านง่าย แต่จำยาก ต่อให้น้อง สรุปย่อ
ความ ถ้าสรุปไม่เป็น สรุปทื่อ ๆก็ไม่ช่วยให้น้องจำได้มากเลย การสรุปแบบแผนภูมิ แมปปิ้ง จึงช่วยได้มากที่สุด(ที่พี่เคยทำ
นะ) เพราะเราสามารถเชื่อมโยงหัวข้อต่าง ๆ ได้ง่ายขึ้น อ่านเข้าใจง่าย ส่วนรายละเอียดที่น้องจดบันทึกไม่ได้ในกระดาษ
น้องก็ไปอ่านแยกเอา ถึงเวลา ก็ทำเครื่องหมายสัญลักษณ์หัวข้อนั้น ๆ ว่า ยังมีเนื้อหาสำคัญอีกนะ ไม่ต้องพลาดส่วนสำคัญ
ไป
อย่าลืมอ่านความรู้ทั่วไปด้วยล่ะ!
วิธีการทำให้จำ
1. ถ้าเข้าห้องน้ำ เอาสิ่งที่ต้องการจำแปะไว้ เวลาถ่ายหนัก ท่องไปด้วย(เห็นผลแน่นอนแต่ไม่รู้ว่าผลอะไรนะ)
2. การจำเป็นแบบสร้างภาพก็ใช้ได้ เช่น การท่องจำชื่อประเทศ ชื่อธาตุต่าง ๆ เราก็นำมาแต่งให้อ่านง่ายขึ้น หรือ
สอดคล้องกันก็ได้ เช่น
Li Be B
Na Mg Al
K Ca
ก็ท่องว่า “ลิ(Li)น๊าก(Na,K)เบค(Be,Mg)แคม(Ca)บอล(B,Al)” เป็นต้น
3. การจำแบบเชื่อมโยง การจำแบบนี้จะต้องมีความรู้พื้นฐานบ้าง แล้วนำส่วนที่เหมือน ๆ กันมา จับคู่เชื่อมโยงทำ
ให้ไม่ลืม(เหมือนการเล่นหมากรุกไทยถ้าใครเคยเล่น ที่ว่ามี ตัวผูกยิ่งมากเราจะได้เปรียบ ตัวผูกคือ ความรู้พื้นฐานที่มี และ
ตัวถูกผูก คือ ความรู้ใหม่ที่ใส่ไปนั่นเอง)
4. กินปลา (ช่วยได้นะ) กินผักบุ้งบำรุงสายตา สมองด้วย
“ อะไรบ้างที่ควรมี ใน สมุดโน้ต ของน้อง ๆ ”
“ ช่วงเวลาที่อ่านหนังสือสอบอยู่แบบเข้มๆ ”
ที่ควรมีในสมุดโน๊ตช่วงกำลังทำความเข้าใจมีดังนี้
วิชาฟิสิกส์(วิทย์)
􀂃 ที่ควรมีก็คือสูตร ข้อความอธิบายสูตร โจทย์ตัวอย่าง โจทย์พิเศษ
วิชาเคมี(วิทย์)
ก็มีทฤษฎีแบบสรุป(เอาเนื้อนะ) และสูตร(ซึ่งอาจจะมีอธิบายเพิ่มเติม ถ้าสูตรมันวุ่นวายไป) ที่สำคัญ ตารางธาตุ
อย่าลืมเสียล่ะ(ไม่ต้องเอาหมดก็ได้ เอา แบบพอจะใช้เท่านั้นก็พอแล้ว)
วิชาคณิตศาสตร์
สำหรับพี่คิดว่ามีสูตร ข้อยกเว้น ทฤษฏี คุณสมบัติต่างๆ รวมถึงโจทย์พิสดารเสริมความเข้าใจ
วิชาภาษาอังกฤษ
ควรมีสรุป Grammarเรื่อง Present และPast Tense 3แบบ คือ Sim ConและPerfect (รวม
6 เรื่อง Present มี 3 แบบและPast อีก 3 แบบ)ประกอบกับFutureอีก 2 แบบ คือ Sim กับ Con ก็น่าจะ
ครอบคลุมแล้วล่ะ รวมทั้งคำศัพท์ เทคนิค คำใบ้ต่างๆ จากที่ได้ทำโจทย์
วิชาภาษาไทย
หลักภาษาต่าง ๆ แบบละเอียดนิดนึง(เอามีน้ำปนบ้าง) คำแปลกๆ ประโยคแปลก ๆรวมถึงข้อความ
บทกลอนที่สำคัญ และสิ่งที่ได้จากการอ่านวรรณคดี(ตามที่เคยเรียนตอน ม.ต้น อาจมี ของ ม.4บ้างติ๊ดนึง)
วิชาสังคม
สรุปแผนผังมโนภาพแบบ หรือการสรุปเป็นแผนภูมิต้นไม้ก็ได้ ปีที่สำคัญเกี่ยวกับกองทัพหรือสงครามสำคัญๆ
ก่อนสอบ.........ไม่กี่วัน...
สมุดโน้ต ควรเหลืออะไรบ้างล่ะ?
ทุกอย่างในสมุดโน้ตน้องที่เหลือตอนนี้คือเรื่องที่จำไม่ได้จริงๆ และหัวข้อใหญ่ เนื้อไม่มี เพราะ อะไรนั่นหรือ?
เพราะว่าตอนนี้ น้องเห็นหัวข้อปุ๊บ ต้องเห็นภาพสูตร เนื้อหาคร่าวๆได้เลย แม้จะยังใช้ไม่ช่ำชองหรือเข้าใจลึกซึ้งเท่าไหร่
นัก แต่ถ้าจำไม่ได้ ก็เปิดไปหน้าเก่า ๆ แล้วดูอีกครั้ง พร้อมกับดันพื้นไปซัก 30-40 ด้วย เพื่อกระตุ้นตนเองเสมอล่ะ(พลิกดู
20 เที่ยว ก็ดันพื้นไป 600-800 แล้วล่ะ)
แล้วร่างกายปล่อยไว้ก่อนใช่มั๊ย? นึกในใจ “เอาให้มันติดก่อนแล้วค่อยซ้อมก็ยังทันน่า” รับรองครับว่าน้องเสร็จ
แหงแก๋.. เพราะเวลาไม่กี่วันที่น้องจะสอบนี้ทำให้แรงน้องตกฮวบฮาบได้เลยถ้าไม่ออกกำลังกายสม่ำเสมอ แต่ที่แนะนำคือ
การออกกำลังกายเบา วิ่งเหยาะๆ และ เวทเทรนนิ่ง ซักเล็กน้อย ถ้าอย่างอื่นไม่ได้จริง ก็เอาวิ่งกับว่ายน้ำก่อนเลยให้มันชัวร์
เพราะมีมาแล้ว ติดอันดับที่ 1 ใน 20 แต่ตกว่ายน้ำ
“ พรุ่งนี้ตัดสินทางเลี้ยวของชีวิต ( ว่าจะหักโค้งเข้าไปได้ไหม หรือจะไปชนตอข้างทาง ) ”
วันสอบ...
อันดับแรกอย่าตื่นเต้นนะน้อง ทำใจ ดี ๆไว้ นอนแต่สาม สี่ทุ่มเลย ไม่หลับก็นอนเล่นไปเรื่อย อย่าคิดเรื่องสูตร
โจทย์จนอะไรเลอะเทอะวุ่นวาย นอนไปเรื่อยจนหลับไม่ต้องสนใจว่ากี่โมง (หลับแบบนี้ดีกว่าหลับแบบเพลีย ๆจากการ
อ่านหนังสือมาเยอะ เพราะตื่นมา สมองจะอยู่ในสภาพพร้อมใช้ เต็มร้อยเลย) ตื่อเช้าซักนิด จากเดิม อ่านสมุดโน๊ต ฉบับเก่า
เนื้อหาพิเศษเล็ก ๆ น้อย ๆ จนเช้ารับประทานอาหารพอดี อย่าอิ่มเปรี๊ยะ หรือหิวโหยอดอยาก เพราะถ้าอิ่มมากจะเกิด
ผลเสียคือ ง่วงครับ หลับแน่ถ้าแอร์เย็นๆ (ยกเว้นม.ราม 2 ไม่หลับแน่ ร้อนตับแตก หูแดง) และอย่าอด ๆ อยากๆ เพราะจะ
คิดอะไรไม่ออก ท้องมัวแต่ร้อง การทาน ควรทานอาหารที่ย่อยง่ายหน่อยไม่ควรทานพวกเนื้อสัตว์เยอะ(ย่อยยาก)
จำไว้ “เราจะต้องทำอย่างไรก็ได้ให้เวลาสอบใช้เวลากับการคิดคำนวณมากที่สุดตัดปัญหาเล็กน้อยหยุมหยิม
ไม่ให้เหลือ” (ไม่ใช่มานั่งนึกเนื้อหาที่เลือนลาง เหลาดินสอ ฝนยางลบ)
หลายคนจะตื่นสถานที่สอบและพวกนักเรียนที่มาสอบ คนจะเยอะมากจริง ๆ และจะมีพี่นักเรียนนายร้อยมาคุม
ทำให้ความรู้เปิดเปิงไปหมด พยายามหาที่เงียบ อ่านหนังสือ สมุดโน๊ตของเรากับเพื่อนๆไปจะดีที่สุด
อ่านสมุดโน๊ต แบ่งหัวข้อในแต่ละวิชาเป็นสองส่วน คือได้ (100%) กับ ทำไม่ได้ (หรือไม่แม่นเท่าไหร่) แล้วเขียน
ใส่กระดาษ แล้วจำเอาไว้ว่าหัวข้อไหนแม่นสุด พอตอนเจอข้อสอบก็ทำการคิดแล้วกาได้เลยไม่ต้องมานั่งนึกว่าเรื่องนี้เรา
ทำได้หรือเปล่า หรือ เรื่องนี้เนื้อหาแม่นหรือเปล่า เสียเวลาอันมีค่าไป
ตอนเช้าก่อนสอบ หาข้าวกลางวันให้เรียบร้อยซะ(ถ้าไม่อยากกินข้าวของค่ายติว) เพราะออกมาปั๊บ คนจะ
เยอะมากๆ ทำให้เสียเวลาในการอ่านหนังสือไปกับการหาอาหารกลางวัน
ตอนสอบจำไว้ น้องๆจะเปิดข้อสอบแล้วต้องปฏิบัติดังนี้(ที่พี่คิดว่าดีที่สุด)
1. กวาดอ่านข้อสอบคณิต ตามด้วยวิทย์ แบ่งเรื่องเป็นสองส่วน คือได้แบบแน่ๆ กับไม่มั่นใจ(หรือไม่ได้) จัดการ
ประมวลผลข้อง่ายๆก่อน ข้อสอบที่เหลือทิ้งไว้ทำวิชาอื่น(ข้อที่ได้ชัวร์เหมือนกัน) และจะเห็นว่า เอ... ทำไมข้อที่ฝนดำไป
ทำไมมันหลอมแหลมจัง ไม่ต้องสน เสียเวลา 1-2 นาทีทำการคำนวณคะแนน คร่าว ๆ ประมาณเท่าไหร่ จดไว้
2. หลังจากนั้นนั่งพิจารณาว่าข้อที่ไม่มั่นใจออกมาจากข้อที่ไม่ได้ ทำการลุย(โดยใช้ ความรู้ที่มี + ไหวพริบ
ในการเดา ) ทำเท่าที่ได้จนเสร็จ คำนวณข้อที่ได้คร่าว ๆ เท่านั้นนะได้คะแนนขั้นต่ำที่เราควรจะได้
3. ที่เหลือข้อที่ไม่ได้ก็ทำวิชาคำนวณดีกว่า เพราะ
3.1 มีคะแนนมากกว่า
3.2 ใส่สูตรแทนมั่วๆอาจออก ( เพราะคำตอบมีที่มาที่ไปจากตัวเลขที่โจทย์ให้มา )
4. ถ้าเกิดเหตุเวลาไม่ทันขณะที่ยังทำชุด “ไม่แน่ใจ”อยู่ ให้ทำการปฏิบัติตามข้อ 3. และเหลือเวลาซักเล็กน้อย
เพื่อทำการกามั่วซะ(แต่ก็ควรดูบางข้อจะมีใบ้อยู่)
5. ก่อนส่งข้อสอบทำการเช็ครหัสเลข ชื่อ สกุลต่างๆ ให้ละเอียดเสมอและเก็บ
6. อย่าลืมขอพรจากพี่เขาด้วยก่อนเดินออก (โชคดีนะน้อง!)
** หมายเหตุ **
1. ไม่ต้องลงทุนซื้อนาฬิกาใหม่เพื่อการสอบเตรียมทหารหรอกนะ เขามีเวลาบอกทางโทรทัศน์วงจรปิดให้
(ยกเว้น ม.เกษมฯไม่แน่ใจว่าจัดหานาฬิกาเป็นห้อง ๆ หรือเปล่า)
2. เตรียมดินสอ2B ขึ้นไป ที่เหลาแหลม 2 แท่ง ไม่แหลมมาก4-6 แท่ง ยางลบสองแท่งและกบเหลาเพื่ออะไรล่ะ ?
2.1 จะไม่ต้องมาเหลากบให้เสียเวลา แท่งแหลมเขียนชื่อรหัส แท่งไม่แหลมมาก ใช้ฝนคำตอบ
( ดินสอหนึ่งแท่งสามารถใช้ได้สองด้านนะ ขอบอก )
2.2 ยางลบ สอง แท่งเพื่อที่เมื่อเวลามันตก ไม่ต้องเก็บ เสียสมาธิ เสียเวลาอันมีค่าไป
2.3 กบเหลา เอาไปเผื่อเหลาเวลาหักหมด(ซึ่งคงไม่ล่ะ)
3. ผ้าเช็ดหน้าควรมีเวลาสอบราม แต่ต้องให้พี่ที่คุมแถวเรา โต๊ะเรา ว่าอนุญาตให้ใช้หรือเปล่า(ไม่งั้นหาว่าโกงอีก)
ร้อนมากก็หยิบผ้าขึ้นมาเช็ดเพราะถ้าเวลาสอบเหงื่อหยดเป็นทาง ข้อสอบจะเลอะเละแน่เลยล่ะ สอบไม่ผ่านอีก
( ** ที่กล่าวมานี้ มิใช่เรื่องอวดโม้โอเวอร์แต่สิ่งใด มีการปฏิบัติกันมาอย่างช้านานแล้ว ** )




 

Create Date : 14 กุมภาพันธ์ 2552    
Last Update : 14 กุมภาพันธ์ 2552 5:43:56 น.
Counter : 6088 Pageviews.  

ความรู้จิปาถะ..เผื่อจะได้ประโยชน์ครับ

ความรู้จิปาถะ..เผื่อจะได้ประโยชน์ค่ะ

ไข่ขาวสามารถใช้รักษาแผลน้ำร้อนลวก
ใช้ไข่ขาว มาทาที่น้ำร้อนลวกให้ทั่ว ทิ้งไว้จนแห้งไปเอง แล้วรอสักครู่ใหญ่ ๆ จึงล้างออก จะไม่มีรอยแดง หรือพองเลย
ข้อสำคัญ
ก่อนทาไข่ขาวอย่าให้ถูกน้ำเย็นหรือของอื่นเลย
และอย่าไปแกะ หรือเกาตอนที่ใกล้จะแห้ง เพราะจะทำให้หนังถลอก

ยาหม่องสามารถใช้ขจัดหมากฝรั่งเปื้อนผ้าได้
ใช้ยาหม่องถูตรงยางเหนียว ๆ ของหมากฝรั่งไปมา
ไม่นานยางของหมากฝรั่งก็จะหลุดออกหมด
แล้วจึงนำผ้าไปซักตามปกติ

ใส่หลอดในขวดซอสมะเขือเทศจะทำให้เทออกง่าย
ใส่หลอดลงไปให้ลึกถึงก้นขวด เพื่อให้อากาศสามารถแทรกผ่าน เข้าไปในขวดได้ แล้วเทซอสมะเขือเทศ ก็จะไหลออกมาง่ายขึ้น

ถุงน่องแช่น้ำเกลือช่วยให้ไม่ขาดง่าย
นำเกลือ 2 ถ้วยผสมกับน้ำ 1 แกลอน แช่ถุงน่องใหม่ไว้นาน 3 ชั่วโมง แล้วล้างด้วยน้ำเย็น ยกถุงน่องขึ้น มาตากให้น้ำหยดจนแห้ง ก็จะทำให้ถุงน่องคงสภาพ และเหนียวทนนาน

ผ้าไหมแช่ช่องฟรีซจะทำให้รีดง่าย
การรีดผ้าไหม ควรใช้ไฟอ่อน ๆ เพราะถ้าใช้ไฟแรงจะไหม้เกรียม หรือเป็นสีเหลืองได้ง่าย แต่ถ้าผ้าไหมยับมาก ก่อนรีดควรฉีดพรมน้ำยาให้ทั่ว แล้วพับใส่ถุงพลาสติก นำไปแช่ในช่องฟรีซตู้เย็น 10 -15 นาที แล้วจึงนำออกมารีด จะทำให้รีดผ้าไหมได้ง่าย และเรียบยิ่งขึ้น

ใส่เหรียญสลึงในแจกันช่วยให้ดอกไม้ไม่เหี่ยวเฉาได้

หย่อนเหรียญสลึงลงไปในแจกัน ส่วนผสมที่เป็นทองแดงในเหรียญ จะช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรีย ซึ่งเป็นสาเหตุให้ดอกไม้เหี่ยวเฉา

ใบฝรั่งช่วยดูดกลิ่นได้
นำใบฝรั่งมาตำให้ละเอียดคั้นเอาแต่น้ำ แยกกากออก น้ำมันหอมระเหยที่ได้ จะทำหน้าที่ดับกลิ่น ส่วนกากใบที่ได้ให้นำไปวางไว้ตามจุดต่าง ๆ เพื่อช่วยดูดกลิ่นได้

เมื่อเป็นไข้ไม่ควรกินฝรั่ง
ในฝรั่งมีแร่โพแทสเซียมสูง เมื่อเวลาเป็นไข้ร่างกายมีอุณหภูมิสูงขึ้น การกินอาหารที่มีโพแทสเซียมสูงจะส่งผลให้เกิดอาการชักได้

แก้เมาค้างด้วยการดื่มน้ำกล้วยปั่นกับนมและน้ำผึ้ง
กล้วยจะทำให้กระเพาะสงบลง ส่วนน้ำผึ้งจะช่วยหนุนเสริมปริมาณน้ำตาลในเส้นเลือดที่หมดไป ในขณะที่นมก็ช่วยปรับระดับของเหลวในร่างกาย ทำให้อาการเมาหายไปได้

มันฝรั่งช่วยลดความดันโลหิตให้ต่ำลงได้
ในมันฝรั่งมีสารเคมีที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติที่ชื่อว่า คูคัวไมน์ส มีสรรพคุณในการควบคุมความดันโลหิตให้ต่ำลง

การกินเนยก่อนนอนทำให้นอนหลับสนิทขึ้น
ในเนยมี กรดอมิโน ที่มีชื่อว่า ทริปโตพัน ซึ่งมีสรรพคุณช่วยให้เกิดความรู้สึกผ่อนคลาย และสะกดให้หลับได้สนิทดีขึ้น (การดื่มนมร้อนก็ช่วยให้หลับสบาย)


การเคี้ยวหมากฝรั่งช่วยให้คนไข้ผ่าตัดลำไส้ใหญ่หายเร็วขึ้น
การเคี้ยวหมากฝรั่งหลังการผ่าตัด เป็นการบริหารให้ลำไส้กลับมาทำงานตามปกติได้เร็วขึ้น จะไม่เกิดอาการลำไส้อืด ซึ่งทำให้ปวดท้อง และท้องอืด หลังจากที่ต้องหยุดทำงานไปพักหนึ่ง
การกินช็อคโกแลตช่วยแก้ไอได้
โกโก้ที่ใช้ทำช็อคโกแลตมีสารที่ชื่อว่า ธีโอโบรไมน์ จะไปออกฤทธิ์ที่เส้นประสาทชื่อ เวกัสเนอร์ฟ ที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับการไอ ทำให้สามารถหยุดอาการไอเรื้อรังอย่างได้ผล

การกินบ๊วยช่วยเพิ่มกำลังได้
อาการเหนื่อย อ่อนเพลีย เกิดจากกรดในเลือดสูง ร่างกายไม่สามารถปรับดุลความเป็นด่างได้ทัน แต่บ๊วยมีความเป็นด่าง PH 7.35 ใกล้เคียงกับเลือดคนเรา จึงช่วยถ่วงดุลความเป็นด่างได้ และยังมีโปรตีน เกลือแร่ และสารอาหารจำเป็นอยู่มากอีกด้วย

การแลบลิ้นให้น้ำลายยืดลงพื้น จะแก้เผ็ดได้
อาการเผ็ดเกิดจากสารที่ชื่อ แคปไซซิน ที่อยู่ในพริกเข้าไปจับกับปลายประสาทรับรสที่ลิ้น ร่างกายจะก็จะแสดงปฎิกริยาโดบขับน้ำลายออกมาชะล้างเอาเจ้าสารนี้ออกไป

ดูดนมยางของเด็กทารกตอนนอนจะแก้อาการนอนกรน
การคาบหรืออมนมยางของเด็กทารกไว้ในปากจะทำให้ลิ้นในปากอยู่นิ่ง ก็จะพลอยให้เนื้อเยื่อของเพดานไม่กระเทือนสั่นไหวขึ้นจึงไม่เกิดอาการกรน และไม่นอนอ้าปากอีกด้วย

การทะเลาะกันทำให้แผลหายช้า
ความเครียดที่เกิดขึ้น จะส่งผลให้ร่างกายลดการผลิตโปรตีนเม็ดเลือด ที่มีประโยชน์ต่อการรักษาบาดแผล หรือส่วนที่สึกหรอในร่างกายให้น้อยลง ทำให้บาดแผลหายช้า

แสงแดดอ่อนๆ ช่วยป้องกันโรคซึมเศร้าได้
แสงแดดอ่อน ๆ จะช่วยลดการสร้างฮอร์โมนเมลาโตนิน ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ควบคุมการนอนหลับ ถ้าหากเก็บตัวอยู่แต่ในที่มืดจะทำให้ฮอร์โมนตัวนี้สูงขึ้น และอาจส่งผลให้เกิดการง่วง เหงา ซึมเซา ได้

การฟังเพลงช่วยบรรเทาอาการปวดข้อได้
การฟังเพลงทำให้สมองหลั่งสารเอนดอร์ฟินส์ ซึ่งเป็นฮอร์โมนสร้างความสุขออกมา ช่วยลดความดันโลหิต และบรรเทาอาการปวดข้อลงได้
กินหวานมากทำให้ผิวเหี่ยว
เมื่อร่างกายมีน้ำตาลอยู่ในกระแสเลือดมากเกินไป มันจะไปเกาะติดกับเส้นใยโปรตีนที่อยู่ระหว่างเซลผิว ทำให้เกิดภาวะผิวเครียดขึ้น และนำไปสู่อาการแก่ก่อนวัย ผิวหยาบกร้าน และเหี่ยวย่นในที่สุด

การยืนเอาปลายนิ้วมือแตะปลายนิ้วเท้าจะทำให้ผิวหน้าดูสดใส
การยืนเอาปลายนิ้วมือแตะปลายนิ้วเท้า ก้มตัวต่ำๆค้างไว้นับ 1-30 แล้วค่อยๆ ยืนขึ้นจะทำให้โลหิตบริเวณหนังศีรษะ และใบหน้าหมุนเวียนได้ดียิ่งขึ้น ส่งผลกระทบให้ผิวหน้าดูสดใสขึ้น

คนผิวแห้งมีโอกาสเกิดริ้วรอยกว่าคนผิวมัน
คนผิวแห้งขาด ซีบัม หรือสารไขมัน ทำให้กลไกลการปกป้องตนเองของผิวหนังทำงานได้ไม่ดีเท่าที่ควร เพราะฉะนั้นคนผิวแห้งควรดูแล และทาครีมบำรุงเพื่อความชุ่มชื่นแก่ผิวพิเศษกว่าคนผิวมัน

กาวตราช้างใช้รักษาส้นเท้าแตกได้
เมื่อปิดหนังที่แตกด้วยกาวตราช้าง สิ่งสกปรกจะเข้าไปในรอยแตกไม่ได้ ผิวจะไม่ ถูกรบกวน จึงมีการซ่อมแซมตนเองขึ้นมา มีการสร้างเซลล์ใหม่ และผลัดเซลล์เก่าออก กาวช้างก็จะหลุดออกไป แต่ห้ามใช้กับคนที่แพ้กาวตราช้าง

การเต้นรำทำให้ผิวสวยได้
การเต้นรำเพียงวันละ 20 นาที ช่วยเผาผลาญแคลอรี กระตุ้นระบบการหายใจ และระบบหมุนเวียนโลหิต ทำให้เลือดลมเดินทั่วผิว ทำให้ผิวสวยมีสุขภาพดี

แอปเปิ้ลผลิตกระแสไฟฟ้าได้
เสียบแผ่นสังกะสี และแผ่นทองแดง กรดในแอปเปิ้ลจะทำให้เกิดการแตกตัวของไอออน ทำให้ลูกแอปเปิ้ลเป็นเหมือนแบตเตอรี่ ซึ่งผลไม้ชนิดอื่นเช่น มะนาว มันฝรั่ง ก็ทำได้เช่นกัน




 

Create Date : 09 กุมภาพันธ์ 2552    
Last Update : 9 กุมภาพันธ์ 2552 10:58:56 น.
Counter : 665 Pageviews.  

กะเทย



















 

Create Date : 17 กรกฎาคม 2551    
Last Update : 17 กรกฎาคม 2551 7:20:41 น.
Counter : 1135 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  

hangclub
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 29 คน [?]




Friends' blogs
[Add hangclub's blog to your web]
Links
 
MY VIP Friend


 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.