ปฏิบัติการ "ตะลุย Madrid" Episode II ตอน เรามาเพื่อกิน..
เมื่อปลายเดือน มิ.ย.ผมได้เขียนบล็อกถึงการไปปฎิบัติภารกิจกับเพื่อนๆรวม 7 คนที่ Madrid ไปแล้ว ...และได้ทิ้งท้ายว่า ภาค 2 จะกลับมาเจอกันเร็วๆนี้..นี่ก็ปาเข้าไปเกือบ 2 เดือน..วันนี้ผมจะพาเพื่อนๆ ออกจากโพรวองซ์ ไปตลุยแดนกระทิงดุ รอบสองกันครับ (สำหรับเพื่อนที่พลาดตอนแรกไป ก็ไปดูกันได้ที่... ปฏิบัติการที่ Madrid..(และ) บุกบ้านราชันชุดขาว )

อย่างที่บอกไปแล้วว่า "ไรอัน" เพื่อนที่แสนดี ขายตั๋วให้ผมในราคา “2 ซองตีมยูโร” (เท่ากับหนึ่งบาทไทย) สำหรับไปกลับ Marseille-Madrid ไม่ต้องคิดกันนาน ผมเลยใจดีซื้อตั๋วแจกให้เพื่อนชุดเดิม กลับไปปฏิบัติภารกิจซ้ำ

ผมและเพื่อน รวมกันเป็น 5 คน ต่อนี้ไปจะใช้ "เรา" ออกเดินทางจากสนามบิน Marseille เวลา 21.00 น. แน่นอนครับเราไปกับไรอัน ถึงสนามบินมาดริดประมาณ ห้าทุ่มกว่าๆ สำหรับการมาของเราเที่ยวนี้




เราตั้งใจจะใช้บริการขนส่งสาธารณะของที่นี่ เพราะว่าเราจะอยู่กันแต่ในตัวมาดริดเท่านั้น เราจึงขึ้นรถไฟใต้ดิน (ให้บริการ 06.30-01.30 น.ของวันใหม่) เพื่อมุ่งหน้าเข้าสู่ใจการเมืองมาดริด






เป้าหมายแรกในการมาของพวกเราครั้งนี้คือ การมารับประทาน "churros" ที่ร้าน Chocolateria San Ginés โดยมีระยะเวลาในการปฎิบัติการ 16 ชั่วโมงครึ่ง เนื่องจากเราต้องกลับ Marseille กันตอน 16.30 ของวันรุ่งขึ้นนั่นเอง...และการปฎิบัติการครั้งนี้ไม่มีพัก...จริงๆแล้วหมายถึงไม่มีที่พัก..เนื่องจากเราไม่ได้จองโรงแรมมา..ด้วยตั้งใจว่าคืนนี้เราจะตลุยราตรีกันที่มาดริด..แบบ Non Stop..




ใช้เวลาเดินทางประมาณครึ่งชั่วโมงเราก็มาถึงใจกลางเมืองมาดริด...เพื่อเป็นการให้เกียรติเจ้าบ้าน เราจึงไปทักทายหมีเจ้าถิ่น ที่..ซะก่อน






จากนั้นเราก็ไม่รีรอมุ่งหน้าไปยัง ร้าน Chocolateria San Ginés ทันที เดินมาจากหมีเพียงไม่ถึง 500 เมตร เราก็มาถึงร้าน..กำลังหิวพอดีเลย (ตอนนั้นก็ประมาณ 01.00 น.) ด้วยความอยากมากๆของพวกเรา จึงตั้งใจกันว่ากินตอนนี้ก่อนรอบหนึ่ง แล้วพรุ่งนี้เราจะกลับมากินกันอีกรอบหนึ่งเพื่อให้หายอยากไปเลย..




มาแล้วครับ..พวกเรากินกันอย่างเอร็ดอร่อย..แต่ว่าเมื่อผ่านไปไม่ถึงครึ่งทาง..ไอ้ที่ว่าจะกลับมากินกันรอบสองก็เริ่มจะเปลี่ยนใจ...ไปกินอย่างอื่นกันบ้างเนอะ..







แต่ยังไงซะผมว่าอร่อยจริงๆครับ แถมราคาก็ไม่แพงอีกด้วย..นี่คือค่าเสียหายครับ




...แล้วภารกิจแรกที่เราวางเอาไว้ก็เสร็จสิ้นลงโดยใช้เวลาไม่นานนัก..พวกเราพยายามนั่งคุยกันไปเรื่อยๆ เพื่อฆ่าเวลาที่ยังเหลืออีกมากมายจึงถึง 16.30 น. โดยไม่(มีที่)พักของพวกเรา จนกระทั้งฆ่าเวลาไปได้ประมาณ ชั่วโมงครึ่งพวกเราก็ออกจากร้าน และเป้าหมายต่อไปของเราอยู่ใกล้ๆกันนั้นเอง เป็นดิสโก้เทคชื่อดังของเมือง Joy Eslava ที่ใช้โรงละครเก่าที่สร้างในปี 1872 มาทำเป็นดิสโก้เทค...เรากะว่าจะไปนั่งดื่มกันที่นั่นจนกระทั่งเช้า

..ส่งตัวแทนไปสอบถามได้ความมาว่า 12 ยูโรต่อคนเป็นค่าเข้าและค่าดื่ม
..1 ดื่ม 12 ยูโร พวกเรา 5 คน ก็รวมเป็นเงิน 60 ยูโร..ไปเดินเล่นกันต่อดีกว่า!!..ไม่ใช่อะไรนะครับ แต่เสียดาย ค่าเครื่องบินแค่ 2 ซองตีมยูโร เท่านั้นเองนะ..เก็บตังค์ไปหาอร่อยกินอร่อยๆดีกว่า..เรื่องดิสโก้เทคก็เป็นอันข้ามไป




เราก็เดินวนไปวนมาจนเกือบทั่วเมือง แต่ก็ไม่ได้เก็บภาพมาฝากมากนัก เนื่องจากว่าเริ่มเมื่อยล้า ไม่มีอารมณ์ถ่ายรูปแล้วล่ะ..พวกเรา เดิน เดิน จนกระทั่งประมาณตีห้า ก็เริ่มจะไม่ไหวกันแล้วล่ะ และก็อากาศตอนดึกๆนี่ก็หนาวอยู่เหมือนกันครับ






...พอดีมาผ่านสถานีรถไฟใต้ดินแห่งหนึ่ง ซึ่งเค้าเปิดให้พนักงานเข้าไปเตรียมตัวให้บริการตอน 06.30 น. พวกเราจึงตัดสินใจใช้ที่นี่เป็นที่พำนักชั่วคราว..พักสายตาซักชั่วโมงสองชั่วโมง




...เรื่องราวของเราหายไปในสถานีรถไฟใต้ดินประมาณ 2 ชั่วโมง เราก็ออกมาเดินกันต่อ ชมเมืองมาดริดยามเช้า ประชาชนชาวมาดริดค่อนข้างจะตื่นสายกันอยู่เหมือนกันครับ เพราะใกล้ 08.00 น. แล้วก็ยังไม่ค่อยมีใครตื่นกันเลย บ้านเมืองยังเงียบสงบ










ออกมาเดินเล่นได้ซักพัก ความง่วงก็ยังไม่หาย ความหนาวก็ยังมีอยู่ ก็เลยว่าจะหาที่นั่งกินอะไรกันซะหน่อย...ก็มาได้ที่นั่งกันที่ร้าน La Panera ...ก็ลองอาหารเช้าแบบสเปนซะหน่อย...ดูหน้าตาสิครับ น่ากินหรือป่าว ???

...ที่ผมสั่งเค้าเรียกว่า La tortilla a la española หรือว่าออมเล็ตแบบสเปนครับ ที่ร้านมีให้เลือก 2 แบบ คือ มันฝรั่ง และ ผักรวม (ถั่วลันเตา แครอท มะเขือเทศ พริกใหญ่) ... ไหนๆมาถึงแล้ว ลองทั้ง 2 แบบเลยครับ และที่ขาดไม่ได้ Churros และกาแฟครับผม




หลังจากนั้น..เราก็ไปกันที่ Plaza Mayor เพื่อเก็บภาพซ่อมซะหน่อยครับ เนื่องจากที่มาคราวก่อน มีการซ่อมแซมและจัดงานอะไรกันเต็มไปหมด เลยไม่ได้ภาพสวยๆ คราวนี้ก็ได้มาหลายภาพ เอามาให้ดูส่วนหนึ่งครับ














พอ 09.30 น. จุดบริการนักท่องเที่ยวที่อยู่ที่ Plaza Mayor ก็เปิดให้บริการ พวกเราก็เข้าไปถามเพื่อหาที่ไป ว่ามีอะไรที่ตกค้างที่คราวก่อนมาแล้วไม่ได้ไป...วันนี้ล่ะจะไปให้ได้...ด้วยเวลาที่มีอยู่จำกัด ก็ได้เป้าหมายมาหนึ่งที่ คือ พิพิธภัณฑ์ Museo Nacional Reina Sofía พวกเรากะว่าจะไปเดินดูอะไรกันที่นั่น และถ้าง่วงเหนื่อยกันก็คงมีที่ให้แอบเงียบได้บ้างล่ะ

...และถึงตอนนี้เราเสียเพื่อนร่วมทางไป 2 คน..ไม่ไหวครับ..คนหนึ่งไม่ค่อยสบายด้วยและอีกคนก็มาเป็นแพ็คคู่กับรายแรก ดังนั้นเลยต้องไปด้วยกัน..ไปไหนหรอครับ ก็ไปนอนรอที่สนามบิน เอาไว้ไปเจอกันก่อนขึ้นเครื่องเลย...กำลังพลเราเหลือเพียง 3 คนแล้วครับ...






เป้าหมาย Museo Nacional Reina Sofía ต้องไปด้วยรถไฟใต้ดิน เราจะไปลงกันที่ สถานี Sol ซึ่งก็อยู่ตรงแถวๆหมีนั่นล่ะ...ไม่ไกลจากร้านอาหารที่เรากินเมื่อนี้เท่าไหร่..ตอนนี้ก็เริ่มสว่างแล้วล่ะ ผู้คนเริ่มออกมาเดินกันพลุกพล่าน..แสงแดดที่เริ่มจ้าขึ้นเริ่มทำปฎิกิริยากับตาของคนที่ไม่ได้นอนเต็มที่อย่างพวกเรา




แต่แล้วเราก็มาเจอเข้ากับร้าน Sol Park ..เป็นอะไรนั่นหรือครับ.."คาสิโนขนาดเล็ก" ที่อยู่แถวนั้น..เห็นผู้คนเล่นกันอยู่พอสมควร ก็เลยแวะเข้าไปดูซะหน่อย พอดีเห็นเครื่องเล่นอยู่ตู้หนึ่งน่าสนใจก็เลยไปลอง...เวลาผ่านไปได้ซักพัก..เดินไปเจออีกตู้นึงก็น่าสนใจอีก..ก็เลยไปลองเล่นอีกนิดนึง

...เอาเป็นว่าพอดีมีเพื่อนเราเกิดติดใจขึ้นมา (ผมก็ติดใจเล็กน้อย) ประกอบกับสถานที่ก็ทำให้เราไม่ต้องไปโดนแดนจ้าๆข้างนอก มีที่นั่งสบายๆให้พักผ่อน พร้อมห้องน้ำให้ล้างหน้าล้างตากันด้วย ค่อยสดชื่นขึ้นหน่อย..เวลาก็ผ่านไปเรื่อยๆ สรุปแล้ว พิพิธภัณฑ์ที่ว่าก็เก็บไว้คราวหน้าก็แล้วกันเนอะ...






จนกระทั่งเริ่มหิวเราก็เลยเลิก...ออกมาด้วยกำไรเล็กน้อย...เลยจะไปหาอะไรอร่อยๆกินกัน...ซึ่งเราก็มีเป้าหมายในใจแล้วด้วย นั่นก็คือ Museo del Jamón อยู่ห่างจาก Sol Park เพียงประมาณ 50 ก้าวเท่านั้นเองครับ

...ร้านนี้ขายอาหารสเปน ซึ่งมีให้เลือกหลากหลายเหมือนกันนะครับ อย่างที่เห็นในเมนูนั่นล่ะ เป็นเพียงส่วนหนึ่งครับ




เข้ามาในร้านก็มีที่สำหรับรับประทานอาหารให้เลือก 2 แบบคือ แบบนั่ง และ แบบยืน เราเลือกแบบยืนครับเพราะได้บรรยากาศดี ที่สำคัญแบบยืนนี้อาหารแบบเดียวกันจะมีราคาถูกกว่าแบบนั่งครับผม...คนก็เลยยืนกันเต็มเลยครับ...(ไปดูที่โต๊ะไม่เห็นมีใครนั่งกันเลย)

เราก็ไปยืนประจำที่ มีลักษณะเป็นเคาน์เตอร์โดยรอบ สามารถตั้งจานอาหารได้และมีพนักงานให้บริการอยู่ด้านใน ด้านบนจะมีอาหารเมนูต่างๆพร้อมเบอร์ให้เราสามารถสั่งได้สะดวก ภาษามือก็พอสั่งกินได้ ไม่อดตาย...เนื่องจากว่าชาวสเปนไม่ค่อยพูดอังกฤษกันเลยนะครับ เฉพาะที่ผมเจอนะ..ตามร้านอาหาร..พูดกันคนล่ะภาษาแต่ก็เข้าใจกันนะ..เคยไปถามทางตำรวจก็พูดไม่ได้ แต่ตำรวจก็บอกทางถูกนะ..ไม่รู้ใครเก่ง..เราหรือตำรวจก็ไม่รู้




มีหลายเมนูที่น่ากินเหมือนกันนะ เลือกอยู่พักหนึ่งก็ตัดสินใจได้ พวกเราก็สั่งอาหารไปตามแต่ใครต้องการอะไร ก็ได้มาตามที่เห็นนี่ล่ะครับ ร้านนี้เค้ามีชื่อเสียงเรื่องเนื้อหมูตากแห้งแบบสเปน..มีหลายชนิดให้เลือกเยอะเลยครับ..น่ากินทั้งนั้น




...จานแรกเป็น le jamón serrano เป็นหมูแผ่นรมควัน รสชาติยอดเยี่ยมครับ เสริฟมากับ le queso manchego ซึ่งป็นเนยแข็งที่มีชื่อเสียงมาก ทำจากนมแกะ กลิ่นและรสชาติไม่แรง แต่อร่อยมากครับ

...และที่ขาดไม่ได้ เครื่องดิ่ม Sangria เป็นค๊อกเทลที่ผสมระหว่างไวน์แดงและน้ำมะนาว...กลมกล่อม หวาน อร่อยครับ




ให้ได้ชื่อว่ามาถึงที่ ผมขอ le jamón serrano อีกจานแล้วกัน...ตามด้วย ไข่ดาว และมันบดทอดครับ ...




พอกินกันเสร็จเราก็มาเลือกดู เพื่อจะซื้อกับไปกินที่บ้านบางส่วน และซื้อไปให้เพื่อนเราที่พลาดโอกาสลิ้มรสของดีอีก 2 คน ที่ไปรอที่สนามบินด้วย

...อาหารที่เรากินกันร้านนี้ ราคาไม่แพงเลยครับ ถ้ามีร้านแบบนี้อยู่แถวๆบ้านสงสัยกินทุกวันเลย...อร่อยและประหยัด..จะมีอะไรดีไปกว่านี้..








เสร็จจากที่ร้านเราก็เดินซื้อของที่ระลึกและเดินเล่นกันอีกเล็กน้อย..ข้างทางก็เจอกับสองท่านนี้ก็เลยเก็บมาฝากกัน..ก็ได้เวลาจะต้องไปสนามบินกันแล้ว..




ก็เลยแวะไปร่ำลาเจ้าหมีอีกครั้ง คราวนี้เลยได้ภาพแบบสว่างๆซักที..ลาก่อนนะเจ้าหมี..เห็น!!แกแล้วมีความสุขจริงๆ




...ร่ำลากันเรียบร้อย เราก็มาขึ้นรถไฟใต้ดินกันกันที่ สถานี Sol มุ่งหน้าสู่สนามบิน...ไปหาไรอันให้ทันเวลานัด 16.30 น.

เราเดินทางสู่สนามบินทันเวลาไม่มีปัญหา..เพื่อนสองคนที่ส่งมาดูลาดราวล่วงหน้านั่งรออยู่ที่นัดหมายกันไว้..แล้วเราก็พบกับไรอัน..ไรอันก็พาเรากลับ Marseille โดยปลอดภัย...




...พอพ้นกลีบเมฆมา...

...ทิ้งท้ายกันไว้นี้ด้วยทิวทัศน์ของ Marseille เมืองท่าอันสวยงามของฝรั่งเศส แบบ Bird's Eye View สวยดีมั้ยล่ะครับ...เอาไว้จะมานำเสนอในตอนต่อๆไปนะครับ








Create Date : 25 สิงหาคม 2550
Last Update : 11 ตุลาคม 2551 1:18:33 น.
Counter : 1861 Pageviews.

66 comment
ปฏิบัติการที่ Madrid..(และ) บุกบ้านราชันชุดขาว
วันหนึ่งที่ผมท่องอยู่บนโลกอินเตอร์เน็ทเหมือนเคย ผมก็ได้รู้จักเพื่อนใหม่ เพื่อนคนนี้ชื่อว่า ไรอัน เค้าเป็นผู้ดีนะ มีเชื้อสายอังกฤษ
ผมรู้สึกว่าจะถูกชะตากับเค้ามากทีเดียวตั่งแต่แรกเห็น นี่ถ้าเป็นสาวก็คงต้องเรียกว่า "At First Sight" อันนี้ที่บ้านไรอัน ...ส่วนที่บ้านผมเรียก "Coupe de Foudre"

ไรอันมีดีอย่างไรนั่นหรือครับ .."เค้าใจดี"...ยังไงหรือครับ...ไรอันขายตั๋วเครื่องบินให้ผมไปเที่ยวแดนกระทิงดุในราคาประหยัด เกินห้ามใจสิครับ ยิ่งไปกว่านั้นไรอันไม่ได้ใจดีกับผมคนเดียวนะ เค้ายังใจดีกับเพื่อนผมอีก 6 คน...ปฏิบัติกับพวกเราอย่างเท่าเทียมกัน โดยขายตั๋วเครื่องบิน ไป-กลับ Marseille-Madrid ในราคา คนละ 25 ยูโร

...จึงทำให้ผมและเพื่อนรวมแล้ว 7 คน ที่ล้วนไม่อาจห้ามใจเหมือนกัน...ต้องไป Madrid เมืองหลวงของประเทศสเปน แดนกระทิงดุ ระบำฟลามิงโก้ และราชันชุดขาว (เป้าหมายหลักของผม)

...ทริปนี้กำหนด 4 วัน 4 คืน ...2 วันสำหรับมาดริด ..อีก 2 วันเป็นเมืองข้างเคียง




ผมและชาวคณะออกเดินทางออกจากมาร์เซย์สามทุ่ม..บินไป..ถึง สนามบินเมืองมาดริด Barajas ประมาณเกือบห้าทุ่ม..

ลงจากเครื่องก็ไปติดต่อเพื่อรับรถยนต์ที่ได้จองไว้ล่วงหน้า...ทริปนี้เราตัดสินใจใช้รถยนต์เป็นพาหนะในการเดินทาง เพื่อความคล่องตัว...ใช่สิมากันตั้ง 7 คน

ขึ้นรถกันเรียบร้อย ก็มุ่งหน้าไปเข้าที่พัก...หลงทางกันอยู่พอสมควร...ในที่สุดก็ถึงที่พัก...จบคืนแรกสำหรับสเปน...แยกย้ายกันไปนอน

...07.30 ตื่นแต่เช้า ปฏิบัติภารกิจส่วนตัวเรียบร้อย ขับรถมุ่งหน้าเข้าเมือง...ดีหน่อย วันนี้การจราจรปลอดโปร่ง เพราะเป็นวันอาทิตย์....เราขับรถชมเมืองกันไปเรื่อยๆ บ้านเมืองสวยงาม

ผ่านมาถึง ที่บรรจบของถนนสายหลักสองสาย la Gran Vía และ la calle de Alcalá เราจะเห็น Edificio Metrópolis ตึกสวยตั่งเด่นเป็นสง่า ด้านหน้าตึกตกแต่สไตล์ปารีส สร้างมาตั้งแต่ปี ค.ศ.1905




เราขับรถต่อไปกันเรื่อยๆ มีตึกสวยๆให้เห็นไปตลอดสองข้างทาง บ้างก็เป็นสำนักงานและสถานที่ราชการต่างๆ เราเลยไม่ก้าวล่วง...ไปกันต่อ
















เข้ามาลึกในตัวเมือง หลงไปเรื่อย พบตึกพักอาศัยสวยๆอย่างที่เห็น










ข้อดีอีกข้อของวันอาทิตย์..บางพิพิธภัณฑ์ เปิดให้เข้าชม...ฟรี!

ดังนั้นเป้าหมายแรกของเรา คือมุ่งหน้าไปที่ Museo del Prado พิพิธภัณฑ์ที่รวบรวมภาพเขียนสเปนที่สำคัญในช่วงศตวรรษที่ 12-14 รวมทั้งศิลปินชื่อก้องโลก Goya และ Velásquez
เป็นที่น่าเสียดายอย่างยิ่ง ครับงานนี้...เอามาฝากได้แค่รูปนี้ด้านข้างพิพิธภัณฑ์





....หายกันเข้าไปในนั้นอยู่พักใหญ่ ด้านในสวยงามจริงๆครับ มีโอกาสมาก็อย่าพลาดที่นี่นะครับ....เสร็จภารกิจในช่วงเช้า

ช่วงบ่าย เวลาที่ผมรอคอยก็มาถึง ภารกิจหลักของผมประจำทริปนี้... ผมและคณะไปกันต่อที่ Estadio Santiago Bernabéu สนามเย้าของทีมสโมสรฟุตบอลราชันชุดขาว Real Madrid





ตอนแรกผมตั้งใจเป็นอย่างยิ่งว่าจะไปดูเค้าแข่งด้วย ซึ่งวันนั้นเค้าก็มีแข่งพอดี..แต่เค้าไปแข่งที่อื่น (รีลมาดริดไปแข่ง โดยเป็นทีมเยือนที่สนามของสโมสรอื่น) เลยอดดูไป...

แต่ไหนๆมาแล้วก็คงต้องไปเหยียบสนามซะหน่อย ไม่ให้เสียเที่ยว...ค่าเหยียบสนาม (เปล่าๆ) 10 ยูโร








ผมชอบหลายๆมุมของสนามนี้ แต่ที่ชอบเป็นพิเศษและเป็นเครื่องพิสูจน์มนต์ตราของทีมลูกหนังเจ้ายุโรป น่าจะเป็นที่มุมสนาม ..ตามภาพด้านล่างนี้ มีป้ายที่ีมีข้อความภาษาสเปนว่า "Prohibido tocar el césped." และภาษาอังกฤษว่า "It is forbidden to touch the pitch." อันมีความหมายว่า "ห้ามแตะนะสนามเนี่ยะ"
....แต่หญ้าก็สูญหายไปอย่างปริศนาจำนวนมาก???





เสร็จจากสนามฟุตบอล ก็ย้อนกลับเข้าเมืองอีกครั้งไปเดินเล่นกันที่ Plaza Mayor เขตเมืองเก่า เจอกับรูปปั้นของกษัตริย์ Felipe III de España และสะดุดตากับรูปวาดฝาผนังของตึก Casa de la Panadería ด้านหลังรูปปั้น ลองเพ่งดูเอานะครับ




ตรงบริเวณนี้เป็นจตุรัสกลางเมือง ซึ่งสร้างมาตั้งแต่ปี 1619 ในอดีตเคยเป็นลานพิพากษา ลานแสดงต่างๆ แม้กระทั่งเป็นสนามสู้วัวกระทิง ปัจจุบันเป็นศูนย์รวมผู้คนและร้านอาหารและร้านกาแฟ ..ผู้คนเดินกันขวักไขว่ไปมามากมาย...
พวกเราก็ไปเดินอยู่กับเค้าด้วย...เป็นร้านค้าของที่ระลึกที่ทำเอาเราเดินกันอยู่จนเย็น

.....มาดริดยามวิกาล...(คืนนั้น)

..มีเพื่อน(ใครก็ไม่รู้..จำไม่ได้) บอกว่า..ถ้ามามาดริด อย่าลืมไปดูหมี..พวกเราก็ตั้งใจจะไปเจอหมี!กันให้ได้..ไม่งั้นภารกิจของเราจะถือว่าไม่สำเร็จ

เราก็ตรงดิ่งไปที่..Puerta del Sol ซึ่งอยู่ไม่ห่างจาก Plaza Mayor นัก....ขับรถวนกันอยู่ตั้งนาน ..รู้งี้เดินมาดีกว่า!?! ดีหน่อยได้เห็นบ้านเมืองเค้ายามราตรี







ถึงที่หมายที่ต้องการ Puerta del Sol ...ภารกิจต่อไปของเราคือหาของ 4 อย่าง
1. หมี
2. หลักกิโลเมตรที่ศูนย์
3. รูปปั้นของกษัตริย์คาลอสที่ 3 (Carlos III de España)และ
4. ป้าย Tíopepe (ไอ้เพื่อนคนเดิมนั้นบอกมาอีกนั่นแหละ)

มาดูผลงานของพวกเรา....




ได้ข้อ 4 ก่อนเป็นอันดับแรก...ป้าย Tíopepe ที่ตั้งอยู่ยอดตึกใหญ่โต...ไม่เห็นก่อนก็แย่แล้ว...เจ้านี่เป็นป้ายยี่ห้อเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ จนปัจจุบันกลายเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ของจตุรัสแห่งนี้ไปแล้ว

....เดินเข้ามาหาอีกนิดเราก็เจอคำตอบในข้อ 3




จริงๆ ไม่สร้างความตื่นเต้นให้เราเท่าไหร่ เพราะทุกคนยังใจจดจ่ออยู่กับการตาล่าหาหมี...ตอนนี้มองไปทางไหนก็ยังไม่เจอ....

...และแล้วก็เห็นกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งกำลังยืนมุงดูอะไรกันอยู่....พวกเราก็ตามไปดู..ใช่แล้ว..ผมเห็นแล้ว...Estatua del Oso y del Madroño รูปปั้นหมีตัวขนาดไม่ใหญ่สีเข้ม ในคืนมืดฝนตกปรอยๆ จึงมองเห็นยากหน่อย ..หมีกำลังกินต้นสตอเบอรี่..เค้าว่างั้น จบภารกิจข้อ 1





แล้วไอ้ กม.ที่ศูนย์มันอยู่ที่ตรงไหนล่ะเนี่ยะ?? ถ้าเป็นตอขาวๆแบบบ้านเราก็น่าจะเจอแล้วนี่นา...

...แต่แล้วในที่สุด เราก็พบ...ไม่ง่ายเหมือนกันข้อนี้...




หายากนัก... เจอแล้วเลยขออนุญาตเค้าถ่ายรูปร่วมกันเป็นที่ระลึก




นอกจากโจทย์สี่ข้อของเรา ก็ได้เจอกัน Museo del Jamón ประวัติยาวนานตั้งแต่ปี ค.ศ.1895 ในร้านนี้เต็มไปด้วยบรรดาผลิตภัณฑ์จากเนื้อสัตว์ต่างๆ ที่ผ่านกระบวนการแบบสเปน เห็นเป็นพวกขาหมูรมควัน ไส้กรอก รวมถึงเนยแข็งแบบต่างๆของสเปนอีกด้วย





ยิ่งดึกยิ่งหิว...ได้เวลาอาหารค่ำ...เอ่อ...ไม่ใช่สิ...สำหรับที่สเปนต้องเรียกอาหารดึก ผมว่าที่ฝรั่งเศสกินอาหารเย็นกันประมาณสองทุ่มก็เรียกว่าดึกแล้ว มาเจอที่นี่................เรียกว่า "ดึกมาก" เราก็ไปเดินหาร้านทานอาหารกัน...








เข้าไปรับประทานอาหารกัน ...กินดึก! หิวมาก! มูมมาม! ไม่อนุญาตให้เก็บภาพ.....เอาเป็นว่าอิ่มท้อง...กลับที่พัก...ว่ากันต่อพรุ่งนี้

นัดกันไว้...08.30 (วันถ้ดมา) ล้อหมุน ทุกคนตรงต่อเวลา

....ภารกิจสำคัญ 3 อย่างของเราวันนี้ คือ
1. ดูสนามสู้วัวกระทิง
2. ตามล่า..หานายดอน
3. เยี่ยมชมพระราชวังกษัตริย์สเปน

รับทราบ!!...ทราบ!...ไปได้!!

เราขับรถออกไปชานเมืองมาดริด...ช่วงนั้นมีการสร้างถนนหลายจุด สร้างปัญหาในการขับรถอยู่บ้าง...เพื่อไปหา Plaza de Toros de Las Ventas เริ่มสร้างเมื่อปี ค.ศ.1929 เสร็จในอีกสองปีต่อมา เป็นสนามสู้วัวกระทิง สถาปัตยกรรมแบบ neo-mudéjar หรือ Moorish (แขกมัวร์) จุผู้ชมได้ 25,000 คน ปัจจุบันยังคงมีการสู้วัวกระทิงที่นี่






พี่คนนี้แหละที่สู้วัวกระทิง Matador ยืนสง่าต้อนรับเราอยู่ที่ด้านหน้าสนาม





ไม่มีอะไรมากเพราะวันนั้นไม่มีการสู้วัวกระทิง อดไปอีกเหมือนเดิม แต่ถือว่าสำเร็จตามภารกิจ ข้อ 1

จากนั้นขับรถกลับมาในตัวเมือง เพื่อตามล่าหานายดอน...ใครล่ะ? ผมน่ะไม่รู้จักหรอก แต่เพื่อนผมคนหนึ่งในคณะที่ไปด้วยกันบอกว่าบ้านเขาอยู่แถว Plaza de España และต้องไปหาให้ได้ ทำราวกับเป็นญาติสนิทที่ต้องไปพบ..ไม่งั้นเดี๋ยวเค้าว่าเอา

และแล้วเราก็เจอ หาไม่ยากนัก สวัสดีเค้าสิเพื่อน!
...Don Quixote และคนรับใช้ของเขา Sancho Panza








จริงๆแล้วทั้งสองเป็นตัวละครในงานประพันธ์ที่มีชื่อว่า "Don Quixote del La Mancha" ของศิลปินชื่อ Miguel de Cervantes Saavedra (รูปปั้นสีขาวนี้ นั่งอยู่ด้านหลังนายดอน) ผู้ได้รับการยกย่องให้เป็นกวีเอกในยุคทอง งานประพันธ์เรื่องนี้ได้รับการตีพิมพ์ 2 ครั้ง ตอนแรก เมื่อ ค.ศ.1601 และตอนที่สอง เมื่อ ค.ศ.1615 และงานประพันธ์เรื่องนี้ได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในวรรณกรรมชิ้นเอกของโลก

..."Don Quixote del La Mancha" เป็นเรื่องราวแนวขำขัน เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับอัศวินและคนรับใช้ ที่เดินทางท่องเที่ยวไปในสเปนเพื่อปราบเหล่าอธรรมและช่วยเหลือผู้คนที่ถูกกดขี่ข่มเหง ....จบภารกิจข้อ 2

กลับขึ้นรถขับต่อไปอีกไม่ไกลนัก เราจะไปเยี่ยมชมพระราชวังกษัตริย์สเปน...ภารกิจสุดท้าย..เรามองเห็น Santa María La Real de La Almudena เป็นมหาวิหารใหญ่อยู่ตรงข้ามกับพระราชวัง

...มหาวิหาร ผสมผสานสามสไตล์ Neoclásico, Neogótico และ Neorrománico สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 14 ในสมัยของพระเจ้า Felipe II de España มีความยาว 102 เมตร สูง 73 เมตร ตอนไปเค้ากำลังสวดมนต์กันอยู่พอดี เลยไม่ได้รบกวน...








เรามาดูฝั่งตรงกันข้าม Palacio Real de Madrid ที่เห็นในปัจจุบันถูกสร้างระหว่างปี ค.ศ.1738-1755 ตามคำสั่ง Felipe V de España เนื่องจากพระราชวังเดิมถูกไฟไหม้เสียหายไปในปี ค.ศ.1734





ปัจจุบันพระบรมวงศานุวงศ์สเปนไม่ได้ประทับอยู่ที่นี่แล้ว และประทานอนุญาตเปิดให้สาธารณชนเข้าชม ...เป็นเรื่องดีของพวกเราที่จะได้เข้าชมด้านใน...บัตรประจำตัวนักศึกษาจะได้ราคาพิเศษ จ่ายเพียง 3.5 ยูโร ..จะไปก็นำติดตัวไปด้วย...ไปชมบรรยากาศด้านในกัน














ทุกห้องถูกตกแต่งไว้อย่างสวยงามมากๆ (แน่นอนสุดครับ ที่นี่ พระราชวัง) ...ผมชอบห้องข้างบนนี้ ชื่อว่า "Saleta de Porcelana" เป็นห้องที่ผนังและเพดานตกแต่งด้วยกระเบื้องลายครามลวดลายงดงาม

...อันเป็นจบภารกิจหลักของวันนี้....


...แต่สิ่งที่ทำให้ผมประทับใจที่สุดของผม ในภารกิจตลุยแดนกระทิงดุนี้ กลับกลายเป็นที่ Chocolateria San Ginés ร้านเก่าแก่ เปิดมาตั้งแต่ปี 1894








...ช็อกโกแลตร้อนๆ จิ้มด้วยขนมซึ่งถ้าเป็นที่ฝรั่งเศสจะเรียกว่า "churros" ตอนนั่งกินกันอยู่ในโต๊ะ ต่างบอกกันว่าถ้าเป็นที่บ้านเรา ก็คงเป็น “ปาท่ิองโก๋จิ้มนม” อร่อยมากครับ ราคาไม่แพงด้วย




...
...
...จนถึงทุกวันนี้ "ไรอัน" กลายเป็นเพื่อนสนิทของผมและเพื่อนๆ เราเจอกันบ่อย

...และอยู่มาวันหนึ่่ง ไรอันก็เอาอีก ...ขายตั๋วให้ผมในราคา “2 ซองตีมยูโร” (เท่ากับหนึ่งบาทไทย) สำหรับไปกลับ Marseille-Madrid ผมเลยใจดีซื้อตั๋วแจกให้เพื่อนชุดเดิม กลับไปปฏิบัติภารกิจซ้ำ โดยมีเป้าหมายที่สำัคัญที่ “ปาท่ิองโก๋จิ้มนม” แบบสเปนนั่นเอง


ติดตามภารกิจของ “นาย Pompier” ตะลุยมาดริด ภาค 2 ได้เร็วๆนี้






Create Date : 26 มิถุนายน 2550
Last Update : 11 ตุลาคม 2551 1:26:22 น.
Counter : 1074 Pageviews.

34 comment

pompier
Location :
Provence-Alpes-Côte d Azur  France

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]



+






หนาวนี้ที่โพรวองซ์ ตอน 1 : หิมะหลงทางที่ Aix en Provence 12/01/09
Le Pont du Gard มรดกโลก 2,000 ปี 09/11/08
เที่ยวโพรวองซ์ ( Provence ) ที่ ... LOURMARIN 29/10/08
ดิน..แดน..แดง แห่ง Provence 28/07/08
สีสัน (สีแดง) แห่งโพรวองซ์ ที่ Roussillon 22/05/08






web counters


MY VIP Friend