Eze... เสน่ห์โพรวองซ์ ริมฝั่งริเวียร่า
สวัสดีครับเพื่อนๆ ทุกคนที่แวะมาทักทายกันครับ....ผมมีเรื่องแจ้งให้ทราบครับว่า...ระบบ internet ที่บ้านผมเกิดขัดข้องครับ...คงจะต้องหายหน้าไปสักพักใหญ่ๆเลยล่ะครับ...ยังไง e-mail หรือ หลังไมค์ มาทักทายกันได้นะครับ...Au revoir et à très bien tôt.

สวัสดีครับ เป็นเวลาหนึ่งเดือนเต็มพอดี ที่ไม่ได้พาเพื่อนๆ Bloggang ไปเที่ยวเหมือนอย่างเคย ช่วงที่ผ่านมาพอดีมีอะไรให้ทำเยอะเลยล่ะครับ...วันนี้มีเวลาสบายๆก็เลยอยากจะพาเพื่อนๆไปเที่ยวด้วยกันอีกครั้ง โดยเราจะไปกันที่ หมู่บ้าน Eze (èze) อ่านว่า เอส ครับ

"หมู่บ้าน Eze" อยู่ริมชายฝั่งริเวียร่า ทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ทางตอนใต้ของประเทศฝรั่งเศส และตั้งอยู่ระหว่างทางจากเมือง Nice ไป Monaco โดยห่างจาก Nice และ Monaco เพียง 11 และ 8.5 กิโลเมตร ตามลำดับ



ภาพจาก Slide ด้านบนนี้ เป็น Eze ในมุมที่ผมไม่สามารถไปเก็บภาพมาได้ด้วยตัวเอง...ขออนุญาตนำภาพจาก...//photos.linternaute.com/paysville/11415/eze...มาให้ดูกันนะครับ..


ผมเดินทางจาก Aix en Provence (เอ็กซองโพรวองซ์) บ้านผมเอง ด้วยรถยนต์เช่าซึ่งผมมักเช่าขับเป็นประจำเมื่อจะไปเที่ยวกัน ขับมุ่งหน้าไปยังเมือง Nice และต่อไปอีกหน่อย ด้วยความเร็วสบายๆ 130 / 110 / 90 / 70 / 50 กิโลเมตรต่อชั่วโมง สลับกันไปตามป้ายกำหนดความเร็วที่ต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด มิฉะนั้นก็จะได้ใบสั่งตามมาถึงที่บ้านหากถูกเรดาร์ตรวจจับความเร็วเข้า ..เบ็ดเสร็จ 196 กิโลเมตร ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง ก็ถึงที่หมาย หมู่บ้าน Eze













เสน่ห์ (1) ...หมู่บ้าน Eze มีประวัติศาสตร์ยาวนาน มาตั้งแต่ ศตวรรษที่ 10 เคยอยู่ภายใต้การปกครอง มาแล้วจากหลายฝ่าย ซึ่งเรืองอำนาจในอดีต เช่น ช่วง ศตวรรษที่ 12 อยู่กับ le comte de Provence ช่วง ศตวรรษที่ 14 อยู่กับ la Maison de Savoie เป็นต้น จนกระทั้ง ปี ค.ศ. 1860 ก็มาอยู่ภายใต้การปกครองของฝรั่งเศส

Eze เป็นหมู่บ้านที่ตั้งอยู่บนภูเขา สูงจากระดับน้ำทะเล 429 เมตร เมื่อเดินเข้าไปในหมู่บ้านจะเห็นบ้านเรือนที่สวยงาม ถึงแม้จะปรับปรุงซ่อมแซม แม้กระทั้งสร้างขึ้นมาใหม่ แต่ก็ยังคงเค้าและเหลือร่องรอยประว้ติศาสตร์อันยาวนานของ Eze ในอดีตให้เราเห็นอยู่บ้าง




















เสน่ห์ (2) ..เนื่องจากความน่ารัก สวยงาม ของหมู่บ้านนี้จึงทำให้ที่นี่เต็มไปด้วย นักท่องเที่ยว สิ่งที่เกิดขึ้นตามมาก็คือ "ร้านค้า" ที่ขายของต่างๆ เต็มหมู่บ้าน รวมทั้งร้านอาหารด้วย...ก็เป็นเรื่องปกติละครับ ถ้าแถวๆบ้านผมที่เมืองไทยมีนักท่องเที่ยวมากันเยอะเป็นประจำล่ะก็ ผมคงต้องหาอะไรมาขายบ้างล่ะ...เช่นอะไรดี..."โมจิ" ดีมั้ย

....แต่ละร้านตกแต่งได้น่ารัก สวยงาม มีของให้เลือกซื้อมากมาย ซึ่งของส่วนใหญ่ก็เพื่อให้เมื่อซื้อกลับไปแล้วจะได้คิดถึง les Ézasques ( อ่านว่า เล-เซ-ซาส-(เกอะเบาๆ) หมายถึง ชาวบ้านหมู่บ้าน Eze) บ้างนั้นเองครับ

























เสน่ห์ (3) ...ผมชอบ ทางเดิน ภายในหมู่บ้านนี้มากเลยล่ะครับ สังเกตตามภาพ..จะเป็นตรอก ซอก ซอยเล็กๆ ลักษณะพื้นเป็นหินก้อนๆ และจะมี..กระเบื้องสีแดงๆ ...เจ้ากระเบื้องสีแดงๆ นี่มีความสำคัญนะครับ

...ครั้งที่ผมไปล่าสุด..โชคดี(หรือป่าวก็ไม่รู้) ฝนตกครับ วันนั้นฝนตกทั้งวันจริงๆครับ...แอบเซ็ง..ไม่สิ..เซ็งแบบเปิดเผยเลยล่ะครับ...ผมอยู่โพรวองซ์มาประมาณ 3 ปี ไม่ค่อยได้เจอฝนเลย หรือหากจะมีฝนตก ก็ไม่เกิน 10 นาทีก็หยุดแล้ว โดยปกติอากาศดี แม้จะเป็นฤดูหนาว..เพราะมีแสงแดดตลอดทั้งปี...วันนั้น พาพี่ๆที่น่ารัก 2 คน จากเมืองไทยไปเที่ยว ..ฝนตกทั้งวัน บอกตรงๆครับ.. "ผมล่ะต้องขอโทษพี่ทังสองแทน Provence จริงๆเลย"







มาต่อด้วยเรื่องกระเบื้อง...เนื่องจากฝนตก..ธรรมดาล่ะครับ ถนนก็มักจะลื่นตามไปด้วย...วันนั้นก็มีนักท่องเที่ยวล้มกันไปหลายคน...พอดีไปซื้อของที่ร้านหนึ่ง เจ้าของร้านใจดีก็บอกเคร็ดลับให้เรา (หลังจากที่เราอุดหนุนเค้าเรียบร้อย) ว่า "เดินตรงสีแดงๆนะ จะได้ไม่ลื่น" ..จริงอย่างเค้าว่าครับ เดินสบายเลยล่ะ มองเผินๆดูเหมือนมันน่าจะลื่นกว่าตรงที่เป็นหินนะ...ใครมาเดินแถวนี้ล่ะก็อย่าลืมนะครับ เอาเคล็ดลับนี้ไปใช้ด้วย....หวังว่าคงจะได้มาวันฝนตกนะ โชคดีที่สุด






















เสน่ห์ (4) ...เมื่อแหงนหน้า มองขึ้นไป มุมสูงๆ นิดนึง ซักประมาณ 50-55 องศาจากพื้น ก็จะได้เห็นความงาม ของแบบบ้านเก่าแก่ บ้างแปลกตา...รวมทั้งกรอบหน้าต่าง โคมไฟ และป้ายลักษณะต่างๆของร้านค้า ป้ายชื่อถนน ...เค้าช่างออกแบบมาเหมาะสมกลมกลืนกับหมู่บ้านนี้จริงๆครับ ดูแล้วมัน...ชอบจริงๆ






















เสน์ห์ (5) ...เดินๆไปในหมู่บ้านนี้ เสน่ห์นี้จะเห็นเยอะเลยล่ะครับ ที่ ธรรมชาติอยู่คู่กับบ้านเมืองได้อย่างลงตัว...ยังไงหรือครับ...ก็ บรรดาพืชไม้เลื้อยต่างๆที่ไต่ขึ้นไปตามบ้านเรือน มีให้เห็นโดยทั่วไปในหมู่บ้านนี้ครับ ทำให้บ้านดูสดชื่น และพลอยทำให้ผู้คนที่เดินผ่านไปมาสดชื่นไปด้วยจริงๆครับ...ไม่รู้ว่านอกจากไม้เลื้อยแล้วเนี่ยะ..มีไอ้ตัวอย่างอื่นมาเลื้อยด้วยหรือป่าวนะครับ...
















นอกจากบรรดาไม้เลื้อยแล้ว ที่นี่ยังมี Le Jardin Exotique ( เลอ -ชาร์ก - ดัง - เอ -โซ - ติก ) ซึ่งเป็นสวนที่รวบรวมพืชจำพวกกระบองเพชรแบบต่างๆไว้จำนวนมาก ในย่านนี้ผมเห็นมี Le Jardin Exotique อยู่หลายที่นะครับ สงสัยคงเป็นที่ที่อุณหภูมิเหมาะสมกับพืชเหล่านี้น่ะครับ...และขาดไม่ได้ก็ดอกไม้สวยๆ และต้นไม้ที่ใบไม้กำลังเปลี่ยนสีไปตามฤดูกาลที่เปลี่ยนไป













เสน่ห์ (6) ...มาเดินเล่นที่หมู่บ้านนี้ ก็สังเกตเห็นบรรดาสัตว์ต่างๆมากมายครับ เพื่อพิสูจน์ว่าธรรมชาติอยู่คู่กับบ้านเมืองได้อย่างลงตัวมั้ง หรืออาจเป็นได้ว่าชาว les Ézasques อาจจะมีนิสัย "รักสัตย์" ไม่เคยผิดคำพูดกับใคร...555 ไม่ใช่ครับ...รักสัตว์...คือชอบเลี้ยงและเอ็นดูสัตว์ครับ เดินไปทางไหนก็จะเห็น ทั้งแบบมีและไม่มีชีวิต...ช้าง ลา

..เจ้าลาที่เห็นด้านบนนี้ จะอยู่ด้านหน้าตรงเชิงเขาก่อนที่จะขึ้นไปที่ตัวหมู่บ้าน...เค้าบอกว่าในอดีตเมื่อจะขนสัมภาระต่างๆขึ้นไปยังหมู่บ้าน ก็จะใช้บริการ "น้องลา" แบบนี้ล่ะครับ...เค้าจึงเขียนป้ายไว้ว่า bagagiste อ่านว่า บา - กา - จิส(เตอะ) ซึ่งมาจากคำว่า bagage อ่านว่า บา - กาจ(เชอะ) แปลว่า กระเป๋าเดินทาง....

ด้านล่างนี่ตัวอะไรนะ..เจ้าแมว...วันนั้นผมถ่ายรูปเค้าอยู่พักหนึ่งเลยล่ะครับ หน้าตามันตลกดี ผมชอบ...







ด้านบน เป็ด กับ ไก่ ด้านล่าง ก็เป็น นก แอบอยู่ตัวนึง













มีคนเคยบอกผมว่า "ถ้ามาเที่ยวยุโรป แต่เป็นคนที่ไม่ชอบเข้าโบสถ์แล้วล่ะก็..คุณจะพลาดที่สำคัญๆไปกว่าครึ่งหนึ่งเลยทีเดียว"...เค้าคงหมายความว่าไม่ว่าจะไปที่ไหนก็ต้องมีโบสถ์สวยๆให้ได้ดูกันน่ะครับ

สำหรับที่นี่ก็เช่นกันครับ Eglise Notre-dame de L' Assomption (ผมอ่านว่า เอ-กลิซ-นอด-เทรอะ-ดาม-เดอ -ลาส-ซอม-ซิ-อง) ขนาดไม่ใหญ่ครับ เหมาะกันดีกับหมู่บ้านเล็กๆอย่างนี้ ...ด้านนอกดูไม่เก่ามากนัก สงสัยเพิ่งจะบูรณะครับ..แต่จริงๆแล้วโบสถ์นี้สร้างมาตั้งแต่ ระหว่างปี ค.ศ.1764-1778 โน่นล่ะครับ..ก็เก่าพอสมควรนะ...พอเข้าไปภายในก็สวยงามใช้ได้เลยครับ...













สำหรับตรงนี้เป็นภาพ จากด้านบนหมู่บ้าน Eze ตรงแถวๆบริเวณหน้าโบสถ์ เมื่อมองออกไปภายนอกครับ ...เห็นหมู่บ้านใกล้เคียง...ผมไม่มีภาพมุมที่เห็นวิวทะเลเลยล่ะ...ยังไงก็ชม Slide ด้านบนแล้วกันนะครับ







ด้านบนนี้ เป็นภาพร้านขายสินค้า ชื่อ Fragonard อ่านว่า ฟรา-โก-นา ซึ่ง Fragonard นี้จริงๆแล้วเป็นโรงงานผลิตน้ำหอมอยู่ที่เมือง Grasse อ่านว่า กร๊าซ (ตัว r หรือ ร นี้ จะออกเสียงแบบฝรั่งเศสนะครับ อธิบายอยากหน่อยน่ะครับ) ซึ่งเป็นเมืองหลวงแห่งน้ำหอมของโลก และอยู่ในโพรวองซ์ ไม่ห่างจาก Nice และ Eze มากนัก...แต่เนื่องจาก Eze เป็นทางผ่านที่สะดวกของนักท่องเที่ยวจำนวนมาก และเป็นเส้นทางมุ่งหน้าไป Monaco อีกด้วย Fragonard จึงมาเปิดสาขาเพื่อบริการนักท่องเที่ยวอยู่ที่ Eze นี้ด้วยครับ

ที่เห็นนี้เป็นเป็นเพียงร้านขายสินค้าครับ ...แต่ถ้าเดินจากหมู่บ้าน Eze ไปอีกเพียงไม่กี่ก้าว ก็จะเจอตัว โรงงานผลิตน้ำหอม ของ Fragonard ซึ่งเราสามารถเข้าชมการผลิตและเลือกซื้อสินค้าได้อีกด้วยนะครับ..ใครที่ชอบน้ำหอมล่ะก็ ไม่ควรพลาดครับ...เอาไว้โอกาสต่อๆไป จะพาไปชมกันครับ

ด้านล่างนี้ เป็น Hôtel de Ville อ่านว่า โอ-เต็ล-เดอ-วิล คือ ที่ว่าการหมู่บ้าน สีสันสวยงามดีนะครับ







เสน่ห์ (7) ...ปิดท้ายวันนี้ ขอฝากไว้ด้วยเสน่ห์ของนักท่องเที่ยว ที่ไปเยือนหมู่บ้าน Eze พร้อมๆกับผม แม้ยามฝนตกเช่นวันนั้น ก็ยังรักษาความเป็นระเบียบเรียบร้อย ดูสิครับ ไม่มีแตกแถว...และที่สำคัญทุกคนอยู่ใน กระเบื้องแดง..ซะด้วย...จบ






Create Date : 14 พฤศจิกายน 2550
Last Update : 11 ตุลาคม 2551 1:03:22 น.
Counter : 2919 Pageviews.

50 comment
"นาย Pompier" ไปเยือน "ราชรัฐโมนาโก" (La Principauté de Monaco) ตอน 2 (จบ)
วันที่ผมไปก็ได้พาพี่ๆที่เค้ามาจากเมืองไทย ไปเสี่ยงโชคนิดหน่อย ที่ Le casino de Monte Carlo .. ให้ได้ชื่อว่าร่วมกิจกรรมกับเค้า..ให้เป็นไปตามกุสโลบายที่เค้าอุตส่าห์ตั้งคาสิโนขึ้นมา และเป็นการอุดหนุนประเทศที่เสียสละให้เรามาเที่ยวกันด้วย ใจดีมากๆ ...หมดไปเบ็ดเสร็จ 5 ยูโรครับ

เราก็กลับขึ้นรถเพื่อจะไปกันต่ออีกฟากหนึ่งของโมนาโก (หรือ โมนาโค นั่นแหละครับ อันเดียวกัน)...ซึ่งเป็นส่วนที่เป็นที่ตั้งของพระราชวังของกษัตริย์โมนาโกครับ ขับรถจากตรง Le casino de Monte Carlo เพียงแค่ประมาณ 10 นาที เราก็มาเข้าที่จอดรถที่แสนสะดวกสบายอีกที่หนึ่ง...

เมื่อเราเดินขึ้นมาจากที่จอดรถเราจะเจอ พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ le Musée océanographique de Monaco เป็นตึกขนาดใหญ่สวยงาม..แต่อันนี้ผมก็ยังไม่เคยเข้าไปดูเลยครับ..เพราะมาแต่ละครั้งส่วนใหญ่จะค่อนข้างเร่งรีบ คือมาถึงตรงนี้ก็ต้องไปดูพระราชวังใช่มั้ยครับ...พิพิธภัณฑ์จึงถูกผมมองข้ามไปเสมอครับ..แต่คนอื่นต่อแถวเข้าดูกันเต็มเลยครับ ท่าทางน่าสนใจ..ติดเอาไว้ก่อนครับ










ทางเดินมุ่งหน้าไปสู่พระราชวังจะมองเห็นทะเลไปตลอดครับสวยงามทีเดียว...ช่วงหน้าร้อนอย่างนี้ก็จะมีผู้คนมาเล่นเรือกันจำนวนมากครับ







เดินผ่านหน้าพิพิธภัณฑ์มาหน่อยจะเป็นสวนสาธารณะ Le Jardin de Saint Martin ซึ่งมีคนบอกว่ากษัตริย์ Albert มาวิ่งออกกำลังกายเป็นประจำครับ ซึ่งมีพันธุ์ไม้ต่างๆมากมาย แต่ที่สะดุดตาผม คือ มีหุ่นในอิริยาบทต่างๆ หลายมุมของสวนนี้ด้วย







ส่วนเจ้าสองตัวนี้สงสัยบินเหนื่อยเลยมาแวะพัก










เดินมาเรื่อยๆ มีจุดชมวิวอยู่ตรงมุมสวนก็แวะไปดู ภาพที่เห็นด้านบนเป็นท่าจอดเรือหรูหรา ที่มีฉากหลังเป็นตึกสีสันสวยงาม ส่วนภาพด้านล่างนี้ เป็นที่เค้าสร้างขึ้นมาเพื่อลดความรุนแรงของคลื่นที่จะเข้าไปที่ท่าเรือน่ะครับ







เมื่อเดินพ้นสวนมาแล้วจะพบกับ la Cathédrale de Monaco เริ่มสร้างขึ้นตั้งแต่ปี ค.ศ.1875 ถือเป็นโบสถ์ประจำชาติและประจำของราชวงศ์โมนาโกด้วยครับ...หลุมพระศพของราชวงศ์โมนาโกก็อยู่ที่นี่ครับ รวมถึง Rainier III de Monaco ที่เพิ่งจะสิ้นพระชนม์ไป และ เจ้าหญิงเกรซ Princesse Grace de Monaco. ด้วยครับ






ส่วนติดๆกันเป็น le Palais de Justice de Monaco เป็นศาลยุติธรรมเก่าแก่และดูขลังมากเลยครับ










ออกจากโบสถ์มาเราก็เดินผ่านบ้านเรือนที่มีสีสันสวยงาม ออกจะเป็นแนวเหลืองๆ ส้มๆ บางบ้าน มีหน้าต่างที่ประดับด้วยดอกไม้ต้นไม้สวยๆด้วยครับ...













ส่วนอันหลังนี่ไม่ได้ประดับนะครับ เค้าตากผ้าน่ะ ดูเป็นธรรมชาติไปอีกแบบ








เนื่องจากโมนาโกอย่างที่บอกไปแล้วว่าเป็นเมืองท่องเที่ยว ดังนั้นจึงมีร้านขายของที่ระลึกจำนวนมาก ส่วนใหญ่จะออกแนวสีแดงๆ ซึ่งเป็นสีสัญลักษณ์ประจำชาติของเขา มีแดงกับขาว










และก็มีร้านอาหารให้เราเลือกรับประทานหลายร้านอยู่เหมือนกัน ราคาก็พอๆกับที่ฝรั่งเศสล่ะครับ (แพงพอๆกัน) ส่วนสองร้านด้านล่างนี้มีเทพนิยายมาเกี่ยวข้องด้วย 1.คือ พิน็อกชิโอ 2. คือ เจ้าหญิงนิทรา น่ารักและแปลกดีเลยเก็บมาฝากกันครับ










ส่วนอันนี้ไปรษณีย์เค้าครับเห็นว่าสวยดีน่ะครับ และติดๆกันนั้นก็เป็นโบสถ์ขนาดเล็กๆอีกแห่งหนึ่งครับ







เมื่อเดินทะลุมาเรื่อยๆ ก็จะมาเจอเข้ากับ พระราชวัง le Palais Princier de Monaco ซึ่งตั้งอยู่บนพื้นที่ ที่เคยเป็นป้อมปราการเก่าที่สร้างโดยชาวเจนัวส์ ประเทศอิตาลี เมื่อปี ค.ศ.1215 เห็นได้จากโดยรอบจะมีป้อมปืนใหญ่พร้อมกระสุนปืน แบบโบราณวางไว้จำนวนมากครับ

Le prince François Grimaldi ปฐมกษัตริย์ของราชวงศ์ Grimaldi เริ่มใช้ที่นี่เป็นพระราชวังมาตั้งแต่ ปี ค.ศ.1297 ...ต่อจากนั้นเรื่อยมา สมาชิกของราชวงศ์ Grimaldi แห่งโมนาโกทุกพระองค์ล้วนแล้วแต่เคยประทับอยู่ที่นี่ครับ







ดูจากภายนอกแล้วเป็นพระราชวังที่ขนาดไม่ใหญ่นักนะครับ ด้านในเปิดให้ประชาชนที่สนใจเข้าชมได้ด้วยนะครับ ในส่วนที่เปิดให้ชมมีด้วยกัน 15 ห้องครับ หรูหราสมกับเป็นพระราชวังครับผม... แต่ว่าไม่อนุญาตให้ถ่ายภาพน่ะครับ

ส่วนพ่อหนุ่มนี่เป็นทหารรักษาพระองค์ ที่ทำหน้าที่รักษาความปลอดภัยและคอยไล่นักท่องเที่ยวที่เข้ามาในเขตหวงห้าม...จริงๆเค้าก็อุตส่าห์มีโซ่กั้นไว้แล้วนะ







ส่วนนี่เป็นทิวทัศน์ด้านซ้ายและขวาของพระราชวัง ด้านหนึ่งจะมองเห็นท่าเรือใหญ่ของโมนาโก ทะเล หมู่ตึก และทิวเขา สวยมากครับผม

...อีกด้านมีท่าเรือเหมือนกัน แต่เล็กกว่าหน่อย (แต่รูปนี้ไม่เห็นเรือ) และยังมองเห็นสนามฟุตบอลของ AS Monaco FC ซึ่งผมเคยได้ยินมาว่าเป็นหนึ่งในสนามฟุตบอลที่สวยที่สุดในโลกครับผม ส่วนทีมฟุตบอลเล่นร่วมในลีกของฝรั่งเศสครับ ก็เก่งพอตัวครับผม



ส่วนเจ้าหนูน้อยคนนี้สงสัยชาติที่แล้วเป็นพลปืนใหญ่(แบบสั้น) หญิงแน่ๆ กลับมานั่งประจำปืนอยู่...










ส่วน 2 ภาพนี้ข้างบนเป็นตึกฝั่งตรงข้ามกับพระราชวังครับ สีสันสวยดีมั้ยครับ ..ด้านล่างเป็นป้ายชื่อถนนครับผม ดูเก่าแก่ดีนะครับ..




ส่วนปีนี้ โมนาโกจัดให้เป็นปีระลึกถึง "เจ้าหญิงเกรซ" แห่งโมนาโก (la princesse Grace de Monaco) หลายๆจุดของเมืองจึงมีป้าย ตามรอยเจ้าหญิงให้เราได้ดูกันด้วยครับ





..ปิดท้ายทริปนี้ ...ระลึกถึงพระองค์กันนะครับ la princesse Grace de Monaco








Create Date : 04 สิงหาคม 2550
Last Update : 14 พฤศจิกายน 2550 7:17:10 น.
Counter : 2527 Pageviews.

73 comment
"นาย Pompier" ไปเยือน "ราชรัฐโมนาโก" (La Principauté de Monaco) ตอน 1
สวัสดีครับทุกท่าน ผมหายหน้าหายตาไปพักใหญ่ เนื่องจากว่ามีพี่ๆมาจากเมืองไทย ก็เลยทำหน้าที่เป็นพลขับพาเค้าไปท่องเที่ยวแถวๆนี้ เพิ่งจะเสร็จภารกิจก็พักอีกนิดหน่อย สาเหตุมาจากอากาศค่อนข้างร้อนทำให้ยิ่งเพลียมากกว่าปกติ ...ไปเที่ยวคราวนี้เก็บรูปภาพและข้อมูลมาเพิ่มเติมได้อีกเพียบ..จะทยอยนำมาเล่าสู่กันฟัง..และพาเพื่อนๆไปเที่ยวด้วยกันกับผมอีกครั้ง ยังไงไปด้วยกันนะครับ

สำหรับวันนี้ "นาย Pompier" จะพาเพื่อนๆ ออกนอกฝรั่งเศสไปเที่ยวต่างประเทศกันบ้าง..โมนาโก หรือ ราชรัฐโมนาโก (La Principauté de Monaco) (หรือ ที่บ้านเรามักเรียกกันว่า "โมนาโค" ) ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของ ประเทศฝรั่งเศส ติดกับทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ห่างจาก Aix-en-Provence 198 กม. เดินทางไปใช้เวลาประมาณ 2 ชม. ไปได้ 2 แบบคือ 1. แบบด่วน (ขึ้นทางด่วนไปโดยตลอด) 2. แบบสวย (ไปถนนเลียบทะเลเมดิเตอร์เรเนียน อันนี้สวยมาก แต่จะใช้เวลาเดินทางมากกว่าแบบแรกนิดพอสมควร)




ภูมิประเทศเป็นแบบเมืองบนภูเขา และติดทะเล เรียกได้ฮวงจุ้ยดีทีเดียวล่ะคือบ้านส่วนใหญ่หันหลังให้เขาและหันหน้าให้ทะเล




ในอดีตโมนาโกเคยอยู่ภายใต้การปกครองของฝรั่งเศสมาก่อนด้วย ปัจจุบันมีกษัตริย์ชื่อ อัลแบร์ ที่ 2 (Albert II) ซึ่งครองราชสมบัติต่อจากพระบิดาของพระองค์ กษัตริย์ เคนิเย่ ที่ 3 (Rainier III) ซึ่งสิ้นพระชนม์ไปเมื่อ ปี 2005







....อากาศที่นี้ก็จะคล้ายๆกับที่ฝรั่งเศสเลยครับ..มี 4 ฤดู le printemps/ l'été/ l'automne/ l'hiver คือ ใบไม้ผลิ/ ร้อน/ ใบไม้ล่วง/ หนาว สำหรับรายได้ของประเทศนี้ หลักๆมาจากการท่องเที่ยว และคาสิโน...รวยครับ เค้าไม่เก็บภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา คุณภาพชีวิตของคนที่นี่สุงที่เดียวครับ...เออ..อีกอย่างครับ โมนาโกเป็นหนึ่งในสนามแข่ง รถสูตร 1 (Formula 1) ด้วยครับผม แข่งกันบนถนนที่ใช้ในเมืองเลยครับ ถนนที่นี่จึงดีมากเลยล่ะ







ขับรถมาถึงโมนาโก เข้าจอดรถที่อยู่ตรงด้านหน้าคาสิโนเลยสะดวกสบายมากครับ ขึ้นมาจากที่จอดรถก็จะพบกับสวนซึ่งมีน้ำพุและดอกไม้ตามฤดูกาลประดับไว้อย่างสวยงาม ...ฤดูนี้เป็นดอกดาวเรืองครับผม ...จากตรงสวนนี้มองไปด้านหน้าของเราจะเห็น...Le casino de Monte Carlo










Le casino de Monte Carlo (เลอ กาสิโน เดอ มองเตอะ กาโล) แห่งนี้ตั้งขึ้นในปี 1865 โดย François Blanc ภายใต้คำสั่งของ le prince Charles III de Monaco ซึ่งพระองค์ได้อนุญาตให้มีการเปิดคาสิโนขึ้นในโมนาโกได้ ตั้งแต่ปี 1856 เป็นต้นมา เพื่อเป็นการหารายได้เข้าประเทศ สร้างขึ้นอย่างหรูหรา ด้วยสถาปัตยกรรมแบบ Baroque







ตรงบันไดทางขึ้นคาสิโน..จะมีรถหรูจอดไว้อยู่ 2-3 คัน และขณะที่ยืนถ่ายรูปอยู่บริเวณนั้นก็จะมีรถหรูผ่านมาและส่งกุญแจให้เด็กนำรถไปเก็บ ส่วนเจ้าของรถก็ตรงเข้าไปเสี่ยงโชค...










ส่วนคันหลังนี้ก็หรูเหมือนกัน..เค้ามาดูแลพวกเราอยู่







ด้านซ้ายมือของคาสิโน เป็นโรงแรมหรู ชื่อ Hotêl de Paris ห้องพักแบบราคาประหยัดก็คืนละ 400 ยูโร ตอนแรกว่าจะพักที่นี่เสียดายเต็มซะก่อน หน้าท่องเที่ยวก็ยังเงี่ยะนักท่องเที่ยวเยอะ ...ติดๆกันนั้นก็มีตึกสวยๆเพียบด้านล่างก็จะเป็นร้านขายสินค้ายี่ห้อดังทั้งนั้น..













เดินไปด้านข้างและด้านหลังคาสิโน ก็สวยไม่แพ้ด้านหน้า ดูเอานะครับ 3 ภาพด้านบนนี้ล่ะ...ผมมาติดใจบนผนังตึกบริเวณด้านหลัง น่าจะเป็นตัวโจ๊กเกอร์นะผมว่า..













วันที่ไป(อันนี้เป็นเมื่อครั้งก่อนๆที่ไปโมนาโกครับ)ไม่รู้เป็นเทศกาลอะไรมีการนำหุ่นวัวแบบต่างๆ มาแสดงไปทั่วบริเวณ สีสันและรูปแบบสวยงามครับ...ตัวนึงประดับด้วยธงชาติต่างๆธงไทยก็มี..นี่แบบปีนต้นไม้ก็ยังมีเลย










บริเวณด้านหลังซึ่งติดกับทะเล จะมีสวนสวยๆ ที่มีพันธุ์ไม้หลายชนิด ให้เดินเล่นกันด้วย..ส่วนภาพนี้มองจากบริเวณสวนเห็นท่าจอดเรือ และมองไปไกลๆนั่นจะเห็นบริเวณที่เป็นที่ตั้งของพระราชวัง เดี๋ยวเราจะไปดูกันครับ..(โปรดติดตาม ตอน 2 นะครับ..)









Create Date : 02 สิงหาคม 2550
Last Update : 29 ตุลาคม 2557 15:10:30 น.
Counter : 2654 Pageviews.

41 comment
แนะนำริเวียร่า...เริ่มต้นที่ Cassis
Riviera เชื่อว่าหลายๆท่าน คงจะเคยได้ยินชื่อเสียงกันมาบ้างแล้ว หากใครยังจำได้ "ริเวียร่า" นี้ ก็อยู่ในบทเรียนวิชา ส.ป.ช. (รู้มั้ยครับแปลว่าอะไร... ส.ป.ช. คือวิชาสร้างเสริมประสบการณ์ชีวิต) ที่นั่นแหละครับ...ที่ผมรู้จักกับ "ริเวียร่า" เป็นครั้งแรก

"เฟรนซ์ ริเวียร่า" ที่ชาวฝรั่งเศสมักเรียกหรือรู้จักกันในนาม Côte d'Azur (โกต ดาซูร์) เป็นส่วนหนึ่งของพื้นที่ชายฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียน (méditerranée) อยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของฝรั่งเศส ติดกับชายแดนอิตาลี เริ่มต้นตั้งแต่เมือง Cassis จนไปถึงเมือง Menton มีเมืองสำคัญๆที่น่าสนใจและพลาดไม่ได้ อยู่หลายเมือง เช่น Cannes, Grasse, Antibes, Nice, Monaco Monte-Carlo เป็นต้น




แผนที่แสดง "เฟรนซ์ ริเวียร่า" ลองดูเอานะครับ ขอบคุณภาพประกอบนี้จากเว็บ Wikipedia ด้วยครับ

ผมคิดว่าตัวเองโชคดีมากนะครับ ได้โอกาสจากรัฐบาลฝรั่งเศสให้มาศึกษาอยู่ที่นี่ แถมยังส่งมาให้อยู่ในที่ดีๆ ที่ล้อมรอบไปด้วยแหล่งท่องเที่ยวที่หลายๆคนฝันหา เอาเป็นว่าถ้าผมยังอยู่เมืองไทยทำงานต่อไปเรื่อยๆ ก็คงอยากมาเที่ยวบ้าง แต่ไม่มีทางได้มา

แต่ในเมื่อมีโอกาสแล้วมาอยู่ถึงตรงนี้แล้ว เดินไปไม่กี่ก้าวก็ถึง (อันนี้เป็นการเปรียบเปรย) แล้วจะไม่ไปได้อย่างไรครับ ..ข้างบ้านผมเค้ายังไปเลย...

ต่อไปนี้ "นาย Pompier" จะค่อยๆ พาเพื่อนๆ เลาะชายฝั่ง "เฟรนซ์ ริเวียร่า" เที่ยวกันไปทีละเมืองสองเมือง ติดตามชมกันด้วยนะครับ

ผมขอเริ่มต้นแบบใกล้บ้านที่สุด เหมาะกับการต้อนรับฤดูร้อนเช่นนี้ เดินทางไปไม่ไกลนักประมาณ 50 กิโลเมตร จะถึงเมือง Cassis (อ่านได้สองแบบ คือ กา-ซี หรือ กา-ซีส อันนี้ อ้างอิงจากพจนานุกรมฝรั่งเศส "Petit Robert" แต่พวกเราหลายๆคนชอบอ่านว่า กา-ซีส รวมทั้งผมด้วย) เมืองนี้ผมเคยไปมาแล้ว 2 ครั้งนะ สำหรับที่นี่ให้ไปอีกก็ยังอยากไป

ตอนที่ไปครั้งแรกนั้น ฝรั่งเศสเป็นช่วงที่เค้าส่งเสริมมรดกของชาติ เรียกว่า "Les Journées du patrimoine" ผมขอแปลว่า วันส่งเสริมมรดกชาติก็แล้วกัน เป็นช่วงสั้นๆ 3 วัน วันนี้มีดียังไงจะเอามาเล่าให้ฟังในตอนต่อๆไปก็แล้วกันนะครับ สำหรับวันนั้นทำให้ผมได้ตั๋วรถไฟไปไหนก็ได้ในราคา 5 ยูโร ใช้ได้ทั้งวัน ผมจึงเลือกที่จะไป Cassis นี่ล่ะครับ

ตอนนั้นเป็นช่วง ปลายฤดูร้อนกำลังจะเข้าฤดูใบไม้ร่วง อากาศจึงเริ่มเย็นแล้วจึงไม่ได้เล่นน้ำทะเล คงสงสัยว่า..แล้วไปทำไมกัน ไปดูกันครับ

วันนั้นผมและชาวคณะรวม 6 คน นั่งรถไฟแบบหวานเย็น (แน่ล่ะ 5 ยูโรเอง) จากสถานีรถไฟ Aix-en-Provence ถึงสถานีเมือง Cassis ใช้เวลาประมาณ 45 นาทีเห็นจะได้ เมื่อลงจากรถไฟพวกเราก็มองหารถ (ถ้าเป็นบ้านเราก็ต้องหารถสองแถวประมาณนั้น) หมายจะนั่งเข้าไปบริเวณชายหาด แต่ก็ไม่เห็นแวว จนมานึกได้ว่า "วันนี้ วันอาทิตย์" ผมรู้ดีว่าวันอาทิตย์ประเทศนี้ บริการสาธารณะต่างๆเป็นอันหยุดเกือบหมด ยิ่งเป็นเมืองเล็กๆแล้วไม่ต้องพูดถึง ถึงตอนนี้มีสองทางให้เลือก 1.รอรถไฟเพื่อนั่งกลับบ้าน และ 2.เดิน!

คำตอบคงทราบดีกันอยู่แล้วนะครับ ต้องเลือกข้อ 2 ไม่งั้นคงไม่มีเรื่องมาเล่าให้ฟังกันในวันนี้ ตอนออกเดินบอกตรงๆ ยังไม่รู้เลยว่าจากสถานีรถไฟไปชายหาด ระยะทางเท่าไรและต้องใช้เวลามากน้อยแค่ไหน แต่พวกเราก็ตัดสินใจออกเดินกัน...

โชคดีที่อากาศกำลังเย็นสบาย ทำให้การเดินดูยังพอมีความสุข สภาพแวดล้อมโดยทั่วไปค่อนข้างเงียบมองไปรอบๆเขียวไปด้วยต้นไม้ ข้างทางเต็มไปด้วยไร่องุ่น...




เดินต่อมาประมาณ 20 นาที เราก็มาพบกับป้ายๆหนึ่ง ทำให้พวกเรามีความหวังขึ้น บนนั้นมีข้อความที่ว่า "Cassis... la mer... la pierre... la vigne..." เป็นสโลแกนของเมืองนี้





อันนี้แปลแบบตรงๆตัวได้ว่า "กาซีส... ทะเล... หิน... ไร่องุ่น..." หมายถึงเมืองนี้เค้ามีดีที่ทะเล และ “หิน” หมายถึง หินปูนสีส้มของเมืองนี้เค้ามีชื่อเสียงด้านคุณภาพ ซึ่งแต่ก่อนเอาไปสร้างถนนที่เมืองมาร์เซย์ สุดท้ายคือ “ไร่องุ่น” ที่มีอยู่ตลอดสองข้างทางที่เดินมา สำหรับที่นี่มีชื่อเสียงด้านไวน์สีชมพู ( Rosé ผมอ่านว่า โค-เซ่)

เดินจากป้ายนั้นมาอีกเกือบ 20 นาที ผมและชาวคณะก็มาถึงตัวเมือง Cassis สภาพที่เห็นเป็นเมืองขนาดย่อมๆกำลังน่ารัก มีตึกค่อนข้างเก่าแต่มีสีสันสวยงามเรียงรายโค้งไปตามท่าจอดเรือ ซึ่งมีเรือขนาดเล็กลักษณะแตกต่างกัน จอดเข้าซองอยู่เป็นจำนวนมาก




บรรดาตึกต่างๆเหล่านั้น เกือบทั้งหมดจะเปิดเป็นร้านขายอาหาร และขายของให้กับนักท่องเที่ยว เพราะปีๆหนึ่งที่นี่ต้องต้อนรับนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกจำนวนมาก (ผมไม่แน่ใจว่าเท่าไหร่นะ แต่มากจริงๆ)






มองไปมุมสูงหน่อยจะเห็นภูเขาที่เป็นหินๆ อย่างที่ว่า ด้านบนเป็นป้อมปราการเก่า "Château de Cassis" สร้างตั้งแต่สมัยศตวรรษที่ 13 ปัจจุบันถูกซื้อไปทำโรงแรม ราคาห้องสำหรับ 1 ท่านแบบถูกสุดตกอยู่ที่คืนละ ประมาณ 190 ยูโร ว่างๆก็มาพักนะครับ แต่อาจต้องจองล่วงหน้าด้วย




เดินต่อออกมาอีกประมาณ 50 ก้าว ก็ถึงชายหาด อย่างที่บอกว่าอากาศเริ่มหนาวแล้ว เพราะฉะนั้นวันนี้ขอบาย...แต่ก็เห็นมีบางส่วนใจถึงลงเล่นน้ำกันอยู่ (น้ำมันเย็นจริงๆครับ ตอนรอบสองที่ผมมาเป็นฤดูร้อนแล้ว มันยังเย็นเลยคิดดู...ไม่รู้ลงกันไปได้ยังไง)




ได้เวลาแล้ว!!..กิจกรรมสำคัญสำหรับวันนี้ คือการล่องเรือชม "Les Calanques" (เล-กาล็องก์) ซึ่งหมายถึง "หน้าผาหินที่ยื่นเข้าไปในทะเล" โดยเริ่มต้นที่ ท่าเรือ St. Pierre เค้ามีเรือให้บริการทุกวันตั้งแต่ 9.30-17.30 น. ทั้งนี้ขึ้นกับสภาพอากาศด้วย โดยมีสามแพ็กเกจให้เลือก เล็ก-กลาง-ใหญ่ หรือ 3-5-8 ...งงล่ะสิครับ

3-5-8 ที่ว่าคือจำนวน Calanques ที่เรือจะพาเราไปสัมผัสอย่างใกล้ชิดครับ ไหนๆก็มาแล้วจึงเลือกแพ็กเกจใหญ่สุดให้สมฐานะ(รวย) เบ็ดเสร็จ 17 ยูโร จ่ายไปเรียบร้อย ฐานะก็เปลี่ยนไป(จน) สำหรับรูปเรือติดไว้ก่อน ปีนี้ถ้าได้ไปจะนำมาเพิ่มเติมให้ครับ

...จ่ายไปตั้ง 17 ยูโรแล้ว ต้องพาเพื่อนไปหลายๆคนหน่อย ตามไปดูด้วยกันกับผมนะครับ...

...ออกเรือ!!




เมื่อเรือมุ่งหน้าออกสู่ทะเล ตัวเมือง Cassis ก็เริ่มห่างออกไปเรื่อยๆ ด้วยความเร็วของเรือทำให้ผมได้รับลมเย็นๆพอชื่นใจ ...ออกไปหน่อยก็เจอกับ Le phare de Cassis อ่านว่า เลอ-ฟา(เคอะ)-เดอ-กาซีส คือประภาคารที่มีไฟคอยให้สัญญาณกับบรรดาเรือที่สัญจรไปมาแถวนั้น




เรือล่องไปเข้าสู่ Calanques ต่างๆ 1-2-3..ตามลำดับ








ในแต่ละ Calanque มีเรือเล็กๆน่ารักๆ จอดพักเรียงรายสวยงาม

4-5-6.. เรือเริ่มเร่งความเร็วเพื่อทำเวลา..ลมเย็นๆพอชื่นใจนั้น เริ่มจะทำให้หนาวครับ








แต่ความหนาว ไม่ทำให้ความงามของ Calanques ลดลงไปเลยซักนิด ความรู้สึกส่วนตัวของผมที่นี่... "สวรรค์จริงๆ"



หากเป็นเจ้าของเรือลำเล็ก มาพักผ่อนตกปลาที่นี่ แบบนี้บ้างคงจะดีไม่น้อย (ฝันไปนู่น)




มองไปที่ชายหาดใน Calanques เห็นผู้คนอยู่จำนวนหนึ่ง ทราบมั้ยครับว่าในจำนวนนั้นส่วนหนึ่งมาที่นี่ด้วยการปีนภูเขา อันเป็นกิจกรรมโปรดอย่างหนึ่งของชาวฝรั่งเศส เรียกว่า escalade (ผมอ่านว่า เอส-กา-หลาด) ก็ไต่เขานั่นแหละ ถ้าจะเหนื่อยนะครับ ผมเลยไม่ยอมลอง

ถัดมาพายเรือ "Kayak de mer" อันนี้น่าลุ้นขึ้นมาหน่อย ซักสองสาม Calanques คงพอไหว มีโอกาสก็น่าลองเหมือนกันนะครับ






ด้านล่างนี้ สังเกตดีๆมีชายหนุ่มนั่งตากอากาศอยู่คนเดียว สันโดษดีนะครับ ตอนนี้ก็เริ่มเย็นแล้ว สงสัยจังว่าเค้าจะกลับบ้านยังไง??





...หรือว่าจะมีบ้านอยู่แถวนี้..


7-8...ครบแล้ว...ถ้าพาย Kayak มา คงตายไปตั้งแต่ Calanque ที่ 4 ...ภาพที่เห็น ทะเล หน้าผาหิน เรือน่ารัก ลมเย็นๆ(ที่ตอนหลังเริ่มจะหนาว) กิจกรรมของผู้คน ทำผมประทับใจ และช่วยตอบคำถามว่าทำไมนักท่องเที่ยวถึงชอบมากันนักนะที่นี่??

จากนั้นเรือก็เร่งความเร็วอีกครั้ง พาผมและคณะกลับมาส่งขึ้นฝั่งที่ท่าเรือ St. Pierre ..ใจดีจัง ขอบคุณมากครับ..กัปตัน

...ระยะเวลาในการชม 8 Calanques นี้ รวมแล้วทั้งหมดหนึ่งชั่วโมงครึ่ง...กำลังดี





ทะเล Cassis ยามเย็นก็สวยงามไม่น้อย (ภาพนี้เป็นคราวที่ไปเที่ยวกันรอบสองตอนฤดูร้อน ไม่งั้นเย็นป่านนี้คงไม่มีใครลงเล่นน้ำเป็นแน่ หนาวตาย!) บรรยากาศทำเอาเคลิบเคลิ้ม...จนมานึกได้ว่าต้องเดินกลับนี่หว่า!


Frédéric Mistral นักเขียนซึ่งเป็นชาว Provence ผู้ได้รับรางวัลโนเบลทางด้านวรรณกรรม เมื่อปี 1904 (Prix Nobel de littérature en 1904) ได้กล่าวไว้ว่า "Qui a vu paris, s'il n'a vu Cassis, n'a rien vu" หมายความว่า "ใครได้เห็นปารีส ถ้าไม่ได้เห็น Cassis ถือว่าไม่ได้เห็นอะไรเลย"




Create Date : 25 มิถุนายน 2550
Last Update : 29 ตุลาคม 2557 15:09:05 น.
Counter : 6186 Pageviews.

53 comment

pompier
Location :
Provence-Alpes-Côte d Azur  France

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]



+






หนาวนี้ที่โพรวองซ์ ตอน 1 : หิมะหลงทางที่ Aix en Provence 12/01/09
Le Pont du Gard มรดกโลก 2,000 ปี 09/11/08
เที่ยวโพรวองซ์ ( Provence ) ที่ ... LOURMARIN 29/10/08
ดิน..แดน..แดง แห่ง Provence 28/07/08
สีสัน (สีแดง) แห่งโพรวองซ์ ที่ Roussillon 22/05/08






web counters


MY VIP Friend