อดีตชาวดิน สระบุรี กรมที่ดิน (ราส์ส กิโลหก)
Group Blog
 
All Blogs
 

ดีใจ..หรือเสียใจ..??


ดีใจ หรือเสียใจ..??

วันนี้ ! เป็นวันหวยออก คอหวยทั้งหลายตั้งหน้าตั้งตาลุ้นตัวเลขกันตัวโก่ง ต่างคนต่าง
วาดวิมานในอากาศ พร้อมความฝันหลายๆอย่างเต็มหัว แต่ในความเป็นจริงส่วนมากจะ
กลายเป็นวิมานทรายในพริบตา มันจะทะลายหายวับไปกับตาเมื่อเลขหวยที่ออกมาไม่
เป็นใจ ผู้เพ้อฝันทั้งหลายจะ เกิดอาการเดินคอตก บ้างก็นอนก่ายหน้าผากหลังจากผิด
หวังไปกับตัวเลข แต่เกือบทุกคนก็ไม่เข็ด หันหน้าไปสร้างความหวังกันใหม่ในงวด
หน้า พร้อมเริ่มตอกเสาเข็มรอบใหม่ เพื่อสร้างวิมานทรายต่อไปแบบไม่รู้เข็ดรู้จบ..


แต่สำหรับที่วัดแห่งหนึ่ง เกิดการโกลาหลกันยกใหญ่เมื่อมีข่าวว่า สัปเหร่อประจำวัดถูก
หวยรางวัลที่ 1 เต็มใบเป็นเงิน 6 ล้านบาท(รางวัลในสมัยนั้น) ข่าวจากผู้หวังดียังบอกอีก
ด้วยว่า ลอตเตอรี่ฉบับที่ถูกรางวัลที่ 1 ฉบับนี้ แกได้รับให้จากญาติของคนตายคนหนึ่ง
มอบให้เป็นสินน้ำใจเมื่อคราวมีพิธีเผาศพเมื่อไม่กี่วันก่อนหน้านี้ มันเป็นลาภที่มาจากคน
อื่นแท้ๆ


ตาน้อย อายุประมาณ 70 ปีเศษๆ มาทำหน้าที่สัปเหร่อที่วัดนี้ตั้งแต่ยังเป็นหนุ่มใหญ่ แกเป็น
คนไม่มีครอบครัวไม่เคยมีลูกมีเมีย ญาติพี่น้องก็ไม่มี ตามประวัติแกติดตามเจ้าอาวาสผู้ซึ่งก่อ
ตั้งวัดนี้มาจากจังหวัดทางภาคอื่น เมื่อประมาณ 30 ปีมาแล้ว


สัปเหร่อน้อย เป็นคนกินง่ายอยู่ง่าย นิสัยใจคอชอบช่วยเหลือผู้อื่น จนเป็นที่รักใคร่ของ
คนที่รู้จักกันกับแก ดำรงชีวิตอย่างพอเพียง มีน้อยกินน้อยมีมากก็เก็บไว้กินวันข้างหน้า
ไม่ซื้อของฟุ่มเฟือย ไม่มีหนี้สินกับใคร


ถ้ามองกันดีๆ ตาน้อยนี่แหละเป็นคนที่มีความสุขอย่างแท้จริง ในสมองไม่มีปัญหาใดๆให้
ขบคิด ใช้ชีวิตประจำวันอย่างเรียบง่าย ไม่มีความเครียดในหัวสมอง วิถีชีวิตในแต่ละวัน
เอาแค่มีกินให้อิ่มครบ 3 มื้อก็ถือว่าพอใจ ไม่ต้องการไขว่คว้าอะไรให้มากกว่านี้ ไม่มีลูกเมีย
ให้เป็นห่วงหรือเป็นภาระปากเดียวท้องเดียวนึกจะไปไหนก็ไปได้ นึกจะนอนที่ไหนก็
นอนได้ อิสระเสรีจริงๆๆ

เงินหกล้านในสมัยนั้นใครมีอยู่ในครอบครองถือว่ามีฐานะเป็นเศรษฐีได้คนหนึ่งที่เดียว
ตาน้อยเอาลอตเตอรี่ไปฝากไว้ที่หลวงตาแช่มเจ้าอาวาส ซึ่งเป็นผู้ที่แกไว้ใจมากที่สุด และ
ขอร้องให้จัดการเรื่องเงินทั้งหมดให้ด้วย.


หลวงตาแช่มจัดการนัดเจ้าหน้าที่ธนาคารที่คุ้นเคยกัน เพื่อให้มาดำเนินการ เกี่ยวกับการ
รับฝากเงินจากลอตเตอรี่รางวัลที่ 1 โดยให้ตาน้อยเปิดบัญชีกับธนาคารรอไว้ เพื่อธนาคาร
จะได้ดำเนินการโอนเงินเข้าบัญชีต่อไป


ไม่ช้าเงินถูกรางวัล ซึ่งหลังจากหักค่าธรรมเนียมต่างๆแล้วเหลือเงิน 5 ล้านกว่าบาทก็เข้า
บัญชีของสัปเหร่อดวงเฮงเป็นที่เรียบร้อย กลายเป็นเสี่ยน้อยไปในทันที.


แต่ยังก่อน ! โบราณยังเคยว่าไว้ถ้าดวงเฮงมาแรงๆให้ระวังความซวยจะติดตามมา ในตอน
ดึกคืนต่อมาหลังจากตาน้อยเสร็จงานภายในวัดและเข้านอนไปแล้ว ปรากฏว่าลูกศิษย์วัดที่
นอนอยู่ใกล้ๆวิ่งกระหืดกระหอบมาเคาะประตูกุฏิหลวงตาแช่มด้วยสีหน้าตื่นตกใจ !


ได้ความว่าตาน้อยสัปเหร่อดวงเฮง เกิดอาการสำลักความเฮง คือมีอาการปวดท้องจนสุดจะ
ทน และอาเจียนออกมาเป็นเลือดจนเต็มห้อง เด็กวัดที่นอนพักอยู่ใกล้ๆเห็นอาการไม่สู้ดี
กลัวแกจะกลับบ้านเก่า จึงรีบวิ่งมาแจ้งให้หลวงตาได้รับรู้.


หลวงตาแช่มกำลังนอนจำวัดต้องรีบตื่นขึ้นมา โดยไม่รอช้าตะโกนเรียกลูกศิษย์หนุ่มๆ
มาช่วยกันอุ้มตาน้อยซึ่งมีอาการผิดสำแดง อ๊วก ! จนหมดเรี่ยวหมดแรงด้วยความทุลักทุเล
ไปใส่รถยนต์ของวัดพาไปส่งโรงพยาบาล ในเวลาเกือบเที่ยงคืน


“ ลุง ! กินอะไร ที่เป็นพิษมาหรือเปล่า ?” นางพยาบาลเวร. (หมายถึงอยู่เวร) ทำหน้าตา
ยับยู่ยี่เพราะถูกปลุกให้ตื่น ถามออกมาลอยๆแต่ไม่ได้มองหน้าใคร ? และเธอก็ทำการตรวจ
ความดันจดอะไรต่ออะไรไปตามเรื่อง เสร็จแล้วเรียกเจ้าหน้าที่แผนกรถเข็น เอารถเข็นมา
ให้ตาน้อยนั่ง แล้วเข็นไปรอที่ห้องฉุกเฉิน

ในห้องฉุกเฉินเจ้าหน้าที่เข็นรถที่ตาน้อยนั่ง มาจอดใกล้ๆกับรถเข็นอีกคันซึ่งจอด
อยู่ก่อน บนรถเข็นมีชายแก่รุ่นราวคราวเดียวกับตาน้อย นั่งตาลอยๆแต่กลิ่นเหล้า
หึ่งอบอวลทั่วห้อง เจ้าหน้าที่หนุ่มพอเข็นรถมาจอดเสร็จคงเหม็นกลิ่นเหล้า จึงรีบ
เดินกลับออกไป


ชายแก่เผยอตาขึ้นมามองตาน้อยผู้มาใหม่ ถามแบบเสียงยานๆว่า “ลุง ! เป็นไรหรือ ?”


ตาน้อยหันหน้าไปทางชายแก่ขี้สงสัย บอกไปเสียงดัง ว่า “ ข้า เป็น สัปเหร่อ”


ได้เรื่อง ! เจ้าแก่ขี้เมา ตะโกนเสียงหลง “พยาบาลๆๆ ผมจะกลับบ้าน ผมหายปวดท้องแล้ว”


หลังจากหมอได้ตรวจร่างกายตาน้อยแล้ว ก็สั่งให้นอนโรงพยาบาล พร้อมกับสั่งให้ญาติ
มารับทราบผลการตรวจในหลายวันต่อมา


หลวงตาแช่มในฐานะญาติ เพราะตาน้อยไม่มีญาติพี่น้องที่อื่น เดินทางเข้ามาพบคุณหมอ
เจ้าของไข้ ที่ห้องของคุณหมอ


คุณหมอรูปร่างอ้วนเตี้ย ใส่แว่นตาหนาเตอะเวลาพูดไม่ค่อยมองที่หน้าแต่ลูกตากลิ้งไป
กลิ้งมา อายุยังไม่มากน่าจะ 30 กว่าคงเพิ่งจบมาไม่นาน ในมือคุณหมอมีเอกสารต่างๆและ
ฟิล์มเอกเรย์แผ่นใหญ่แกหยิบเอกสารอันนั้นอันนี้เอามาดู จับแผ่นฟิล์มส่องดูไปมา ดันมี
ภาพนู้ดของสาวร่างามตกลงมาแผ่นนึง หลวงตาแช่มทำท่าจะชะโงกเข้าไปดูหมอรีบเอา
มือหยิบใส่ลิ้นชักอย่างรวดเร็ว แล้วหันมาทำหน้าเครียด


“มีข่าวไม่ค่อยดีนะครับ !” หมอร่างเตี้ย พูดเสียงเบาๆ.


“หา ! ว่าอะไรนะ ใครถูกตีเหรอ.?” หลวงพ่อแช่มหูแกไม่ค่อยดี ยิ่งหมอพูดเบาๆแกจึง
ฟังไม่ออก.

กว่าจะพูดกันรู้เรื่องเสียเวลาไปหลายนาที..


สรุปได้ว่า ผลการตรวจพบว่า ตาน้อยเป็นมะเร็งที่ตับระยะสุดท้ายจะมีชีวิตอยู่ได้ไม่
เกิน 6 เดือน !!


ถึงหมอจะสั่งห้ามไม่ให้บอกคนไข้ แต่หลวงตาก็อดที่จะบอกไม่ได้เพราะคิดว่า ตาน้อย
คงไม่กลัวตายอยู่แล้ว และก็เป็นตามคาดสัปเหร่อใจเด็ดขอออกจากโรงพยาบาลทันที
ไม่ว่าหมอหรือใครจะทัดทานอย่างไรแกก็ไม่ยอม แกมีความต้องการที่จะไปตายที่วัด.


คืนวันหนึ่งตาน้อยเดินเข้าไปหาหลวงตาแช่มที่กุฏิ แกไปปรึกษาเกี่ยวกับเงินที่มีอยู่ถึง 5
ล้านกว่าๆ เนื่องจากตาน้อยไม่มีทายาทที่ไหนอีก หลวงตาแนะนำให้นำเงินทั้งหมดออก
ไปทำบุญ โดยกระจายทำบุญไปให้ทั่ว เช่น วัด โรงเรียนในท้องที่ห่างไกล มูลนิธิเกี่ยว
กับการคุ้มครองสัตว์ บ้านพักคนชราและที่สำคัญหลวงตาออกตัวว่าไม่ต้องทำที่วัดนี้
เพราะจะดูไม่เหมาะสม.


ตาน้อยมีเวลาอีกไม่เกิน 6 เดือน ถ้าที่วัดไม่มีงานเกี่ยวกับศพและเมื่อมีเวลาว่าง แกจะเดิน
ทางเอาเงินไปทำบุญในที่ต่างๆที่ตั้งใจไว้ โดยพยายามทำให้มากแห่งที่สุดเพื่อจะได้เฉลี่ย
กันให้ทั่วถึง ภารกิจช่วงนี้ของสัปเหร่อใจบุญคือการเดินทาง แกเดินทางไปเกือบทั่ว
ประเทศ ระยะเวลาไม่ถึง 3 เดือนเงินหมดไปแล้ว 5 ล้านบาทมีเวลาอีก 3 เดือน กะว่ากว่า
จะตายคงเดินทางทำบุญจนเงินหมดพอดี.พวกชาวบ้านที่อาศัยอยู่แถวๆวัดหรือแม้แต่หลวง
ตาก็ตาม ต่างทักทายกันว่าช่วงนี้ตาน้อยหน้าตาอิ่มเอิบขึ้นมากคงเป็นเพราะบุญที่ทำช่วย
เสริมดวง.


อีกไม่กี่วันระยะเวลาจะครบ 6 เดือนแล้ว เงินเอาไปทำบุญเกือบหมด จนเหลือเงินติดตัวอยู่
เพียง 5000 บาทมีจุดประสงค์เพื่อเอาไว้ใช้ในงานศพตัวเอง ตาน้อยใจหายบ้างเล็กน้อยแต่
ก็ทำใจได้ด้วยความรวดเร็ว


“กลัวอะไรคนอยู่กับความตายแท้ๆ” แกปลอบใจตัวเอง.


วันหนึ่งมีศพเข้ามาในวัดหลังจากมีการจองศาลาล่วงหน้าแล้ว และที่ตามหลังรถขนศพเข้า
มาติดๆคือรถของโรงพยาบาลที่ตาน้อยเข้าไปตรวจนั่นเอง รถทั้งสองคันมาจอดที่หน้า
ศาลาวัด พวกญาติของคนตายและเจ้าหน้าที่ของวัดรวมทั้งสัปเหร่อน้อยพากันขนโลงศพ
ลงมาจากรถขนศพ ส่วนรถของโรงพยาบาล ด้านคนนั่งเปิดประตูออกมา ตาน้อยหันหน้า
ไปดู เป็นคุณหมอเตี้ยและพยาบาลหน้าย่นคนนั้นแต่งชุดขาวสะอาดเดินตามลงมา


ที่กุฏิเจ้าอาวาส


หลังจากให้เด็กวัดไปตามตัวสัปเหร่อน้อยมาแล้ว ทุกคนนั่งกันเป็นวงโดยหลวงตาแช่มนั่ง
อยู่บนเก้าอี้


คุณหมอเอามือขยับขาแว่น หันมามองหน้าสัปเหร่อน้อยยิ้มให้อย่างอารมณ์ดี พร้อมกรอก
ดวงตาไปมาตามความเคยชิน


“ผมมีข่าวดีมาบอก !”


หลวงตานั่งอยู่ห่าง หูก็ตึง ฟังไม่รู้เรื่องแต่ทำท่าว่าฟังออก


สัปเหร่อน้อยได้ฟังจากคุณหมอแต่เฉยๆ คิดในใจว่า “ ทางโรงพยาบาลจะแถมโลง
ให้หรือ ไง?”


“ คือๆๆว่า ผลการตรวจของลุงน้อยเกิดการผิดพลาดครับ ! จริงๆแล้วแกเป็นแค่แผล
ในกระเพาะอาหารเท่านั้น คนที่เป็นมะเร็งจริงๆคือศพที่ขนมาวัดพร้อมกันกับผม
นี่แหละ ! ผมมาขอโทษและแสดงความดีใจด้วยครับ” หมอยังไม่ทันพูดจบ

“นั่นไง? นั่นไง? ข้าว่าแล้วทำไมหน้าตามันไม่เหมือนคนเจ็บป่วย” หลวงตาดันหูดี
ขึ้นมาแบบกะทันหัน ไม่พูดเปล่าแต่ลุกขึ้นยืนเหมือนพวกเชียร์มวยในสนามมวย.


“ถึงว่าเมื่อกี้ ไปเปิดโลงศพ จำหน้าได้เป็นตาลุงขี้เมาที่ไปเจอที่ห้องฉุกเฉินวันนั้น ! แล้วนี่
เราจะดีใจหรือเสียใจดี ! คุณหมอนะคุณหมา” สัปเหร่อกระดูกเหล็กโกรธคุณหมอนิด
หน่อยเอง !!








 

Create Date : 16 ตุลาคม 2551    
Last Update : 16 ตุลาคม 2551 19:17:26 น.
Counter : 577 Pageviews.  

ความทรงจำเมื่อ 30 ปีก่อน


ความทรงจำเมื่อ 30 ปีก่อน...

ราส์ส กิโลหก

“นายอิน ๆๆๆ หลวงพ่อให้มาเรียก ไม่รู้มีธุระอะไร ? อยู่ที่หน้าโบสถ์นะ !” เสียงเด็กวัดวัย 11 ปีตะโกนอยู่ที่หน้าศาลา

นายอิน หรือ อ้ายอิน ของใครๆในละแวกนี้ กำลังกวาดใบไม้อยู่ที่ลานวัด ต้องหยุดกวาดพร้อม หันไปมองที่ต้นเสียง พลางตะโกนขานรับว่ารู้แล้ว ! แกเดินเอาไม้กวาดไปวางพิงไว้ที่ข้างต้นโพธิ์ขนาดใหญ่ซึ่งขึ้นอยู่กลางลานวัด ก้มหน้าเอามือปัดที่ชายเสื้อและขากางเกงเพื่อไล่ฝุ่นและเศษใบไม้

นายอินเป็นชายวัยกลางคน ตัวเตี้ยล่ำสันบึกบึน อายุประมาณ 40 ปี เขาเข้ามาอาศัยใบบุญที่วัดนี้เมื่อ 10 ปีที่แล้ว นายอินไม่ใช่คนแถบนี้ พื้นเพเป็นคนภาคอีสานแถวๆจังหวัดสุรินทร์ตัวจึงดำจนออกเขียวๆมีรอยสักยันต์ลายพร้อยเป็นตุ๊กแกเต็มตัว คงจะมีเชื้อเขมรเพราะเวลาพูดจะออกเสียงรอเรือชัดเจน แต่ใครมาถาม แกจะบอกว่าเป็นคนไทยร้อยเปอร์เซ็นต์

หลวงพ่อแช่มเจ้าอาวาสวัด ยืนอยู่ข้างกำแพงแก้วหน้าโบสถ์ มองดูโน่นดูนี่ ! นายอินเดินเข้าไปถึงถามว่า

“หลวงพ่อ ให้เด็กไปเรียกผมมีธุระอะไรหรือครับ ?”

หลวงพ่อแช่มหันกลับมามอง “นายอิน ช่วงนี้มีข่าวพวกขโมยและ ตัดเศียรพระฯ ออกมาอาละวาดแถวๆเขตบ้านเราวัดเรา ฉันจะให้แกมานอนเฝ้าในโบสถ์ เดี๋ยวเตรียมที่หลับที่นอนมาให้พร้อม”

“ได้ครับ ! หลวงพ่อ เดี๋ยวเย็นๆผมจะเข้ามาจัดการเอง” นายอินรับปากแข็งขัน

วันต่อมาเป็นประจำทุกๆวัน นายอินจะมีหน้าที่มานอนเฝ้าที่โบสถ์ หลวงพ่อเห็นว่านอนคนเดียวก็เป็นห่วงจะให้ลูกศิษย์วัดคนอื่นมานอนเป็นเพื่อนด้วย แต่เขาปฏิเสธบอกว่านอนคนเดียวสบายกว่า อีกอย่างเขาคิดว่าเขาคงดูแลตัวเองได้ ไม่มีปัญหาอะไร ?

คืนหนึ่ง เขามานอนเฝ้าที่โบสถ์ตามปกติเหมือนกับทุกวัน ในวันนี้อากาศเย็นสบายจนนอนหลับไปไม่รู้ตัว ช่วงที่พลิกตัวกลับขณะที่นอนอยู่ หูของเขาได้ยินแว่วๆเหมือนเสียงรถยนต์แต่เหมือนคลานมาช้าๆเสียงมันดังมาทางหน้าศาลาวัด ซักพักใหญ่ๆ เสียงนั้นตรงมาหยุดอยู่ที่หน้ากำแพงโบสถ์จนเขาได้ยินชัดเจนขึ้น เพราะนอนอยู่ติดกับประตูโบสถ์ด้านใน เป็นเสียงรถยนต์แน่นอน เข้าใจว่าตอนนี้มาจอดอยู่หน้ากำแพงโบสถ์แล้ว

“ใคร ? มาทำอะไร ? ดึกดื่นป่านนี้ นี่มันคงตี 2 แล้วมั๊ง !” เขานึกในใจพร้อมเอามือควานหามีดขอด้ามยาว ซึ่งเตรียมเอาไว้ป้องกันตัว คว้ามาได้เอามือกำที่ด้ามแน่นลักษณะเตรียมพร้อม ยันตัวลุกขึ้นเอาหูแนบไปที่บานประตูโบสถ์

เสียงเหมือนคนเดินมาหยุดตรงบานประตูโบสถ์ด้านนอก ได้ยินเสียงพวกมันคุยกันเบาๆเพราะตอนนี้ทั้งสองฝ่ายแทบจะอยู่ห่างกันไม่ถึง 2 เมตรมีเพียงบานประตูโบสถ์คั่นอยู่เท่านั้น เขาคะเนดูว่าน่าจะมีมากันไม่ต่ำกว่า 2 คน

มีเสียงเหล็กกระทบกัน เหมือนเสียงของแชลงเหล็กที่ใช้สำหรับงัดสิ่งของ.

เขาหัวใจพองโตเต้นแรงไม่เป็นจังหวะ มันเป็นพวกโจรขโมยพระนั่นเอง ! จะทำอย่างไงดี ? ในมือมีมีดขออยู่อันเดียว จะสู้กับพวกมันได้ยังไง !

เขาตัดสินใจไม่สู้ซึ่งหน้า ค่อยๆเดินคลำไปที่บานหน้าต่างโบสถ์ เลือกเอาด้านที่ห่างจากประตูโบสถ์มากที่สุด จัดการถอดสลักที่ล็อกบานออก แล้วค่อยๆแง้มออกให้กว้างพอแค่คนลอดออกไปได้ ปีนออกมาอย่างทุลักทุเล พอขาถึงพื้นเขาวิ่งไปที่กำแพงโบสถ์ กระโดดปีนข้ามกำแพงเพื่อออกมาด้านนอก บริเวณพื้นที่รอบๆโบสถ์ยังมีต้นไม้ใหญ่อยู่หลายต้น.

เขาออกเดินลัดเลาะไปตามข้างๆกำแพงโบสถ์ จนอ้อมไปถึงด้านหน้ามองเห็นรถกระบะของพวกโจรจอดแอบอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ข้างๆกำแพง เขา เพ่งสายตามองผ่านความมืดไปที่หน้าประตูโบสถ์ เห็นเงาๆพวกมันกำลังงัดประตูโบสถ์กันอยู่

จะแสดงตัวไล่พวกมันก็กลัวอันตรายเพราะไม่รู้ว่าพวกมันมีอาวุธปืนหรือเปล่า ?

เขาตัดสินใจเดินอ้อมไปที่รถของพวกมันซึ่งจอดอยู่ห่างออกไปพอสมควร ในใจคิดแผนการว่าจะแอบไปปล่อยลมยางรถให้แบนซัก 2 ล้อ เป็นการตัดกำลังป้องกันการขับรถหนี แล้วจะรีบวิ่งไปที่หน้าวัดเพื่อตะโกนให้คนมาช่วย

เขาเอามือกดไปที่หัวจุ๊ปยางรถยนต์ปรากฏเสียงดังจนตกใจ ถ้ากดต่อพวกโจรคงได้ยินเพราะบรรยากาศรอบๆเงียบสนิทไม่มีเสียงอื่น คิดเปลี่ยนแผนใหม่

“ถอดล้อเลย ดีกว่า !” เขาตัดสินใจฉับพลัน

ค่อยๆเอามือกดประตูรถด้านคนขับเพื่อเปิดประตู พร้อมดึงออกมาช้าๆจนประตูรถเปิดกว้าง แล้วดันเบาะด้านคนขับเอียงขึ้นเพื่อหาเครื่องมือถอดนอตล้อที่อยู่ด้านหลังเบาะ โชคดีควานหาจนพบ

เป็นก้านเหล็กรูปร่างงอๆด้านหนึ่งเป็นรูสำหรับเสียบนอต อีกด้านเป็นด้ามสำหรับเอามือจับเพื่อหมุนนอต

เอาด้านที่เป็นรูประกบเข้ากับนอตตรงกระทะล้อ แล้วออกแรงขันนอตตัวที่ 1 จนเริ่มคลายตัวออกมาเขาหมุนจนนอตหลวม แล้วเริ่มตัวที่ 2 ต่อไปเอามือคลำดูมีนอตทั้งหมด 6 ตัว ขันจนคลายตัวไปได้ 4 ตัว แต่แล้ว ต้องสะดุ้ง ! เพราะมีเสียงพวกโจรเดินกันออกมา เขาจึงรีบเอาที่ขันนอตไปวางไว้หลังเบาะรถอย่างเดิม เอามือกดประตูรถให้เข้าที่ แล้วรีบแอบมาหลบที่หลังต้นไม้.

พวกโจรมีกันทั้งหมด 3 คนมีคนหนึ่งเดินนำหน้า มีไฟฉายเล็กๆอยู่ในมือ อีก 2 คนกำลังยกพระพุทธรูปทองเหลืององค์ใหญ่เดินตามหลังออกมา ทั้งหมดรีบยกมาที่หลังรถเอาพระเอนนอนลง เอากระสอบที่เตรียมมาคลุมทับอีกที ไอ้คนที่ถือไฟฉายเอาเครื่องมืองัดแงะมาวางทับไปอีกชั้นหนึ่ง

เขาคิดจะวิ่งไปที่หน้ากุฏิที่พวกพระจำวัดกันอยู่ ซึ่งอยู่ห่างไปประมาณ 200 เมตรเพื่อตะโกนให้มาช่วยกัน แต่ต้องรอให้พวกมันขึ้นรถกันก่อนเพราะถ้าวิ่งผ่านไปตอนนี้คงเสร็จมันแน่ !

พอพวกมันขึ้นรถกันหมด เขาออกวิ่งจากที่ซ่อนทันทีเป้าหมายอยู่ที่หน้ากุฏิเจ้าอาวาส เสียงวิ่ง ตึกๆๆดังก้องในความเงียบ พวกหมาวัดหลายๆตัวที่หลับนอนอยู่แถวๆบริเวณนั้น ตกใจสะดุ้งตื่นพร้อมกับเห่าหอนเสียง ระงมก้องไปทั้งวัด ตามด้วยเสียงกระหึ่มของรถยนต์ที่เร่งเครื่องอย่างเต็มที่ ลำแสงจ้าจากไฟหน้ารถสาดส่องเป็นสายในความมืด พร้อมรถเคลื่อนตัวออกจากตัววัดไปอย่างรวดเร็ว

เนื่องจากวัดนี้ตั้งอยู่ห่างจากที่ชุมชนพอสมควร กว่าพระในวัดจะตั้งหลักกันได้พวกโจร 500 เผ่นหายวับไปกับความมืดพร้อมพระทองเหลืององค์ใหญ่

พระในวัดตื่นกันหมดรวมทั้งหลวงพ่อแช่มเจ้าอาวาส ไม่นานข่าวแพร่ออกไปกำนันและผู้ใหญ่บ้านต่างเดินทางมาที่วัด เวลาตี 3 ในบริเวณวัดขณะนี้เต็มไปด้วยชาวบ้านละแวกข้างเคียงที่รู้ข่าว และทุกคนสาปแช่งพวกโจรร้ายด้วยความโกธรแค้น

นายอินยืนอยู่หน้ากลุ่มชาวบ้าน พูดให้ชาวบ้านทุกคนได้ยินว่า “พวกมันไปได้ไม่ไกล หรอก !”

เป็นที่อัศจรรย์ยิ่งนัก..

ตอนสายวันรุ่งขึ้น ตำรวจมาเต็มวัดพร้อมกับนำพระพุทธรูปที่ถูกโจรกรรมไปเมื่อตอนกลางคืน มามอบคืนให้กับเจ้าอาวาส ชาวบ้านไชโยโห่ร้องเพราะได้พระที่นับถือคืนมาแบบไม่คาดฝัน

ตำรวจให้รายละเอียดว่า รถของคนร้ายไปคว่ำหงายท้องลงข้างถนนเพราะล้อหน้าหลุด จุดที่คว่ำห่างจากวัดไปประมาณ 20 กิโลเมตร ผลปรากฏว่าตายไป 2 คนและบาดเจ็บ สาหัส 1 คน ไปสอบสวนคนเจ็บถึงรู้ว่ามันมาขโมยพระไปจากที่นี่

ชาวบ้านพอได้รู้ข่าวจากตำรวจถึงกับร้องกันอื้ออึง ! ด้วยความศรัทธา.

และต่างนึกถึงคำพูดที่ศักดิ์ของนายอินที่ว่า “พวกมันไปได้ไม่ไกลหรอก”

มีผลทำให้ชาวบ้านที่รู้ข่าวต่างโจทย์กันว่านายอินมีวาจาศักดิ์สิทธิ์..


สามสิบปีต่อมา.


หลวงตาอิน หรือหลวงพ่ออิน...เจ้าอาวาส ซึ่งนั่งท้าวแขนอยู่บนเก้าอี้โยกบนกุฏิของท่านเอง เอื้อมมือไปหยิบถ้วยน้ำชาซึ่งมีน้ำชาร้อนๆอยู่เต็มถ้วย ยกขึ้นซดเข้าปากดัง โฮก ใหญ่.

พลางกวาดสายตามองทางกลุ่มญาติโยมที่นั่งกันหน้าสลอนหลายสิบคน ซึ่งมานั่งฟังหลวงตาอินเล่าความหลังให้ฟัง

“เรื่องนี้มันผ่านมาเกือบ 30 ปีมาแล้ว แต่ก็ยังจำได้แม่นเหมือนผ่านมาแค่ ไม่ถึง 10 ปี” หลวงตาเงยหน้ามองเพดาน พลางเอนหลังกับเก้าอี้โยก

“วาจาหลวงตานี่ ศักดิ์สิทธิ์จริงนะครับ ! พวกโจรมันจึงไปไม่รอด” ชายหัวล้านมีอายุคนหนึ่งพูดพร้อมยกมือขึ้นพนมที่อกด้วยความนอบน้อม.

หลวงตาอินหรือนายอินเมื่อ 30 ปีก่อน หันมามองชายหัวล้านด้วยสายตาอ่อนโยน พลางคิดในใจว่า

“ ขอโทษด้วยนะ ! ตอนที่แอบไปถอดนอตล้อ อาตมาขอปิดเป็นความลับ ส่วนนี้ขออนุญาตไม่เล่าข้ามไปแล้วกัน”




 

Create Date : 11 ตุลาคม 2551    
Last Update : 11 ตุลาคม 2551 11:35:22 น.
Counter : 515 Pageviews.  

อ้ิ้ายหน่อยเพื่อนผม(ตอน 2 ผู้ช่วยเมีย)

อ้ายหน่อยเพื่อนผม..(ตอนที่ 2..ผู้ช่วยเมีย.!)

ราส์ส กิโลหก

หลังเทศกาลสงกรานต์(ประมาณพ.ศ. 2523)ที่ผ่านมา ถือเป็นฤกษ์ดี การรื้อย้ายบ้านแม่ยายที่อยู่ต่างอำเภอก็เริ่มดำเนินการ โดยคณะช่างที่ช่วยในการรื้อย้ายไม่ใช่คนอื่นไกลเป็นญาติๆทางเมียของอ้ายหน่อย.ทำให้มันยิ้มออกคลายความเครียดไปแยะ เพราะไม่ต้องจ่ายเงินมากเกินไป .

ไม้ที่รื้อจากบ้านเก่าและข้าวของต่างๆ พวกที่หลับที่นอน โอ่งชามรามไห เอามากองไว้ที่บ้านผมก่อน จากนั้นก็เริ่มก่อสร้างบ้านหลังใหม่บนที่ดินของมันที่ถมดินรอไว้เรียบร้อยแล้ว รูปแบบเป็นบ้านขนาดไม่ใหญ่มากนักลักษณะไม้สองชั้นหลังคามุงสังกะสี พื้นด้านล่างเทปูนเต็มพื้นที่ ก็ไม่ถึงกับคับแคบอะไร ดีที่มีพื้นที่เกือบ 200 ตารางวา เลยทำให้ภาพโดยรวมเป็นบ้านที่น่าอยู่พอสมควร.

แม่ยายอ้ายหน่อยชื่อ ยายแขก(แต่เป็นคนไทย 100 เปอร์เซ็นต์). อายุประมาณซัก 50 เศษๆร่างเล็กสูงไม่ถึง 160 ซ.ม.รูปร่างผอมเกร็งปากแดงเพราะกินหมาก มีสัญลักษณ์ที่เห็นได้ชัดคือเวลาเดินแกจะเดินโหย่งๆเหตุเพราะที่เท้าข้างหนึ่งเคยเกิดอุบัติเหตุ ทำให้ต้องเดินโหย่งๆ ที่เท่ห์สุดๆคือแกใส่แว่นตาแบบกลมๆเหมือนวัยรุ่นใส่กัน ถ้าเปลี่ยนกระจกเป็นสีดำรับรองเข้ารวมกลุ่มกับแก๊งวัยรุ่นต่างๆได้สบาย.

ยายแขกเป็นคนขยันเกินอายุ วันๆไม่ค่อยอยู่เฉยทำโน่นทำนี่ทั้งวัน ผมเคยเห็นแกเดินถือเลื่อยอันใหญ่ผ่านหน้าไปเมื่อตอนเช้า พอตอนเที่ยงวันแกเดินผ่านกลับมาอีกครั้งไม่มามือเปล่าบนบ่าแบกต้นไม้ขนาดใหญ่ที่ทอนใบและกิ่งออกแล้วความยาวเกือบ 3 เมตร แกเดินฉิวผ่านหน้าบ้านผมไปอย่างกับเดินตัวเปล่า ได้ความว่าเอาไม้ไปเผาถ่าน ผมต้องยอมรับว่ายายแขกเป็นหญิงเหล็กจริงๆ

วันหนึ่งเป็นวันหยุดไม่ได้ไปทำงาน ช่วงเที่ยงวันอ้ายหน่อยเดินมาหาผมที่บ้าน เจอหน้าผมมันเอาลิ้นเลียปากตัวเองแล้วบอกกับผมว่า ให้ไปที่บ้านมันไปกินยาดองกันวันนี้เป็นวันดีไปฉลองกันหน่อย

ผมแกล้งถามว่า “ฉลองไรวะ ! หรือฉลองว่าวันนี้ไม่ใช่วันพระ ” ผมแซวมันเล่นๆจริงๆแล้วเราหาเรื่องกินกันเกือบทุกวันตอนเย็นๆหลังจากเลิกงานกลับมาถึงบ้าน พอเจอหน้ากันเหมือนขวดเหล้าเจอกับแก้วเหล้า จะนั่งกินกันประมาณหมดขวดแม่โขงขนาดกลม ถ้าไม่มีขาอื่นมาสมทบก็กลับบ้านกัน ส่วนการจะไปกินที่บ้านใครอยู่ที่จังหวะ เพราะบ้านมันกับบ้านผมอยู่ห่างกันแค่ไม่ถึง 20 เมตร

ถนนหน้าบ้านเดิมเป็นถนนลูกรัง ช่วงหน้าฝนก็เฉอะแฉะเพราะน้ำท่วมขัง ครั้งหนึ่งผมเคยไปรังวัดที่ดินให้เจ้าของโรงโม่แห่งหนึ่งที่ตำบลหน้าพระลาน พอสนิทกันเลยขอหินเพื่อมาถมถนนบริเวณหน้าบ้าน เจ้าของแกใจดีให้มา 2 รถสิบล้อแทนที่จะเอาหินคลุกสำหรับถมถนนมาส่งให้ ลูกน้องเจ้าชองโรงโม่ คงฟังคำสั่งผิดดันเอาหินก่อสร้างที่เรียกว่าหิน 2 ขนมาให้ พอเทลงบนถนนเกลี่ยแล้วหินเป็นก้อนๆไม่ยอมเกาะตัวกัน พรรคพวกอยู่แถวๆด้านในต้องเข้าออกผ่านบ่อยๆ บ่นกันพึม เพราะหินมันเป็นก้อนเล็กๆพอรถขับผ่านก้อนหินจะดิ้นทำให้ลื่น เฮ้อ ! ทำบุญกลับได้บาปโดยไม่ตั้งใจ.

อ้ายหน่อยเตรียมเหล้ายาดองเสือ 11 ตัวพร้อมแก้วและจานกับแกล้ม 2 – 3 อย่างอยู่บนแคร่ใต้ต้นมะม่วงหน้าบ้าน เพราะทำเลตรงนี้ร่มเย็นจากกิ่งใบของต้นมะม่วง บรรยากาศก็ดีเงียบๆเพราะขณะนั้นบริเวณนี้ก็เหมือนชนบทกลายๆ บ้านที่สร้างในซอยนี้มีไม่มากนับหลังได้ แปลงที่ดินตรงไหนที่ไม่มีการสร้างบ้านก็เป็นที่ว่างมีต้นไม้ขึ้นเป็นดง ทั้งต้นใหญ่ต้นเล็กเป็นที่อยู่ของงูเงี้ยวเขี้ยวขอไป

นิสัยของอ้ายหน่อยถ้ากินจนเมาก็จะเมาประเภทสุดๆคือไม่รู้เรื่องเหมือนฟิวส์ขาด หญิงกบเมียอ้ายหน่อย เคยพูดกับผมพร้อมพร้อมแสดงท่ามันเขี้ยวทำเสียงสูงๆบอกว่า

“พี่เอ๊ย ! เวลาเห็นมันเมาไม่รู้เรื่องกลับมาบ้าน หนูเห็นแล้วมันเขี้ยวอยากจะจับมันโยน เข้าไปอาบน้ำในเครื่องซักผ้า” หน้าตาเธอแสดงออกถึงการเอาจริงไม่ได้พูดเล่น ผมยังหนาวแทนอ้ายหน่อย.

หญิงกบเมียอ้ายหน่อยเป็นลูกคนโตของยายแขก และมีน้องอีก 2 คน คือ กวางและโพธิ์ เป็นผู้หญิงกับผู้ชายมาอยู่บ้านสร้างใหม่หลังนี้พร้อมกับยายแขกด้วย เมียอ้ายหน่อยเป็นคนเสียงดังและเจ้าอารมณ์ ถ้าสองคนนี้ทะเลาะกันจะได้ยินแต่เสียงเมียลั่นบ้าน ส่วนรูปร่างนั้นไม่ต้องอธิบายเอาเป็นว่าถ้าให้ใส่นวมชกกับอ้ายหน่อย รับรองอ้ายหน่อยสู้ไม่ได้เผลอๆโดนน๊อคแค่ยกที่ 1 เรื่องจิตใจไม่ต้องพูดถึงเพราะหล่อนทำงานเป็นพยาบาลประจำห้อง ไอ.ซี.ยู ของโรงพยาบาลฯ เห็นความตายเป็นเรื่องเล็กอยู่แล้ว

กินกันไปคุยกันไป เวลากินเหล้าเรื่องคุยมันแยะบางที่คุยกันไปแล้ว 1 รอบ ยังเอามาคุยกันใหม่ได้โดยไม่รู้ตัว จนเวลาซัก 6 โมงเย็น เหล้าหมดไปแล้ว 1 กลมใหญ่ชักได้ที่กันแล้ว

เสียงคนเดินมาทางหน้าบ้าน หันไปมองเป็นยายแขก กำลังเดินแบกต้นไม้ขนาดเท่าขาผู้ใหญ่ยาวไม่ต่ำกว่า 3 เมตรเดินเลี้ยวเข้าบ้านเพื่อเอาไปเผาถ่านที่บริเวณหลังบ้าน

อ้ายหน่อยมองตามหลังยายแขกไป เสร็จแล้วหันหน้ามาพูดกับผมว่า “มรึงช่วยโทร.ไปแจ้งตำรวจให้กรูหน่อย ได้ป่าว วะ !” เล่นเอาผมเกือบหายเมา

รีบถามมันด้วยความ งงๆ “ทำไมหรือ ? วะ !”

“นี่ ไง !” มันยื่นมือและชี้นิ้วตามหลังแม่ยาย “พวกตัดไม้ทำลายป่า จนต้นไม้แถวนี้เตียนหมดแล้ว” มันพูดหน้าตาเฉย ผมนึกด่ามันในใจ อ้ายนี่ ทะลึ่ง..!

อ้ายหน่อย เลี้ยงหมาหัวโปรดอยู่หนึ่งตัว ชื่อว่าไอ้เหี้ยน ตัวไม่ใหญ่ขนเกรียนทั้งตัวแบบหมาพันธ์ไทยทั่วไป ตามประวัติมันเก็บมาจากตลาดตั้งแต่ยังเป็นลูกหมาตัวเล็กๆ อ้ายหน่อยเป็นคนเลี้ยงหมาขึ้น หรือคงรู้ภาษาหมาจนแตกฉาน อ้ายเหี้ยนจึงรักอ้ายหน่อยอยู่คนเดียวในบ้าน คนอื่นๆมันไม่สน ที่รู้ได้เพราะไม่ว่าอ้ายหน่อยไปไหนอ้ายเหี้ยนตามไปเป็นองค์รักษ์ตลอด แต่เวลาเจ้าของไปทำงานมันก็แสนรู้ไม่ตาม

วันนี้เป็นวันหยุด พรุ่งนี้ก็หยุดเพราะเป็นวันอาทิตย์จึงไม่มีอะไรห่วงกินกันได้เต็มคราบ เวลาล่วงเลยจนถึง 5 ทุ่มเหล้าขวดที่ 2 หมดไปอีกเกือบครึ่ง พวกในบ้านอ้ายหน่อยปิดบ้านนอนกันแล้ว

ตัวอ้ายหน่อยเมาจนพูดไม่ค่อยรู้เรื่อง ผมก็ชักไม่ไหวบอกมันว่าเลิกกันเถอะดึกแล้ว ผมลุกขึ้นจะเดินกลับบ้านซึ่งห่างไปแค่คืบ แต่อ้ายหน่อยไม่ยอมมันบอกว่าต้องไปส่งผมที่บ้าน พอไปถึงหน้าบ้านผมกำลังจะเข้าบ้าน มันกลับบอกให้ผมไปส่งมันที่บ้านบ้าง..

เป็นอย่างนี้กลับไปกลับมาประมาณ 4-5 เที่ยว ถึงจะเสร็จเรื่องต่างคนต่างถึงบ้านเสียที่ ! เวรกรรมพวกขี้เหล้า

ตอนเช้าวันรุ่งขึ้น เกือบ 10 โมงเช้าผมมีธุระต้องเดินผ่านบ้านอ้ายหน่อย มองเห็นมันนั่งตาลอยๆอยู่ที่เก้าอี้หน้าบ้าน เหมือนคนพึ่งตื่น จึงตะโกนทักมันว่า

“เมื่อคืนเป็นไงบ้างวะ อ๊วกหรือเปล่า ?” ผมรู้นิสัยมันดีว่าถ้ากินเหล้าหนักๆมันชอบอ๊วก

มันลุกเดินมาพูดกับผมที่ริมรั้วบ้าน “ กรูเมาไม่รู้เรื่อง เดินจะเข้าบ้านเมื่อคืนเข้าไม่ได้ คนในบ้านนอนหมดแล้ว ดันเสือกอ๊วกเลอะเต็มตัวอยู่ตรงประตูบ้าน เมาก็เมาเลย นอน แม่ง ! ตรงประตูซะเลย” พูดเสร็จมันหันมองเข้าไปในบ้าน

“แต่เมียกรูมันก็ยังดี” อ้ายหน่อยสายตาเป็นประกายแสดงถึงความภูมิใจสุดๆ

“ ขนาดกรูเมานอนหลับอยู่หน้าประตูบ้าน ยุงกัดลายไปทั้งตัว แต่ตอนตื่นขึ้นมาตอนเช้า เสื้อผ้า หน้าตาเกลี้ยงหมด พื้นก็เกลี้ยงสะอาด มันคงมาเช็ดให้กรูไม่รู้ตอนไหน ?” มันก็ดียังมีน้ำใจกับกรู ทุกทีถ้าเห็นเมาที่ไรมันด่ากรูตลอด

ผมไปทำธุระเรียบร้อยแล้ว ช่วงเดินกลับบ้าน ผ่านมาทางหน้าบ้านอ้ายหน่อย เห็นหญิงกบเมียมันยืนอยู่ตรงหน้าบ้าน เลยเอ่ยปากถามว่า เมื่อคืนลงมาเช็ด อ๊วกให้อ้ายหน่อย ตอนไหนหรือ ?

หญิงกบทำหน้า งงๆ เหมือนถูกผีหลอก ซักพักเสียงดังปานฟ้าผ่าก็ดังขึ้น สนั่น !

“ใคร ? ที่ไหน.! จะเช็ดให้มันพี่ ! หนูไม่กระทืบซ้ำก็บุญแล้ว เมาแล้วอ้อนจริงๆ หนูรำคาญเหม็นอ๊วกด้วย เลยปล่อยให้มันนอนนอกบ้านจนถึงเช้าเลย”

“อ้าว ! แล้วใครเช็ดอ๊วกให้มันล่ะ” ผมสงสัย

เสียงหญิงกบมาแรงกว่าเดิมเท่าตัว “ก็อ้าย เห้...(เธอไม่เคยเรียกชื้อเต็มแต่เรียกสั้นๆ)หมาตัวโปรดของมันไง ? ไปกินไปเลียอ๊วก ของตาหน่อยจนเกลี้ยง เมาตามไปอีกตัว นอนอยู่ข้างรั้วนั่นไง !ยังไม่สร่างเลย”

นั่น ซิ! ผมก็สงสัยอยู่เหมือนกันว่าวันนี้ไม่ได้ยินเสียง เห่าของ อ้าย เหี้ยน สัก โฮ่ง ! เดียว..




 

Create Date : 05 ตุลาคม 2551    
Last Update : 6 ตุลาคม 2551 6:45:29 น.
Counter : 683 Pageviews.  

ไปดู...ผ๊ !! (ตอนจบ)

(ตอนจบ)
ผมมองดูเวลาตอนนี้เกือบบ่าย 2 แล้ว นึกสนุกไปกับจ่าย้อย เปลี่ยนที่กินเหล้าให้มันตื่นเต้นหน่อยก็ดีเหมือนกัน รถตู้จ่าแกก็มีไปกลับสะดวกสบาย น่าจะเข้าท่าไปกันหลายๆคนกลัวอะไร ที่สำคัญพรุ่งนี้เป็นอาทิตย์ไม่ต้องไปทำงาน.


“จ่าพูดจริงหรือเปล่า ? ไม่ล้อเล่นนะ ผมเอาจริงๆด้วย !”


“จริง ซิ ! เดี๋ยวไปกันเลย แต่รถของผมด้านหลังไม่มีเบาะนั่งนะ เอาสื่อปูนั่งกันไปแล้วกัน” จ่าย้อยเป็นห่วงกลัวจะนั่งกันลำบาก


ซาวเสียงสมาชิกในวงเหล้า พรรคพวกกลัวเสียหน้าไม่มีใครปฏิเสธ ไปไหนไปกัน !


จ่าย้อยขอตัวกลับไปเตรียมรถ และต้องไปแจ้งให้นางหอยเมียแกว่า จะออกไปกินเหล้าที่บ้านนอก กับพวกช่างฯ เพราะแกอยู่กันแค่สองคนผัวเมียลูกเต้าโตหมดแล้ว แต่ละคนแยกย้ายไปอยู่ที่อื่นกันหมด.


ผมให้อ้ายเบี้ยววิ่งไปซื้อกับข้าวที่ตลาด ส่วนพวกแก้วจานชามกะว่าจะไปยืมเอาที่บ้านลุงบุญ โซดาน้ำแข็งไม่ต้องซื้อให้เกะกะ เพราะเหล้าป่าในหมู่บ้านมีขาย กินเหล้าป่าต้องกินเพียวๆ ถ้าจำไม่ผิดขนาดขวดแม่โขงกลมใหญ่ราคาขวดละ 15 บาท มีขายไม่จำกัด


อุปกรณ์สำคัญที่ลืมไม่ได้เด็ดขาดคือไฟฉาย ผมให้ สาธิต เบิ้ม และ สมาน ไปจัดเตรียมมาให้พร้อม กินเหล้ามาก็หลายครั้ง แต่คราวนี้มีความรู้สึกตื่นเต้นมากๆ เหมือนตอนเด็กๆที่ผู้ปกครองบอกว่าจะพาไปเที่ยวทะเล.


ทุกคนใส่เสื้อกันหนาวอยู่กับตัวเพราะอากาศเริ่มเย็น จ่าย้อยหอบเสื่อโยนใส่ไปที่หลังรถ 2 ผืนสมาชิกพร้อม อุปกรณ์ต่างๆพร้อม ตรวจสอบความเรียบร้อยไม่มีอะไรขาดเหลือ รถตู้พาพวกเราออกจากที่พักเมื่อประมาณ 3 โมงเย็น.


ผมให้อ้ายเบี้ยวไปนั่งด้านหน้าคู่กับคนขับคือจ่าย้อย เพื่อทำหน้าที่บอกเส้นทางไปบ้านลุงบุญ ส่วนพวกผมปูเสื่อนั่งกันที่ด้านหลังรถ เอาเหล้าที่เหลือจากเมื่อกลางวันมานั่งกินต่อ และไม่ลืมชงเหล้าให้จ่าย้อยกินเป็นระยะๆ(สมัยก่อนไม่มีการตรวจจับกินแล้วขับ) เป็นรถตู้มหาสนุกจริงๆ เสียงพวกขี้เมาคุยกันเสียงดังลั่นรถไปตลอดทาง.


รถวิ่งมาจนถึงทางแยกซึ่งเป็นถนนดิน ดีนะที่เป็นรถตู้มีกระจกและตัวถังรถมิดชิด ทำให้ฝุ่นจากถนนดินเข้ามาในตัวรถไม่ได้ ไม่งั้นกินฝุ่นกันอิ่มแน่ .


ก่อนเข้าบ้านลุงบุญ เราแวะไปที่บ้านขายเหล้าป่า สั่งซื้อมา 6 ขวดเอามาเผื่อไว้ จากนั้นรถวิ่งต่อไปยังบ้านลุงบุญซึ่งเป็นจุดหมาย ถึงบ้านลุงบุญเกือบ 5 โมงเย็น ลุงบุญตกใจเห็นคนมาในรถกันเยอะแยะพอเห็นหน้าผมและอ้ายเบี้ยว จึงจำได้


ผมลงจากรถจับมือแกมาคุยบอกว่าพวกเรา จะไปกินเหล้าที่หน้าบ้านนางแป้น .


แกทำตาเหลือก “ โอ๊ย ! นึกหาเรื่องอะไรกันนี่ ! ทำเป็นล้อเล่นไป เล่นกับผีกับสาง ไม่ดีนะครับ”


จ่าย้อยลงมาช่วยพูดอีกแรงหนึ่ง แกยังลังเล ผมจึงบอกว่าให้เอาธูปไปด้วยไปจุดธูปบอกขอโทษก่อนแล้วกัน แกจึงเสียงอ่อนเพราะคงเห็นว่าขัดพวกผมไม่ได้ อีกอย่างมากันจนถึงที่แล้ว.


ลุงบุญบอกให้เมียแก จัดจานชามและแก้วเหล้า ตัวแกเดินไปคว้าจอบมาถือไว้ .


“เดี๋ยวขับรถตามผมมา บางช่วงคันนามันสูงต้องถากคันนาให้มันเตี้ยลง ไม่งั้นรถวิ่งไปไม่ได้มันจะติดใต้ท้องรถ” แกพูดแล้วเตรียมตัวออกไป.


พวกเราไม่ขึ้นรถแต่เดินตามลุงบุญ ให้จ่าย้อยขับรถตามมาคนเดียว เพราะรถจะได้มีความคล่องตัว รถวิ่งลัดเลาะมาตามท้องนา บางช่วงที่คันนาสูงลุงบุญก็จัดการใช้จอบถากจนรถวิ่งผ่านไปได้สะดวก ใช้เวลาเกือบ 20 นาทีทั้งรถและคนก็มาถึงหน้าบ้านนางแป้น


ผมไม่ค่อยตื่นเต้นเพราะเคยเห็นมาแล้ว แต่คนอื่นๆแม้แต่จ่าย้อยมองดูแล้วก็อึ้งๆไปเหมือนกัน เราเลือกทำเลที่จะนั่งกินเหล้ากันบริเวณด้านหน้าบ้าน ห่างจากบันใดหน้าบ้านประมาณ 10 เมตร ผมบอกให้จ่าย้อยตั้งลำรถโดยหันท้ายรถไปที่ตัวบ้านหันหัวรถออกนอกบ้าน กะว่ามีอะไรไม่ชอบมาพากลจะได้ขับรถออกไปได้เลย ไม่ได้กลัวแต่ไม่ประมาท ไม่เชื่ออย่าลบหลู่ว่างั้น ?


ด้านข้างรถทางด้านซ้ายมือซึ่งเป็นประตูปิดเปิดข้างตัวรถ ผมขอแรงลุงบุญเอาจอบมาปรับพื้นที่ให้เรียบ เพื่อเอาเสื่อมาปู คนอื่นๆช่วยกันยกสิ่งของต่างๆมาวางที่เสื่อ อ้ายเบี้ยว รู้หน้าที่มันวิ่งไปหาขอนไม้และเศษไม้แห้งแถวๆนั้นได้มากองใหญ่ เพื่อเอามาเป็นเชื้อไฟ เราต้องก่อกองไฟเอาความอบอุ่นและแสงสว่าง.


เพิ่งห้าโมงกว่ายังไม่มืด ผมเห็นจ่าย้อยเดินตรวจตรารอบๆบ้าน ซึ่งรกไปด้วยเศษใบไม้แห้งที่ล่วงหล่นมาจากต้นไม้ใหญ่ๆหลายต้นรอบๆบ้าน ต้นไม้ใหญ่มีทั้ง ต้นมะเกลือ มะขาม มะม่วงก็มีแต่เป็นมะม่วงกระล่อนป่าต้นสูงใหญ่เกือบมิดตัวบ้าน แกไม่เดินแค่รอบบ้านแต่ยังปีนบันใดขึ้นไปบนบ้านอีกด้วย คงอยากรู้อยากเห็นและแกไม่เชื่อเรื่องผีสางอยู่แล้ว คงคิดว่าเหตุการณ์ต่างๆที่เล่ากันมาน่าจะเป็นการกระทำของคนมากกว่า.


ตะวันลับหายไปพร้อมแสงสว่าง ความหนาวเย็นมาแทนที่ กองไฟถูกก่อขึ้นท่ามกลางลมหนาวที่พัดมาเป็นช่วงๆจนกองไฟแดงโร่แตกเป็นสะเก็ดปลิวขึ้นทุกครั้งที่ลมพัดมากระแทกใส่ วงเหล้าพเนจรเริ่มแล้ว แก้วเหล้าและคนรินเหล้าเริ่มทำหน้าที่ .


มัวแต่ยุ่งๆจนลืมเรื่อง จุดธูปเพื่อบอกกล่าวเจ้าที่เจ้าทาง ลืมสนิทจริงๆๆ..


บรรยากาศรอบๆตัว นอกจากรอบๆกองไฟแล้วมันมืดสนิทเหมือนอยู่ในถ้ำ ไม่มีเสียงอะไรเลยนอกจากบางครั้ง เสียงลมที่พัดมากระทบต้นไม้กิ่งไม้และ มีเสียงวี๊ดๆเพราะลมไปพัดผ่านช่องเล็กช่องน้อยของตัวบ้าน


การดื่มกินแรกๆก็ไม่มีอะไร คุยกันเรื่องนั้นเรื่องนี้ จนพอเมาตึงๆได้ที่กัน พี่จ่าเราเริ่มเปิดประเด็นเรื่องผีบ้านนางแป้น แกบอกด้วยความภูมิใจว่าบ้านนี้ไม่เห็นมีอะไรน่ากลัว แกไปสำรวจมาหมดแล้วทั้งรอบบ้านบนบ้าน ตามที่มีคนเห็นผีหรือโดนผีหลอกน่าจะคิดกันไปเองมากกว่า !


แต่ลุงบุญเถียงทันที “ไม่ใช่ผมโดนคนเดียวนะ โดนกันหลายคน เฉพาะพวกช่างที่จะมารื้อบ้านนั่นโดนหนัก เป็นไข้เป็นหนาวกันหลายคน ” ขณะที่พูดยังไม่วายหันไปมองที่บ้านนางแป้น


เหล้าอร่อย อากาศก็ดีบรรยากาศวังเวงสุดๆกินกันเพลิน จนเวลาล่วงเลยไปจนเกือบ 5 ทุ่มโดยไม่รู้ตัว ยิ่งดึกอากาศก็เย็นมากขึ้น ส่วนลมพัดแรงขึ้นแต่ดีที่จะพัดมาเป็นช่วงๆ


ใครจะเป็นยังไงผมไม่รู้ แต่ความรู้สึกของผม ถึงแม้ปากจะคุยกันในวงเหล้า แต่ถ้ามีช่วงจังหวะที่สายตาเหลือบมองเข้าไปที่ตัวบ้านแม้จะเห็นเพียงเป็นเงาๆ จากความสว่างของกองไฟเล็กๆที่ลุกโชนอยู่ข้างวงเหล้า


ผมจะขนลุกทุกครั้งมันมีความรู้สึกเหมือนมีใครมองออกมาจากตัวบ้าน พยายามตัดความรู้สึกนี้ออกไปแต่ก็ไม่สำเร็จ มันคอยวนเวียนให้นึกแบบนั้นทุกครั้งที่อดจะมองเข้าไปไม่ได้ บางครั้งนึกอยากจะเอาไปฉายส่องสวนเข้าไปเพื่อให้เห็นแจ้งไปเลยว่ามีใครอยู่จริงหรือเปล่า ? แต่ใจไม่กล้า

จนอดใจไว้ไม่ไหว ผมหันมาถามกับลุงบุญที่นั่งอยู่ข้างๆว่ามีความรู้สึกแบบเดียวกันหรือเปล่า ลุงแกเอามือตบเข่าผมเบาๆ หันมาพูดแบบได้ยินกันสองคนว่าแกก็รู้สึกว่ามีคนในบ้านมองออกมาเหมือนกัน พอแกพูดออกมาแบบนี้หนังหัวของผมมันลุกชันซู่ซ่าเหมือนจะพองออกมา


ระหว่างที่คุยกันไป ท่ามกลางความมืดและเงียบ เสียงๆหนึ่งก็ลอยแว่วๆเข้ามาต้นเสียงมาจากบนหลังคาบ้านนั่นเอง เสียงดัง ก๊อบๆแก๊บๆๆเหมือนมีบางสิ่งบางอย่างเคลื่อนไหวอยู่บนสังกะสีมุงหลังคา จากค่อยๆจนดังขึ้น ทุกคนได้ยินชัดเจนหันมามองหน้ากันยังไม่พูดอะไร


จ่าย้อยก็คงได้ยินเหมือนคนอื่น “เสียงอะไรบนหลังคา หรือมีตัวอะไรมาเดินอยู่บนหลังคา” แกคิดไปถึงพวกสิงห์สาราสัตว์ อาจจะเป็นลิงหรือสัตว์ป่าบางชนิด จึงยันตัวลุกขึ้นพร้อมหยิบไฟฉายติดมือก้าวออกมาจากวงเหล้า หันปากกระบอกไฟฉายไปที่ทิศทางของต้นเสียง นิ้วกดสวิตแสงไฟสว่างวาบเป็นลำจับไปที่หลังคาบ้านซึ่งเป็นต้นเสียง


ปรากฏพบแต่ความว่างเปล่า ! และที่แปลกคือเสียงก็เงียบหายไปเหมือนกลัวแสงสว่าง จ่าย้อยยังเอาไปฉายส่องกราดไปทั่วๆหลังคาก็ไม่พบสิ่งปกติอะไร เสียงแกบ่นว่า “ทำไมมันไปเร็วจัง”


จ่าย้อยเดินกลับมานั่งที่เดิม “คงเป็นพวกนกแสกหรือนกฮูก ออกมาหาหนูกิน” แกพูดให้พวกเราฟังแล้วเอาไฟฉายวางไว้ข้างตัว ท่าทางไม่ให้ความสนใจมากนัก


เรื่องเสียงบนหลังคาไม่มีใครติดใจคงเป็นสาเหตุตามที่จ่าบอก อีกซักพักใหญ่ๆ อ้ายเบี้ยวซึ่งถือไฟฉายออกไปเยี่ยวแถวๆข้างบ้าน มันเดินเร็วกลับมาจนเกือบเป็นวิ่ง มันมานั่งข้างๆลุงบุญ พูดปากคอสั่นแต่เบาๆ “ ลุงๆ เมื่อกี๊ ผมออกไปเยี่ยวข้างบ้าน ผมคิดว่าที่หน้าต่างบนบ้านมีคนยืนอยู่ ผมเยี่ยวแทบราด”


ผมกำลังจะหันไปบอกพรรคพวกในวงเหล้าตามที่ อ้ายเบี้ยวไปเจอมา แต่ยังคิดในใจว่าพวกเค้าจะเชื่อกันหรือเปล่า ? ที่แน่ๆจ่าย้อยคงไม่เชื่อคงคิดว่ามันเมาตาเลยฝาด ยังไม่ทันจะอ้าปากพูด


ที่ต้นมะเกลือต้นหนึ่งซึ่งอยู่ข้างๆบ้าน ใกล้หน้าต่างสูงเกือบเท่าหลังคาบ้าน ปรากฏว่ามีบางกิ่งสั่นกราวขึ้นมาเสียงดังเหมือนมีอะไรขึ้นไปเขย่า ทั้งที่ช่วงนี้ยังไม่มีลมพัดมา เสียงยังเขย่าไม่หยุดจ่าย้อย


ลุกพรวดพร้อมไฟฉายวิ่งออกมากดไฟฉายไปที่ต้นไม้ทันที และก็ทันทีเหมือนกันคือเสียงเงียบหายไปเลย และก็เหมือนเดิม คือ แม้เอาไปฉายกราดไปทั่วต้นก็ไม่พบเห็นอะไร.


“ตัวบ้าอะไรวะ !” แกพูดด้วยความโมโห ไม่ทันขาดคำ “เพล้ง” เสียงดังสนั่นในความมืดออกมาจากชั้นบนของตัวบ้าน


เล่นเอาจ่าย้อยถอยกรูดกลับมาที่วงเหล้า ตอนนี้หน้าตาของแกบ่งบอกได้ว่าหวั่นไหวพอสมควร ทุกคนลุกขึ้นยืนกันหมด ผมเห็นจ่าย้อยเอามือควักสายสร้อยห้อยคอซึ่งมีพระหลายองค์แขวนอยู่ออกมานอกเสื้อ โชว์หราเต็มหน้าอก


เพื่อไม่ให้เสียบรรยากาศและลดความกลัว ผมเสนอให้ย้ายไปกินในรถตู้


ทุกคนเห็นด้วย เพราะกำลังกินติดลม เหล้ายังเหลืออีก 2 ขวด เรื่องที่เกิดขึ้นก็ ห้าสิบ ห้าสิบ อาจจะไม่ใช่อย่างที่เราคิดก็ได้ อีกทั้งอากาศภายนอกเย็นจัด แต่กองไฟยังไม่ให้ดับ เดี๋ยวจะมืดเกินไปป้องกันงูเงี้ยวเขี้ยวขอไปในตัว


ในรถตู้กว้างพอสมควร เอาสื่อปูก็นั่งกันได้สบายปิดประตูรถให้หมดแง้มๆกระจกหน้าต่างรถไว้นิดหน่อยให้อากาศถ่ายเท โชคดีในรถมีเทียนไขเล่มเขื่องอยู่หลายเล่ม เอามาจุดกลางวงเหล้าสร้างบรรยากาศไปอีกแบบ


ลมหนาวตะบึงพัดกระแทกด้านข้างรถเสียงตึงๆเป็นช่วงๆ จนคนในรถรู้สึกได้ ค่ำคืนนี้ดึกมากแล้วดูเวลาจะตี 2 เหล้าเหลือไม่ถึงครึ่งขวดเริ่มจะเมากัน คงเตรียมตัวกลับในอีกไม่นาน.


“ปุ๊งๆ ปุ๊งๆๆ” เสียงดังที่หลังคารถตู้ มันเหมือนมีลูกผลอะไรซักอย่างหล่นมาใส่หลังคา อ้ายเบี้ยวยังพูดเล่นว่าลูกเห็บหรือเปล่า ? พี่


ผมยังต่อว่ามันไปว่าลูกเห็บบ้าอะไรมาตกตอนนี้ !

“ปุ๊งๆๆๆๆ ปุ๊งๆๆๆๆๆๆ” มาอีกแล้วตอนนี้มาเป็นสิบๆลูก แถวๆนี้มีต้นมะเกลืออยู่หลายต้น หรือเป็นลูกมะเกลือถูกลมกระแทกกระเด็นมาใส่หลังคารถ คิดกันในทางที่ดี.


ไม่นานเหล้าหยดสุดท้ายก็หมด เตรียมตัวกลับบ้านกัน กองไฟที่ก่อไว้ข้างรถก็มอดหมดเชื้อพอดี พวกเราช่วยกันรวบรวมเก็บจานชามเศษอาหารที่เหลือเททิ้งที่ข้างรถ เอาไว้ให้เป็นอาหารของพวกนกหนู


อ้ายเบี้ยวไปนั่งข้างหน้าอย่างเดิม แต่เพิ่มลุงบุญอีกคนเพราะต้องลงก่อนที่บ้านแก ด้านหลังรถจัดการเอาเสื่อมาสลัดให้สะอาดจากเศษอาหารที่ตกหล่น แล้วจัดปูใหม่ให้เรียบร้อยไม่ใช่อะไรพวกเราเอาไว้นอนเลยง่วงเต็มแก่ วันนี้กินเหล้าได้อรรถรสจริงๆ


คนขับคือจ่าย้อยก่อนจะขึ้นที่นั่งประจำคนขับ แกขอตัวไปเยี่ยวก่อนปวดเต็มทีอากาศเย็นๆปวดบ่อยยิ่งกินเหล้าเข้าไปด้วย


จ่าย้อยฉวยไฟฉายเดินหายไปทางหลังรถ ไม่นานอะไรจะเร็วปานนั้น เสียงวิ่งตึ๊กๆ กลับมาที่รถแล้วเปิดประตูขึ้นนั่งและปิดอย่างเร็ว รีบติดเครื่องขยับรถเคลื่อนตัวออกมาทันที.


“ โอยๆๆๆ พ่อแก้ว แม่แก้ว เอ๊ย เต็มตาเลย” แกพูดไปปากคอสั่นไป บุคลิกไม่เหมือนจ่าย้อยเมื่อตอนเที่ยงวัน ผิดกันจากหน้ามือเป็นหลังมือ


พวกในรถหันมาที่แกเป็นจุดเดียว.


“กำลังยืนเยี่ยว ได้ยินเสียงกิ่งมะเกลือเขย่าอย่างแรง ทั้งที่ตอนนั้นยังไม่มีลมพัด จึงเอาไฟฉายส่องขึ้นไปดู โอ้ โห !!” เสียงจ่าย้อยเหมือนหายไปในลำคอ


“เห็นอะไรจ่า !” เสียงคนในรถถามเกือบพร้อมๆกัน


“คงเป็นนางแป้นกับผัว ของมัน นั่งห้อยขาอยู่ที่กิ่งมะเกลือ กำลังเขย่ากันใหญ่ นางแป้นท้องโตเป็นลิงอุ้มแตง แววตายังสะท้อนออกสีแดงสู้ไฟอีกต่างหาก”


แว่วๆเสียงอ้ายเบี้ยวพูดกับจ่าย้อยว่า “จ่าเยี่ยวราดกางเกงด้วยเนี่ย ! น้ำเปียกกางเกงแฉะเลย”


หลังจากกลับบ้านคืนนั้น จ่าย้อยหายไปหลายวัน จนผมเจอแกเช้าวันหนึ่งที่บ้านแกนั่นแหละ บ้านผมกับบ้านแกห่างกันไม่ถึง 20 เมตรเพราะผมเช่าบ้านแกอยู่ ผมบนหัวแกเกลี้ยงเกลาไม่มีผมซักเส้นได้ความว่าไปบวชมา.


เราจึงมีเรื่องเล่าขานกันว่า “จ่าย้อยถูกผีนางแป้นหลอกจนหัวโกร๋น” ทุกครั้งที่ตั้งวงกินเหล้ากัน..




 

Create Date : 29 กันยายน 2551    
Last Update : 30 กันยายน 2551 9:11:43 น.
Counter : 563 Pageviews.  

ไปดู...ผี..!!(ตอนที่ 1)

ไปดู...ผี

ราส์ส กิโลหก


เมื่อประมาณ พ.ศ. 2518 ช่วงฤดูหนาวชาวนากำลังเก็บเกี่ยวข้าว ผมมีคิวออกไปทำการรังวัดที่ดินให้กับเจ้าของที่ดินรายหนึ่ง ณ พื้นที่ในตำบลเล็กๆของจังหวัดฯ


ลุงบุญ คือเจ้าของที่ดินและเป็นผู้ยื่นคำร้องตามระเบียบขอให้เจ้าหน้าที่ออกไปทำการรังวัด แกมารับเจ้าหน้าที่ ณ สำนักงานที่ดินจังหวัดเมื่อเวลา 8.30 น. โดยใช้รถกระบะเก่าๆมาจอดรอ ผมและลูกน้องอีก 3 คนช่วยกันจัดเครื่องไม้เครื่องมือรังวัดพร้อมขนหลักเขตที่ดินขึ้นรถ เมื่อเสร็จเรียบร้อยก็ออกเดินทางกัน.


ผมนั่งที่หน้ารถคู่กับลุงบุญและคนขับรถอีกคน รถคันนี้ลุงบุญจ้างมาเพื่อรับและส่งเจ้าหน้าที่คือพวกผมนี่แหละ .! รถวิ่งปุเลงไปบนถนนซึ่งเป็นดินล้วนๆ ล้อรถวิ่งบดลงไปบนถนนดินเกิดเป็นฝุ่นกลุ่มใหญ่ฟุ้งตามติดหลังรถไปตลอดทางเหมือนหางเครื่องบินไอพ่น ผมนั่งอยู่ด้านหน้ารถไม่เท่าไหร่ สงสารแต่พวกที่นั่งอยู่หลังรถ คงสูดฝุ่นกันเต็มปอด ผมเผ้าไม่ต้องย้อมแดงเถือกกลายเป็นฝรั่งขี้นก..


ขณะที่รถวิ่งไปตามทาง ลุงแกเล่าให้ฟังเกี่ยวกับสภาพของหมู่บ้านและความเป็นอยู่ต่างๆของชาวบ้านแถบนี้ แกเล่าว่า ชาวบ้านส่วนใหญ่ประกอบอาชีพทำนาและฐานะยากจน บ้านเรือนยังมีอยู่ไม่มากนักปลูกกันอยู่ห่างๆไม่หนาแน่น ความเจริญยังไปไม่ถึงกระแสไฟฟ้ายังไม่มีใช้ อาศัยตะเกียงเป็นหลัก ส่วนน้ำกินน้ำใช้ขุดเอาจากบ่อ และรองน้ำฝนไว้ในตุ่มใหญ่ในตอนหน้าฝน ถนนหนทางไม่ต้องพูดถึงเมื่อถึงฤดูฝนจะมีสภาพเละตุ้มเป๊ะ แทบไม่มีสภาพเป็นถนนมองดูเหมือนทะเลโคลน ระยะทางแค่ไม่ถึง10 กิโลเมตรจากถนนใหญ่ ใช้เวลาเดินทางเป็นชั่วโมง.


สมัยนั้นไม่มีสถานีอนามัยกระจายไปยังพื้นที่ห่างไกลมากเหมือนสมัยนี้ หากมีคนป่วยฉุกเฉินถูกสัตว์ร้ายต่างๆเช่นงูพิษขบกัดเอา หรือหญิงท้องแก่คลอดลูก และอุบัติเหตุต่างๆการนำผู้ป่วยไปส่งโรงพยาบาลจะทุลักทุเลและเป็นเรื่องที่มีปัญหามาก ในบางครั้งไม่สามารถช่วยชีวิตผู้ป่วยไว้ได้ ซึ่งก็มีจำนวนไม่น้อยที่เดียว


คุยกันเพลินๆ เกือบ 10 โมงเช้า จึงถึงบ้านลุงบุญ คนขับเอารถเข้าไปจอดที่ในบ้าน ซึ่งสร้างอยู่บนที่นาของแกนั่นเอง บนส่วนที่เรียกว่าโคกคือเป็นพื้นที่สูงกว่าพื้นที่ส่วนอื่นๆ เนื้อที่ประมาณ 2 งาน สภาพบ้านก็เหมือนบ้านนอกทั่วไปเป็นบ้านสองชั้นใต้ถุนสูงด้านล่างกั้นเป็นคอกสำหรับเก็บวัวควายในช่วงมืดค่ำ ส่วนด้านบนเป็นชานบ้านโล่งๆมีแต่ฝาบ้านแต่ไม่มีห้อง แลดูโล่งๆมีต้นไม้ใหญ่รอบบ้านหลายต้นทำให้เกิดความร่มเย็นตามธรรมชาติ


ผมมองดูรอบๆเห็นว่า บริเวณแถวๆนี้นอกจากบ้านลุงบุญแล้ว ไม่มีบ้านใครมองเห็นแต่ท้องนา.


“ลุง ! แถวๆนี้ไม่มีบ้านใครเลยหรือ ? มันเงียบๆนะ ตอนกลางคืนสงสัยมืดเหมือนอยู่ในถ้ำ” ผมถามแกด้วยความแปลกใจ ยังนึกในใจว่าใครมายกที่ดินให้ผมฟรีๆแถวนี้ ก็คงไม่รับ.


“ผมอยู่จนชินแล้ว ! แต่ที่ท้ายนามีบ้านอยู่อีกหลังติดกับที่ดินผม เจ้าของชื่อ นางแป้น” ลุงบุญยืนเอาผ้าขาวม้าพันที่หัวเตรียมตัวออกไปรังวัดที่ดินกัน.


“หา! ท้ายนายังมีบ้านคนอีกหรือ ?” ผมพูดลอยๆเพราะขนาดที่บ้านลุงบุญยังเปลี่ยวขนาดนี้ นี่ลึกเข้าไปถึงท้ายที่นาซึ่งอยู่ด้านในเข้าไปอีกจะขนาดไหน


จัดเตรียมเครื่องมือและอุปกรณ์การรังวัดเสร็จก็เดินออกมา เพื่อเริ่มรังวัดที่ดินลุงบุญกัน นาของแกมีเนื้อที่ประมาณ 30 ไร่ สภาพพื้นที่เพิ่งเกี่ยวข้าวเสร็จใหม่ๆตอซังข้าวยังสดๆ พวกคนงานรังวัดตัดเอาตอซังข้าวมาทำเป็นปี่เป่าเล่นกันสนุก อากาศหน้าหนาวลมหนาวพัดเย็นสบาย พวกช่างรังวัดชอบทำการรังวัดที่ดินตอนหน้าหนาวเพราะอากาศเย็นสบายดี พื้นดินแห้งไม่รกเดินสบายเหมาะแก่การรังวัด


การรังวัดและปักหลักเขตที่ดินนั้น เจ้าของที่ดินแปลงข้างเคียงจะต้องมาร่วมในการรังวัดด้วย แนวเขตที่ติดต่อกันถ้าจะต้องปักหลักเขตใหม่ ต้องปักกันต่อหน้ากันทั้งสามฝ่ายคือเจ้าของที่ดิน , เจ้าของที่ดินแปลงข้างเคียงด้านที่ติดกัน และเจ้าหน้าที่ก็คือช่างรังวัด เมื่อตกลงพร้อมใจกันก็ขุดฝังหลักเขตได้


การรังวัดดำเนินไปรอบๆแปลงที่ดิน โดยมีเจ้าของที่ดินแปลงข้างเคียงที่เกี่ยวข้องเดินตามไปด้วย แต่เมื่อสุดเขตของตัวเองแล้วก็หมดหน้าที่ เจ้าของที่ดินแปลงข้างเคียงด้านถัดไปก็จะรับหน้าที่ต่อเป็นลูกโซ่ จะเป็นเช่นนี้จนรอบแปลงที่ดิน


เรารังวัดมาถึงด้านท้ายแปลงที่ดิน ผมมองแลเห็นบ้านไม้สองชั้นใต้ถุนสูงหลังหนึ่งปลูกอยู่ท่ามกลางต้นไม้ใหญ่ หลายต้นจนดูเหมือนบ้านหลังนี้ตั้งอยู่ในป่า


“ข้างเคียงด้านนี้ ติดกับที่ดินของนางแป้น และบ้านหลังที่มองเห็นเป็นบ้านของนางแป้น ครับ” ลุงบุญหันหน้ามาบอกเมื่อเราเดินเกือบจะถึงแนวเขตที่ดินนางแป้น


พอเข้าไปใกล้และมองเห็นสภาพบ้านนางแป้นชัดๆ ผมตกใจนิดนึงเพราะตัวบ้านเต็มไปด้วยไม้เลี้อย พากันไต่ยั๊วเยี้ยเกาะตามเสาบ้าน ฝาบ้าน โดยเฉพาะตรงบริเวณวงกบหน้าต่างจะห้อยกันเป็นพวง เนื่องจากบ้านนี้มีแต่ช่องวงกบแต่ไม่มีบานหน้าต่าง ยิ่งตรงใต้ถุนบ้านยิ่งรกเป็นดงไม้เพราะมีต้นไม้ล้มลุกขึ้นอยู่เต็ม สภาพเหมาะเป็นที่อยู่อาศัยของพวกงูและสัตว์เลี้อยคลานต่างๆ


“บ้านคนอยู่หรือผีอยู่นะลุง ?” เสียงตะโกนของอ้าย เบี้ยว คนงานรังวัดตะโกนขึ้นมาอย่างคะนองปาก


ลุงบุญเดินเข้ามาหาผม หันหน้าไปมองตัวบ้านแบบหวาดๆ พอหันหน้ากลับมาแล้วกระซิบเบาๆ


“นายช่างครับ ! บ้านหลังนี้ไม่มีคนอยู่ เจ้าของบ้านตายหมดแล้ว ตายไปหลายปีแล้วครับ !!”


ผมมองดูสภาพบ้านแล้วนึกถึงปราสาทผีดิบที่เห็นในหนังผีทั่วๆไป ถ้ามีคนอยู่ก็คงเป็นเรื่องแปลก !เมื่อเจ้าของที่ดินแปลงข้างเคียงไม่มีใครอยู่ และเห็นว่าแนวเขตที่ดินมีคันนาเป็นเขตที่ชัดเจนอยู่แล้ว ผมจึงให้ลุงบุญปักหลักเขตไปได้เลย ทำงานกันเสร็จเกือบห้าโมงเย็น จึงพากันเดินกลับมาที่บ้านลุงบุญเพื่อเตรียมตัวกลับ
แต่ลุงบุญกลับสั่งให้เมียไปก่อเตาเพื่อต้มยำปลาช่อน ตัวแกเอาเสื่อมาปูที่นอกชานหน้าบ้านพร้อมเรียกผมและคณะขึ้นมานั่ง แกเอาเหล้าป่าซึ่งน้ำใสเป็นตาตั๊กแตน ประเภทจุดไฟลุกพรึบ ! เอามาวางให้ 2 ขวดจานชามเปล่าๆหลายใบ และแก้วเหล้า 1 ใบ


“อากาศมันหนาว กินยาแก้หนาวกันก่อน” จริงของแกตอนนี้อากาศก็เย็นลมหนาวก็พัด ตูมๆๆ จนเรือนชานที่เรานั่งกันอยู่ ออกอาการสั่นๆเมื่อลมหนาวตะบึงซัดเข้ามาเป็นช่วงๆ


นี่คือไมตรีที่บริสุทธิ์ของชาวบ้าน เป็นน้ำใจที่ใสซื่อและจริงใจ เป็นความน่ารักอย่างหนึ่งของคนที่บางคนดูถูกเขาว่าเป็นคนด้อยการศึกษา .!


อากาศรอบตัวเริ่มมืดทั้งที่ยังไม่ถึง 1 ทุ่ม ฤดูหนาวอากาศจะมืดเร็ว เพราะเหตุที่เวลากลางคืนยาวกว่ากลางวันนักภูมิศาสตร์หัวล้านๆคนหนึ่งท่านว่าไว้ ลมหนาวยังพัดตึงๆตลอดเวลา มันเหมือนเสียงคนตรีของธรรมชาติที่ดังอยู่รอบๆตัว


การกินเหล้าของชาวบ้านแถวนี้ไม่เหมือนคนในเมืองกิน แต่จะใช้แก้วใบเดียวกินกันรอบวง การกินเหล้าป่าไม่มีทั้งโซดาและน้ำแข็ง กรรมวิธีคือ จะมีคนในวงเหล้าด้วยกันนั่นแหละ เป็นคนริน(ขุนรินสุราพ่าย) จะรินประมาณ เศษหนึ่งส่วนสี่ของปริมาตรแก้ว เมื่อมีผู้รับแก้วเหล้าและยกดื่มเข้าปากเรียบร้อย จะต้องเอาแก้วมาคืนให้ผู้ริน เพื่อจะรินให้กับคนที่นั่งถัดไปเอาไปดื่มต่อเป็นลำดับ ทำอย่างนี้เรื่อยๆเป็นวงรอบ นับเป็นภูมิปัญญาชาวบ้านทำให้ผู้มาร่วมวงเหล้าได้กินเหล้าเฉลี่ยเท่าๆกันทุกคน. ไม่มีใครได้เปรียบเสียเปรียบกัน เวลาเมาจะได้เมาพร้อมๆกัน พูดภาษาเมากันได้รู้เรื่อง.


กินกันไปคุยกันไป โดยเฉพาะกับแกล้มต้มยำปลาช่อนฝีมือแม่บ้านของลุงบุญ สดทั้งปลาทั้งพริกผักรสชาติสุดแซบๆๆร้านค้าในตลาดเทียบไม่ติด เสริมด้วยบรรยากาศธรรมชาติล้วนๆของจริงแบบนี้ กินกันเพลินจนเหล้าหมดไป 1 ขวดแบบไม่รู้ตัวเพราะอากาศหนาวเย็นทำให้ร่างกายต่อสู้กับดีกรีจากเหล้าป่าได้อย่างสูสีโดยยังไม่มีใครแพ้ชนะคือความเมายังมาไม่ถึง มีแต่ความสนุกจากการกินการคุย เหล้าขวดที่ 2 ถูกยกมาเสริมเพื่อไม่ให้ขาดตอน


ในช่วงจังหวะหนึ่ง ผมหวนนึกถึงคำพูดของลุงบุญเมื่อตอนบ่าย เกี่ยวกับบ้านนางแป้นที่ปลูกอยู่ที่ปลายนา ทำนองว่ามีคนตายหมดทั้งบ้านและตายมาหลายปีแล้วด้วย มันรบกวนความรู้สึกจนขจัดออกจากหัวไม่ได้ จึงร้องถามเรื่องนี้ขึ้นมาในวงเหล้า


“ลุงบุญ ! ช่วยเล่าเรื่องนางแป้นให้ผมฟัง หน่อยเรื่องราวมันเป็นยังไง ?”


“ถ้าอยากรู้ลุงจะเล่าให้ฟัง !” แกขยับตัวพร้อมตั้งท่าเตรียมบรรยาย แก้วเหล้าถึงคิวลุงแกพอดี ยกแก้วขึ้นซดเหล้าหายวาบเข้าไปในคอ กระแอมนิดหน่อยพอเป็นพิธี .


หลายปีมาแล้ว ทิดน้อยพื้นเพเป็นคนอำเภอนี้แหละ แต่ต่างหมู่บ้านซึ่งก็ไม่ไกลจากหมู่บ้านนี้เท่าไหร่ ส่วนนางแป้นเป็นคนที่อื่นมารับจ้างเกี่ยวข้าวแถวบ้านของทิดน้อย เกิดชอบพอกันได้เสียกันแต่พ่อ-แม่ทิดน้อยไม่ชอบนางแป้น เพราะเป็นคนที่ไม่รู้จักหัวนอนปลายตีนมาก่อน จึงไม่ยอมให้พาเข้ามาอยู่ในบ้าน ไล่ให้มาอยู่กันเองที่นามรดกเก่า คือที่ดินแปลงที่อยู่ด้านท้ายที่มีบ้านร้างตั้งอยู่. .


สองผัวเมียจึงมาปลูกบ้านอาศัยอยู่ และทำนาเป็นอาชีพ ต่อมาไม่นานนางแป้นผู้เป็นเมียได้ตั้งท้องลูกคนแรกเวลาผ่านมาจนท้องโตได้ประมาณ 6 เดือน คืนวันหนึ่งฝนตกทิดน้อยออกไปหาปลาส่องกบส่องเขียดตามแถวๆที่นาของแกเองเหมือนทุกครั้งที่ฝนตก แต่ครั้งนี้เหมือนชะตาฟ้าลิขิตโชคไม่ดีโดนงูเห่าที่ออกมาหากินเหมือนกันกัดที่น่อง ตอนที่โดนกัดเวลาเกือบเที่ยงคืนแล้ว ฝนก็ตกไม่หยุด สองผัวเมียตะเกียกตะกายออกมาหาที่บ้านให้ช่วยพาไปโรงพยาบาล แต่ไม่ทันการ เข้าใจว่างูคงตัวใหญ่พิษมาก ทิดน้อยจึงตายคาบ้านของลุงบุญโดยยังไม่ทันได้พาไปไหน.


นางแป้นนั้นไม่มีพี่น้องที่ไหน จึงต้องจำใจอยู่ที่บ้านคนเดียวเพราะพ่อแม่ทางทิดน้อยไม่ใส่ใจไม่สนใจปล่อยตามยถากรรมทั้งที่ท้องจวนจะคลอดลูก แล้วก็กลายเป็นนิยายเศร้าพระเจ้าคงไม่อยากให้พรากจากกัน นางแป้นไม่ทันได้คลอดลูก ไม่รู้ไปทำอีท่าไหน ? ถูกงูอะไรก็ไม่รู้กัดตายท้องกลมคาบ้านไปอีกคน.


ลุงบุญตีบทแตก ทำเสียงสูงๆต่ำหรี่เสียงจนเกือบเป็นเสียงกระซิบให้ดูน่ากลัวและเล่าต่อว่า “ที่น่าแปลกคือ ตอนที่ไปเจอศพนางแป้นมันไปนอนตายอยู่ในมุ้งบนบ้าน สภาพขึ้นอืดแล้ว ดูเหมือนว่ามันยอมตาย เพราะมีผ้าห่มคลุมตัวอย่างเรียบร้อย ส่วนที่รู้ว่าถูกงูกัดเพราะกำนันที่มาดูศพเห็นรอยเขี้ยวงู 2 รูที่หลังเท้า” ถึงตอนนี้พวกคนฟังคงจินตนาการไปถึงคนที่นอนตายอืดอยู่ในมุ้ง นึกภาพแล้วสยอง.


เหล้าขวดที่ 2 พร่องไปเกือบจะหมด ลุงบุญติดลมแกตะโกนสั่งให้คนขับรถรับจ้าง ที่มาจอดรอรับพวกเรากลับ ให้ไปซื้อเหล้าป่าจากบ้านคนที่ต้มเหล้าขายซึ่งอยู่ห่างไปประมาณเกือบกิโลฯมาอีก 2 ขวด ผมทำเป็นร้องห้ามเป็นพิธีว่ามืดค่ำแล้วนะ แต่ใจจริงยังก็อยากกินต่อ อารมณ์ติดลมบนเสียแล้ว.


ลุงบุญกำลังน้ำลายแตกฟอง. แกเล่าต่อไปว่า.


ตอนตายกันใหม่ๆก็ไม่มีอะไร เวลาที่ไปไถนาผ่านแถวนั้นก็ไม่มีปัญหาอะไร แต่ตอนหลังๆชักมีอะไรแปลกๆ ทุกครั้งที่ผ่านไปแถวนั้นมันเหมือนมีคนมองออกมาจากด้านใน พอรีบหันกลับไปมองมีความรู้สึกว่ามีเงาดำๆหลบวูบจากช่องหน้าต่างหายไป เป็นอย่างนี้หลายครั้ง นึกอดสงสัยไม่ได้คิดในใจว่ามีใครแอบเข้าไปอยู่ในบ้านหรือเปล่า .?


จนวันหนึ่งตอนเที่ยงกินข้าวที่เถียงนาจนอิ่มดีแล้ว ทั้งอากาศดีท้องฟ้าสว่างแจ่มใส จึงรวบรวมความกล้าหลังจากที่อิดออดอยู่หลายครั้ง จำใจเดินเข้าไปสำรวจในบริเวณบ้านเดินมาถึง ตรงบันใดที่จะขึ้นบ้านรกทึบไปด้วยไม้เลี้อย มองดูแล้วไม่น่ามีใครเดินขึ้นไปได้ เพื่อให้หายสงสัยจึงเอามีดตะขอยาวถากถางจนพอเดินขึ้นไปได้


สภาพบนบ้านมองเห็นมุ้งและผ้าห่ม ที่นางแป้นเคยนอนตายยังอยู่ไม่มีใครเก็บไปไหน ยังมีตู้เสื้อผ้าพลาสติค เตาถ่าน หม้อข้าว ถ้วยชามรามไห วางอยู่ระเกะระกะไม่เป็นที่เป็นทาง ฝุ่นจับหนาเตอะ ตามใต้หลังคามีแต่ใยแมงมุมจนไม่มีพื้นที่ว่าง มองสังเกตที่พื้นบ้านซึ่งเต็มไปด้วยฝุ่นไม่มีรอยเท้าของคนจึงแน่ใจว่าไม่มีคนขึ้นมาบนบ้านนี้แน่ ! เดินกลับออกมาพร้อมกับนึกในใจว่าที่เห็นเงาดำๆมันเป็นอะไร ?.


“จนวันหนึ่งผมโดนเข้ากับตัวเองเต็มๆ” ลุงบุญคว้าแก้วเหล้าซัดเข้าปากอย่างสะใจ .ท่ามกลางลมหนาวพัดผ่านต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ข้างๆวงเหล้า เสียงซู่ซ่าๆๆของกิ่งไม้ สร้างบรรยากาศทำให้ผู้ฟังที่นั่งอยู่รอบๆวงเริ่มเอามือกอดอกขยับตัวชิดกันมากกว่าเดิม


วันนั้นเอาควายออกไปไถนาตามปกติ จนถึงเย็นแต่วันนี้ตั้งใจจะไถให้เสร็จเพราะเหลืออีกไม่มาก แต่เจ้ากรรมพื้นสุดท้ายตรงกับหน้าบ้านนางแป้นพอดี ท้องฟ้ายังไม่มืดแค่โพล้เพล้ก็ไถนาเสร็จเตรียมตัวกลับบ้าน ไม่รู้นึกยังไงหันหน้ามองไปที่บ้านนางแป้น เห็นอะไรแว๊บๆตรงหน้าต่าง พอปรับสายตาจนได้ที่ ภาพที่เห็นทำเอาขนลุกซู่มาถึงหนังหัว ที่ช่องหน้าต่างมีเงาดำของคนโผล่อยู่และไม่ยอมหลบไปไหน เอามือขยี้ตาขยี้แล้วขยี้อีกเพราะคิดว่าตาฝาด แต่เงาดำเหมือนคนก็ยังอยู่ มองไปอีกครั้งก็ยังเห็นเหมือนเดิม รีบโกยอ้าวกลับบ้านแทบไม่ทัน แป้นเอ๊ย ! ไปที่ชอบๆเถอะเดี๋ยวจะทำบุญไปให้ เดินไปท่องไป ตลอดทาง.


ตั้งแต่นั้นมาเกิดเฮี้ยนไม่เลิก หลอกทั้งกลางวันและกลางคืน จนไม่มีใครกล้าเดินเฉียดแถวนั้น พ่อ-แม่ทิดน้อยเคยคิดจะรื้อบ้านไปถวายวัด ช่างไม้แถวบ้านที่รู้ประวัติไม่มีใครกล้ามารื้อ ต้องไปจ้างช่างต่างถิ่นมารื้อ ปรากฏพวกช่างโดนเล่นงานจนเป็นไข้หัวโกร๋นกันถ้วนหน้า ต่อมาจึงไม่มีใครไปยุ่งอีกปล่อยเป็นบ้านร้างทิ้งไว้ เรื่องขโมยตัดทิ้งไปได้ไม่เคยได้ยิน ผีหวงบ้านซะอย่างงั้น ใครกล้าเข้ามาขโมยก็ช่วยไม่ได้.


ยิ่งดึกลมยิ่งแรงอากาศก็เย็นจนแทบทนไม่ไหว เพราะทั้งลมทั้งหนาวกระหน่ำมาพร้อมๆกัน ดีที่ได้อาศัยฤทธิ์เหล้าเกือบ 4 ขวดเป็นยาต้านลมหนาวได้พอสมควร ไม่งั้นปอดบวมรับประทานแน่ๆลุงบุญเริ่มเมาเสียงอ้อแอ้ ผมเห็นว่าดึกมากแล้วและอากาศคงหนาวเย็นขึ้นเรื่อยๆ จึงขอตัวแกลากลับสำหรับเจ้าของรถรับจ้างก็ใจดีนอนรอได้จนดึกดื่น เห็นว่าเจ้าของรถเป็นหลานของแกเอง.


หลังจากนั้นอีกหลายวัน วันนั้นเป็นวันหยุดราชการไม่มีธุระที่ไหนตามประสาคนที่ไม่มีภาระอะไร ผมนัดพรรคพวกมาตั้งวงกินเหล้ากันตั้งแต่เที่ยงวัน นัดมากินกันที่บ้านพักของผมซึ่งเช่าอยู่คนเดียวเพราะผมยังเป็นโสดไม่มีครอบครัว โดยมีขาประจำที่ไม่ต้องเรียกไกลคือจ่าย้อยซึ่งเป็นเจ้าของบ้านเช่า จ่าย้อยอายุประมาณ 50 กว่าปีแกเป็นตำรวจประจำอยู่สถานีตำรวจในจังหวัดที่ผมทำงานอยู่


พรรคพวกที่นัดมา คือเพื่อนทำงานที่เดียวกันกับผมเป็นช่างรังวัดเหมือนกัน คือ สาธิต เบิ้ม สมาน และที่ขาดไม่ได้คืออ้ายเบี้ยวลูกน้องคนสนิทของผม เพราะต้องอาศัยให้มันวิ่งซื้อเหล้า น้ำแข็ง โซดา กับแกล้มเหล้า ฯลฯ ตั้งวงเหล้าที่ไรเป็นลาภปากของอ้ายเบี้ยวทุกครั้ง.


กินกันไปคุยกันไป จนวกเข้ามาเรื่องผีจนได้..


“ผีนางแป้น ที่อยู่ท้ายนาลุงบุญ เฮี้ยนจริงๆ นะจ่าฯ หลอกคนเป็นว่าเล่น ไม่เลือกว่าเป็นกลางวันหรือกลางคืน” อ้ายเบี้ยวหันหน้าไปมองหน้าจ่าย้อย โดยมันยืนพูดมาจากข้างวงเหล้าเพราะไม่ได้นั่งร่วมวงต้องคอยบริการชงเหล้าอยู่ข้างๆวง


จ่าย้อยทำท่าไม่เชื่อ แกบอกว่า “ผมเป็นตำรวจมาร่วม 20 ปีไม่เคยเห็นผีที่ไหนหลอก ! ผีไม่มีในโลกและผมก็ไม่กลัวผีด้วย” จ่าทำเป็นเก่ง


“บ้านผีนางแป้นอยู่ไกลมั๊ย ! พาจ่าแกไปดูหน่อย” สาธิตซึ่งนั่งอยู่ข้างจ่าย้อย พูดอย่างติดตลกแล้วหัวเราะชอบใจ คงพูดหยอกเล่นมากกว่า.


แต่ผิดคาด จ่าย้อยพูดสวนออกมาเสียงดังแข็งขัน “ไปก็ได้ ไปกันคืนนี้เลย เดี๋ยวจะหาว่าจ่าย้อยกลัวผี ! รถตู้ส่งของผมมี เอารถผมไปก็ได้”.
( จบตอนที่ 1 รออ่านต่อตอนจบ)




 

Create Date : 29 กันยายน 2551    
Last Update : 29 กันยายน 2551 15:43:18 น.
Counter : 771 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  

สวนดอก
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




Friends' blogs
[Add สวนดอก's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.