|
เพื่อนที่ไม่พึงปรารถนา..!!!
เพื่อนที่ไม่พึงปรารถนา..!!!
ราสส์ กิโลหก
อรทัยฯ สาวสวยและโสดอายุอานามได้ 35 ปี ในชุดพนักงานสีฟ้าสดใสของบริษัทหรือที่ชาวบ้านชอบเรียกว่า สาวออฟฟิศ หลังจากเลิกงานประจำวันที่บริษัทแล้ว ก่อนจะกลับเข้าบ้านเธอจะต้องแวะซื้อสิ่งของต่างๆที่พวกพ่อค้าแม่ค้านำมาตั้งขายที่บริเวณด้านหน้าหมู่บ้านที่เธออาศัยอยู่ ที่มือทั้งสองข้างหิ้วสิ่งของพะรุงพะรัง ส่วนใหญ่จะเป็นจำพวกของกินต่างๆทั้งกับข้าว ขนมหวานและผลไม้ รวมทั้งกระเป๋าถือประจำตัวสะพายอยู่ที่ไหล่ ท่าทางอิดโรยเพราะช่วงเช้าต้องรีบตื่นแต่เช้าออกไปทำงานพอ ตอนเย็นหลังเลิกงาน ก็รีบเดินทางกลับบ้าน ชีวิตช่างสับสนวุ่นวายแต่ก็ไม่มีทางเลือก วันนี้เป็นวันสุดสัปดาห์คือวันศุกร์ วันถัดไปคือวันเสาร์และวันอาทิตย์คือวันหยุด เธอจึงซื้อของมากกว่าวันปกติ อรทัยใช้เวลาวันหยุดพักผ่อนอยู่กับบ้านไม่นิยมออกไปเที่ยวเตร่ที่ไหน เพราะเป็นการเปลืองเงินโดยใช่เหตุ พฤติกรรมชอบเก็บตัวอยู่กับบ้านแบบนี้ ทำให้เธอหาทางลงจากคานทองไม่ได้ แต่เธอก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร อยู่คนเดียวสบายใจสบายกายไม่มีเรื่องกวนตัวกวนใจ ให้ปวดสมอง เดินหิ้วของจนไหล่เอียงมาถึงหน้ารั้วประตูบ้าน ควักกุญแจไขเข้าบ้านด้วยความเคยชิน ทำงานมาทั้งวัน ระยะทางจากบ้านถึงที่ทำงานก็ไม่ไกลมากนักแต่ การจราจรในกรุงเทพฯทำให้การเดินทางเป็นเรื่องใหญ่เรื่องโต ใช้เวลาเดินทางเป็นชั่วโมงเสียดายเวลาที่เสียไปบนรถที่ติดอยู่ในถนนที่จอแจสับสนและวุ่นวาย บ้านพักอาศัยของอรทัย เป็นทาวน์เฮ้าส์ชั้นเดียวตัวอาคารกว้าง 4 เมตรลึก 10 เมตรมีห้องนอน 1 ห้องแบบพอเพียง ดีที่เป็นห้องหัวมุมทำให้มีพื้นที่เพิ่มด้านข้างอีก 1 เมตรพร้อมทั้งมีหน้าต่างด้านข้างเพิ่มอีก 6 บานทำให้ดูโปร่งโล่งกว่าห้องอื้นๆที่ติดกันเป็นแถว แม้จะดูตับแคบไปบ้างแต่สำหรับคนโสดอย่างเธอ คิดว่าเหมาะสมแล้ว พอเข้าบ้านได้ความสุขส่วนตัวกลับมาเป็นของตัวเองอีกครั้ง ภารกิจอันแรกที่รีบทำก็คือ อาบน้ำชำระตัวให้สะอาดสดชื่น ตามมาด้วยอาหารและขนมที่อร่อยๆๆบนโต๊ะอาหารของตัวเอง นั่งจัดการกับอาหารการกินอย่างเดียวดายตามความเคยชิน กินไปนั่งคิดอะไรเพลินๆ จนอิ่มท้องในไม่ช้า พลางคิดว่าคนเราตอนที่มีความสุขที่สุดก็คือ ตอนที่อิ่มท้องนี่เอง ! พาตัวเองมานั่งที่โซฟาตัวใหญ่ ซึ่งตั้งอยู่ข้างผนังห้อง ใช้รีโมตฯเปิดดู ทีวี เครื่องใหญ่ตั้งอยู่ผนังด้านตรงข้ามกัน ผนังด้านที่ตั้ง ทีวี เป็นด้านข้างของทาวน์เฮ้าส์ซึ่งเป็นด้านที่มีหน้าต่าง ด้านเหนือที่วีขึ้นไป สูงเกือบถึงฝ้าเพดานเป็นที่ติดตั้งของแอร์แขวน ที่ทำหน้าที่ทำความเย็นให้กับบ้านหลังนี้ นั่งดูรายการ ทีวี ที่ชื่นชอบด้วยความสุข เป็นละครรักวัยรุ่นของพวก นิสิตนักศึกษาเนื้อหาเป็นเรื่องรักกุ๊กๆกิ๊กๆทั่วๆไป ดูๆไปทำให้หวนนึกถึงอดีตของตัวเอง ความคิดล่องลอยไปนึกถึงสมัยเรียนมหาวิทยาลัยเป็นชีวิตในวัยสาวและสดใส ก็มีเพื่อนชายที่เรียนอยู่ด้วยกันมาชอบมาจีบเหมือนกัน มันเป็นชีวิตของชายหนุ่มกับหญิงสาวทั่วไป แต่เธอก็ยังไม่ตกลงคบกับใครเป็นพิเศษคงเป็นเพราะความเป็นเด็กต่างจังหวัดและพ่อแม่มีฐานะยากจน จึงเจียมตัวและตั้งใจเล่าเรียนอย่างเดียว และไม่คาดติดว่าในอนาคตต่อมา กลายเป็นความโชคดีสำหรับเธอ เพราะทำให้เธอไม่มีใครเป็นพิเศษจนกระทั่งเล่าเรียนจนได้รับปริญญาสมความตั้งใจ อรทัยได้เห็นพวกเพื่อนๆรุ่นเดียวกันที่ต่างแต่งงานมีครอบครัวไป เกือบทุกคนมีปัญหาที่แตกต่างกัน บางคนมีปัญหากับการมีชีวิตคู่ที่ไม่สามารถปรับตัวเข้ากันได้ บางคนมีปัญหากับญาติพี่น้องของคู่ชีวิต ประเภทแม่ยายกับลูกเขยหรือแม่ผัวกับลูกสะใภ้เหมือนนิยายน้ำเน่าไม่มีผิด บางคนตอนยังไม่แต่งงานรูปร่างหน้าตาสวยสดใส เวลานัดกันไปเที่ยวที่ไหนจะสนุกสนานเป็นตัวของตัวเอง แต่ไม่น่าเชื่อหลังจากแต่งงานไปแล้วไม่กี่ปี มาเจอหน้ากันตอนเลี้ยงรุ่นเห็นแล้วจำแทบไม่ได้ ทั้งอ้วนทั้งโทรมถามได้ความว่าทั้งเลี้ยงลูกและตามผัว...เวรกรรม !! อรทัยคิดถูกที่ยังครองตัวเป็นโสด เป็นโชคดีจริงๆ อยู่คนเดียวมีอิสระทุกอย่าง นึกจะไปไหนก็ได้ไป ไม่มีภาระหรือความยุ่งยากมารบกวนชีวิตประจำวัน เงินทองเหลือกินเหลือใช้เพราะปากเดียวท้องเดียว ชีวิตสดใสเหมือนนกน้อยที่ บินถลาเที่ยวไปในท้องฟ้า ดูรายการไปอ่านหนังสือไปเป็นการย่อยอาหาร พรุ่งนี้เป็นวันหยุดจึงปล่อยตัวได้เต็มที่ไม่ต้องห่วงว่าจะนอนดึก ดูรายการต่างๆจนเพลินเวลาดึกมากแล้วความง่วงมารุมเล้าเปลือกตาหนักเต็มที กดรีโมตฯ ปิดเครื่องฯ คิดว่าคงนอนที่โซฟานี่แหละ ! กำลังเคลิ้มๆ เอ๊ะ ! เสียงอะไร ? มันเป็นเสียงเหมือนมีอะไรไปติดอยู่ที่ช่องระบายความเย็นของตัวแอร์ เสียงก๊อกๆแก๊กๆ เหมือนมีสิ่งของบางอย่างไปปิดขวางช่องลมบางช่อง ด้วยความสงสัยจึงไปลากเอาเก้าอี้นั่งจากโต๊ะอาหาร มาวางที่ตรงกับตัวแอร์ พาตัวไปยืนบนเก้าอี้เพื่อให้สามารถมองเข้าไปที่ช่องลมของตัวแอร์ เพราะอยากรู้สาเหตุที่มาของเสียง ตอนนี้หน้าของเธออยู่ห่างจากช่องลมแค่คืบกว่าๆสอดส่ายสายตาหาความผิดปกติ กำลังมองดูเพลินๆ ทันใดนั้นโดยที่ยังไม่ทันระวังตัว ปรากฏมีสิ่งหนึ่งโผล่มาจากช่องเล็กๆของช่องแอร์ มันคือสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่งโผล่หัวออกมาพร้อมแลบลิ้นแฉกๆออกมาให้เห็นเต็มตา.. พอเห็นภาพชัดเจน ว่าเป็นอะไร ? อรทัยร้องลั่นไม่เป็นภาษา ขยับตัวหนีด้วยความตกใจจนแทบตกจากเก้าอี้ ใจสั่นระรัวด้วยความตกใจสุดขีด ความขยะแขยงเกิดขึ้นกับตัวจนขนลุก เพราะเจ้าสิ่งที่น่าเกลียดน่ากลัวที่กำลังส่ายหัวชูคอออกมาจบเกือบถึงหน้า อรทัย มันคือ งู ชนิดหนึ่งขนาดประมาณนิ้วมือไม่รู้ว่ายาวขนาดไหนเพราะเห็นแค่หัว รีบกระโดดลงจากเก้าอี้ถอยกลับออกมา พอ หันกลับไปมองอีกครั้งมันยังทำท่าผลุบๆโผล่ๆ ตรงที่ช่องแอร์ สักพักก็หดหัวกลับเข้าไปจนมองไม่เห็น อรทัย ตกใจจนทำอะไรไม่ถูก ปัญหาใหญ่เกิดขึ้นกับเธออย่างช่วยไม่ได้ เพราะมีสิ่งแปลกปลอมที่ไม่พึงปรารถนาเข้ามาอยู่ร่วมห้อง สำหรับความรู้สึกของ เธอ เจ้าสัตว์เลื้อยคลานตัวยาวนี้ มันน่าเกลียดและน่ากลัวจนขึ้นสมอง และคิดว่าตงไม่ใช่แต่เธอคนเดียว คนส่วนใหญ่ไม่ว่าผู้หญิงและผู้ชายบางคนก็คงคิดแบบเดียวกัน พอเจอเหตุการณ์แบบนี้เข้า ความง่วงกระเจิงหายไปเปลือกตาแข็งเหมือนกินกาแฟเข้าไปซัก 10 แก้ว หัวใจเต้นโครมครามจนผิดจังหวะ วันนี้เป็นวันโลกาวินาศสำหรับหญิงโสดสวยคนนี้เสียแล้ว หันมองดูเวลาที่นาฬิกาเกือบ ตี 2 แล้ว จะไปเรียกใครที่ไหนมาช่วยดึกดื่นป่านนี้ คงต้องช่วยตัวเอง ไม่งั้นอยู่ไม่เป็นสุขแน่ ! ความคิดอันแรกคือ ต้องเอายาฉีดฆ่ายุงชนิดสะเปย์ฉีดเข้าไปเพื่อให้มันหนีออกมา ไวเท่าความคิดวิ่งไปที่เก็บของหลังบ้าน หยิบเอากระป๋องยาฆ่ายุงออกมา ลากเก้าอี้ติดมือออกมาด้วย ค่อยๆปีนขึ้นไป ยื่นมือที่ถือกระป๋องฉีดยา เล็งเป้าหมายไปที่ช่องเล็กๆมือสั่นเล็กน้อยเนื่องจากบังคับความตื่นเต้นไม่ได้ พอได้จังหวะหลับหูหลับตา ฉีด ปีดๆๆๆเข้าไปที่ช่องลมแอร์ตำแหน่งที่หัวเจ้าสัตว์ตัวยาวโผล่ออกมาเมื่อครู่.. กระโดดถอยออกมาดูผลงาน ซักพักใหญ่ๆฤทธิ์ของยาฉีดยุงก็เริ่มสัมฤทธิ์ผล เจ้าสัตว์น่าเกลียดตัวยาวคงโดนยาฉีดเข้าไปเต็มที่ เกิดอาการ เมายาฉีดยุง จึงค่อยๆม้วนตัวออกมาจากช่องแอร์จนเป็นก้อนกลม แล้วก็หล่น ตุ๊บลงมาที่พื้นบ้าน อรทัยดีใจสุดๆรีบวิ่งกลับไปที่หลังบ้านคว้าไม้กวาด หวังจะเอามาเขี่ยเจ้างูให้พ้นไปจากตัวบ้าน พอกลับมาถึงจุดที่เจ้า งูตกลงมาเมื่อครู่ ปรากฏบริเวณนั้นว่างเปล่า ใจหายวาบออกอาการถอยหลังกรูด เนื่องจากพื้นในบ้านมีสิ่งของตั้งอยู่มากมาย เช่นโต๊ะทำงาน ตู้ใส่ของ ทั้งกองสิ่งของต่างๆอยู่เกือบเต็มพื้นที่ จึงเป็นที่หลบซ่อนกำบังตัวของเจ้าตัวยาวได้เป็นอย่างดี ตอนนี้สถานการณ์ย่ำแย่ไปมากกว่าเดิม เพราะไม่สามารถรู้ว่ามันไปซ่อนตัวอยู่ที่ตำแหน่งแห่งไหน งานเข้าอรทัยเต็มๆเสียแล้วเธอทำอะไรไม่ถูก สมองมึนงงไปหมด ต้องเอาของที่กองอยู่กับพื้น ขนออกไปกองนอกตัวบ้าน เธอนึกในใจ เธอค่อยๆหยิบสิ่งของต่างๆขนออกไปกองที่นอกตัวบ้าน ตรงบริเวณซึ่งเป็นพื้นที่ว่างหน้าบ้านมีพื้นที่ กว้าง 4 เมตรยาว 6 เมตรโดยทั่วไปใช้สำหรับเป็นที่จอดรถส่วนตัว แต่ตอนนี้ว่างโล่งเพราะอรทัยไม่มีรถยนต์ส่วนตัว หยิบไปขนไปตาก็สอดส่ายหาเจ้าตัวต้นเหตุไปด้วย แต่ก็ไม่เจอแม้เงา เกือบตี 3 แล้วชาวบ้านชาวช่องกำลังนอนหลับด้วยความสุขแต่สาวอรทัยต้อง สาระวนกับการค้นหาเจ้า งูบ้าอยู่ตัวเดียว นึกแล้วเจ็บใจจริง ๆเจอตัวเมื่อไหร่จะตีให้แบนทีเดียว ก็ได้แต่คิดเพราะจริงๆแล้วเธอเป็นคนใจบุญไม่ชอบฆ่าสัตว์ตัดชีวิต อยากไล่ให้มันออกไปตัวเป็นๆมากกว่า กำลังเก้ๆกังๆอยู่ที่หน้าบ้าน มีเสียงรถยนต์มาจอดที่หน้าประตูรั้วของห้องข้างเคียง มองดูเป็นรถแท็กซี่คันหนึ่ง ผู้ที่ลงมาจากรถคือ ตุณสมชายหนุ่มโฉด ..เอ๊ย ! โสด วัย 40 กว่าปี เขาเป็นเจ้าของทาวน์เฮาส์ห้องติดกันกับห้องของอรทัย ก็รู้จักกันในฐานะที่เป็นเพื่อนบ้านกันแต่ไม่ถึงกับสนิทสนม พูดทักทายกันนับคำได้เพราะอรทัยไม่ชอบสุงสิงกับใครมากนัก จึงไม่ได้สนใจอะไรก้มหน้าก้มตาจัดของต่อไป ตุณสมชายในสภาพที่ ผมเผ้ายุ่งเหยิงเสื้อสีขาวดูยับยู่ยี่ ชายเสื้อหลุดออกมานอกขอบกางเกง มือซ้ายถือกระเป๋าเอกสารสีดำ มือขวาหิ้วถุงกับข้าว เขาเดินเซๆเปิดประตูรั้วเข้าบ้าน ขณะกำลังจะเดินไปที่ประตูเพื่อเข้าไปในตัวบ้าน พลันที่สายตามองข้ามรั้วคอนกรีตสูง 1.50 เมตรที่กั้นระหว่างห้องเห็นอรทัยกำลังวุ่นวายกับการขนของอยู่ที่หน้าบ้าน เกิดเปลี่ยนใจเดินมาที่บริเวณรั้ว พลางชะโงกหน้ามาที่อรทัย ทำความสะอาดบ้าน หรือ ครับ ! แต่ผมว่ามันจะผิดเวลาไปหน่อย มั๊ง ! ครับ..แฮะๆๆๆๆ ตามองที่บั้นท้ายของอรทัยที่กำลังก้มตัวจัดข้าวของอยู่ เล่นเอาอรทัยซึ่งกำลังยุ่งๆกับการจัดเก็บสิ่งของ สะดุ้งโหย่ง ! หันกลับมามองที่ต้นเสียง นึกโมโหนิดๆที่เขายังไม่ยอมเข้าบ้าน ยังแวะมาพูดทักทาย เพราะเธอเบื่อที่จะต้องคุยกับพวกขี้เมา สำหรับคุณสมชายภาพที่อรทัยเห็นเป็นประจำคือ ตอนเช้าแต่งตัวหล่อออกจากบ้านไปทำงาน แต่ตอนกลับบ้านในเวลาที่เกือบจะตรงกันของทุกวันคือประมาณ ตี 3 ในสภาพที่แตกต่างกับตอนเช้าจากหน้ามือเป็นหลังมือ เธอยังนึกอยู่ว่าในแต่ละวัน นายขี้เมาคนนี้ใช้เวลานอนไม่ถึง 4 ชั่วโมงไม่รู้ทนทำงานอยู่ได้ไง ? แต่ก็ยังนึกชมความเป็นผู้มีความรับผิดชอบของเขาบางอย่าง คือไม่ว่าจะกลับมาดึกดื่นอย่างไร เขาจะตื่นเช้าไปทำงานเป็นปกติทุกวันไม่เคยตื่นสายเลย ยกเว้นเป็นวันหยุดทำงาน ต้องยอมรับว่าทนเป็นแรดจริงๆ อ๋อ ! ไม่มีอะไรหรอก ต่า. ค้นหาของที่หายน่ะ ค่ะ ! พูดปัดๆไปเพื่อตัดความรำคาญ ทำไม ? ไม่ค้นตอนกลางวัน ครับ ค้นตอนกลางคืน มันมืดนะครับ ! อรทัย นึกโมโหมากขึ้นอีก แล้วมายุ่งอะไร ? อีตาบ้า ! แต่ก็ปั้นหน้ายิ้มๆๆ มันเป็นของสำคัญ ต้องหาให้เจอในคืนนี้ ค่ะ คุณสมชายเดินชิดรั้วเข้ามาอีก สิ่งนั้นสำคัญขนาด ถึงนอนไม่ได้เชียวหรือครับ ? อย่าหาว่าผมจุ้นจ้านเลยนะ ช่วยไขความสงสัยให้ผมหน่อย หรือว่านอนไม่หลับหรือครับ ? ประโยคหลังทำเป็นเสียงเล็กเสียงน้อย ง่วงก็ง่วงเครียดก็เครียดมาเจอคนกวนประสาทเข้าไปอีก คือว่าจะค้นหาหนังสือ กฎกติกามารยาทและสมบัติผู้ดี น่ะ ค่า ! เธอพูดทำเสียงประชด อ๋อๆๆๆ ครับๆๆๆถ้าหาไม่เจอ บอกผมได้นะครับ เพราะที่บ้านผมมีเป็นกล่องๆๆ สมชายขี้เมา เกทับกลับมา พร้อมเดินเซเข้าไปในบ้านตัวเอง ตาบ้า ! ช่วยก็ไม่ช่วยยังมากวนใจอีก ! อรทัยหันมาค้อนตามหลังคนขี้เมา ขนของต่างๆที่วางอยู่ตามมุมห้องและริมห้องออกมาจนหมด พื้นที่ห้องว่างจนโล่งตา เหลือเพียงโต๊ะโซฟา และโต๊ะตัวใหญ่ซึ่งเธอแบกคนเดียวไม่ไหว เริ่มค้นหาเจ้าตัวยาวอีกครั้ง เดินสอดส่ายสายตาไปทั่วๆบ้าน ก้มตัวมองที่ใต้โต๊ะ ใต้โซฟามองหาจนละเอียดก็ไม่เจอ ยังนึกในใจว่าตัวตั้งยาวทำไมซ่อนตัวเก่งจัง หรือมันติดไปกับกล่อง และตะกร้าต่างๆที่เธอขนออกไปกองไว้นอกบ้าน อรทัยเดินไปด้านนอกแล้วปิดประตู เพื่อกันไม่ให้ เจ้างูกลับเข้ามาในตัวบ้านได้อีก เธออยู่ด้านนอกกับสิ่งของที่ขนออกมากอง เริ่มขยับสิ่งของที่ละชิ้นๆเพราะเชื่อว่า แขกยามวิกาลต้องซ่อนตัวอยู่ที่สิ่งของอันใดอันหนึ่ง ไล่เอาไม้ตบไปเขย่าไปจนเกือบหมดกองใหญ่ แล้วก็ได้ผลขณะเคาะ ไปที่ชั้นเก็บรองเท้า ไล่เคาะไปที่รองเท้าคู่หนึ่ง เจ้างูยาวซัก 2 คืบ ตัวเขียวๆพุ่งออกมาจากภายในของรองเท้า เลื้อยปราดด้วยความรวดเร็วมุ่งไปที่รั้วด้านข้างซึ่งติดกับบ้าน คุณสมชายฯ เธอเงื้อไม้ยาวจะตี งูแต่ก็ชะงัก คิดว่าไม่ควรไปทำร้ายมันให้มันออกจากบ้านก็พอใจแล้ว พลางถอนใจด้วยความโล่งอก. เธอยืนมองดู มันค่อยๆเลื้อยข้ามรั้วไปยังฝั่งบ้านคุณสมชายฯ จนเห็นเหลือแค่ปลายหาง กำลังจะเดินกลับเข้าบ้านเพราะง่วงเต็มที รบกับงูมาหลายชั่วโมงทั้งเหนื่อยทั้งเครียด และยังมีการบ้านต้องขนของเขาบ้านอีก สงสัยค่ำคืนนี้หลับเป็นตาย แน่ๆๆ หันไปมองที่บ้านคุณสมชาย เอ๊ะ ! มองเห็นแว๊บๆ ทำไมประตูหน้าบ้านยังไม่ปิด ด้วยความสงสัยจึงเดินไปที่ริมรั้วชะโงกหน้าเข้าไปมองดู แล้วก็เป็นจริงๆประตูบ้านเปิด อ้า ซ่า และที่สำคัญเธอมองเห็นส่วนของหางงู ค่อยๆลากหางหายเข้าไปในบ้าน ของเจ้าคนเมาขี้ลืม อรทัย ตกใจนิดหน่อย นึกอยากจะตะโกนบอก แต่ก็ล้มเลิกความคิด ปล่อยเลยตามเลยเพราะดูแล้วคงไม่ใช่งูมีพิษ อย่างไงคงไม่ถึงตาย เธอยังคิดห่วงคนขี้เมานิดๆ แล้วก็ตัดใจกลับเจ้าไปในบ้าน หย่อนตัวลงที่โซฟาตัวโปรดเอนตัวลงนอน พอหัวถึงหมอน ก็หลับ ครอกๆ.. หลับไปนาน จนมาสะดุ้งตื่นขึ้นมาเพราะเหมือนมีเสียงคนกำลังทำอะไรอยู่ที่หน้าบ้าน เหลือบตามองดูนาฬิกาที่วางอยู่บนโต๊ะมันบอกเวลา 6 โมงเช้า สว่างแล้ว ! ใครมาทำอะไรแถวหน้าบ้าน ? ยังงัวเงียเมาขี้ตา เพราะเพิ่งนอนไปได้ไม่นาน ยังเพลียๆอยู่ ทนความสงสัยไม่ไหว ลุกขึ้นเดินไปเปิดประตูออกไปที่หน้าบ้าน อ้าว ! คุณสมชาย ทำความสะอาดบ้านแต่เช้าเลย นะ ขยันจังนะตะ อรทัยตะโกนทักเสียงใสแจ๋ว เหมือนสะใจอะไรบางอย่าง คุณสมชาย ในสภาพ ตาแดงเป็นนกกระปูด เสื้อผ้ายังอยู่ในชุดเดิม ผมเผ้ายุ่งเหยิง หน้าตาตอนนี้เหมือนคนอายุซัก 50-60 ปี เขากำลังยืนอุ้มตะกร้าผ้าอันใหญ่ เดินออกมาที่หน้าบ้าน หันมาพูดกับอรทัยแบบเซ็งๆ ก็หาอย่างที่คุณ หาเมื่อคืนมั๊ง ! ครับ ! แต่ไม่ยอมมองหน้า ค้นหาตอนกลางวัน คงดีกว่าค้นหาตอนกลางคืน นะตะ อรทัยทบทวนความจำของ คุณสมชาย .. คร๊าบๆๆๆๆๆถูกต้อง คร๊าบบๆๆๆๆ พร้อมกับเดินโซเซกลับเข้าบ้าน เพราะของในบ้านยังมีอีกแยะ..
Create Date : 07 ธันวาคม 2551 | | |
Last Update : 7 ธันวาคม 2551 18:54:30 น. |
Counter : 611 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
หมาอาฆาต..!!!
หมาอาฆาต..!!!
ราสส์ กิโลหก
บ้านของผมอยู่ชานเมืองในจังหวัดเล็กๆแห่งหนึ่งทางภาคกลาง ระยะทางของบ้านตั้งอยู่ห่างจากศาลากลางจังหวัดประมาณ 2 กิโลเมตรก็ถือว่าไม่ถึงกับห่างไกลความเจริญจนเป็นบ้านป่าบ้านเขา ที่ดินดั้งเดิมเจ้าของที่ดินได้จัดแบ่งขายเป็นแปลงย่อยๆแปลงๆละ 100 ตารางวา เพื่อจัดสรรขายให้กับคนทั่วไป ที่สนใจจะมีที่ดินเป็นของตัวเอง จำนวนที่ดินทั้งโครงการมีประมาณ 200 แปลงถือว่ากว้างขวางใหญ่โตพอสมควร
ลักษณะแปลงที่ดินเป็นที่จัดสรรทั่วไปรูปร่างเหมือนตาหมากรุก เป็นสี่เหลี่ยม กว้างยาวประมาณ 20 เมตรติดต่อเรียงกันไปเป็นแถวๆโดยมีถนนติดด้านหน้าที่ดินทุกแปลง เพียง แต่ถนนยังไม่มีการพัฒนาเป็นถนนดินลูกรังกว้าง 6 เมตรทุกเส้น
ผมไปดูที่ดิน เห็นว่าทำเลพอเหมาะและราคาไม่แพงเกินกำลัง จึงตกลงซื้อมา 1 แปลงเนื้อที่ 100 ตารางวา เพื่อใช้เป็นที่ปลูกบ้านอยู่อาศัย ซึ่งตอนที่ซื้อที่ดินมา โดยทั่วไปในโครงการยังมีบ้านปลูกอยู่ไม่มากนัก ที่ดินส่วนมากเจ้าของที่ซื้อเอาไว้เฉยๆ ยังไม่มาปลูกสร้างบ้านจึงเป็นที่รกร้างว่างเปล่า ซึ่งมองเห็นเป็นที่รกๆอยู่ทั่วๆไป
ซื้อที่ดินมาได้ไม่นานก็วางแผนปลูกบ้านตามกำลังทรัพย์ เพราะผมเช่าบ้านอยู่ในตัวเมือง คิดว่าเราควรสร้างบ้านอยู่เองแม้จะไกลที่ทำงานหน่อยแต่จะประหยัดค่าเช่าบ้านไปได้ และที่สำคัญเราจะได้มีบ้านเป็นของตัวเอง ดังบทเพลงที่ว่า บ้านเป็นวิมานของเรา
ใช้เวลาในการก่อสร้างบ้านประมาณ 2 เดือนก็แล้วเสร็จเพราะบ้านไม่ได้ใหญ่โตอะไร เป็นบ้านไม้ชั้นเดียว ตอนที่สร้างบ้านเสร็จแล้วช่างฯยังไม่ยอมเก็บเครื่องมือกลับ เขายุให้ผมทำรั้วคอนกรีตรอบพื้นที่บ้าน ผมก็บ้ายุเสียด้วยทำรั้วก็ดีเหมือนกัน และเล็งเห็นถึงความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินก็ตกลงกัดฟันยอมเสียเงินอีกก้อนเพื่อสร้างรั้วรอบแปลงที่ดิน
ย้ายเข้ามาอยู่บ้านใหม่ได้ไม่นานนัก วันหนึ่งบริเวณที่ดินแปลงที่ติดอยู่ทางด้านหลังบ้านผม มีคนกลุ่มใหญ่กำลังเดินกันไปมาอยู่ไนในที่ดิน คนงาน2-3คนพร้อมมีดและจอบช่วยกันถากถางต้นไม้ที่ขึ้นรกเต็มพื้นที่ 100 ตารางวา และมีการขุดหาหลักเขตด้วย ในฐานะที่มีพื้นที่ติดต่อกันผมได้ชะโงกหน้าออกไปดู จึงได้มีโอกาสคุยกัน
ได้ความว่าเจ้าของที่ดินคนเดิมเป็นนายทหารระดับ พันโทแต่เกษียณอายุราชการไปแล้วหลายปี และเพิ่งกลับบ้านเก่าเสียชีวิตไปประมาณ 1 เดือนที่แล้ว คนที่มาดูที่ดินเป็นลูกชายผู้พัน มีอาชีพเป็นนายแพทย์ ทำงานอยู่ที่กรุงเทพฯ คุณหมอบอกว่าไม่รู้ว่าคุณพ่อมาซื้อที่ดินทิ้งเอาไว้ จนไปค้นเจอโฉนดเก่าจึงเดินทางไปติดต่อเจ้าหน้าที่สำนักงานที่ดินจังหวัดฯ เพื่อขอให้ชี้ตำแหน่งที่ดินว่าอยู่ที่ตรงไหน หลังจากช่างแผนที่ได้ตรวจสอบ จึงแจ้งว่าอยู่ตรงนี้ ! คุณหมอบอกอย่างเซ็งๆว่าคงจะไม่เก็บเอาไว้ และสุดท้ายได้เสนอขายให้ผมเพราะเห็นว่าที่ดินแปลงติดกัน เขาให้เหตุผลว่าที่ขายเพราะคงไม่มีเวลามาดูแล..
ผมมองดูแล้วเห็นว่าเป็นที่ดินแปลงติดกันและ จะทำให้มีทางเข้าทั้งทางด้านหน้าและด้านหลัง ราคาก็พอสมควรอีกทั้งการซื้อที่ดินไม่มีความเสี่ยงเพราะไม่มีเสียหายหรือบูดเน่าเก็บไว้ได้ชั่วลูกชั่วหลาน ก็เลยตัดสินใจซื้อเอาไว้อีก 1 แปลงเนื้อที่ก็เท่าๆกันคือ 100 ตารางวา
ช่างฯที่สร้างบ้านให้ผมเขาจมูกไวพอรู้ว่าผมซื้อที่ดินเพิ่ม รีบมาอาสาขอทำรั้วรอบแปลงที่ดินอีก พี่แกอ้างว่าแม้ที่ดินยังไม่มีการปลูกสร้างอะไรแต่การสร้างรั้วไว้ก่อนจะทำให้ที่ดินดูดีขึ้นสวยงามขึ้น จริงๆแล้วผมไม่ได้ เชื่อตามที่ช่างพูดหว่านล้อม หรอก.! แต่ได้พิจารณาดูแล้วราคาอิฐฯไม่แพงมากและค่าแรงช่างคนนี้ก็ไม่โหดจนเกินไป จึงตกลงให้เขาสร้างและให้ทำประตูทางเข้าด้วยความกว้าง 4 เมตรเป็นประตูเหล็กดัด
ผมให้ช่างเจาะรั้วคอนกรีตด้านหลังบ้านเดิม กว้างประมาณ 1 เมตรพร้อมทำประตูปิดเปิด เพื่อที่จะออกไปที่ดินแปลงที่ซื้อใหม่ได้สะดวก เมื่อสร้างรั้วคอนกรีตที่ดินแปลงใหม่เสร็จแล้ว ผมมีความคิดที่จะทำที่จอดรถบนที่ดินแปลงใหม่อีกด้วย จึงวางแปลนไว้ทางด้านริมทิศตะวันตกเพื่อสร้างที่จอดรถและได้สร้างห้องพักเล็กๆกว้าง 4 เมตรยาว 8 เมตร ติดกับที่จอดรถ เผื่อเอาไว้เป็นที่พักคนงาน
วันหนึ่งพรรคพวกที่ทำงานอยู่ที่ศาลฯได้พาผู้ชายคนหนึ่ง อายุประมาณ 28 ปีรูปร่างล่ำสันท่าทางแข็งแรง เหมือนพวกนักมวย เขาแต่งชุดสีกากีเป็นเครื่องแบบของทางราชการ มาหาผมที่หน้าบ้าน
คุณๆๆ หนุ่มคนนี้ชื่อ ถนอม เป็นคนทางภาคอีสาน ได้ทำงานเป็นลูกจ้างประจำของศาลฯ ตำแหน่งคนขับรถ เงินเดือนมันน้อยและไม่มีที่อยู่ อยากเอามาฝากให้มันอยู่ด้วยซักคน ให้มันอยู่ที่ห้องพักโรงจอดรถ ก็ได้ มันตัวคนเดียว เค้าคงรู้ว่าผมทำห้องพักเอาไว้และยังว่างอยู่
เจ้าคนขับรถแสดงการเป็นผู้นอบน้อม เค้าเอามือพนมกันแล้วก้มตัวลงหัวเกือบถึงเอว เพื่อไหว้ทำความเคารพผม..
เอ้า ! ได้ๆๆไม่เป็นไร เดี๋ยวขนของเข้ามาอยู่ได้ไม่เป็นปัญหา ! ผมเอ่ยปากอนุญาต ดีจะได้มีคนดูแลที่โรงจอดรถ
ถนอม ขนของส่วนตัวมาในเย็นวันนั้นเลย หลังจากเลิกงานจากที่ทำงานแล้ว มาถึงก็โชว์ฟอร์มถอดเสื้อใส่กางเกงขาสั้น คว้าจอบมาถากหญ้าทันที เจออะไรที่รกๆโดนเจ้าคนขับรถหวดจนเกลี้ยง จนพื้นที่มองแลดูสะอาดผิดหูผิดตา..ไปเลย !
วันรุ่งขึ้นผมไปธุระที่วัดแถวๆบ้าน ไปคุยกับเจ้าอาวาส พูดคุยธุระเสร็จเดินกลับมาที่รถกำลังเปิดประตูจะก้าวขนรถ มีความรู้สึกว่ามีอะไรอยู่ใต้ท้องรถ เลยก้มลงมองดูปรากฏเป็นหมาพันธ์ไทยตัวเล็กๆ 2 ตัวนอนเบียดกันอยู่ใกล้ๆล้อรถด้วยท่าทางหวาดกลัว เหมือนกลัวใครจะมาทำร้าย.
ผมต้องตะโกนไล่ให้มันออกมา ไล่ยังไงมันก็เฉยไม่ยอมออกมา ยิ่งตะโกนเสียงดังมากมันก็ยิ่งทำท่าตัวสั่นจนลนลาน ดูท่าทางแล้วคงเป็นลูกหมาที่ถูกคนใจดำนำเอามาปล่อยที่วัด หมาที่วัดนี้มีเป็นฝูงและตัวใหญ่ๆทั้งนั้น เจ้าสองตัวนี้แปลกถิ่นเข้ามาคงกลัวเจ้าถิ่นจะเล่นงานมันจึงแอบมาซุกที่ใต้รถ..นึกในใจอยากให้พวกที่ชอบนำหมามาปล่อยที่วัด ขอให้โดนนำไปปล่อยที่เกาะกลางทะเลบ้างจะได้รู้ว่าเวลาโดนนำไปปล่อยเป็นไงบ้าง !
เมื่อพวกมันไม่ยอมออกมา ผมเลยเอามือคว้าตัวที่อยู่ใกล้ๆดึงออกมาจากใต้ท้องรถ มันร้องครางหงิงๆๆ หางม้วนงอแนบท้องตัวเอง มันมองหน้าผมเขม็ง เหมือนจะบอกว่าขอไปอยู่ด้วยคน...เอ๊ย ! ตัว..
ตัวผู้ ซะด้วย ! เอ้าอยากอยู่ด้วยกันก็ไป อยู่เป็นเพื่อน เจ้าหนอมคนขับรถก็แล้วกัน ผมพูดกับหมา..แล้วก็ไม่ลืมเอาอีกตัวไปด้วยพอดึงออกมาจึงรู้ว่าเป็นตัวเมีย. มันคงเป็นพี่น้องคลอกเดียวกัน..
เจ้าหนอม หน้าตาเจื่อนๆเมื่อผมเอาลูกหมา มาปล่อยที่บริเวณโรงรถ และสั่งให้เอาไม้ระแนงมาตีเป็นคอกหมาให้พอกันแดดกันฝนได้ เจ้าตัวผู้ผมตั้งชื่อว่า บุญหลาย ส่วนตัวเมียตั้งชื่อว่า นังแป้ง.
ผมมารู้ที่หลังว่า เจ้าหนอมมันเป็นคนเกลียดหมา พรรคพวกคนที่นำมันมาฝากอยู่กับผมเคยเล่าว่า อ้ายหนอมเคยถูกหมาหลังที่ทำการศาลกัดเอา ปรากฏว่ามันเอาไม้หน้า 3 ไปรอหมาอยู่ที่หน้าบ้านเจ้าของหมา กะจะเอาไม้ฟาดหมาให้ตายคามือ ดีแต่เจ้าหมามันนกรู้เพราะเป็นหมาศาล...เอ๊ย ! หมาข้างศาล มันเลยแอบอยู่แต่ในบ้าน วันไหนถ้าเดินเล่นอยู่นอกบ้านพอเห็นหน้า อ้ายหนอมจอมโหด มันจะใส่ตีนหมาเข้าบ้านเก็บตัวเงียบ..
เจ้าหมาสองตัวยิ่งโตก็ยิ่งดื้อ แต่ท่าทางจะกลัวเจ้าหนอมจนสังเกตได้ ตามธรรมชาติของหมาที่ถูกขังอยู่ในรั้วบ้านถ้ามีคนมาเปิดประตูรั้ว มันจะวิ่งสวนออกไปข้างนอกทันที แต่สำหรับถนอมศักดิ์ ของเรา แค่ไปยืนตรงประตูคนเดียวเจ้าหมาสองตัวก็ไม่กล้าวิ่งผ่านออกไปคงกลัว จนจับใจ..
ครั้งหนึ่งเป็นวันหยุดไม่ได้ไปทำงาน ตอนช่วงบ่ายๆ ผมเปิดประตูเล็กจากด้านหลังบ้านจะมาล้างรถที่โรงรถ เดินมาจวนจะถึง มองเห็นเจ้าบุญหลายพยายามจะวิ่งมาหา แต่วิ่งไปล้มไป เหมือนคนเมาเหล้า ผมยืนมองมันแบบ งงๆๆ มันเป็นอะไรกัน ! กำลังมองอยู่เพลิน.ๆ.
อ้ายหน่อยเพื่อนผมที่ปลูกบ้านอยู่ที่ฝั่งตรงกันข้ามของถนน มันมายืนเกาะประตูรั้ว เรียกผมไปหา.
เมื่อเช้า กรูเห็น อ้ายหนอมตบบ้องหู เจ้าบุญหลาย ดังบ๊าป ตัวมันกลิ้งไปตามมือ มันฟ้อง
ไอ้เจ้าบุญหลายหูดับไปหลายวัน เพราะเวลาเอาข้าวมาให้มันกิน เวลาเรียกมันท่าทางเหมือนไม่ค่อยได้ยิน กรรมของบุญหลาย..ได้ความว่าโทษฐานเอารองเท้าสุดหล่อของพระเอกหนอม ไปกัดซะยับเยิน..
ตอนเช้าของวันจันทร์ ผมเตรียมตัวไปทำงานเปิดประตูเล็กหลังบ้านเพื่อไปที่โรงรถ มองเห็นถนอมกำลังวิ่งไล่ตี เจ้าหมา 2 ตัวอย่างเมามัน พอรู้ว่าผมออกมามันจึงหยุดไล่ตีหมา ฟ้องผมว่าหมา สองตัวเอารองเท้าไปกัดอีกแล้ว และดันเอาไปซ่อนด้วยไม่รู้อยู่ที่ไหนหาไม่เจอ ที่สำคัญเช้านี้ท่านหัวหน้าศาลต้องเอารถเข้ากรุงเทพฯด้วย ...ถนอมมันต้องขับรถตู้ไปส่งท่านฯ
รองเท้าของเขามีสองคู่ คือรองเท้าผ้าใบ 1 คู่และ รองเท้าหนังอีก 1 คู่ ทั้งที่รองเท้าสองคู่นี้แอบวางอยู่อย่างดี แต่หมาเจ้ากรรมก็พยายามเอาไปกัดจนได้ และเป็นความบังเอิญหรือจงใจผมก็ไม่ทราบได้เพราะ เจ้าบุญหลายและนังแป้ง มันแอบคาบเอาไปอย่างละข้าง คือ รองเท้าผ้าใบ 1ข้าง , หนัง 1 ข้างจึงเหลือรองเท้าให้ ถนอม ดูต่างหน้า 2 ข้างแต่ต่างชนิดกัน
แต่หมามันยังใจดี แยกคาบให้ด้วย คือ รองเท้าผ้าใบคาบข้างซ้ายไป เหลือแต่ข้างขวา ส่วนรองเท้าหนัง คาบข้างขวาไปเหลือแต่ข้างซ้าย เหลือ 1 คู่พอดีแต่คนละชนิด
เสี่ยหนอมของเรา เช้านี้แต่งเครื่องแบบชุดกากีสุดโก้เพราะมีภารกิจ ต้องขับรถพาเจ้านายเข้ากรุงเทพฯ แต่ต้องจำใจใส่รองเท้าสุดเท่ห์ คือข้างหนึ่งเป็นรองเท้าหนังส่วนอีกข้างเป็นรองเท้าผ้าใบ จะแก้ไขอะไรก็ไม่ทันแล้วเพราะเวลากระชั้นชิดเดี๋ยวนายจะรอ..จะถูกตำหนิเอา ผมก็ช่วยอะไรไม่ได้เพราะเท้าถนอมมันใหญ่กว่าผมแยะ อรองเท้าผมที่เหลืออยู่ในบ้านก็คงใส่แทนกันไม่ได้
เจ้าหนอมหน้าตาบอกบุญไม่รับ รีบเดินทางออกจากบ้านไปรับเจ้านาย ผมมารู้ที่หลังอีกว่า มันมีแผนที่จะไปเดินห้างฯระหว่างที่รอนายเข้าประชุม...แต่ไม่รู้ว่าได้เดินสมใจอยากหรือเปล่า ? ไม่กล้าถาม
หลังจากนั้นมา ผมหวั่นๆใจอยู่ลึกๆว่าเจ้าหมาพวกนี้ คงจะโดนเจ้าหนอมจอมโหดคิดบัญชี หรือ ไม่ ! ถ้าอยู่ต่อหน้าผม หมาพวกนี้จะทำท่าไม่กลัวถนอม เพราะรู้ว่าถ้าผมอยู่ด้วยจะไม่มีใครกล้าทำอะไรพวกมัน..!
หลังจากนั้นอีกไม่นาน..เช้าวันหนึ่งผมเดินจากประตูเล็กหลังบ้านเพื่อมาที่โรงรถจะขับรถออกไปทำงานเหมือนทุกๆวัน ทุกครั้งที่เดินออกมาเจ้าหมาสองตัวจะวิ่งมาล้อมหน้าล้อมหลังให้เป็นที่รำคาญเป็นประจำ แต่วันนี้แปลกใจที่ไม่เห็นทั้งสองตัว ยังนึกในใจว่ามันไปถล่มอะไรในห้องของเจ้าหนอมอีกหรือเปล่า ? แต่มองไปที่ประตูหน้าเห็นใส่กุญแจเรียบร้อยแสดงว่ามันออกไปทำงานแล้ว
ผมเดินไปดูที่กรงหมาซึ่งอยู่ริมรั้วหลังโรงรถ เห็นแต่นังแป้ง นั่งอยู่ มันคราง หงิงๆๆๆเรียกให้ออกมาก็ไม่ออก มองจนทั่วกรงไม่เห็น เจ้าบุญหลาย มันหายไปไหน ?
หรือแอบไปนอนที่หลุม ! หมาพวกนี้ชอบไปขุดหลุมข้างๆต้นกล้วยเอาไว้นอนหลบร้อนในตอนกลางวัน เดินไปดูที่ข้างๆกอกล้วย มองเห็นมันนอนอยู่ในหลุมจริงๆๆแต่แปลกทำไมมันนอนขี้เซาจัง เพราะธรรมดาแค่ได้ยินเสียงผมเปิดประตูหลังบ้านมันก็วิ่งมาหาแล้ว
ด้วยความสงสัย จึงเดินเข้าไปดูใกล้ๆ เอ่ยปากตะโกนเรียกชื่อมัน 2-3 ครั้งมันก็เฉยไม่ดุก!ดิก! เอ๊ะ ! มันเป็นอะไร ก้มไปดูชัดๆ ปรากฏเจ้าบุญหลาย หมดบุญไปซะแล้ว ผมดูตามตัวไม่มีบาดแผลอะไร พลิกดูทั่วตัวก็ไม่พบอะไร ? หรือถูกงูกัด ? แต่มองเท่าไหร่ ก็ไม่เห็นรูเขี้ยวงู ..จะมีเห็นผิดสังเกตนิดหน่อยก็ตรงข้างลำตัวมีรอยไหม้เล็กๆเป็นทางยาวจากตรงไหล่ไปถึงตะโพก..รอยเล็กๆขนาดเส้นลวด เหมือนถูกไฟฟ้าชอต..
อ้ายหน่อยเพื่อนผม เสนอหน้าอยู่ที่รั้วหน้าบ้านมันคงรู้อะไรดีๆ..มันตะโกนเรียกผมไปหา..
มีอะไร ? วะ !
อ้ายบุญหลาย ตายแล้วไม่รู้เป็นอะไร ? ผมบอกมัน
ตอนเช้าซัก โมงครึ่ง กรูได้ยินเสียงเหมือนหมาสองตัว เห่าร้องกันเสียงดัง ไม่รู้มันเป็นอะไรกัน
ตอนที่ได้ยินเสียงหมา อ้ายหนอมออกจากบ้านหรือยัง ? ผมถาม
มันทำท่าคิด ไม่รู้ ว่ะ! ไม่แน่ใจ เดี๋ยวจะเป็นบาปเป็นกรรมกับอ้ายหนอมมัน มันไม่กล้ายืนยัน
มรึง ช่วยเข้ามาดู ศพมันหน่อย ไม่รู้เป็นอะไร ตาย ผมเปิดประตูรั้วให้มันเข้ามา
พวกเราช่วยกันดูจนละเอียดก็ไม่พบเห็น สาเหตุการตาย แต่ที่น่าสนใจมากคือรอยไหม้ข้างๆตัวหมา อ้ายหน่อยสันนิษฐานว่าคงถูกไฟฟ้าดูดเอาจนตาย มันกลับไปที่บ้านเอาที่ตรวจไฟฟ้ามาตรวจตามลวดที่ขึงอยู่ข้างๆโรงรถ แต่ก็ไม่พบการรั่วของไฟฟ้า..ก็จบ..แต่คนที่อดสงสัยไม่ได้คือ..เจ้าหนอม...เมื่อไม่มีหลักฐาน .ก็ต้องให้ความเป็นธรรม คงต้องรอให้ฟ้าดินลงโทษกันเอง ตามหลัก พระพุทธศาสนา ใครทำกรรมอะไรไว้ก็รู้แก่ใจของตัวเอง..
ผมโทร.บอกถนอมว่า บุญหลายตายแล้ว ! มันทำเสียงตกใจสอบถามอย่างเป็นห่วง..ขณะที่พูดก็ พยายามฟังน้ำเสียงจะจับพิรุธ แต่ก็ไม่มีอะไร ผมสั่งต่อว่าตอนเที่ยงถ้าไม่ติดธุระอะไรให้กลับมาที่บ้านช่วยขุดหลุมฝังให้ด้วย ให้ฝังตรงกอกล้วยที่มันนอนตายนั่นแหละ !
เหลือนังแป้งอยู่ตัวเดียวท่าทางมันเหงาๆ..ตอนกลางคืนผมนอนอยู่ที่บ้านยังได้ยินเสียงมันหอนเป็นช่วงๆอยู่ในกรง คงคิดถึงพี่น้องที่จากไป..น่าสงสาร
นังแป้งหอนอยู่หลายคืน จนคืนหนึ่งมันหยุดหอนไม่ได้ยินเสียงเลย ด้วยความสงสัยก็เดินออกมาดูที่หลังบ้าน เห็นมันวิ่งเล่นไปมาทั่วๆบริเวณโรงรถ เหมือนวิ่งเล่นกับใครผมเอาไฟฉายส่องดูก็เห็นมันตัวเดียว ยังนึกในใจว่ามันจะบ้าไปแล้วมั้ง ! วิ่งอยู่ตัวเดียวในตอนกลางคืน
ช่วงตอนเย็นผมเอาข้าวมาให้ นังแป้งกินตามปกติ อ้ายหน่อยมายืนเกร่อยู่ที่หน้ารั้ว เห็นมันมองไปที่ประตูบ้าน ถนอม พร้อมกวักมือเรียกผมให้เดินไปหา..
อ้ายหนอม อยู่เปล่า วะ! ตามันยังมองไปที่ห้องพัก
มันไม่อยู่ วันนี้คงไปเข้าเวรที่ศาลกลับเช้านั่นแหละ ! มีไร วะ!
เมื่อคืน อ้ายหนอม เอาผู้หญิงมานอนที่ห้อง มันกระซิบเบาๆ
ผมได้ยินแล้วนึกเคืองๆอยู่ในใจ แต่คิดอีกทีถ้าไม่มาทำความเดือดร้อนก็ไม่อยากว่าอะไร แต่อย่ามาอยู่เป็นประจำแล้วกัน ของแบบนี้ลูกผู้ชายก็เหมือนๆกันทุกคน สำหรับพวกหนุ่มๆ.
อ้ายหน่อยเห็นผมเฉยๆ มันฟ้องต่อว่า อ้ายหนอมไล่ตีหมาทั้งคืน..
สรุปได้ว่า เกือบทั้งคืนได้ยินเสียงถนอม ไล่ตี ไล่ด่าหมาเสียงดังตั้งแต่หัวค่ำ แว่วๆว่าผู้หญิงถูกหมากัด แต่แปลกคราวนี้หมาไม่ได้วิ่งหนีฝ่ายเดียวแต่ได้ยินเสียงเห่ากรรโชกสู้ด้วย เหมือนหมามันไม่กลัวคน แต่คำสุดท้ายของอ้ายหน่อย เล่นเอาผมสะดุ้ง !
มรึง ไปเอาหมามาให้เป็นเพื่อน นังแป้งอีกตัวหรือ ? เอามาจากไหน วะ ! ฟังเสียงดูท่าทางดุไม่เบา ถามเสร็จมันยังมองๆไปที่กรงหมา อ้ายตัวมาใหม่ไปนอนอยู่ที่ไหน วะ !
ผมเกาหัว ไม่มี ตัวใหม่หรอก ! มีแค่นังแป้งตัวเดียวนี่ แหละ ! หรือมีหมาที่อื่นหลงเข้ามา
พื้นที่ตรงนี้ผมทำรั้วล้อมรอบขอบชิด ไม่น่ามีหมาตัวอื่นหลุดเข้ามาได้ นอกจากจะมีการเปิดประตูรั้วทิ้งเอา แต่โดยทั่วไปจะไม่มีการลืมเพราะผมเคยสั่งถนอมเกี่ยวกับเรื่องนี้ ผมไม่ต้องการให้หมาเราออกไปมั่วข้างนอก
ผมเปิดประตูให้อ้ายหน่อยเข้ามาภายใน เราสองคนช่วยกันค้นหาดูจนทั่วพื้นที่ ก็เห็นแต่นางแป้งอยู่ตัวเดียวไม่มีหมาตัวอื่น..อ้ายหน่อยทำหน้า งงๆ เดินกลับบ้านไป.
คืนนี้พระจันทร์เต็มดวง แสงจันทร์นวลๆดูสวยงาม ผมนั่งเขียนรายงานอยู่ที่ริมหน้าต่างบ้าน ทำงานไปด้วยดูรายการโทรทัศน์ไปด้วย รายการสุดท้ายจบ เวลาคงประมาณ ตี 1..เดินลุกขึ้นไปปิด ทีวีพร้อมยกมือขึ้นบิดตัวหันซ้ายหันขวาไล่ความเมื่อยขบ.จากการที่นั่งทำงานมาหลายชั่วโมง. เดินไปที่สวิตซ์ไฟเพื่อปิดไฟเตรียมเข้านอน
ว๊ายๆๆๆๆ ช่วยด้วยๆๆๆๆๆ เสียงผู้หญิงแว่วๆมาจากทางหลังบ้าน
เสียงใคร ? มาร้องโวยวายดึกดื่นเที่ยงคืน มันเหมือนเสียงมาจากโรงรถหลังบ้าน ผมนึกโมโหอ้ายหนอมทันทีให้อยู่แล้วยังมาทำความเดือดร้อน..
คว้าไฟฉายวิ่งไปที่หลังบ้าน เปิดประตูเล็กเดินออกไปไปที่โรงรถ ไฟฉายส่องไปเห็นถนอมยืนถือไม้ท่อนกลมขนาดเหมาะมือ อยู่กับหญิงสาวคนหนึ่ง กำลังมองขึ้นไปที่ต้นมะม่วงใหญ่ ซึ่งขึ้นอยู่ที่ดินแปลงข้างๆเป็นที่ดินว่างเปล่าไม่มีคนอยู่ ต้นมะม่วงต้นนี้อยู่ใกล้กับรั้วคอนกรีตที่ดินแปลงของเรา
ผมเดินเข้าไปหา ยัยผู้หญิงเธอหันมายกมือไหว้ พูดเสียงตื่นๆสั่นๆ สวัสดี ค่า
สอบถามได้ความว่า แฟนถนอมตื่นขึ้นมาตอนดึกเพราะจะเข้าห้องน้ำ จึงต้องเปิดประตูห้องออกมาเพราะห้องน้ำอยู่ด้านนอก กำลังจะเดินออกมาหูได้ยินเสียงหมาวิ่งไปมาที่ตรงกอกล้วย เหมือนมันวิ่งหยอกล้อกัน เพ่งมองดูเห็นมีแค่ตัวเดียว มันยังวิ่งไปมาไม่หยุด เดียวทำท่าหมอบเดียวหงายท้อง เดี๋ยววิ่งๆไปก็หยุดจนเศษใบไม้แถวๆนั้นกระจุยกระจาย ความอยากรู้อยากเห็น หันซ้ายหันขวามองหาไม้ขนาดเหมาะมือถือเดินออกมา เมื่อเดินเข้าไปใกล้ๆ นางแป้งพอเห็นคนเดินมามันหยุดวิ่งหันเดินกลับไปที่กรง เธอกำลังจะเดินกลับปรากฏมีเสียงหมาคำรามมาจากรั้วด้านใกล้ๆต้นมะม่วง
เสียงมันขู่อยู่ที่ รั้วปูนใกล้ๆต้นมะม่วง หนูหันไปดู ใจหายวาบ เห็นหมาตัวขาวๆไม่โตมากขนาดเดียวกับนังแป้ง มันยืนอยู่บนกำแพงรั้ว แยกเขี้ยวจนเห็นฟันขาว มองมาทางหนู ท่าทางจะเอาเรื่อง หล่อนเอามือทาบที่หน้าอก ตาโตปากสั่น.
แล้วเป็นไง? ผมถาม
หนูกลัวเลยก้มลงคว้าเอาก้อนหิน ปาไปที่กำแพงรั้ว มันกระโจนจากรั้วลงมาที่หนูเลย ค่า เธอเอามือกอดอกแน่น.
ดีพี่หนอมเปิดประตูกำลังจะออกมาออกมา หนูเห็นคาตาเลยค่า โอ๊ย ! น่ากลัวจริงๆๆ ทำท่าเอามือปิดหน้าปิดตาเหมือนไม่อยากรับรู้อะไร.
น่ากลัว ยังไง ! เป็นไง ! มันเข้ามากัดหรือเปล่า ? ผมมองหน้าเธอ ขนาดไฟไม่ค่อยสว่างยังเห็นชัดว่าซีดจนขาว
เธอพูดออกมาอย่างยากเย็น มันคงได้ยินเสียงพี่หนอมออกมา เลยกระโดดกลับไปที่กำแพงรั้ว ไม่แค่นั้น มันไต่ขึ้นไปบนต้นมะม่วงด้วย ท่าทางปีนต้นไม้เหมือนลิงปีนไม่มีผิดเลย โอ๊ย ! หมาผี แน่ๆเลย หนูกลัว !
ผมหันไปเห็นหน้าเจ้าหนอมจอมโหด หน้ามันซีดมากกว่าแฟนมันซะอีก..!!!
Create Date : 25 พฤศจิกายน 2551 | | |
Last Update : 25 พฤศจิกายน 2551 11:00:34 น. |
Counter : 803 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
ความหวัง(ที่เลือนราง) ของ "พ่อ"
ความหวัง(ที่เลือนราง)ของ พ่อ
ราสส์ กิโลหก
คืนนี้ดึกมากแล้ว ตี 2 กว่าๆ สมชัยนอนไม่หลับ ทั้งๆที่ปกติธรรมดาเวลาไม่เกิน 4 ทุ่มตาม ประสาคนวัย 56 ปีอย่างเขาต้องเข้านอนและหลับอย่างมีความสุข
สมชัยนั่งทอดอารมณ์อยู่บนเก้าอี้โยก ที่ชั้นบนของตัวบ้าน ตรงบริเวณ เรือนชานนอกบ้านซึ่งรอบๆด้านไม่มีอะไรกั้น มองเห็นบริเวณรอบๆข้างบ้านได้รอบตัว หันมองไปทางไหนมีแต่ความมืดและเงียบ ใช่ ซิ ! เวลานี้มันตี 2 แล้วไม่ใช่ 2 ทุ่ม ชาวบ้านชาวช่องเค้าคงเข้านอนหลับใหลกันอย่างสบายไปแล้ว ไม่มานั่งเป็นคนมีทุกข์อย่างเรา
ด้านนอกเงียบสงัด ทำให้หูได้ยินเสียงน้ำค้างที่หล่นใส่หลังคาสังกะสี ดังแหมะๆ เป็นช่วงๆเป็นระยะๆสม่ำเสมออย่างน่าแปลกใจ อากาศเย็นสบายลมพัดเอื่อยๆต่างกับตอนกลางวันที่ร้อนจนหงุดหงิด เค้าว่าคนเราถ้าอยู่ในความเงียบ สมองจะผ่อนคลาย ปลอดโปร่งโล่งสบาย นั่นคงเป็นในกรณีที่ไม่มีอะไรรกอยู่ในสมอง แต่กับสมชัย สมองของเค้ามีขยะรกเต็มไปหมดจนทำให้เขานอนไม่หลับ จนต้องออกมานั่งหงอยๆ ขณะกำลังนั่งคิดอะไรเพลินๆ
แง๊วๆๆๆๆๆ...ง๊าวๆๆๆๆๆ เสียงแมวครางใส่กัน มาจากหลังคาบ้านใกล้ๆ ตามมาด้วยเสียง ฟัดกันอุตลุดของเจ้าสัตว์หน้าขนสองตัว กลิ้งไปกลิ้งมา อยู่บนหลังคาซึ่งเป็นสังกะสี ดังโครมครามทำลายความเงียบ มันเป็นเสียงที่ทำลายบรรยากาศเสียจริงๆ จนพักใหญ่ๆจึงเงียบหายไป....สมองของสมชัยเบาลงไป ทำให้เขาหวนคิดถึงเหตุการณ์เมื่อช่วงเช้าของวันนี้..
ฮัลโหล !ๆๆ หน่องๆ ไปลงทะเบียนเรียนหรือ ยัง ! จะครบกำหนดแล้วนะ ! ไปลงสายเดี๋ยวจะถูกปรับ
เอาเถอะน่า พ่ออย่ามายุ่งมากนักเลย เดี๋ยวจะไปจัดการเอง ผมรู้น่าว่าจะไปลงเมื่อไหร่ ! เสียงเจ้าหน่อง งัวเงียเหมือนคนยังนอนไม่เต็มอิ่ม แสดงอาการรำคาญ..
ก็ได้ๆๆๆๆอย่าลืม ! แล้วกัน พ่อเป็นห่วง สมชัย พูดเสียงอ่อยๆ พลางนึกในใจว่า นี่มันเทอมที่ 12 แล้วนะหน่องเอ๊ย ! เวรกรรมจริงๆ ธรรมดาเขาเรียนกัน 4 ปีหรือ 8 เทอม เขาคิดแบบตลกร้ายว่าเจ้าหน่องมันคงจะเรียนให้ครบ 8 ปีมั๊ง ! สงสัยคงจะรักสถาบันนี้มาก แต่ก็ไม่กล้าว่าอะไรลูกเพราะลูกไม่กลัวพ่อ.! เป็นซะงั๊น !
สมชัยหวนกลับไปเมื่ออดีตที่ผ่านมา เขา กับ อมรา คู่ชีวิต มีลูกเพียงคนเดียวคือเจ้าหน่อง สมชัยเป็นข้าราชการประจำสำนักงานแห่งหนึ่งในต่างจังหวัด มีฐานะปานกลาง ถึงยากจน ตามประสาข้าราชการชั้นผู้น้อยทั่วๆไป ส่วนอมราไม่มีอาชีพประจำ รับจ้างเล็กๆน้อยๆ
อมราคลอดเจ้าหน่อง เมื่อเธอมีอายุ 30 กว่าๆ ตอนเด็กๆเจ้าหน่อง เป็นเด็กฉลาดน่ารัก ตัวขาวๆแก้มยุ้ยเหมือนผู้หญิง เลี้ยงง่าย ที่สำคัญเรียนเก่ง มีความรับผิดชอบสูง ในสมุดรายงานของครูประจำชั้นที่ส่งถึงผู้ปกครอง จะมีแต่คำว่า หัวดี เรียนเก่ง ตั้งใจเรียน มีความรับผิดชอบดี ทำให้สมชัยภูมิใจกับลูกคนนี้มาก ไปที่ไหนหากมีการพูดถึงเรื่องลูกๆกัน เขาจะคุยได้เป็นวันๆ
ไม่มีปัญหาสำหรับสถานที่เรียนในจังหวัดบ้านเกิด ไม่ว่าจะไปสอบที่ไหนชั้นไหน เจ้าหน่องสอบทะลุผ่านเข้าไปได้หมด จนเรียนถึงชั้นสูงสุดของโรงเรียนประจำจังหวัด คือชั้น ม.6/1 ซึ่งเป็นห้องที่คัดไว้สำหรับเด็กที่เก่งที่สุดของโรงเรียน
เจ้าหน่อง จบชั้นสูงสุดของโรงเรียนด้วยเกรดเฉลี่ย 3.85 ในการสอบเอนทรานส์ เพื่อเก็บคะแนนในการคัดเลือกเข้ามหาวิทยาลัยนั้น ผล คะแนนที่สอบแต่ละวิชาได้ไม่ต่ำกว่า 60 เปอร์เซ็นต์แต่บางวิชาเช่นฟิสิกส์ และคณิตศาตร์ได้คะแนนสูง ถึง 80 ใน 100 คะแนน(เป็นการคัดเลือกแบบเก่า เมื่อ พ.ศ.2544)
เมื่อถึงกำหนดที่ทบวงมหาวิทยาลัยฯเปิดให้ส่งคะแนนเพื่อคัดเลือกเข้ามหาวิทยาลัย..
พ่อ ! หน่อง จะเลือก คณะวิศวะฯเป็นอันดับหนึ่ง จะเลือกอันดับเดียวเพราะคะแนนเกินจากขั้นต่ำของปีที่แล้วมาก ติดแน่นอน เขาคุยกับสมชัยผู้เป็น พ่อ
แต่ พ่อว่า วิศวะฯ คนเรียนกันแยะ เอาคณะสัตว์แพทย์ไม่ดีกว่า หรือ ? สมชัยคิดเข้าข้างตัวเอง เพราะคิดว่าเป็นอาชีพที่ทำงานส่วนตัวได้ ( ซึ่งความคิดแบบนี้ได้ก่อให้เกิดปัญหากับเด็กโดยคาดไม่ถึงในอนาคต)
สัตว์แพทย์ ก็สัตว์แพทย์ เจ้าหน่อง ไม่พูดอะไรมาก
ในวันประกาศผลเอนทรานส์ มีเพียงสมชัยที่เฝ้าติดตามลุ้นจากการประกาศของทบวงฯด้วยความตื่นเต้น ซึ่งจะประกาศผลฯทางอินเตอร์เนต ผิดกับเจ้าหน่อง ไม่ค่อยสนใจผลการคัดเลือก ถึงเวลาที่จะประกาศผลฯแล้ว มันยังไปเล่นฟุตบอลที่สนามกีฬาไม่รับรู้หรือสนใจ ช่างแตกต่างกับคนอื่นๆทั่วประเทศที่ใจจดใจจ่อกับผลการคัดเลือกนับเป็นแสนๆคน
เมื่อถึงเวลาที่ทบวงฯประกาศว่าให้ตรวจสอบผลการคัดเลือกได้แล้ว สมชัยเอาเลขประจำตัวสอบ และรหัสนักเรียนของเจ้า หน่อง ใส่ข้อมูลเข้าไปในเว๊ปฯที่เกี่ยวข้องกับการประกาศผล
อมรา ! มาดูนี่เร็วๆ เจ้าหน่องมีชื่อติดคณะสัตว์แพทย์แล้ว สมชัยกระโดดขึ้นยืนร้องตะโกนโหวกเหวกอยู่หน้าจอมอนิเตอร์ ของคอมพิวเตอร์. พวกเขา ดีใจกันสุดๆเพราะลูกได้เข้าเรียนในมหาวิทยาลัยแล้ว คณะยอดฮิต ซะ ด้วย
สมชัยหน้าบานเป็นกระด้ง เพราะที่ผ่านมาญาติพี่น้องของเขาไม่เคยมีใครได้เรียน จนจบปริญญาในมหาวิทยาลัย ที่มีชื่อเสียงระดับประเทศมาก่อน ไม่ว่าเจอใครที่ไหน เพื่อนร่วมงาน หรือเพื่อนบ้านที่ใกล้เคียง เขาจะคุยแต่เรื่องที่ลูกชายสามารถสอบติดมหาวิทยาลัย.. แบบไม่รู้จักจบจักเบื่อ
เนื่องจากเป็นคนต่างจังหวัด จึงต้องหาเช่าหอที่พัก เพื่อให้เจ้าหน่องได้พักอาศัยในระหว่างการเรียนหนังสือ ความที่เจ้าหน่องเป็นเด็กเรียบร้อยและเรียนเก่ง พ่อ-แม่จึงไม่หนักใจในเรื่องการเรียน มีหน้าที่เพียงหาเงินค่าใช่จ่ายส่งไปให้ลูกชายในแต่ละเดือนเท่านั้น
เรียนไปได้ประมาณ เกือบๆ 5 เดือนใกล้จะมีการสอบปลายภาค ..
วันหนึ่งเจ้าหน่องโทรศัพท์มาหาพ่อ
พ่อ !ๆๆ ผมไม่อยากเรียนคณะนี้แล้ว เบื่อ มีแต่นั่งนับกระดูกสัตว์ เดี๋ยวจะขอลาออก ปีหน้าจะยื่นคะแนน เอนฯใหม่ จะเลือก วิศวะฯ เสาร์นี้พ่อเอารถมาขนของที่หอด้วย เจ้าหน่องโทรฯ มาหาสมชัยผู้เป็นพ่อ..
สมชัยและอมรา พูดอะไรไม่ออก เพราะไม่รู้จะทำยังไง ?
ต้องไปขนของจากหอพักกลับมาที่บ้านต่างจังหวัด เพราะไม่รู้จะอยู่ต่อให้เสียค่าเช่าทำไม กว่าจะยื่นคะแนนเอนฯครั้งใหม่ ต้องรออีกนานเป็นช่วงปลายๆภาคเรียน ระยะเวลาเกือบ 6 เดือน
สมชัยเสียหน้าและเสียความรู้สึกมากพอสมควร เพราะชาวบ้านถามว่าขนของกลับมาทำไมไม่เรียนหนังสือแล้วหรือ ? บางคนคิดไกลไปถึงว่าถูกมหาวิทยาลัย รีไทร์ออกมา
จะทำอะไรหรือพูดว่ากล่าวลูกก็ไม่ได้ เพราะ ตั้งแต่เลี้ยงลูกมาไม่เคยดุด่าหรือตีลูก ได้แต่เก็บความรู้สึกที่ปวดร้าวไว้ในใจ
คนอื่นๆรุ่นเดียวกันที่สอบติดตามมหาวิทยาลัยต่างๆเค้าเรียนหนังสือกันโครมๆ แต่เจ้าหน่องนั่งๆนอนๆอยู่กับบ้านเพื่อรอเวลา..
เมื่อถึงกำหนดเวลาที่ทางทบวงฯเปิดให้เข้าคัดเลือกในปีการศึกษาใหม่
เจ้าหน่องยื่นคะแนนเพื่อเอนทรานส์ครั้งใหม่..เป็นครั้งที่ 2 ในปีการศึกษาใหม่ คราวนี้เลือกคณะ วิศวะฯตามความตั้งใจเดิม.
ก็เหมือนหนังม้วนเดิม สมชัยตื่นเต้นมากกว่าลูก คอยตามลุ้นผลเอนทรานส์ด้วยความตั้งใจ..และก็สมความตั้งใจ คือคราวนี้ติดคณะวิศวะฯในสถาบันยอดนิยมซึ่งมหาวิทยาลัยนี้คะแนนสูงที่สุด เพราะคนเลือกกันมาก ถือว่าเป็น มหาวิทยาลัย ยอดนิยมของประเทศ
และแล้ว หลังจากนั้นประมาณ 5 เดือนผ่านไป
กริ๊งๆๆๆๆๆๆๆๆ.....
สมชัยเดินมารับโทรศัพท์ พ่อๆๆๆ ผมจะขอลาออก แล้วนะ เรียนไม่รู้เรื่อง ปีหน้าเอนท์ฯใหม่ ไปสอบสายศิลป์ดีกว่า เสาร์นี้ พ่อเอารถมาขนของที่หอ ด้วย สมชัยปวดหัวแทบระเบิด ใจหวิวๆจะเป็นลม
เจ้าหน่องกลับมาอยู่บ้านแบบไม่ทุกข์ร้อนใจอะไร เย็นมาก็ออกไปเตะฟุตบอลที่สนามกีฬาจังหวัด แต่สำหรับสมชัยผู้เป็น พ่อ โรคประสาทกำลังเริ่มก่อตัว เพราะไปคุยเรื่องของลูกกับคนอื่นๆเอาไว้มาก สายตาชาวบ้านก็เริ่มมองแบบสงสัย..
เมื่อทบวงฯเปิดให้ยื่นคะแนนในปีการศึกษาใหม่ สำหรับเจ้าหน่องคราวนี้เป็นครั้งสุดท้ายแล้วเพราะตามระเบียบของทางการสามารถยื่นคะแนนได้ 3 ครั้ง
เหมือน 2 ปีที่ผ่านมา สมชัยกระโดดโลดเต้นอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ ลืมความทุกข์ที่สุมอยู่ในหัวถึง 2 ปี คราวนี้เจ้าหน่องติดคณะบัญชีในมหาวิทยาลัยยอดนิยมเช่นกัน
สมชัยจดเลขประจำตัวนิสิต และรหัสผ่าน ของเจ้าหน่องไว้เป็นอย่างดี เพราะจะเป็นประตูเข้าไปดูการเคลื่อนไหวในการเรียนในมหาวิทยาลัยของเจ้าหน่อง ซึ่งเป็นเว๊ปฯของสำนักทะเบียนและประมวลผลของมหาวิทยาลัย
6 เดือนผ่านไปไม่มีเสียงโทรมา เหมือนเคย จนครบ 2 เทอม คือ 1 ปี สมชัยค่อยยิ้มออก เสียเวลาไป 2 ปีชั่งมันขอให้จบก็แล้วกัน
ปีที่ 2 ผ่านไปไม่มีเหตุการณ์อะไร ปีนี้พวกเพื่อนๆที่เรียนมัธยมด้วยกันกับเจ้าหน่อง ต่างจบปริญญาตรีกันแล้ว เมื่อพวกเขาแวะมาคุยกับเจ้าหน่องที่บ้าน ต่างคุยกันถึงสถานที่จะไปสอบเข้าทำงาน งานราชการบ้าง บริษัทใหญ่ๆที่มีชื่อเสียงบ้าง หน้าตาทุกคนยิ้มแย้มแจ่มใส เพราะพวกเขามาถึงเป้าหมายที่ต้องการแล้วหลังจากที่ร่ำเรียนกันมาตั้งแต่อนุบาล เจ้าหน่องก็ผสมโรงก็คุยกับเพื่อนอย่างสนุกสนานหน้าตาเฉย แต่สำหรับสมชัยน้ำตาตกใน ได้แต่หน้าชื่นอกตรม เขาอวยพรให้เพื่อนๆของลูกประสบความสำเร็จในการทำงาน
ปีที่ 3 ผลการเรียนเจ้าหน่องลุ่มๆดอนๆ เริ่มติด โปรฯ(วิทยาทัณฑ์) มีติด เอฟมาให้เห็น บางครั้งช่วงลงทะเบียนลงไป 6 วิชาพอสอบกลางเทอมไปแล้ว ก็ไปถอนออก เหลือแค่ 4 วิชา ผลสอบปลายภาค เกรดออกมาเฉลี่ยไม่ถึง 2 อีกแล้ว ติด โปรฯ อีก
ขึ้นปีที่ 4 ..
หน่องเอ๊ย ! ปีนี้จะจบหรือเปล่า ? สมชัยถามกับเจ้าหน่องเสียง แทบไม่เป็นภาษามนุษย์
เอาเถอะน่า ! จบๆๆๆ ตอบแบบรำคาญ
สมชัยนึกในใจเซ็งๆ ใครเป็น พ่อเป็นลูกกัน เนี่ยๆๆๆ เขาหวนคิดถึงเจ้าหน่องตอนเด็กๆมันน่ารัก ว่านอนสอนง่าย พูดหยอกล้อกับพ่ออย่างมีความสุขตาม ภาษาพ่อๆลูกๆ เรื่องการเล่าเรียนไม่ต้องไปบังคับไปสอน เพราะเด็กคนนี้มีความรับผิดชอบดีมาก พวกเพื่อนๆที่คบก็มีแต่พวกเรียนเก่งๆเหมือนกัน หากมีการแข่งขันในด้านวิชาการต่างๆเจ้าหน่องมักได้รับการคัดเลือกให้เป็นตัวแทนโรงเรียนเป็นประจำ มันทำชื่อเสียงให้กับโรงเรียนก็แยะ ชื่อขึ้นบอร์ดในโรงเรียนบ่อยๆ สมชัยยิ้มแห้งๆกับการหวนนึกถึงอดีต
อาจารย์ที่ปรึกษาเคยโทรมาหาสมชัย และคุยให้ฟังเกี่ยวกับเรื่องเจ้าหน่อง ทำนองว่าไม่ค่อยเข้าเรียน โดดร่มประจำไม่รู้ว่ามีปัญหาอะไร อาจารย์บอกว่าสมองก็ไม่ใช่ โง่เง่าเต่าตุ่นอะไร แต่ทำไม่ถึงไม่อยากเรียน หาเหตุผลไม่เจอ สมชัยก็หาเหตุผลไม่เจอเหมือนกัน...ปวดหัว..
หลังจากโทรไปเตือนเจ้าหน่องให้ไปลงทะเบียนเมื่อหลายวันก่อน สมชัยเปิดเว๊บฯเข้าไปดูผลการลงทะเบียนของเจ้าหน่อง พอเห็นก็ได้แต่ส่ายหน้า เพราะมันลงแค่วิชาเดียว 3 หน่วยกิต เรียนทั้งเทอมแค่วิชาเดียว ทั้งที่ เหลืออีก 9 หน่วยกิตก็จะครบ 145 หน่วยกิตครบตามหลักสูตรปริญญาตรี ทำไม ???..และทำไม ไม่ลงให้หมด......โอ๊ย..ปวดหัว
ความหวังที่เต็มเปี่ยม และใบหน้าที่เต็มไปด้วยความปิติของสมชัยเมื่อ 7 ปีก่อน มันค่อยๆเหือดแห้งลงเหมือนดอกไม้ที่กำลังเหี่ยวเฉาเพราะบานมาเต็มที่แล้ว...
คำถามจากคนที่รู้จักกันที่สมชัยเกลียดที่สุดคือ ลูกชายคนเก่ง จบหรือยัง?
ความหวังอันสูงส่งของเขากำลังเลือนราง..ลงไปเรื่อยๆ....จากความหวัง..กลายเป็นการรอคอย..!!!!
Create Date : 13 พฤศจิกายน 2551 | | |
Last Update : 13 พฤศจิกายน 2551 5:44:07 น. |
Counter : 549 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
นินทาเมีย....?(ตอน 2)
(ตอนที่ 2 ต่อจากตอนแรก) นาฬิกาซึ่งแขวนอยู่หน้าห้องหัวหน้าฝ่าย ตีเสียงดังบอกเวลา ง่างๆๆๆๆ เพื่อนแน๊ก หันหน้าขึ้นไปมอง ทำหน้าวิตกกังวล อย่างเห็นได้ชัด
สามทุ่ม แล้ว ไวจัง ! บ่นออกมาเสียงอ่อยๆ
ทำไม ! วะ แน๊ก ! แม่ย่านางที่บ้านเริ่มออกหากินหรือ วะ ! อาจารย์ไฝรู้แกวพูดดักคอ เพราะรู้ว่าเมียเด็กของอ้ายแน๊ก อยู่คนเดียวตอนดึกๆไม่ได้
เพื่อน แน๊กมีท่าทางเซ็งๆ กระเดือกเหล้าไม่ค่อยลง ตามองที่โทรศัพท์มือถือตลอดเวลา และแล้วเสียงที่ไม่พึงปรารถนาก็ดังกังวานขึ้นมาที่โทรศัพท์มือถือ ตู่ ดี้ ดู...ตู่ดี้ดู ๆๆๆ มันรีบหยิบออกมาดูที่หน้าปัด แล้วหันมายิ้ม แหยๆ
เมียโทรมา พูดแบบเบื่อๆ เอามือกดปุ่มรับแล้วยกไปที่ใบหู พร้อมยกมือยกขึ้นเป็นสัญญาณให้พรรคพวกหยุดพูด.
ความจริง ช่างแน๊กคนนี้เป็นคนไม่ค่อยพูดและเกรงใจเมียเป็นที่สุด เพราะเมียเด็กกว่ามาก จึงชอบเอาแต่ใจตัวเองจนเคย โคแก่อย่างแน๊ก จากตำแหน่งผัวกลายเป็นคนรับคำสั่งโดยปริยาย แต่คราวนี้กลับผิดคาด คงเพราะกินเหล้าจนติดลมกำลังมันในอารมณ์ กลายเป็นศรีธนนชัยแน๊ก
ฮัลโหล ! มีอะไรหรือ ? ตอนนี้อยู่กับหัวหน้า.......... อือๆๆ ! รู้แล้วๆๆ............. เดี๋ยวมีคนไปส่งบ้านไม่ต้องห่วง.............. เกรงใจหัวหน้าเค้า ต้องอยู่เป็นเพื่อนแก........... เอาน่าเลิกแล้วจะรีบกลับ ! จ้าๆๆสวัสดี จ้า
รอยยิ้มอย่างสดใสปรากฏบนใบหน้าผัวแก่อย่างน้า แน๊ก พร้อมถอนใจดังเฮือก !
เอ้อ ! เหมือนเอาเมียลงจากคอ
พูดมาด๊ายยย.. แล้วทำไมมรึงยอมให้มันขี่..ว๊า น้าไฝยังตามจิกไม่เลิก.
เหล้าขวดที่ 2 หมดไปตามกาลเวลา..ถ้าเป็นรถยนต์ตอนนี้วิ่งถึง 90 กิโลเมตรต่อชั่วโมงแล้ว เครื่องเดินเต็มลูกสูบ. ขวดที่สามจะให้ใครทำพิธีเปิดคร๊าบบ อ้ายสอนพูดลอยๆๆ
มรึงเปิดไม่เป็นหรือไงวะ ? แด๊ก ! จนหมดไปสองขวดแล้วยังทำเซ่อ ! เสี่ยหมานหันหน้ามาด่าเพราะกำลังติดลม
จะให้เปิดยังไง ละครับลูกพี่ ข่าวร้ายเหล้าหมดแล้ว จ้า !
ก่อนที่จะเกิดการฆ่าตัดตอน เพราะเหล้าขาดช่วง พระเอกของเราก็เข้ามา พอดี..แอ่นแอ๊น.....
เสียงหนึ่งดังมาจากประตู
แอะๆๆๆพวกนี้กินเหล้าในสถานที่ราชการ ขออนุญาตคนอยู่เวร หรือยัง ? เขาคือ นายบรรณกร ช่างฯอีกคนหนึ่ง อายุอานามอ่อนกว่าอาจารย์ ไฝ 1 ปีถือว่าอาวุโสลำดับ 2
เสี่ยบรรลัย..เอ๊ย !บรรณกร ไม่มามือเปล่า ในมือถือเหล้ามาด้วย 2 ขวดเหมือนรู้ใจ เล่นเอาพวกสมาชิกนกฮูก ครางฮือ ! ด้วยความดีใจ
เสียงแหลมๆของอาจารย์ไฝดังขึ้นทันที
อ้ายสอน มรึงยืนเซ่ออยู่ทำไม ! ไม่รีบไปรับของจากท่าน เดี๋ยวท่านมะละกอเปลี่ยนใจเอากลับ ได้อดกันทั้งวง ไม่รู้เรื่องเลยมรึง นี่ !
คร๊าบบ..ไปเดี๋ยวนี้แหละขอรับ จะอุ้มทั้งคนทั้งเหล้ามาเลย
สำหรับเสี่ยบรรณกรคนนี้ เป็นคนร่างเล็กแต่สูบุหรี่เป็นไฟประเภทมวนต่อมวน ไม่รู้แกสูบไปได้ยังไง ? แต่เป็นคนใจสปอร์ตกล้าได้กล้าเสียมือหนัก ไปกับเจ้ากับนายได้ถึงไหนถึงกัน
วันนี้เวร พี่เหรอ ! หลังจากเข้ามานั่งเรียบร้อยแล้ว เสี่ยเบิ้มหันมาถาม
เออ ! เวรกรู เมื่อกี๊พานายไปกินข้าวที่โต้รุ่ง ขากลับพาแกไปส่งที่บ้านพัก ผ่านสำนักงานฯ อ้ายห่ะ ! พวกมรึงเล่นเปิดไฟกันเป็นแผงแบบนี้ แกจึงสงสัยยังถามว่า ในสำนักงานทำอะไรกันไฟสว่างผิดปกติ ดีที่แกไม่แวะเข้ามา
อ้ายสอนอยู่ข้างๆขวดเหล้าเชลยและกระติกน้ำแข็ง ถามมาที่เสี่ยบรรณฯ ของพี่รับน้ำหรือโซดาครับท่าน มันทะลึ่ง
โซดาโว๊ย ! ตาบรรณฯพูดทั้งๆที่ปากคาบบุหรี่
มาแล้วจ้า ! โซดาเย็นๆมันยกแก้วใส่โซดาเต็มแก้วมาให้
น้าบรรณฯ เรายกแก้วขึ้นจิบ พอน้ำเข้าปากสะดุ้งโหยง เฮ้ย ! ทำไมมันจืดแบบนี้ วะ !
อ้าว ! ก็ท่านพี่ขอโซดาอย่างเดียวไม่ได้บอกให้ผสมเหล้า .........
อ้ายเวน ! เดี๋ยวกรูถีบ เลย ทำแกล้งโง่ นะมรึง !
อ้ายสอนจอมมุข รีบเอาแก้วไปเติมเหล้าโดยด่วน ก่อนจะโดนลูกถีบ.
ตอนหนึ่ง น้าแน๊กยื่นมือเอาแก้วเหล้าให้ อ้ายสอนเพื่อเติมเหล้า อาจารย์ไฝขนาดแก่ๆตายังดี มองเห็นแขนเสี่ยแน๊กลายพร้อยเหมือนคนเป็นอีสุกอีใส
แกเอามือคว้าแขนดึงเข้ามาดูใกล้ๆ อ้ายแน๊ก ! มรึงไปเป็นญาติกับตุ๊กแกตั้งแต่เมื่อไหร่ วะ เนี่ย
น้าแน๊ก ดึงแขนกลับทำท่าเขินๆ ยุงมันกัด มันพูดแบบเบาๆ
ทันใดนั้น ! เสียงมรณะก็ดังขึ้น ตู่ดี๊ดู ตู่ดี๊ดูๆๆๆๆๆๆ
เพื่อนแน๊ก ลนลานคว้าโทรศัพท์มากดปุ่ม แต่ไม่ทันได้พูดอะไร ................จ้าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
พูดจบทะลึ่งพรวดคว้ากระเป๋า เมียเรา มันรออยู่หน้าสำนักงานนี่แล้ว
เสร็จไป 1 รายไม่รู้ใครจะเป็นรายต่อไป อ้ายสอนได้ทีขึ้นขย่มซ้ำ..
พวกในวงเหล้าหยุดพูด นิ่งสงบไว้อาลัยให้เพื่อนแน๊กผู้จากไป ครึ่งนาที..
เสี่ยบรรณกร. ยกเหล้าขึ้นจิบเป็นนกกินน้ำ ก่อนเอามะเร็งมาจ่อที่ปากสูดควันมรณะเข้าไปในปอดแล้วพ่นออกมา เรื่องอ้ายแน๊กถูกยุงกัดนี้ผมรู้ดี จะเล่าให้ฟัง
วันนั้น ผมชวนมันไปกินเหล้า ที่ร้านผักบุ้งลอยฟ้าข้างทางรถไฟ กะว่าหมดแบนแล้วจะเข้าบ้านแต่ก็อย่างว่าเหล้าแค่แบนเดียว แค่แหย่พยาธิ อ้ายแน๊กติดลมมันไม่ยอมกลับบ้าน ทั้งยังปิดโทรศัพท์กันไม่ให้เมียตาม มันชวนผมไปกินต่อ
น้าๆๆ ไปกินต่อระวังปากบวมนะ เสี่ยเบิ้มทักท้วง
พวกในวงเหล้าหัวเราะกันกลิ้ง
โทษทีพูดผิด ไปกินที่ร้านอื่นอีก พวกมรึงนี่พลาดไม่ได้เลยนะ เล่นมุขดักคอทุกที
แล้วไงต่อไป ! เล่าต่อๆ กำลังมัน เสี่ยหมานคงอยากรู้
จะเป็นไงล่ะ ! เมื่อไม่มีมารมาตามผจญ ไม่มีเมียมากวนใจให้เสียอารมณ์ ไปกินกันต่อที่ร้านโต้รุ่ง กินกันเพลินไปเลย เล่นเอาตี 2 กว่าจะเลิก
ตาบรรณไฟบันลัยกัลป์ หยิบแก้วเหล้าขึ้นจิบ เอาบุหรี่คาบที่ปากดูดมะเร็งแดงวาบๆๆ ..เป็นการคั่นเวลา
อ้ายแน๊ก ! วันนั้นท่าทางจะเมาหนัก ตอนขับรถไปส่งมันที่บ้าน มันพูดไม่ค่อยรู้เรื่อง พอส่งถึงบ้านเสร็จก็แยกกัน
แล้วมันถูกยุงกัดตอนไหน ! ลูกพี่ เสี่ยสังคัง..เอ๊ยสังคมกำลังอิน.
ตอน เช้าเจออ้ายแบะลูกน้องมันที่สำนักงานฯถามถึงลูกพี่ มันบอกว่า พี่แน๊ก มาทำงานไม่ไหว เพราะเมื่อคืนแทบไม่ได้นอน ซักไซ้ได้ความว่า เมียไม่ให้เข้าบ้าน ไม่ใช่โทษฐานกลับบ้านดึก แต่โดนข้อหาปิดโทรศัพท์ ซึ่งเมียมันบอกว่าอัตราโทษ ในกรณีปิดโทรศัพท์ถือว่าร้ายแรง
เสียง ฮือฮา จากเหล่านกฮูก พร้อมกับมีเสียงด่าลับหลัง พอหอมปากหอมคอ
หลังจากเสียงสงบกลับมาสู่ภาวะปกติ คุณบรรลัย เล่าต่อ
อ้ายแบะบอกว่าตอนเช้าเข้าไปหาพี่แน๊กที่บ้านตามปกติ เจอหน้าเมียหน้าตาบอกบุญไม่รับ ชี้มือไปที่รถเก๋งเก่าๆที่จอดอยู่ข้างบ้าน บอกว่า นั่นไง ! ลูกพี่แกนอนอยู่ในนั้น จึงเดินเข้าไปที่ประตูรถจะปลุกให้ตื่น มองเห็นกระจกประตูด้านข้างเปิดแง้มไว้ เอามือเปิดประตูออกมา กลิ่นเหล้าเหม็นหึ่งทั่วไปทั้งรถ พี่แน๊กยังเมาไม่ตื่นตามเนื้อตัวถูกยุงกัดเป็นหลายร้อยตัว พวกยุงก็ไปไม่รอดเห็นนอนเมาอยู่ข้างๆเต็มไปหมด
ก่อนกลับออกมา อ้ายแบะบอกว่า เมีย พี่แน๊ก ออกมาบอกว่า ถ้ามีเรื่องแบบนี้อีก ต่อไปจะหนักกว่านี้ อีกเท่าตัว เห็นบอกจะให้ไปนอนที่กรงสุนัข น้าบรรลัยฯเล่าเรื่องสยองขวัญ พร้อมทำหน้าตาเหมือนตัวเองอยู่ในเหตุการณ์.. บรื๋อๆๆๆๆ
เมีย ! ไม่ใช่แม่ !! เสียงใครคนหนึ่งพูดสวนขึ้นมาลอยๆๆ
แต่เป็นยิ่งกว่า แม่ โว๊ย !!ฝ่ายค้านคือ น้า สังคมฯ
อ้ายสอน ! มรึงเดินไปปิดไฟให้หมด เหลือเฉพาะด้านหน้าและตรงที่เรากินเหล้าก็พอ เสี่ยบรรณกรสั่งการในฐานะผู้อยู่เวร
ปิดไฟมืดๆไม่กลัวเมียมาหลอกหรือ ลูกพี่ !! อ้ายสอนเอือกตามเคย.
มีแต่เมียมรึงน่ะ ซิ ! ที่จะมาหลอกชาวบ้านเค้า ไม่มาตัวเปล่าเอือกอุ้มลูกมาให้เนียนอีก น้าสังฯพูดเบรกมันทันควัน
เฮ้ย ! พวกเรามาร่วมใจกันปิดโทรศัพท์มือถือให้หมด ป้องกันมารมาผจญ โว๊ย ! อาจารย์ไฝออกไอเดีย.
พวกนกฮูกตีปีกกันพรึบพรับ ต่างขานรับด้วยความด้วยความฮึกเฮิม. ฮูกๆๆๆๆๆ
แต่โทรศัพท์ของสำนักงานฯยังอยู่ แล้วก็เป็นตามคาด.
กริ๊งๆๆๆๆๆๆๆๆๆ อ้ายสอนเดินออกไปรับ
พี่ สังฯเมียโทรมา
อีก 5 นาทีต่อมา.
กริ๊งๆๆๆๆๆๆๆๆๆ อ้ายสอนเดินออกไปรับ
พี่หมานลูกสาวโทรมา รายนี้มาแปลก
อีก 5 นาทีต่อมา.
กริ๊งๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ อ้ายสอนคลานไปรับ
พี่ไฝ ! แม่เอ๊ย เมียโทร มา คร๊าบบบบ
วนเวียนเป็นอย่างนี้เป็นสิบๆเที่ยว
ไม่ต้องทำมาหากินรับกันแต่โทรศัพท์.
ขอสงบศึกโว๊ย ! ถอยเถอะบ้านใครบ้านมัน มารร้ายพวกนี้เอาชนะมันยาก อาจารย์ไฝพูดเสียงแหลม
..
แล้ววงก็แตกในบัดดล.
Create Date : 28 ตุลาคม 2551 | | |
Last Update : 28 ตุลาคม 2551 12:48:10 น. |
Counter : 572 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
นินทาเมีย...?
นินทาเมีย...?
ราสส์ กิโลหก
ณ สถานที่ทำงานของส่วนราชการแห่งหนึ่ง
วันนี้เป็นวันดีเหมาะแก่การตั้งวงสังสรรค์เฮฮา .(แต่เหล่า ภรรเมียที่บ้านต่างประสานเสียงว่าเป็นวันที่ชั่วร้ายของพวกหล่อน ซะ ! มากกว่า)
เสี่ยหมาน นั่งอยู่ที่โต๊ะทำงาน เงยหน้าขึ้นไปมองนาฬิกาที่แขวนอยู่ผนังหน้าห้องหัวหน้าฝ่าย
ห้าโมงเย็นแล้ว เอาไง ! พี่ เหล้าหรือเบียร์วันนี้ พูดจบพร้อมเอามือลูบเคราแพะของตัวเองด้วยความเคยชิน ก่อนหันหน้าไปมอง คุณเบิ้มช่างรุ่นพี่ซึ่งกำลัง เก็บของอยู่บนโต๊ะทำงาน
ได้ เลย..ยย ๆ เสี่ยเหมียน ! ช่าง เบิ้มขานรับ
สั่งซื้อมาได้เลย ของแบบนี้จะบิณฑบาตไม่ต้องถามพระ
อ้ายสอนภารโรงหน้าทะเล้นประจำสำนักงาน กำลังเดินขึ้นมาเพื่อทำความสะอาดตามหน้าที่ ในมือของมันถือถุงดำและไม้กวาดอาวุธประจำกาย
ถ้าจะให้ไปซื้อของที่ตลาด สั่งมาได้เลยคร๊าบบ ท่าน ! ม้าเร็วพร้อมไปซื้อให้เสมอ อ้ายนี่ก็ตลกบริโภคอีกคนเพราะมันอาศัยกินฟรีทุกครั้งที่มี วันดี .
เพื่อนแน๊ก ซึ่งนั่งอยู่โต๊ะหน้าห้องน้ำ กำลังเก็บข้าวของใส่กระเป๋าเพื่อจะกลับบ้าน ได้ยินว่าวันนี้เป็นวันดี เกิดเปลี่ยนใจกะทันหัน หิ้วกระเป๋าเดินมาที่โต๊ะเสี่ยหมาน
จะเอาไง ! เราออกเงินค่ากับแกล้ม คนอื่นออกค่าเหล้าแล้วกัน เจ้าแน๊ก แสดงความใจป้ำควักเงินที่รีดจนแบนแต๊ดแต๋ จากซอกอันมิดชิดของกระเป๋าสตางค์ยื่นให้เสี่ยหมาน จำนวนตั้ง 100 บาท
เสี่ยหมานลุ้นในใจนึกว่าเป็นแบงก์ 500 พอเห็นเป็นแบงก์ 100 พวกถอนหายใจดังเฮือก ! นึกในใจว่า เป็นอย่างนี้ประจำเลยนะคุณ แน๊ก !
ค้ากำไรเกินควร พูดกับตัวเองเบาๆ เพื่อไม่ให้เพื่อน แน๊กได้ยิน.
แต่อ้ายแน๊กดันหูดีขึ้นมา
ถ้ามี 500 เราก็จะให้ แต่เมื่อเช้าเมียมันยึดไปแล้ว แต่ขี้เกียจไปแจ้งความเพราะโรงพักอยู่ไกล ดีนะที่มันไม่เห็นแบงก์ 100 เพราะรีดแอบไว้ที่ซอกกระเป๋าเงิน เสี่ยแน๊ก โยนขี้ไปให้เมียหน้าตาเฉย.
อ้ายคม เอาด้วยเปล่า วะ ! เสี่ยหมานหันหน้าไปทางประตูหน้าห้อง ตะโกนบอก อ้ายคมหรือ นายสังคม บางคนเรียกสังคังก็มี
ขณะที่เสียงจากทีวีเครื่องใหญ่ขนาด 24 นิ้วซึ่งตั้งอยู่ข้างผนังของอาคาร มีรายการสัมภาษณ์นักวิชาการท่าทางตุ๊ดๆทีมีชื่อเสียงคนหนึ่งของเมืองไทย กำลังจีบปากจีบคอ พล่ามถึงการปฏิบัติตัวของวัยรุ่น ที่พ่อแม่ต่างปวดหัวกับพฤติกรรมของบุตรหลาน
หล่อนชี้มือยกขึ้นส่ายไปมา เพราะอะไรหรือ ฮ๊า ! ก็เพราะสังคมมันเลว สังคมมันชั่ว สังคมมันบัดซบ เสียงที่หล่อนพูดแสดงถึงความหนักแน่นชัดเจน
นายสังคมของเราหันไปมองที่หน้าจอทีวี ตาเขียวปัด นี่ถ้าไม่เกรงใจพ่อที่ตายไปแล้ว กรูจะไปเปลี่ยนชื่อที่อำเภอพรุ่งนี้เลย ! มันกัดฟัน พูดรอดฟันออกมาอย่างยากเย็น.
ก่อนจะตะโกนตอบกลับไปที่เสี่ยหมาน
เอาด้วยเพื่อน ! ขอลงขันด้วยความโมโห 300 บาท ควักเงินจากกระเป๋าแล้วเดินไปหาเสี่ยหมานที่โต๊ะ แต่ไม่วายหันหน้าไปมองค้อนที่ หน้าจอทีวีเครื่องใหญ่ซึ่งนักวิชาการตุ๊ดยังพูดไม่หยุด
พี่รัชรีบกลับบ้านหรือเปล่า ? เสี่ยหมานหันไปหา พี่รัช หรือนายวิรัชช่างรุ่นพี่ซึ่งกำลังเดินมาพอดี
พอเดินมาถึงไม่พูดจาหยิบเงินออกมาจากกระเป๋าปึกเบ้อเริ่ม อ้ายสอนจอมเอือก เตร่เข้ามาเพื่อลุ้นว่า จะดึงแบงก์อะไรออกมา
เสี่ยรัชเอามือกรีดเงินเล่นแล้วเลือกใบที่เก่าที่สุดชักออกมา ดังพรืด พอเห็นเป็นแบงก์ 500
อ้ายสอนตะโกนลั่นห้องด้วยความลืมตัว
ขอให้เจ้าภาพจงเจริญ ๆๆ พร้อมยกไม้กวาดยกขึ้นเหนือหัวชูไปมา.
อ้ายสอน ! อ้ายเวน ! นั่นไม้กวาดกวาดพื้นนะโว้ย ! ทำสิ่งแวดล้อมเป็นพิษอ้ายนี่ ! พี่เบิ้มของเราที่นั่งอยู่ใกล้ๆตะคอกใส่
อ้ายสอนลดไม้กวาดลงทำตัวย่อๆ ยิ้มแหยๆ หันไปทางเสี่ยเบิ้ม
โอ้ ! ลูกพี่ ! รู้จักชื่อเล่นผมด้วย
พร้อมกระโดดหนีออกไปให้ห่างรัศมี จระเข้ฟาดหางของเบิ้ม ลูกพระอาทิตย์
พวกที่อยู่ในห้องหัวเราะกันด้วยความสนุกกับลีลาของอ้ายสอนจอมกวน
อ้ายสอน เอ็งอย่าทะลึ่งมากมานี่ ! เสี่ยหมานตะโกนเรียกมันให้มาที่โต๊ะเพื่อเอาเงินไปซื้ออาหารและเครื่องดื่มสะเทือนสุขภาพ
ช่วงระยะเวลาไม่เกิน ครึ่งชั่วโมง.
เสียงคนเดิน ตึงๆๆจากบันใด
มาแล้ว คร๊าบบๆๆๆ มาแล้วๆๆๆ เสียงอ้ายสอนตะโกนดังมาก่อน ทั้งที่ยังไม่เห็นตัว
ทั้งมือซ้ายและมือขวา หอบหิ้วถุงพลาสติกซึ่งแต่ละถุงบรรจุทั้งขวดเหล้าขวดโซดา น้ำแข็ง ลาบหมู ลูกชิ้นทอด ถั่วทอด และตั๊กแตนทอดอันหลังแปลกปลอมเข้ามาไม่มีใครสั่ง.
ขอพูดถึงสำนักงานฯ แห่งนี้ซักหน่อย ที่นี่ใช้หลักพอเพียง มีการจัดหาหม้อข้าว จานชามช้อน ไว้ที่ทำงาน ตอนมื้อเที่ยงไม่ต้องไปกินที่ไหน จะให้น้องๆผู้หญิงที่มีตำแหน่งเป็นลูกจ้างรายปีประจำสำนักงาน ฯ จัดหุงหาข้าว และไปซื้อกับข้าวใส่ถุงที่ตลาด มานั่งล้อมวงกินข้าวกันในที่ทำงาน ทำให้ประหยัดเงินกันได้วันละหลายสิบบาท
แต่พอตอนเย็นเลิกงาน พวกปีศาจสุราออกอาละวาด จากพอเพียงตอนกลางวัน กลายเป็นพอแค่เหลือกลับบ้าน
เจ้าสอน ภารโรงตัวแสบ เอาของทั้งหมดวางที่โต๊ะใหญ่ตัวหนึ่ง แล้วเดินเข้าไปเอาแก้วชามและช้อนซึ่งเก็บไว้ในตู้อยู่ริมห้อง เอาออกมาเพื่อใส่อาหาร พร้อมจัดเรียงให้เป็นวงกลม เอากระติกมาใส่น้ำแข็งหลอดจนเต็ม
แก็ง ๆๆ...ได้เวลากันแล้ว อาวุธและกระสุนพร้อมแล้วครับ..ท่านๆๆ เจ้าสอนเอามือป้องปาก หันไปรอบๆห้อง เพื่อเรียกเหล่าสมาชิกมาร่วมสังสรรค์
สมาชิกต่างทยอยเดินมานั่งกันพร้อมหน้า โดยเจ้าภารโรงหน้าทะเล้นเป็นผู้บริการชงเหล้าอยู่ข้างวง
เฮ้ย ! ข้าขอน้ำแข็งก้อนที่เย็นๆนะโว๊ย ! ช่างเบิ้ม พูดเล่นมุก พร้อมยื่นแก้วเหล้าให้อ้ายสอน
ครับ ผม ! เย็นแน่นอนครับท่าน ผมอมดูแล้ว มันทะลึ่งไม่ลดละ
สังคม ซึ่งอารมณ์ดีขึ้นหลังจากรายการทีวีจบไปแล้ว หันไปมองเห็นตั๊กแตนทอด ทำท่างงๆ แล้วหันหน้ามาทาง อ้ายสอน
สอน ตั๊กแตนทอดใคร สั่งซื้อ วะ! ไม่เคยมีใครกินนี่หว่า
อ๋อ ! ได้มาฟรีๆลูกพี่ มันพูดด้วยความภาคภูมิใจในการที่ได้ของฟรีมา
เอ็งมีดีอะไร เค้าถึงให้ของมากิน สังคมพูดพลางเอื้อมมือไปหยิบตั๊กแตนทอดตัวเขื่อง ขึ้นมาหยิบใส่ปาก
ก็ไม่มีอะไรหรอกครับ ! ผมเดินผ่านหน้าร้าน เจ้าของเค้าบอกว่าอยากกินก็เอาไปกิน ซะ ! เพราะกำลังจะเอาไปทิ้ง
เสี่ยสังคมได้ยินเต็มสองรูหู รีบคายซากตั๊กแตนทอดออกจากปากแทบไม่ทัน
ด้วยความตกใจและโมโห จึงเรียกชื่อเล่นอ้ายสอนดังลั่นวงเหล้า
โธ่ ! อ้ายเวน ! แล้วมรึงเอือกเอามาทำไม ? มันคงเป็นตั๊กแตนที่จับมาโดยการฉีดยาฆ่าแมลง กินเข้าไปมะเร็งถามหา แน่ !
คนอื่นๆรับลูกหันไปรุมด่า เจ้าภารโรงจอมงกกันระงม โทษฐานชักศึกเรียกมะเร็งเข้าวงเหล้า. มันไม่เถียงซักคำ รีบไปยกจานตั๊กแตนทอดออกมาจากวงเหล้า แต่ยังไม่วายบ่นเบาๆคนเดียว
ทำดี ได้ชั่ว
ช่างแน๊ก นั่งอยู่ข้างได้ยินไม่ค่อยชัดหันหน้าไปถามว่า
ว่าอะไร นะ !
อ้ายสอนสะดุ้งออกลายกะล่อนทันที เปล่าครับ ! เดี๋ยวผมไปหาซื้อถั่วเพิ่มให้แทนครับ ลูกพี่
มันถือจานตั๊กแตนทอดเดินออกไปที่หน้าสำนักงานฯ ออกปากตะโกนเรียกเพื่อนๆของมันสองตัวที่เตร่ๆอยู่แถวนั้น เหมือนรู้ภาษาว่าจะมีของกิน พากันวิ่งมาหา แสดงอาการกระดิกหางกันจนก้นบิดไปมา
พอเทตั๊กแตนทอด อาหารที่ไม่พึงปรารถนาลงพื้น เจ้าสองตัววิ่งเข้าหาทันที อ้ายสอนคิดในใจว่าคนไม่เห็นความดี อย่างน้อยหมาเห็นความดีบ้างก็ยังดี
ปรากฏว่าแม้แต่สุนัขก็ยังไม่แล พวกมันมาดมๆแล้วก็เดินจากไปแบบไม่หันกลับมามอง
อ้ายสอนตะโกนเรียกอีกมันก็ไม่แลมา เจ้าภารโรงยิ้มไม่ออก เอาจานเคาะหัว พร้อมบ่นกับตัวเอง
กรู นี่! โง่กว่าหมาอีก เน้อ ! เวรกรรม
พลพรรคขี้เหล้ากินกันไปคุยกันไป เวลาล่วงเลยไปถึง 2 ทุ่ม จนเหล้าหมดไป 1 กลมใหญ่ ดีกรีกำลังแผ่ซ่านเข้าสู่ร่างกาย ความกล้าหาญวิ่งเข้าสู่จิตใจ มหกรรมนินทาเมียกำลังจะเริ่ม คนที่โดนเมียกดขี่ข่มเหง ตอนที่ไม่เมาก็ทนได้ไม่ปริปากพูด แต่ขณะนี้สถานการณ์เริ่มเข้าที่เพราะดื่มยาละลายพฤติกรรมเข้าไป ทำให้เริ่มเห็นช้างเป็นหมู..
เมียผม แม่ง ! มันจุ้นจ้านจริงๆ นะ เพ่ ! นายสังคัง เอ๊ย สังคม หันไปพูดกับ พี่รัช ช่างรุ่นพี่ พร้อม เอามือดึงชายเสื้อออกมาจากขอบกางเกง เพื่อให้เกิดความคล่องตัว หน้าตาตอนนี้แดงก่ำ
ทำไม วะ! เพื่อน เสี่ยหมานเพื่อนรุ่นเดียวกัน มองหน้า เจ้าสังคม
มันชอบถามว่า ไปไหนมา ? จะทำมายย..วะ ! จะไปไหนมาไหนมันหนักหัวใครหรือไง ? น้าสังฯของเรา ทำเป็นพูดจาใหญ่โต
พร้อมกับแฉประวัติของเมีย
มันเป็นใคร ? มาจากไหน? ญาติก็ไม่ใช่ พี่น้องก็ไม่ใช่ พอมาเป็นเมียมันขึ้นขี่คอเราเลย ซัดเหล้าเข้าปากเกือบครึ่งแก้วด้วยอารมณ์แค้น
เออ ! จริงด้วย ตอนยังไม่เป็นเมีย พูดคำกินน้ำคำ ไม่ไหลเป็นน้ำตกเหมือนเดี๋ยวนี้ น้าแน๊กเริ่มผสมโรงรายนี้ได้เมียเด็กอายุอ่อนกว่าถึง 18 ปีแต่เรื่องฝีปากน่าเกินอายุ.
เมียผมก็แย่ ! พี่วิรัช ! เสี่ยหมานมือซ้ายถือแก้วเหล้า มือขวายกยกขึ้นมาโบกไปมาเกือบโดนหน้าเสี่ยเบิ้ม
แย่ยังไง? มันกัดเอาหรือไง ? พี่รัชแหย่เล่น.
ไม่แย่ได้..งาย...พี่ !
เดี๋ยวประชุม ! เดี๋ยวประชุม ! ไม่รู้ประชุมอะไรกันนักหนา มันเห็นเจ้านายดีกว่าผัว เสี่ยหมานเอามือตบโต๊ะด้วยความน้อยใจ เมียเสี่ยหมานเป็นข้าราชการกรมกรมพัฒนาชุมชน และมาปฏิบัติหน้าที่ประจำอยู่ที่จังหวัดเดียวกับที่สามี
เสี่ยหมานยังอารมณ์ค้าง
ตอนออกจากบ้านจะไปทำงาน หน้างี้บานแฉ่ง ! ไอ้โครงการอะไรของเค้า อ้อ ! โครงการเยี่ยมบ้านยามเย็น ไปมันทุกเย็น ไปสนใจเยี่ยมแต่ชาวบ้าน แต่บ้านตัวเองไม่สนใจ ฮ่าๆๆๆๆ พี่ว่ามันตลกมั๊ย !จะบ้าตาย.
อ้ายสอนฟังแล้วคันปาก
เสนอหน้าพูดมั่ง เมียกรู ! เอ๊ย ขอโทษครับมันยกมือไหว้รอบวงคงลืมตัวไปหน่อย
ผมไปกินเหล้าที่บ้านเพื่อน กินเพลินจนดึก เมียผมรออยู่บ้านไม่ไหวอุ้มลูกอายุแค่ 6 เดือนไปตามผมถึงบ้านเพื่อน หยุดจิบเหล้าเป็นพิธี .
จนเวลาเที่ยงคืนกว่าไปแล้ว มันเดินไปตามแต่ไม่ยอมเข้าไปในวงเหล้า ดันไปแอบอยู่ที่ดงกล้วยตานีข้างๆวงเหล้า ไปยืนอุ้มลูกอยู่ในความมืด เพื่อนผมปวดเยี่ยวเดินเข้าไปเยี่ยว จ๊ะเอ๋ ! เข้าเต็มรัก นึกว่าผีนางตานี วิ่งออกมาป่าราบน้ำเยี่ยวเปรอะไปหมด หายเมาเป็นปลิดทิ้ง จริงๆนะลูกพี่ ! ไม่ใช่โม้นะครับ คำว่าโม้ มันทำเสียงเหมือนสมรักษ์ คำสิงห์
อ้ายสอน ! มรึงไปมองที่หลังคา ซิ ! ไปดูว่ามันอยู่บนหลังคา ป่าว..ว กลัวเมียเอ็งเป็นแม่นาค ว่ะ! คุณสังคังมองไปที่หน้าต่างเพราะได้ยินเสียงหมาหอนแว่วๆมา
ส่วนอาจารย์ ไฝ ซึ่งเป็นช่างที่อาวุโสที่สุดในกลุ่ม รูปร่างผอมหน้าแหลมๆ มีหนวดงามที่ริมฝีปาก เหนือหนวดมีไฝเม็ดเขื่อง มองเห็นได้ชัด เสียงแหลมๆเหมือนคนทางระยอง
แกเอ่ยเสียงแหลมๆออกมา.
อ้าย เอี้ยเอ๊ย ! เมียกรู ซิ แม่ง !แสบ
แสบไง ? พี่ พวกในวงเหล้าถาม
คืนหนึ่ง เมาเละจนไม่รู้เรื่องกลับมาบ้านเกือบ ตี 2 ถึงบ้านหิวข้าว เมียก็จัดสำรับข้าวให้กิน มันใจดีเอาเหล้ามาตั้งบนโต๊ะให้อีก เสร็จแล้วมันรีบกลับไปนอนเฉยเลยปล่อยให้กรูนั่งอยู่คนเดียว
อาจารย์ไฝทำท่าผะอืดผะอม
เมียใจดีขนาดนี้ ยังไม่ดีอีกหรือ พี่ ! อ้ายสอนเอือก
ใจดี เตี่ยมรึง ดิ ! กรูอ๊วกเกือบตาย ยังแสบคอไม่หาย
เป็นไง ? อ้ายเบิ้มสนใจ
อาจารย์ไฝขึ้นเสียงแหลมปรี๊ด. มันจะเป็นไง ? ก็มันเอาน้ำปลากรอกใส่ขวดเหล้าให้ผัวกิน ดิ ! ซัดไปหลายแก้วไม่รู้เรื่องเพราะเมาจนฟิวส์ขาด ตื่นเช้าขึ้นมา แม่ง ! ยังเยาะเย้ยอีกว่าเหล้านอก บลูเลเบิ้ลขวดเมื่อคืนรสชาติเป็นไง ?
(มีต่อตอนหน้า ตอน 2)
Create Date : 26 ตุลาคม 2551 | | |
Last Update : 27 ตุลาคม 2551 5:56:36 น. |
Counter : 648 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
| |
|
|