วันนี้ถึงจุดที่รู้สึกว่าโคตรท้อ และพอกับความพยายามบ้าบอ 3 ปีที่ผ่านมา
คุณคิดว่าคนๆ หนึ่งต้องออกมาใช้ชีวิตในต่างประเทศ(ยังไม่พัฒนา) คนเดียวเดือนละ 2-3 สัปดาห์ เขาต้องการอะไร และเขาทำเพื่ออะไร?แล้วคุณคิดบ้างไหมว่าสภาจิตใจคนที่ต้องอยู่คนจริงๆ ปีละมากกว่า 150 วันเขารู้สึกยังไงบ้าง? ความตั้งใจที่จะทำให้บริษัทเติบโตในประเทศที่ตัวเองรับผิดชอบ บวกกับความบ้าระห่ำทำงานทุกรูปแบบหาโอกาสขยายตลาดทุกทางที่เป็นไปได้ ไปกับคนทุกระดับ ซื้อใจลูกค้าตั้งแต่ระดับเจ้าของบริษัทยันพนักงานส่งของเข้าไปคุยกับร้านค้าทั้งๆ ที่พูดภาษาท้องถิ่นไม่ได้ ตกเย็นไปเรียนภาษาท้องถิ่นโดยใช้เงินส่วนตัวเพื่อจะได้เข้าใจตลาดให้ลึกซึ้งขึ้นคุณคิดว่าผู้หญิงคนหนึ่งต้องทุ่มเทแค่ไหน ถึงจะได้สิ่งเหล่านั้นมาในเวลาเพียงหนึ่งปี? ความมุ่งมั่นสามปีที่จะทำให้ยอดขายเติบโตอย่างต่อเนื่อง ต้องนั่งรถ Localสภาพจะพังไม่พังแหล่ เดินทางทั่วประเทศ (ที่รับผิดชอบ) คนเดียว ซึ่งบางครั้งทั้งคันรถมีแต่ผู้ชายถึงที่หมายก็มืดค่ำ ถามว่ากลัวไหม? มีบ้าง แต่ใจสู้ไง คิดว่าชั้นไหว ไม่เป็นไรหรอกและมันก็พิสูจน์ว่าชั้นทำได้! ตกเย็นหาร้านอาหารนั่งกินข้าวคนเดียว มือนึงถือช้อน อีกมือถือโทรศัพท์(ที่ไม่มีอินเตอร์เนท) รูดขึ้นรูดลงเป็นเพื่อนแก้เหงา บางวันดีหน่อยลูกค้าชวนไปทานข้าวข้างนอกด้วยคงกลัวจะเฉาตายคาโรงแรมไปก่อน คุณคิดว่าคนที่ทำแบบนี้จะทนจริงๆ ได้กี่ปี? แต่นี่3 ปีแล้วไงที่ใช้ชีวิตแบบนี้ ถามว่าทำขนาดนี้มีใครเห็นไหม? เราคิดมาตลอดว่าแผนกเราวัดผลงานกันที่ตัวเลข ตัวเลขมันจะแสดงให้เห็นศักยภาพและความพยายามของเราซึ่งมันเป็นอย่างนั้นในช่วงปีแรก แต่หลังจากนั้นมาทุกอย่างดูแย่ลง แม้ตัวเลขจะดีขึ้นเรื่อยๆก็ตาม จนกระทั่งเมื่อปลายปีที่แล้วมีการประเมิน ซึ่งทุกอย่างออกมาดีหมด เราทวงถามถึงอนาคตในหน้าที่การงานของเราที่เคยสัญญาว่าจะโปรโมทเราในช่วงปลายปีที่ผ่านมา คำตอบคือ เปลี่ยนผู้บริหารใหม่เขาไม่เห็นศักยภาพและผลงานของเรา จุดนั้นต่อมน้ำตาแตก เกือบ 3 ปีที่ผ่านมามันคือทำงานฟรีๆ อย่างงั้นหรอ? เราไม่โทษผู้บริหารเลยเขาไม่รู้เขาไม่ผิด แต่ใครล่ะที่ทำให้เขาไม่รู้ ความบ้าระห่ำตอนนั้น เราเดินไปถามผู้บริหารเลยว่าต้องทำขนาดไหนถึงจะเรียกว่าเห็น Performanceผู้บริหารงงเป็นไก่ตาแตก เพราะไม่เคยรู้เรื่องมาก่อน แล้วยังบอกว่าเขาเพิ่งคุยกับหัวหน้าเราไปว่าเราเป็นคนมีศักยภาพที่จะโตต่อไป แล้วอะไรคือผู้บริหารไม่เห็นศักยภาพและผลงานเรา? คุณรู้ไหมว่ามนุษย์เป็นสัตว์สังคม ต่อให้บอกว่าชอบใช้ชีวิตคนเดียวแค่ไหน แต่สุดท้ายแล้วเขาก็ต้องการเพื่อนไม่ได้ต้องการที่จะอยู่คนเดียวตลอดเวลา แต่ที่เขาต้องทำเพราะมันคือหน้าที่ มันคือสิ่งที่เขาอยากพิสูจน์ การอยู่กับตัวเองนานๆบางครั้งก็จิตตก อยู่ดีๆ ก็หดหู่แบบไม่มีสาเหตุ หนักๆ เข้าหาทางออกไม่ได้ก็ต้องเข้าวัดเข้าวาไปนั่งให้ใจสงบ ทุกครั้งที่นั่งเครื่องบินไม่เคยรู้สึกกลัวว่าจะตกลงไปตายแต่กลับรู้สึกว่าตกลงไปตายตอนนี้ทุกอย่างมันจะได้จบ ไม่ต้องมาเหนื่อยบ้าบอไร้สาระแบบนี้อีกแต่ทุกครั้งที่ล้อแตะวันเวย์ ก็ต้องหยุดฝันและบอกกับตัวเองว่ามันก็เป็นได้แค่ความคิดเราต้องกลับมาสู่ความจริง เรายังต้องสู้และพิสูจน์ตัวเองต่อไป แต่วันนี้มันมีคำพูดที่มันคลิ๊กมาโดนความรู้สึกลึกๆ ที่เขาอยู่ที่ต่างประเทศนานเพราะเขาจะได้มีวันหยุดชดเชยเยอะๆ แล้วจะได้ไปเที่ยว นั่นหมายถึงสิ่งที่คุณกำลังมองว่าเราเป็นใช่ไหม?คุณไม่ได้คิดว่าเดือนไหนที่เราอยู่นาน ยอดเราทะลุเป้าแค่ไหน? คุณไม่ได้มองว่า3 ปีที่ผ่านมามันมีอะไรเปลี่ยนแปลงบ้าง? หรือจริงๆ คุณกลัวจะรับรู้ว่ามีคนทำได้แต่ถ้าเป็นคุณคุณอาจทำไม่ได้ คุณเลยแกล้งไม่เห็นและเปลี่ยนประเด็นเอาไปพูดให้คนอื่นๆดูว่าเราแย่ การเอาไปพูดลับหลังจริงๆ เราไม่โอเค แต่เราไม่ได้รับรู้โดยตรง แต่เชื่อสิว่ามันมี และก็รู้ด้วยว่าคุณเอาเราไปพูดยังไงบ้าง แต่ก็ปล่อยผ่านแต่วันนี้คุณพูดต่อหน้าคนอื่นๆ ซึ่งมาจากประเทศต่างๆ คนเหล่านั้นไม่รู้จักเรามาก่อนไม่เคยรู้ว่าสามปีก่อนหน้านี้ที่นี่เป็นยังไง เขาก็ได้แต่ฟังในสิ่งที่คุณพูด คุณว่าชั้นควรจะลุกขึ้นมาต่อปากต่อคำกับคุณหรือ?คงไม่...ชั้นแค่รู้สึกว่า พอแล้วจริงๆ การทำงานกับคนที่ Discredit เราได้ตลอดเวลามันไม่มีความสุขเลยเพราะเราจะไม่สามารถพิสูจน์ตัวเองได้เลยว่าจริงๆ แล้วคุณเจ๋งจริงหรือแค่คิดไปเอง เราคงจะต้องหยุด จะต้องพอ หยุดบ้าบอคิดไปเองว่าเราพิสูจน์ตัวเองได้ แล้วกลับมาคิดใหม่ว่าเราเป็นคนที่บ่มิไก๊ จริงๆ แล้วเปลี่ยนวิถีชีวิตเป็นแบบหาเช้ากินค่ำทำงานรับเงินเดือนไปวันๆ ดี?
Create Date : 19 พฤษภาคม 2560 | | |
Last Update : 19 พฤษภาคม 2560 18:25:08 น. |
Counter : 630 Pageviews. |
| |
|
|
|