The O World
Group Blog
 
All Blogs
 
Chinese Nation Day 2006 Trip (Dunhuang)

Okasuma in Dunhuang

1 ตุลาคม 2549
รถไฟมาถึงตุนหวงตอนเช้าตรู่ ฟ้ายังไม่สว่าง เจ้าหน้าที่ก็มาร้องเรียกให้แลกบัตร พอก้าวออกจากขบวนรถไฟเท่านั้นแหละ เสื้อผ้าที่ใส่อยู่ที่รู้สึกว่ามันเทอะทะแล้ว แต่มันกลับหนาไม่พอ อากาศข้างนอกเย็นมาก ๆ นอกจากอากาศเย็นที่สัมผัสได้แล้ว ยังรับรู้ถึงบรรยากาศของทะเลทรายตั้งแต่แรกเหยียบตุนหวง เพราะเพียงแค่ก้าวเท้าออกมาก็เหยียบถูกผืนทรายแล้ว มาถึงตุนหวงแล้วก็ไม่รู้ว่าจะเข้าเมืองได้ยังไง หนังสือไม่มีบอกเอาไว้ แต่ก็คิดว่าน่าจะมีรถบัสคอยรับส่งแหละ พอออกจากสถานีรถไฟ ยังไม่ทันได้ดื่มด่ำกับบรรยากาศยามเช้าของทะเลทรายดีเท่าไหร่ ก็มีแท๊กซี่มีร้องเรียกให้ไปนั่งรถเค้า คุยไปก็ชะเง้อมองดูรถประจำทางไป แต่ดูไงก็รู้สึกว่าไม่มี แท๊กซี่คิดเราคนละ 5หยวน เราก็เลยตกลงเพราะอยากอาบน้ำแล้วเที่ยวต่อแล้ว แต่พอก้าวลงมาแถวลานจอดรถ อ่า....เสียทีซะแล้ว ทั้งลานจอดรถเป็นรถประจำทางทั้งนั้น เอาน่า...ไม่เป็นไร ถือซะว่าซื้อเวลาละกัน จะได้ไปเที่ยวตอนเช้าทัน

มาถึงโรงแรมเฟยเทียน ก็จัดการเช่าห้องพักราคาคืนละ 31หยวน/คน/คืน โรงแรมมีบริการพาเที่ยวที่โม่เกาคู (MoGaoKu 莫高窟)เป็นถ้าที่มีพระสลักอยู่ข้างใน เป็นประติมากรรมที่สร้างในหลายสมัยหลายราชวงศ์ของจีน พระสลักของที่นี่ใหญ่เป็นอันดับสามของโลก (เดิมเคยเป็นอันดับที่ห้า แต่พออัฟกานิสถานถูกตาลีบันถล่ม พระที่ใหญ่ที่สุดอันดับหนึ่งและสองเลยถูกทำลายไป) โรงแรมคิดราคา 20หยวน/คน ถ้าจะไปทะเลทรายหมินซาซาน ก็คิดเพิ่มอีกคนละ 10หยวน ด้วยความรักสบาย กอปรกับเวลาอันจำกัด ทำให้ตัดสินใจเลือกใช้บริการของโรงแรม พอจ่ายเงินปุ๊บ โรงแรมก็บอกเราว่าให้ล้างหน้าก็พอ เพราะถ้าอาบน้ำจะไม่ทันการ!!!

เราทนสกปรกตัวเองไม่ได้สุดท้ายก็อาบอยู่ดี ด้วยเวลาอันรวดเร็วปานจรวด พอลงมาก็พบว่าเพื่อนของเราได้เพื่อนร่วมทางเพิ่มอีกคนเป็นคนญี่ปุ่นเหมือนกัน เป็นผู้หญิงที่เราทึ่งมาก ๆ เค้าลาออกจากงานเพื่อเที่ยวอย่างเดียวหนึ่งปีเต็ม อยากทำอย่างงี้บ้างจัง แต่ตอนนี้แม้แต่หางานยังหาไม่ได้เลย แล้วจะลาออกเพื่อเที่ยวได้ไงเนี่ย

แปดโมงตรงรถพาเราออกจากโรงแรมไปยังโมเกาคู ระหว่างทางมีไกล์ดคอยอธิบายถึงประวัติ และข้อห้ามต่าง ๆ ข้อห้ามที่สำคัญคือ พอเข้าเขตที่ยื่นบัตรผ่านประตูแล้วห้ามถ่ายรูป (แต่เราลืมไปเผลอถ่ายไปสามรูป เหอๆ) ห้ามส่งเสียงดังเวลาที่วิทยากรประจำคูหาต่าง ๆ อธิบายประวัติและความสำคัญของแต่ละคูหา (อันนี้ก็พลาดอีก โดนเชิญให้ออกมาเลย) แล้วอีกข้อนึง จำไม่ได้แล้วอ่ะ

*
บัตรผ่านประตูที่นี่ราคา 100หยวน/คน แต่ด้วยอภิสิทธิ์ของบัตรนักเรียน ทำให้เราได้เข้าไปด้วยราคาเพียงครึ่งหนึ่ง 100 หยวนถือว่าเป็นราคาที่แพงนะ แต่ถ้าเทียบกับความรู้ที่ได้ กับวิทยากรที่อธิบายให้ฟังทุกคูหาแล้วถือว่าคุ้มมาก ๆ ยิ่งไปวันชาติของจีนยิ่งได้อภิสิทธิ์พิเศษ เพราะปกติราคานี้จะเข้าชมได้เพียง 10 คูหา แต่วันนี้เข้าชมได้ทุกคูหาที่อยากเข้า อีกทั้งเปิดเพิ่มมากกว่าปกติอยู่ 5คูหา ดังนั้นเมื่อเราเสียเงินเข้ามาแล้ว เราต้องเอาให้คุ้ม

พอเข้ามาแล้วก็ขอเก็บภาพถ่ายไว้ก่อน เห็นว่าสวยดี แรก ๆ ที่ไกล์ดบอกว่าห้ามถ่าย เราก็นึกว่าห้ามเฉพาะในคูหา เลยถ่ายข้างนอกไปสองสามรูป แต่พอมารู้อีกทีก็สายไปแล้ว ถ่ายไปแล้วจะให้ลบก็กระไรอยู่ เราเดินอย่างสะเปสะปะ ไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหน พอถามเจ้าหน้าที่เค้าก็แนะนำว่าให้ไปดูที่พิพิธภัณฑ์ก่อน แล้วเริ่มจากคูหาที่ 16-17

แต่ละคูหาถ้าดูเผิน ๆ ให้ความรู้สึกว่าไม่ต่างกันเท่าไหร่ แต่พอฟังวิทยากรอธิบายแล้ว จะเข้าใจว่าแต่ละคูหามีเอกลักษณ์ประจำของคูหานั้น ๆ ด้วยเหตุที่ว่าสร้างในต่างสมัยกัน สีที่ใช้ถ่ายทอดความรู้สึกก็ต่างกันออกไป บางคูหาพระพักตร์ของพระพุทธรูปเป็นสีดำ นั่นเป็นเพราะปฏิกริยาทางเคมีของสีเปลี่ยนไป คูหาที่กำแพงมีรูปวาดของพระพุทธเจ้าหลายรูป (เป็นร้อย ๆ พัน ๆ รูป) จะเรียกว่าถ้าพระพันรูป(QianFo Dong 千佛洞)



ถ้ำที่ใหญ่ที่สุดคือถ้าหมายเลข 096 มีชื่อเรียกว่าต้าฝอเตี้ยน (DaFoDian 大佛店)ภายในมีพระพุทธรูปแกะที่ใหญ่ที่สุดของที่นี่ และใหญ่เป็นอันดับสามของเมืองจีน และของโลก สร้างในสมัยราชวงศ์ถัง โดยสมัยนั้นงานแกะจะไม่ลงสี (สังเกตสีที่พระบาทของพระพุทธเจ้า) แต่มาปฏิสังขรณ์ในสมัยราชวงศ์ชิง โดยการเติมสี หลังจากนั้นก็มีการปฏิสังขรณ์อีกรวม 5 ครั้ง ในทุก ๆ วันวิสาขบูชา สถานที่แห่งนี้จะเปิดให้คนเข้ามาเวียนเทียน การเวียนเทียนของที่นี่จะต่างจากเมืองไทย ผู้ชายจะวนทางซ้าย ส่วนผู้หญิงจะวนทางขวา นอกเหนือจากพระพุทธรูปแล้ว ผนังของถ้ำในอดีตยังมีภาพวาดโดยรอบ แต่ปัจจุบันมองไม่เห็นแล้วเนื่องจากโดนฝนชะล้างไป เพราะแต่เดิม ถ้าแห่งนี้เป็นถ้าโปร่งไม่มีหลังคา ในปี1937เพิ่งจะได้สร้างหลังคาครอบถ้ำไว้ เพื่อป้องกันการชะล้างของฝน

พอเดินครบทุกถ้ำจนชุ่มฉ่ำใจแล้ว ก็ได้เวลาเดินทางกลับ ขากลับค่อนข้างเหนื่อยและลำบากใจ ก็เพราะว่าเพื่อนญี่ปุ่นของเราทั้งสองคนต้องคอยโกหกว่าเป็นคนชาติอื่น เพราะคนจีนไม่ชอบคนญี่ปุ่น แรงกดดันต่าง ๆ สูงมาก แต่ปัญหาคือ ดันมาโกหกว่าเป็นคนไทย แล้วเราเลยต้องโกหกว่าเป็นเกาหลี ก็นะ คนไทยด้วยกัน คุยกันทำไมใช้แต่ภาษาอังกฤษ กับภาษาจีนอ่ะ มันแปลก ๆ ใช่ป่ะ

เที่ยวเหนือล่องใต้ยังไงก็ไม่เหนื่อยเท่ากับการโกหกคนเลย ที่แย่ไปกว่านั้นคือเพื่อนเราโดนถามเรื่องทักษิณ คราวนี้เลยเป็นใบ้กันไปพักใหญ่ สุดท้ายหาทางออกได้ว่า เราควรจะนอนหลับระหว่างทางกันดีกว่า เพื่อเลี่ยงการตอบปัญหาต่าง ๆ นานา ของคนจีน

*
กลับมาถึงโรงแรม เรามีเวลาพักหนึ่งชั่วโมง ได้เวลาเติมพลังให้กับร่างกายแล้ว เมนูแนะนำของที่นี่คือบะหมี่เนื้อลา (LvRouMian 驴肉面) แน่นอนว่าเราไม่ชิม เพราะขนาดเนื้อแพะยังไม่กล้ากินเลย แล้วนี่เนื้อลา ออกจาน่ารักขนาดนั้น ยิ่งพอคิดถึงดวงตาเศร้า ๆ ด้วยแล้วยิ่งกลืนไม่ลงใหญ่ แต่เพื่อนเรา ขอให้เป็นของกินได้ อะไรมาต้องลองให้หมด เพราะเที่ยวคราวนี้จุดมุ่งหมายของเค้าคือ "การกิน" แต่ของเราคือ "การเที่ยว" ก็ดีไปอย่าง เพราะอย่างน้อย เราก็จะได้เห็นหน้าตาของอาหารที่เราไม่กล้ากินไปด้วย

หมดเวลาพักเราก็เดินทางกันต่อ จุดมุ่งหมายของเราคือทะเลทรายหมินซาซัน แต่ทัวร์ของโรงแรมดันพาเราไปซื้อของซะนี่ แล้วเสร็จแล้วแทนที่จะตรงไปทะเลาทรายเลยกลับแวะเที่ยวัดอีก ปกติเราเป็นคนไงก็ได้ แต่นี่เดี๋ยวถ้าไปสายไปจะไม่ทันได้ขี่อูฐง่ะ

เสียเวลาไปชั่วโมงกว่า ๆ ในที่สุดก็มาถึงทะเลทรายหมินซาซันแล้ว เย้ ๆๆๆๆ แค่มองจากข้างนอกก็รู้สึกว่าสวยมาก ๆ พอเข้าไปข้างในแล้ว....ยิ่งสวยใหญ่ มันยิ่งใหญ่ มันน่าเกรงขาม มันดูสงบ แต่น่ากลัวอย่างบอกไม่ถูก ค่าบัตรผ่านประตูที่นี่ 80หยวน แต่เราก็ใช้บัตรลดราคาอีกเช่นเคย

*
พอก้าวเข้าไปจะเห็นหมู่มวลน้องอูฐนั่งหน้าสลอนเป็นกองทัพต้อนรับแขกบ้านแขกเมืองอย่างเรา ยิ่งมองยิ่งรู้สึกว่าตาของน้องอูฐสวยเหลือเกิน จะมีชาติไหนที่ตาเราจะโตได้เท่านี้มั๊ยเนี่ย พอเข้ามาแล้วก็ต้องเสียเงินอีก 70หยวนสำหรับขี่อูฐและค่ารองเท้า เรื่องขี่อูฐไม่ใช่เป็นเรื่องบังคับ ถ้าไม่อยากขี่อูฐก็มีรถให้เช่า หรือถ้าอยากเดินเท้าก็ได้เหมือนกัน ส่วนเราตอนนี้ความงกสยบให้กับความอยากไปเรียบร้อย ควักเงินจ่ายโดยไม่คิด ก็แหม...คนเราจะมีสักกี่ครั้งที่ได้เห็นอูฐนอกสวนสัตว์ แล้วถ้าไม่ได้มาเที่ยวจะมีโอกาสได้ขี่มันมั๊ย ลำพังจะหาอูฐในเมืองไทยยังหาไม่ค่อยจะได้เลย



ความรู้สึกของการขี่อูฐต่างจากขี่ม้าโดยสิ้นเชิง ขี่ม้าความรู้กเดียวที่ได้รับคือเจ็บก้น แค่นั้นไม่พอ พอเวลาผ่านไปหนึ่งคืนความรู้สึกระบมที่เอว บั้นท้าย ที่น่องและข้อเท้าก็จะตามมา แต่ความรู้สึกของการขี่อูฐไม่มีความเจ็บปวดแบบนั้น มีแต่ความหวาดเสียวตอนที่อูฐยกตัวขึ้นกับตอนที่อูฐจะนั่งลง คนอื่นอาจไม่รู้สึก แต่เรากลัว (ก็นะ...เป็นโรคกลัวความสูงนี่หน่า) แต่พอผ่านไปทุกอย่างมันก้ดีขึ้น อูฐเดินแล้วไม่โขยกเขยกเหมือนช้าง เดินได้นุ่มมาก ๆ อูฐที่นี่จะลากกันเป็นขบวน ๆ ไป มองดูขบวนตัวเองอาจไม่รู้สึกอะไร แต่พอมองดูขบวนที่สวนมา มันให้ความรู้สึกของนักเดินทะเลทรายอย่างบอกไม่ถูก พอเห็นอย่างนี้แล้วความรู้สึกอยากไปเที่ยวอียิปต์ยิ่งมีเพิ่มมากขึ้น อยากไปเดินทะเลทรายของจริง อยากรู้ความรู้สึกว่าเป็นยังไง
*
ขบวนของอูฐจะพาไปถึงจุด ๆ หนึ่งแล้วต้องลงจากอูฐเสียค่าบัตรเล่นกระดานเลื่อนอีก 10หยวน มองจากด้านล่างแล้วเดินขึ้นไปที่จุดเล่นกระดานเลื่อนไม่สูงเท่าไหร่ แต่พอเอาเข้าจริง เหนื่อยเอาการ แต่วิวด้านบนก็สวย (ถ่ายรูปมาเยอะ แต่พอกลับมาปรากฏว่ามันหายไปหมดเลย) เสียอย่างเดียว กระดานเลื่อนที่ว่ามันไม่เร็วได้อย่างใจที่ต้องการเอาซะเลย ต้องใช้มือพาย ๆๆๆๆ แต่พายไงก็ไม่ไป (น้ำหนักตัวอาจมีส่วนเกี่ยวข้อง)

ลงมาถึงด้านล่างแล้วก็ได้เวลาไปในสถานที่ต่อไป ทะเลสาบเสี้ยวพระจันทร์ (YueYaQuan 月牙泉)เป็นบ่อน้ำที่อยู่ในเขตทะเลทราย จะสวยมากในตอนกลางคืน แต่เราไม่ได้อยู่ถึงตอนนั้น เพราะมากับทัวร์ คิดแล้วก็เสียดาย น่าจะมาเองซะก็ดี นอกจากจะเที่ยวไม่จุใจแล้ว รูปก็ไม่ได้ถ่ายเพราะแบตกล้องดันหมดซะนี่ ยังดีที่ของเพื่อนยังมีอยู่ แต่ต้องรอเค้ากลับประเทศหลังจากเที่ยวครบหนึ่งปีแล้ว เค้าถึงจะส่งให้เรา นี่คงเป็นสัญญาณบอกว่าเราควรซื้อแบตสำรองได้แล้ว แหง ๆ เลย

กลับมาถึงโรงแรมก็รีบอาบน้ำแล้วไปหาข้าวเย็นกินกัน ตามหนังสือแนะนำบอกว่าร้านต้าผานจี (DaPanJi 大盘鸡)แถวโรงแรม อร่อยและมีชื่อ เรารึก็อุตส่าห์ไปตามที่หนังสือเขียนไว้ พอไปถึง อื้ม!ท่าทางจะเป็นร้านดังของที่นี่จริง ๆ ด้วย คนเยอะมาก ๆ พอเข้าไปถึงความอยากกินที่นี่ก็หมดไปในบัดดล เมื่อเจ้าของร้านบริการห่วยแตก อารมณ์ว่ามีแต่หม้อไฟแพะ จะกินมั๊ย อาหารอย่างอื่นไม่มี (ก็หม้อไฟมันราคาแพงกว่าอาหารอย่างอื่นหละมั๊ง) เราก็แบบไม่ง้อก็ได้ เดินออกมากินร้านตรงข้ามก็ได้ เขียนว่าต้าผานจีเหมือนกัน เป็นร้านเล็ก ๆ ที่ไม่มีคนกินเลย แต่บริการดีสุด ๆ รสชาติก็ใช้ได้ไม่ได้เลวร้ายอะไร

กินเสร็จก็ไปเดินเล่นตลาดกลางคืน ขายอาหารเต็มเลยแต่เป็นอาหารอิสลามที่เรากินไม่ได้ทั้งนั้น ว่าแล้วก็เดินดูของขายดีกว่า ดูแล้วไม่มีความอยากซื้ออะไรเลยซะอย่าง เพราะนึกถึงว่า นี่เราเพิ่งมาถึงนะ ต้องแบกไปอีกกี่วันกว่าจะได้กลับ ว่าแล้วก็ตัดใจไม่ซื้ออะไรสักอย่าง ดูไว้เป็นบุญตาว่าเรามาถึงแล้ว แค่นี้ก็พอ

ต่ออีกนิด...ว่าจะจบแล้วแต่นึกขึ้นได้ ถ้าใครเคยมาเมืองจีน หรือมีเงินจีนอยู่ก็จะรู้ว่า เงินจีน 1 หยวน กับ เงินที่เป็นเหมาจะมีทั้งกระดาษและเหรียญ ในกระเป๋าตังเราพกเหรียญที่เป็นเหมาตรึมเลย ตอนนี้ซื้อของมีโอกาสได้ใช้ แต่ร้านค้าดันไม่รับ บอกว่าธนาคารที่นี่ไม่รับเงินที่เป็นเหรียญ เราก็เลยจ๋อยไป ที่แย่ไปกว่านั้น แทนที่จะได้ลดปริมาณเงินเหมาในกระเป๋า กลับต้องรับเงินทอนที่เป็นเหมาเพิ่มขึ้น แล้วเป็นเงินกระดาษที่เน่ามาก ๆ เปื่อยอย่าบอกใครเลย

คิดไปคิดมา เมืองไทยเราดีที่สุดละ จะอยู่ส่วนไหนของประเทศก็ใช้มาตรฐานเดียวกันหมด




2 ตุลาคม 2549
วันนี้แรกเริ่มเดิมทีตั้งใจว่าจะเดินทางไปฮามี่(Hami 哈密) เลย แต่เพื่อนร่วมเดินทางเรายังอยากอยู่ที่นี่ต่อ แล้วอยากไปดูที่ถ่ายทำหนังเรื่อง HERO เราเองก็อยากไป สุดท้ายก้เลยตกลงว่าไปเที่ยวันก่อน แล้วตอนเย็นค่อยกลับมาขึ้นรถรอบสุดท้าย (5โมงเย็น)ในราคา 30หยวน เพื่อจะไปขึ้นรถไฟที่เหลียวหยวน (ไม่ค่อยแน่ใจเรื่องชื่อเหมือนกัน) เป็นสถานีที่อยู่ไกลตุนหวงออกไปอีก ต้องนั่งรถร่วมสองชั่วโมงถึงจะไปถึงที่นั่น ถ้ากลับมาไม่ทันรถก็ต้องนั่งแท๊กซี่ไป 120หยวน ด้วยความงกเลยถามเจ้าหน้าที่ ถามแล้วถามอีกเค้าก็บอกว่ากลับมาทันชัวร์ เราก็เลยตกลงปลงใจไปทัวร์ที่ตุนหวงต่ออีกวัน

วันนี้เริ่มต้นอวี่เหมินกวน (Yu Men Guan 玉门关)เป็นการเริ่มต้นที่ลันทดมาก รถตู้ขนาดเล็กแต่อัดคนเข้าไปเต็มอันตรา เท่านั่นไม่พอสภาพรถ...อย่าให้พูดเลย ระหว่างทางสองชั่วโมงปวดหลังมาก ๆ กระแทกไปตลอดทาง แล้วที่แย่ไปยิ่งกว่าอะไร ภาพที่เราถ่ายไว้ในช่วงนี้ก็อัตรธานหายไปหมด ยิ่งคิดยิ่งเศร้า

ก่อนถึงอวี่ยู่กวน รถจอดให้เราวิ่งไปซื้อบัตร พอลงมาจากรถเท่านั้นแหละ สั่นเป็นเจ้าเข้าเลย อากาศหนาวมาก ๆ เพราะพระอาทิตย์ยังไม่ขึ้น (ทั้ง ๆ ที่แปดโมงแล้วอ่ะ) แต่พอมองไปด้านหลัง โอ้ว...พระอาทิตย์กำลังเดินทางมาแล้ว บัตรเข้าชมอะไรก็ไม่สน โยนเงินโยนบัตรนักเรียนให้เพื่อนไปซื้อ ส่วนตัวเองวิ่งแจ้นไปถ่ายรูปเรียบร้อย (ค่าบัตรที่นี่ราคาเต็ม 30หยวน บัตรนักเรียนลดราคาได้) กลับมาที่รถก็เริ่มเข้าจังหวะร็อคแอนด์โรวล์อีกรอบ ถึงที่หมายก็เข้าไปถ่ายรูป ๆๆๆ

เด๋วมาเขียนต่อ


Create Date : 14 ตุลาคม 2549
Last Update : 15 ตุลาคม 2549 19:20:05 น. 11 comments
Counter : 618 Pageviews.

 
แวะมาเยี่ยมครับ และเที่ยวให้สนุกนะคร๊าบ


โดย: N' Bird (AsWeChange ) วันที่: 14 ตุลาคม 2549 เวลา:8:46:35 น.  

 
To N'Bird,
ขอบคุณค่ะ เที่ยวกลับมาแล้ว สนุกมาก แต่ก็เหนื่อยมากเหมือนกัน

ฮ่าๆๆ


โดย: Okasuma (okasuma ) วันที่: 14 ตุลาคม 2549 เวลา:12:45:38 น.  

 
ดีๆ ดูเที่ยวสนุกดีหนิแก
ตอนนี้เราแม่งโคตรอยากกลับบ้านเลย
เบื่อๆ เมื่อไหร่จะจบเทอมวะเนี่ย จะได้กลับบ้านซะที
แต่ท่าทางกลับไป ก็น่าจะไม่มีอะไรทำ และเครียดว่ะ เฮ้อ ชีวิตเราตอนนี้ แม่งเศร้าว่ะ


โดย: PikKiE IP: 221.133.199.23 วันที่: 18 ตุลาคม 2549 เวลา:17:16:37 น.  

 
To PikKiE,
ไม่ต้องเครียดไปแก เดี๋ยวชั้นก็ได้กลับละ อิอิ
กลับก่อนแกหนึ่งเดือน ฮ่าๆๆๆ
แต่กลับแค่ห้าวันก็ต้องกลับมาสอบอ่ะ
เศร้าด้วยคนเดะ ไม่อยากสอบเลย ฮือๆๆๆๆ

แต่...สอบเสร็จเราก็เที่ยว ๆๆๆๆ


โดย: okasuma (okasuma ) วันที่: 18 ตุลาคม 2549 เวลา:20:06:02 น.  

 
ขอให้มี

ความสุข สมหวัง ร่างกายแข็งแรง

ประสพความสำเร็จในหน้าที่การงาน

และมีครอบครัวที่อบอุ่น ร่ำรวยเงินทอง

เนื่องในวัน

คล้าย

วันเกิดครับ




โดย: somnumberone วันที่: 17 กรกฎาคม 2550 เวลา:0:27:31 น.  

 


โดย: b@rbOr วันที่: 17 กรกฎาคม 2550 เวลา:7:56:00 น.  

 


โดย: โสมรัศมี วันที่: 17 กรกฎาคม 2550 เวลา:9:15:07 น.  

 



ป้าพานางฟ้ามาอวยพรวันเกิดค่ะ
ขอให้พบแต่สิ่งดีๆ คนที่ดีมีจิตใจดี
และเหตุการณ์ดีๆนะคะ
หวังว่าคงจะไม่ช้าไปนะคะ
********
****




โดย: ป้าหู้เองค่ะ (fifty-four ) วันที่: 17 กรกฎาคม 2550 เวลา:9:41:48 น.  

 


โดย: Harmonic Major วันที่: 17 กรกฎาคม 2550 เวลา:10:31:46 น.  

 
แวะมาสุขสันต์วันเกิดค่ะ

ขอให้คุณเจ้าของบล็อก และครอบครัวมีแต่ความสุข สมหวัง สดชื่น แจ่มใสทั้งกายและใจตลอดไปนะคะ

รวย ๆ ๆ เฮง ๆ ๆ ค่ะ




ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ...


โดย: largeface วันที่: 17 กรกฎาคม 2550 เวลา:16:32:48 น.  

 
ไปวันชาติคนเยอะหารถลำบากมั้ยคะขอบคุณคะ


โดย: ฝน IP: 157.7.205.214 วันที่: 29 กันยายน 2557 เวลา:21:15:55 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

okasuma
Location :
Shanghai China

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add okasuma's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.