Group Blog
 
All Blogs
 

ตอนที่ 11 One day Trip @ Odaiba Island







ตอนที่ 11 One Day Trip @ Odaiba Island





แถมสำหรับใครที่คิดอยากจะลองไปเดินเล่นที่ Odaiba ค่ะ


การเดินทางไปที่นี่ไม่ยากค่ะ (สมมติติ๊ต่างว่าเรามาจาก Tokyo)





(เส้นทางมา Odaiba ค่ะ)



นั่ง JR มาลงสถานี Shimbashi  แล้วมาต่อสาย Yurikamome มาลงที่


สถานี Odaiba Kaihinkoen U-06 และ สถานี Daiba U-07 (อะไรก็ได้ค่ะ เดินถึงกันได้หมด)


(แนะนำ...สำหรับใครที่ต้องการเที่ยวหลายๆ ที่ น่าจะให้ซื้อตั๋วรถไฟสาย Yurikamome แบบรายวันนะคะ)


หน้าตาแบบนี้ค่ะ



(ตั๋ว One day pass สาย Yurikamome)


ราคาตั๋วจะอยู่ที่ 820 เยนนะคะ (ใครที่เที่ยวไม่เยอะแนะนำหยอดซื้อตั๋วเป็นเที่ยวๆ ดีกว่าค่ะ)


อ่อบอกไว้ก่อนนะคะว่าสาย Yurikamome ไม่สามารถใช้ JR Pass ได้นะคะ ต้องซื้อตั๋วแยกค่ะ ^^"
(สำหรับเราทริปนี้..เราไม่น่าซื้อ One day Pass เลย รู้สึกพลาดเล็กๆ)


คือมันเดินถึงกันได้เกือบหมดเป็นบริเวณกว้างเลยค่ะ เราเดินไปเรื่อยๆ อ้าวโผล่ที่นั่น..ที่นี่แล้ว 


เลยไม่ค่อยได้ใช้ตั๋วเท่าไหร่ แอบเสียดาย ><


ลงมาจากสถานีก็จะเจอบรรยากาศแบบนี้ค่ะ



(ที่ทำการสถานีโทรทัศน์ ฟูจิทีวี (Fuji TV))


เดินถัดมาหน่อยก็จะเจอวิวสะพาน Rainbow Bridge ค่ะ



(สะพาน Rainbow Bridge )



จุดนี้แหละค่ะ...ถ่ายรูปกันหนำใจเลย ^^









ถ่ายรูปกันสักพัก ก็เดินลงมาจากสะพานออกมาเหยียบพื้นด้านล่างกันบ้างค่ะ


มาเก็บวิวระยะใกล้





ส่วนมากคนจะออกันอยู่ที่ด้านบนค่ะ


ลองย่องๆ ลงมาด้านล่างดูค่ะ...คนน้อยมาก จะถ่ายรูปสักโหลก็ไม่มีใครบังเลย..สบายมาก 555+


ไม่น่าเชื่อนะคะว่าพื้นที่ที่เรายืนอยู่นี้จะเป็นเกาะที่ชาวญี่ปุ่นเค้าสร้างขึ้นมาเองทั้งหมด




(นี่ก็ถ่ายรูปไปเรื่อยเลยค่ะ..ช่วงที่ไปเมษาพอดี..ซากุระกำลังบานสวยเลยค่ะ)



(ชมนกชมฟ้าไปเรื่อยค่ะ...อากาศดีๆ)








(ถนนเอย...ฝาท่อเอย...นี่เก็บหมดค่ะ)


พอข้ามถนนมาก็จะเจอบรรยากาศแบบนี้ค่ะ






(ซากุระเรียงเป็นแถวเลยค่ะ...ตรงนี้แทบไม่มีคนเลย..ชิวมากกกกกก)



เดินไปเรื่อยๆ อีกสักพักไม่นานเราก็จะเจอห้าง Diver City Tokyo Plaza



( Diver City Tokyo Plaza)


สังเกตง่ายมากค่ะ จะมีหุ่น Gundum ตัวเบ้อเริ่มเลยอยู่ข้างหน้า


เห็นเค้าว่ากันว่าขยับได้ด้วยนะคะ ตามเวลาที่เค้าตั้งไว้...


ที่นี่เหมาะสำหรับ Gundum lover มากค่ะ...เพราะเค้ามี Gundum Cafe ด้วย


ร้บรองชอปเพลินจนแทบไม่อยากไปที่ไหนต่อเลย



....สถานีต่อไปค่ะ สถานี Aomi U-10....



ที่สถานีนี้เราจะเจอห้าง Venus Fort กับ Palette Town ค่ะ





ที่แรกก่อนเลย...ห้าง Venus Fort...


ที่นี่สวยมากค่ะ..เชื่อว่าใครมาที่นี่หลายคนต้องแหงนดูเพดานที่นี่...เปลี่ยนสีได้





และที่สำคัญ...ที่ห้างนี้มี Nike Factory Store ใหญ่อลังมากค่ะ





เดินชอปกันแบบลืมบ้านเลยทีเดียว!!!!!


จุดเด่นของที่นี่คือ จะมีรองเท้าให้เลือกหลากหลายมากๆๆๆๆ...


ถ้าอยากจะหารุ่นใหม่ๆ เราว่าที่นี่ถือว่าโอเคเลยค่ะ..และมีให้เลือกหลากหลาย...แต่ถ้ามองเรื่องราคา


แอบกระซิบว่า..บางรุ่นที่ตลาดข้างนอกถูกกว่าค่ะ (แต่เราต้องรู้แหล่งว่าตลาดไหนถูก)



... ชอปเสร็จแล้ว เรามาพักผ่อนชมวิวกันหน่อยดีกว่าค่ะ...







แท๊นนนนนนนนนน....


นี่คือ Ferris Wheel หรือชิงช้าสวรรค์บ้านเราค่ะ..แต่จะต่างกันหน่อยตรงขนาดความสูงนี่แหละค่ะ


ตัว Ferris Wheel นี้อยู่ที่ห้าง Palette Town ค่ะ


แต่ก่อนที่นี่เคยเป็นชิงช้าสวรรค์ที่สูงที่สุดในโลกเลยนะคะ...แต่ถ้าจำไม่ผิด


ปัจจุบันตกมาอยู่อันดับ 13 แล้วค่ะ





ที่ Ferris Wheel แห่งนี้จะมีให้เลือกตู้แบบใส หรือแบบทึบได้นะคะ...บอกพนักงานเค้าได้ค่ะ


แต่โชคไม่ดี วันที่เราไป ตู้ใสเค้าปิดบริการค่ะ เลยได้ขึ้นตู้สีๆ แทน


..............



(หน้าตาตู้ขายตั๋วขึ้นเจ้าชิงช้าสวรรค์ยักษ์ค่ะ)


...อัตราค่าบริการ...


สำหรับการขึ้นเจ้าชิงช้าสวรรค์ยักษ์นี้ ราคาจะอยู่ที่คนละประมาณ 920 เยน/รอบ ค่ะ


แต่ถ้ากรุ๊ปใดจะเหมาซื้อทั้งตู้เลยก้ได้นะคะ..ราคาจะอยู่ที่ตู้ละ 3080 เยนค่ะ


หน้าตาตั๋วเป็นแบบนี้ค่ะ



(ตั๋วเหมาซื้อทั้งตู้ค่ะ)


เวลาขึ้นไปจุดที่สูงที่สุดของเจ้าชิงช้าสวรรค์นี้เราสามารถมองเห็น Tokyo Bay แล้วก็วิวเกาะโอไดบะได้ทั่วทั้งเกาะเลยนะคะ












(วิวที่เห็นมองลงมาจาดชิงช้าสวรรค์ค่ะ)


ลงมาจากชิงช้าเดินมาหน่อยนึง จะเจอกับแหล่งคีบตุ๊กตาค่ะ...


มีหลายตู้อยู่เหมือนกัน...ใครอยากลองคีบ แนะนำให้ลองคีบที่นี่ค่ะ


มันคีบง่ายกว่าที่อื่นหน่อยนึง....


ไปรอบนี้เราหยอดไปแค่ทีเดียวเองก้ได้เจ้าสล๊อตน้อยมาตัวนึงค่ะ...น่ารักเชียว ^^



(สล๊อตน้อย 100 เยน ^___^)


วันนี้เท่านี้ก่อนนะคะ...


อ่อ...ลืมบอก หากใครมีเวลาว่างที่นี่อีกสักนิด ลองมาแช่ออนเซนที่โอไดบะดูก็ดีค่า ^___^



. . . . .



. . .



.




- o i l i i e -














 

Create Date : 03 มกราคม 2560    
Last Update : 4 มกราคม 2560 9:28:57 น.
Counter : 3547 Pageviews.  

ตอนที่ 10 Hitsujiyama Park






ตอนที่ 10 Hitsujiyama Park




ตอนนี้ถือเป็นตอนแถมแล้วกันนะคะ สำหรับใครที่จะไปญี่ปุ่นช่วงสงกรานต์




สวน Hitsujiyama Park มีอะไรบ้าง?


: ภายในสวน Hitsujiyama Park หลักๆ เลยที่เค้านิยมไปชมคือ ทุ่ง Shibazakura หรือที่รู้จักกันในนาม Pink Moss 

ที่ปลูกไว้กว่า 400,000 ต้นบนบนพื้นที่ 17,600 ตร.ม.  // นอกจาก Pink Moss แล้วเรายังจะได้ชมซากุระด้วยอย่างแน่นอนค่ะ

ภายในสวนนี้เค้าได้ปลูกซากุระไว้กว่า 1000 ต้นค่ะ (รับรองได้รูปสวยๆ กลับบ้านเพียบค่ะ...คอนเฟิร์ม!!!)




ปล.ลืมบอกไปค่ะ...การเข้าสวน Hitsujiyama Park มีค่าเข้านะคะ ราคาประมาณ 300 เยนค่ะ
(สามารถซื้อได้ที่หน้าทางเข้าสวนเลย หรือถ้าเห็นเค้าตั้งบูธที่บริเวณทางออกสถานีรถไฟก็ซื้อได้เลยนะคะ เหมือนกันค่ะ)




สวน Hitsujiyama Park เปิดช่วงไหน?

: แนะนำให้เช็คก่อนไปนะคะจากเวป //navi.city.chichibu.lg.jp/p_flower/1808/ (ประมาณคร่าวๆ 15 เมษายน - 8 พฤษภาคม ค่ะ)


อ่อ...แนะนำอีกอย่างค่ะว่า ให้ไปช่วงกลางๆ จะดีกว่า เพราะไปช่วงแรกๆ บางที Pink Moss จะยังบานไม่เต็มที่ค่ะ




การเดินทางไป สวน Hitsujiyama Park ไปอย่างไร?

: สวน Hitsujiyama Park อยู่เมืองChichibu จังหวัด Saitama ค่ะ (ใช้เวลเดินทางจาก Tokyo ประมาณ 2 ชม.)



(ภาพนี้เป็น Route การเดินทางนะคะ - เดินทางไม่ยากค่ะ)



(หน้าตารถไฟที่พาเรามาที่สถานี Seibu-Chichibu ค่ะ)




หลังจากออกมาที่สถานี Seibu - Chichibu จะพบป้ายชี้บอกทางไปที่สวน  Hitsujiyama Park เลยค่ะ


เรามีหน้าที่แค่ดินตามป้ายไปเรื่อยๆ ค่ะ (มีตลอดทางจริงๆ )


** แนะนำนิดนึงนะคะ...สำหรับแกงค์ไหนที่มีผู้สูงอายุ หรือมีคนที่เดินเหินไม่ค่อยสะดวกควรนั่ง Taxi ต่อไปยังสวนจะดีกว่าค่ะ **


เพราะการที่เราออกมาจากสถานีแล้วใช่ว่าเราจะโผล่มาเจอสวนเลยนะคะ...แต่เราจะต้องเดินออกกำลังกันนิดหน่อยค่ะ 


นิดหน่อยที่ว่านี่ก็เล่นเอาแอบหอบเล็กๆ นะคะ (แต่มันจะมีบรรยากาศตามทางที่ทำให้เราเพลินจนลืมเหนื่อยไปเลยค่ะ)



. . .



. .



.



สำหรับใครที่ไม่ได้นั่ง Taxi ตามมาทางนี้เลยค่ะ :)



.


. . 


. . .



ออกมาจากสถานี seibu - Chichibu ก็ให้เดินตามป้ายบอกทางมาเรื่อยๆ นะคะ (ระหว่างทางนี้อาจจมีบูธตั้งขายบัตรเข้าชมสวนนะคะ)



ราคาจะอยู่ที่ 300 เยนค่ะ (ให้ซื้อที่บูธนี้เลยก็ได้ค่ะ)...เผื่อด้านในคนเยอจะได้ไม่ต้องไปออกัน 


ซื้อเสร็จแล้วก็เดินๆ ๆ ๆ มตามป้ายเลยค่ะ (ป้ายบอกทางมีอยู่ทุกระยะจริงๆ ค่ะ)



เดินมาสักพักก็จะเจอทางแบบนี้ค่ะ
(ไม่ต้องเดินเลยไปไหนนะคะ...เดินขึ้นบันไดนี้ขึ้นไปเลยค่ะ)


(ขึ้นไปเลยค่ะ...ชมต้นมงต้นไม้ไปตามทาง...อากาศดีนะคะ ^^)


(หน้าตาทางเดินอาจจะเหมือนประมาณว่า...เอ๊ะ! นี่ชั้นหลงรึเปล่านะ?...ไม่หลงค่ะ...เดินขึ้นบันไดต่อไปเลยค่ะ)


(อันนี้เป็นภาพจากด้านบนมองลงมาค่ะ...)





(เดินข้ามสะพานเล็กๆ จะเจอฝูงปลา (ปลาอะไรก็ไม่รู้ค่ะ)...มีอยู่เยอะพอสมควร)



อยู่ใต้สะพานเล็กๆที่เราเดินข้ามกันนั่นแหละค่ะ....


(แล้วจะเจอน้ำตกเล็กๆ ตรงนี้ค่ะ...น้ำตกไม่ได้ไหลมาตลอดเวลานะคะ เหมือนเค้าปล่อยมาเป็นล๊อตๆ ค่ะ)

(แล้วตาก็หันไปเห็นดอกหญ้าตกอยู่ที่พื้นค่ะ...นี่รีบวิ่งไปเก็บกันใหญ่ (ไม่ได้เด็ดนะคะ..มันตกพื้นอยู่))


ไปเก็บมาเป่าเล่นกับน้อง กว่าจะถึงตัวสวน เป่ากันเพลินเลยค่ะ...

(พอเดินออกมาก็จะเจอถนนแบบนี้ค่ะ...บริเวณตรงนี้จะเจอพี่ๆ ตำรวจจราจรดูแลความเรียบร้อยอยู่ค่ะ)



(เดินมาสักพักนะคะ จะเจอป้าย Park นี้ค่ะ...ยังไม่ใช่ Park ที่เราจะไปกันนะคะ)

(ก่อนเข้าสวนจะเจอบรรดาต้นซากุระเต็มเป็นทิวแถวเลยค่ะ...จุดนี้ก็ได้รูปถ่ายกลับไปเป็นกะตักเลยค่ะ)

(อย่างที่บอก..เป็นทิวแถวจริงๆ ค่ะ)






(ถ่ายภาพคู่กับซากุระได้...ถ่ายแบบไกลได้...ใกล้ได้...แต่อย่าไปเด็ดของเค้านะคะ!!!!)


แค่จุดซากุระตรงนี้ก็ปาไปจะครึ่งชั่วโมงละค่ะ...แชะมุมโน้นที...มุมนี้ที...รูปแทบเต็มเมมโมรี...


ต่อค่ะ...เราต้องไปกันต่อค่ะ...นี่เรายังไม่ได้เข้าสวนกันเลยนะคะ

(เดินมาเรื่อยๆ เห็นนาฬิกานี้แปลว่าใกล้ถึงทางเข้าแล้วค่ะ)

(แวะดูน้องแกะแปบนึงค่ะ...อยู่ก่อนถึงทางเข้าค่ะ...ดูเสร็จก็เดินเข้าไปในสวนได้เลยค่ะ)


(แท๊นนนนน...เมื่อเข้าสวนมาแล้วจะเจอดอกทิวลิปเหล่าก่อนนะคะ...) 


ก้มๆ เงยๆ ถ่ายรูปกันไปสักพักนะคะ พอหนำใจก็เดินไปอีกนิดก็เจอแล้วค่ะ....."ทุ่ง Pink Moss"


(ไปรอบนี้โชคดีอย่างคือ เป็นวันแรกที่เปิดเข้าชมค่ะ...คนยังไม่เยอะมากถ่ายรูปชิวๆ สบายๆ)





(อันนี้คือภาพรวม...เก็บได้แค่บางส่วนนนะคะ คือมันกว้างมากเก็บไม่หมดค่ะ)


อย่างที่เกริ่นไว้ตอนแรกค่ะ...ว่าถ้าจะให้ดีต้องมาช่วงกลางๆ ค่ะ


เพราะอย่างเรา...เรามาวันแรกเลยจะเห็นว่ามันจะมีบางจุดที่ยังเขียวๆ อยู่ (ยังบานไม่เต็มที่)


เราเลยคิดว่าถ้ามาหลังจากนี้น่าจะได้ภาพที่สวยกว่านี้กลับไปค่ะ :)


เมื่อเดินชมสวนกันหนำแล้ว บริเวณทางออกมามีร้านรวงเยอะเลยค่ะ



(หน้าตาร้านรวงที่ว่าค่ะ)

(ตัวอย่างของที่ขายนะคะ...อย่างอันนี้สตรอเบอรี ลูกใหญ่หวานอร่อยมาก ราคาแค่ 500 เยนเท่านั้นค่ะ)


จริงๆ ถ่ายรูปอาหารมาอีกเยอะมากค่ะ...แต่ดันทำรูปหาย หาไม่เจอ เอาเป็นว่าไปถึงอยากกินอันไหนก็ลุยเข้าไปสั่งได้เลยนะคะ ><



. . . . .



. . . . 



. . . 



. . 



.





สำหรับทริปสวน Hitsujiyama Park วันนี้ก็หมดแล้วค่ะ :)



.



. .



. . .



. . . .



. . . . .



- o i l i i e -



















 

Create Date : 26 เมษายน 2559    
Last Update : 3 มิถุนายน 2559 15:01:11 น.
Counter : 1564 Pageviews.  

ตอนที่ 9 ลุยตลาด Kuromon Ichiba Market




วันที่ 8 ตะลุยตลาด Kuromon Ichiba Market










09.00 น. เดินเล่นหามื้อเช้าที่ Kuromon Ichiba Market กันค่ะ



(จากที่พักไปตลาดแค่ 3 นาที่เท่านั้นค่ะ // วันนี้ชิวๆ เลยค่ะ)

(เลีี้ยวเข้ามาตลาดก็เจอเลยค่ะ แผงสตรอเบอรี บานเบิกราคาถูกมากค่ะ!!)




>> ใครใคร่ซื้อกลับไทยนี่รีบซื้อเลยนะคะ ^^ (เราเห็นเค้าซื้อกลับหิ้วขึ้นเครื่องมากันเพียบเลยค่ะ)
(เมล่อนญี่ปุ่นค่าาาาาาา...สดๆ เลย  ^___^)

(มันม่วงญี่ปุ่นค่ะ...มาประเทศนี้ต้องลองชิมของเค้าหน่อยนะคะ อร่อยมากค่ะ ยิ่งอากาศหนาวๆ กินมันอุ่นๆ ยิ่งดีงามใหญ่ค่ะ)

(เดินเข้ามาอีกนิดจะเจอ Uni สดๆ เลยค่ะ..สำหรับใครที่ชื่นชอบที่จะบอกว่าสวรรค์เลยค่าาาา  ^^)

(ไม้นี้ก็ดีงามค่ะ เป็นหอย(อะไรไม่รู้) ย่างเสียบไม้ ตัวใหญ่อร่อยมากกกกก...อันนี้ไม้ละประมาณ 700 เยนค่ะ)

(อันนี้ก็มาจากร้านเดียวกับด้านบนค่ะ ดีงามไม่แพ้กัน ถ้าจำไม่ผิดไม้ละ 600 เยนนะคะ ถูกกว่า 100 เยน)

(อันนี้ร้านข้างๆ กันเลยค่ะ เหมือนลูกปลาหมึกเสียบไม้เลย ไม้ละ 200 เยน - อันนี้เราไม่ได้ลองค่ะ ใจไม่กล้าพอ สีนางแรงทีเดียว)




>> เห็นเค้าบอกว่าด้านบนกลมๆ เป็นไข่นกกระทา ส่วนด้านล่างก็เป็นหนวดปลาหมึกอ่าค่ะ 



(ใครได้ชิมแล้วมาเล่าให้ฟังบ้างนะคะว่ารสชาติเป็นยังไง อยากรู้ ><)

(และแล้วไฮไลต์ของตลาดนี้ (สำหรับเรา) ก็มาถึง - โอโทโร่ซูชิค่าาาาาาาาา)




>> โอ๊ยยยยยย...มันเลอค่ามากค่ะ สดยิ่งกว่าสด แถมถูกแบบอยากจะเหมากลับบ้านมาให้หมดเกลี้ยงเลย



กินเข้าไปคำแรกรู้สึกได้ว่ามันละมุนลิ้น เป็นซูชิที่แบบละลายเข้าไปในปากเลย ไม่มีคำว่าคาว มีแต่สดแบบลืมหายใจไปเลยค่ะ




>> กล่องนี้มี 6 ชิ้น ราคาประมาณ 1500 เยนค่ะ (อะไรแบบนี้มีตลอดทางในตลาดเลยนะคะ ราคาไล่เลี่ยกันหมด ละลานตาเลือกไม่ถูกเลยทีเดียว)



สิ่งที่ทุกร้านในตลาดนี้มีเหมือนกันคือความสดใหม่ของซูชิค่ะ  สดจริงๆ ^____^ 

(ซูชิหน้า Uni ค่ะ นี่ก็สดมากกกกกกกกกกกกกกกกกก...เช่นกัน)




>> คือเคยฝังใจกับ Uni ค่ะว่ามันจะคาว (เพราะเคยไปกิน แล้วเจอแบบไม่สด...เข็ดมากค่ะ ไม่กล้ากินอีกเลย)




>> ก่อนจะกินอันนี้ก็กังวลอยู่นานค่ะว่าจะกินดีมั้ย กลัวจะคาวอีก..แต่ไหนๆ ก็มาถึงนี่แล้ว เลยลองสักหน่อย



ปรากฎผิดคาด!!!!!  ไม่คาวเลยยยยยย....สดมากกกกก...ตัว Uni นี่ละลายในปากเลยค่ะ  แปบเดียวเกลี้ยงงงงงงงงงง!!!!



ฟินไปอีกสามชาติ!!!!!!



>> อันนี้ประมาณ 900 เยนนะคะ (ถ้าเราจำไม่ผิด)

(อันนี้เป็นซูชิรวมหลากหลายอย่างค่ะ - มี Otoro / Salmon / Hotate / Ikura / Uni / Unagi)



>> ฟินทุกคำ...อร่อยบอกต่อมากค่ะ ทั้งหมดนี่ราคาแค่ 1300 เยนเท่านั้นค่ะ!!!!!!




. . . . .  สำหรับตลาดนี้ใครอยากมาสัมผัสความสดในราคาแบบบ้านๆ เรียนเชิญค่ะ แล้วคุณจะได้รับความฟินกลับไป . . . . .

(เหมือนจะอิ่ม แต่เรายังไม่หยุดง่ายๆ ค่ะ มาขนาดนี้แล้ว เอาให้ท้องแตกไปเลย...เดินมาเจอหอยนางรมสดๆ ค่ะ)

(ลองซะหน่อย 3 ตัว ราคา 500 เยนค่ะ - สดอีกแล้วค่ะ ท้องอินี่ขยายจนไม่รู้จะขยายังไงแล้ว ขนาดกินอิ่มแล้ว มากินนี่ก็ยังคงอร่อยอยู่ ><)

(เดินย่อยกันเถอะค่ะ...แอ๊ะ...เดินมาเจอพี่เป้า ตัวละ 6500 เยนค่ะ)


(เดินมาอีกหน่อย...อุ้ย...เจอพี่ปู ตัวใหญ่มากกกกกกกกกกก!!! ราคา 19000 เยน...ไม่ธรรมดาค่ะ ><)




>> เดินกันพองามแล้ว ได้เวลากลับแล้วหละค่ะ รวบรวมความฟินเอามาฟินต่อที่บ้านเรากันดีกว่าค่ะ 



(เตรียมตัวกลับไทยได้แล้วค่ะ T^T จัดกระเป๋าไม่ถูกเลย....แน่นไปหมด!!!!)





(กลับที่พักจัดกระเป๋าค่ะ...วันนี้เราต้องกลับบ้านกันแล้วววววววววว  T^T)

(สักหน่อยก่อนกลับค่ะ...นี่ก็ยังกินไม่เลิก...จะบอกว่า Starbucks ที่นี่อร่อยกว่าที่ไทยอ่าค่ะ มันไม่หวานเลี่ยน อยากให้ลองชิมกันดู ^^')





(เส้นทางจากที่พักสู่ KANSAI AIRORT ค่ะ)




. . . . . จากนี้ก็เช็คอิน ขึ้นเครื่อง กลับบ้านใครบ้านมันละค่า . . . . .




. . . . . หมดละค่ะ สำหรับทริปเที่ยว - เล่น - เต้น(ไม่มี) - กิน @ญี่ปุ่น . . . . .





>> หวังว่าบล๊อคเล็กๆ แบบนี้คงมีประโยชน์บ้างนะคะ ขอบคุณที่อ่านมาจนถึงขนาดนี้



จากนี้ไปจะค่อยๆ ทยอยรีวิวร้านอาหารในเมืองไทยบ้างละค่ะ..ถ้ายังไม่เบื่อกันซะก่อนก็เข้ามาชมกันได้เรื่อยๆ ค่า ^^



. . . . .




. . . .




. . .



. .



.



- o i l i i e -








 

Create Date : 07 มกราคม 2559    
Last Update : 3 มิถุนายน 2559 14:58:51 น.
Counter : 1593 Pageviews.  

ตอนที่ 8 ชมประสาท HIMEIJI - ลิ้มรสเนื้อโกเบ - ชอปปิ้งเทนจินบาชิซูจิ





วันที่ 7 ชมปราสาท Himeji - ลิ้มรสเนื้อโกเบ - 
ชอปปิ้ง Tenjinbashi-Suji Shopping Street









08.00 น. ออกเดินทางไปปราสาท HIMEJI กันค่าาาาา....



(กำหนดการเดินทางจากที่พักไปปราสาทฮิเมจิประมาณชั่วโมงนิดๆ ค่ะ)




>> ระยะทางจากสถานีรถไฟไปปราสาทจะใช้เวลาประมาณ 15 นาทีนะคะ (กรณีเดิน) / ถ้านั่งบัสจะประมาณ 5 นาที



ทริปนี้เราเดินค่ะ...มันไม่ได้เมื่อยอย่างที่คิดนะคะ เพลินมากค่ะ เพราะตลอดทางจะมีร้านรวงมากมายให้เราเดินเข้า-ออกสนุกสนานมากค่ะ



กว่าจะถึงตัวปราสาท กระเป๋าฉีกเลยค่ะ (สรุปอินี่เดินเกิน 15 นาทีค่ะ -*-) เข้าร้านโน้น ออกร้านนี้ แวะร้านนั้น ตลอดทางเล๊ยยยยย ><





>> ปราสาท Himeji เปิดทำการประมาณ 09.00 น. - 16.00 น. ค่ะ  



(แนะนำว่าไม่เหมาะกับบุคคลที่ขึ้น-ลงบันไดไม่สะดวกนะคะ...เพราะถือเป็นสถานที่ที่ขึ้น - ลงบันไดเยอะมากค่ะ)




(เจอเด็กแสบมานั่งต้อนรับก่อนเลยค่ะ...แสบไม่แสบดูที่หูค่ะ แหว่งไปแล้วเกือบครึ่ง แสบมั้ยหละ??)

(นี่ค่ะบัตรเข้าปราสาทคนละ 1000 เยนนะคะ / สามารถกดซื้อที่ตู้อัตโนมัติ หรือซื้อที่เคาเตอร์ก็ได้ค่ะ ราคาเท่ากันหมด)

(เดินไปก็จะเจอประตุูทางเข้าแห่งฮิซิค่ะ )

(เดินเข้ามาเลี้ยวซ้ายก็จะเจอภาพปราสาทแบบนี้ค่ะ)

(เดินไปเรื่อยๆ ตามทางเลยค่ะ อันนี้เป็นภาพปราสาททางด้านนอกก่อนที่จะเดินขึ้นตัวปราสาทจริงๆ แล้วค่ะ)

(เข้ามาก็เจอเลยค่ะบันไดที่บอก...สูงและชันมาก / ขึ้นลงแบบนี้เกินสิบค่ะบอกเลย)



>> เดินกันเมื่อยหละค่ะ...แวะหามื้อเที่ยงดีๆ สักมื้อกันดีกว่าค่ะ





14.30 น. Neaxt Station Steakland ค่าาาาาาาาา....




(นั่งรถไฟจากฮิเมจิมาประมาณ 40 นาทีค่ะ)





. . . .  . แท๊น น น น ถึงแล้วค่า Steakland . . . . . 


(เดินออกมาจากสถานี Sannomiya ไม่ไกลค่ะ พอเดินเจอ KFC แปลว่าใกล้จะถึงแล้วค่ะ /มองบนนะคะ จะเห็นป้ายชื่อร้านเด่นชัดเจนมาก)



>> เจอปุ๊บแล้วเลี้ยวขวาเข้าไปเลยค่ะ แล้วจะเห็นหน้าร้านแบบนี้ค่ะ











(จะมีพนักงานออกมาต้อนรับค่ะ ตอนเราไปรอคิวนานพอสมควร คนเข้า-ออกตลอดเวลาค่ะ)



>> อ่อลืมบอกค่ะ ใครที่จะมาร้านนี้แนะนำให้มาก่อนบ่ายสองนะคะ (จะได้กินสเต็กราคาถูกมาก คุ้มยิ่งกว่าคุ้มค่ะ)



แต่เสียดายมากเรามาไม่ทัน จ่ายราคาเต็มเลยครัช T^T / พอได้ที่นั่งปุ๊บอย่ารอช้า สั่งเลยค่ะ!!!




(นังเมรี...สั่งนี่มาก่อนเลย กรึ๊บมันแทบทุกมื้อเลยสินะ -*- ) - ขวดนี้ 700 เยนนะคะ




(นี่ค่ะหน้าตาเนื้อที่เราสั่งมา สวยงามเห็นแล้วอยากกินอีกๆ ให้อ้วนตายก็ยอม ><)




>> ด้านซ้ายเป็น Tenderloin Steak Set  ราคา  3,480 เยน (ตัวนี้แนะนำมากๆ ค่ะ นุ่มแบบละลายในปากไปเลยจริงๆ)



>> ด้านขวาเป็น Kobe Beef Sirloin Steak Set ราคา 4,480 เยน 



ตัว Kobe Beef นี้ไม่ละลายเท่าตัวซ้ายนะคะ แต่จะมีกลิ่น และรสชาติของเนื้อที่หอมกว่าค่ะ 



แต่รับรองได้นะคะว่าไม่มีคำว่าเหนียวแน่นอน มีแต่นุ่มกับนุ่มมากเท่านั้นค่ะ!!!! 





(เริ่มต้นเค้าจะผัดพวกผักต่างๆ ให้เราก่อนค่ะ / ผัดกันตรงหน้าให้เห็นๆ กันจะๆ ไปเลย)




>>  แอบบอกว่าพี่แว่นนี่ตัวจริงน่ารักมากกกกกกกกกก....น่ากินกว่าสเต๊กตรงหน้าอีกค่ะ (ฟินนนนน~~~  ><)



ต่อค่ะ....ต่อ ต่อ ต่อ (มองเพลินเลย ^___^')












(เริ่มลงผัดเนื้อแล้วค่ะ จะบอกว่าพี่แว่นนี่เค้าพิถีพิถันกับการทำมาก ใส่ใจรายละเอียดมากๆ - ทำอะไรก็ดีไปหมด ><)

(แท๊นนนนนน...เมื่อผัดทุกอย่างเสร็จสรรพเรียบร้อย หน้าตาอาหารก็จะออกมาแบบนี้ค่ะ)




>> เราถ่ายรูปมาไม่ค่อยสวยค่ะ แต่จะบอกว่าเห็นหน้าตาอาหารเหมือนจะธรรมดาแบบนี้



ขอบอกค่ะรสชาติไม่ธรรมดาเลย (กินเข้าไปคำแรกน้ำตาแทบไหล มันอร่อยมากกกก)



รสชาตินี่ละมุนลิ้นสุดๆ ทั้งกลิ่นและรสสัมผัสดีมาก ตัวเนื้อ Juicy ละลายในปากเลยทีเดียว (พูดแล้วอยากจะบินกลับไปกินใหม่ ><)



ยิ่งเราเป็นพวก Beef Lover รู้สึกเหมือนตัวเองกินแล้วลอยได้ค่ะ (อินี่ก็เว่อร์ตลอด!!!)



แต่เสียดายอยากสั่งเซต Special Tenderloin Steak Set มาก (เก็บไว้รอบหน้าค่ะ รอบนี้ชอปกระจุยกระจายหมดตัวแล้ว T^T)




>> พอเราจัดการทุกอย่างตรงหน้าเสร็จ พนักงานจะเดินมาถามว่าจะรับน้ำส่้ม หรือกาแฟ (คือมันมีเครื่องดื่มในเซตด้วยค่ะ)




>> ฟินไปเรียบร้อยก็เดินออกมาจ่ายเงินที่เคาเตอร์หน้าร้านได้เลยค่ะ (อ่อที่นี่ Vat 4% นะคะ)

(ค่าเสียหายมื้อนี้ค่ะ)




สรุป




รสชาติ :  บรรยายไปซะขนาดนั้นคงไม่ต้องบอกว่ามันดีงามขนาดไหน เอาไปเลยค่ะ (108 / 5 คะแนน) 



ราคา :  บางคนอาจมองว่าราคาสูงไปนิด แต่เทียบกับคุณภาพเราโอเคค่ะ (4.5 / 5 คะแนน) 
   (เสียดายมาไม่ทันบ่ายสองค่ะ ถ้ามาทันนี่ประหยัดแบบเห็นๆ)


บรรยากาศ:  เบียดกันนิดนึงค่ะ แต่เรารับได้ค่ะ ( 3.5 / 5 คะแนน)

   (อ่อลืมบอกว่าร้านแบบนี้อาจจะมีกลิ่นติดเสื้อกลับไปเป็นของแถมบ้างนะคะ ^^')





>> โดยรวมที่นี่ดีมากค่ะ ถ้าเราได้มาแถบนี้อีก เราก็จะแวะมากินอีกแน่นอนค่ะ (รอบหน้า Special Tenderloin ชัวร์ค่ะ)



ใครที่แวะมาแถวนี้ แนะนำให้มากินให้ได้นะคะ (ก่อนบ่ายสองจะดีมากค่ะ ^^)




>> อิ่มท้องแล้ว หาที่ชอปปิ้งเดินย่อยกันดีกว่าค่ะ (ไม่ทันขาดคำ...อินี่ชอปอีกแล้ว!!!!!  ><)




16.00 น. ไป Shopping ที่ Tenjinbashi-Suji Shopping Street กันค่ะ



(เส้นทางการเดินทางไปชอปค่ะ เดินทางไม่นานมาก รับรองเดินชอปขาลากกระเป๋าฉีก (อีกตามเคย) ชัวร์!!! ><)




>> Tenjinbashi-Suji Shopping Street เค้าว่ากันว่า เป็นถนนช้อปปิ้งที่ยาวที่สุดในญี่ปุ่นเลยนคะ (ยาวมากกว่า 2 กม.ค่ะ)


>> ร้านค้าในถนนนี้ก็มีพวกร้านขายยา (ราคาถูกมากๆ) เช่น ครีม ขนม ของใช้ เครื่องสำอางค์ / ร้านเสื้อผ้า / ร้านรองเท้า 


ร้านหนังสือ จิปาถะมากมายไล่กันไม่หมดค แล้วก็ส่วนใหญ่เราว่าราคาไม่แพงมากเท่าไหร่ค่ะ 




>> เวลาเปิดปิด: ร้านค้า 10:00-20:00 ร้านอาหาร 11:00-22:00

(หน้าตาแหล่งชอปปิ้งค่ะ เห็นปุ๊บตานี่วาวเลย แต่เสียดายเรามาช้าไปหน่อย เดินได้แปบเดียว ไม่จุใจเลยค่ะ)




... เวลาหลังจากนนี้ก็ Shopping กันตามอัธยาศัยเลยนะคะ ตัวเรานี่เจอร้านรวงมากมาย กล้องเกลิ้งนี่ลืมเลยค่ะ ...





21.30 น. กลับกันเถอะค่ะ ถือของจนแขนจะหักแล้ว ><




(เส้นทางกลับที่พัก / จัดกระเป๋า / ราตรีสวัสดิ์ค่ะ)



. . . . . 



. . . . 



. . .



. . 



.



แง๊...พรุ่งนี้ก็วันสุดท้าย ต้องจัดเต็มก่อนกลับนะคะ วันนี้ขอลาเท่านี้ก่อนค่าาาา ^^



.



. .



. . .



. . . .



. . . . .



- o i l i i e -









 

Create Date : 05 มกราคม 2559    
Last Update : 3 มิถุนายน 2559 14:57:19 น.
Counter : 1126 Pageviews.  

ตอนที่ 7 ตะลุย KYOTO - OSAKA ! ! !




วันที่ 6 ตะลุย KYOTO กันค่าาาาาาาาาา! ! ! 









08.00 น. ออกจากที่พักเตรียมตัวไปศาลเจ้า Fusiimi Inari Shrine กันค่า



(เส้นทางการเดินทางเช้านี้ค่ะ)




>> ออกจากสถานีเดินมาอีกนิดเดียวก็จะเจอศาลเจ้าเลยค่ะ หาไม่ยาก และภาพทแรกที่เราเห็นคือภาพนี้ค่ะ

(บริเวณทาเข้าประตู Homon ข้ามถนนจากสถานีรถไฟมาก็เจอเลยค่ะ) 




>> อ่อลืมบอก...ศาลเจ้านี้เข้าฟรี ไม่มีการเสียค่าใช้จ่ายนะคะ :)

(นี่คืออาคารหลัก Honden มีสุนัขจิ้งจอก Kitsune เฝ้าอยู่ที่หน้าประตูด้วยค่ะ)

(เดินเข้ามาอีกนิดจะเจอกับจุดขายแผ่นป้ายเขียนขอพร และพวกเครื่องรางต่างๆ เพียบเลยค่ะ :ในภาพเป็นป้ายขอพรเสาโทริอิ)





(ถึงแล้วค่า...ทางเดินเข้าสู่เสาโทริอิพันต้น )

(เดินเข้ามาเรื่อยๆ จะเจอเสาโทริอิขนาดเล็ก ตั้งขนานกันอยู่นสองทางนะคะ)



>> เราสามารถเดินเข้าฝั่งไหนก็ได้ค่ะ

(พอเดินเข้าไปจนสุด ก็จะเจอจุดชำระล้างร่างกายค่ะ อย่าลืมล้างมือ / บ้วนปากกันนะคะ :) )



(มองไปอีกทางจะเห็นมีแผ่นป้ายขอพรเป็นรูปสุนัขจิ้งจอกขายอยู่ค่ะ)





>> แผ่นป้ายขอพรจะเป็นแผ่นป้ายโล่งๆ มีแต่คิ้วให้อย่างเดียว ให้เราวาดเติมหน้าลงไป 



ส่วนด้านหลังเขียนคำขอพรค่ะ อินี่ยืนดูเพลินๆ เลย น่ารักดีค่ะ...ชอบบบบ!! แล้วก็แอบคิดอยู่ในใจว่า 



คนประเทศนี้เค้าเกิดมาวาดรูปสวยแทบทุกคนเลยหรือเปล่านะ (เหมือนทุกคนเกิดมามีพรสวรรค์ทางด้านนี้><)



เกือบทุกอันที่เป็นภาษาญี่ปุ่น วาดออกมาสวยแทบทุกอันเลยค่ะ ^^"





>> จากบริเวณนี้เราสามารถเดินขึ้นไปต่อได้นะคะ...แต่แกงค์เราไม่ไปละค่ะ....เพราะรู้สึกว่าจะต้องเดินไปอีกไกลพอสมควร



แกงค์เรา...เดินกลับละค่ะ!!!! (ไม่สู้ ><)




(ถ่ายเสาโทริอิขากลับ ที่เสาจะเห็นตัวหนังสือด้วยค่ะ (จริงๆ ไม่ต้องรอขากลับก็ได้ ตอนมาแค่หันหลังก็เห็นละค่ะ) จะพูดทำไม -*-)





>> แท่น...แท๊นนนนน.....ทางเดินออกของศาลเจ้ามีของร้านรวงเพียบเลยค๊าาาาาา  (อินี่แฮปปี้มาก!!!)



(อันนี้เป็นเนื้อสไลด์บางๆ ห่อข้าวอยู่ข้างในค่ะ : ราคาประมาณ 500 เยน : ไม้นี้อร่อยมาก..ต้องลองค่ะ!!)

(ไดฟุกุค่ะ : ราคา 250 เยน/ลูก : อันนี้ก็ต้องลองค่ะ อร่อยมากกกกกกกกกกกกกเช่นกันค่ะ ลองให้ได้นะคะ ^^')


(ร้านนี้เป็นมันม่วงทอด แล้วเคลือบน้ำตาลค่ะ : ราคามี 2 Size คือ 400 เยน กับ 600 เยนค่ะ ตามภาพคือ 400 เยนค่ะ)





>> อันนี้สำหรับเราเฉยๆ ค่ะ (เราว่ามันแห้งไปหน่อยอ่าค่ะ)





(ร้านนี้ดึงดูดมากค่ะ เป็นเหมือนลูกชิ้นเนื้อปูย่างเสียบไม้ : ไม้ละ 500 เยน : สำหรับเรารสชาติเฉยๆ ทั่วไปค่ะไม่โดดเด่นอะไรมาก)

(พอออกมาจากศาลเจ้าก็เดินเข้าสถานีรถไฟ Inari แล้วให้เดินข้ามสะพานลอยมารอรถไฟที่อีกฝั่งนึงนะคะ)






10.30 น. Next Station Kinkakuji Temple หรือวัดทองค่ะ



>> จากสถานี Inari ให้นั่งรถไฟกลับมาที่สถานีเกียวโตค่ะ








>> เมื่อถึงสถานีเกียวโตให้เดินออกมาจากสถานี แล้วไปที่ป้ายรสบัสนะคะ (เค้าจะมีบอกค่ะว่าเป็นป้ายรสบัสที่ไปวัด Kinkakuji)



>> แนะนำให้ซื้อตั๋ว Kyoto City Bus & Kyoto Bus One day Pass นะคะ ราคา 500 เยนค่ะ 



เนื่องจากวันนี้เราจะใช้บริการรสบัสค่อนข้างเยอะ และ JR Pass ที่มีอยู่ในมือก็ใช้ไม่ได้ค่ะ



สามารถหากดได้ที่ตู้บริเวณป้ายรสบัสเลยค่ะ (บัตรนี้เป็นตั๋ววันของเกียวโต เราสามารถนั่งรถประจำทางคันไหนก็ได้ไม่จำกัดภายใน1 วันค่ะ)



(หน้าตาบัตรจะเป็นแบบนี้ค่ะ...ได้บัตรมาแล้วก็ต่อแถวเตรียมตัวมุ่งหน้าสู่วัดทองโลดค่ะ!!!!)




>> อ่อลืมบอกค่ะ!! สายรสบัสที่จะพาเราไปวัด Kinkakuji มีบัสสาย 101, 102, 204 และ205 นะคะ



>> พอลงจากรสบัสที่ป้าย Kinkakuji ปุ๊บให้ลองมองหาร้าน Yojiya นะคะ 



(อันนี้ยืมรูปบล๊อคคุณ paribut&month อีกทีนะคะ : สาวๆ อย่าลืมแวะเข้าไปดูในร้านสักนิดนะคะ)




>> ร้านนี้เป็นเครื่องสำอางค์แบรนด์ของเกียวโตค่ะ เราเข้าไปลองมาค่ะ (มันดีงามมากค่ะ)



>> ผลิตภัณฑ์อันที่เราคิดว่าโอเคเลย ก็มี ครีมทามือ แป้ง และสบู่ล้างหน้าของเค้าค่ะ (ร้านนี้เค้าจะมีให้ลองทุกอย่าง ลองดูก่อนนะคะว่าชอบมั้ย)



อ่อ...มีกระดาษซับมันค่ะที่เค้าว่าดีๆ กัน (แต่เราไม่ได้เป็นคนหน้ามันอ่าค่ะ ติดจะหน้าแห้งด้วยซ้ำ เลยไม่ได้ซื้อมาลองค่ะ ><)



>> ชอปปิ้งเพลินๆ เสร็จแล้วก็เดินเข้าวัดกันค่ะ (อินี่เสียตังค์ตั้งแต่ยังไม่ทันจะได้เข้าวัดเลย...สบายใจละ ^^')

(ยังค่ะ  ยังไม่ถึงวัดซะที ทัวร์แวะทุกร้านทุกที่ตลอดทางก็มา -*- อินี่แว่บมากินไอติมชาเขียวก่อนค่ะ)




>> ก่อนถึงวัดจะมีร้านไอติมอยู่ร้านนึงค่ะ (แบบ BG ด้านหลังภาพไอติมเราเลย) โคนนี้ราคา 300 เยนได้



เราจะบอกว่าให้อดใจไว้ก่อน อย่างเพิ่งซื้อที่ร้านนี้ค่ะ!!!! (อย่ารีบเหมือนเรา T^T) เดินไปอีกนิดค่ะ จะเจอร้านไอติมอีกร้านที่โอเคกว่า



ที่ว่าโอเคกว่าคือ ตัวโคนไอติมโอเคกว่าค่ะ ราคา 400 เยน (อินี่เสียดายอยากชิมร้านนี้มากเลย แต่อิโคนในมือก็ยังไม่หมด..อยากจะร้อง!!  T^T)



>> พอค่ะพอๆๆ แวะนิดแวะหน่อยตลอดทาง ไม่ถึงวัดซักทีค่ะ -*-  ไปค่ะ เดินหน้ากันต่อค่ะ (เราจะไม่วอกแวกละ ><)




(ก่อนเข้าต้องเสียค่าเข้าก่อนค่ะ : ผู้ใหญ่ 400 เยน / เด็ก 300 เยน แล้วจะได้บัตรผ่านทาง พร้อมโบรชัวร์แนะนำสถานที่แบบนี้ค่ะ)

(เดินเข้ามาแล้วเลี้ยวซ้ายก็จะเจอศาลาทองที่พำนักของท่านโชกุนอะชิกะงะ โยะชิมิสึแบบนี้เลยค่ะ)




>> จะบอกว่าตัวศาลาทองของจริงนั้นทองอร่ามดูสว่างไสวสวยมากๆ ค่ะ (รูปนี่ดรอปไปเลยบอกตรงๆ)



(พอเดินวนขวามาหน่อยจะถึงบริเวณด้านหลังของตัวศาลาทอง : ลองถ่ายภาพศาลาทองจากมุมนี้ก็สวยดีนะคะ)




>> ขาเดินออกมาจะเห็นเค้าตั้งซุ้มขายถั่วแบบนี้ค่ะ



(แบบนี้ค่ะ..จริงๆ มีหลายรส แต่เราซื้อมารสเดียว อันนี้รสวาซาบิค่ะ : ซื้อมาเถอะค่ะ อร่อยมาก!!)





14.30 น. Next Station Kiyomizu-dera Temple (วัดน้ำใส)



>> การเดินทางจากวัดทองมาวัดน้ำใสไม่ยากเลยค่ะ ให้เดินมาที่ป้ายรถบัสแล้วรอสาย 12 นั่งมาลงที่ป้าย Gion 



ระหว่านี้แอบงีบได้นิดหน่อยนะคะ เพราะใช้เวลาพอสมควร 



พอลงที่ป้าย Gion แล้วให้ยืนรอสาย 100 นั่งต่ออีกแปบเดียวก็ลงที่ป้าย Kiyomizu ได้เลยค่ะ








(ลงรูปเพลิน ลืมบอกว่าอย่าลืมซื้อบัตรเข้านะคะ บัตรหน้าตาแบบนี้ราคา 300 เยนค่ะ)

(ต่อค่ะต่อ...กำลังลงรูปเพลินๆ เวลานี้เริ่มจะเย็นแล้ว ได้แสงประมาณนี้จะบอกว่าย้อนแสงมากๆ ถ่ายภาพลำบากจุง ><)

(เดินขึ้นมาด้านบนก็จะเจอวิวแบบนี้ค่ะ วันที่เราไปคนเยอะมากค่ะ เหมือนจะเจอทัวร์ เดินชนกันเปะปะเลย -_-" )

(มาถึงด้านบนแล้ว..เราสามารถมองเห็นวิวเบื้องล่างได้ทั่วเลยค่ะ สวยดีนะคะ ^^)

(วิวเบื้องล่างอีกสักภาพค่ะ)


(เดินลงมาด้านล่างจะเจอน้ำตกโอตะวะ ที่ผู้มาเยี่ยมชมแทบทุกคนต้องมาต่อแถวดื่มน้ำ และขอพรกันค่ะ)




>> น้ำตกโอตะวะเป็นสายน้ำ 3 สายไหลลงสู่บ่อน้ำ มีความเชื่อว่าสามารถบำบัดรักษาโรคภัยไข้เจ็บได้ 


และยังเชื่อกันว่าการดื่มน้ำจากสายน้ำตกทั้ง 3 นี้ มีความหมายถึงสุขภาพ อายุยืนยาว และความสำเร็จในการศึกษาค่ะ




>> แต่จะแอบบอกว่าของจริงน้ำตกนี้เล็กมากค่ะ ตอนเดินลงมาแรกๆ ก็เงิบๆ งงๆ ว่าอ้าว...มันอันเท่านี้เองหรอ ><


(ดื่มน้ำกันเสร็จแล้ว เดินออกมาอีกนิด อย่าลืมมองบนค่ะ มองบนกันนิด จะเจอมุมสวยๆ แบบนี้ค่ะ)

(พอได้ลองมองบน...งานต้นไม้ใบหญ้าก็มาอีกแล้วค่ะ ขอนิดนึงค่ะ แฮ่ ><)

(ออกมาจากวัดก็เดินผ่านซอยวัดคิโยมิสึเหมือนเดิมค่ะ...จะบอกว่าเป็นแหล่งละลายทรัพย์ดีๆ นี่เองค่ะ/อินี่ก็แวะกินตลอดทางท้องจะแตกค่ะ -*-)




16.30 น. กลับที่พักเก็บกระเป๋า Next Station Osaka ค่าาาา!!!




(การเดินทางยังไม่จบค่ะ เก็บกระเป๋าแล้วเดินทางต่อกันอีกนิดนะคะ ^^')





18.30 น. ถึงแล้วค่า OSAKA ^_____^ 



>> ที่พักของเราวันนี้ชื่อว่า "Osaka Numba Studio" ค่ะ (ที่พักวันนี้เราพักห้องเดียวกัน 4 คนเลยค่ะ)



>> จะบอกว่าที่นี่กว่าจะได้กุญแจห้องมา...อย่างกะเล่นวอคแรลลีแหนะค่ะ (ถ้าไม่ชอบความยุ่งยาก ไม่แนะนำค่ะ)



>> สำหรับหน้าตาที่พักโอเคเลยค่ะ จัดว่าดีมากเลยหละ (สำหรับ 2 คนนะคะ) 



(ถ้า 4 คนอย่างเรา เราไม่แนะนำอ่าค่ะ เราว่าแอบเบียดไปนิดนึง / ให้จองแยกเป็น 2 คนจะดีงามกว่ามากค่ะ)



>> อ่อ..ลืมบอกที่พักใกล้สถานีรถไฟใต้ดินนะคะ สะดวกดีค่ะ แต่ต้องลงให้ถูกฝั่งนะคะ (ที่พักติิด Lawson 108 เลยค่ะ)




(อันนี้เป็นทางเข้าที่พักค่ะ)



(ภายในห้องพักจะแบ่งเป็น 2 โชนคือ โชนของห้องนอน และห้องนั่งเล่นค่ะ - อันนี้เป็นโซนของห้องนอนค่ะ)



(และอันนี้เป็นโซนของห้องนั่งเล่นค่ะ - หลังประตูนั่นคือห้องนอนค่ะ)




19.30 น. วางกระเป๋า พักหายเหนื่อยแปบ...แล้วเตรียมตัวไปเดินเล่นหาของกินกันค่ะ 



>> เวลาเรามีน้อยไปเดินเล่นแถวที่พัก (์Namba / Dontonburi) แล้วกันนะคะ




(นั่ง Subway จากที่พักแค่ 1 นาทีเองค่ะ ใกล้มากๆ)

(Glico ที่ฮิตฮอตคนถ่ายรูปกันแสนล้านค่ะ)




(ร้านปูนี้แอบเห็นคนไทยก็ฮิตกันนะคะ แต่เราไม่เคยลองสักทีค่ะ)

(บรรยากาศโดยรอบค่ะ...ไม่ว่าจะไปกี่รอบที่นี่ก็ยังคึกคักเหมือนเดิม)









(นี่ค่ะร้านทาโกะยากิที่เค้าฮิตๆ กัน ยืนต่อแถวกันยาวมาก : อินี่ก็เป็นหนึ่งในนั้นค่ะ)

(นี่ค่ะ หน้าตาทาโกะที่ไปต่อแถวมายาวนานมากกกก!!!) 




>> สำหรับเราเจ้านี้ยังไม่โดนค่ะ เรามีความรู้สึกว่ามันแหยะไปค่ะ (อยากให้ไปลองชิมเจ้าอื่นกันดูดีกว่าค่ะ)



>> เดินมาเรื่อยเปื่อย แบบไม่มีแผนอะไรเลย อารมณ์แบบอยากเข้าร้านไหนเข้าเลยค่ะ.....



จู่ๆ ในแกงค์ก็คุยกันว่า มีใครเคยกินปลาปักเป้ามั้ย? (อินี่แหละค่ะเป็นคนต้นเรื่องถามเอง) >> ลองกันมั้ย?? >> ไม่มีใครขัด...ก็จัดเลยค่ะ 



(แบบไม่ได้รีวิวอะไรไปทั้งสิ้น มั่วๆ ไปเลย)





(พอแหงนหน้าขึ้นไป ก็เจอเจ้านี่อยู่บนหัวเลยค่ะ รออะไรหละคะ  เข้าเลยค่ะ!!!)



>> เข้ามาเท่านั้นแหละ ใจคอไม่ดีเลยค่ะ...คนมันหายไปไหนหมดนะ!!!!!!!!! 



(ข้องนอกนี่วอแวเบียดเสียดมาก ข้างในเงียบอย่างกะป่าช้า!!!)



>> สักพักพนักงานก็มารับออเดอร์ค่ะ...(พวกเราก็มองหน้ากันแบบ..ทำไมคนน้อยจังวะ??)



...เลยขอเวลาพนักงานมานั่งสุมหัวกันแปบนึงค่ะ (อินี่รีบเปิดรีวิวรัวๆเลยค่ะ!!) >> คือแกควรจะเปิดตั้งแต่ก่อนเข้าร้านมั้ย?? (ด่าตัวเองในใจ -*-) 



>> พอเปิดดูเท่านั้นแหละ...กระจ่างค่ะ!!! >> เงยหน้าบอกสมาชิก แกๆ เค้าไม่ได้กิินร้านนี้กัน เค้ากินอีกร้านนึงกันอ่า



ยังไงหละคะ...เข้ามานั่งขนาดนี้แล้ว...เลยแบบเอาวะ...ลองสั่งมานิดๆ หน่อยๆ พอแล้วกัน 



(อ่อ..นิดหน่อยที่ว่าคือขั้นต่ำ 4 ที่นะคะ เพราะไปกัน 4 คน ที่นี่เค้าบังคับต้องสั่งคนละอย่างค่ะ - แอบปวดกบาลเล็กๆ เลยครัช)

(มาถึงจานแรก...ไฮไลต์ค่ะ...ปลาปักเป้า!!!!)



>> ได้มาจานแรกมองหน้ากันเลิ่กลั่ก...คือ...จานเท่าฝ่ามือน้อยๆ ค่ะ...เห็นแล้วไม่กล้าหายใจเลยค่ะ (กลัวมันจะปลิวหายไปซะหมด)



>> คิดในใจ...เอาวะ ของอร่อยมันก็มีน้อยแบบนี้แหละ อินี่หยิบตะเกียบคนแรกคีบเข้าปากไปเลยค่ะ 1 ชิ้นเต็ม!!!!



>> รสชาติมันช่าง...เหมือน...เคี้ยวหมากฝรั่งที่คายออกมาแล้ว แล้วเราเอามาเคี้ยวใหม่ยังไงยังงั้นเลยค่ะ (แค่ไม่มีรสมิ้นส์เท่านั้นเอง!!)



>> จะบอกว่าจานนี้ราคา 1,400 เยนเชียวนะคะ!!!! T^T (ร้องไห้หนักมากกกกกกกกกกกกก!!!!)



>> ไปต่อค่ะ อาจจะพลาดไปแล้ว จานต่อไปค่ะ มันไม่พลาดไปหมดซะทุกจานหรอกค่ะ!!

(เป็นไงคะ หน้าตาดูดีสมราคาสมฐานะมากๆ (ถ้าเราจำไม่ผิดราคาพอๆ กับปักเป้าค่ะ อาจจะถุกกว่าหน่อยนึง))



>> อินี่คีบค่ะคีบๆๆ อันที่ดูเด่นที่สุดในนี้คือหอยค่ะ อินี่รีบคีบเข้าปากเคี้ยวทันที!!!



>> กึก ๆ ๆ (แม่จ้าววววววววววว...ฟันตรูยังเหลืออยู่มั้ยนะ??) หอยอะไรฟันไม่เข้า?? (หอยร้านนี้เลยค่ะ) โคดจะแข็งและแอบมีกลิ่น



>> กราบค่ะ (น้ำตานี่แทบไหลเป็นสายเลือด!!!) ยังรอที่เหลืออีก 2 จานนะคะ

(วิญญานปลาปักเป้าทอดค่ะ - เจ็บจี๊ดๆ ไม่เหมือนมดกัดนิดเดียวนะคะ..เหมือนโดนมดกัดทั้งรัง มันเจ็บมาก T^T)



>> อีกอย่างเป็นปลาหมึกย่างค่ะ (ไม่ทงไม่ถ่ายมันแล้วค่ะรูปหนะ - หมดอารมณ์!!!)



>> เรียกเก็บตังค์ทั้งน้ำตาเลยค่ะ (เลือดนองหน้า...แม่งราคาก็โคดแพงค่ะ!!!) สมงสมองนี่เบลอจนจำราคาไม่ได้ละค่ะ




สรุป (รีบๆ สรุปให้เสร็จไปค่ะ T^T)


รสชาติ :  บรรยายมาขนาดนี้คงไม่ต้องบอกแล้วนะคะว่าเป็นยังไง (-10/5 คะแนน)


ราคา :  แพงมากค่ะ เมื่อเทียบกับปริมาณ และรสชาติอาหารแต่ละจาน (-10/5 คะแนน)


บรรยากาศ : วังเวงมาก มีนั่งกินโต๊ะเดียวเนี่ยแหละค่ะ ถือว่าโล่งไม่เบียดเสียดค่ะ (ยังจะอวยได้ -*-) (1/5 คะแนน)




>> พอค่ะพอๆๆ ผ่านค่ะ ไปร้านอื่นต่อเถอะค่ะ...เดินถัดมานิดนึงฝั่งเดียวกับร้านปลาปักเป้าจะเห็นคนยืนขายทาโกะอยู่ค่ะ เดินเข้ามาในร้านนั้นแหละค่ะ



(เราลืมถ่ายหน้าร้านมาให้ดูอ่าค่ะ มัวแต่เซ็งอยู่ - แต่เดินมาแค่นิดเดียวจริงๆ ค่ะ ก็เจอเลย)


(เดิฟ ด้วยเจ้านี่ก่อนตล๊อด - ดูเป็นเมรีขี้เมายังไงก็ไม่รู้ ><)



>> อันนี้อาจจะรสชาติขมติดลิ้นหน่อยนะคะ (ใครที่ไม่ชอบรสนี้อาจจะกินไม่ได้เลยหละค่ะ)

(เริ่มด้วยอะไรง่ายๆ ก่อนค่ะ ไก่ชุบแป้งทอด - เราจำราคาไม่ได้เลยหละค่ะร้านนี้หนะ ความทรงจำหายไปชั่วขณะ)



>> รสชาติก็ทั่วไปค่ะ ไม่ได้แบบว่ากัดแล้วปลื้มปริ่มอะไรขนาดนั้น (แต่ไม่ได้แย่นะคะ กลางๆ ค่ะ)

(ถัดมาเจ้านี่เป็นทาโกะค่ะ(รึเปล่าถ้าเราจำไม่ผิด ><)...มีไข่โปะอยู่ด้านบน - รสชาติอร่อยดีใช้ได้ค่ะ)

(แท๊นนนนนน...โอโคโนะ มิยิกิค่ะ : อันนี้ก็รสชาติอร่อยใช้ได้ค่ะ)





สรุป


รสชาติ :  กลางๆ ค่ะ อร่อยปกติ ไม่ถึงกับหวือหวาฟู่ฟ่าอะไรมาก (แต่ไม่แย่แน่นนอนค่ะ) (3.5/5 คะแนน)


ราคา :  จำราคาแต่ละจานไม่ได้ค่ะ จำได้แต่ว่าโดยรวมไม่ได้แพงมากเท่าไหร่ค่ะ รับได้ (3.5/5 คะแนน)


บรรยากาศ : ค่อนข้างแคบมากค่ะ (3/5 คะแนนค่ะ)



 . . . . . 



. . . . 



. . .



. . 



.



..... เวลาที่เหลือจากนี้ก็เดินเล่นตามอัธยาศัยเลยค่ะ วันนี้พอเท่านี้ก่อนนะคะ :) .....



.



. .



. . . 



. . . .



. . . . .



- o i l i i e -






















 

Create Date : 30 ธันวาคม 2558    
Last Update : 3 มิถุนายน 2559 14:53:35 น.
Counter : 1067 Pageviews.  

1  2  3  

Oiliie PlastX
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 5 คน [?]




- o i l i i e -

+ ชอบรีวิวร้านอาหาร (ทั้งคาวหวาน..ถ้าไปได้เราไปหมด)

+ ถ้าว่างๆ ชอบทำอาหารกินเอง

+ แล้วถ้าว่างมากๆ อีกชอบไปเที่ยวค่ะ
(เที่ยวไปเรื่อยตั้งแต่ใกล้ยันไกลๆ ตามงบประมาณช่วงนั้น)

+ ชอบหารีวิวร้านอาหาร..ร้านโน้น ร้านนี้ ไปเรื่อย
(ร้านไหนอร่อย ร้านไหนดี ร้านไหนสวย อินี่ไปหมด)

--- แต่ไม่เคยนึกลองอยากเขียนรีวิวเองสักที ---

+ อันนี้มีคนแนะนำ...บอกแกๆ ทำรีวิวเถอะ เลยอยากลองทำดู

มือใหม่ค่ะ ดีไม่ดียังไงรบกวนเม้นติ เม้นชมได้ค่ะ จะได้เอาไปปรับปรุง ^__^
Friends' blogs
[Add Oiliie PlastX's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.