Group Blog
 
All blogs
 
ใบไม้เปลี่ยนสี ฮิโรชิม่า โอซาก้า เกียวโต Part. 1

ตั้งแต่กลางปี เฮียสะกิดๆ แกจะไปใบไม้เปลี่ยนสีกับชั้นมั้ย ชั้นจะได้จองโรงแรมให้ก่อน ตอนนี้ราคาพิเศษ  "ไม่เอา ไม่เอา เพิ่งไปฮอกไกโดกลับมา ตังค์ไม่มี โอซาก้าเค้าก็เคยไปมาแล้ว ไม่เป็นไร ผ่านไปก่อน"  พูดงี้ทุกที  เฮียแกก็ชวนอยู่ 3-4 รอบ อินี่ก็ปฏิเสธตลอด  จนอีก 2 อาทิตย์ก่อนเดินทาง เฮียมาสะกิดอีก   ไปมั้ย ไปมั้ย   "โอ้ย ไม่ไป ไม่ไป เพิ่งจ่ายค่าเทอมลูกไป 2 ที่ จนเว้ย จน"
     แล้วงัยหละ  1 อาทิตย์ก่อนเดินทาง อินี่ ไปบอกว่า "ขอหนูไปด้วยยยยย"  5555    ทริปนี้  เน้นดูใบไม้เปลี่ยนสี  แดง ๆ เหลืองๆ ธรรมศาสตร์น่าดู อิอิ   นอนที่ญี่ปุ่น 5 คืน เที่ยว 6 วัน  ทรัพย์จางกันไปเลย   (แน่ละสิ ปีนี้เที่ยว ตปท. รอบที่ 4 แล้ว  ไม่ได้รวยเลย...จนขนาดค่ะ)

สมาชิกเรามีทั้งหมด 6 คนด้วยกัน  ใครที่เห็นรูปจะนึกว่ามันมากัน 5 คน  ก๊ากๆๆๆ  
1. เฮียบอย  หัวหน้าทัวร์ เน้นเที่ยวจริงจัง ทั้ง ๆ ที่ไปญี่ปุ่นมา 20-30 รอบแล้วมั้งชีวิตแก
2. พี่ติ๋ม  จอมพลัง  อึกมว๊าก ขอบอก ปีนโขดหินบนยอดเขาได้นี่สุด ๆ แล้ว (ลงยังไง ป้าแกยังไม่รู้เลย แต่ขอขึ้นไปถ่ายรูปก่อน)
3. พี่ไร คนงาม  บอกว่านึกท่าถ่ายรูปไม่ออก  แต่ว่าโพสท์มาแต่ละท่า นางแบบชิดซ้าย  ท่าเลื้อยนี่สุดยอดเลย
4. หนูปั๊ม รันเวย์ + แฟชั่นวีค  เธอมาเพื่อถ่ายแบบโดยเฉพาะ  เป็นความสามารถเฉพาะตัว 30 แอ๊ค เธอถ่ายได้ไม่ซ้ำกัน สวยงามมากค่ะ
5. น้องอ้อ สุดที่รักของพี่ ๆ ทุกคน  กิ๊กเฮีย 555  ว่างเป็นไม่ได้ ให้เฮียถ่ายรูปให้ตลอด แม้กระทั่งยืนรอกันอยู่หน้าห้องน้ำ!!
6. อิชั้นเอง สวยๆ เริ่ดๆ แต่ตรีนพองระบม ก๊าก

 ก่อนเดินทาง เฮียไปเช่า pocket wifi มาก่อน จะได้อัพเดท ถูหน้าจอกันได้ตลอดเวลา  และไม่ลืมเอา powerbank ไปด้วยอีก 4 ตัว เผื่อถูกันจนแบตหมด  งานนี้คุ้มมาก เช็คอินแม่มตลอด เอาแต้ม  (เอาไปทำอะไรได้มั่งฟ่ะ)  555

เริ่มเดินทางกันเลย  

4 ธันวาคม 2556   ออกเดินทาง TG622  เวลา 23.15 น. (ใช้เครื่อง A380 มาบิน) ถึง Kansai (KIX) เวลา 06.25 น.

วันที่ 1  :  5 ธันวาคม 2556  /  Shopping@Temma,  Osaka Castle,  Buffet Shabu@Shinsaibashi

มาถึงสนามบิน ก็มาซื้อตั๋ว JR Sanyo Area Pass  แบบ 4 วัน  ราคา 20,000 เยน  จริง ๆ เราสามารถซื้อจากเมืองไทยได้นะ แต่ว่าเห็นว่าราคาไม่ต่างกันมากเท่าไหร่ แถมเวลาก่อนเดินทางงานรัดตัว ก็เอาเถอะ ซื้อที่ญี่ปุ่นนี่ก็ได้   ตั๋วนี้เราจะเริ่มเปิดใช้วันที่ 6 - 9 ธ.ค. เพราะว่าจะใช้เดินทางไปฮิโรชิม่า  สามารถนั่งชินคันเซ็นได้ ราคาเลยค่อนข้างแพง   เสียดายไม่ได้ทำการบ้านมาก่อน เพราะเพิ่งรู้ว่ามันไปถึง ฮากะตะ เมืองฟูกุโอกะได้  จะได้วางแพลนใหม่ เที่ยวฟุกได้เลย แต่ไม่เป็นไร ชิมลางกันไปก่อน

ซื้อตั๋ว JR เสร็จ  ก็มาซื้อตั๋ว Subway + JR เข้าเมือง  ซื้อ One day pass ของ Nankai ราคาใบละ 2,300 เยน  (ลงลิฟท์ไปที่ชั้น 1 ขึ้นรถสายสีเทา แบบรถไฟธรรมดา ใช้เวลาประมาณ 50 นาที  ไม่สามารถขึ้นแบบ Ltd. Express ได้)



จากนั้นนั่ง JR เข้าเมือง และต่อด้วย subway เอากระเป่าไปฝากที่ รร. ก่อน คืนนี้เรานอนกันที่ IL Grande Umeda อยู่ใกล้ ๆ ย่าน Temma ซอยละลายทรัพย์ที่ติวเตอร์ตู่แนะนำมา  โอ้ว มายก๊อต  จะตายกันตอนยกกระเป๋าขึ้นลงบันไดนี่แหละ เอายอกกันไปเลย

ด้วยความที่รอบก่อนนู้นมาฮันนีมูน (ฮิ้ว)  ใช้ JR ตลอด ไม่ได้ใช้ subway เลย มึนค่ะ มึน อึนไปหมด  สีเส้นรถไฟในแผนที่ กับสีที่บอกใน subway แม่มคนละสี  ห่าน!!!  ในแผนทีสีส้ม  ใน subway สีเหลือง  เดินไปเถอะ แม่มยังไงก็ไม่เจอ  ดีนะ ถามเจ้าหน้าที่ เลยพอมั่ว ๆ กันไปได้

เอาเป็นว่าพอเอากระเป๋าไปฝากที่ รร. แล้ว (เช็คอินได้บ่าย 3)  นั่งกันพอหอมปากหอมคอ  ไปตลาดละลายทรัพย์กันเลยดีกว่าครับพี่น้อง (TEMMA station)   ด้วยความที่มี subway one day pass อยู่ในมือ เราก็จะเดินไป subway เพื่อที่จะไปสถานี Temma  ดูท่าว่าพวกเราเดินกันประเจิดประเจ้อกันไปมั้ย  งมทางอยู่ subway จนกระทั่งมีคุณป้าวัยกลางคนคนนึง เดินเข้ามาบอกว่า "พูดภาษาอังกฤษได้ มีอะไรให้ช่วยมั้ย"  พวกเราก็เลยตอบไปว่า "พวกเรากำลังจะไปสถานี Temma กัน"  ป้าบอกว่า จะไปช้อปปิ้งใช่มั้ย  "ใช่ค่ะ"  ป้าเลยบอกเดินจากนี่ไป 10 นาทีก็ถึง  เราเลยถามว่าเดินไปทางไหน ยังไง  ป้าแกคงทนไม่ไหว บอกว่า "มานี่ เดี๋ยวป้าจะพาเดินไป"   กรี๊ดดดดดด  ป้าใจดีมากมาย  แล้วป้าก็ถามว่า "มาจากกรุงเทพใช่มั้ย  เห็นข่าวที่กรุงเทพเรื่องการเมือง"  พวกเราบอก ไม่มีอะไรน่ากลัวค่ะ ประท้วงกันด้วยมือเปล่า มีนกหวีดเป็นอาวุธ

เดินไปแป๊บเดียวเอง ถึงท้ายซอยละลายทรัพย์ Temma ป้าบอกว่า ป้าจะแนะนำขนมร้านนี้อร่อย ไม่แพง 70 เยนเอง มีคนต่อแถวด้วย  พวกเราเลยซื้อมาลอง 2 ชิ้น อืม อร่อยดีแฮะ  แล้วป้าก็บอกว่าเดินไปตามซอยนี้ เดี๋ยวก็ถึงสถานีเอง มันเชื่อมถึงกัน    จากนั้น พวกเราก็ขอบคุณคุณป้าใจดีคนนั้น พร้อมกับยกมือไหว้สวัสดีสวยงาม ประหนึ่งแอร์โฮสเตสขอบคุณผู้โดยสารเมื่อตอนลงจากเครื่อง 



จากนั้น ตระเวนหาร้านข้าวหน้าหมูซีอิีว ที่ติวเตอร์ตู่เคยแนะนำมา  ก่อนจะเดินถึงร้าน แวะๆๆๆ ไปเรื่อย  เจอร้านเสื้อผ้า 500 เยน แบบน่าฮักขนาด ดูญี่ปุ่นเชียว เหมาะหน้าเรามาก (เหรอ?) เสียดาย จัดมาแค่ 3-4 ชิ้นเอง ใช้เวลาอย่างเร็ว  ไม่อยากเดินห่างจากไวไฟ เดี๋ยวหลุด 555  เพราะมีอยู่ 6 คน แต่ใช้ไวไฟได้ 5 เครื่อง ก๊ากๆ

เดิน ๆ ไป เอ้าถึงร้านแล้ว ดีใจมาก  กำลังหิวพอดีเลย  กรี๊ด ไม่มีคิวด้วย เข้าไปเลย ไปถึงดูเมนู พร้อมกับหยิบรูปที่เมมเอาไว้จากติวเตอร์ตู่  เอาแบบนี้แหละ  6 คน สั่งเหมือนกันหมดเลย 55  อร่อยสมคำร่ำลือ เป็นหมูคุโรบูตะ  ระหว่างกินแอบเอาปลั๊กชาร์ตแบตที่ร้านเค้าด้วย  พนักงานก็น่ารักเชียว หาตะกร้ามารองโทรศัพท์ให้เรียบร้อย  จานนี้สั่งแบบเซ็ท มีข้าวกับน้ำซุปให้ด้วย  800 เยน






รูปจะใหญ่ไปไหน 555

กินอิ่มแล้ว เดินกลับ รร. ก่อน จะได้เช็คอิน เอากระเป๋าเก็บเข้าห้อง จะขรี้ จะเยี่ยว ก็ตามอัธยาศัย  ระหว่างนั้น ได้รองเท้ากลับมาอีกคู่ (ทีงี้หละไวเชียว)  เมืองไทยในเซ็นทรัลขายคู่ละ 5-7 พัน อิชั้นสอยมาได้ 1500 บาทค่า ปลิ้มปริ่ม (ยี่ห้อ A.V.V. โรงงาน Joli Snob แบรนด์ญี่ปุ่น)

มาถึง รร. เวลา 14.30 น. ก็ยังเช็คอินไม่ได้  (ขอเช็คก่อนก็ไม่ให้ จะตรงต่อเวลาไปไหน)  เลยนอน ๆ เลื้อย ๆ ตรงล็อบบี้นั่นแหละ   พอบ่ายสามปุ๊บ เอากระเป๋าเก็บเข้าห้อง เตรียมตัวออกเดินทางไปปราสาทโอซาก้ากันต่อเลย

หน้าโรงแรม



สามารถนั่ง Subway ลงได้ 2 สถานี คือ Osakajokoen  หรือ  Morinomiya  ทางเข้าจะเข้ากันคนละทาง  พวกเรานั่งไปลงที่ Morinomiya  พอโผล่ออกมาข้างบน แค่ปากทางเข้าก็ใช้เวลา 1 ชั่วโมงแล้ว 555

และเนื่องจากวันนี้คือวันที่ 5 ธันวาคม  อิชั้นได้ไอเดียผุดขึ้นมาจากบนเครื่อง นั่นคือหนังสือพิมพ์ที่แจกบนเครื่อง  มีพระบรมฉายาลักษณ์ของในหลวง  เลยเอามาด้วย เพื่อสิ่งนี้ค่ะ  ทรงพระเจริญ...เรารักในหลวง








คือหน้าหนาวที่นี้มืดเร็วมาก  5 โมงเย็นนี่มืดแล้ว  สรุปว่าเราก็อยู่แค่เวิ้งนี้แหละ ไม่ได้เข้าไปถึงปราสาทโอซาก้า  ก็เลยถ่ายรูปกันอยู่ตรงนี้  แล้วเดี๋ยวเสร็จจากนี้ไป จะไปกินบุฟเฟต์ชาบูที่ย่าน Shinsaibashi






แต่ๆๆ อิชั้นอ้วกแตกค่ะ  ท่าทางสามีจะแช่ง ทิ้งลูกทิ้งผัวมาเที่ยว  ก่อนหน้าที่จะมากินร้านนี้ อ้วกแตก มึนหัวอยู่ใน Subway   ทั้ง ๆ ที่เป็นคนหาร้านนี้มาเอง สุดท้ายกินไม่ลงอะ  กลัวจะอ้วกใส่เพื่อน ๆ เลยขอตัวกลับก่อน ท่ามกลางสีหน้าเป็นห่วงจากพี่ติ๋มและพี่ไร  จะกลับยังไงคนเดียว....ไม่เป็นไรค่ะ หนูนั่งแท็กซี่กลับเองได้ ไม่ต้องเป็นห่วง  ขอไปนอนดีกว่า เคยเป็นอาการบ้านหมุน อ้วกแตกมาแล้ว ขอนอนพัก เดี๋ยวทริปนี้จะเที่ยวไม่สนุก  

พิกัดร้าน อยู่ชั้น 6  ตรงสะพานรักสารสิน 555 สะพานที่เค้านัดพบกันนั่นแหละ  มองไปที่ตึก H&M ตรงข้ามเป็น Uniqlo จะมีลิฟท์ทางขึ้นอยู่ข้าง ๆ กดขึ้นไปเลย ชั้น 6 ร้าน DX ตามด้วยภาษาญี่ปุ่น  เป็นบุฟเฟ่ต์ชาบู แนะนำมาจากนักเรียนไทยในญี่ปุ่น  น้ำซุปอร่อยมาก ค่าหัวคิดตามราคาเนื้อ เนื้อวัวญี่ปุ่นราคาแพงกว่าเนื้อวัวออสเตรเลีย  ไฮโซอย่างพวกเรากินเนื้อวัวออสเตรเลียค่า 555  ทีนี่คิดราคาไม่เท่ากันนะ ผู้ชายค่าหัวแพงกว่าผู้หญิง จำไม่ได้ว่ากี่ร้อยเยน  เบ็ดเสร็จตกหัวละ 2700 เยนประมาณนั้นนะ พอดีมื้อนี้ไม่ได้กินด้วย  (ได้กินมื้ออื่น อีก 3 วันต่อมา)   สรุปว่านั่งแท็กซี่กลับมา อิลุงคนขับวัยประมาณ 75 อัพ พากุหลง ทั้ง ๆ ที่มี map อยู่หน้าจอแล้วนะ  ชื่อที่อยู่ของ รร. ภาษาญี่ปุ่นก็มีให้ ตาลุงก็กว่าจะกดได้แต่ละตัว กุยืนน้ำตาไหล  พอขึ้นรถ ไกลมว๊ากกว่าจะมาถึง รร.  นั่งน้ำตาไหล กุจะถึงที่พักมั้ย?  สรุป ราคาค่าแท็กซี่กับราคาค่าบุฟเฟต์ชาบูแม่มพอกันเลย  เวร



วันที่ 2 :  6 ธันวาคม 2556  /  Hiroshima,  Atomic Dome

วันนี้เราจะเริ่มใช้ตั๋ว JR Sanyo  กันแล้วนะ  เราจะออกเดินทางไปเมืองฮิโรชิม่ากัน ไปดู Dome ที่ยังคงเหลือจากการบอมบ์สมัยสงครามโลกกัน   เราจะนั่ง Shinkansen Mizuho ไปลง Hiroshima ใช้เวลาประมาณ 80 นาที ก็ถึงสถานีกันแล้ว  เราจะนอนที่เมืองนี้ 2 คืน พักที่ รร. Sunroute  



ด้วยความฟิตเปรี้ยะ อากาศเย็น ๆ ไม่น่งไม่นั่งมันหรอก รถราง ลากกระเป่าไปชิว ๆ เลยจากสถานีไป รร. ฟิตเปรี้ยะ อย่างกับติดเทอร์โบ (ใครนึกเพลงนี้ออก..เราวัยเดียวกัน 55)  แล้วพวกเราก็ไม่ผิดหวังเลย ที่เดินลากๆๆ กระเป๋ากันไป เพราะได้มุมถ่ายใบไม้แดง ใบไม้เหลือง สวย ๆ มาเพียบ






















หมดเวลาไปกับต้นนี้เยอะมว๊าก อยู่หน้า รร. นี่เอง คนเดินผ่านไปมา งงกันใหญ่ อิพวกนี้คงไม่เคยเห็น  ... ก็ใช่อะเด๊  ไม่เคยเจอนี่หว่า ต้องถ่ายให้คุ้มสิคะ

พอฟ้าเริ่มหมดแดด ต้องรีบเอากระเป๋าไปเช็คอินที่ รร. ละ  เดี๋ยวจะต้องออกมาถ่ายรูป Atomic Dome  เพราะพรุ่งนี้เราต้องไปขึ้นเขาทั้งวัน

จาก รร. สามารถเดินไปได้เรื่อย ๆ ประเด็นของเราคือ รีบ ๆ ถ่ายให้เสร็จ เพราะเวิ้งแถวนี้ก็มีซอยละลายทรัพย์ 555

The Peace Memorial Park
เริ่มจาก อนุสาวรีย์ซาดาโกะ  

ข้อมูลที่มาจากเวปวิกีพิเดีย

ซาดาโกะ ซาซากิ (「佐々木 禎子」, Sasaki Sadako) เกิดวันที่ 7 ม.ค. พ.ศ. 2486 – 25 ต.ค. พ.ศ. 2498) เป็นเด็กหญิงชาวญี่ปุ่น ที่อาศัยอยู่ใกล้กับสะพานมิซาซะในเมืองฮิโรชิมา ประเทศญี่ปุ่น

เมื่อวันที่ 6 ส.ค. พ.ศ. 2488 ระเบิดนิวเคลียร์ถูกทิ้งลงที่ฮิโรชิมา ซาดาโกะ ณ ขนาดนั้น มีอายุเพียง 2 ปี เหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้ชาวญี่ปุ่นล้มตายเป็นจำนวนมาก บ้านของเธอเองก็อยู่ใกล้กับสะพานมิซาซ่าในตัวเมืองฮิโรชิม่าห่างจากจุดที่ระเบิดเพียงกิโลเมตรกว่าๆ แต่ซาดาโกะและครอบครัวเกือบทั้งหมดไม่ได้รับบาดเจ็บ มีเพียงยายที่เสียชีวิตในเหตุการณ์นั้น

เวลาผ่านไป ซาดาโกะเป็นเด็กที่แข็งแรง เป็นนักกีฬาวิ่งแข่งของโรงเรียน แต่เพียง 11 ปีภายหลังจากสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 ซาดาโกะได้เกิดอาการปวดหัวอย่างรุนแรงและสลบในห้องเรียน และครอบครัวก็ได้รับข่าวร้าย ซาดาโกะ เป็นโรคลูคีเมีย ซึ่งก็คือ มะเร็งเม็ดเลือดขาว....สงครามครั้งนั้นเธอไม่ได้รับบาดเจ็บทางกายก็จริง แต่กัมมันตภาพรังสีที่ซ่อนในร่างกายเธออย่างเงียบๆ ส่งผลต่อชีิวิตเธอในอีกหลายปีถัดมา!!

นับตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมาเด็กน้อยผู้ร่าเริงคนที่ตั้งความหวังว่าจะเป็นนักวิ่งที่เก่งกาจกลับต้องมาใช้ชีวิตอยู่บนเตียงโรงพยาบาล แต่ซาดาโกะต่อสู้ก็กับโรคร้ายด้วยความเข้มแข็ง ในจิตใจของเธอเปี่ยมด้วยความหวังว่า ตัวเองจะต้องหายจากอาการป่วย ชิซูโกะเพื่อนสนิทได้มาเยี่ยมซาดาโกะที่โรงพยาบาลพร้อมได้นำ โอะริงะมิ มาพร้อมเล่าตำนานนกกระเรียน "ซูรุ" ให้ฟัง โดย ซูรุเป็นนกศักดิ์สิทธิ์และสัญลักษณ์ของการมีอายุยืนยาว ความหวัง ความโชคดีและความสุข นอกจากนี้ยังช่วยป้องกันความเจ็บป่วยได้ด้วย ถ้าใครสามารถพับนกกระเรียนได้ถึง 1,000 ตัว แล้วผู้นั้นจะมีอาการดีขึ้น

ซาดาโกะใช้เวลา 14 เดือนในโรงพยาบาล จากคำบอกเล่าของแม่และเพื่อนของเธอว่าขณะที่ซาดาโกะพับนกกระเรียนนั้นเธอตั้งใจบรรจงพับอย่างสุดใจ และแววตาที่เปี่ยมความหวังของเธอเป็นประกายที่จะสู้กับโรคร้าย แม่ของซาดาโกะบอกให้เธอพักผ่อนบ้างเธอก็ได้แต่บอกว่า ไม่เป็นไรหรอก นี่คือความหวัง หนูยังมีแรงอยู่

ระหว่างที่ซาดาโกะเดินออกไปหากระดาษมาเพิ่มเธอได้พบว่ามีเด็กหลายคนที่ป่วยเหมือนกับเธอแบบไม่แตกต่าง เธอได้ให้กำลังใจกับเด็กเหล่านั้นให้พับนกกระเรียนอธิฐานเหมือนเธอ แต่เด็กชายคนหนึ่งที่อาการหนักมากแล้วได้ตอบเธอว่า ไม่มีปฎิหารย์หรอก พระเจ้าองค์ไหนก็ช่วยเขาไม่ได้ เขาพร้อมแล้วที่จะตาย แล้วเด็กคนนั้นก็ตายในคืนนั้นเอง

ซาดาโกะได้เขียนจดหมายถึงเพื่อนในชั้นเรียนได้เล่าเรื่องราวต่างๆและความคิดเรื่องนกกระเรียนพันตัว เรื่องของวันรำลึกถึงสันติภาพที่เธอได้เห็นมาตั้งแต่เด็กและเรื่องของความหวังที่จะหายจากโรคลูคีเมีย เธอได้ต่อสู้กับความเจ็บปวดของโรคลูคีเมียพับนกได้จนถึงกลางเดือนสิงหาคมนั่นเองขาของเธอก็เจ็บบวมและเขียวคล้ำจนเธอลุกออกจากเตียงไปหากระดาษมาเพิ่มอีกไม่ได้ ในวันนั้นแม่ของเธอได้นำเอาข้าวมาให้เธอกินและได้ปลอบใจให้เธอได้กินอาหารบ้างจะได้มีแรงสู้กับความเจ็บปวด เธอได้ขอให้เอาข้าวใส่ในน้ำชาให้เธอกินและบอกว่า นั่นอร่อยดีแล้ว และคำนี้คือคำพูดสุดท้ายของซาดาโกะ

ในวันที่ 25สิงหาคมเธอก็จากไปจากโรคลูคีเมียที่กัดกินชีวิตของเธอไปเหมือนกับเหยื่อรายอื่นๆของเด็กเมืองฮิโรชิม่าที่โดนพิษของกัมมันตภาพรังสีจากระเบิดปรมาณูลูกนั้น เธอพับนกได้เพียง 654ตัว เพื่อนของเธอที่โรงเรียนจึงได้ช่วยกันพับนกให้ครบพันตัวและใส่ลงในโลงศพของเธอเพื่อฝังไปพร้อมกับความหวังสุดท้ายของซาดาโกะ

เมื่อเรื่องซาดาโกะแพร่หลายออกไป จึงได้มีการบริจาคเงินสร้างอนุสาวรีย์เพื่อรำลึกถึงซาดาโกะและเด็กๆ อีกหลายคนที่เสียชีวิตจากระเบิดปรมาณู และตั้งที่ใจกลางสวนสาธารณะสันติภาพฮิโรชิม่า โดยอนุสาวรีย์นี้เป็นรูปของซาดาโกะกำลังยืนและยื่นมือทั้งสองข้างขึ้นไปบนฟ้า ที่มือของเธอถือนกกระเรียนสีทองไว้

นอกจากนี้เรื่องราวของซาดาโกะถูกนำเสนอผ่าน ตัวหนังสือและสื่ออื่นๆ แต่ที่โด่งดังและเป็นที่รู้จัก มากที่สุดคือ หนังสือเรื่อง ซาดาโกะกับนกกระเรียนพันตัว หรือ Sadako and the Thousand Paper Cranes ของ อีลีนอร์ โคเออร์ สตรีชาวแคนาดา ผู้ลุ่มหลงวัฒนธรรมของญี่ปุ่นอย่างยิ่ง โคเออร์เขียน เรื่องราวของซาดาโกะขึ้นจากหนังสือชื่อ โคเคชิ ซึ่งเพื่อนนักเรียนของซาดาโกะนำจดหมายและ บันทึกของเธอมารวมเป็นเล่ม วรรณกรรมเรื่อง ซาดาโกะกับนกกระเรียนพันตัว ตีพิมพ์ครั้งแรกที่ สหรัฐอเมริกาในปี 2520 ปัจจุบันถูกตีพิมพ์เป็นภาษา ต่างๆ มากมาย

วรรณกรรมเรื่องซาดาโกะกับนกกระเรียนพันตัว กลายมาเป็นสิ่งที่ทำให้ผู้คนได้ตระหนักถึงพิษภัยของสงคราม และทำให้การพับนกกระเรียนกระดาษ ซึ่งเป็นความเชื่อของชาวญี่ปุ่นเป็นการอธิษฐานเพื่อให้ ผู้คนหายจากอาการเจ็บป่วย รวมทั้งเป็นสัญลักษณ์ แห่งการเรียกร้องหาสันติภาพอีกนัยหนึ่งด้วย

สำหรับผู้ที่มีโอกาสได้ไปเยือนอนุสาวรีย์ของซาดาโกะที่สวนสันติภาพของเมืองฮิโรชิมาก็จะได้พบว่า มีถ้อยคำที่กินใจจารึกไว้ที่ฐานของรูปปั้นว่า

"นี่คือ คำร้องขอ ของเรา นี่คือ คำภาวนาของเรา สันติภาพจงบังเกิดขึ้นบนโลก..."




จากนั้นไปต่อกันเลย  อยู่ในเวิ้งเดียวกันนี่แหละ เดินถึงกันหมดเลย

ข้อมูลจากเวปวิกีพีเดีย

ฮิโรชิม่า ( Hiroshima 広島) ตั้งอยู่บนเกาะฮอนชู (Honshu 本州) ซึ่งเป็นหนึ่งในสี่เกาะที่ใหญ่ที่สุดในประเทศญี่ปุ่นซึ่งที่เหลือได้แก่เกาะฮอคไกโด (Hokkaido 北海道) ชิโคคุ (Shikoku 四国) และ คิวชู (Kyushu 九州) เป็นจังหวัดที่มีประชากรอาศัยอยู่ราวๆ 1 ล้านคนและเป็นที่ตั้งของโรงงานผลิตรถยนต์มาสด้า กลุ่มอุตสาหกรรมรถยนต์ยักษ์ใหญ่ของประเทศญี่ปุ่นสามารถผลิตรถยนต์ได้วันละ 4,000 คันส่งขายไปยังทั่วโลก
Atomic Bomb Dome หรือเรียกว่า เอบอมบ์โดม วากอาคานี้ยังถูกรักษาในสภาพเดิมตั้งแต่สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2เพื่อเป็นสิ่งเตือนใจให้กับชาวโลกและได้รับเป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโก (UNESCO) เหตุการณ์ที่น่าสลดของเมืองฮิโรชิม่านั้นเกิดขึ้น ณ เวลา 8.15 น.ของวันที่ 6 สิงหาคม ปี ค.ศ.1945 ผู้คนบริสุทธิ์นับแสนชีวิตและเด็กไร้เดียงสาต่างต้องเสียชีวิตลงด้วยระเบิดปรมาณูที่ชื่อว่า “Little Boy” และอีกสามวันต่อมาระเบิดลูกที่สองที่เรียกว่า “Fat Man” คร่าชีวิตคนญี่ปุ่นในเมืองนางาซากิไปอีกราว 70,000 คน





ถ่ายรูปกันหนำใจ ฟ้ามืดมาแล้ว ไปหาอาหารเย็นกิน วันนี้อยากกินปิ้งย่าง  เฮียเช็คข้อมูลมาจากโบรชัวร์ของเมือง บอกว่าร้านนี้อร่อย เป็นที่แนะนำ ไปเดินหากันเลย   ในที่สุดเราก็เจอ  เข้าไปในร้าน พนักงานบอกว่า ขอให้กินให้เสร็จก่อน 19.15 น. นะ เพราะว่ามีคนจองโต๊ะทั้งร้านแล้วไอ้เราก็เหลือเวลากิน 1.15 น. ก็โอเคนะ (ปกติเวลากิน 1.45 ชม.)  มาถึงแล้วต้องกิน เพราะพรุ่งนี้คงไม่มีเวลากินแล้วหละ

ปิ้งย่างอร่อยดี  เด็กพนักงานบางคนพูดอังกฤษไม่ได้ เดินมาก็ถามคำศัพท์ภาษาอังกฤษคำ  cabbage   onion  pumpkin  vegetable   แม่มเดินมาทุกรอบ ถามกุทุกรอบ สำเนียงกุก็ไม่เหมือนกันสักกะรอบ 555

รวม ๆ แล้วให้คะแนน 9/10 ค่ะสำหรับร้านนี้  มีทั้งหมูทั้งเนื้อ  ผักหวานมากกกก  ฟักทองเอย  กะหล่ำเอย หัวหอมเอย เห็ดเข็มทองเอย  กินดิบ ๆ ยังอร่อยเลย (แต่เราชอบเอาไปย่าง)  ไม่เห็นมีเห็นออรินจิเลยนะ

ชื่อร้าน Kuu GE
ราคาหัวละ 2,700 เยน  ค่าน้ำรีฟิลต่างหาก







กินอิ่มแล้วก็เดินไปช้อปต่อเลย  Hondori (covered arcade) Shopping Mall เอาหละ ต่างคนต่างช้อปละกันนะ  แยกกันกิน แยกกันเดินเลย ไปกันเป็นคู่ ๆ เราไปช้อปร้าน คสอ. กับน้องอ้อ เจออะไรที่คิดว่าถูกก็สอยมาเลย โชคดีได้ยาสระผมยี่ห้อประจำลดพอดี ซึ่งวันหลังมาดูที่โอซาก้า ร้านที่นี่ลดเยอะกว่าวุ้ย อิอิ ควรค่าแก่การแบก  แล้วคุยกันว่าเดี๋ยวเราไปกินโทสอร่อย ๆ กินดีกว่า เรานีดของหวาน ดูดิ๊ จะสู้อาฟเตอร์ยูบ้านเราได้มั้ย  พอดีตะกี้เดินผ่านร้านนึงพอดี รูปมันน่ากินมาก  ช้อปเสร็จก็เลยเลี้ยวเข้าไปกินขนมร้านนี้เลย ราคาไม่แพงมาก 790 เยน กับ 650 เยน ประมาณนี้ จำตัวเลขไม่ได้  สรุปรูปที่เห็นมันคือแพนเค้กนะคะ  อิป้าสองตัวนี่มองเป็นโทสได้งัยวะ 55 แต่ก็อร่อยพอประมาณเชียวหละ ไม่ถึงกับมากนะ พอใช้ได้   ได้ชาร้อนมาแก้ว เจ้มจ้นมาก  ชาแก่มากก กินหมดแก้ว เกษียณอายุพอดี 55

หน้าเหียกไปนิดนะคะ  มืดแล้ว ไม่ได้โบ๊ะหน้า 555

ซ้ายแพนเค้กราดซอสสตอร์เบอรร์ บลูเบอร์รี่  //  ขวาเค้กทีรามิสุ กับ ชาร้อนวัยเกษียณ




กินเสร็จละ  เดินกลับ รร. กันเถอะน้อง  พี่ไม่ไหวแล้ว พี่อยู่เมืองไทยเป็นเด็กอนามัย 3 ทุ่มก็ป๊อกแล้ว  นี่มันก็ได้เวลานอนของพี่ละ  อากาศเย็น ค่อย ๆ เดินไป ขาจะแข็ง   พอเดินออกจากรูซอยละลายทรัพย์  อ้าว 4 สมาชิกที่เหลือมานั่งจิบไวน์กันนี่เอง (ร้าน Cafe Ponte カフェポンテ  ตรง Motoyasu-gawa River)  แหม...เห็นแซว ๆ กันว่ามาเจอกันที่ร้านนี้ ดันมาเจอกันจริง ๆ ด้วย  เลยนั่งสวย ๆ เอาบรรยากาศสไตล์ยุโรปมา  4 สมาชิกเค้าจิบไวน์  กินน้ำส้มคั้นสด ๆ ไอติมชาเขียว   เรามาไม่ทัน อดชิมเลย




จิบบรรยากาศจนเต็มอิ่มแล้ว  ได้เวลาไปนอนกันแล้วเด็ก ๆ 4 ทุ่มครึ่งแล้ว กลับ รร. ไปพักผ่อนกันดีกว่า  แต่ๆๆ คิดเหรอว่าจะนอนกันหนะ แต่ละคน ถูจอ อัพเฟส  เช็ครูปกันไป  กว่าจะได้หลับก็ปาไปเที่ยงคืน ตีหนึ่ง หุหุ


*** เค้าบอกเนื้อหายาว ให้ไปอัพอีกบล็อกนึงค่ะ  ***  ติดตามต่อ Part. 2 นะคะ







Create Date : 17 ธันวาคม 2556
Last Update : 18 ธันวาคม 2556 9:17:39 น. 0 comments
Counter : 3972 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

oaty_bear
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




ขอบคุณที่แวะมาชมนะคะ

บล็อกของคุณแม่ลูกขายสองคน
ผู้พิศมัยหมีหลากชนิด เป็นคุณแม่จอมโก๊ะ
เอ๋อ ๆ เล็กน้อยถึงปานกลาง
แต่รักลูกหมดหัวใจคร่า





CafeMom TickersCafeMom Tickers

CafeMom TickersCafeMom Tickers













: Users Online

Online:

Visite Totali:

Poochie's Graphic Counter

Friends' blogs
[Add oaty_bear's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.