All Blog
|
อ่านจดหมายเปิดผนึกโรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม ผู้ช่วยตามหาความยุติธรรมให้คนเสือแดง ความ 2 มาตรฐานในความยุติธรรมของบ้านเมือง ที่กลไกทางความยุติธรรม เป็นที่ปรากฏจนคนทั่วไปรู้สึกได้ว่า การปฏิบัติต่อพวกหนึ่งที่เป็นพวกของตัวนั้นทำยังไงก็ยังช่วยเหลือกันแบบชัดๆ ช่วยเหลือกันอย่างไม่อับอายหน้าด้านๆ ที่ไม่อับอายทั้งคนในประเทศ และคนนอกประเทศ ฝ่ายที่กุมอำนาจตลอดจนผู้อยู่เบื้องหลังผู้กุมอำนาจ ที่ไม่มีความอับอายอะไรอีกแล้วขอให้ฉันทำเพื่อพวกฉันคนของฉัน ไม่แคร์ต่อสายตาของชาวโลกใดๆทั้งสิ้น เมื่อความเป็นธรรมในประเทศหาไม่ได้ แต่ในโลกนี้ยังพอจะหาได้ ซึ่งอย่างน้อยก็เป็นการประกาศให้ชาวโลกได้รู้ถึงความอยุติธรรมที่เกิดขึ้นเมืองไทย กลุ่มคนเสื้อแดง จึงต้องพึ่งคนที่จะช่วยหาความยุติธรรมในโลกนี้ โรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม คนที่เสื้อแดงมีความหวัง อ่านจดหมายเปิดผนึกของโรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัมที่มีถึงคนเสื้อแดง เรียน สหายที่รักทุกท่าน ตั้งแต่การแถลงข่าวของผมที่ประเทศญี่ปุ่น ได้มีการถกเถียงอภิปรายคำร้องศาลอาญาระหว่างประเทศเกิดขึ้นอย่างกว้างขวาง หลายคนกล่าวหาว่า เหตุผลที่ผมยื่นคำร้องต่อศาลอาญาระหว่างประเทศ เพราะผมจงใจทำลายประเทศไทย บ้างก็หาว่าผมต้องการเอาใจนายจ้าง หรือไม่ก็หาว่าผมเห็นแก่เงิน ผมยื่นคำร้องดังกล่าวด้วยเหตุผลหลายประการ ประการแรก คือ ผมเป็นคนหนึ่งที่อยู่ในเหตุการณ์น่าสะพรึงกลัวที่เกิดขึ้น ในกรุงเทพเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา จึงตั้งใจที่จะบันทึกเหตุการณ์นองเลือดดังกล่าว โดยผมเชื่อว่าในหลายปีที่ผ่านมาการบันทึกรายละเอียดของความอยุติธรรม จะช่วยหยุดยั้งความอยุติธรรมในที่สุด ในการทำงานของผมในรัสเซีย ผมต้องสูญเสียกลุ่มเพื่อนและทนดูคนทำผิดลอยนวล ซึ่งในความจริงแล้ว มันยากสำหรับผมที่จะมองดูคนทำผิดลอยนวล เมื่อก่อน ผมเข้าใจว่าการยื่นคำร้องนี้เป็นเรื่องยากมาก เพราะศาลอาญาระหว่างประเทศมักเลือกรับคดีที่มีคนตายเป็นจำนวนหลายล้านคน แต่หลังจากที่ศาลอาญาระหว่างประเทศตัดสินใจรับคดีของเคนย่า เมื่อเดือนมีนาคมที่แล้ว ทำให้เราพอมีหวัง เพราะคดีของเคนย่าไม่ใช่เหตุการณ์สงคราม แต่เป็นเรื่องความวุ่นวายที่เกิดจากความรุนแรงหลังการเลือกตั้ง มีผู้เสียชีวิตทั้งหมด 1200 ราย และระยะเวลาของเหตุการณ์กินเวลานานเป็นอาทิตย์ไม่ใช่เป็นเดือน และผู้พิพากษาที่ตัดสินคดีนี้ยังได้เดินทางเยือนมากรุงเทพเมื่อไม่นานมานี้ด้วย กรณีของเคนย่าทำให้คำร้องของเรามีโอกาสในระดับหนึ่ง แต่ข้อเท็จจริงคือประเทศไทยไม่ได้ลงนามในศาลอาญาระหว่างประเทศ ตอนที่ผมคุยกับกลุ่มคนไทยและมีคนหนึ่งถามผมว่าจะช่วยอะไรมากไหม หากนายมาร์คเป็นคนอังกฤษ ปัจจุบันประเด็นดังกล่าวกลายเป็นประเด็นที่ทุกคนพูดถึง ณ วันนี้ นายมาร์ค อภิสิทธิ์ล้มเหลวที่จะแสดงเอกสารว่าเขาได้สละสัญชาติอังกฤษแล้ว เป็นการย้ำว่าประเด็นที่นายมาร์คเป็นและยังคงถือสัญชาติอังกฤษอยู่นั้นเป็นเรื่องจริง ดังนั้นเขาจึงตกอยู่ในเขตอำนาจพิจารณาของศาลอาญาระหว่างประเทศ อย่างไรก็ตาม แม้เราจะยกเรื่องเขตอำนาจศาลอาญาระหว่างประเทศ และประเด็นการรับพิจารณาคดีเหตุการณ์ในประเทศไทย แต่โอกาสที่ศาลอาญาระหว่างประเทศจะรับพิจารณาคดียังคงมีน้อย แต่หาก หากศาลไม่รับฟ้อง เราสามารถแสดงหลักฐานเพิ่มเติม และยื่นคำร้องได้ใหม่ได้อีกครั้ง และนั้นเป็นสิ่งที่เราจะทำอย่างแน่นอน ไม่ว่าศาลอาญาระหว่างประเทศจะรับหรือไม่รับพิจารณาคดีก็ตาม เราจะเดินหน้าหาหนทางจะทำให้ประเพณีการละเว้นโทษสิ้นสุดลง เพื่อนำความเป็นมาให้แก่เหยื่อความรุนแรงของรัฐ ประเทศไทยจะสงบสุขได้ ก็ต่อเมื่อเมื่อเกิดหลักนิติรัฐ ไม่ว่าวิธีการที่จะได้มา ซึ่งหลักนิติรัฐจะยากและเจ็บปวดแค่ไหนก็ตาม เพราะหากมีการละเว้นโทษแก่เจ้าหน้ารัฐ ในนามของการ ปรองดองสมานฉันท์ และ การให้อภัย แล้ว ย่อมเป็นเครื่องยืนยันโศกนาถกรรมแบบเดิมจะเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า ความสงบสุขและความสมานฉันท์ในประเทศไทยจะเกิดขึ้นได้ ก็ต่อเมื่อมีการพูดความจริงเท่านั้น ประการที่สองคือ ผมเป็นตัวแทนของแกนนำเสื้อแดงทั้ง 19คน ที่ถูกคุมขังในข้อหาก่อการร้ายในขณะนี้ พวกเขาเป็นผู้บริสุทธิ์และไม่ได้กระทำกระทำผิดตามข้อกล่าวที่ไร้สาระดังกล่าว พวกเขาถูกลิดรอนสิทธิในการพิจารณาคดีในศาล และเพื่อที่จะรักษาชีวิตของพวกเขา จึงเป็นเรื่องสำคัญที่จะบันทึกว่าใครคือผู้ก่อการร้ายที่แท้จริง ผู้ก่อการร้ายที่แท้จริงคือบุคคลที่สั่งฆ่าพลเรือนอย่างเลือดเย็น และเรารู้ว่าพวกเขาเป็นใครและอยู่ที่ไหน ประการที่สามคือ เราจัดทำเวปไซต์ว่าด้วยเรื่องความรับผิด //www.thaiaccountability.org/ ทั้งนี้เพื่อจะย้ำให้เห็นถึงประเพณีการละเว้นโทษ ไม่นานมานี้ ผมเดินทางไปยังกรุงเจนีวาเพื่อเป็นที่ปรึกษากฎหมาย เกี่ยวกับคดีที่ดร.วิบูลย์ แช่มชื้นยื่นต่อสหพันธ์รัฐสภาสากล (Inter-Parliamentary Union) ดร.วิบูลย์ทำงานอย่างดีในการนำเสนอให้เห็นถึงการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ในการลิดรอนสิทธิทางการเมืองของนักการเมืองทั้ง 215 คน เป็นเวลา 5ปี และการสั่งยุบพรรคการด้วยการใช้หลักความรับผิดร่วมตามมาตรา 237 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยปี 2550 ซึ่งเป็นรัฐธรรมนูญที่ร่างโดยรัฐบาลทหาร ผมรู้สึกยินดีที่จะประกาศว่า ในวันศุกร์ที่ผ่านมา รัฐบาลไทยได้รับแจ้งจากสหพันธ์รัฐสภาสากลว่า ทางสหพันธ์รัฐสภาสากลจะเข้ามาสอบสวนกรณีที่ดร.วิบูลย์ได้ร้องเรียนไป ประการที่สี่ ในอาทิตย์นี้ เราจะเริ่มดำเนินการขับพรรคประชาธิปัตย์ ออกจากสหพันธรัฐพรรคการเมืองเสรีนิยม ไม่ใช่เพียงแค่เพราะพรรคประชาธิปัตย์สั่งปิดเวปไซต์ หรือผลักเรือของผู้ลี้ภัยโรฮิงย่าออกไปยังน่านน้ำสากล แต่ยังเป็นเพราะพวกเขาพยายามปกปิดอาชญากรรมต่อมนุษยชาติอีกด้วย การกระทำเหล่านี้ถือเป็นการต่อต้านคนไทยหรือไม่ คำตอบคือไม่ใช่ แต่เป็นการกระทำที่ต่อต้านนายมาร์ค ประยุทธ์ และประเพณีการละเว้นโทษ ผู้นำทางการเมืองทุกคนต่อสู้เพื่อให้คงประเพณีนี้ โดยใช้กระแสชาตินิยมเป็นเครื่องมือ ยุทธศาสตร์นี้ ถือเป็นยุทธศาสตร์ที่รู้จักกันทั่วไป มีชื่อว่ายุทธศาสตร์ห่อหุ้มตนเองด้วยธงชาติ หรือบางประเทศใช้สงครามเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจจากปัญหาทางการเมืองที่แท้จริง ดูตัวอย่างจากภาพยนตร์ที่ชื่อว่า wag the dog ซึ่งนำแสดงโดยดัสติน ฮอฟแมน ผมเชื่อว่าเราน่าจะส่งวิดีโอการปะทะที่ชายแดนเมื่อสัปดาห์ที่แล้วไปให้เขาดู ส่วนเรื่องการโจมตีผมด้วยเรื่องส่วนตัวนั้น เป็นเรื่องจริง เพราะผมได้รับค่าจ้างจากการทำงานนี้ คำถามคือ จำเป็นไหมที่ผมจะต้องหาเงินจากการทำงานให้คนเสื้อแดงและทักษิณ ด้วยความเคารพ ผมเลือกงานนี้เพราะนอกจากจะได้รับเงินค่าจ้างแล้ว ผมยังเชื่อในอุดมการณ์ของคนเสื้อแดง นายมาร์ครู้ดีว่าเงินไม่ใช่สิ่งจูงใจผม เพราะผมทำงานให้กับดร.ฉีซูนจวน ผู้นำพรรคประชาธิปไตยในสิงคโปร์ พรรคการเมืองน้องของพรรคนายมาร์คเป็นเวลา 5ปี ผมทำงานนี้เพื่อประชาธิปไตย และไม่ได้รับค่าจ้างใดๆ นายมาร์คและหนังสือพิมพ์บางกอกโพสรู้ดี แต่พวกเขาเลือกที่จะเพิกเฉยกับข้อมูลนี้ เพราะพวกเขามุ่งที่จะโจมตีผมด้วยเรื่องส่วนตัว และเลี่ยงที่จะกล่าวถึงเนื้อหางานที่ผมทำในนามของพวกท่าน เพราะพวกเขาไม่สามารถโจมตีเนื้อหางานผมได้ เป็นเวลาหลายเดือน ที่เราจัดทำเอกสารหลายร้อยหน้า และรวบรวมหลักฐานที่ต่อต้านการกระทำของรัฐบาลในสมุดปกขาว คำร้องต่อศาลอาญาระหว่างประเทศสองฉบับ คำร้องต่อสหพันธ์รัฐสภาสากล คำร้องต่อสหพันธรัฐพรรคการเมืองเสรีนิยม และบทความหลายบทความในบล็อกของเรา จนถึงทุกวันนี้ รัฐบาลหรือกลุ่มอำมาตย์ล้มเหลวที่จะโต้แย้งข้อเท็จจริงที่อยู่ในเอกสารเหล่านี้ เมื่อไม่นานมานี้ มีการพูดคุยถึงเรื่องการปฏิรูปและ ปรองดองสมานฉันท์ บ่อยครั้งในประเทศไทย ในฐานะนักกฎหมายที่มีประสบการณ์ในหลายประเทศที่ระบบนิติรัฐอ่อนแอ ผมขอเสนอแนะแนวทางการปฏิรูปที่อาจช่วยนำพาประเทศไทยไปสู่ความสงบสุข และความเป็นประชาธิปไตยอย่างยั่งยืน สิ่งสำคัญอย่างแรกที่จะสร้างความปรองดองสมานฉันท์ คือ อำนาจของพลเรือนต้องเข้มแข็งเหนืออำนาจของกลุ่มทหารและอำมาตย์ โดยการปฏิบัติตามขั้นตอนต่อไปนี้ ก) กองกำลังติดอาวุธต้องอยู่ภายใต้การควบคุมของพลเรือน ข) เสริมสร้างและพัฒนาประชาธิปไตย และสถาบันของรัฐ และ ค) ขยายช่องทางในการมีส่วนร่วมในระบอบประชาธิปไตย รัฐธรรมนูญในประเทศไทยทุกฉบับให้อำนาจสูงสุดแก่ประชาชน แต่ในทางปฎิบัติแทบจะไม่เคยเกิดขึ้นเลย อำนาจสูงสดจะเป็นของประชาชนอย่างแท้จริงเมื่อ ก) ปฏิรูปหรือปรับปรุงให้องค์กรรัฐบาลทั้งสามองค์กรมีความทันสมัย ข) องค์ดังกล่าวมีความเป็นอิสระและแยกออกจากกัน และ ค) ปลดอำนาจและอิทธิพลของกองทัพ ข้าราชการ และผลประโยชน์ทางการเงินออกจากองค์กรทั้งสาม องค์กรของรัฐทั้งสามต้องทำหน้าที่เพื่อจะการันตีว่า ประชาชนไทยจะมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดี มีเสรีภาพ ได้รับความเป็นธรรม มีความปลอดภัย และมีสิทธิในการพัฒนาความเป็นปัจเจกชนของพวกเขา และแนวความคิดนี้จะเกิดขึ้นได้ ก็ต่อเมื่อจะต้องมีการยกเลิกหลักการปกป้องอำนาจและอภิสิทธิ์ของคนกลุ่มน้อย ประการแรก อำนาจในการตรากฎหมายจะต้องเป็นของรัฐสภา และสภาทั้งสองจะต้องประกอบด้วยสมาชิกที่มาจากการเลือกตั้งโดยตรง จากประชาชนทุกที่และเป็นการลงคะแนนเลือกตั้งลับ รัฐสภาต้องนำเสนอความต้องการที่หลากหลายในสังคมไทย อาทิ ความต้องการจะต้องมีสอดคล้อง ไม่ใช่มาจากความรู้สึกจอมปลอมของ คำว่า ความเป็นหนึ่งเดียว ที่ถูกบังคับใช้จากเบื้องบน แต่ควรจะมาจากการแข่งขันทางความหลากหลาย การถกเถียงที่มีเนื้อหาโครงสร้าง และการประนีประนอม ประการที่สอง หนึ่งในความอ่อนแอของโครงสร้างหลักของรัฐไทยคือ ความผิดพลาดและการเลือกปฏิบัติของกระบวนการยุติธรรม การปฏิบัติที่โบราณคร่ำครึ กระบวนการพิจารณาคดีที่ล่าช้า ขาดความทันสมัยในการบริหารจัดการสำนักงาน และไม่มีการตรวจสอบการโกงกิน และความไร้ประสิทธิภาพในการปฏิบัติงาน นอกจากนี้ องค์กรยังเต็มไปด้วยการแทรกแซงทางการเมือง ความสองมาตรฐานในการดำเนินคดี รวมถึงคำพิพากษาของศาลรัฐธรรมนูญ การปฏิรูปและปรับปรุงองค์กรยุติธรรมให้ทันสมัย ควรจะเริ่มจากการหยุดยั้งการปกปิดประเพณีการละเว้นโทษ และการโกงกินอย่างเป็นระบบ รวมถึง การันตีความยติธรรมธรรมและเท่าเทียมภายใต้กฎหมาย ประการที่สาม ฝ่ายบริหารต้องนิยามคำว่า ความมั่นคง ใหม่ กองทัพควรมีหน้าที่ปกป้องภัยอันตรายจากภายนอกเท่านั้น ส่วนหน้าที่ในการป้องกันภัยต่อพลเรือนและความมั่นคงภายใน ควรเป็นเรื่องของตำรวจ ความมั่นคงของประชาชนและรัฐไม่อาจเกิดขึ้นได้ จากการลิดรอนสิทธิทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรมของพลเรือน ความไม่เท่าเทียมทางสังคมและเศรษฐกิจ ความยากจน การเลือกปฏิบัติทางการเมืองและสังคม และการโกงกินต่างหากที่เป็นปัจจัยเสี่ยงและภัยโดยตรงต่อระบอบประชาธิปไตย ความสงบสุขทางสังคม และหลักการประชาธิปไตยตามรัฐธรรมนูญ การที่จะการันตีประชาชนว่าจะมีความปลอดภัยทางเศรษฐกิจสังคม และส่งเสริมศักยภาพชุมนุมและปัจเจกชน ประเทศไทยตรากฎหมายสิทธิทางสังคมและวัฒนธรรม เช่น สิทธิที่จะได้รับการศึกษา สิทธิในการมีที่อยู่อาศัย สิทธิในการรักษาพยาบาล สิทธิในการได้รับค่าจ้างอย่างเป็นธรรมในการทำงานอย่างเป็นธรรม สิทธิในการได้รับค่าตอบแทนที่เป็นธรรม สิทธิในการพักผ่อนหย่อนใจ สิทธิในการสร้างและเข้าร่วมสหภาพแรงงาน และสิทธิที่จะได้รับความมั่นคงในชีวิตเมื่อว่างงาน เจ็บป่วย พิการ เป็นหม้าย ชราภาพ หรือไม่สามารถดำเนินชีวิตได้ปกติในสถานการณ์ที่เขาไม่สามารถควบคุมได้ ตามคำประการสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน ระบุว่ามารดาและเด็ก จะต้องได้รับความดูแลเป็นพิเศษ สตรีจะต้องได้รับสิทธิที่หลากหลายในการมีบุตร รัฐบาลจะต้องทำทุกอย่างภายใต้อำนาจที่ตนมีเพื่อจะการันตีประสิทธิภาพของสิทธิเหล่านี้ และสมาชิกทุกคนในสังคมให้มีสิทธิเท่าเทียม ไม่ว่าจะเขาจะมีเพศ เชื้อชาติ หรือภาษาวัฒนธรรมใดก็ตาม สรุปคือ จะต้องมีการก่อตั้งรัฐสวัสดิการเพื่อเอื้อให้ประชาชนไทย ได้มีสิทธิทางสังคมและเศรษฐกิจ โดยใช้รายได้จากการเก็บภาษีก้าวหน้า ซึ่งคนรวยต้องจ่ายมากที่สุด ในกรณีของของความมั่นคงส่วนรวม จะต้องมีการสร้างความสมดุลระหว่างสิทธิส่วนรวม เพื่อสร้างความมั่นคงต่อสิทธิพลเรือนและสิทธิทางการเมืองของพลเรือน กล่าวคือพรบ. ความมั่นคงภายใน ปี 2551จะต้องถูกยกเลิกและร่างใหม่ ต้องมีกาปฎิรูปพรบ.ฉุกเฉินปี 2548 อย่างครอบคลุม ตามหลักสนธิสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเรือนและสิทธิทางการเมือง ซึ่งจำกัดการลิดรอนสิทธิตามรัฐธรรมนูญต่อเมื่อมีภัยคุกคามชีวิตของประชาชนส่วนรวมเท่านั้น จะต้องมีการร่างข้อกำหนดใหม่เพื่อไม่ให้กองทัพมีโอกาสใช้ปืนยิงประชาชนอีก และต้องมีการปรับปรุงสำนักงานตำรวจให้ทันสมัย และเป็นกองกำลังมืออาชีพ มีการฝึกอย่างเหมาะสมในการควบคุมฝูงชน โดยมีมาตรฐานทางสิทธิมนุษยชน และได้รับการเคารพจากประชาชนที่พวกเขามีหน้าที่ ปกป้องและรับใช้ การสร้างความเข้มแข็งให้กับอำนาจพลเรือนนั้น จะต้องมีการเพิ่มความสามารถของพลเรือนในการมีส่วนร่วมทางสังคม โดยเพิ่มโอกาสการมีส่วนร่วมของพลเรือน และสร้างความสามารถในการมีส่วนร่วมตามระบอบประชาธิปไตย ไม่ว่าเขาจะมาจากพื้นฐานทางเศรษฐกิจ หรือสถานะทางสังคมแบบไหนก็ตาม การให้ประชาชนไทยได้แสดงความคิดเห็นอย่างเต็มที่ และได้รับข้อมูลข่าวสารอย่างทั่วถึงทุกมุมเกี่ยวกับสังคม การเมือง เศรษฐกิจ และวัฒนธรรม เป็นสิ่งที่มีประโยชน์ และยังต้องมีการยกเลิกการจำกัดเสรีภาพในการพูดที่มีอยู่ตอนนี้ทั้งหมด นอกจากนี้การปฏิรูปที่เน้นย้ำให้ประชาชนมีส่วนร่วม ต้องมีการปฏิรูประบบการศึกษาอย่างครอบคลุม อาทิ เป้าหมายแรกไม่ควรจะเน้นแนวคิดความเป็นหนึ่งเดียว แต่ควรจะเน้นการพัฒนาความสามารถ ความเป็นปัจเจกชน และความมีประสิทธิภาพทางการเมืองของพลเรือน การทำให้ประชาชนมีส่วนร่วมมากขึ้น จะต้องมีการปฏิรูปโดยการกระจายอำนาจรัฐ เพื่อที่ทำให้อำนาจรัฐสร้างประโยชน์แก่ประชาชนให้มากที่สุด และสิ่งนี้จะช่วยส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างรัฐและประชาชนให้ดีขึ้น ไม่เพียงแต่องค์กรรัฐในระดับจังหวัดและเทศมนมนตรีเท่านั้นที่ควรจะมีอำนาจอย่างเต็มที่ แต่ผู้ว่าราชการจังหวัดไม่ควรจะถูกแต่งตั้งจากกระทรวงกลาโหมอีกต่อไป แต่ควรจะมาจาการเลือกตั้งโดยประชาชนที่พวกเขาต้องรับใช้ ท้ายที่สุดแล้ว ความสงบสุขที่ถาวรเกิดจากรากฐานของความยุติธรรม การรับผิดและความยุติธรรม จะเพื่อปกป้องและป้องกันสิทธิ และหยุดยั้ง และเตรียมพร้อมไม่ให้เกิดการกระทำผิดอีก องค์กรสหประชาชาติกล่าวไว้ในหลักปฏิบัติว่า ด้วยการละเว้นโทษ และนอกจาจะจัดตั้งสิทธิในการรับรู้ส่วนบุคคล ของสังคม และ สิทธิในการรู้ข้อมูลของผู้ถูกกระทำแล้ว ยังพูดมีการถึงเรื่อง สิทธิที่จะได้รับความเป็นธรรม ซึ่งรัฐจะต้องการันตีว่า บุคคลที่มีส่วนรับผิดในอาชญากรรมรุนแรงภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศ จะถูกดำเนินคดี พิจารณาคดี และลงโทษ ประเทศไทยไม่ต่างจากประเทศอื่นๆ การจัดการกับอดีตและการดำเนินการให้เกิดความเป็นธรรมต่อเหยื่อการทำร้ายอย่างเป็นระบบ เป็นพื้นฐานเดียวจะจะสร้างอนาคตที่เจริญรุ่งเรืองและสงบสุขให้กับสังคม ควรจะมีการตั้ง คณะกรรมมาการค้นหาความจริงและปรองดองสมานฉันท์ อย่างแท้จริง เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในกระบวนการสมานฉันท์ปรองดอง โดยอาจใช้รูปแบบของประเทศแอฟริกาใต้ จุดมุ่งหมายของคณะกรรมการไม่ควรจะตรวจสอบแต่เหตุการณ์ความรุนแรงล่าสุด แต่ควรตรวจสอบเหตุการณ์ฆ่าหมู่ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ในปี 2516 1519 และ 2535 ด้วย เราไม่ควรปล่อยให้พวกอำมาตย์ลอยนวลจากอาชญากรรมสังหารประชาชนอีกครั้ง เราต้องช่วยกันหยุดยั้งประเพณีการละเว้นโทษ เราจะต้องไม่ให้ประยุทธ์และกองทัพควบคุมอนาคตประเทศไทย อนาคตอยู่ในกำมือของพวกท่าน ผมอยากกล่าวอีกครั้งว่า ผมรู้สึกเป็นเกียรติมากแค่ไหนทีได้เป็นตัวแทนเสื้อแดง ผมรู้สึกท่วมท้นในศรัทธาที่พวกคุณมีต่อหลักนิติรัฐที่จะช่วยปรับปรุงระบบกฎหมาย ความจริงใจของพวกคุณที่ต้องการจะสร้างความปรองดองและเป็นธรรม มันช่างต่างจากการที่กองทัพและรัฐบาลพยายามจะทำลายการเคลื่อนไหวนี้ และกำจัดแกนนำของพวกท่านโดยกล่าวหาว่าเป็นการกระทำที่รุนแรงของผู้ก่อการร้าย มุมมองที่สำคัญของคำร้องต่อศาลอาญาระหว่างประเทศคือ มันเป็นสิ่งที่พิสูจน์ว่าเราหยิบยกแผนการของรัฐบาลอัปยศ ที่ต้องการลอบสังหารแกนนำของพวกท่าน และพยายามปกปิดหลักฐานเพื่อไม่ให้อภิสิทธิ์และกองทัพต้องรับผิดขึ้นมาพดถึง และวิธีการหนึ่งที่จะโจมตีประเพณีการละเว้นโทษคือ การรณรงค์เขียนจดหมายถึงสถานทูตสหรัฐว่า We Count TOO เพราะรัฐบาลสหรัฐไม่สามารถสนับสนุนผู้ชุมนุมที่จัตุรัสทาฮีร์ แต่ยังคงสนับสนุนรัฐบาลทหารฆาตกรในไทยได้ //robertamsterdam.com/thai/?p=703 //www.internetfreedom.us/thread-13211.html |
50youngnum
Rss Feed Smember ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?] Friends Blog |