สารบัญ บล็อค ธรรมภูต ภูตแห่งธรรม
ธรรมภูต ภูตแห่งธรรม นำพามา ซึ่งพระธรรม
น้อมนำไป ปฏิบัติได้ เพื่อรู้เห็น ตามเป็นจริง




ธรรมภูต ๒๕๖๐
วันมาฆะบูชามาละชั่วที่ทำได้ยากยิ่งกว่าการทำความดีในจิตของตน
"สมถะ" และ "วิปัสสนา" เป็นองค์ธรรมที่ต้องคู่กัน
"สัมมาสมาธิฌาน" เป็นทางเดินของจิตไปสู่ความเป็น "อริยะ"
การเจริญ กระทำให้มากซึ่งฌาน ๔ ในสัมมาสมาธิ ย่อมเข้าใกล้พระนิพพาน
พระพุทธองค์ทั้งเป็นผู้เพ่งฌานและเป็นผู้มีฌานเป็นปรกติ
พวกเธอจงเพียรเพ่งฌาน
ผู้เข้าถึงฌาน มีจิตเป็นสมาธิ มีปัญญา มีสติ
สมาธิเป็นเหตุให้เกิดปัญญา
จิตไม่เกิดดับ อารมณ์สิเกิด-ดับ
ผู้มีฌานเป็นปรกติ ย่อมมีจิตสงบตั่งมั่นไม่หวั่นไหว
ปัญญาที่แฝงด้วยสัญญา
พุทโธ พุทธานุสติ เพื่อความหลุดพ้น
ผู้ที่อบรมจิตจนสงบตั้งมั่นไม่หวั่นไหว จึงจักพ้นจากทุกข์ได้
ต้อง สมถะและวิปัสสนา ไม่ใช่ สมถะหรือวิปัสสนา
สติ สมาธิ ปัญญา เป็นธรรมที่ต้องอาศัยซึ่งกันและกันให้เกิดสืบเนื่องกัน
ปัจฉิมโอวาท


ธรรมภูต ๒๕๕๙
สติ สมาธิ ปัญญา เป็นอัญญะมัญญะปัจจัย
คำว่า วิปัสสนานุบาล ไม่เคยมีปรากฎเป็นพุทธบัญญัติ
รู้กาย รู้ใจ ใครๆ ก็รู้ได้
พระสัทธรรมกำลังเลือนหายไป
สติสัมปชัญญะเป็นสันตติธรรมนำไปสู่ปัญญา
สักแต่ว่า ฟังดูดี แต่ไม่ง่ายอย่างที่คิด
"ทิฏฐิ" ที่เป็น "สัมมา" ไม่ใช่ได้มาด้วยความรู้สึกนึกคิด
ศีลรักษาเราหรือเรารักษาศีล
ธรรมทั้งหลายล้วนรวมลงที่จิต
กรรมฐานในอริยมรรค ไม่ใช่หินทับหญ้า
วิสาขบูชาพาหลุดพ้น
การฟังธรรมแล้วบรรลุธรรมโดยฉับพลัน จริงหรือ???
จิต คือ ตน
ดูกายดูใจแบบไหนที่ถือว่า "ผิด"
สัมมาทิฏฐิ มีเฉพาะในพระพุทธศาสนาเท่านั้น


ธรรมภูต ๒๕๕๘
สติ-สัมปชัญญะ เป็นธรรมที่มีอุปการะมาก หาใช่เจตสิกธรรมไม่
"สัมมาวิปัสสนา" ไม่มีปรากฎในอริยมรรค ๘
เธอทั้งหลายจงเพ่งฌาน อย่าได้ประมาท
ความเพียรมีผล ความพยายามมีผล
การชำระจิตของตนให้ผ่องใส นี้คือคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย
พระนิพพานเป็นธรรม ณ ภายใน
ความแตกต่างของสัมมาสมาธิกับฌานสมาบัติ ๘
ความสำคัญของวันวิสาขบูชา


youtube สนทนาธรรมกับธรรมภูต
ธรรมภูต บรรยายธรรมครั้งแรก ณ ศูนย์พุทธศรัทธา
สัมมาสติต้องเจริญให้เกิดขึ้น เกิดขึ้นเองไม่ได้
จงยังสมาธิให้เกิดขึ้นเถิด
เธอทั้งหลายจงเพ่งฌาน อย่าได้ประมาท
การชำระจิตให้ผ่องใส นี้คือคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย
สัมมาสมาธิกับฌานสมาบัติ ๘
ความเพียรมีผล ความพยายามมีผล
คำว่า วิปัสสนานุบาล ไม่เคยมีปรากฎเป็นพุทธบัญญัติ
กรรมฐานในอริยมรรค ๘ ไม่ใช่หินทับหญ้า
พระนิพพานเป็นธรรม ณ ภายใน



พระบาลี-พุทธพจน์
ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา
ความเวียนว่ายของเรา เข้าไปในชาติน้อยใหญ่อันยาวนานนับไม่ถ้วน เพราะไม่เห็นอริยสัจ ๔ ตามความเป็นจริง
จงยังสมาธิให้เกิดขึ้นเถิด ผู้ที่มีจิตตั้งมั่นแล้ว ย่อมรู้เห็นตามความเป็นจริง
จิตประภัสสรผ่องใส แต่เศร้าหมองไปเพราะมีอุปกิเลสเป็นแขกจร
เอกจรํ จิตดวงเดียวเที่ยวไป
เราไม่พัก ไม่เพียร ข้ามโอฆะได้แล้วอย่างนี้แลฯ


พระพุทธพจน์กิเลสอ้าง
พระพุทธพจน์กิเลสอ้าง [1]


ศีล สมาธิ ปัญญา
ศีล ธรรมที่งามในเบื้องต้น


จากใจธรรมภูต
บล็อกนี้ไม่ได้ตั้งขึ้นมา เพื่อโต้แย้งพระเพียงองค์เดียว


ธรรมภูตไขปัญหาธรรม
พระพุทธศาสนาสอนเรื่องจิตกับอารมณ์เท่านั้น
การรู้จักจิตผิดๆ ทำให้การศึกษาพระพุทธศาสนาผิดตลอดแนว
กรรมฐาน คือ ฐานที่ตั้งแห่งการงานทางจิต
การภาวนาแบบสุกขวิปัสสโก คือทำฌานให้แห้งแล้ง หรือ?
ฟังธรรมแล้วบรรลุธรรมเลยได้มั๊ย ?
เมื่อจิตยังไม่เคยสงบตั้งมั่น จะใช้เจริญสติได้มั้ย ?


ธรรมภูตไขข้อธรรม
จิตเป็นต้นนั้น ล้วนเป็นจิตสังขารทั้งสิ้น
สัพเพ ธัมมา อนิจจา ทุกขา อนัตตา ถูกต้องจริงล่ะหรือ ???
สังขตธรรม-อสังขตธรรม เป็นอนัตตาจริงล่ะหรือ ?


ธรรมภูตตอบปัญหาดูจิต
ดูจิตติดที่รู้เฉยๆ เพราะคิดเองเออเอง เป็นวิปัสสนาจอมปลอม
การดูจิต จะรู้ได้ยังไงว่า กำลังดูจิต เพื่อให้รู้จักจิตหรือกำลังติดอาการของจิต
การดูกาย ก็คือ การดูจิตดีๆนี่เอง
ดูจิตยังไง ถึงจะไม่ติดอาการของจิต?
จิตเห็นจิต ในจิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน


ดูจิตแบบธรรมภูต
ดูจิตด้วยฌานในสัมมาสมาธิ ไม่ติดในฌานสมาบัติ ๘
การดูจิตต้องผ่านธรรมข้อหนึ่งคือกายคตาสติมาได้ก่อน จึงจะรู้จักจิตที่แท้จริง
การดูจิตในสัมมาสมาธิ(อธิจิตสิกขา)นั้น ต้องเพียรเพ่งพิจารณาจิตอย่างต่อเนื่อง
การดูจิตโดยปฏิบัติสัมมาสมาธิ ย่อมไม่คิดไปเองว่าจิตเป็นอนัตตา
การดูจิตให้รู้เห็นตามความเป็นจริงนั้น เป็นอย่างไร?
การดูจิตที่ทำให้เกิดสัมมาสติได้นั้น ต้องกระทำหรือเจริญให้เกิดขึ้น ไม่ใช่เกิดขึ้นเอง


ดูจิตด้วยศีล สติ สมาธิ ปัญญา
สติเป็นมรรค ทางเดินของจิต เป็นธรรมที่มีอุปการะมาก ไม่ใช่เจตสิก
อริยมรรค ๘ ทางเดินของ"จิต" สู่ความเป็นอริยะ(อมตธรรม)
เมื่อเข้าถึงจิตที่แท้จริง ย่อมรู้จักสติ สมาธิ ปัญญาได้ถูกต้องตามไปด้วย
สติ สมาธิ ปัญญาเป็นอริยมรรค ฝ่ายโลกุตตรธรรม
อันนักบวช ไม่มีศีล ก็สิ้นดี
ดูจิตให้ดูความพอดีเพื่อปรารภความเพียรละกิเลส (มัชฌิมาปฏิปทา)
ดูจิตให้รู้จักจิตด้วย "สัมมาทิฐิ"
ดูจิตต้องรู้จักจิตด้วยศีล สมาธิ ปัญญา


ดูจิตแบบครูบาอาจารย์แต่เก่าก่อน
ดูจิตตามแบบฉบับครูบาอาจารย์แต่เก่าก่อน ๑ (หลวงปู่ดูลย์)
ดูจิตตามแบบฉบับครูบาอาจารย์แต่เก่าก่อน ๒ (หลวงปู่ขาว)
ดูจิตตามแบบฉบับครูบาอาจารย์แต่เก่าก่อน ๓ (หลวงปู่สิม)
ดูจิตตามแบบฉบับครูบาอาจารย์แต่เก่าก่อน ๔ (หลวงปู่ฝั้น อาจาโร)


ดูจิตแบบรู้ผิดจากความเป็นจริง
ดูจิตโดยไม่รู้จักจิตที่แท้จริง ย่อมเข้าใจผิดคิดว่าจิตเป็นเหมือนปูเสฉวน
ดูจิตโดยไม่ผ่านสติสมาธิ ย่อมไม่เกิดปัญญารู้เห็นตามความเป็นจริง
การดูจิต ที่รู้เห็นผิดจากความเป็นจริงไป เพราะรู้จักจิตผิดๆ


ดูจิตแบบรู้ถูกตามความเป็นจริง
ดูจิตให้เข้าถึงจิตตามพระโอวาทปาฏิโมกข์
การดูจิตตามแบบอริยมรรคมีองค์๘นั้น แตกต่างกับการดูจิตที่ปล่อยไปตามยถากรรม
ดูจิตแบบอบรมบังคับบัญชาได้ แบบพ่อแม่ครูบาอาจารย์สายปฏิบัติ
ทำไมต้องดูจิต การดูจิตนั้นสำคัญไฉน???
ดูจิตแบบ สมาธินำปัญญา หรือปัญญานำสมาธิ


ดูจิตติดเฉยโง่
ดูจิตติดเฉยโง่ อัญญาณุเบกขา


ดูจิตติดวิญญาณขันธ์
ดูจิตติดวิญญาณขันธ์ เพราะเข้าใจผิดว่าจิตคือวิญญาณ
รู้หยุดอยู่ที่รู้ คือรู้หยุดอยู่ที่จิตตั้งมั่นชอบ ไม่ใช่รู้หยุดอยู่ที่วิญญาณขันธ์รู้
พวกดื้อรั้นจะให้จิตเป็นวิญญาณขันธ์ให้ได้



ดูจิตติดอาการของจิต
ดูจิตต้องเข้าให้ถึงอธิจิต ไม่ใช่ดูจิตติดกับดักอาการของจิต
การดูจิตโดยขาดพื้นฐานที่ถูกต้อง(ปัจจุบันธรรม) ก็คือ การตามดูอาการของจิตดีๆนี่เอง
ดูจิตที่รู้เห็นผิดจากความเป็นจริง เพราะดูแต่จิตสังขาร


ดูจิตติดกองทุกข์
ดูจิตกันยังไง จึงเห็นว่าจิตเป็นกองทุกข์ไปได้
ดูจิตที่รู้ผิดจากความเป็นจริง ย่อมเห็นจิตเป็นกองทุกข์


ดูจิตติดถิรสัญญา
การดูจิตติดถิรสัญญา แต่หลงเข้าใจไปว่า ทำให้เกิดปัญญาได้
ดูจิตให้ดูที่สมถะและวิปัสสนาเป็นเบื้องต้น


ดูจิตผิดๆเห็นจิตเกิดดับ
ดูจิตติดเกิด-ดับ จนพลาดจากความเป็นจริง
จิตไม่เกิดดับ เพราะจิตไม่ใช่ขันธ์ ๕ จิตจึงไม่ใช่กองทุกข์
ดูจิตกันยังไง? เห็นไปได้ว่าจิตเกิดดับ
การสอนดูจิตที่เข้าใจผิดไปจากความเป็นจริงว่าจิตเกิดดับ
เมื่อจิตเกิด-ดับ การดูจิตจะเป็นไปตามความเป็นจริงได้อย่างไร???


จิตคือหัวใจพระพุทธศาสนา
มาค้นหาเพื่อให้บรรลุถึงมรรคผลนิพพาน ให้ถูกที่ถูกทางกันเถอะ
มาค้นหาเพื่อให้บรรลุถึงมรรคผลนิพพาน ให้ถูกที่ถูกทางกันเถอะ (ต่อ)
มาค้นหาเพื่อให้บรรลุถึงมรรคผลนิพพาน ให้ถูกที่ถูกทางกันเถอะ (จบ)
จิตเป็นธรรมชาติที่มีอยู่ก่อนแล้ว
เมื่อไม่รู้จักจิตที่แท้จริง ย่อมเข้าไม่ถึงหัวใจพระพุทธศาสนา


จิตคือพุทธะ
จิตคือพุทธะ ฉบับแพร่หลายทุกวันนี้ ไม่ใช่คำสอนของหลวงปู่ดูลย์ทั้งหมด


เปรียบดูจิตกับท่านสัญชัย

การสอนดูจิตในปัจจุบัน เลวร้ายยิ่งกว่าท่านสัญชัยปริพาชกเสียอีก
การสอนดูจิตตอนนี้ ไม่ต่างไปจากท่านสัญชัยปริพาชกในครั้งพุทธกาล


ดำเนินตามรอยพระบาท

การทำจิตให้ผ่องแผ้วในหัวใจพระพุทธศาสนานั้น คือองค์แห่งสมาธิในอริยมรรค ๘ นั่นเอง
เดินตามรอยพระบาท (โอวาท) ในวันวิสาขบูชา
พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ จะยังคงอยู่กับเราตลอดไป ตราบเท่าที่ยังมีการปฏิบัติสมาธิกรรมฐานภาวนา
มาสร้างสติให้เกิดขึ้น เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลในวันแม่กันเถิด
ความสำคัญของหัวใจพระพุทธศาสนา
เดินตามรอยพระบาทสู่ความเป็นอริยะ


ธรรมะสู่การปฏิบัติ
ธรรมะสู่การปฏิบัติ ๙ มิถุนายน ๒๕๕๔
ธรรมะสู่การปฏิบัติ ๑๐ มิถุนายน ๒๕๕๔
ธรรมะสู่การปฏิบัติ ๑๑ มิถุนายน ๒๕๕๔




Create Date : 21 ธันวาคม 2552
Last Update : 28 พฤษภาคม 2560 13:32:11 น.
Counter : 3237 Pageviews.

33 comments
  
ทำแล้ว เห็นภาพชัดเจนดีครับ
โดย: นมสิการ วันที่: 21 ธันวาคม 2552 เวลา:19:00:47 น.
  
ท่านนมสิการครับ

ผมแวะไปอ่านที่บล็อคของท่านมาเหมือนกันครับ
แต่ท่านไม่มีให้เม้นท์ !!!

อนุโมทนาครับที่ช่วยกันเผยแพร่พระพุทธศาสนา

เจริญในธรรม
ธรรมภูต
โดย: ในความฝันของใครสักคน วันที่: 21 ธันวาคม 2552 เวลา:19:47:23 น.
  
ปีใหม่มีโปรแกรมไปเที่ยวไหนเปล่าคะ
ขอให้มีความสุขนะคะ
ขอให้มีโชคหมดทุกข์โศกโรคภัย
พ้นเคราะห์ที่เลวร้าย พันภัยด้วยเทอญ

โดย: chabori วันที่: 21 ธันวาคม 2552 เวลา:21:31:25 น.
  
สวัสดีค่ะ

มาทักทายค่ะ
ยังไม่ได้อัพบล๊อกนะคะ พอดีเพิ่งหายป่วยน่ะค่ะ
ดูอ่านง่ายดีจัง ต้องเรียกว่า บล๊อกดูจิต ได้รึเปล่าคะเนี่ย

โดย: พ่อระนาด วันที่: 22 ธันวาคม 2552 เวลา:21:03:39 น.
  
สวัสดีปีใหม่ครับพี่
โดย: rxkku IP: 58.9.71.82 วันที่: 4 มกราคม 2553 เวลา:9:45:06 น.
  
เรียน คุณธรรมภูต

ไม่ทราบได้เห็นรึยัง
เมื่อวาน ๑๗/๑/๒๕๕๓ บล็อกคุณธรรมภูตมีสหธรรมิกโคจรมาเยี่ยมเยียนเยอะมาก



สงสัยจะเป็นผลพวงจากกระทู้ที่บอร์ดพลังจิตและพันทิพ

"พระป่าหรือพระโกหก" เทศน์โดย หลวงพ่อสงบ วันที่๓๑ธ.ค.๕๒

ประกาศมูลนิธิบ้านอารีย์
โดย: สมาชิกผู้ทรงเกียรติ วันที่: 18 มกราคม 2553 เวลา:8:47:08 น.
  
สวัสดีค่ะ

มาแจ้งข่าวว่า อัพตอนต่อไป ของวิมุตติรัตนมาลี แล้วค่ะ
ถ้าว่างก็เชิญนะคะ
โดย: พ่อระนาด วันที่: 21 มกราคม 2553 เวลา:21:52:34 น.
  
สวัสดีวันพระค่ะ

มาแจ้งข่าวว่า อัพตอนต่อไปแล้ว ชื่อตอน อติทุกขกุมารี ค่ะ

ขอให้มีความสุข สดชื่น ทั้งกาย และใจ นะคะ
โดย: พ่อระนาด วันที่: 23 มกราคม 2553 เวลา:10:25:10 น.
  
ประกาศสวนสันติธรรม โกหกล้วน

ดูหลักฐาน พระปราโมทย์ อวดอุตริ ได้ที่

//www.antiwimutti.net/Antiwimutti/peidpong_phra_pramothy_pramoch_cho_xwd_xutri1.html

ดูหลักฐาน พระปราโมทย์ พยากรณ์ ได้ที่

//www.antiwimutti.net/Antiwimutti/peidpong_phra_pramothy_pramoch_cho_phyakrn_1.html



เปิดโปง พระ ปราโมทย์ ปราโมชฺโช อวดอุตริ พยากรณ์ ใส่ร้าย คุณไสย แอบอ้างหลวงพ่อมนตรี อีกทั้ง เปิดโปงดังตฤณ พระปราโมทย์ ดังตฤณพยากรณ์ด้วย ไม่ใช่ต้วเองพยากรณ์คนเดียว

ดูความจริงได้ที่ //www.antiwimutti.net
โดย: ตำรวจ IP: 64.62.196.24 วันที่: 12 มีนาคม 2553 เวลา:20:02:25 น.
  
ผมเป็นคนธรรมดาไม่ได้เป็นพระ
ไม่มีความรู้ทางธรรมหรือแตกฉานพระไตรปิฎกมากมายแต่อาศัยวิ่งตามดูเงาอย่างที่คุณบอกด้วยใจธรรมดาไม่คิดเบียดเบียนใครให้เกิดภพและกรรม
แต่ครั้งนี้ก็อดไม่ได้ที่จะเสียเวลาขอสอบถามคนที่มีภูมิธรรมอย่างคุณว่า
สิ่งที่คุณทำอยู่คือผลของคนเห็นจิตแท้จริงหรือครับ
คุณเข้าใจสัจธรรมของความทุกข์ดีแค่ไหน
คุณใช้หลักอะไรในการตัดสินลพ.ปราโมทย์
พระอื่นๆที่เสกของ กุมารทอง ฯลฯทำให้คนงมงายทำไมไปโจมตีละครับ
คุณมีภูมิธรรมแค่ไหน ในการตัดสินธรรมมะว่าถูกหรือผิด
คุณมีหลักฐานว่าคุณมีภูมิธรรมอย่างไร
พุทโธ...เป็นสิงสมมติ(วิหารธรรม)หรือเป็นความจริง /ทุกคนมีจริตเหมือนกันหรือ ฉะนั้นกฎเหล็กคือ
คุณรู้หรือไม่จะเร็วจะช้าทุกคนก็เข้าถึง วิมุตติเช่นกัน
ทางเดินนี้มันเดินได้คนเดียว...รู้ได้เฉพาะตน คุณจะตะโกนบอกแค่ไหน ถ้าไม่ถึงธรรมก็ไม่มีใครเข้าใจ
รังแต่จะเสียป่าว เอาเวลาไปดูตัวจิตอย่างที่คุณบอกดีกว่าหรือลองมาดูเงาจิตอย่างผมก่อน
ก็ได้ครับเพื่อจะลดโอกาสสร้างกรรมหยาบๆได้บ้าง
อยากถามคุณผู้ตั้งเวบไซต์นี้ช่วยตอบคำถามด้วย...สิ่งที่คุณทำอยู่คือ สัมมาทิฐิหรือไม่ครับ
ผลของการทำให้หมู่สงฆ์แตกแยกคืออะไรครับ มันคุ้มกับสิ่งที่คุณทำหรือไม่ครับในเมือคุณยังไม่ถึงธรรมที่แท้จริงเช่นกัน

ปล่อยวางบ้าง...และมองแต่ส่วนดีๆเถิด
อย่าถลำสร้างกรรมหนักเพราะเราและท่านต่างก็ติดอยู่เช่นกัน...เพราะผู้ที่หลุดพ้นย่อมรู้ว่าหลุดพ้นแล้ว...(ไม่มาทำอย่างนี้หรอกครับ)สาธุๆ
โดย: ธุลีที่ธรรมดา IP: 222.123.0.212 วันที่: 3 เมษายน 2553 เวลา:16:31:15 น.
  
หนูเล็กนิดเดียวเป็นคนรู้น้อยถ้อยศึกษา จึงพอมีความรู้ทางธรรมตามอัตภาพ
และศึกษาพระไตรปิฎกบ้างพอสมควร เพื่อเทียบเคียงกับผลของการปฏิบัติ

ไม่เคยคิดจะเบียดเบียนใครให้เกิดภพและกรรม
เห็นคุณถามคุณธรรมภูต ก็เลยขอร่วมแสดง คคห ด้วยว่า

อ่านกันให้ดี อ่านบล็อกคุณธรรมภูตด้วยใจเป็นธรรมกันหน่อย
เค้ายกเนื้อธรรมขึ้นมากล่าวเทียบเคียงกับพระสูตรของพระบรมศาสดา
และคำสอนของครูบาอาจารย์สายปฏิบัติแต่เก่าก่อน

เค้าไม่เคยยกจริยาของท่านมากล่าวหาให้ร้ายแม้สักนิด
เค้าเคยยกมามั๊ยว่า
ท่าน...ไม่บิณฑบาต
ท่าน...ไม่โปร่งใสในเรื่องการเงิน
ท่าน...มีปัญหาเรื่องสีกา เอาภริยามาอยู่ในวัดด้วย...ฯลฯ...
นอกเสียจากว่า ท่าน...จะได้แสดงจริยาบางอย่างให้คนในสังคมรับรู้
ซึ่งนั่นก็เป็นเรื่องของท่าน ไม่เกี่ยวกับเนื้อธรรม

และคุณธรรมภูตก็มีแสดงไว้อย่างชัดเจนแล้วใน
บล็อกนี้ไม่ได้ตั้งขึ้นมาเพื่อโต้แย้งพระเพียงองค์เดียว
คลิกเข้าไปลองอ่านกันดู เค้าเขียนอรรถาธิบายเอาไว้แล้วว่า
วัตถุประสงค์ที่แท้จริงนั้น ต้องการสื่อเรื่องคำสอนและการปฏิบัติ เพื่อให้เข้าถึงธรรมที่ถูกที่ควร

แน่นอนการสอนให้คนเข้าถึงธรรมที่ถูกที่ควร ย่อมเป็นสัมมาทิฐิ
เพราะผู้สอนเน้นให้มีการปฏิบัติสัมมาสมาธิ ตามหลักอริยมรรคมีองค์ ๘
เป็นการดำเนินตามรอยบาทของพระบรมศาสดา

เมื่อปฏิบัติตามเสด็จ จนจิตตั้งมั่นชอบ เป็นสมาธิแล้ว
ย่อมเกิดสัมมาทิฐิขึ้นที่จิต จิตรู้อริยสัจ ๔ ตามความเป็นจริง ดังนี้คือ

จิตรู้ว่า การที่ตนแส่ส่ายออกไปหาอารมณ์และปรุงแต่งไปตามอารมณ์ ทำให้เกิดทุกข์ขึ้น(ทุกข์)

จิตรู้ว่า เมื่อตนแส่ส่ายออกไปหาอารมณ์แล้ว ที่จะไม่เกิดทุกข์ขึ้นเป็นไม่มี (สมุทัย-เหตุแห่งทุกข์)

จิตรู้ว่า ถ้าตนสามารถปล่อยวางการยึดถืออารมณ์และไม่ปรุงแต่งไปตามอารมณ์แล้ว ทุกข์จะดับ (นิโรธ)

จิตรู้ว่า การปฏิบัติสัมมาสมาธิ (ควบคู่กับสัมมาสติ สัมมาวายามะ)ตามหลักอริยมรรค ๘
เป็นวิถีทางที่ทำให้ตนสามารถปล่อยวางอารมณ์และไม่ปรุงแต่งไปตามอารมณ์
จิตสามารถแยกตัวออกจากอารมณ์ได้ จิตก็อยู่ส่วนจิต อารมณ์ก็อยู่ส่วนอารมณ์ (มรรค)


นั่นคือ จิตรู้ว่า ตน(จิต)ไม่ใช่ตัวทุกข์ ตน(จิต)ไม่ใช่กองทุกข์
ที่ทุกข์เพราะตนไปยึดอารมณ์และปรุงแต่งไปตามอารมณ์ ทำให้เกิดทุกข์ขึ้น

คนที่สอนให้ปฏิบัติตามเสด็จ ให้รู้จักจิตที่แท้จริง ย่อมเป็นสัมมาทิฐิ แน่นอน
ในทางตรงกันข้าม คนที่สอนว่า จิตเป็นกองทุกข์ ย่อมขัดแย้งกับพระบรมศาสดา จะเป็นสัมมาทิฐิได้อย่างไร

และการสอนให้ปฏิบัติสัมมาสมาธิตามเสด็จ
ให้เทียบเคียงคำสอนกับพระพุทธพจน์ กับพ่อแม่ครูบาอาจารย์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบแต่เก่าก่อน
ย่อมไม่ได้เป็นการทำให้หมู่สงฆ์แตกแยกแต่ประการใด

หมู่สงฆ์จะแตกแยก เหตุน่าจะเป็น เพราะ
ไม่ได้ปฏิบัติสัมมาสมาธิ ตามพระบรมศาสดา
ไม่เคารพในพระพุทธองค์ (เพราะสอนว่าพบพระพุทธเจ้าให้ฆ่าเสีย)
ไม่เคารพใพระธรรม (เพราะสอนว่าไม่ให้อ่านพระสูตร)
ไม่เคารพในพระสงฆ์ (เพราะยกตนเทียบเท่าพ่อแม่ครูบาอาจารย์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบแต่เก่าก่อน
และกล่าวหาว่าพ่อแม่ครูบาอาจารย์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบแต่เก่าก่อน กล่าวธรรมคลาดเคลื่อน)

พิจารณากันตามอัธยาศัย


โดย: หนูเล็กนิดเดียว วันที่: 4 เมษายน 2553 เวลา:9:28:11 น.
  
ขอบพระคุณ...คุณหนูเล็กนิดเดียว

ที่กรุณาให้คำตอบ...ผมขอน้อมรับไว้พิจารณา

........................................................

เจริญในธรรมเช่นกันครับ

โดย: ธุลีที่ธรรมดา IP: 112.142.139.31 วันที่: 4 เมษายน 2553 เวลา:16:02:22 น.
  
สาธุ ขออนุโมทนา คุณธุลีที่ธรรมดา

ในระหว่างที่คุณธรรมภูตยังไม่มา
ขออนุญาตแสดง คคห ตามภาษา หนูเล็กนิดเดียว คนรู้น้อยถ้อยศึกษา
ในประเด็นที่คุณว่า

พุทโธ...เป็นสิงสมมติ(วิหารธรรม)หรือเป็นความจริง /
ทุกคนมีจริตเหมือนกันหรือ
ฉะนั้นกฎเหล็กคือคุณรู้หรือไม่จะเร็วจะช้าทุกคนก็เข้าถึง วิมุตติเช่นกัน
ทางเดินนี้มันเดินได้คนเดียว...รู้ได้เฉพาะตน
คุณจะตะโกนบอกแค่ไหน ถ้าไม่ถึงธรรมก็ไม่มีใครเข้าใจ


พุทโธ คือ พุทธะ คือ จิตที่บริสุทธิ์ปราศจากกิเลสอย่างสิ้นเชิง
เป็นวิมุตติธรรม หรือ วิมุตติจิต
ต้องระดับพระอรหันต์เท่านั้น จิตจึงจะเป็นวิสังขาร (ปราศจากการปรุงแต่งอย่างสิ้นเชิง)

ทุกคนมีจริตไม่เหมือนกันก็จริงอยู่
แต่หลักใหญ่ใจความคือ ทุกคนมีทั้งตัณหาจริต และทิฐิจริต

ตัณหาจริต คือ ตัณหา ๓
ความทะยานอยากของจิตในการที่ชอบแส่ส่ายออกไปหาอารมณ์
แบ่งเป็น กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา

ทิฐิจริต คือ การที่จิตไม่รู้จักอริยสัจ ๔ ตามความเป็นจริง
จิตหลงผิด หลงยึดอารมณ์และปรุงแต่งไปตามอารมณ์

พระพุทธองค์จึงทรงสอนให้ปฏิบัติอริยมรรคมีองค์ ๘ (หรือสติปัฏฐาน ๔)

ซึ่งทรงตรัสไว้ในมรรควรรค ในพระธรรมบทว่า
ทางนี้ทางเดียวเท่านั้น ที่จะทำความเห็นให้บริสุทธิ์
ทางอื่นนอกจากนี้ไม่มีอีกแล้ว
ท่านทั้งหลายจงดำเนินไปตามทางนี้เถิด
เป็นทางที่มารและเสนามารหลง (คือ กิเลสใหญ่น้อยเข้าสู่จิตไม่ได้)


และมีตรัสไว้ใน มหาสติปัฏฐานสูตรว่า
ทางนี้คือทางเดินอันเอก
ที่เป็นไปเพื่อความหมดจดวิเศษของสัตว์ทั้งหลาย
เพื่อความก้าวล่วงซึ่งความโศกและความร่ำไร
เพื่ออัสดงค์ดับไปแห่งทุกข์และโทมนัส
เพื่อบรรลุญายธรรม
เพื่อกระทำพระนิพพานให้แจ้ง
ทางนี้คือ สติปัฏฐาน ๔


ซึ่งการปฏิบัติอริยมรรค ๘ หรือ สติปัฏฐาน ๔ นั้นเหมือนกัน
(แล้วแต่จะทรงเรียกขาน ในการแสดงในแต่ละชุมชน)
เริ่มต้นอย่างเดียวกัน คือ การปฏิบัติสมาธิกรรมฐานภาวนา
องค์ของสมาธิคือ สัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ ทำงานควบคู่ร่วมกันไป
จนจิตตั้งมั่นชอบเป็นสมาธิ
เมื่อจิตตั้งมั่นชอบแล้ว ย่อมรู้เห็นตามความเป็นจริง

ดังมีพระพุทธพจน์รับรองว่า
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จงยังสมาธิให้เกิดขึ้นเถิด
ผู้มีจิตตั้งมั่นแล้ว ย่อมรู้เห็นตามความเป็นจริง ดังนี้


ซึ่งแสดงชัดเจนว่า การปฏิบัติสมาธิ (สัมมาสมาธิ) ตามเสด็จ
ทำให้จิตรู้เห็นตามความเป็นจริง ก็คือ จิตรู้จักอริยสัจ ๔ ตามความเป็นจริง(ปลดเปลื้องทิฐิจริต)

จิตรู้ว่าการที่ตนแส่ส่ายออกไปหาอารมณ์
และปรุงแต่งไปตามอารมณ์ทำให้ทุกข์เกิดขึ้นทุกครั้งไป
ที่จะไม่ทุกข์เป็นไม่มี นั่นคือ ตัณหา ๓ เป็นเหตุแห่งทุกข์
เมื่อจิตตั้งมั่นเป็นสมาธิ ไม่ปรุงไปตามอารมณ์ ทำให้ทุกข์ดับ (ปลดเปลื้องตัณหา ๓ ได้)

ดังนั้นจึงขอบอกย้ำอีกครั้งว่า ตัณหาจริตและทิฐิจริต มีอยู่ในจิตทุกๆคน
และจะปลดเปลื้องออกจากจิตได้ ก็ต่อเมื่อปฏิบัติอริยมรรค ๘ หรือสติปัฏฐาน ๔ ตามเสด็จเท่านั้น
จึงจะเข้าถึงวิมุตติ จิตเป็นพุทโธ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานอย่างแท้จริง

ไม่ใช่ว่าทุกคนก็เข้าถึงวิมุตติได้
ผู้ไม่ปฏิบัติตามเสด็จ ไม่มีทางเข้าถึงวิมุตติได้แน่นอน แม้คนศาสนาอื่นก็เช่นกัน
เพราะมีทรงตรัสไว้ว่า

ในธรรมวินัยใด(ศาสนาใดๆ) ไม่มีอริยมรรคมีองค์ ๘
ในธรรมวินัยนั้น ย่อมไม่มีสมณะที่ ๑,๒,๓,๔

จำเพาะในธรรมวินัยนี้(ศาสนาพุทธ)เท่านั้น ที่มีสมณะที่ ๑,๒,๓,๔
ลัทธิอื่น(ศาสนาอื่น) ว่างจากสมณะผู้รู้ทั่วถึง

ถ้ายังมีการปฏิบัติอริยมรรค ๘ อยู่ โลกจะไม่พึงว่างจากพระอรหันต์


ซึ่งชัดเจนว่า ถ้าไม่ปฏิบัติอริยมรรค ๘ ตามเสด็จ ย่อมไม่มีทางเข้าถึงวิมุตติแน่นอน

ขอให้เจริญในธรรมยิ่งๆขึ้น

โดย: หนูเล็กนิดเดียว วันที่: 5 เมษายน 2553 เวลา:7:07:40 น.
  
อย่างแรกต้องขอบคุณเหมือนเช่นเคยครับ...นำความรู้ที่เป็นบัญญัติ...มาอธิบายเพิ่มครับ

ผมอาศัยวิธีการเข้าใจธรรมะ...อย่างธรรมดา...มิได้ต้องการสิ่งใดเกินกว่าคำว่าธรรมดา...

ไม่สามารถอธิบาย...ได้อย่างคนที่ศึกษาตามบัญญัติจึงหยิบยกไม่ชัดเจน...ให้เกินกว่าความธรรมดาได้

จะช้าจะเร็ว...เมื่อธรรมสมควรแก่เหตุ...ย่อมเข้าสู่วิมุตติที่อยู่ตรงหน้า...เป็นธรรมดา

เพราะ จะช้าจะเร็วเมื่อ ทำเหตุมาดีย่อม...พบทางเอก...ของพระสัมมาฯ...ยังผลให้เข้าวิมุตติเป็นธรรมดา

""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""
เพราะภาระ....โลกกาย...กับ...โลกใจ...ก็เยอะพอดู

สาธุเจริญในธรรมครับ





โดย: ธุลีที่ธรรมดา IP: 114.128.102.41 วันที่: 6 เมษายน 2553 เวลา:0:12:13 น.
  
อย่างแรกต้องขอบคุณเหมือนเช่นเคยครับ...นำความรู้ที่เป็นบัญญัติ...มาอธิบายเพิ่มครับ
ผมอาศัยวิธีการเข้าใจธรรมะ...อย่างธรรมดา...มิได้ต้องการสิ่งใดเกินกว่าคำว่าธรรมดา...
ไม่สามารถอธิบาย...ได้อย่างคนที่ศึกษาตามบัญญัติจึงหยิบยกไม่ชัดเจน...ให้เกินกว่าความธรรมดาได้
จะช้าจะเร็ว...เมื่อธรรมสมควรแก่เหตุ...ย่อมเข้าสู่วิมุตติที่อยู่ตรงหน้า...เป็นธรรมดา
เพราะ จะช้าจะเร็วเมื่อ ทำเหตุมาดีย่อม...พบทางเอก...ของพระสัมมาฯ...ยังผลให้เข้าวิมุตติเป็นธรรมดา

""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""
เพราะภาระ....โลกกาย...กับ...โลกใจ...ก็เยอะพอดู
สาธุเจริญในธรรมครับ
โดย: ธุลีที่ธรรมดา IP: 114.128.102.41 วันที่: 6 เมษายน 2553 เวลา:0:12:13 น.
.............................
คุณธุลีที่ธรรมดาครับ
คุณกำลังสับสนอะไรอยู่หรือเปล่า?
ที่บอกว่าคุณหนูเล็กฯเอาความรู้ที่เป็นบัญญัติ มาอธิบายเพิ่มนั้น
คุณไม่รู้จริงๆหรือว่า การที่พระพุทธองค์ท่านทรงจะบัญญัติอะไรได้นั้น
เกิดจากการปฏิบัติทางจิตแล้วได้รับผลของการปฏิบัตินั้น จึงบัญญัติขึ้นมาได้ใช่มั้ย?

แต่คุณกลับมองข้ามเป็นเพียงบัญญัติเท่านั้น
อย่าลืมนะว่า ต้องมีผลเกิดขึ้นจริงตามนั้น จึงจะบัญญัติสิ่งต่างๆขึ้นมาได้
คุณกำลังมองข้ามและพยายามยกเรื่องธรรมดามาเพื่อให้คนเข้าใจสับสนเท่านั้น

ผมขอถามว่า ที่บอกว่าเข้าใจธรรม แบบธรรมดานั้น เป็นเช่นใด?
ที่ว่าธรรมดาหนะ อะไรที่ธรรมดา? เพราะธรรมดาเกิดขึ้นเองลอยๆไม่ได้ใช่มั้ย?
และคุณไม่ต้องอ้างว่าจะอธิบายเป็นบัญญัติไม่ได้ ให้อธิบายแบบที่คุณปฏิบัติได้หนะ(เข้าใจ)

อย่าดีแต่พูดเท่านั้น อธิบายด้วยสิว่าธรรมที่สมควรแก่เหตุ ย่อมเข้าสู่วิมุตติที่อยู่ตรงหน้า...เป็นธรรมดา
อะไรหละที่เข้าถึงวิมุตติเป็นธรรมดา? คุณต้องตอบได้สิ เพราะชอบแบบธรรมดา(ไม่เอาแบบพิเศษ)

ใครๆก็พูดได้ทั้งนั้นแหละว่า ธรรมะคือธรรมดา แล้วอะไรหละที่ธรรมดา?
อย่าดีแต่พูดให้ดูเท่ๆไปวันๆเท่านั้น ไม่ช่วยให้ภูมิจิตภูมิธรรมดีขึ้นหรอกนะ

แค่ธรรมแบบธรรมดาคุณยังไม่รู้จักเอาเสียเลย
แต่กล้าบอกว่าไม่เอาธรรมที่เกินธรรมดา
อย่าลืมอธิบายด้วยหละว่า ธรรมอะไรบ้างที่เกินกว่าธรรมดาบ้าง?

คุณแน่ใจนะว่าทำเหตุได้ถูกแล้ว? ถ้าทำเหตุได้ถูกแล้ว
ต้องบอกได้สิว่าทำเหตุที่ถูกได้อย่างไร?

ธรรมภูต
โดย: ในความฝันของใครสักคน วันที่: 7 เมษายน 2553 เวลา:10:42:30 น.
  
ผมเข้าใจแล้วครับ คุณธรรมภูติเป็นอย่างไร
ภาษาที่ใช้แนะนำญาติธรรมเป็นเช่นไร
บ่งบอกว่า...ภูมิเป็นอย่างไร
ผมไม่ได้สับสนเพราะ
ผมก็บอกแล้วว่าผมเป็นคนธรรมดา มิได้แตกฉานอะไรเลยเป็นอยู่และเพียรทำเพื่อธรรม...อย่างธรรมดา...เพื่อธรรมดา...หรือคุณต้องการอะไรมากกว่าธรรมดา

ถ้าจะให้ผมหาบัญญัติธรรมดาในธรรมดา...ผมก็จนปัญญาหรือคนธรรมภูติไม่เข้าใจคำว่าธรรมดา
ส่วน ผลของธรรมดามันก็ไม่มีอะไร
หรือมี...ก็มีคือ....ไม่มีอะไร

หวังว่าคงเข้าใจนะครับ...เนื้อหาข้างนอกยังเข้าใจได้เนื่อหาภายในหวังว่าคงเข้าใจ

ผมคงเข้ามาผิดเว็บไซต์ขอบพระคุณเป็นอย่างสูง...สำหรับเนื้อหาในส่วนดีๆจะเอาไว้ปรับใช้ในเพื่อเจริญสติและยังความเพียรในสัมมาทิฎฐิต่อไป

บัญญัติก็คือบัญัติ...คือภาษาคือสิ่งสมมติ...จะเอาอะไรกับสิงสมมติ...ของจริงคือกายกับใจ...ยังความเพียร ยังความเพียร....

ขอบพระคุณหนูเล็กนิดเดียวอีกครั้งครับ...ที่แนะนำสิ่งดีๆเจริญในธรรม
............................................................
เราหาใช่อื่นไกลก็ญาติธรรมกันทั้งนั้น ศิษย์ตถาคตองค์เดียวกันครับ
โดย: ธุลีที่ธรรมดา IP: 114.128.116.171 วันที่: 7 เมษายน 2553 เวลา:12:01:44 น.
  
ผมเข้าใจแล้วครับ คุณธรรมภูติเป็นอย่างไร
ภาษาที่ใช้แนะนำญาติธรรมเป็นเช่นไร
บ่งบอกว่า...ภูมิเป็นอย่างไร
ผมไม่ได้สับสนเพราะ
ผมก็บอกแล้วว่าผมเป็นคนธรรมดา มิได้แตกฉานอะไรเลยเป็นอยู่และเพียรทำเพื่อธรรม...อย่างธรรมดา...เพื่อธรรมดา...หรือคุณต้องการอะไรมากกว่าธรรมดา

โดย: ธุลีที่ธรรมดา IP: 114.128.116.171 วันที่: 7 เมษายน 2553 เวลา:12:01:44 น.
.............................
คุณธุลีธรรมดาครับ
ในเมื่อคุณเข้าใจแล้วว่าผมเป็นอย่างไร?
ภาษาแนะนำญาติธรรมเป็นเช่นไร?
บ่งบอกว่า...ภูมิธรรมอยางไร?
คุณต้องตอบคำถามที่ผมถามไปสิ ผมจึงจะเชื่อเช่นนั้น

ส่วนเรื่องสับสนนั้น คุณสับสนจริงๆ
ผมก็พูดไปแล้วนิว่า คุณเป็นคนชอบธรรมดาใช่มั้ย? หลักฐานข้างล่าง
คุณต้องตอบได้สิ เพราะชอบแบบธรรมดา(ไม่เอาแบบพิเศษ)
ผิดตรงไหนและจะต้องการอะไรมากกว่าธรรมดาหละ

ผมถามว่าที่อรรถกถาจารย์ว่า
"ธรรมชาติหรือธรรมดาจิต รู้จำ นึกคิดในอารมณ์"ใช่มั้ย?
แล้วจิตที่รู้แล้ว ไม่จดจำ ไม่นึก ไม่คิดมีมั้ย?

ธรรมภูต
โดย: ในความฝันของใครสักคน วันที่: 7 เมษายน 2553 เวลา:20:42:56 น.
  
ถ้าจะให้ผมหาบัญญัติธรรมดาในธรรมดา...ผมก็จนปัญญาหรือคนธรรมภูติไม่เข้าใจคำว่าธรรมดา
ส่วน ผลของธรรมดามันก็ไม่มีอะไร
หรือมี...ก็มีคือ....ไม่มีอะไร
หวังว่าคงเข้าใจนะครับ...เนื้อหาข้างนอกยังเข้าใจได้เนื่อหาภายในหวังว่าคงเข้าใจ
ผมคงเข้ามาผิดเว็บไซต์ขอบพระคุณเป็นอย่างสูง...สำหรับเนื้อหาในส่วนดีๆจะเอาไว้ปรับใช้ในเพื่อเจริญสติและยังความเพียรในสัมมาทิฎฐิต่อไป
บัญญัติก็คือบัญัติ...คือภาษาคือสิ่งสมมติ...จะเอาอะไรกับสิงสมมติ...ของจริงคือกายกับใจ...ยังความเพียร ยังความเพียร....
โดย: ธุลีที่ธรรมดา IP: 114.128.116.171 วันที่: 7 เมษายน 2553 เวลา:12:01:44 น.
.............................
คุณธุลีธรรมดาครับ
คุณสับสนอะไรอยู่หรือเปล่า แม้กายกับใจก็เป็นสมมุติเช่นกันครับ หรือว่าไม่จริง?

คุณต้องรู้ก่อนนะว่า คำว่า"สมมุติ"หรือ"บัญญัติ"นั้น จะนำมาใช้ได้ต้องมีอยู่จริง
สิ่งที่ถูกสมมุติหรือบัญญัตินั้น ต้องมีอยู่จริงจึงสมมุติหรือบัญญัติขึ้นมาใช่มั้ย?
เมื่อของสิ่งนั้นไม่มีอยู่จริงแล้ว เราจะสมมุติหรือบัญญัติขึ้นมาได้หรือ?
ถ้าสิ่งของนั้นไม่มีจริง เราสมมุติหรือบัญญัติขึ้นมา ก็เป็นการโกหกนะสิใช่
มั้ย?

คุณพูดว่า"ผมก็จนปัญญาหรือคนธรรมภูติไม่เข้าใจคำว่าธรรมดา"?
ผมเข้าใจคำว่าธรรมดา แต่ที่ไม่เข้าใจหนะ อะไรหละที่ธรรมดา?
เพราะคำว่าธรรมดาหนะ เป็นคำขยายอะไรสักอย่างว่า"ธรรมดา" ไม่ใช่พิเศษใช่มั้ย?

แล้วคุณจะยังความเพียรไปทำไม นั่นหนะมันเป็นสิ่งไม่ธรรมดานะ เพราะยังต้องเพียรใช่มั้ย?...

ส่วนเรื่องสมมุติหรือบัญญัตินั้น ผมเคยเข้าไปอ่านของคุณหนูเล็กฯ เขียนไว้ดีมากครับ

ธรรมภูต
โดย: ในความฝันของใครสักคน วันที่: 7 เมษายน 2553 เวลา:21:01:37 น.
  
ดูเนื้อหาแล้วอยากจะบอกว่า ถ้าเจ้าของเวปไซด์นี้ไม่ได้ พระโสดาบัน ขึ้นไปแล้วล่ะก็ คงจะไม่มีใครเชื่อแน่นอนครับ

ขออนุโมทนาด้วยครับ คุณธรรมภูตที่ได้บรรลุธรรม(อย่างต่ำ พระโสดาบัน)


โดย: เก่งจริงๆ IP: 114.128.103.252 วันที่: 25 เมษายน 2553 เวลา:16:33:56 น.
  
ถ้าพวกแกไม่ดูจิตสังขาร ไม่ดับจิตสังขาร
แล้วจะเห็นจิตบริสุทธิ์ได้อย่างไร
จิตนิพพานปรากฏตัวตอนหมดกิเลส
ไปดูจิตบริสุทธิ์ เห็นจิตบริสุทธิ์ เป็นอรหันต์กันแล้วซิ
แค่เริ่ม ก็นรกแล้ว
แม้นแต่จิตสติ ก็เป็นจิตสังขาร
นี่ถือว่ามาโปรดก็แล้วกัน
พรืออาจจะไปเยี่ยมพวกแกในนรกอีกที
โดย: โสดาบันของจริง IP: 210.203.179.43 วันที่: 26 เมษายน 2553 เวลา:11:10:19 น.

.............................
คุณโสดาบันของจริงครับ
คุณนี้เหมาะที่จะเป็นโซดาบันของจริงในนรกจริงๆเลยนะ
คุณพูดว่าจิตสติ ก็เป็นจิตสังขารเอาอะไรมาพูด สงสัยจำมาพูดละมากกว่า

คุณลองเอาอวัยวะส่วนไหนก็ได้ลองตรองดูให้ดีสิว่าที่พูดหนะ เป็นไปได้มั้ย?
จิตที่มีสติระลึกรู้อยู่ คือจิตที่กำลังเดินมรรค จะเป็นจิตสังขารไปได้ยังไง?
จิตสังขารนั้น คือจิตที่ถูกอารมณ์(กิเลส)ปรุงแต่งให้จิตเป็นไปกับอารมณ์เหล่านั้นใช่มั้ย?
ก็แสดงว่าขณะนั้นจิตขาดสติ จึงถูกอารมณ์เหล่านั้นปรุงแต่งให้เป็นไปตามอารมณ์ใช่มั้ย?

ผมถามว่า แล้วจิตที่มีสติกำกับอยู่ในขณะนั้น จะปล่อยให้อารมณ์ปรุงแต่งได้หรือ?
ถ้าอารมณ์เข้ามาปรุงแต่งจิตได้ จะเรียกว่าจิตมีสติได้หรือ?

คุณโซดาบันครับ นรกมีจริงนะจะบอกให้ ยังไงก็อย่าลืมโปรดตัวเองก่อนหละ
จำเอาไว้นะ สติเป็นมรรค ไม่ใช่เจตสิก อย่าจำตำรามาพูดเลย...

ธรรมภูต

โดย: ในความฝันของใครสักคน วันที่: 26 เมษายน 2553 เวลา:17:26:50 น.
  
นรกมีจริงแน่ ธรรมภูติ
แล้วพวกแกจะได้ทราบ แน่นอน ไม่บิดเบือน
ไม่ใช่แค่ในความฝัน แต่เป็นความจริง
ส่วนที่พวกแกเอานรกไปข่มขู่คนอื่น ข้อความนั้นจะไปปรากฏให้แกเห็น ว่าได้ล่วงเกินใครไปบ้าง หนีไม่พ้น
โดย: โสดาบันของจริง IP: 210.203.179.199 วันที่: 26 เมษายน 2553 เวลา:19:16:43 น.
.............................
คุณโซดาบันของจริงครับ
คุณจะหัดนิสัยเลวๆ กล่าวร้ายใคร คุณควรเอาหลักฐานมายืนยันให้ชัดเจน
ไม่ใช่คิดจะกล่าวร้ายก็พูดลอยๆพล่อยๆแบบที่กระทำนะ

แล้วคำถามที่ถามคุณไป คุณก็ควรตอบด้วย
ไม่ใช่แถออกนอกเรื่อง เพื่อเบี่ยงเบนประเด็นเท่านั้น

ที่คุณกล่าวร้ายว่าผมเอานรกไปข่มขู่คนอื่น ที่ไหน เอามายืนยันด้วย
ผมไม่เคยข่มขู่ ได้แต่บอกให้รู้ว่านรกหนะมีจริง และเหมาะกับคนบางคนเท่านั้น

ธรรมภูต
โดย: ในความฝันของใครสักคน วันที่: 26 เมษายน 2553 เวลา:20:24:43 น.
  
ที่จริงก็ลองแวะผ่านมาดู แต่พอเห็นหมู่นักปฏิบัติด้วยกัน
กล่าวโจมตีกัน ทะเลาะกัน ตกเป็นทาสของพญามารไป
แบบไม่รู้ตัวแบบนี้ ถามทุกคนนะว่าได้อะไร พระพุทธเจ้า
ไม่ได้ชี้ทางที่จะไปทางต่ำๆแบบนี้ให้หมู่ชาวพุทธเรานะ
มัวแต่ดู "จิต" ก็เลยไม่เห็นกิเลสตัวเอง จิตที่ส่งออกนอก
เป็็นสมุทัยมิใช่หรือ ตอบหน่อยบรรดาพระอริยะทั้งหลาย
โดย: ติดเงา IP: 115.67.246.48 วันที่: 9 มิถุนายน 2553 เวลา:10:17:20 น.
  
เข้ามาให้กำลังใจ ท่านธรรมภูติ กัลยา ณ มิตร อาวุโสของผม ขอให้แข็งแรงมีกำลังจิต สิ่งที่ท่านทำอยู่นี้เป็นกุศลมหาศาล ในการช่วยรักษาพระสาสนาครับ ขอให้เข้มแข็งและมีเกียรติ์ ครับ
โดย: เกิดเป็นคนช่างยากแท้ IP: 117.47.167.9 วันที่: 22 สิงหาคม 2553 เวลา:19:34:32 น.
  
แวะมาอ่าน
โดย: เทพแมว IP: 61.91.193.217 วันที่: 2 กันยายน 2553 เวลา:22:25:44 น.
  
อ่านแล้ว เห็นแค่คนทะเลาะกัน พูดจาเสียดสีกัน อ้างเอาพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้ามากล่าวทับถมกันไปมา เห็นโทสะ เห็นตัวกู ด้วยกันทั้งนั้น
ขอโทษด้วยถ้ากลายเป็นเข้ามาด่าอริยะบุคคลอย่างท่านทั้งหลายเข้า
กระผมคนธรรมดา ธรรมะไม่สูงส่งอะไรนัก แต่อ่านแล้วอนาจใจที่เห็นคนประพฤติธรรมเอาพระธรรมที่พระพุทธองค์สอนมานั่งทะเลาะกัน มากกว่าจะเป็นการปรึกษากัน

โดย: ผ่านมาเห็น IP: 180.183.201.228 วันที่: 16 กันยายน 2553 เวลา:9:19:04 น.


...........................................................
คุณผ่านมาเห็นครับ

เมื่อผ่านมาเห็น ไม่ถูกใจก็ไม่ต้องแสดงอะไรก็ได้นิครับ

หัดวางเฉยบ้างก็ดีนะครับ ไม่เห็นต้องด่าพระอริยะเลยเป็นบาปครับ

ส่วนที่ยังถกกันนั้น ไม่ใช่ทะเลาะกันนะครับ คุณอย่าตีความเอาเองสิครับว่าทะเลาะกัน

ล้วนไม่ใช่อริยะหรอกครับ มีบ้างที่ไม่ใช่แต่ก็ใกล้เคียงนะครับ

การปรึกษาหารือกันนั้น ก็ไม่จำเป็นต้องพูดเพาะๆ หวานๆ เป็นการสร้างภาพไปทำไมครับ

มาว่ากันที่เหตุ ที่ผล ให้คนอ่านได้กระจ่างในความจริงมิดีกว่าหรือครับ

ธรรมภูต
โดย: ในความฝันของใครสักคน วันที่: 16 กันยายน 2553 เวลา:21:29:02 น.
  
ในความฝันของคุณ ยังห่างไกลจากความเป็นจริงน่ะตื่นเถอะน่าสงสารนะ
โดย: กรรมแท้ๆ IP: 58.9.145.173 วันที่: 24 กันยายน 2553 เวลา:17:05:57 น.
...........................................................................

คุณน่าสงสารอย่างยิ่งครับ
คุณน่าสงสารสมชื่อจริงๆเลยนะครับ ที่ยังงมงายมัวเมาโดยไม่รู้จักแยกแยะว่า
อันไหนของจริง อันไหนสิ่งจอมปลอม
อย่ามัวงมงายอยู่เลยครับ กรรมหนักกำลังรออยู่ข้างหน้านะครับ
ตื่นเถอะครับอย่ามัวฝันหวานกับคำพูดเพราะๆเลยครับ

ธรรมภูต

โดย: ในความฝันของใครสักคน วันที่: 24 กันยายน 2553 เวลา:20:29:33 น.
  
เก่งมากครับ คุณ!

โมทนาสาธุ
โดย: โมทนา IP: 124.122.24.125 วันที่: 10 พฤษภาคม 2555 เวลา:17:11:45 น.
  
แวะเข้าดู ๕๕๕๕
โดย: ลุงหมาน IP: 171.4.154.223 วันที่: 22 กรกฎาคม 2555 เวลา:7:29:56 น.
  
พูดออกมาได้"สติเกิดขึ้นมาลอยๆ" เพราะพระพุทธเจ้าสอนว่า ไม่มีสิ่งเกิดขึ้นได้โดยไม่มีการอิงอาศัยกันเกิดขึ้นนั้นไม่มี เข้าใจให้มากกว่านี้หน่อยแล้วค่อยมาตั้งสำนักสอน ผู้รู้เขามีอยู่เขาจะหัวเราะเยาะอายเขา ธรรมภูต
โดย: ลุงหมาน IP: 171.4.144.66 วันที่: 23 กรกฎาคม 2555 เวลา:9:36:03 น.
  
จิตไม่เกิดดับ

งง
อย่างงี้ก็รู้พร้อมกันได้ทุกทวารเลยซี

โดย: เกิดดับ IP: 125.24.16.142 วันที่: 24 กรกฎาคม 2555 เวลา:9:49:50 น.
  
ในธรรมบท ที่ นายธรรมผี ชอบอ้างว่า เอกังจะรัง จิตดวงเดียวเที่่ยวไป 

จุดอ่อนของพวกดื้อด้านจะให้จิตเที่ยงไม่เกิดดับก็คือ ชอบตีความเข้าข้างตัวเองว่า

นี่ไง เห็นไหม จิตดวงเดียวเที่ยวไป แสดงว่าจิตไม่เกิดไม่ดับ

แต่นี่เป็นการอ้างตรรกกะแบบคนปัญญาอ่อน เพราะคำว่าดวงเดียว กับเกิดดับ นี่คนละเรื่องกัน เหมือน มีไฟที่สว่างในหลอดไฟ จะบอกว่าไฟนั้นไม่กะพริบเลย ก็ไม่ถูก เพราะไฟดวงเดียวนั้นแหละ ถ้ามองดีๆจะเห็นว่าตอนติดแรกๆก็กระพริบช้าๆ จนกระทั่งเร็วมากจนมองไม่ทัน การกะพริบก็คือเกิดดับของแสงนั่นเอง

หรือพอยกตัวอย่างแบบนี้ พวกมิจฉาทิษฐิแบบธรรมผี ก็จะเอาสีข้างเข้าถู แบบว่า ก็มีสิ่งที่ไม่กะพริบคือตัวแก้วที่ทำหลอดไฟ แสดงว่าไฟดวงนั้นเที่ยงไม่เกิดดับ

คือพวกดื้อรั้นนี้มันสับสนว่า มีสิ่งหนึ่งเที่ยงเรียกว่าจิต (ความจริงสิ่งที่เที่ยงแท้นั้นคือนิพพานซึ่งเป็นคนละอย่างกับจิต) สิ่งที่พวกนี้สับสนว่าจิตเที่ยง ซึ่งเปรียบเหมือน คนที่สับสนว่า แสงไฟ กับ หลอดไฟ นี่เป็นอันเดียวกัน ทั้งๆที่มันคนละอย่างกัน และพอเห็นตัวหลอดไฟเที่ยงก็เหมาไปว่า แสงไฟก็เที่ยงตามไปด้วยนั่นเอง
โดย: ผ่านมา IP: 1.20.0.189 วันที่: 1 ธันวาคม 2555 เวลา:2:26:39 น.
  
[๕๓๓] ดูกรกัสสป ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม ยังพระสัทธรรมให้เลือนหายไปไม่ได้ ที่แท้โมฆบุรุษในโลกนี้ต่างหาก เกิดขึ้นมา ก็ทำให้พระสัทธรรมเลือนหายไป 

โมฆบุรุษอย่าง นายธรรมผี นี่แหละทำให้สัทธรรมเลือนหายไปเร็ว

เช่นมีคนอ่านถาม อ่านแล้วชวนหมดกำลังใจครับ จะพ้นทุกข์ได้ ต้องเข้าฌาน 4 ให้ได้ งั้นเหรอครับ นาย ธรรมผี ตอบ ครับ อย่าเพิ่งหมดกำลังใจครับ 

ลองไปอ่านดูนะ ในพระสูตรหลายคนเป็นฆราวาสไม่ได้เข้าฌาน เช่น พระยสกุลบุตร ฟังธรรมก็บรรลุอรหันต์ได้

ดูอย่างเทวทัตสิ บวชมาได้ฌาน 4 แสดงฤทธิ์ได้ยังไม่เห็นพ้นทุกข์เลย

ุถึงแม้จะไม่มีวสี หรือไม่ชำนาญในฌานก็ตาม ถึงเวลาบรรลุ จิตก็รวมถึงฌานเองอยู่แล้ว

การสอนดูจิตแบบนี้ หลวงพ่อพุธท่านก็เคยสอนในหลวง ร9 แบบเดียวกับที่หลวงพ่อปราโมทย์สอนดังนี้

 บางท่านเมื่อจิตไม่ตรงกับนิสัยบริกรรมภาวนาเป็นปีๆ จิตไม่สงบก็มีอุบาย ที่จะปฏิบัติได้ คือ ต้องกำหนดรู้ดูความคิดของตนเองตลอดเวลาว่าเราคิดอะไรก็รู้ สิ่งที่คิดมันหายไปก็รู้ อันใหม่เกิดขึ้นมาก็รู้ กำหนดรู้ตามไปเรื่อยๆ เมื่อจิตมีสติกำหนดตามรู้ความคิคกำหนดทันความคิดของจิตเมื่อใด เมื่อนั้นจิตจะสงบเป็นสมาธิได้

//board.palungjit.com/f23/%E0%B...ml#post3816935

โดย: ผ่านมา IP: 1.20.0.189 วันที่: 1 ธันวาคม 2555 เวลา:3:07:42 น.
  
[๕๓๓] ดูกรกัสสป ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม ยังพระสัทธรรมให้เลือนหายไปไม่ได้ ที่แท้โมฆบุรุษในโลกนี้ต่างหาก เกิดขึ้นมา ก็ทำให้พระสัทธรรมเลือนหายไป 

โมฆบุรุษอย่าง นายธรรมผี นี่แหละทำให้สัทธรรมเลือนหายไปเร็ว

เช่นมีคนอ่านถาม อ่านแล้วชวนหมดกำลังใจครับ จะพ้นทุกข์ได้ ต้องเข้าฌาน 4 ให้ได้ งั้นเหรอครับ นาย ธรรมผี ตอบ ครับ อย่าเพิ่งหมดกำลังใจครับ 

ลองไปอ่านดูนะ ในพระสูตรหลายคนเป็นฆราวาสไม่ได้เข้าฌาน เช่น พระยสกุลบุตร ฟังธรรมก็บรรลุอรหันต์ได้

ดูอย่างเทวทัตสิ บวชมาได้ฌาน 4 แสดงฤทธิ์ได้ยังไม่เห็นพ้นทุกข์เลย

ุถึงแม้จะไม่มีวสี หรือไม่ชำนาญในฌานก็ตาม ถึงเวลาบรรลุ จิตก็รวมถึงฌานเองอยู่แล้ว

การสอนดูจิตแบบนี้ หลวงพ่อพุธท่านก็เคยสอนในหลวง ร9 แบบเดียวกับที่หลวงพ่อปราโมทย์สอนดังนี้

 บางท่านเมื่อจิตไม่ตรงกับนิสัยบริกรรมภาวนาเป็นปีๆ จิตไม่สงบก็มีอุบาย ที่จะปฏิบัติได้ คือ ต้องกำหนดรู้ดูความคิดของตนเองตลอดเวลาว่าเราคิดอะไรก็รู้ สิ่งที่คิดมันหายไปก็รู้ อันใหม่เกิดขึ้นมาก็รู้ กำหนดรู้ตามไปเรื่อยๆ เมื่อจิตมีสติกำหนดตามรู้ความคิคกำหนดทันความคิดของจิตเมื่อใด เมื่อนั้นจิตจะสงบเป็นสมาธิได้

//board.palungjit.com/f23/%E0%B...ml#post3816935

โดย: ผ่านมา IP: 1.20.0.189 วันที่: 1 ธันวาคม 2555 เวลา:3:07:43 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ในความฝันของใครสักคน
Location :
กรุงเทพฯ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 4 คน [?]



สารบัญ Blog ธรรมภูต - พระภัทรสิทธิ์



หน้าแรก Blog ธรรมภูต - พระภัทรสิทธิ์