ดูจิตตามแบบฉบับครูบาอาจารย์แต่เก่าก่อน ๒ (หลวงปู่ขาว)
การดูจิตที่มีปรากฏอยู่ในปัจจุบันนี้
เป็นการดูอาการของจิตที่เกิดขึ้นตามอารมณ์โดยไม่รู้จักจิตผู้รู้ที่แท้จริง

เพราะโดยปกติแล้ว จิตเป็นสภาพธรรมที่กลอกกลิ้ง ซัดส่ายไปมาอย่างรวดเร็ว
เปลี่ยนแปรไปตามอารมณ์ความรู้สึกนึกคิดที่มีเข้ามากระทบตลอดเวลา

เนื่องจากจิตของตนไม่ได้รับการฝึกฝนอบรมสมาธิกรรมฐานภาวนา
จิตจึงแสดงออกมาซึ่งอาการของจิต ตามอารมณ์ความรู้สึกนึกต่างๆ
ที่เข้ามากระทบ จะมากหรือน้อยนั้น ก็ขึ้นอยู่กับความประทับใจของจิต
ที่มีต่ออารมณ์นั้นๆ ณ เวลานั้นๆ


ส่วนผู้ที่ได้รับการฝึกฝนอบรมจิตแบบ "ดูจิต" มาบ้างแล้ว
จากผู้หลักผู้ใหญ่ หรือ อัตโนมัติอาจารย์บางท่าน
และมีการตั้งเจตนาที่จะงดเว้น (วิรัติ) อกุศลจิตที่จะเกิดขึ้น
จึงมีการสำรวมระวังรักษากาย วาจา ไม่ให้แสดงอาการของจิตที่ไม่งาม
ออกสู่สายตาสาธารณชนได้

การทำเช่นนี้ได้ ก็เป็นการ "ดูจิต" แบบหนึ่งที่กำลังนิยมอยู่ในขณะนี้
ซึ่งก็เป็นสิ่งที่ดี แต่เป็นเพียงการเปลี่ยนอารมณ์ได้อย่างรวดเร็วเท่านั้น
อันเป็นคำสอนที่ดี และมีอยู่ในทุกๆ ศาสนาทั่วไป


ซึ่งแตกต่างไปจากคำสอนในพระพุทธศาสนาที่แท้จริง
ที่พระพุทธองค์ ทรงตรัสสอนไว้ดีแล้ว
ทรงสอนให้รู้จักวิธีชำระจิตให้บริสุทธิ์หมดจดจากเครื่องเศร้าหมองทั้งหลาย
อันเป็นคำสอนที่ไม่เคยมีมาก่อนในศาสนาอื่นๆเลย

โดยเฉพาะอริยมรรคมีองค์ ๘ ซึ่งเป็นทางเดินของจิตไปสู่ความเป็นอริยบุคคล
จะมีเฉพาะในศาสนาพุทธของเราเท่านั้น

พระพุทธองค์ทรงพร่ำสอนแต่การปฏิบัติสมาธิกรรมฐานภาวนา
เพื่อให้จิตของตนมีสติสงบตั้งมั่นเป็นสมาธิ เพื่อขจัด สลัด สำรอก
ปล่อยวางกิเลสและอุปกิเลส ทั้งหยาบและละเอียดที่เกิดขึ้นที่จิต
ซึ่งได้ชื่อว่ากิเลสที่เป็นแขกจรเข้ามา ให้ออกไปจากจิตของตนนั่นเอง


แต่ในปัจจุบัน กลับยกย่องการ "ดูจิต" แบบที่ชาวบ้านทั่วๆไปทำกันมานานแล้ว
ว่าเป็นแบบแผนที่ถูกต้องทางพระพุทธศาสนา
ปล่อยให้ สติ สมาธิ ปัญญาเกิดขึ้นเอง โดยไม่ต้องไปบังคับควบคุมใดๆทั้งสิ้น
ซึ่งเป็นไปไม่ได้เลย ในความเป็นจริงของการดำเนินชีวิต
แม้แต่คนที่ต้องการจะเป็นคนดีให้ได้นั้น ยังต้องมีความตั้งใจว่าจะเป็นคนดี
และมีเจตจำนงที่จะงดเว้น (วิรัติ) สิ่งไม่ดีต่างๆ ที่เป็นอกุศลจิตออกไปให้ได้ก่อน

ไม่ใช่เพียงแค่นึกคิด และมีความตั้งใจเท่านั้น
จิตก็จะมีสติสงบตั้งมั่นไม่หวั่นไหวต่ออารมณ์ได้
ต้องผ่านการปฏิบัติสมาธิกรรมฐานภาวนามาอย่างจริงจังเท่านั้น
จิตจึงจะมีสติสงบตั้งมั่นไม่หวั่นไหวต่ออารมณ์ได้


การตั้งมั่นของจิต ที่นิยมพูดกันว่าทำได้ ในกลุ่ม "ดูจิต" แบบที่มีอยู่ในปัจจุบันนี้
จึงเป็นเพียงความตั้งใจที่มีอยู่ก่อน ที่เป็นสัญญาเท่านั้นเอง
ที่จะมีการสำรวมระมัดระวัง อกุศลจิตต่างๆ ไม่ให้ครอบงำจิตได้
ซึ่งไม่ได้ปล่อยให้เกิดขึ้นเอง อย่างที่พูดๆกัน

และจะทำได้นาน ได้ไม่นาน หรือได้เพียงชั่วครู่ชั่วยามเพียงใดนั้น
ก็ขึ้นอยู่กับเจตจำนง คือความตั้งใจของแต่ละคน
ถึงกระนั้นก็ตาม จิตก็ยังพร้อมที่จะออกรับอารมณ์อื่นๆที่จะเกิดขึ้นตามมาอยู่ดี
อันเป็นสิ่งที่ใครๆในทุกๆศาสนาก็ทำกันทั้งนั้น


ทุกท่านเคยสงสัยมั้ยว่า ทำไมพระบรมครู และพ่อแม่ครูบาอาจารย์แต่เก่าก่อน
ท่านจึงเน้นนักเน้นหนาว่า ต้องปฏิบัติสมาธิกรรมฐานภาวนาให้ได้ก่อนเท่านั้น
จึงจะทำให้เรารู้เห็นตามความเป็นจริงว่า
จิตที่ชอบส่งออกนอก จึงเป็นเหตุแห่งทุกข์
เพราะจิตของตน ไม่มีที่ตั้งมั่น(ฐาน) ของสติ ย่อมซัดส่าย ส่งออก
ไปตามอารมณ์ความรู้สึกนึกคิด ที่ตนเข้าไปยึดถือไว้

แต่พวก "ดูจิต" แบบที่มีอยู่ในปัจจุบัน กลับกล่าวว่าจิตนั้นแหละเป็นตัวทุกข์
ซึ่งผิดเพี้ยนไปจากการ "ดูจิต" ตามแบบอย่างพ่อแม่ครูบาอาจารย์แต่เก่าก่อน
อย่างพระอาจารย์หลวงปู่ขาว อนาลโย ท่านกล่าวว่า

"พากันทำภาวนาไป วันหนึ่ง ๆ อย่าให้ขาด อย่าให้มันเสียเวลาไป
ภาวนาไป ชั่วโมง หรือยี่สิบ สามสิบนาที อย่าให้มันขาด
อาศัยอบรมจิตใจของตน ทำมันไป ขัดเกลาใจของตน
ใจมันมีโลภะ โทสะ โมหะเข้าครอบคลุม ใจจึงเศร้าหมอง

ธรรมชาติจิตเดิมแท้นั้น เป็นธรรมชาติผ่องใส
ปภสฺสรมิตํ ภิกฺขเว จิตฺตํ ตญฺจโข อาคนฺตุเกหิ อุปฺกิเลเสหิ อุปฺกกิลิฏฺฐํ
ธรรมชาติจิตเดิมเป็นของเลื่อมประภัสสร เป็นของใสสะอาด
แต่มันอาศัยอาคันตุกะกิเลสเข้าครอบงำย่ำยี ทำให้จิตเศร้าหมองขุ่นมัวไป

เพราะฉะนั้นให้พากันทำ อย่าประมาท
อย่าให้มันเสียชาติ อย่าให้มันโศกเศร้าเป็นทุกข์
มนุสฺสปฏิลาโภ ความได้เกิดเป็นมนุษย์เป็นลาภอันประเสริฐ
ให้พากันทำ อย่าให้มันเสียไป วันคืนเดือนปีล่วงไป ๆ
อย่าให้มันล่วงไปเปล่า ประโยชน์ภายนอกก็ทำ
ประโยชน์ของตนนั่นแหละมันสำคัญ
พระพุทธเจ้าว่าให้ทำประโยชน์ของตนเสียก่อน แล้วจึงค่อยทำประโยชน์อื่น"



ท่านพระอาจารย์หลวงปู่ขาว ท่านก็กล่าวไว้ชัดเจนอยู่แล้วว่า
ต้องพากันหมั่นทำภาวนาด้วยความเพียร เพื่อให้จิตมีฐานที่ตั้งสติเป็นที่มั่น
จะได้ไม่ต้องออกไปรับเอาอุปกิเลสทั้งหลายเข้ามาเป็นแขกจร
ที่จะเข้ามาครอบงำจิตของตนให้เสียคุณภาพไป

โดยธรรมชาติแล้ว จิตชอบที่จะออกไปรับเอาโลภะ โมหะ โทสะ
เข้ามาเป็นแขกจรทั้งวันอยู่แล้ว พระบรมศาสดาและพ่อแม่ครูบาอาจารย์ท่าน
จึงต้องพร่ำสอนให้ปฏิบัติสมาธิกรรมฐานภาวนา เพื่อให้จิตมีหลักที่ตั้งมั่น
ไม่หวั่นไหวไปตามอารมณ์ที่เข้ามากระทบทางอายตนะทั้ง ๖ ได้ง่ายๆ

ความสำคัญของการปฏิบัติสมาธิกรรมฐานภาวนานั้น
เป็นสิ่งที่พระบรมครูจอมศาสดา และพ่อแม่ครูบาอาจารย์ท่านทั้งหลาย
ล้วนเน้นย้ำว่า ต้องทำให้เกิดขึ้นประจักษ์แก่จิตของตน


ดังมีพระบาลีว่า

"สมาธึ ภิกขเว ภาเวถ สมาหิโต ยถา ภูตํ ปชานาติ
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจงยังสมาธิให้เกิดขึ้นเถิด
ผู้ที่มีจิตตั้งมั่นแล้ว ย่อมรู้เห็นตามความเป็นจริง ดังนี้"



เจริญในธรรมทุกๆท่าน
ธรรมภูต





Create Date : 19 ตุลาคม 2552
Last Update : 19 มกราคม 2558 16:30:15 น.
Counter : 798 Pageviews.

111 comments
  
ขอบคุณที่แบ่งปันธรรมะอันจืดสนิท
โดย: พนม IP: 118.172.188.92 วันที่: 19 ตุลาคม 2552 เวลา:9:04:04 น.
  
ครับท่านพนม
"จิตที่บริสุทธิ์หมดจดจากเครื่องเศร้าหมองได้ฉันใด
ย่อมเปรียบเหมือนน้ำที่บริสุทธิ์ปราศจากสิ่งเจือปนได้ฉันนั้น"
รสชาดที่ปรากฏ ย่อมจืดสนิทครับ....

ธรรมภูต

โดย: ในความฝันของใครสักคน วันที่: 19 ตุลาคม 2552 เวลา:9:56:53 น.
  
อนุโมทนา คุณธรรมภูตค่ะ

ศาสนาพุทธ เป็นศาสนาที่มีเหตุผล
แต่ต้องพิสูจน์ด้วยการเข้ามาปฏิบัติด้วยตนเอง
จึงจะรู้แจ้งเห็นจริงด้วยตนเอง แบบที่เรียกว่าเป็นปัจจัตตัง

และตามที่คุณธรรมภูตเขียนมา ถูกต้องตามคำสอนของพระบรมศาสดาค่ะ
ต้องปฏิบัติสมาธิกรรมฐานภาวนา
จิตจึงจะตั้งมั่นไม่หวั่นไหวไปตามอารมณ์ได้
จิตจึงจะเกิดปัญญา รู้เห็นตามความเป็นจริง
และรู้จักสลัดอารมณ์ที่ทำให้จิตหวั่นไหวออกไปได้

ถ้าไม่ปฏิบัติสมาธิกรรมฐานภาวนา ก็เป็นการตามดูอาการของจิตดีๆนี่เอง
โดย: ขอเป็นอีกหนึ่งกำลังใจ IP: 10.34.10.200, 202.28.180.202 วันที่: 19 ตุลาคม 2552 เวลา:13:24:57 น.
  
ผมว่าท่านธรรมภูต มีอคติตั้งแต่เริ่ม
เพราะผมอ่านกระทู้ย้อนไป ก็เห็นว่าคุณไม่ได้ศึกษาคำสอนของท่านให้ท่องแท้ แล้วก็นำมาวิภาควิจารย์กัน

เพี่ยงแค่ท่านหยิบจับแค่บางเสี่ยวบางตอนของคำสอนมาวิจารย์ ก็ต้องเป็นอย่างที่ท่านธรรมภูติว่านั้นก็จะถูกของคุณ

แต่ถ้าคุณไปฟังให้มากกว่านั้น และปฎิบัติตามให้มากกว่านั้น คุณจะไม่พูดอย่างที่เคยกล่าวมาแน่แท้

มีหลายคนที่เข้าปฎิบัติจริงจังแล้วเห็นผลจริง
เขาก็ไม่มาบอกพวกคุณหรอกว่าเข้าได้ผลอย่างไร เพราะมันไม่จำเป็นที่จะมาประกาศ แล้วก็มีอีกหลายคนอย่างที่คุณเห็นที่ทำแล้วยังไม่เห็นผล เพราะอาจทำไม่ต่อเนื่อง หรือฟังคำสอนแบบครึ่งๆกลางๆอย่างคุณแล้วนำไปปฎิบัติ

ผู้ที่ปฎิบัติเอามรรคเอาผล ที่ผมรู้จัก เขาปฎิบัติกันทั้งวัน
เพี่ยงแค่คุณไม่เห็นผลเท่านั้นคุณก็ไม่เชื่อแล้ว

เท่าที่ผมฟังท่านมา แล้วอ่าน และปฎิบัติตาม ยังไม่เห็นคำสอนที่ขัดแย้งกับพระที่พวกคุณนับถือเลย (ผมก็นับถือแต่ละองค์ที่ว่ามาเหมือนพวกคุณ ) เพียงแต่พวกคุณอ่านและฟังแล้วปฎิบัติตามท่านไม่พอเท่านั้น

อย่ามามัวจับผิดอยู่เลย เอาเวลาไปปฎิบัติเถอะ
ถ้าอยากจับผิดท่าน ลองฟังแล้วอ่านตำราที่ท่านเขียนให้ครบให้ถี่ถ้วน แล้วลองปฎิบัติดูสักระยะ แต่ต้องสม่ำเสมอนะ แล้วมาเล่าในที่นี้นะว่ามีอาไรเกิดขึ้นกับท่านบ้าง
โดย: ผมหวังดี IP: 202.176.88.176 วันที่: 19 ตุลาคม 2552 เวลา:18:29:41 น.
  
ก็มี มีอะไรเกิดขึ้นเยอะแยะเลย ดีด้วยแหละ เรายอมรับ ดีสำหรับการใช้ชีวิตทางโลกไง...
แต่ยัง ยังไม่ใช่จ๊ะ มันไม่ใช่
มันยังไม่ลงไปชำระล้างถึงรากของจิต ไม่กระเทือนถึงแม้กิเลสหยาบๆ ฝึกไปร้อยล้านปีก็หามีประโยชน์อันใดไม่ นอกจากกลับไปเป็นไดโนเสาร์ตามเดิม

ว่ากันอยู่เรื่อยว่าไม่ศึกษา ไม่ถ่องแท้ เราผ่านมาแล้วหลายปีเชียว ส่งการบ้านมาแล้ว ถูกยกย่องชมเชยมาแล้ว

แต่ถึงตอนนี้ เราหูตาสว่าง และขอบอก วิธีการนี้ฆ่ากิเลสไม่ได้หรอก จะชาติไหน เช้า สาย บ่าย เย็น หัวค่ำ ตกดึกก็ม่ายด้าย...

ไปศึกษาวิธีการที่พ่อแม่ครูบาอาจารย์ พระป่าสอนกันให้ดีๆ เถิด นั่นแหละของจริง ฆ่ากิเลส พ้นทุกข์ได้จริง...ช่างต่างกับที่พระรูปนี้สอนชนิดฟ้ากับเหวก็ยังเปรียบเทียบกันมิได้

สัตว์โลกถูกหลอกกันไปตามๆ กัน เลยกึ่งพุทธกาลแล้ว เป็นเช่นนี้นี่เอง คำสอนถูกบิดเบือนไปเสียสิ้น แล้วก็เชื่อกันเป็นคุ้งเป็นแคว

โดย: สำมะหา IP: 124.122.163.12 วันที่: 20 ตุลาคม 2552 เวลา:18:11:57 น.
  
ช้าๆ ได้พร้าเล่มงามคร้าบผม
ผิดจากการทำสัมมาสมาธิให้บังเกิดในจิตก่อน จึงค่อยๆ เจริญวิปัสสนา พิจารณากาย เวทนา จิต ธรรมแล้ว
มรรคผล ไม่มีอันได้หวัง

ใช้ปัญญาสายตรง ใช้ปัญญาทางโลกที่เต็มไปด้วยกิเลส ตัณหา มาพิจารณาสัจจะความจริงไม่ได้เด็ดขาด

สติปัฏฐาน 4 ไม่ง่ายขนาดน้านนนนนน
สติปัฏฐาน 4 จะปรากฏก็ต่อเมื่อจิตสงบ-เป็นสัมมาสมาธิแล้วเท่านั้น เท่านั้น...หนทางอื่นเป็นไปไม่ได้หรอกคร้าบ

กระผมฝึกมามากแล้วทั้งสองทาง เอาจริงเอาจังขนาดหนัก และมีสภาวะให้เห็นแล้วทั้งสองแบบ...ข้อสรุปจึงเป็นเช่นนี้

สวัสดีมีชัยครับเพื่อนร่วมเวียนว่ายตายเกิด
โดย: สัมมาสมาธิ IP: 124.122.163.12 วันที่: 20 ตุลาคม 2552 เวลา:18:20:51 น.
  
ดูจิตตามแบบฉบับครูบาอาจารย์แต่เก่าก่อน


ผมว่าท่านธรรมภูต มีอคติตั้งแต่เริ่ม
เพราะผมอ่านกระทู้ย้อนไป ก็เห็นว่าคุณไม่ได้ศึกษาคำสอนของท่านให้ท่องแท้ แล้วก็นำมาวิภาควิจารย์กัน

เพี่ยงแค่ท่านหยิบจับแค่บางเสี่ยวบางตอนของคำสอนมาวิจารย์ ก็ต้องเป็นอย่างที่ท่านธรรมภูติว่านั้นก็จะถูกของคุณ

แต่ถ้าคุณไปฟังให้มากกว่านั้น และปฎิบัติตามให้มากกว่านั้น คุณจะไม่พูดอย่างที่เคยกล่าวมาแน่แท้

มีหลายคนที่เข้าปฎิบัติจริงจังแล้วเห็นผลจริง
เขาก็ไม่มาบอกพวกคุณหรอกว่าเข้าได้ผลอย่างไร เพราะมันไม่จำเป็นที่จะมาประกาศ แล้วก็มีอีกหลายคนอย่างที่คุณเห็นที่ทำแล้วยังไม่เห็นผล เพราะอาจทำไม่ต่อเนื่อง หรือฟังคำสอนแบบครึ่งๆกลางๆอย่างคุณแล้วนำไปปฎิบัติ

ผู้ที่ปฎิบัติเอามรรคเอาผล ที่ผมรู้จัก เขาปฎิบัติกันทั้งวัน
เพี่ยงแค่คุณไม่เห็นผลเท่านั้นคุณก็ไม่เชื่อแล้ว

เท่าที่ผมฟังท่านมา แล้วอ่าน และปฎิบัติตาม ยังไม่เห็นคำสอนที่ขัดแย้งกับพระที่พวกคุณนับถือเลย (ผมก็นับถือแต่ละองค์ที่ว่ามาเหมือนพวกคุณ ) เพียงแต่พวกคุณอ่านและฟังแล้วปฎิบัติตามท่านไม่พอเท่านั้น

อย่ามามัวจับผิดอยู่เลย เอาเวลาไปปฎิบัติเถอะ
ถ้าอยากจับผิดท่าน ลองฟังแล้วอ่านตำราที่ท่านเขียนให้ครบให้ถี่ถ้วน แล้วลองปฎิบัติดูสักระยะ แต่ต้องสม่ำเสมอนะ แล้วมาเล่าในที่นี้นะว่ามีอาไรเกิดขึ้นกับท่านบ้าง
โดย: ผมหวังดี IP: 202.176.88.176 วันที่: 19 ตุลาคม 2552 เวลา:18:29:41 น.
..................
ครับท่านผมหวังดี
ผมว่าท่านเองมีอคิตกับผมตั้งแต่เริ่มต้น จึงอ่านไม่เข้าใจเนื้อธรรมที่แท้จริงที่ปรากฏอยู่
ผมไม่เคยสนใจตัวบุคคล นั่นเป็นเพียงสมมุติที่เราเข้าไปยึดถือกันเท่านั้นเอง
โดยไม่ยอมมองความถูกต้องที่เนื้อธรรม ที่ท่านแสดงว่าตรงต่อพระบรมครูหรือไม่?
ไม่เคยที่จะลองนำมาพิจารณาเปรียบเทียบกับ คำสอนของพระบรมครูหรือพ่อแม่ครูบาอาจารย์ทั้งหลายเลย

ท่านอ่านยังไงว่าเหมือนกันกับของพ่อแม่ครูบาอาจารย์แต่เก่าก่อน
แค่พูดเรื่อง "จิต"เรื่องเดียว ก็แตกต่างกันราวฟ้ากับดินแล้ว ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องสติและปัญญา
พ่อแม่ครูบาอาจารย์แต่เก่าก่อน ท่านสอนว่าจิตมีดวงเดียวของใครของมัน
ที่ชอบแส่ส่ายไปรู้รับอารมณ์ภายนอกตน และยึดมาเป็นของๆตนเสมอ

ส่วนท่านอาจารย์ที่สอนดูจิต โดยที่ยังไม่รู้จักจิตที่แท้จริง กลับบอกว่า
จิตมีหลายดวงเกิดดับๆตลอดเวลา เป็นของเหลวไหล อบรมบังคับควบคุมไม่ได้
ซึ่งคำสอนที่ปรากฏ แตกต่างจากของพ่อแม่ครูบาอาจารย์ทั้งหลาย
ที่ท่านอาจารย์(ดูจิต)ชอบแอบอ้าง เพื่อรับรองตัวท่านเองว่าได้ภูมิธรรมแล้ว อย่างสิ้นเชิง

ท่านพระอาจารย์หลวงปู่สิม ท่านกล่าวไว้ว่า
"ตาเห็นรูป ก็จิตดวงนี้เป็นผู้เห็น ดีใจก็จิตดวงนี้หลงไป
เสียใจก็จิตดวงนี้หลงไป เสียงผ่านเข้ามาทางโสต ทางหูก็จิตดวงเก่านี่แหละ
กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ ก็จิตดวงนี้เป็นผู้หลง

เมื่อจิตใจดวงนี้เป็นผู้หลงผู้เมาไม่เข้าเรื่อง
เราก็มาแก้ไขภาวนาทำใจให้สงบ ไม่ให้หันเหไปกับอารมณ์ใดๆ
เห็นสิ่งต่างๆ ที่เกิดดับอยู่ในตัว ในใจ ในสัตว์ ในบุคคลนี้ว่า
มีเกิดขึ้น ตั้งอยู่ชั่วระยะหนึ่ง แล้วก็แตกดับไปเป็นธรรมดาอย่างนี้"


ท่านผู้หวังดีครับ ท่านอ่านเองก็จะรู้ว่าคำสอนที่แตกต่างกันไปคนละเรื่อง คนละราว
ท่านอาจารย์หลวงปู่สิม ท่านจะมารับรองภูมิธรรมให้ผู้ที่สอนแตกต่างกับท่านได้อย่างไรครับ? งง

เพราะผมเองก็ไม่ได้มัวจับผิดใคร เอาเวลาส่วนใหญ่ไปปฏิบัติสมาธิกรรมฐานภาวนา
จึงได้รู้ว่า ที่สอนดูจิตกันอยู่ในปัจจุบันนั้น เป็นการสอนที่ยังไม่ตรงต่อธรรม
ของพระบรมครูและพ่อแม่ครูบาอาจารย์ทั้งหลาย ไม่ใช่ทางที่ถูกที่ควรครับ

ส่วนใครจะปฏิบัติดูจิตแบบที่สอนๆกันอยู่ในปัจจุบัน แล้วได้ผลอย่างไร ก็ได้แค่นั้นเอง ไม่มีมากไปกว่านั้น
ผมเองเคยสมาทานมาแล้วแบบดูจิตที่ยังไม่ถึงจิต
มันไม่ใช่คำสอนที่ถูกที่ควร จึงได้วิพากษ์วิจารณ์ไปตามเนื้อธรรม

ผมก็ได้นำมาเล่าให้ฟังก่อนหน้านั้น ในหลายบทความแล้วว่า
เป็นเพียงการฝึกฝนให้รู้ทันอาการของจิตได้รวดเร็วขึ้นเท่านั้น ยังเข้าไม่ถึงจิตถึงใจ
เป็นการเปลี่ยนอารมณ์ความนึกคิดหนึ่งไปสู่ความนึกคิดหนึ่งก็เท่านั้น
ไม่ได้สลัดหรือขจัดอารมณ์ออกไปจากจิตเลย เป็นคนดี ที่"ติดดีในดี"......

ธรรมภูต


โดย: ในความฝันของใครสักคน วันที่: 21 ตุลาคม 2552 เวลา:10:47:40 น.
  
ตามที่ผม เคย รู้มาจากอภิธรรม นั้น จิต ในการรับรู้อารมณ์ หรือ รู้รูป จิต เกิดดับ 7 ขณะ ซึ่งก็น่าจะแสดงว่า จิต เกิดดับ ไม่ใช่หรือครับ ทำไม่บอกว่า จิตไม่เกิดดับ และมีดวงเดียว

ถ้าจิต ไม่เกิดดับ แสดงว่า จิต นั้น เทียง ตลอดเวลา ไม่ว่าชาตินี้ หรือชาติไหน ก็แสดงว่าจิตเป็น นิจจัง ไม่ใช่อนิจจัง ซึ่งก็น่าจะค้ากับ พุทธพจน์นะครับ
โดย: ผู้ อยากรู้ IP: 203.155.40.6 วันที่: 21 ตุลาคม 2552 เวลา:17:39:40 น.
  
อีกเรื่องก็คือ คุณธรรมภูต จะอธิบาย พระอรหันต์ ที่ท่านบรรลุแบบ สุขวิปัสโก บรรลุได้อย่างไร ซึ่งเท่าที่ทราบมาท่านเหล่านั้นก็ไม่ได้ทำฌาน ให้เกิดขึ้น แต่ก็บรรุลุธรรมได้

และ อีกอย่าง พุทธพจน ก็กล่าวไว้ชัดเจนว่า ทุกอย่าง เป็นอนิจจังไม่เที่ยง บังคับบัญชาไม่ได้ ขอแน้นว่า ทุกอย่าง ซึ่งก็รวมถึงจิตด้วย ก็แสดงว่า เราบังคับจิตไม่ได้

ถ้าเราบังคับจิตได้ เราก็น่าจะสามารถบังคับจิตก่อนตาย ไห้ เป็นกุศลได้ ไม่ใช่หรือ ถ้าบังคับได้ทำไม่ ยังมีคนไปนรก ตามพุทธพจน์ที่ว่า จิตเศร้าหมอง ทุคติเป็นอันหวังได้
ถ้าบังคับได้ทุกคน ก็สามารถทำจิตให้ไม่เศร้าหมองได้สิครับ
เวลาคุณธรรมภูต เกิดความกลัวคุณจะไม่ให้ความกลัวเกิดได้หรือครับ ผมว่าคุณน่าจะทำได้เพียง ขมความกลัวหลังจากมันเกิดแล้ว ซึ่งก็แสดงชัดว่า แม้แต่อาการของจิตคุณยังบังคับไม่ได้ อย่าว่าแต่จิตเลย

ผมไม่สนใจว่าคุณจะวิจารณ์การดูจิตในปัจจุบันอย่างไร แต่ขอให้คุณ ธรรมภูต ชี้แจงเรื่องจิตเที่ยงให้ด้วยครับ ตามข้อสังเกตของผมข้างต้น มิฉะนั้นคุณก็จะเป็นอีกคนที่บิดเบือนพุทธพจน์
โดย: ผู้ อยากรู้ IP: 203.155.40.6 วันที่: 21 ตุลาคม 2552 เวลา:17:52:21 น.
  
จิตมีดวงเดียว
โดย: มณี IP: 124.120.217.115 วันที่: 21 ตุลาคม 2552 เวลา:18:45:30 น.
  
ผู้ อยากรู้ ถามได้ตรงใจมากครับ
รอฟังคำตอบท่านธรรมภูตอยู่นะครับผม
โดย: ล้อลม IP: 115.67.39.38 วันที่: 21 ตุลาคม 2552 เวลา:20:49:39 น.
  
ตามที่ผม เคย รู้มาจากอภิธรรม นั้น จิต ในการรับรู้อารมณ์ หรือ รู้รูป จิต เกิดดับ 7 ขณะ ซึ่งก็น่าจะแสดงว่า จิต เกิดดับ ไม่ใช่หรือครับ ทำไม่บอกว่า จิตไม่เกิดดับ และมีดวงเดียว

ถ้าจิต ไม่เกิดดับ แสดงว่า จิต นั้น เทียง ตลอดเวลา ไม่ว่าชาตินี้ หรือชาติไหน ก็แสดงว่าจิตเป็น นิจจัง ไม่ใช่อนิจจัง ซึ่งก็น่าจะค้ากับ พุทธพจน์นะครับ

โดย: ผู้ อยากรู้ IP: 203.155.40.6 วันที่: 21 ตุลาคม 2552 เวลา:17:39:40 น.

..................
ครับท่านผู้ อยากรู้
การอยากรู้อะไร ควรศึกษาไตร่ตรองเปรียบเทียบให้รอบคอบก่อนที่จะเชื่อ
ที่เคยรู้มา รู้ได้อย่างไรว่า รู้มาถูกต้องแล้ว
เมื่อรู้มาแล้วควรนำเปรียบเทียบกับพระสูตรและพระวินัยด้วย

ในมหาประเทศ ๔ มีหลักฐานประการหนึ่ง
พระพุทธองค์ทรงตรัสกับพระอานนท์ โดยทรงปรารภถึงพระสาวกว่า

“โยโว อานนฺท ธมฺโม จ เทสิโต วินโย จ ปญฺญตฺโต, โส มม อจฺจเยน สตฺถา
ดูก่อนอานนท์ ธรรมและวินัยใด ที่เราได้แสดงแล้ว บัญญัติแล้ว แก่เธอทั้งหลาย,
ธรรมและวินัยนั้น จักเป็นศาสดาแทนเรา ปกครองท่านแทนเมื่อเราล่วงลับไปแล้ว”

ดังนี้ แสดงว่า พระอภิธรรมปิฎก ยังไม่มีในครั้งพุทธกาลอย่างชัดแจ้ง

ตามพระบาลีในจิตฺตวคฺค แห่งพระธรรมบท รับรองไว้ว่าดังนี้
“ทูรงฺคมํ เอกจรํ อสรีรํ คูหาสยํ เย จิตฺตํ, สญฺญเมสฺสนฺติ โมกฺขนฺติ มารพนฺธนา
ผู้ใดสำรวมจิตซึ่งมีดวงเดียว ท่องเที่ยวไปสู่ที่ไกลๆได้
ไม่มีรูปร่าง มีถ้ำเป็นที่อาศัย นี้ไว้ได้แล้ว
ผู้นั้นย่อมพ้นจากการพันธนาการของมาร ( คือกิเลส)ได้”


ท่านผู้อยากรู้ครับ เห็นพระบาลีชัดเจนนะครับ
"เอกจรํ" เอกะ=หนึ่งเดียว จรํ=จรไปหรือเที่ยวไป
ในพระสูตรพระองค์ทรงตรัสไว้ชัดเจน ไม่ต้องตีความอะไรมากมาย
ส่วนพระอภิธรรมที่ท่านอรรถกถากล่าวไว้ล้วนกล่าวถึงอาการของจิต(เจตสิก)ทั้งนั้น

แสดงว่าท่านไม่อ่านที่ผมลงไว้ให้ดี เพียงคิดที่จะโต้แย้งเท่านั้น โดยไม่ยอมพิจารณาด้วยเหตุผล
ท่านพระอาจารย์หลวงปู่สิม ท่านก็กล่าวไว้ชัดเช่นกันว่า

"ตาเห็นรูป ก็จิตดวงนี้เป็นผู้เห็น ดีใจก็จิตดวงนี้หลงไป เสียใจก็จิตดวงนี้หลงไป
เสียงผ่านเข้ามาทางโสต ทางหูก็จิตดวงเก่านี่แหละ
กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ ก็จิตดวงนี้เป็นผู้หลง
เมื่อจิตใจดวงนี้เป็นผู้หลงผู้เมาไม่เข้าเรื่อง
เราก็มาแก้ไขภาวนาทำใจให้สงบ ไม่ให้หันเหไปกับอารมณ์ใดๆ
เห็นสิ่งต่างๆ ที่เกิดดับอยู่ในตัว ในใจ ในสัตว์ ในบุคคลนี้ว่า มีเกิดขึ้น ตั้งอยู่ชั่วระยะหนึ่ง
แล้วก็แตกดับไปเป็นธรรมดาอย่างนี้"


ท่านพระอาจารย์หลวงปู่สิม ท่านก็กล่าวออกชัดเจนว่า
จิตเป็นธาตุรู้ ย่อมรู้อารมณ์ต่างๆได้
ดีใจก็รู้ เสียใจก็รู้ ชอบก็รู้ ไม่ชอบก็รู้ ถึงไม่รู้ก็รู้ว่าไม่รู้ ฯลฯ
จิตดวงเดิมของตน เป็นผู้มีหน้าที่รู้อยู่ทุกกาลสมัย ที่เราเรียกว่า "ผู้รู้"
และเห็นสิ่งต่างๆ(เจตสิก)ที่เกิดขึ้นและดับไปจากจิต
จิตมีดวงเดียว เจตสิกจะมีกี่ดวงก็ได้

ท่านผู้อยากรู้ครับ ท่านก็อย่าเอาอคตินำ พยายามอ่านที่ผมนำลงให้รอบคอบก่อนครับ....

ธรรมภูต
โดย: ในความฝันของใครสักคน วันที่: 22 ตุลาคม 2552 เวลา:8:16:31 น.
  
คุณธรรมฑูต เป็นคฤหัสถ์ใช่ไหมครับ

คุณธรรมฑูต เป็นพระโสดาบันหรือยังครับ

ที่ถามเนี่ย ไม่ใช่ลองภูมิอะไรหรอกนะครับ

ที่ถามเพราะว่า จะได้เชื่อสนิทใจได้ว่า เป็นสายแท้

ไม่ใช่แค่สมมติสงฆ์หรือคฤหัสถ์ที่ยังไม่ได้บรรลุธรรมอะไรเลยน่ะครับ กระผมกลัวว่าจะหลงทางน่ะครับ

อย่าโกรธผมนะครับ

ถามข้อเดียวนี่แหละครับ ว่าได้พระโสดาบันหรือยัง หรือว่า พระสกิทาคามี หรือว่า พระอนาคามี หรือว่า พระอรหันต์แล้ว

ขอบคุณมากครับ
โดย: คนธรรมดา IP: 117.47.194.167 วันที่: 22 ตุลาคม 2552 เวลา:8:38:20 น.
  
ขอโทษทีครับ ที่เขียนชื่อคุณธรรมภูต ผิดน่ะครับ

ขอบคุณครับ
โดย: คนธรรมดา IP: 117.47.194.167 วันที่: 22 ตุลาคม 2552 เวลา:8:39:37 น.
  
อีกเรื่องก็คือ คุณธรรมภูต จะอธิบาย พระอรหันต์ ที่ท่านบรรลุแบบ สุขวิปัสโก บรรลุได้อย่างไร ซึ่งเท่าที่ทราบมาท่านเหล่านั้นก็ไม่ได้ทำฌาน ให้เกิดขึ้น แต่ก็บรรุลุธรรมได้

โดย: ผู้ อยากรู้ IP: 203.155.40.6 วันที่: 21 ตุลาคม 2552 เวลา:17:52:21 น.


^
ขออนุญาตคุณธรรมภูตตอบคำถามนี้แทน

มีพระบาลีในมหาปรินิพพานสูตร แสดงไว้ดังนี้ :

“ดูก่อน สุภัททะ ในธรรมวินัย (ศาสนา) ใด ไม่มีอริยมรรคประกอบด้วยองค์ ๘
ในธรรมวินัยนั้น ย่อมไม่มี สมณะที่ ๑, สมณะที่ ๒, สมณะที่ ๓ และสมณะที่ ๔.

ในธรรมวินัยใด มีอริยมรรคประกอบด้วยองค์ ๘
ในธรรมวินัยนั้น ย่อมมี สมณะที่ ๑, สมณะที่ ๒, สมณะที่ ๓ และสมณะที่ ๔.

จำเพาะในธรรมวินัยนี้ (คือศาสนาพุทธ) เท่านั้น ที่มีมรรคประกอบด้วยองค์ ๘
ดังนั้น ในธรรมวินัยนี้จึงมี สมณะที่ ๑, สมณะที่ ๒, สมณะที่ ๓ และสมณะที่ ๔.

ลัทธิอื่น (ศาสนาอื่น) ว่างจากสมณะผู้รู้ทั่วถึง (ไม่มี สมณะ)
ถ้าภิกษุนี้พึงอยู่โดยชอบ (คือปฏิบัติมรรคมีองค์ ๘)
โลกจะไม่พึงว่างจากพระอรหันต์”


^
จากพระสูตรเบื้องต้น เป็นอันได้ความชัดเจนว่า
ในพระพุทธศาสนานี้เท่านั้นที่มีการปฏิบัติอริยมรรคมีองค์ ๘
และผู้ที่จะเป็นพระอรหันต์ในพระพุทธศาสนานี้ ต้องปฏิบัติอริยมรรคมีองค์ ๘

พระสุกขวิปัสสโก ท่านเป็นพระอรหันต์ในพระศาสนานี้
พระสุกขวิปัสสโก ท่านปฏิบัติอริยมรรคมีองค์ ๘ ตามเสด็จฯ

มรรคทั้ง ๘ องค์ทำงานกลมกลืนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
จนมรรคสมังคี บรรลุอรหัตตผล
นั่นแสดงว่าท่านต้องปฏิบัติทั้ง ศีล สมาธิ ปัญญา ควบคู่ไปด้วยกัน

หรือที่พระพุทธโฆษาจารย์ ท่านรจนาไว้ว่า
ฌานย่อมไม่มีในผู้ที่ไม่มีปัญญา ปัญญาย่อมไม่มีในผู้ที่ไม่มีฌาน
ผู้มีทั้งฌานและปัญญา จึงจะใกล้พระนิพพาน
(การเจริญฌาน ก็คือ การปฏิบัติสัมมาสมาธิ นั่นเอง)

ถ้าไม่รู้ ก็อย่าปรามาสพระสุกขวิปัสสโก พระอรหันต์กันนะครับ
ถ้าไม่ได้ทำฌานให้เกิดขึ้น จะบรรุลุธรรมไม่ได้ครับ

อ่าน สัมมาสมาธิ ฌานในพระพุทธศาสนา


ยินดีในธรรมทุกๆท่านครับ

โดย: หนูเล็กนิดเดียว วันที่: 22 ตุลาคม 2552 เวลา:8:56:01 น.
  
เรียนคุณธรรมภู๖ไม่ได้มีอคติครับเพียงแต่ รู้สึกสนุกในการสนทนาแลกเปลี่ยนสนทนาธรรมเท่า นั้น (ความไม่เชื่อในสิ่งเดียวกัน ไม่จำเป็นต้องเป็นศัตรูกัน)

ในเรื่อง พระอรหันต์บรรลุแบบสุขวิปัสโก นั้น ตามความรุ้ที่ผมมี นั้น ขณะเกิดอริยมรรคนั้น ของพระอริยบุคคลทุกระดับทุกองค์จะต้องเกิดในณาญครับ แต่ ทางเดินของท่านไปสูอริยมรรค นั้น ไม่จำเป็นต้องมี สมาธิถึงขั้น ต้องทรงณาญ เขาจึงเรียกว่าใช้ปัญญานำสมาธิครับ ถ้าหากทรงณาณทำไม่ต้องแยกออกจากพระอรหันต์ประเภทอื่นๆที่ทรงณาญด้วยละครับ เช่นกล่ม เตวิโช เป็นต้น ที่เข้าแยกประเภท นั้น เพื่อ จำแนกทางเดินสู่อริยมรรค ว่ามี ได้หลายทาง ครับ แต่เมื่อบรรลุ ถึง อรหัตผลแล้ว ทุกองค์ ทรงณาญได้ครับ

ณาญเป็นสิ่งเกี้อหนุนให้เกิดปัญญาได้ครับ ไม่ใช่ว่า มีณาญอย่างเดียวแล้วจะเกิดปัญญาครับ ถ้าทำณาญให้เกิดได้แล้วเกิดปัญญา พระพุทเจ้าคงไม่ต้องไปโปรด ดาบทอาจารย์ของท่านทั้งสองหรอกครับ

คุณ หนุเล็กนิดเดียว อ้างถึง รจนาของ พระพุทธโฆษาจารย์ ก็แสดงว่า คุณหนูเล็กเชื่อถือ ในคัมภีอธิธรรมปิฏก ซึ่ง ต่างจากคุณธรรมภูต ซึ่งไม่ชื่อถึอ พระอภิธรรม
โดย: ผู้ อยากรู้ IP: 203.155.40.6 วันที่: 22 ตุลาคม 2552 เวลา:9:12:39 น.
  
เรียนคุณผู้ อยากรู้

หนูเล็กนิดเดียว เชื่อในพระบรมศาสดา ที่ทรงตรัสไว้ว่า
เมื่อเราล่วงลับไปแล้ว ธรรมและวินัย ที่เราแสดงไว้แล้ว
จักเป็นศาสดาแทนเรา

ซึ่งชัดเจนว่า พระอภิธรรมปิฏก มีมาในชั้นหลัง

แต่ขณะเดียวกัน ก็ไม่ได้ว่า พระอภิธรรม ไม่ถูกต้องไปเสียหมด
ที่ดีก็มีมากมาย อยู่ที่เราจะรู้จักเลือกเฟ้นมาศึกษาหรือไม่ต่างหาก

ในเมื่อพระพุทธโฆษาจารย์ท่านรจนาไว้ ไม่ขัดแย้งกับพระสูตร พระวินัย
ดังนั้นจึงนำมากล่าวอ้างถึง

และยังมีพระสูตรที่กล่าวไว้อีกมากว่า
สมถะและวิปัสสนา ต้องเจริญควบคู่กันไป เพื่อให้มรรคสมังคี
ดังนั้นไม่ควรใช้คำว่า ปัญญานำสมาธิ
น่าจะเป็นว่า สมาธิเกื้อกูลให้เกิดปัญญา และปัญญาเกื้อกูลให้เกิดสมาธิ

ยินดีในธรรมครับ

โดย: หนูเล็กนิดเดียว วันที่: 22 ตุลาคม 2552 เวลา:9:25:19 น.
  
อีกเรื่องก็คือ คุณธรรมภูต จะอธิบาย พระอรหันต์ ที่ท่านบรรลุแบบ สุขวิปัสโก บรรลุได้อย่างไร ซึ่งเท่าที่ทราบมาท่านเหล่านั้นก็ไม่ได้ทำฌาน ให้เกิดขึ้น แต่ก็บรรุลุธรรมได้

โดย: ผู้ อยากรู้ IP: 203.155.40.6 วันที่: 21 ตุลาคม 2552 เวลา:17:52:21 น.

..................
ครับท่านผู้อยากรู้
ท่านอย่ารีบปรามาสพระอรหันต์แบบสุขวิปัสโกสิ ไปเลยจะเป็นบาปปล่าวๆครับ
พระอรหันต์ไม่ว่าแบบไหนๆล้วนต้องผ่านฌาน๔ ในสัมมาสมาธิทั้งสิ้นครับ

ตราบใดที่ยังมีพระอริยมรรคมีองค์๘อยู่โลกจะไม่ว่างเว้นจากพระอรหันต์
การจะเป็นพระอรหันต์ได้นั้น อริยมรรค๘จะต้องสมังคี จึงจะเป็นพระอรหันต์ได้
ถ้าพระอรหันต์แบบสุขวิปัสโก ไม่ผ่านฌานเลย ก็เท่ากับยังไม่ผ่านสัมมาสมาธิฌานที่๔
แบบนี้ยังจะเรียกว่าพระอริยมรรคสมังคีได้หรือ อย่าเชื่อถืออะไรโดยไม่ไตร่ตรองก่อน
ความจริงก็คือความจริง ต้องลงมือปฏิบัติสมาะกรรมฐานภาวนาเท่านั้น จึงจะรู้เห็นตามความเป็นจริง.....

ธรรมภูต


โดย: ในความฝันของใครสักคน วันที่: 22 ตุลาคม 2552 เวลา:9:45:29 น.
  
โปรดูคำอธิบาย ของผมเพิ่มเติมครับ

ในเรื่อง พระอรหันต์บรรลุแบบสุขวิปัสโก นั้น เห็นด้วยครับว่าขณะเกิดอริยมรรคนั้น ของพระอริยบุคคลทุกระดับทุกองค์จะต้องเกิดในณาญครับ แต่ ทางเดินของท่านไปสูอริยมรรค นั้น ไม่จำเป็นต้องมี สมาธิถึงขั้น ต้องทรงณาญ เขาจึงเรียกว่าใช้ปัญญานำสมาธิครับ ถ้าหากทรงณาณทำไม่ต้องแยกออกจากพระอรหันต์ประเภทอื่นๆที่ทรงณาญด้วยละครับ เช่นกล่ม เตวิโช เป็นต้น ที่เข้าแยกประเภท นั้น เพื่อ จำแนกทางเดินสู่อริยมรรค ว่ามี ได้หลายทาง ครับ แต่เมื่อบรรลุ ถึง อรหัตผลแล้ว ทุกองค์ ทรงณาญได้ครับ

ทำไม่ต้องแยก ประเภทของ พระอรหันต์ด้วยครับ และแยกโดยคุณสมบัติอะไรครับ




โดย: ผู้ อยากรู้ IP: 203.155.40.6 วันที่: 22 ตุลาคม 2552 เวลา:9:52:22 น.
  
และ อีกอย่าง พุทธพจน ก็กล่าวไว้ชัดเจนว่า ทุกอย่าง เป็นอนิจจังไม่เที่ยง บังคับบัญชาไม่ได้ ขอแน้นว่า ทุกอย่าง ซึ่งก็รวมถึงจิตด้วย ก็แสดงว่า เราบังคับจิตไม่ได้

โดย: ผู้ อยากรู้ IP: 203.155.40.6 วันที่: 21 ตุลาคม 2552 เวลา:17:52:21 น.

..................
ครับท่านผู้อยากรู้
ท่านลองคิดเห็นตามความเป็นจริงบ้างสิครับ
ถ้าโลกนี้มีแต่ของที่ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่ใช่ตัวตนของเรา
และที่เที่ยง เป็นสุข เป็นที่พึ่งของเราไม่มีแล้ว
พระพุทธองค์จะทรงออกผนวช ไปเพื่ออะไร? ในเมื่ออะไรๆก็ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ พึ่งไม่ได้

ที่ทรงออกผนวชก็เพราะพระองค์ทรงต้องการค้นหาอมตะธรรม(ธรรมที่ไม่ตาย)
เป็นธรรมทีเที่ยงแท้ เป็นสุข เป็นที่พึ่งได้.....ลองหัดพิจารณาดูบ้างอย่าเอาแต่สนุกอย่างเดียว...
ตรงไหนในอนัตตลักขณสูตรบอกว่า จิตเป็นอนัตตา ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่ใช่ตน

ธรรมภูต


โดย: ในความฝันของใครสักคน วันที่: 22 ตุลาคม 2552 เวลา:9:56:30 น.
  
เรียนคุณหนูเล็ก

ปัญญานำสมาธิ เป็นเพียงโวหารครับ เพราะในขณะที่เดินปัญญาต้องมีสมาธิครับ เพียงระดับของสมาธินั้น สามารถอยู่ในระดับ ขณิกสมาธิได้รับ

มันเป็นเพียงความเห็นส่วนตัวครับที่จะเลือก เชื่อบางส่วนใน อภิธรรมหรือไม่เลื่อกเชื่อบางส่วนครับ ทางใครทางมันครับ

ในส่วน ของคุณธรรมภูต บาบไม่บาบ ไม่มีใครรู้ครับ เพราะความที่จะบาบหรือไม่ของผมไม่ได้อยู่ที่ความเชื่อของคุณครับ
โดย: ผุ้ อยากรู้ IP: 203.155.40.6 วันที่: 22 ตุลาคม 2552 เวลา:10:01:10 น.
  
ธรรมที่เทียงแท้ไม่ตายคือพระนิพพานครับไม่ใช่จิต
โดย: ผู้ อยากรู้ IP: 203.155.40.6 วันที่: 22 ตุลาคม 2552 เวลา:10:04:10 น.
  
ถ้าเราบังคับจิตได้ เราก็น่าจะสามารถบังคับจิตก่อนตาย ไห้ เป็นกุศลได้ ไม่ใช่หรือ ถ้าบังคับได้ทำไม่ ยังมีคนไปนรก ตามพุทธพจน์ที่ว่า จิตเศร้าหมอง ทุคติเป็นอันหวังได้
ถ้าบังคับได้ทุกคน ก็สามารถทำจิตให้ไม่เศร้าหมองได้สิครับ
เวลาคุณธรรมภูต เกิดความกลัวคุณจะไม่ให้ความกลัวเกิดได้หรือครับ ผมว่าคุณน่าจะทำได้เพียง ขมความกลัวหลังจากมันเกิดแล้ว ซึ่งก็แสดงชัดว่า แม้แต่อาการของจิตคุณยังบังคับไม่ได้ อย่าว่าแต่จิตเลย

โดย: ผู้ อยากรู้ IP: 203.155.40.6 วันที่: 21 ตุลาคม 2552 เวลา:17:52:21 น.

..................
ครับท่านผู้อยากรู้
ท่านยังไม่เคยสมาทานการปฏิบัติสมาธิกรรมฐานภาวนา "พุทโธ"อย่างจริงจัง
ท่านรู้ได้ยังไงครับว่าจิตบังคับไม่ได้ ถ้าจิตบังคับไม่ได้จริงแล้ว
เวลาโกรธหรือเกียจใคร เราต้องลงมือทำร้ายหรือด่าว่าให้เสียๆหายใช่มั้ยครับ?
เพราะควบคุมบังคับจิตได้ใช่มั้ยครับ? โลกจึงสุขสงบร่มเย็นได้อยู่ทุกวันนี้
การฝึกฝนอบรมปฏิบัติสมาธิกรรมฐานภาวนา จริงๆแล้วก็เพื่อเอาไว้ใช้ในช่วงก่อนตายนี่แหละ
เพื่อให้ระลึกรู้อยู่กับองค์ภาวนาตลอดเวลา เมื่อใกล้ตายอันเป็นกุศลจิต
ที่ทำไม่ได้เพราะไม่เคยฝึกอบรมสมาธิกรรมฐานภาวนามาก่อน

ที่ถามผมว่าเมื่อความกลัวเกิดขึ้น คุณควบคุมได้มั้ย?
ที่เราฝึกฝนอบรมการปฏิบัติสมาธิกรรมฐานภาวนา ก็เพื่อการนี้โดยเฉพาะ
เมื่อจิตเกิดการไหวตัว เนื่องจากความกลัวที่ซ่อนอยู่ในจิตใจผุดขึ้นมา

เรารู้ว่าจิตเริ่มไหวตัวเพื่อไปรับเอาอารมณ์กลัวเข้ามาเป็นอารมณ์ของเรา
เราก็รีบ(สัมมาสติ)ดึงจิตให้กลับมาสู่ฐานที่ตั้งสติ(กรรมฐาน)
อันเป็นที่ๆจิตสงบตั้งมั่นไม่หวั่นไหวต่ออารมณ์ จิตจะเศร้าได้อย่างไร? ในเมื่อไล่แขกจรไปแล้ว

ผมเองเฉียดตายมาไม่ต่ำกว่าสิบครั้ง ผมเองน่าจะไม่กลัวความตายแล้วนะครับ?
แต่แท้จริงแล้วไม่ใช่เลย เมื่อตอนปฏิบัติกรรมฐานภาวนาจิตเริ่มสงบตั้งมั่นอยู่นั้น
ลองถามตนเองดูว่า ยังกลัวตายอยู่มั้ย จิตก็ตอบตามตรงว่ายังมีความกลัวตายอยู่บ้าง
ผู้ที่จะไม่กลัวต่อความตายโดยสิ้นเชิงได้นั้น เห็นมีแต่พระโสดาบันขึ้นไปเท่านั้น....

ธรรมภูต

โดย: ในความฝันของใครสักคน วันที่: 22 ตุลาคม 2552 เวลา:10:22:01 น.
  
ผมไม่สนใจว่าคุณจะวิจารณ์การดูจิตในปัจจุบันอย่างไร แต่ขอให้คุณ ธรรมภูต ชี้แจงเรื่องจิตเที่ยงให้ด้วยครับ ตามข้อสังเกตของผมข้างต้น มิฉะนั้นคุณก็จะเป็นอีกคนที่บิดเบือนพุทธพจน์

โดย: ผู้ อยากรู้ IP: 203.155.40.6 วันที่: 21 ตุลาคม 2552 เวลา:17:52:21 น.

..................
ครับท่านผู้อยากรู้
ดีแล้วครับที่ไม่สนในการวิจารณ์เรื่องการดูจิตของผม ให้ดูแต่เนื้อธรรมก็พอ
เพราะทุกคนล้วนมีจิตใจที่อยากจะเผยแผ่ศาสนาพุทธ เพื่อสิ่งที่ถูกต้องกระจายออกไป
ส่วนเรื่องจิตเที่ยงหรือไม่เที่ยงนั้น
ท่านก็ค่อยๆพิจารณาเอาเองจากคำถามเหล่านี้

พระพุทธองค์ทรงออกผนวช เพื่อค้นหาอมตะธรรมใช่มั้ย?
อมตะธรรมเที่ยงหรือไม่เที่ยง?
เป็นทุกข์หรือเป็นสุข?
พึ่งได้หรือพึ่งไม่ได้?
อมตะธรรมเกิดขึ้นที่ไหน? ที่จิตหรือที่กายของพระพุทธองค์?
มีพุทธพจน์กล่าวไว้ว่า
"จิตของเราสิ้นการปรุงแต่ง บรรลุพระนิพพานเพราะสิ้นตัณหา"
หมายความว่ายังไง?

ธรรมภูต

โดย: ในความฝันของใครสักคน วันที่: 22 ตุลาคม 2552 เวลา:10:39:18 น.
  
คุณธรรมภูต ยังไม่ตอบคำถามกระผมเลยอ่ะครับ


ขอบคุณมากครับ คุณธรรมฑูต
โดย: คนธรรมดา IP: 117.47.194.167 วันที่: 22 ตุลาคม 2552 เวลา:10:45:39 น.
  
กราบขอโทษคุณธรรมภูตด้วยครับ อ่านไม่ละเอียด ทำให้ไม่ทราบว่าคุณธรรมฑูตตอบแล้วครับ

กระผมคิดว่าคุณธรรมฑูต ยังไม่ผ่าน ญาณ16 เลยซักครั้งเดียวนะครับ โลกธาตุก็ไม่ดับ ในขณะผลจิต และขณะโสดาปฏิมรรค คุณธรรมฑูต ก็ยังไม่ผ่านเลย อย่างนี้จะเรียกได้ว่า เป็นการคิดเอง เออเองหรือเปล่าครับที่เรียกว่า อัตตา ตัวกู ของกู น่ะครับ


ขอบคุณครับคุณธรรมฑูต แลกเปลี่ยนกันนะครับ อย่าด่าผมนะครับ

ขอบคุณมากครับ
โดย: คนธรรมดา IP: 117.47.194.167 วันที่: 22 ตุลาคม 2552 เวลา:10:50:32 น.
  
ธรรมที่เทียงแท้ไม่ตายคือพระนิพพานครับไม่ใช่จิต

โดย: ผู้ อยากรู้ IP: 203.155.40.6 วันที่: 22 ตุลาคม 2552 เวลา:10:04:10 น.
..................
ครับท่านผู้อยากรู้
เมื่อพระพุทธองค์ทรงบอกว่า "ตรัสรู้" เป็นพระอรหันต์บรรลุพระนิพพานแล้ว
พระองค์ทรงรู้มั้ย? ถ้ไม่รู้พระองค์ทรงตอบไม่ได้ว่า "ตรัสรู้"แล้วซึ่งอะไร?

ถ้าบรรลุพระนิพพานแล้ว ไม่มีจิตผู้รู้อยู่ จะบอกว่ารู้ได้อย่างไร?
จะไม่เป็นการเดาสวดไปหรอกหรือว่า "ถึงซึ่งพระนิพพานแล้ว"
ต้องมีจิตผู้รู้อยู่สิ จึงสามารถบอกได้ว่าบรรลุพระนิพพานแล้ว

มีพระพุทธพจน์รับรองไว้ชัดเจนครับว่า
"จิตของเราสิ้นการปรุงแต่ง บรรลุพระนิพพานเพราะสิ้นตัณหา"

พระนิพพานคืออมตะธรรม อมตะธรรมคือพระนิพพาน
เมื่อไม่มีจิตผู้รู้แล้วบอกได้ยังไงว่า "บรรลุแล้ว"
เป็นการหลอกลวงกันชัดๆว่า "บรรลุแล้ว" เมื่อไม่มีผู้รู้อยู่เห็นอยู่.....

ธรรมภูต

โดย: ในความฝันของใครสักคน วันที่: 22 ตุลาคม 2552 เวลา:10:51:56 น.
  
เรารู้ว่าจิตเริ่มไหวตัวเพื่อไปรับเอาอารมณ์กลัวเข้ามาเป็นอารมณ์ของเรา
เราก็รีบ(สัมมาสติ)ดึงจิตให้กลับมาสู่ฐานที่ตั้งสติ(กรรมฐาน)
อันเป็นที่ๆจิตสงบตั้งมั่นไม่หวั่นไหวต่ออารมณ์ จิตจะเศร้าได้อย่างไร? ในเมื่อไล่แขกจรไปแล้ว

การดึงจิตกลับมา นั้น แสดงว่ามีความจงใจที่จะดึงเป็น กระทำภายใต้โลภะเจตสิก ซึ่งเป็นอกุศลจิตครับ สติที่เกิดมิใช่สัมมาสติครับ สัมมาสติ จะไม่เกิดกับ อกุศลเจตสิกครับ
ถ้าจะตอบให้ถูกก็คือถ้าได้ฝึกจิตดีแล้วด้วย การภาวนากรรมฐานประเภทใดก็ตามภายใต้ สัมมาสติ เมื่อ เกิดอกุศลจิต เช่นความกลัว สติที่คุ้นเคยกับการฝึกแล้วจะเกิดขึ้นเองโดยไม่ถูกบังคับบัญชา เมื่อสัมมาสติเกิด อกุศลจะเกิดไม่ได้ เพราะจิตรับรู้อารมร์ ได้เพียงทีละอย่าง ความกล้วที่เป็นอกุศลจิตจะขาดไปทันทีครับ

สำหรับคุณธรรมดาครับ ทางคุณธรรภูตได้ตอบแล้วว่า ยังมีควากลัวตายอยู่ซึ่งยังไม่ได้บรรลุธรรมขั้นใดครับดู คำตอบของ คุณธรรมภูตได้ข้างบนครับ

ภาวะพระนิพพาน เป็นภาวะที่จิตที่มีคุณภาพ ไปประจัก ครับ ไม่ใช่ตัวจิต

ถึงคุณธรรมภูต จะบอกว่าอย่างเอาสนุก แต่ผมก็ยังรู้สึกสนุกในการสนทนาธรรมครั้งนี้ครับ

คำจากท่านผุ้รู้
สมาธิ เกิดเมื่อหมดความอยาก
วิปัสสนา เริ่มเมื่อ หมดความคิด


โดย: ผุ้ อยากรู้ IP: 203.155.40.6 วันที่: 22 ตุลาคม 2552 เวลา:10:59:16 น.
  
เรียนคุณธรรมภู๖ไม่ได้มีอคติครับเพียงแต่ รู้สึกสนุกในการสนทนาแลกเปลี่ยนสนทนาธรรมเท่า นั้น (ความไม่เชื่อในสิ่งเดียวกัน ไม่จำเป็นต้องเป็นศัตรูกัน)

ในเรื่อง พระอรหันต์บรรลุแบบสุขวิปัสโก นั้น ตามความรุ้ที่ผมมี นั้น ขณะเกิดอริยมรรคนั้น ของพระอริยบุคคลทุกระดับทุกองค์จะต้องเกิดในณาญครับ แต่ ทางเดินของท่านไปสูอริยมรรค นั้น ไม่จำเป็นต้องมี สมาธิถึงขั้น ต้องทรงณาญ เขาจึงเรียกว่าใช้ปัญญานำสมาธิครับ ถ้าหากทรงณาณทำไม่ต้องแยกออกจากพระอรหันต์ประเภทอื่นๆที่ทรงณาญด้วยละครับ เช่นกล่ม เตวิโช เป็นต้น ที่เข้าแยกประเภท นั้น เพื่อ จำแนกทางเดินสู่อริยมรรค ว่ามี ได้หลายทาง ครับ แต่เมื่อบรรลุ ถึง อรหัตผลแล้ว ทุกองค์ ทรงณาญได้ครับ

ณาญเป็นสิ่งเกี้อหนุนให้เกิดปัญญาได้ครับ ไม่ใช่ว่า มีณาญอย่างเดียวแล้วจะเกิดปัญญาครับ ถ้าทำณาญให้เกิดได้แล้วเกิดปัญญา พระพุทเจ้าคงไม่ต้องไปโปรด ดาบทอาจารย์ของท่านทั้งสองหรอกครับ

คุณ หนุเล็กนิดเดียว อ้างถึง รจนาของ พระพุทธโฆษาจารย์ ก็แสดงว่า คุณหนูเล็กเชื่อถือ ในคัมภีอธิธรรมปิฏก ซึ่ง ต่างจากคุณธรรมภูต ซึ่งไม่ชื่อถึอ พระอภิธรรม

โดย: ผู้ อยากรู้ IP: 203.155.40.6 วันที่: 22 ตุลาคม 2552 เวลา:9:12:39 น.

..................
ครับท่านผู้อยากรู้
ถ้าไม่ผ่านสัมมาสมาธิฌานที่๔ จะเรียกว่าผ่านสัมมาสมาธิได้มั้ย
สัมมาสมาธิเป็นทั้งสมถะและวิปัสสนาครับ ในพระสูตรกล่าวไว้ชัดเจน

สัมมาสมาธิ เป็นไฉน ภิกษุในธรรมวินัยนี้ สงัดจากกาม สงัดจาก
อกุศลธรรม(เกิดปัญญาปล่อยวาง) บรรลุปฐมฌาน
มีวิตก มีวิจาร มีปีติและสุขเกิดแต่วิเวก(วิเวก๓ กายวิเวก จิตวิเวก อุปธิวิเวก)อยู่

เธอบรรลุทุติยฌาน มีความผ่องใสแห่งจิตในภายใน เป็นธรรมเอกผุดขึ้น(จิตสงบตั้งมั่นไม่หวั่นไหว)
เพราะวิตกวิจารสงบไป ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร มีปีติและสุขอันเกิดแต่สมาธิอยู่

เธอมีอุเบกขา มีสติ มีสัมปชัญญะ เสวยสุขด้วยกาย เพราะปีติสิ้นไป บรรลตติยฌาน
ที่พระอริยทั้งหลาย สรรเสริญว่า ผู้ได้ฌานนี้ เป็นผู้มีอุเบกขา มีสติอยู่เป็นสุข(เกิดปัญญาญาณ)

เธอบรรลุจตุตถฌาน ไม่มีทุกข์ไม่มีสุข เพราะละสุขละทุกข์ และดับโสมนัส
โทมนัสก่อนๆ ได้(เกิดนิพพิทาญาณ) มีอุเบกขาเป็นเหตุให้สติบริสุทธิ์อยู่ อันนี้เรียกว่า สัมมาสมาธิ ฯ

เลิกคิดเองเออเองได้แล้วครับ ของที่เป็นไปไม่ได้ก็จะให้เป็นให้ได้
พระอรหันต์ไม่ว่าแบบไหนๆ ล้วนต้องผ่านฌานที่๔ ในสัมมาสมาธิทั้งนั้น
เป็นการปรามาสพระอรหันต์แบบสุชวิปัสโก เป็นบาปไปปล่าวๆโดยไม่รู้ตัว

คำว่าขณิกสมาธิ ท่านไปเอามาจากไหนครับ? ในสัมมาสมาธิไม่เห็นมีบอกไว้เลย
ในพระสูตรก็มีกล่าวไว้เพียง อุปจารสมาธิ กับ อัปปนาสมาธิเท่านั้น
ขณิกสมาธิเป็นเพียงความตั้งใจเท่านั้น จะเอามารวมเป็นสมาธิไม่ได้หรอก
อย่าเดาสวดจากสัญญาเลย เอาเวลาหลับตาฝึกฝนอบรมปฏิบัติสมาธิกรรมฐานภาวนาจะดีกว่า.....


ธรรมภูต

โดย: ในความฝันของใครสักคน วันที่: 22 ตุลาคม 2552 เวลา:11:14:31 น.
  
ท่านผู้อยากรู้ครับ ถ้ายังสนุกอยู่ผมตอบให้แน่นอนครับ
แต่หัดใช้เหตุผลบ้าง อย่าเอาแต่ตัวหนังสือจากตำรามาเถียงเพื่อเอาชนะเลย

ศาสนาพุทธนั้นศาสนาที่ยืนอยู่บนหลักเหตุ ที่ผู้ฟังคิดตามได้
ไม่ใช่นึกเอาตามตัวหนังสือแล้วว่าที่ตนรู้มานะใช่?
ต้องรู้เห็นตามความเป็นจริงจากการปฏิบัติสมาธิกรรมฐานภาวนาเท่านั้น....
ค่ำๆจะมาตอบใหม่ เวลาหมด หมดเวลา...
โดย: ในความฝันของใครสักคน วันที่: 22 ตุลาคม 2552 เวลา:11:25:07 น.
  
กราบเรียนคุณธรรมภูตช่วยตรวจสอบให้กระผมหน่อยซิครับว่า กระผมมีความคิดที่เป็นมิจฉาทิฐิ ไหมครับ

บทสวดพระธัมมจักรกัปปวัตนสูตรที่ว่า

สังขิตเตนะ ปัญจุปาทานักขันธา ทุกขา
(สรุปโดยย่อ ความยึดมั่นถือมั่นในกายใจทำให้เป็นทุกข์)(ทำให้ไม่หลุดพ้นจากสังสารวัฏ)
(ไม่ทราบว่ากระผมเเปลผิดไหม ถ้าผิดกระผมขอโทษด้วยครับ)

กายใจ เป็นตัวทุกข์
ขันธ์ห้า คือ ตัวทุกข์
ทำอย่างไร จึงจะหลุดพ้นจากตัวทุกข์นี้ไปได้?

"ทุกขัง อริยสัจจัง ปริญเญยันติ" ทุกข์ให้รู้

ทุกข์คืออะไร ทุกข์คือกายกับใจ ทุกข์ให้รู้ทำอย่างไร

สติปัฏฐานสี่
มีสติระลึกรู้กาย ระลึกรู้ใจ ด้วยความเป็นกลาง ไม่แทรกแซง
(ถ้าแทรกแซง ก็จะไม่เป็นสายกลางที่เรียกว่า มัชฌิมาปฏิปทา)
(แต่จะเป็นกามสุขลิกานุโยค หรือไม่ก็ อัตตกิลมถานุโยค แทน)
ทางนี้เป็นทางสายเอก ทางสายเดียวที่ทำให้เหล่าสัตว์หลดพ้นจากกองทุกข์ที่เรียกว่าสังสารวัฏซึ่งมีแค่รูปกับนามนี้ไปได้

ทุกข์ให้รู้ รู้บ่อยๆแล้วจะตื่น ตื่นจากอะไร ตื่นจากความเห็นผิดว่ากายนี้ใจนี้คือตัวเรา เลิกยึดมั่นสำคัญผิด สลัดคืนโลกทิ้งไป จิตผู้รู้หลุดขันธ์ห้า หลุดออกจากตัวทุกข์ พ้นทุกข์

เมื่อรู้ตามความเป็นจริง(สติปัฏฐาน)(การตามเห็นกายกับใจเนืองๆ) จึงเบื่อหน่าย เมื่อเบื่อหน่ายย่อมคลายกำหนัด(ความรักใคร่ในกายในใจนี้)

เมื่อคลายกำหนัดย่อมหลุดพ้น เมื่อหลุดพ้นแล้วย่อมมีญาณหยั่งรู้ว่าหลุดพ้นแล้ว กิจที่ทำทำเสร็จ กิจอื่นนอกจากนี้ไม่มีอีก


พุทธะ เเปลว่า อะไร
พุทธะ เเปลว่า ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน

มีกายที่ไหน มีใจที่ไหน มีกรรมฐานที่นั่น
สมถกรรมฐาน ทำเพื่อให้เกิดสมาธิ ผลที่ได้ คือจิตสงบ จิตดี จิตมีความสุข
วิปัสสนากรรมฐาน ทำเพื่อให้เกิดปัญญา ผลที่ได้ คือหลุดพ้นจากกองทุกข์ที่เรียกว่า สังสารวัฏ
แล้วอย่างนี้ถ้าทำตามสติปัฏฐานสี่ไปเรื่อยๆ จะได้ฌาณตามที่คุณธรรมภูต บอกไหมครับ
(ทุกคนต้องทำสมถกรรมฐานก่อนวิปัสสนาทุกคนไหมครับคุณธรรมภูต)
ที่คุณธรรมภูตบอกว่า ต้องได้อัปปนาสมาธิ ถูกต้องทีเดียวครับ แต่ถ้าทำแบบขนิกสมาธิไปเรื่อย จนสติปัญญามันแก่รอบต่อให้ไม่เคยเข้าฌานที่สี่มาก่อน จิตก็จะรวมจิตก็จะถึงฐานให้ตอนนั้นแหละครับ แล้วไม่ทราบว่าตอนที่จิตคุณธรรมภูตถึงฐานที่เรียกว่า ฐีติภูตัง นั้น เกิดกระบวนการอริยมรรคอย่างไรบ้างครับ กรุณาเล่าให้ฟังบ้างครับ
โดย: คนธรรมดา IP: 117.47.194.167 วันที่: 22 ตุลาคม 2552 เวลา:11:27:57 น.
  
บทสวดพระธัมจักกัปปวัตนสูตร
ทุกข์ให้รู้ สมุทัยให้ละ นิโรธทำให้แจ้ง มรรคควรเจริญ
(ตอนแรก)

รู้ทุกข์แจ่มแจ้ง ละสมุทัย(อัตโนมัติ) แจ้งนิโรธ เจริญมรรค
(ตอนหลัง)


เบื้องต้น
มีสติระลึกรู้กายระลึกรู้ใจด้วยความเป็นกลาง ไม่แทรกแซงไปเรื่อยๆ เกิดอะไรขึ้นรู้ลูกเดียว รู้ซื่อๆรู้อย่างเดียวตลอดสาย จนอริยมรรคเกิด ไม่ใช่คิดเอง เออเอง แล้วตู่ว่าเป็นพระโสดาบัน จะมีปัญญารู้ว่า ทุกอย่างเกิดและดับ ทุกอย่างของชั่วคราว ทุกอย่างมีแค่รูปกับนาม ตัวเราไม่มี ไม่มีสัตว์บุคคลตัวตนเราเขา แต่ยังละความยึดถือในกายใจนี้ไม่ได้ กิเลสโลภโกรธหลงครบ แต่มีศีลบริบูรณ์ตามสังโยชน์สาม มีลูกมีเมียได้ ทำงานหาเงินได้
(พระโสดาบัน กับพระสกิทาคามี)
เบื้องกลาง มีสติระลึกรู้กาย ระลึกรู้ใจ ด้วยความเป็นกลางไปเรื่อย จนปัญญามันเกิด และเลิกความยึดถือในกายได้ ละสังโยชน์ห้าได้ แต่ยังยึดถือใจหรือจิตอยู่ (พระอนาคามี) แต่จะไม่กลับมาเกิดในโลกมนุษย์หรือเทวดาอีกต่อไป แต่จะไปเกิดเป็น พรหมสุทธาวาส(สุทธิ บวก อาวาส) มีอยู่ห้าชั้น ยังไม่หลุดจากสังสารวัฏ ที่มีแค่รูปกับนามนี้

เบื้องปลาย มีสติ(ปัฏฐาน)ไปเรื่อยๆจนปัญญามันเกิด เลิกยึดถือใจ(หลุดครบจากรูปจากนาม) ออกจากสังสารวัฏ จิตจะแจ้งอริยสัจสี่ เป็นพระอรหันต์ เห็นพระนิพพานซึ่งเป็นโลกุตระ ซึ่งอยู่นอกสังสารวัฏ
ทุกข์เท่านั้นที่เกิดขึ้น ทุกข์เท่านั้นทีตั้งอยู่ ทุกข์เท่านั้นที่ดับไป
นอกจากทุกข์ ไม่มีอะไรเกิด นอกจากทุกข์ไม่มีอะไรตั้งอยุ่ นอกจากทุกข์ไม่มีอะไรดับไป


ถ้ารู้ทุกข์แจ่มแจ้ง รู้ว่ากายใจนี้ไม่ใช่เรา ตัวเราไม่มี จนสุดท้ายเลิกยึดถือกายใจ เลิกอยากให้กายใจนี้มีความสุข อะไรทุกข์ๆก็ไม่หลีกหนี จิตจะเลิกดิ้นรน เลิกแสวงหาให้กายใจนี้ความสุขอีกต่อไป นิโรธหรือนิพพานซึ่งอยู่นอกสังสารวัฏอยู่นอกกองทุกข์ ก็จะประจักษ์ต่อหน้าจิตผู้รู้เรานี่เอง โดยกระบวนการอริยมรรค ที่แหวกอวิชชา (มรรคสมังคี) ซึ่งบางคนก็ทำทีเดียวสี่ครั้งรวด(โสดาปฏิมรรค สกิทาคามีมรรค อนาคามีมรรค และอรหัตมรรค) กลายเป็น โสดาปฏิผล สกิทาคามีผล อนาคามีผล และอรหัตผล (บางคนก็ทำไปทีละขึ้น)

ไม่ทราบว่ากระผมผิดไหมครับ ถ้าผิดช่วยคุณธรรมภูต แก้ความเห็นผิดให้หน่อยจะได้ไหมครับ
ขอบคุณครับ คุณธรรมภูต
โดย: คนธรรมดา IP: 117.47.194.167 วันที่: 22 ตุลาคม 2552 เวลา:11:28:26 น.
  
ผม เห็นด้วยครับคุณ คนธรรมดาครับ
โดย: ผุ้ อยากรู้ IP: 203.155.40.6 วันที่: 22 ตุลาคม 2552 เวลา:11:50:17 น.
  
หลวงตามหาบัว กล่าวไว้ชัดแจ้งว่า

จิตดวงนี้ไม่เคยตาย ไม่เคยสูญ มันเวียนว่ายตายเกิดเรื่อยไปในวัฏฏะ

...................................


แล้วที่ใครต่อใครมากมายว่า จิตเกิดดับตลอดเวลา
ไม่เที่ยงล่ะ จะว่าไง...
เอ....หรือว่าหลวงตามหาบัวสอนผิด (ตัวใครตัวมันครับทั่น)
แต่เราเชื่อหลวงตาสนิทจิตสนิทใจ
ใครจะว่าต่างไปจากนี้ ไม่สน...ของปลอมหมด

โดย: จิตเดียว IP: 124.120.217.115 วันที่: 22 ตุลาคม 2552 เวลา:11:51:06 น.
  
...ครั้งหนึ่งมีคนเอาอาสนะคนแกะมาถวายหลวงตา
แต่ท่านไม่รับตอบว่า

"เรานั่งจนก้นแทบแตก กิเลสมันถึงได้พัง" หรือ
"ให้ทำตามที่พระพุทธเจ้าสอน คือหลีกเร้นผู้คน อยู่ในที่สงัดวิเวก เรื่องทางโลกต้องทิ้ง มันของหลอก"

แล้วที่บอกว่าอยู่กับโลกก็ปฏิบัติได้ แถมดีกว่าพระที่มีแต่ความสงบว่างๆ เสียอีก เพราะเมื่อขลุกกับโลกจะมีสภาวะให้ดูเยอะดี แล้วปฏิบัติแบบสบายๆ ไม่ต้องฝืน ไม่ต้องกดข่ม จนเข้าใจ ยอมรับมันว่าไม่เที่ยง แล้วก็ปล่อยวางได้เองในที่สุดล่ะ
ขออนุญาตกราบงามๆ คนสอน แล้วถาม "ทฤษฎีใหม่หรือไง"

เอ...หรือหลวงตาทำผิดอีก เอ...หรือมีอีกหนทางที่ระดับหลวงปู่มั่น กับหลวงตาบัว หรือพ่อแม่ครูบาอาจารย์องค์อื่นไม่อาจหยั่งรู้ได้ เลยไม่สอน...กราบขอขมา
(ตัวใครตัวมันเหมือนเดิมครับพี่น้อง)
เพราะเราจะเดินตามรอยหลวงตา
แม้ทุกวันนี้จะยังไม่ได้เท่าขี้เล็บท่านก็ตามเถอะ

เราเข้ามาแสดงความเห็นและนำหลักฐานมาทำให้แจ้งเฉยๆ มิได้ต้องการทะเลาะกับใคร
โดย: จิตเดียว IP: 124.120.217.115 วันที่: 22 ตุลาคม 2552 เวลา:12:04:17 น.
  
ตามความคิดของกระผมนะครับคุณจิตเดียว

กาย นี้มีแค่รูปกับนาม
กายนี้ มี กาย เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ

รูป คือ กาย
นาม คือ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ

ทีนี้มาต่อที่คุณจิตเดียวว่า จิตดวงนี้ไม่เคยตาย แต่ทำไมตายเกิดเรื่อยไป (อืม ขัดแย้งนะครับ ตาย กับตายเกิด)
กระผมว่า จิตเกิดดับตลอดเวลา น่าจะเป็นคำพูดที่เหมาะกับคุณจิตเดียวนะครับ


ต่อนะครับ

ทีนี้ กายกับใจ ที่เรียกว่าขันธ์ห้า มันเป็นตัวทุกข์
เพราะไม่รู้(อวิชชาห่อหุ้มดวงจิตเดิมเเท้ที่เรียกว่า จิตผู้รู้)
ทำให้เกิดอุปาทานในการยึดถือกายกับใจ

สังเกตไหมครับ บางทีเราไม่ได้คิด เเต่จิตมันเผลอไปคิด ซึ่งจิตอันนี้คือ นาม ที่อยู่ในขันธ์ห้า(เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ) โดยมีเราเป็นผู้รู้อยู่ ว่า เอ เมื่อกี๊เผลอไปคิด(จิตผู้รู้ เป็นคนรู้)

คุณจิตเดียวคิดว่าไงครับ
การที่เราจะหลุดพ้นจากขันธ์ห้า โดยมีจิตผู้รู้อยู่พระนิพพาน นิพพานเป็นบรมสุข นิพพานไม่สุญ นิพพานว่างอย่างยิ่ง(ว่างจากขันธ์ห้า ว่างจากกองทุกข์ที่เรียกว่าขันธ์ห้า)

กระผมคิดว่า พวกเราโดยรวมตัวกระผมเอง อาจจะมีความรู้แค่หางอึ่ง ไม่ใช่สติปัญญาระดับปรมัตถ์ เเล้วเอาคำพูดที่พระอรหันต์ มาห้ำหั่นกันเนี่ย คำพูดมันพลิกเเพลงได้นะครับ แต่ก็จะเป็นต้องใช้คำพูดในการสื่อสารกับพวกปุถุชนอยู่ เพื่อไปให้ถึงปรมัตถ์เหมือนกับพระอรหันต์ทั้งหลาย

ของจริงนิ่งเป็นใบ้ ของพูดได้ยังไม่ใช่ของจริง

กระผมยังเป็นปุถุชนอยู่ครับ ยังไม่ได้เป็นพระโสดาบัน
ขอบคุณครับ
โดย: คนธรรมดา IP: 117.47.194.167 วันที่: 22 ตุลาคม 2552 เวลา:12:04:47 น.
  
ปัญญาในชีวิตประจำวันสกปรก มอมแมม เต็มไปด้วยสัญญาอารมณ์ ไม่สามารถฝึกจนเป็นกลางได้ ถ้าเป็นก็ของหลอก กิเลสสร้างอารมณ์ให้

ต้องทำความสงบจนเข้าไปให้ถึงตัวจิตก่อน
จนเกิดภาวนามยปัญญาไปเรื่อยๆ แล้วความเป็นกลางจึงจะเกิด ฯลฯ ขั้นตอนมีมากมายมหาศาล

ลัดสั้นไม่มีหรอก ไม่ใช่เรียน กศน.
โดย: จิตเดียว IP: 124.120.217.115 วันที่: 22 ตุลาคม 2552 เวลา:12:08:43 น.
  
ถึงคุณจิตเดียวนะครับ

บางคนถ้าต้องทำสมถะก่อน คือทำให้ต้องหาที่เงียบสงบในการสมถะเพือให้เกิดสมาธิ แต่บางคนก็ทำได้ในหมู่ชนที่อึดทึกครึกโครมได้นะครับ อย่างดูถูกไป
และที่บอกว่า ดีกว่าพระเสียอีก อันนี้ต้องตอบว่า ไม่ถูกจริตคุณจิตเดียวหรือเปล่าครับ(ว่าเอ๊ยหมิ่นพระนี่) ต้องดูก่อนนะครับว่า หมายถึงพระแบบไหน ถ้าเป็นพระที่ไม่ได้ปฏิบัติก็ถูกนะครับ เพราะว่าปุถุชนเค้าปฏิบัติตามแนวหลวงปู่มั่นตามประโยคนี้เลยนะครับ
"ทำสมาธิมากเนิ่นช้า พิจารณาธรรมมากฟุ้งซ่าน สิ่งที่ดีที่สุดคือการมีสติในชีวิตประจำวัน"
ซึ่งสติในชีวิตประจำวันนั้น กระผมคาดว่าคงจะเป็นสติปัฏฐานสี่ครับ ถ้าผิดโปรดขออภัยด้วยครับ

แล้วทีนี้ก็จะมาถึง เวลาในการปฏิบัติแล้วครับ ลองคิดดูซิครับ ว่าถ้าคนธรรมดาปฏิบัติทั้งวันคือการมีสติ จะเร็วกว่าพระที่เป็นสมมติสงฆ์ที่อยู่วัดแต่ไม่ค่อยได้ปฏิบัติไหมครับ

ผิดพลาดประการใด กราบขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยครับ
โดย: คนธรรมดา IP: 117.47.194.167 วันที่: 22 ตุลาคม 2552 เวลา:12:10:49 น.
  
เอ่อ คุณจิตเดียวครับ ที่บอกว่า ทางลัดสั้นเนี่ย คือสติปัฏฐานสี่ ครับ ไม่ใช่ทางอย่างอื่นครับ

แล้วพระผู้มีพระภาคเจ้าก็ตรัสเอาไว้ว่า เป็นทางสายเอก ทางสายเดียว ทางตรงที่สุด(บางคนก็คิดว่า เหมือนกับทางลัด) น่ะครับ คุณจิตเดียว

แล้วที่คุณจิตเดียวคิดว่าในชีวิตประจำวัน มีสามารถทำให้เป็นกลางได้ แล้วถ้ามีคนทำได้ล่ะครับ ทั้งๆที่ไม่ได้เป็นพระคุณจิตเดียวจะว่าไงบ้างครับ

ขอบคุณครับ
โดย: คนธรรมดา IP: 117.47.194.167 วันที่: 22 ตุลาคม 2552 เวลา:12:13:35 น.
  
กราบเรียนคุณจิตเดียว

ถ้าจะบอกว่า ที่หลวงปู่มั่นสอน พระป่าทุกองค์สอน ตรงกับหลักสติปัฏฐานสี่ ล่ะครับ (ตรงกันที่วิปัสสนา)

ระสึก(รู้) (ระลึกได้) คำเดียวกันไหมครับ เป็น ปัจจุบัน
นึก เป็นอดีต
คิด เป็นอนาคต

รู้สึกตัวเข้าไว้ รู้เข้าไว้ ระลึกได้เข้าไว้ จะตรงกับหลักสติปัฏฐานสี่ไหมครับ (ต้องย้อนมาที่กายที่ใจของตัวเองนะครับ ไม่ใช่ของคนอื่น)

ขอบคุณครับ
โดย: คนธรรมดา IP: 117.47.194.167 วันที่: 22 ตุลาคม 2552 เวลา:12:18:33 น.
  
รู้สึกตัว คือการมีสติแบบโลกๆ เท่านั้น ใช่ จำเป็น ควรทำ แต่ไม่ีใช่กำลังสำคัญของการประหาร

เพราะของจริงๆ คือ สติปัฏฐาน 4 นั้น มันคนละเรื่องกับการรู้สึกตัวในชีวิตประจำวันที่คุณว่า

สติปัฏฐาน 4 เกิดขึ้นจริงหลังจากที่จิตสงบเป็นสัมมาสมาธิแล้ว ตอนนั้นจิตจะเลือกข้อมูลเดิมที่เราสั่งสมมาว่าควรจะพิจารณา กาย เวทนา จิต หรือ ธรรม

ขั้นตอนลึกลับซับซ้อนนัก คนละมิติกับการเจริญสติ แบบที่คุณเรียนมา ซึ่งเราก็เคยเรียนมาเช่นกันเป็นเวลาหลายปี ตั้งแต่สวนโพธิ จนบัดนี้ เราเลิก เพราะรู้ว่า มันเป็นไปไม่ได้



โดย: จิตเดียว IP: 124.120.217.115 วันที่: 22 ตุลาคม 2552 เวลา:12:29:25 น.
  
ถ้าอย่างนั้นแสดงว่า คุณจิตเดียว ได้พระโสดาบันแล้ว ผ่าน ญาณ16 มาแล้วอย่างต่ำหนึ่งรอบ
กราบด้วยเศียรเกล้าของกระผมครับ


กรรมอันใดที่กระผมทำแล้วแด่พระอริยเจ้า พระโสดาบัน (คุณจิตเดียว) กราบอโหสิกรรม ให้กระผมด้วยครับ

ขอบคุณมากครับ
โดย: คนธรรมดา IP: 117.47.194.167 วันที่: 22 ตุลาคม 2552 เวลา:12:33:26 น.
  
เราไม่ได้มีเจตนาไม่ดีอันใด
เพราะเราเคยผิดพลาดมาก่อน รู้ว่าเสียเวลา และอันตรายมาก
เลยไม่อยากให้ใครผิดอีก
ผลลัพธ์ของการดูจิตแบบนี้ ได้แค่มีสติ ชีวิตมีความสุขกว่าเดิมมาก เราไม่เถียง แต่ไม่ใช่หนทางบรรลุธรรม

เราไม่ใช่โสดาบัน เพียงแค่กำลังอยู่ในหนทางคนหนึ่งเท่านั้นเอง
โดย: จิตเดียว IP: 124.120.217.115 วันที่: 22 ตุลาคม 2552 เวลา:12:38:38 น.
  
ขอให้คุณจิตเดียว เจริญในธรรมดวงตาเห็นธรรมในปัจจุบันชาติโดยเร็ววันที่สุด นะครับ

ขอให้เจอหนทางของตัวเอง ตามจริต ถูกต้องตามหลักสติปัฏฐานสี่ นะครับ


ขอบคุณครับ
โดย: คนธรรมดา IP: 117.47.194.167 วันที่: 22 ตุลาคม 2552 เวลา:12:52:01 น.
  
แต่บางท่านกลับสะเพร่า สอนข้ามขั้นตอน โดยอ้างว่าเป็นทางลัดสั้น ทั้งๆ ที่ในพระพุทธศาสนามีทางลัดสั้นเสียที่ไหนหละ? มีทางนี้ทางเดียวเท่านั้น
ที่ต้องเริ่มต้นด้วยการปฏิบัติสมาธิกรรมฐานภาวนาเท่านั้น จึงจะรู้เห็นตามความเป็นจริงได้ครับ

ธรรมภูต
...................................

สาธุ สาธุ สาูธุ
ช่วยยืนยันอีกคนว่า ต้องมีสัมมาสมาธิ จิตสงบรวมลงเข้าถึงตัวจิตก่อนเท่านั้น (ซึ่งวิธีการทำให้จิตสงบต่างหากที่มีหลากหลายตามจริตนิสัยวาสนาของแต่ละคน)
หลังจากนั้นจึงจะเข้าถึงสติปัฏฐาน 4 กาย เวทนา จิต ธรรม (ซึ่งก็จะเป็นข้อมูลตามแต่วาสนาของแต่ละคนที่สั่งสมมาอีกเช่นกัน)

วิปัสสนาของจริงเกิดตอนนี้ แล้วพิจารณาเข้าไปเรื่อย ๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า จากตทังคประหารที่ก็ต้องเกิดซ้ำๆ เช่นกัน
แล้วพัฒนาเรื่อยไปจนสมุทเฉทในที่สุด

โดยแต่ละขั้นตอนตั้งแต่การเริ่มทำสมาธินั้น จะมีขบวนการรายละเอียดยิบย่อยต่างกันไปไม่เหมือนกันเลย เพราะมันขึ้นอยู่กับบุญกรรมที่ทำไว้อีกต่างหาก มันไม่ได้มีอะไรได้มาง่ายดายเลย
ยากแสนยาก เหนื่อยแสนเหนื่อย เพียรแล้วเพียรเล่า ท้อแล้วท้อเล่า...แต่มันไม่ยากเิกินความสามารถของมนุษย์...การออกจากสังสารวัฏ ไม่ได้ง่ายอย่างที่แนวใหม่สอนกันหรอกนะ

เราเห็นความแตกต่างของการฝึกทั้งสองแบบชัดเจนมาแล้ว เพราะทำจริง เห็นจริงมาทั้งสองอย่าง จึงกล้าฟันธงได้เลยว่า ต้องทำตามที่พ่อแม่ครูบาอาจารย์เคยสอนไว้ กรรมฐานแนวใหม่นี้ใช้การไม่ได้เด็ดขาด เด็ดขาด เด็ดขาด





โดย: พุทโธ IP: 124.120.217.115 วันที่: 22 ตุลาคม 2552 เวลา:14:20:00 น.
  
ที่คุณ จิตเดียว กล่าวมา แสดงว่า คุณใช้วิธีเจริญ ปัญญา ในขณะ เข้าณาญ หรือ นั้งสมาธิใช่ หรือไม่ครับและ ไม่ใด้ใช้ การเจริญปัญญาในชีวิตประจำวันใช่หรือไม่ครับ


เจริญในธรรม
โดย: ผุ้ อยากรู้ IP: 203.155.40.6 วันที่: 22 ตุลาคม 2552 เวลา:14:20:33 น.
  
กราบเรียนคุณพุทโธ กับ คุณธรรมภูตที่เคารพ

ถ้ากระผมจะตามนี้ไม่ทราบว่า ต้องแก้ไขอะไรอีกไหมครับ

1. ทำในรูปแบบด้วยการ เดินจงกรม นั่งสมาธิ ในเวลา ตอนเช้า กับตอนกลางคืน โดยทำสมถะเพื่อให้เกิดสมาธิ จนจิตถึงฐานอย่างที่คุณทั้งสองบอก ทำเรื่อยๆทำบ่อยๆ
(กระผมจะเลือกจากกรรมฐานซึ่งมีอยู่ 40 กอง เช่น พุทโธ(พุทธานุสติ) ดูนะครับ )

2. มีสติระลึกรู้กาย ระลึกรู้ใจ ด้วยความเป็นกลางไม่แทรกแซง(มัชฌิมาปฏิปทา) ไปเรื่อยๆ สลับกับหลงไป(ลืมกายลืมใจ) ทำอย่างนี้ไปเรื่อยๆในชีวิตประจำวัน

อย่างนี้พอไหวไหมครับ ถ้ามีอะไรแนะนำขอความกรุณาเลยนะครับ

ขอบคุณครับ
โดย: คนธรรมดา IP: 117.47.194.167 วันที่: 22 ตุลาคม 2552 เวลา:15:33:17 น.
  
ความหมายของการบรรลุ อรหัตผล แต่ละประเภทครับ


สุกขวิปัสสกะ
สุกฺข ( แห้ง , แล้ง ) + วิปสฺสกะ ( ผู้เห็นแจ้ง )

ผู้เห็นแจ้งในมรรคเครื่องยังกิเลสให้แห้ง หมายถึง พระอรหันต์ที่บรรลุมัคคจิต ผล
จิต โดยไม่มีองค์ฌานที่เกิดจากการอบรมสมถภาวนาเกิดร่วมด้วย คือ ไม่ได้อภิญญา ๕
สมาบัติ ๘ ไม่สามารถกระทำอิทธิปาฏิหาริย์ใด ๆ ได้


เจโตวิมุตติ
เจต ( จิต , ใจ ) + วิมุตฺติ ( ความหลุดพ้น )

ความหลุดพ้นด้วยอำนาจแห่งใจ หมายถึง ความหลุดพ้นแห่งจิตจากราคะด้วย
กำลังของสมาธิ ที่เป็นโลกียะ ได้แก่ สมาบัติ ๘ ที่เป็นโลกุตระ ได้แก่ ผลจิต ( มรรคจิตและนิพพานก็ได้ชื่อว่า วิมุตติด้วยโดยปริยาย )

ปัญญาวิมุติ
ปญฺญา ( ความรู้ทั่ว ) + วิมุตฺติ ( ความหลุดพ้น )

ความหลุดพ้นด้วยอำนาจแห่งปัญญา หมายถึง ความหลุดพ้นแห่งจิตจากอวิชชาด้วยกำลังของปัญญา ได้แก่ มรรคจิตซึ่งเป็นขณะที่กำลังหลุดพ้น และผลจิตซึ่ง

เป็นขณะที่หลุดพ้นแล้ว

ปัญญาวิมุติที่เป็นพระอริยบุคคล หมายถึง ผู้ที่หลุดพ้นโดยไม่มีองค์ฌาน

ที่เกิดจากการอบรมสมถภาวนาเกิดพร้อมกับมรรคจิต ผลจิตเป็นการหลุดพ้นเพียงฝ่าย

เดียว ( เอกโตภาควิมุติ คือหลุดพ้นจากสังขาร เพราะมีนิพพานเป็นอารมณ์ )

อุภโตภาควิมุติ หมายถึง พระอริยบุคคลที่บรรลุทั้ง ๒ ฝ่าย คือมีฌานจิต

เกิดพร้อมกับมรรคจิต ผลจิต ( อรูปฌานเป็นการหลุดพ้นจากรูป โลกุตรธรรมเป็น

การหลุดพ้นจากสังขาร )

ถ้า การบรรลุธรรมต้องทำณาญก่อนทุกครับ ผุ้ทีบรรลุธรรมขณะฟังธรรม ก็ไม่ได้ ทำณาณให้บรรลุก่อน ทำไม่บรรลุธรรมได้ครับ

ผู้ไม่เคยบรรลุย่อมคาดเดาเอาเอง เช่นกัน
โดย: ผุ้ อยากรู้ IP: 203.155.40.6 วันที่: 22 ตุลาคม 2552 เวลา:16:50:32 น.
  
มีสติระลึกรู้กาย ระลึกรู้ใจ ด้วยความเป็นกลางไม่แทรกแซง(มัชฌิมาปฏิปทา) ไปเรื่อยๆ สลับกับหลงไป(ลืมกายลืมใจ) ทำอย่างนี้ไปเรื่อยๆในชีวิตประจำวัน
.................................................

ขอโทษและขออนุญาต...ถ้าพุทโธ จะบอกว่า ข่าวดีของการเจริญสติแบบนี้ มีประโยชน์จริง แต่ผลคือทำให้เป็นได้แค่คนดี มีสติ มีความสุขขขข ปล่อยวางงงงง ผ่องใส (ซึ่งคนที่ไม่เคยฝึกอะไรมาเลย จะทึ่ง ตะลึงกับผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นมาก...พุทโธเองก็ผ่านข่าวดีนี้มาแล้ว ส่งการบ้านลงลึกกว่าจุดนี้ด้วยซ้ำ แต่ขออนุญาตไม่เล่าเพราะดีลีททิ้งไปเกลี้ยง)

ทว่า...ข่าวร้ายมากๆ คือ มันไม่ใช่วิปัสสนาสายตรงแต่อย่างใด และไม่เกี่ยวอะไรกับการพ้นทุกข์ในความหมายของศาสนาพุทธ

คุณจะว่าอย่างไร...เอาแค่นี้ก่อนนะ

โดย: พุทโธ IP: 124.120.217.115 วันที่: 22 ตุลาคม 2552 เวลา:18:15:34 น.
  
และข่าวร้ายอีกข้อคือ มัชฌิมาปฏิปทาแท้ๆ ที่ยังประโยชน์ในการประหารกิเลส ไม่ปรากฏในปัญญาแบบโลกียะ ที่เราทำจากการเจริญสติ รู้สึกตัวในชีวิตประจำวัน

คุณจะว่าอย่างไร...
โดย: พุทโธ IP: 124.120.217.115 วันที่: 22 ตุลาคม 2552 เวลา:18:21:56 น.
  
กราบเรียนคุณพุทโธ

สนใจครับ กรุณาเล่าให้ฟังละเอียดได้ไหมครับ ที่คุณพุทโธกำลังปฏิบัติอยู่ตอนนี้

ขอบคุณครับ
โดย: คนธรรมดา IP: 119.31.126.141 วันที่: 22 ตุลาคม 2552 เวลา:18:22:21 น.
  
ถ้า...ถ้าคุณสนใจจริงๆ และคิดว่ากำลังจะดำเนินชีวิตเพื่อการพ้นทุกข์โดยแท้

คุณจะว่าอย่างไร...
ถ้าพุทโธจะบอกว่า
.................................................
มีสติระลึกรู้กาย ระลึกรู้ใจ ด้วยความเป็นกลางไม่แทรกแซง(มัชฌิมาปฏิปทา) ไปเรื่อยๆ สลับกับหลงไป(ลืมกายลืมใจ) ทำอย่างนี้ไปเรื่อยๆในชีวิตประจำวัน
.................................................

ต้องกล้าล้มกระดานนี้ อย่างที่พุทโธล้มอย่างไม่ใยดีมาแล้ว
และหันกลับมาปฏิบัติตามสิ่งที่พ่อแม่ครูบาอาจารย์อาทิ ลต.บัว สั่งสอนไว้ เพราะมีหนทางเดียวจริงๆ นั่นคือ ต้องทำความสงบของใจเข้ามาก่อน
โดย: พุทโธ IP: 124.120.217.115 วันที่: 22 ตุลาคม 2552 เวลา:18:36:04 น.
  
อืม น่าสนใจอย่างที่คุณพุทโธบอกนะครับ ว่าต้องทำสมาธิให้ได้ก่อน แล้วค่อยทำวิปัสสนา(สติปัฏฐาน)

แล้วที่หลวงปุ่เทสก์ เทสรังสี เทศน์ไว้เเบบนี้ มันจะสมาธิไปเรื่อยๆในขณะทำสติปัฏฐานไปด้วยอ่ะครับ

ตามลิงค์นี้

//board.palungjit.com/f4/การทำสมาธิตามแนวสติปัฏฐานสี่-พระธรรมคำสอนของหลวงปู่เทสก์-เทสรังสี-28864.html

ตกลงอันไหนถูกกันแน่เหรอครับ กระผมชักงงๆแล้ว

แล้วอีกอย่างนะครับ คุณพุทโธแน่ใจเหรอครับ ว่าถูกต้องจริงๆ ไม่ได้มีอคติว่า ทำมาตั้งนานทำไมไม่เห็นความจริงของกายของใจ(ตัวเอง) ว่าเป็นตัวทุกข์ซักที เพราะว่าไม่ได้มีสติรู้สึกกายใจ อย่างถูกต้อง เพราะว่าสติปัฏฐาน(ระลึกรู้กายรู้ใจ) ต่างจากสติแบบโลกๆที่ได้ดูกายดูใจนะครับ

ขอบคุณครับคุณพุทโธ



โดย: คนธรรมดา IP: 119.31.126.141 วันที่: 22 ตุลาคม 2552 เวลา:18:45:05 น.
  
ตรงสุดท้ายพิมพ์ขาด ครับ

ต่างจากสติแบบโลกๆ ที่ไม่ได้ดูกายดูใจนะครับ


โดย: คนธรรมดา IP: 119.31.126.141 วันที่: 22 ตุลาคม 2552 เวลา:18:47:26 น.
  
ถ้าจะบอกคุณอีกว่า

สติปัฏฐาน 4 ทำไม่ได้จริงในปัญญาแบบโลกๆ หมายถึงทำไปทำงานไป ทำไปกินข้าวไป...คุณจะว่าอย่างไร ส่วนข้อนี้...

ทำมาตั้งนานทำไมไม่เห็นความจริงของกายของใจ(ตัวเอง) ว่าเป็นตัวทุกข์ซักที
.....................................

พุทโธบอกแล้วว่าไม่ขอเล่า เพราะดีลีทล้มกระดานไปหมดแล้ว คุณพอจะนึกภาพออกมั้ยว่าพุทโธ ได้ผลอะไรมาบ้างจากวิธีนี้
โดย: พุทโธ IP: 124.120.217.115 วันที่: 22 ตุลาคม 2552 เวลา:18:58:58 น.
  
การทำกรรมฐานทุกขั้นตอน ต้องมีครูดูแล คอยชี้แนะทุกขั้นตอน การอ่านแล้วมาทำ มาตีความ เป็นไปไม่ได้ อันตรายมาก เพราะความคลาดเคลื่อนสูง

ต้องครู ที่รู้จริงเท่านั้นคอยเป็นพี่เลี้ยงอยู่เป็นระยะ เน้นว่าต้องมีครูดูแลทุกขบวนการ อย่าทำเอง เออเอง แล้วเทียบเคียงกับตรงนั้นตรงนี้ สภาวะธรรมของใครของมัน ไม่ซ้ำกัน เช่นเดียวกับลายนิ้วมือ คุณเชื่อมั้ยล่ะ
โดย: พุทโธ IP: 124.120.217.115 วันที่: 22 ตุลาคม 2552 เวลา:19:02:33 น.
  
เรียน คุณคนธรรมดา

จากกระทู้พลังจิตที่ทำลิงค์มา
การทำสมาธิตามแนวสติปัฏฐานสี่-พระธรรมคำสอนของหลวงปู่เทสก์-เทสรังสี
ได้ตามไปอ่านดูแล้ว ขออนุญาตแสดง คคห ดังนี้

การปฏิบัติสติปัฏฐาน ๔ ก็คือ การปฏิบัติอริยมรรคมีองค์ ๘ หรือ ศีล สมาธิ ปัญญา นั่นเอง
(ลองอ่านของหลวงปู่ดูอีกหลายๆครั้ง)

เริ่มต้น หลวงปู่กล่าวถึง ศีล

ดังนั้นเราจะต้องเข้าใจถึงการรักษาศีล หรือการปฏิบัติธรรมต่างๆ ว่าทุกอย่างนั้นสำเร็จด้วยใจ ด้วยความตั้งใจในการรักษาธรรมนั้นๆ ก่อนจะปฏิบัติสติปัฏฐาน 4 จึงควรมีศีลเป็นที่ตั้งเสียก่อน เพื่อให้กาย วาจา เกิดความบริสุทธิ์เสียก่อน แล้วใจจะบริสุทธิ์ตามมาอีกทีหนึ่ง จะทำให้การปฏิบัติสติปัฏฐานมีความก้าวหน้ามากยิ่งขึ้น

ต่อด้วยสมาธิ-ปัญญา

ก่อนที่จะเจริญสติปัฏฐานแต่ละข้อ ขอให้พึงกำหนดไว้ในใจก่อนว่า สติกับใจอยู่ด้วยกัน สติอยู่ตรงไหนใจก็อยู่ตรงนั้น ใจอยู่ตรงไหนสติก็อยู่ตรงนั้น ฐานที่ตั้ง-ที่ฝึกอบรมสติ คือสติปัฏฐาน4 ได้แก่ กาย-เวทนา-จิต-ธรรม นั่นเอง

นัยที่ 1-1 เมื่อเอาสติไปตั้งลงที่กาย แล้วให้เพ่งดูเฉพาะกายเฉยๆ ไม่ต้องไปแยกแยะกายให้เป็นธาตุ-อสุภ อันใดทั้งสิ้น แม้แต่คำว่า กาย หรือว่า ตน ก็ไม่ต้องไปคำนึง ให้ตั้งสติเพ่งอยู่อย่างนั้น เมื่อจิตแน่วแน่ตั้งมั่นอยู่ในอารมณ์อันเดียวแล้ว อารมณ์อื่นนอกนั้นมันก็จะหายไปเอง ในขณะนั้นจิตจะไม่ส่งส่ายไปในอดีต-อนาคต แม้แต่สมมุติบัญญัติว่าอันนั้นเป็นนั่น อันนี้เป็นนี่ก็จะไม่มี กายที่จิตไปเพ่งอยู่นั้นก็จะเห็นเป็นสักแต่ว่า วัตถุธาตุอันหนึ่งเท่านั้น มิใช่เรา มิใช่เขา หรือ สัตว์ ตัวตน บุคคลอะไรทั้งนั้น นี่เรียกว่า จิตเข้า เอกัคคตารมณ์ นั่นคือเข้าถึงสติปัฏฐานภาวนาโดยแท้


อันนี้คือขั้นตอนการฝึกนั่งสมาธินั่นเอง
ฐานกายบรรพะแรก คือ อานาปานสติกรรมฐาน
คือ ให้ตั้งสติเพ่งอยู่ที่จุดลมหายใจเข้าออก จนจิตสงบตั้งมั่น
จิตเข้าเอกัคคตารมณ์ (จิตรวมเป็นหนึ่ง)

จิตสงบตั้งมั่น จิตเข้าเอกัคคตารมณ์ นี่คือ สมาธิ
สมาธิเกิดได้เพราะจิตมีพลังปัญญาในการปล่อยวางอารมณ์อันอื่นที่สอดแทรกเข้ามาตลอดเวลา นี่คือ ปัญญา
ซึ่งแน่นอนว่าขณะเวลานี้ ศีลก็บริสุทธิ์ด้วย เพราะจิตไม่ส่งออกไปในอารมณ์อันอื่น

ศีลบริสุทธิ์ ทำให้จิตสงบตั้งมั่นเป็นสมาธิได้ดีขึ้น
จิตสงบตั้งมั่นเป็นสมาธิ ทำให้เกิดปัญญาเห็นอริยสัจ ๔ ตามความเป็นจริง

และเพราะจิตมีพลังปัญญาปล่อยวางอารมณ์อื่นๆออกไปได้ จิตจึงสงบตั้งมั่นเป็นสมาธิได้
ถ้าจิตไม่มีพลังปัญญาปล่อยวางอารมณ์อื่นๆออกไปจากจิต จิตก็สงบตั้งมั่นไม่ได้

นั่นคือ ศีล สมาธิ ปัญญา จะทำงานสัมพันธ์กัน กลมเกลียวกัน เป็นปัจจัยเกื้อกูลกัน

สมาธิที่ศีลอบรมดีแล้ว ย่อมให้ผลใหญ่ ให้อานิสงส์ใหญ่
ปัญญาที่สมาธิอบรมดีแล้ว ย่อมให้ผลใหญ่ ให้อานิสงส์ใหญ่
จิตที่ปัญญาอบรมแล้ว ย่อมหลุดพ้นจากทุกข์ได้


สรุป การปฏิบัติสติปัฏฐาน ๔ คือ การปฏิบัติอริยมรรคมีองค์ ๘
ต้องเริ่มต้นด้วยการนั่งคู้บัลลังก์ ตั้งกายตรง ดำรงสติเฉพาะหน้า
เธอมีสติหายใจเข้า...หายใจออก...ฯลฯ...

ต้องทำให้ได้ขนาดที่ว่า
จิตอยู่ที่ไหน สติอยู่ที่นั่น
สติอยู่ที่ไหน สมาธิอยู่ที่นั่น
สมาธิอยู่ที่ไหน ปัญญาอยู่ที่นั่น
ปัญญาอยู่ที่ไหน ศีล(เจตนางดเว้น)อยู่ที่นั่น

ศีล สมาธิ ปัญญา จะทำงานสัมพันธ์กันจนมรรคสมังคี
ทำให้จิตหลุดพ้นจากทุกข์ได้


ยินดีในธรรมครับ

โดย: หนูเล็กนิดเดียว วันที่: 22 ตุลาคม 2552 เวลา:19:47:37 น.
  
...การปฏิบัติสัมมาสมาธิเป็นบาทฐานสำคัญที่สุด
ที่จะทำให้การปฏิบัติวิปัสสนาสำเร็จหรือล้มเหลว…

จิตที่ได้รับการฝึกฝนจากการปฏิบัติสัมมาสมาธิดีแล้วนั้น
ผู้ปฏิบัติย่อมรู้จักวิธีประคองจิตให้ตั้งอยู่ที่ฐานที่ตั้งสติได้ดี
สติกับจิตย่อมรวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
สติอยู่ที่ใด จิตจะอยู่ที่นั่น หรือ จิตอยู่ที่ใด สติจะอยู่ที่นั่น ด้วยกัน
หากมีความรู้สึกนึกคิดอย่างไร ก็ยกสติไปตั้งกำกับไว้ จนความรู้สึกนึกคิดดับไป
ไม่เปิดโอกาสให้อารมณ์ปรุงแต่งต่อไปอีกดังแต่ก่อน

จิตที่ฝึกปฏิบัติสัมมาสมาธิได้ดีแล้วนี้ ย่อมมีพลังในการสลัดอารมณ์ออกไป
เป็นจิตที่ควรแก่การงาน ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหว และหลุดพ้นจากอารมณ์ทั้งหลายในที่สุด
เป็นเป้าหมายสูงสุดในพระพุทธศาสนา
ที่จะใช้แก้ปัญหายุ่งยากต่างๆในสังคมให้หมดไปได้อย่างแท้จริง
และพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ จะคุ้มครองรักษาให้พ้นภัยทั้งหลายได้อย่างมิต้องสงสัย.

ผู้ปฏิบัติสัมมาสมาธิสามารถทดสอบตัวเองว่า ปฏิบัติธรรมได้ผลเพียงใดหรือไม่
ด้วยการให้จิตรับกระทบอารมณ์ใหญ่ๆซึ่งประทับใจดูว่า
จิตของตนยังมั่นคง หรือหวั่นไหว ฟุ้งซ่านเพียงไรหรือไม่?
ถ้ากระทบอารมณ์แล้วยังหวั่นไหว ฟุ้งซ่าน ยินดียินร้าย หรือ ยังหน้าเขียว ตาขุ่นอยู่
ก็แสดงว่าจะต้องทบทวนการปฏิบัติ และวิธีปฏิบัติให้ดีและคล่องแคล่วยิ่งขึ้นอีก



โดย: หนูเล็กนิดเดียว วันที่: 22 ตุลาคม 2552 เวลา:19:52:15 น.
  
คุณธรรมฑูต เป็นคฤหัสถ์ใช่ไหมครับ

คุณธรรมฑูต เป็นพระโสดาบันหรือยังครับ

ที่ถามเนี่ย ไม่ใช่ลองภูมิอะไรหรอกนะครับ

ที่ถามเพราะว่า จะได้เชื่อสนิทใจได้ว่า เป็นสายแท้

ไม่ใช่แค่สมมติสงฆ์หรือคฤหัสถ์ที่ยังไม่ได้บรรลุธรรมอะไรเลยน่ะครับ กระผมกลัวว่าจะหลงทางน่ะครับ

อย่าโกรธผมนะครับ

ถามข้อเดียวนี่แหละครับ ว่าได้พระโสดาบันหรือยัง หรือว่า พระสกิทาคามี หรือว่า พระอนาคามี หรือว่า พระอรหันต์แล้ว

ขอบคุณมากครับ

โดย: คนธรรมดา IP: 117.47.194.167 วันที่: 22 ตุลาคม 2552 เวลา:8:38:20 น.
..................


รู้ได้ไงครับว่าผมไม่ใช่??? ถึงไม่ใช่แต่ก็ใกล้เคียงหละครับ

มิฉะนั้นแล้วผมมิอาจหาญทำตนเป็นพุทธบุตรที่ดี
ที่คอยปกป้องศักดิ์ศรีของจอมศาสดาและพระอริยะเจ้าทั้งหลายหรอกครับ
เพราะท่านทั้งหลายโดนนำมาแอบอ้างจนเสียชื่อเสียงหมด

ท่านหายนะฯเอง ก็อย่าทำตัวให้เป็นมิจฉาทิฐิ
ที่คอยปกป้องท่านที่ชอบแอบอ้างผู้อื่นเพื่อผลักดันตัวเองให้สูงขึ้นเลยครับ

ทำไมหละครับ พระอรหันต์ท่านปล่อยวางความยึดมั่นถือมั่นออกไปหมด
เมื่อปล่อยวาง ย่อมปราศจากอารมณ์
เมื่อปราศจากอารมณ์ จิตก็ย่อมบริสุทธิ์ปราศจากกิเลสใช่มั้ยครับ???

ถ้าไม่รู้จริงๆก็พอให้อภัยได้ครับ
แต่ถ้ารู้ทั้งรู้อยู่ แต่ยังแกล้งไม่รู้ แบบนี้สมควรประณามมั้ยครับ???

ผมขอถามท่านนะครับว่า
ที่ท่านอาจารย์ปรามาสจอมศาสดาและครูบาอาจารย์ผู้บริสุทธิ์หละ ผมต้องขอมั้ย???

ขอเพียงท่านอาจารย์เป็นผู้ถึงพร้อมเถอะ ไม่ต้องขอ
ผมยินดีไปกราบไหว้ให้เป็นที่พึ่งเป็นสรณะอยู่แล้วครับท่าน

ธรรมภูต




โดย: ในความฝันของใครสักคน วันที่: 2 กรกฎาคม 2552 เวลา:8:41:02 น.

โดย: ในความฝันของใครสักคน วันที่: 22 ตุลาคม 2552 เวลา:20:10:07 น.
  

กราบขอโทษคุณธรรมภูตด้วยครับ อ่านไม่ละเอียด ทำให้ไม่ทราบว่าคุณธรรมฑูตตอบแล้วครับ

กระผมคิดว่าคุณธรรมฑูต ยังไม่ผ่าน ญาณ16 เลยซักครั้งเดียวนะครับ โลกธาตุก็ไม่ดับ ในขณะผลจิต และขณะโสดาปฏิมรรค คุณธรรมฑูต ก็ยังไม่ผ่านเลย อย่างนี้จะเรียกได้ว่า เป็นการคิดเอง เออเองหรือเปล่าครับที่เรียกว่า อัตตา ตัวกู ของกู น่ะครับ

ขอบคุณครับคุณธรรมฑูต แลกเปลี่ยนกันนะครับ อย่าด่าผมนะครับ

ขอบคุณมากครับ

โดย: คนธรรมดา IP: 117.47.194.167 วันที่: 22 ตุลาคม 2552 เวลา:10:50:32 น.
..................
ท่านคนธรรมดาครับ
ท่านต้องอ่านของผมให้ดีๆนะครับ ในสัมมาสมาธินั้นมีเพียงฌาน๑ถึง๔เท่านั้น
และในฌาน๔ก็ปรากฏ ปัญญาญาณ นิพพิทาญาณขึ้นแล้วครับ
ญาณ๑๖ที่ท่านยกมานั้น เป็นของอรรถกถาจารย์รจนาเพิ่มเติ่มเสริมแต่งในภายหลังครับ

ถ้าผมบอกว่า เคยมีประสบการณ์ผ่านการแยกกายแยกจิตออกจากกันได้แล้ว
เข้าสู่ตทังควิมุตติ ผมมีสิทธิ์วิพากษ์วิจารณ์มั้ยครับ?
ผมกล้าบอกได้ว่า ผมเห็นทาง รู้ระยะ แต่ยังไปไม่ถึงคงไม่เป็นความผิดของผมนะครับ

ธรรมภูต
โดย: ในความฝันของใครสักคน วันที่: 22 ตุลาคม 2552 เวลา:20:22:19 น.
  
ขอบคุณครับ คุณธรรมภูต และก็กราบขอโทษมา ณ ที่นี้ด้วยนะครับ ที่ไปทำให้คุณธรรมภูตคิดเช่นนั้นครับ
โดย: คนธรรมดา IP: 119.31.113.8 วันที่: 22 ตุลาคม 2552 เวลา:20:22:22 น.
  
ถ้ายังมีผู้รู้..ก็ไม่เห็นนิพานจริง...

ผู้รู้และสิ่งที่ถูกรู้..คือสิ่งเดียวกัน

ธาตุรู้เท่านั้น...ที่เห็นนิพพานได้

โดย: palmgang IP: 119.42.72.19 วันที่: 22 ตุลาคม 2552 เวลา:20:24:23 น.
  
เข้าใจแล้วครับ ขอโทษด้วยครับที่กระผมเข้าใจคุณธรรมภูตผิดไปนะครับ

ตทังควิมุตติ - “พ้นได้ด้วยองค์นั้น” หมายความว่า พ้นจากกิเลสด้วยอาศัยธรรมตรงกันข้ามที่เป็นคู่ปรับกัน เช่น เกิดเมตตา จึงหายโกรธ, เกิดสังเวช จึงหายกำหนัด เป็นต้น เป็นการหลุดพ้นชั่วคราว และเป็นโลกิยวิมุตติ

//www.nkgen.com/ex3.htm

ขอให้คุณธรรมภูตดวงตาเห็นธรรมในปัจจุบันชาติโดยเร็ววันที่สุดนะครับ
ขอบคุณครับ
โดย: คนธรรมดา IP: 119.31.113.8 วันที่: 22 ตุลาคม 2552 เวลา:20:27:29 น.
  
ขอบคุณคุณ palmgang ด้วยครับ ตอบได้ตรงใจกระผมมากครับ

ธาตุรู้เท่านั้น ที่เห็นนิพพานได้

ผิดมาตั้งนาน ขอบคุณจริงๆครับ

โดย: คนธรรมดา IP: 119.31.113.8 วันที่: 22 ตุลาคม 2552 เวลา:20:32:13 น.
  
ธรรมภูต...เรารู้ว่าจิตเริ่มไหวตัวเพื่อไปรับเอาอารมณ์กลัวเข้ามาเป็นอารมณ์ของเรา
เราก็รีบ(สัมมาสติ)ดึงจิตให้กลับมาสู่ฐานที่ตั้งสติ(กรรมฐาน)
อันเป็นที่ๆจิตสงบตั้งมั่นไม่หวั่นไหวต่ออารมณ์ จิตจะเศร้าได้อย่างไร? ในเมื่อไล่แขกจรไปแล้ว


++++++++++++

การดึงจิตกลับมา นั้น แสดงว่ามีความจงใจที่จะดึงเป็น กระทำภายใต้โลภะเจตสิก ซึ่งเป็นอกุศลจิตครับ สติที่เกิดมิใช่สัมมาสติครับ สัมมาสติ จะไม่เกิดกับ อกุศลเจตสิกครับ

โดย: ผุ้ อยากรู้ IP: 203.155.40.6 วันที่: 22 ตุลาคม 2552 เวลา:10:59:16 น.
..................
ท่านผู้อยากรู้ครับ
ท่านเลิกมั่วได้แล้วครับ การดึงจิตกลับมาสู่ความสงบตั้งมั่นไม่หวั่นไหว
ยังตกอยู่ภายใต้โลภะเจตสิกอีกเหรอครับ แถมยัดเยียดให้เป็นอกุศลจิตอีกต่างหาก
ท่านไม่บ้าก็เมาแล้วครับ การยังจิตที่เริ่มจะมีอาการหวั่นไหว กลับมาสู่ความสงบตั้งมั่นไม่หวั่นไหว
ย่อมเป็นจิตที่เป็นกุศล ส่วนจิตที่ตกอยู่ในอำนาจโลภะเจตสิกนั้น ย่อมหวั่นไหวฟุ้งซ่านครับ
ถูกต้องครับสัมมาสติ ย่อมเกิดในกุศลจิตเท่านั้นครับ......

ธรรมภูต

โดย: ในความฝันของใครสักคน วันที่: 22 ตุลาคม 2552 เวลา:20:33:29 น.
  
คุณธรรมภูตอายุเท่าไหร่แล้วเหรอครับ
พิจารณาธรรมมากี่ปีแล้วเหรอครับ
กระผมว่าคุณธรรมภูตน่าจะเหมาะกับเพศบรรพชิตมากนะครับ จะได้ทำพระนิพพานให้แจ้งครับ
โดย: คนธรรมดา IP: 119.31.113.8 วันที่: 22 ตุลาคม 2552 เวลา:20:50:58 น.
  
ธรรมภูต...ผมเองเฉียดตายมาไม่ต่ำกว่าสิบครั้ง ผมเองน่าจะไม่กลัวความตายแล้วนะครับ?
แต่แท้จริงแล้วไม่ใช่เลย เมื่อตอนปฏิบัติกรรมฐานภาวนาจิตเริ่มสงบตั้งมั่นอยู่นั้น
ลองถามตนเองดูว่า ยังกลัวตายอยู่มั้ย จิตก็ตอบตามตรงว่ายังมีความกลัวตายอยู่บ้าง
ผู้ที่จะไม่กลัวต่อความตายโดยสิ้นเชิงได้นั้น เห็นมีแต่พระโสดาบันขึ้นไปเท่านั้น....

++++++++++++++
สำหรับคุณธรรมดาครับ ทางคุณธรรภูตได้ตอบแล้วว่า ยังมีควากลัวตายอยู่ซึ่งยังไม่ได้บรรลุธรรมขั้นใดครับดู คำตอบของ คุณธรรมภูตได้ข้างบนครับ
ภาวะพระนิพพาน เป็นภาวะที่จิตที่มีคุณภาพ ไปประจัก ครับ ไม่ใช่ตัวจิต
ถึงคุณธรรมภูต จะบอกว่าอย่างเอาสนุก แต่ผมก็ยังรู้สึกสนุกในการสนทนาธรรมครั้งนี้ครับ

คำจากท่านผุ้รู้
สมาธิ เกิดเมื่อหมดความอยาก
วิปัสสนา เริ่มเมื่อ หมดความคิด
โดย: ผุ้ อยากรู้ IP: 203.155.40.6 วันที่: 22 ตุลาคม 2552 เวลา:10:59:16 น.

..................
ท่านผู้อยากรู้ครับ
ท่านหมดความกลัวตายแล้วใช่มั้ยครับ หรือรู้จักว่าใครที่พูดว่าหมดความกลัวตายแล้วครับ
ผมอยากพิสูจน์ครับ ท่านแนะนำมาได้เลยนะครับ ส่วนใหญ่ที่เจอล้วนขี้คุยทั้งนั้น
ถึงผมยังไม่ใช่พระอริยเจ้า แต่ก็ใกล้เคียงครับ เห็นทาง รู้ระยะทาง แต่ยังไปไมถึงเท่านั้น(ยังชอบเดินเล่น)

ท่านผู้อยากรู้อย่าพูดขัดแย้งกันเองสิครับ
จิตที่ประจักษ์พระนิพพานได้นั้น ต้องรู้จักพระนิพพานใช่มั้ยครับ?
ตัวจิตเป็นยังไงเอามาให้ดูบ้างสิครับ? อสรีรัง=ไม่มีรูปร่าง เป็นธาตุรู้
ตอบด้วยครับว่า พระนิพพานเกิดขึ้นที่ไหน? อย่าบอกนะครับว่าเกิดขึ้นลอยๆ

จากปราชญ์นิรนาม
สมาธิเกิด เมื่อจิตมีสติตั้งมั่นไม่หวั่นไหว
วิปัสสนา เริ่มเมื่อจิตปล่อยวางความคิด

ความคิดไม่มีหมด เมื่อยังต้องอยู่กับโลก
ท่านผู้อยากรู้ไม่ต้องฟลัดคคห.ก็ได้ ผมตอบให้แน่นอน


ธรรมภูต
โดย: ในความฝันของใครสักคน วันที่: 22 ตุลาคม 2552 เวลา:20:54:42 น.
  

ถ้ายังมีผู้รู้..ก็ไม่เห็นนิพานจริง...

ผู้รู้และสิ่งที่ถูกรู้..คือสิ่งเดียวกัน

ธาตุรู้เท่านั้น...ที่เห็นนิพพานได้
โดย: palmgang IP: 119.42.72.19 วันที่: 22 ตุลาคม 2552 เวลา:20:24:23 น.
..................
ท่านpalmgangครับ
จิตคือธาตุรู้
จิตที่มีอวิชชาครอบงำ ย่อมรู้เห็นผิดจากความเป็นจริง รู้อะไรเป็นยึดทั้งนั้น
จิตที่มีวิชชา ย่อมรู้เห็นตามความเป็นจริง รู้อะไรเป็นปล่อยวางควมยึดถือสิ้นเชิง
ผู้รู้คือผู้รู้ คือจิตที่เป็นธาตุรู้
สิ่งที่ถูกรู้คือสิ่งที่ถูกรู้ คืออารมณ์ที่เป็นแขกจรทำให้จิตเศร้าหมองครับ
ธาตุรู้เท่านั้น...ที่เห็นนิพพานได้..เห็นที่ไหน? ถ้าไม่ใช่เห็นที่จิตตนเอง?

ธรรมภูต
โดย: ในความฝันของใครสักคน วันที่: 22 ตุลาคม 2552 เวลา:21:34:24 น.
  
คุณธรรมภูตอายุเท่าไหร่แล้วเหรอครับ
พิจารณาธรรมมากี่ปีแล้วเหรอครับ
กระผมว่าคุณธรรมภูตน่าจะเหมาะกับเพศบรรพชิตมากนะครับ จะได้ทำพระนิพพานให้แจ้งครับ

โดย: คนธรรมดา IP: 119.31.113.8 วันที่: 22 ตุลาคม 2552 เวลา:20:50:58 น.
..................
ครับท่านคนธรรมดา
อายุครึ่งร้อยอัพ(อาวุโสโอเค)แล้วครับ
พิจารณาธรรมมายังมากครับประมาณ๑๗-๑๘ปี หมายถึงจริงๆจังๆไม่มีเว้น
แต่สนใจศาสนาพุทธมานานแล้ว ในวัยหนุ่มเคยบวช ถือนิสัยอยู่กับหลวงพ่อสนอง(วัดสังฆทาน)
มีจุดมุ่งหมายที่จะไม่สึก แต่เพราะทางครอบครัวขอร้องให้สึกเพื่อออกมาช่วยครอบครัว
ทุกวันนี้ไม่บวชก็เหมือนบวชแหละครับ ใช้ชีวิตแบบง่ายๆ ยังปฏิบัติภาวนาอยู่ทุกวัน

ปล.คคหที่ยังไม่ตอบท่านผู้อยากรู้หรือท่านอื่นจะค่อยๆทยอยตอบครับ เย็นไว้โยม....

เวลาหมด หมดเวลา

ธรรมภูต
โดย: ในความฝันของใครสักคน วันที่: 22 ตุลาคม 2552 เวลา:21:48:07 น.
  
ถามข้อเดียวนี่แหละครับ ว่าได้พระโสดาบันหรือยัง หรือว่า พระสกิทาคามี หรือว่า พระอนาคามี หรือว่า พระอรหันต์แล้ว

ขอบคุณมากครับ

โดย: คนธรรมดา IP: 117.47.194.167 วันที่: 22 ตุลาคม 2552 เวลา:8:38:20 น

คุณคะ
อย่ามัวเสียเวลาถามหาในอินเตอร์เนทเลยค่ะว่าใครเป็นพระโสดาบัน พระสกิทาคามี พระอรหันต์บ้าง
ถ้ามีใครตอบว่าเค้าเป็น เราจะเชื่อได้รึ???

ผู้เป็นพระโสดาบันจริงๆ (เอาแค่ระดับโสดาบันก็พอ ไม่ต้องพูดถึงพระสกิทาคามี พระอรหันต์)
ท่านไม่โอ้อวด ไม่อวดอ้าง ไม่ทำการตลาดเพื่อโปรปากานดาตัวเองหรอกค่ะ

ที่มาเล่นเนทแล้วป่าวประกาศทั้งทางตรงและทางอ้อมว่าเป็นพระโสดาบันนั้น
น่าจะเป็นพระโซดาแต่งตั้งทั้งนั้นแหละเจ้าค่ะ

สำหรับพระโสดาบันนั้น ท่านต้องมีศีล ๕ บริสุทธิ์ ไม่มีขาดทะลุหรือด่างพร้อยเลย
จริงอยู่ท่านยังตัดสังโยชน์ได้ไม่หมด ในเมื่อท่านยังอยู่กับโลก
ท่านก็จะรู้จักวิธีที่จะหลีกเลี่ยงเรื่องในโลกที่ทำให้ธรรมเนิ่นช้าได้

ความสำคัญจึงอยู่ที่เราควรจะลงมือปฏิบัติสมาธิกรรมฐานภาวนาเป็นสำคัญมากกว่า
ทีนี้คำถามก็มีว่าแล้วจะเชื่อใครดี???

ก็ต้องกาลามสูตรค่ะ...สมาทานแล้ว ได้รับประโยชน์ ได้รับความสุข ผู้รู้สรรเสริญ ฯลฯ...

มีพระพุทธพจน์(พระสูตรและพระวินัย) เปรียบเหมือนแผนที่ไว้เทียบเคียง
มีครูบาอาจารย์แต่เก่าก่อน เป็นผู้ชี้ทางเดินตามแผนที่
มีสหธรรมิก เป็นผู้ช่วยไม่ให้เดินออกนอกลู่นอกทาง

อนุโมทนาค่ะ
โดย: สมาชิกผู้ทรงเกียรติ วันที่: 23 ตุลาคม 2552 เวลา:6:46:33 น.
  
ธรรมะของพระพุทธองค์ ย่อมเชื่อมโยงกันได้หมด
ธรรมะของพระพุทธองค์ ย่อมไม่กล่าวขัดแย้งกันเอง

“ถ้ามีภิกษุมากล่าวอ้างว่านี่เป็นธรรม นี่เป็นวินัย
พวกเธอไม่พึงชื่นชม ไม่พึงคัดค้านคำกล่าวของภิกษุนั้น

ครั้นแล้วให้พึงเรียนบทและพยัญชนะให้ดี
แล้วนำไปสอบสวนในพระสูตร เทียบเคียงในพระวินัย
(แสดงว่าพระอภิธรรมปิฎกยังไม่มีในพุทธกาล)

ถ้าหากลงในพระสูตรไม่ได้ เทียบเคียงในพระวินัยไม่ได้
พึงถึงความตกลงในข้อนี้ว่า
นี่ไม่ใช่คำสั่งสอนของพระผู้มีพระภาคย์แน่นอน และภิกษุนี้จำผิดมาแล้ว
ดังนั้น พวกเธอพึงทิ้งคำกล่าวนั้นเสีย

แต่ถ้าสอบสวนลงในพระสูตรได้ เทียบเคียงในพระวินัยได้
พึงถึงความตกลงในข้อนี้ว่า
นี่เป็นคำสั่งสอนของพระผู้มีพระภาคย์แน่นอน และภิกษุนี้จำมาถูกต้องแล้ว”



ธรรมะของพระพุทธองค์ ไม่มีลิขสิทธิ์
พระองค์ทรงค้นพบด้วยองค์เอง ทรงสอนพระสาวกให้ปฏิบัติตามเสด็จ
และให้พระสาวกออกเผยแผ่

“ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจงเที่ยวจาริก (อบรมสั่งสอน) ไป
เพื่อประโยชน์และความสุขแก่ชนทั้งหลาย เพื่ออนุเคราะห์ชาวโลก
เพื่อประโยชน์และความสุขของเทพยดาและมนุษย์ทั้งหลายเถิด

พวกเธออย่าได้ไปรวมทางเดียวกัน ๒ รูป

จงแสดงธรรมอันงามในเบื้องต้น (ศีล),
งามในท่ามกลาง (สมาธิ),
งามในที่สุด (ปัญญา)
จงประกาศพรหมจรรย์ พร้อมทั้งอรรถะและพยัญชนะครบบริบูรณ์, บริสุทธิ์

สัตว์ทั้งหลาย (ผู้ติดข้องอยู่ในอารมณ์) จำพวกที่มี กิเลสเบาบางมีอยู่
เพราะไม่ได้ฟังธรรมย่อมเสื่อม, ผู้รู้ทั่วถึง ธรรมจักมี

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย แม้เราเองก็จักไปยังตำบลอุรุเวลาเสนานิคม เพื่อแสดงธรรม”



ยินดีในธรรมครับ


โดย: หนูเล็กนิดเดียว วันที่: 23 ตุลาคม 2552 เวลา:7:10:59 น.
  
ผู้เป็นพระโสดาบันจริงๆ (เอาแค่ระดับโสดาบันก็พอ ไม่ต้องพูดถึงพระสกิทาคามี พระอรหันต์)
ท่านไม่โอ้อวด ไม่อวดอ้าง ไม่ทำการตลาดเพื่อโปรปากานดาตัวเองหรอกค่ะ

โดย: สมาชิกผู้ทรงเกียรติ วันที่: 23 ตุลาคม 2552 เวลา:6:46:33 น.
..................
ครับท่านสมาชิกผู้ทรงเกียรติ
ในยุคสมัยนี้ มีแต่คนที่ชอบแอบอ้างและแต่งตั้งกันเอง
โดยไม่พิจารณาถึงภูมิธรรมของตนเองเลย
ทั้งที่คำสอนเหล่านั้นขัดแย้งกับพระพุทธพจน์
และพ่อแม่ครูบาอาจารย์ทั้งหลายแต่เก่าก่อนโดยสิ้นเชิง
แต่ยังกล้าสมอ้างโดยไม่มีความละอายในจิตใจเลยแม้แต่น้อย
การปฏิบัติที่กระทำอยู่ ศาสนาไหนๆก็สอนเช่นกัน ติดดีในดีที่ได้รับ

มุ้งเน้นแต่การสร้างภาพและการตลาด เพียงเพื่อให้ดูดี ส่วนวัตรปฏิบัตินั้นไม่ตรงรอยพระบาทเลยครับ

ธรรมภูต
โดย: ในความฝันของใครสักคน วันที่: 23 ตุลาคม 2552 เวลา:7:48:11 น.
  
จงแสดงธรรมอันงามในเบื้องต้น (ศีล),
งามในท่ามกลาง (สมาธิ),
งามในที่สุด (ปัญญา)
จงประกาศพรหมจรรย์ พร้อมทั้งอรรถะและพยัญชนะครบบริบูรณ์, บริสุทธิ์

สัตว์ทั้งหลาย (ผู้ติดข้องอยู่ในอารมณ์) จำพวกที่มี กิเลสเบาบางมีอยู่
เพราะไม่ได้ฟังธรรมย่อมเสื่อม, ผู้รู้ทั่วถึง ธรรมจักมี

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย แม้เราเองก็จักไปยังตำบลอุรุเวลาเสนานิคม เพื่อแสดงธรรม”

โดย: หนูเล็กนิดเดียว วันที่: 23 ตุลาคม 2552 เวลา:7:10:59 น.
..................
ครับท่านหนูเล็กนิดเดียว
ขออนุโมทนาที่ท่านเป็นผู้อยากรู้ที่แท้จริง รู้จักเปรียบเทียบ เทียบเคียงกับพระสูตรและพระวินัย

ในสมัยนี้สอนธรรมแบบกลับหัวกลับหางกันแล้วครับ โดยเน้นเอาปัญญาขึ้นหน้า
เพราะเหมาะกับคนกรุงที่มีการศึกษา ชอบคิดฟุ้งซ่านเป็นอาจิณ ตามความคิดที่ต้องการ
มีความเกียจคร้านที่จะปฏิบัติสมาธิกรรมฐานภาวนาว่า เป็นเรื่องเสียเวลาและหลุดพ้นไม่ได้
ทั้งๆที่ในพระสูตรมากมายที่พระพุทธองค์ทรงเน้นให้ปรารภความเพียร
โดยการภาวนาตามโคนไม้ ในป่า ที่ว่างจากเรือนเพื่อพิจารณากาย เวทนา จิต ธรรม

แต่ในปัจจุบันนี้ ผู้สอนที่หลงตัวเองกลับสอนให้มองเมินต่อการปฏิบัติสมาธิกรรมฐานภาวนา
เพราะตนเองก็ไม่เคยปฏิบัติสมาธิกรรมฐานภาวนา จนกระทั่งเข้าถึงสภาวะธรรมอันเอกผุดขึ้นมา
ไม่สามารถแยกกาย(ขันธ์๕)แยกจิตแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด จิตไม่เคยเป็นอิสระจากอารมณ์

เมื่อไม่เคยเข้าถึง ก็ไม่รู้จักจิต เมื่อไม่รู้จักจิต ก็มองว่าจิตเหลวไหลตามตำราอภิธรรมที่รจนาไว้
เมื่อเห็นว่าจิตเหลวไหล ก็ไม่พิจารณาที่จะอบรมฝึกฝนจิต ปล่อยให้จิตไหลไปตามอารมณ์ความคิดปรุงแต่ง
ย่อมมองเห็นแต่อาการของจิต โดยไม่เคยรู้จักสภาพธรรมที่แท้จริงของจิตครับ......

ธรรมภูต
โดย: ในความฝันของใครสักคน วันที่: 23 ตุลาคม 2552 เวลา:8:14:46 น.
  
กราบเรียนคุณธรรมภูตช่วยตรวจสอบให้กระผมหน่อยซิครับว่า กระผมมีความคิดที่เป็นมิจฉาทิฐิ ไหมครับ

บทสวดพระธัมมจักรกัปปวัตนสูตรที่ว่า

สังขิตเตนะ ปัญจุปาทานักขันธา ทุกขา
(สรุปโดยย่อ ความยึดมั่นถือมั่นในกายใจทำให้เป็นทุกข์)(ทำให้ไม่หลุดพ้นจากสังสารวัฏ)
(ไม่ทราบว่ากระผมเเปลผิดไหม ถ้าผิดกระผมขอโทษด้วยครับ)

กายใจ เป็นตัวทุกข์
ขันธ์ห้า คือ ตัวทุกข์
ทำอย่างไร จึงจะหลุดพ้นจากตัวทุกข์นี้ไปได้?

"ทุกขัง อริยสัจจัง ปริญเญยันติ" ทุกข์ให้รู้

ทุกข์คืออะไร ทุกข์คือกายกับใจ ทุกข์ให้รู้ทำอย่างไร
โดย: คนธรรมดา IP: 117.47.194.167 วันที่: 22 ตุลาคม 2552
เวลา:11:27:57 น.
....................................
ท่านคนธรรมดาครับ
ท่านก็สามารถตรวจสอบเองได้อยู่แล้วโดยใช้หลักกาลามสูตร
หรือตรวจสอบว่าลงกับพระสูตรและพระวินัยได้หรือไม่

ผมถามท่าน ท่านก็ช่วยตอบเท่ากับเป็นการสำรวจตนเองไปในตัวครับ
สังขิตเตนะ ปัญจุปาทานักขันธา ทุกขา
โดยย่นย่อ อุปปาทานขันธ์๕ รูปเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณนั้นล้วนเป็นทุกข์
ทำให้ไม่หลุดพ้นจากสังสารวัฏ ที่ว่าหลุดพ้นอะไรหลุดพ้น???
ใจเป็นอายตนะหนึ่งในหก(ช่องทางรับอารมณ์) จะเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าจิตก็ได้
ตาเห็นรูป หูได้ยินเสียง จมูกดมกลิ่น ลิ้นรู้รส กายรับผัสสะ ใจบ่อเกิดแห่งธรรมารมณ์

เมื่อจิตที่ถูกอวิชชาครอบงำ กิเลส กรรม วิบาก กดดันให้มาเกิด
ก็ยึดมั่นถือมั่นว่าขันธ์๕เป็นของๆตนใช่มั้ย???

กายใจเป็นทุกข์เพราะใจไปยึดถือมั่นเอาขันธ์๕มาเป็นของๆตน ถ้าไม่ยึดก็ไม่ทุกข์ใช่มั้ย???

ทำอย่างไร จึงจะหลุดพ้นจากตัวทุกข์นี้ไปได้? มีพระบาลีกล่าวไว้ว่า
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ทางนี้เป็นที่ไปอันเอก เพื่อหมดจดวิเศษของสัตว์ทั้งหลาย(พ้นทุกข์)
เพื่อความก้าวล่วง ซึ่งความโศกและความร่ำไร
เพื่ออัสดงค์ดับไปแห่งทุกข์และโทมนัส
เพื่อบรรลุญายธรรม(ธรรมที่ควรรู ธรรมที่ถูฏ คืออริยมรรคมีองค์๘)

"ทุกขัง อริยสัจจัง ปริญเญยันติ" ทุกข์ควรกำหนดรู้ ไม่ใช่ให้รู้เฉยๆ ให้รู้เฉยๆใครๆก็รู้
แต่การกำหนดรู้นี่สิสำคัญ เมื่อกำหนดรู้ได้ ก็ต้องเพียรละให้ได้ รู้เฉยๆมีใครบ้างที่ไม่รู้
ความไม่สบายกาย ความไม่สบายใจล้วนเป็นทุกข์ใครๆก็รู้ แต่ทำไมยังทำอยู่หละ???
เพราะจิตไม่มีพลังสติเพื่อยับยั้งใช่มั้ย???

ทุกข์คืออะไร ทุกข์คือกายกับใจ ทุกข์ให้รู้ทำอย่างไรผลอันเกิดจากจิตที่ส่งออกนั้นเป็นทุกข์ใช่มั้ย??? ถ้าใช่? ทำยังไง?.....

เมื่อรู้อยู่แล้วว่าผลอันเกิดจากจิตที่ส่งออกนั้นเป็นทุกข์
ก็เพียรกำหนดรู้อยู่ที่องค์ภาวนา "พุทโธ" (รู้อยู่ที่รู้) อย่าให้จิตส่งออกไปรู้อยู่ที่เรื่องราวต่างๆ จะเป็นทุกข์มั้ย???

ธรรมภูต
โดย: ในความฝันของใครสักคน วันที่: 23 ตุลาคม 2552 เวลา:10:21:54 น.
  
สติปัฏฐานสี่
มีสติระลึกรู้กาย ระลึกรู้ใจ ด้วยความเป็นกลาง ไม่แทรกแซง
(ถ้าแทรกแซง ก็จะไม่เป็นสายกลางที่เรียกว่า มัชฌิมาปฏิปทา)
(แต่จะเป็นกามสุขลิกานุโยค หรือไม่ก็ อัตตกิลมถานุโยค แทน)
ทางนี้เป็นทางสายเอก ทางสายเดียวที่ทำให้เหล่าสัตว์หลดพ้นจากกองทุกข์ที่เรียกว่าสังสารวัฏซึ่งมีแค่รูปกับนามนี้ไปได้

โดย: คนธรรมดา IP: 117.47.194.167 วันที่: 22 ตุลาคม 2552
เวลา:11:27:57 น.
....................................
ท่านคนธรรมดาครับ
เช่นเคยครับ ท่านลองตอบคำถามของผมไปเรื่อยๆ ท่านก็จะถึงบางอ้อเองครับ

คำว่า "มีสติระลึกรู้กาย ระลึกรู้ใจ ด้วยความเป็นกลาง ไม่แทรกแซง
(ถ้าแทรกแซง ก็จะไม่เป็นสายกลางที่เรียกว่า มัชฌิมาปฏิปทา)"


ท่านลองนิยามคำว่าเป็นกลางให้เข้าใจหน่อยสิครับ?
คนอ้วนกินข้าวสองจานไม่อิ่ม ในขณะที่คุณกินแค่จานเดียวอิ่มแทบตาย อันไหนเป็นกลางครับ
ความเป็นกลางนั้น ใช่ ดีชั่วก็ไม่ใช่ สูงต่ำก็ไม่ใช่ หน้าหลังก็ไม่ใช่ ซ้ายขาวก็ไม่ใช่ฯลฯใช่มั้ยครับ???

ทางสายเดียวที่ทำให้เหล่าสัตว์หลดพ้นจากกองทุกข์ที่เรียกว่าสังสารวัฏซึ่งมีแค่รูปกับนามนี้ไปได้
ใครครับที่หลุดพ้นจากกองทุกข์??? พระวรกายของพระองค์หรือจิตของพระองค์ครับ???

ธรรมภูต
โดย: ในความฝันของใครสักคน วันที่: 23 ตุลาคม 2552 เวลา:10:36:31 น.
  
ขอบคุณ..คุณธรรมภูตที่ให้ความรู้..

มีความเห็นอย่างไรกับ..จิตที่ละอกุศล 2 แบบนี้...

1.เมื่ออกุศลเกิด...สติระลึกรู้..จิตตั้งมั่นไม่ไหลไปในอารมณ์(จิตเป็นขณิกสมาธิ)...ปัญญารู้ว่าต้องดึงจิดสู่ฐาน(ลมหายหรืออื่นๆ)เพื่อให้จิตเกิดความสงบ...และจิตเกิดความสงบ...อกุศลดับลง..

2.เมื่ออกุศลเกิด...สติระลึกรู้..จิตตั้งมั่นไม่ไหลไปในอารมณ์(จิตเป็นขณิกสมาธิ)...ปัญญาเห็นไตรลักษณ์ของอกุศล...จิตสลัดออกจากกุศลเองด้วยกำลังแห่งปัญญา...อกุศลดับลง

หมายเหตุ...อกุศลดับลงด้วยสามัญญลักษณ์ของมันเอง...ไม่เกี่ยวกับวิธี1 หรือ 2

วิธีที่1และ2. แตกต่างกันตรงที่....

วิธีที่1..จิตไม่เกาะเกี่ยวกับอารมณ์..ด้วยกำลังของสมาธิ..

วิธีที่2..จิตไม่เกาะเกี่ยวกับอารมณ์ด้วยกำลังของปัญญา..

ข้อความนี้..ไม่เกี่ยวกับตำราหรือคำสอนของอาจารย์ใดๆ...

..เป็นสิ่งนอกเหนือจากถูกหรือผิด..เพราะมันเป็นสภาวะจริงๆที่เกิดขึ้นจริงในการปฏิบัติ....

ขอคุณธรรมภูตหรือท่านอื่น..แสดงความเห็นอย่างนักปฏิบติ.เพื่อเกื้อกูล.งดขัดแย้ง..

ความเห็นที่แสดง..ผมไม่ถือว่าถูกหรือผิด..เพราะนักปฏิบัติเห็นอย่างไรย่อมพูดอย่างนั้น..ตามกำลังของสติปัญญาแต่ละท่าน..

เมื่อใดกำลังปัญญาแก่กล้าจนแทงตลอด..เมื่อนั้นเราคงมีความเห็นตรงกัน...

ขอเจริญในธรรม...

โดย: palmgang IP: 119.42.69.199 วันที่: 23 ตุลาคม 2552 เวลา:10:46:52 น.
  
เบื้องต้น
มีสติระลึกรู้กายระลึกรู้ใจด้วยความเป็นกลาง ไม่แทรกแซงไปเรื่อยๆ เกิดอะไรขึ้นรู้ลูกเดียว รู้ซื่อๆรู้อย่างเดียวตลอดสาย จนอริยมรรคเกิด ไม่ใช่คิดเอง เออเอง แล้วตู่ว่าเป็นพระโสดาบัน จะมีปัญญารู้ว่า ทุกอย่างเกิดและดับ ทุกอย่างของชั่วคราว ทุกอย่างมีแค่รูปกับนาม ตัวเราไม่มี ไม่มีสัตว์บุคคลตัวตนเราเขา แต่ยังละความยึดถือในกายใจนี้ไม่ได้ กิเลสโลภโกรธหลงครบ แต่มีศีลบริบูรณ์ตามสังโยชน์สาม มีลูกมีเมียได้ ทำงานหาเงินได้
(พระโสดาบัน กับพระสกิทาคามี)
เบื้องกลาง มีสติระลึกรู้กาย ระลึกรู้ใจ ด้วยความเป็นกลางไปเรื่อย จนปัญญามันเกิด และเลิกความยึดถือในกายได้ ละสังโยชน์ห้าได้ แต่ยังยึดถือใจหรือจิตอยู่ (พระอนาคามี) แต่จะไม่กลับมาเกิดในโลกมนุษย์หรือเทวดาอีกต่อไป แต่จะไปเกิดเป็น พรหมสุทธาวาส(สุทธิ บวก อาวาส) มีอยู่ห้าชั้น ยังไม่หลุดจากสังสารวัฏ ที่มีแค่รูปกับนามนี้

โดย: คนธรรมดา IP: 117.47.194.167 วันที่: 22 ตุลาคม 2552 เวลา:11:28:26 น
....................................
ท่านคนธรรมดาครับ
ท่านว่าทำใจป็นกลาง ไม่แทรกแซงไปเรื่อยๆนั้น
เมื่อยังมีความคิดอยู่ยังจะเป็นกลางเหรอครับ???
ในขณะนั้นมีอกุศลจิตแทรกเข้ามาเพราะขาดสติ ยังจะปล่อยให้อกุศลดำเนินต่อไปอีกเหรอครับ??? งง

การไปรู้ดี รู้ชั่ว ท่านยังเรียกว่า "เกิดอะไรขึ้นรู้ลูกเดียว รู้ซื่อๆรู้อย่างเดียวตลอดสาย"
รู้ชั่วเกิดขึ้น เป็นการรู้ไม่ซื่อเสียแล้วครับ ที่ท่านพูดมาทั้งหมดนั้นเป็นการคิดเองเออเองทั้งสิ้น
เมื่อจิตเกิดอกุศลคิดฆ่าคนขึ้นมา ท่านยังรู้อย่างเดียวโดยไม่แทรกแซงอีกหรือครับ???

ท่านครับ ท่านต้องเข้าใจนะครับว่า แค่คิดๆแล้วอริยมรรคเกิดขึ้นเองได้ก็ดีสิครับ
ถ้าง่ายเพียงแค่นี้คนครึ่งโลกคงได้อริยมรรคกันหมดแล้วละครับ

มีพระบาลีในมหาจัตตรีสกสูตรกล่าวไว้ชัดเจนว่า อริยมรรคของพระอริยเกิดขึ้นได้อย่างไร???

พระผู้มีพระภาคได้ตรัสดังนี้ว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย
เราจักแสดงสัมมาสมาธิของพระอริยะ อันมีเหตุ มีองค์ประกอบ แก่เธอทั้งหลาย

พวกเธอจงฟังสัมมาสมาธินั้น จงใส่ใจให้ดี เราจักกล่าวต่อไป
ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระผู้มีพระภาคว่า ชอบแล้ว พระพุทธเจ้าข้า ฯ

พระผู้มีพระภาคจึงได้ตรัสดังนี้ว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ก็สัมมาสมาธิของพระอริยะ อันมีเหตุ มีองค์ประกอบ คือ สัมมาทิฐิ สัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ สัมมาวายามะ สัมมาสติ เป็นไฉน
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ความที่จิตมีอารมณ์เป็นหนึ่ง ประกอบแล้วด้วยองค์ ๗ เหล่านี้แล
เรียกว่า สัมมาสมาธิของพระอริยะ อันมีเหตุบ้าง มีองค์ประกอบบ้าง ฯ


ท่านครับอย่าเพิ่งคิดฟุ้งซ่านไปเสียไกล เอางานใกล้ๆตัวให้สำเร็จก่อนมิดีกว่าหรือครับ
ท่านยังไม่เคยลงมือปฏิบัติสมาธิกรรมฐานภาวนา "พุทโธ"ให้จิตรวมลงเป็นสมาธิได้สักครั้งเลย.....

ธรรมภูต
โดย: ในความฝันของใครสักคน วันที่: 23 ตุลาคม 2552 เวลา:11:04:31 น.
  
ครับท่าน palmgangและท่านอื่นๆ

ผมต้องขออภัยที่ตอบล่าช้า ผมจะค่อยๆทยอยตอบไปเรื่อยๆนะครับ
ผมยินดีตอบทุกๆคำถามที่ถามมา
ถ้าตอบได้ ถ้าตอบไม่ได้ก็จะบอกตรงๆครับว่า ตอบไม่ได้
ขาดตกบกพร่องตรงไหน ถามมาใหม่ได้นะครับ

ส่วนความถูกผิดนั้นท่านทั้งหลายต้องพิจารณาให้ดีๆกันเอง
ถ้าฟังแล้วดีมีเหตุมีผล คิดตามได้ ไม่ติดขัด ก็ลองนำไปสมาทานดู
ถ้าฟังแล้วขาดเหตุผล ไม่น่าเชื่อถือ ก็ถือว่าเล่าสู่กันฟังก็แล้วกันครับ

หมดเวลา เวลาหมด ค่ำๆมาใหม่ครับ

ธรรมภูต
โดย: ในความฝันของใครสักคน วันที่: 23 ตุลาคม 2552 เวลา:11:15:07 น.
  
ขอบคุณ..คุณธรรมภูตที่ให้ความรู้..
มีความเห็นอย่างไรกับ..จิตที่ละอกุศล 2 แบบนี้...
1.เมื่ออกุศลเกิด...สติระลึกรู้..จิตตั้งมั่นไม่ไหลไปในอารมณ์(จิตเป็นขณิกสมาธิ)...ปัญญารู้ว่าต้องดึงจิดสู่ฐาน(ลมหายหรืออื่นๆ)เพื่อให้จิตเกิดความสงบ...และจิตเกิดความสงบ...อกุศลดับลง..
2.เมื่ออกุศลเกิด...สติระลึกรู้..จิตตั้งมั่นไม่ไหลไปในอารมณ์(จิตเป็นขณิกสมาธิ)...ปัญญาเห็นไตรลักษณ์ของอกุศล...จิตสลัดออกจากกุศลเองด้วยกำลังแห่งปัญญา...อกุศลดับลง
หมายเหตุ...อกุศลดับลงด้วยสามัญญลักษณ์ของมันเอง...ไม่เกี่ยวกับวิธี1 หรือ 2
วิธีที่1และ2. แตกต่างกันตรงที่....
วิธีที่1..จิตไม่เกาะเกี่ยวกับอารมณ์..ด้วยกำลังของสมาธิ..
วิธีที่2..จิตไม่เกาะเกี่ยวกับอารมณ์ด้วยกำลังของปัญญา..
ข้อความนี้..ไม่เกี่ยวกับตำราหรือคำสอนของอาจารย์ใดๆ...
..เป็นสิ่งนอกเหนือจากถูกหรือผิด..เพราะมันเป็นสภาวะจริงๆที่เกิดขึ้นจริงในการปฏิบัติ....
ขอคุณธรรมภูตหรือท่านอื่น..แสดงความเห็นอย่างนักปฏิบติ.เพื่อเกื้อกูล.งดขัดแย้ง..
ความเห็นที่แสดง..ผมไม่ถือว่าถูกหรือผิด..เพราะนักปฏิบัติเห็นอย่างไรย่อมพูดอย่างนั้น..ตามกำลังของสติปัญญาแต่ละท่าน..
เมื่อใดกำลังปัญญาแก่กล้าจนแทงตลอด..เมื่อนั้นเราคงมีความเห็นตรงกัน...
ขอเจริญในธรรม...
โดย: palmgang IP: 119.42.69.199 วันที่: 23 ตุลาคม 2552 เวลา:10:46:52 น.
..................
ท่านpalmgangครับ
เป็นคำถามที่ท่านคิดขึ้นมาเอง โดยไม่ใช่ประสบการณ์ของการปฏิบัตินะครับ
ถ้าผู้ที่เคยผ่านการปฏิบัติสมาธิกรรมฐานภาวนามา ย่อมรู้เห็นตามความเป็นจริง(ไตรลักษณ์)

ผมขอสรุปว่าข้อ๑และข้อ๒นั้น โดยสภาพธรรมตามความเป็นจริงแล้ว ไม่แตกต่างกันเลย
เพราะท่านเองคิดว่า ขณิกสมาธิ(ความตั้งใจ)ที่มีการสอนอยู่นั้นใช้ละวางกิเลสได้จริงๆ

ข้อ๑นั้น ท่านพยายามเน้นว่ามีปัญญาแต่ไม่เห็นไตรลักษณ์ ส่วนข้อ๒นั้น มีปัญญาเห็นไตรลักษณ์
ถ้าจิตมีปัญญาโดยไม่เห็นไตรลักษณ์แล้ว จะสามารถสงบนิ่งอยู่ที่ฐานได้เหรอครับ?
การที่จิตไม่ไหลออกไปสู่อารมณ์ได้สำเร็จนั้น เพราะจิตมีสติปัญญารู้เห็นตามความเป็นจริง นั่นไม่ใช่เรา(อารมณ์)

สติและปัญญานั้น ย่อมเป็นอัญญะมัญญะปัจจัยเกื้อกูลซึ่งกันและกัน
สติอยู่ที่ไหน ย่อมมีปัญญาอยู่ที่นั่น ปัญญาอยู่ที่ไหน ย่อมมีสติอยู่ที่นั่น

เช่นเมื่อจิตเผลอสติ ไหลออกไปหาอารมณ์ เมื่อระลึกรู้(สติ) ดึงจิตกลับมาสู่ที่ฐานที่ตั้งของสติ
เพราะมีปัญญาใช่มั้ยครับ จึงสามารถดึงจิตกลับมาได้
ถ้าไม่มีปัญญาประกอบ จะรู้เห็นตามความเป็นจริงว่านั่นไม่ใช่เรา จะดึงจิตกลับมาได้มั้ยครับ?

ถ้าท่านเคยผ่านการปฏิบัติสมาธิกรรมฐานภาวนามา และจิตเคยสงบตั้งมั่นรวมลงเป็นสมาธิ
ท่านจะรู้ว่า การจะประคองจิตให้ระลึกอยู่ที่ฐานได้นั้น
ต้องอาศัยปัญญารู้เห็นตามความเป็นจริง(ไตรลักษณ์)ประกอบอยู่.....

ธรรมภูต
โดย: ในความฝันของใครสักคน วันที่: 23 ตุลาคม 2552 เวลา:20:12:05 น.
  
ถ้ารู้ทุกข์แจ่มแจ้ง รู้ว่ากายใจนี้ไม่ใช่เรา ตัวเราไม่มี จนสุดท้ายเลิกยึดถือกายใจ เลิกอยากให้กายใจนี้มีความสุข อะไรทุกข์ๆก็ไม่หลีกหนี จิตจะเลิกดิ้นรน เลิกแสวงหาให้กายใจนี้ความสุขอีกต่อไป นิโรธหรือนิพพานซึ่งอยู่นอกสังสารวัฏอยู่นอกกองทุกข์ ก็จะประจักษ์ต่อหน้าจิตผู้รู้เรานี่เอง โดยกระบวนการอริยมรรค ที่แหวกอวิชชา (มรรคสมังคี) ซึ่งบางคนก็ทำทีเดียวสี่ครั้งรวด(โสดาปฏิมรรค สกิทาคามีมรรค อนาคามีมรรค และอรหัตมรรค) กลายเป็น โสดาปฏิผล สกิทาคามีผล อนาคามีผล และอรหัตผล (บางคนก็ทำไปทีละขึ้น)
ไม่ทราบว่ากระผมผิดไหมครับ ถ้าผิดช่วยคุณธรรมภูต แก้ความเห็นผิดให้หน่อยจะได้ไหมครับ
ขอบคุณครับ คุณธรรมภูต

โดย: คนธรรมดา IP: 117.47.194.167 วันที่: 22 ตุลาคม 2552 เวลา:11:28:26 น.

.....................................
ท่านคนธรรมดาครับ
เท่าที่เท่านพูดมานั้น ไม่ผิดหรอกครับ แต่ที่ไม่ถูกต้องนักตรงที่ว่า การจะเข้าถึงสิ่งที่ท่านพูดมานั้นมากกว่าครับ

การที่จะให้จิตเห็นว่าขันธ์๕(กายใจ) ไม่ใช่เรา ไม่เป็นเรา ไม่ใช่ตนของเรานั้นพูดนั้นง่ายครับ
แต่ให้เข้าถึงจิตและจิตสลัดปล่อบวางขันธ์๕ได้(ละสักกายทิฐิ)นั้นไม่ใช่เรื่องง่ายๆ อย่างที่ชอบพูดๆกัน
ต้องลงมือเพียรปฏิบัติสมาธิกรรมฐานภาวนาอย่างจริงจัง
จนกระทั่งจิตเข้าสภาวะกายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรม เป็นภายในให้ได้ก่อนครับ

ในครั้งพุทธกาลนั้น เป็นยุคจิตนิยม ผู้คนส่วนใหญ่ได้รับการอบรมปฏิบัติสมาธิ มาแต่เล็กแต่น้อย
ทำให้บางคนมีกิเลสเบบางอยู่แล้ว แต่ยังไม่ใช่ทางพ้นทุกข์
เมื่อได้รับฟังธรรมอันเป็นเครื่องหลุดพ้นจากพระอริยสาวกแล้ว
ย่อมหลุดพ้นได้ง่ายดายกว่าคนในยุคสมัยนี้ ซึ่งเป็นยุควัตถุนิยมครับ.....

ธรรมภูต
โดย: ในความฝันของใครสักคน วันที่: 23 ตุลาคม 2552 เวลา:21:24:58 น.
  
ผมก็เคย มีประสบการณ์แยก จิตผู้รุ้ ออกจาก กาย และเวทนาได้ 2 ครั้ง แต่ไม่ใช่ขณะนั้งสมาธิครับ

โดย: ผู้ อยากรู้ IP: 210.246.68.118 วันที่: 23 ตุลาคม 2552 เวลา:22:43:46 น.
  
ผมมีประสบการณ์ นั้งสมาธิจน โลกภายนอกดับหมด มีแต่จิตผู้รู้เด่นดวงอยู่เพียงอย่างเดียว ทำไม่ไม่เห็นไตรลักษณ์ครับ
โดย: ผู้ อยากรู้ IP: 210.246.68.118 วันที่: 23 ตุลาคม 2552 เวลา:22:48:39 น.
  
สรุป เพราะปัญญาไม่ใช่สมาธิ และ สมาธิไม่ใช่ ปัญญา แต่ เป็นปัจจัยสนับสุนุนซิ่งกันและกัน ในการเจริญวิปัสสนา
ถ้าอยู่ในสมาธิและ เดินปัญญาไม่เป็นก็ไม่เห็นไตรลักษณ์

มีสติไม่จำเป็นต้องมีปัญญา แต่ถ้ามีปัญญา เห็นไตรลักษณ์ เมื่อนั้นมี สติ สมาธิและ ปัญญาครับ
โดย: ผู้ อยากรู้ IP: 210.246.68.118 วันที่: 23 ตุลาคม 2552 เวลา:23:00:17 น.
  
ผมก็เคย มีประสบการณ์แยก จิตผู้รุ้ ออกจาก กาย และเวทนาได้ 2 ครั้ง แต่ไม่ใช่ขณะนั้งสมาธิครับ
โดย: ผู้ อยากรู้ IP: 210.246.68.118 วันที่: 23 ตุลาคม 2552 เวลา:22:43:46 น.
......

ผมมีประสบการณ์ นั้งสมาธิจน โลกภายนอกดับหมด มีแต่จิตผู้รู้เด่นดวงอยู่เพียงอย่างเดียว ทำไม่ไม่เห็นไตรลักษณ์ครับ
โดย: ผู้ อยากรู้ IP: 210.246.68.118 วันที่: 23 ตุลาคม 2552 เวลา:22:48:39 น.
.................................
ท่านผู้อยากรู้ครับ
ท่านกำลังมุสาคำโตอยู่นะครับ ก่อนหน้านั้นท่านเองยังจิตเกิดดับๆๆ มีหลายดวง
พอคิดสนุกเพื่อจะเอาชนะเท่านั้น จิตมีดวงเดียวเด่นดวงขึ้นมาได้
แถมยังแยกผู้รู้ออกจากกายเวทนา ได้ตั้ง "สองครั้ง" แต่ไม่ใช่ในขณะนั่งสมาธิ

ท่านช่วยตอบคำถามผม แล้วท่านจะถึงบ้างอ้อเองครับ
ขณะที่บอกว่า "แยกผู้รู้ออกจากกายและเวทนาได้นั้น" ท่านวางผู้รู้ไว้ที่ไหน???
ที่ท่านพูดมานี้แสดงว่าท่านชำนาญในการเข้าออกสมาธิ ชำนาญทั้งหลับตาและลืมตาแล้วใช่มั้ย???
ถ้าชำนาญแล้วทำไมจึงแยกผู้รู้ออกจากกายและเวทนาได้เพียง "สองครั้ง"???

ถ้าจิตเกิดๆๆดับๆๆแล้วจิตผู้รู้จะเด่นดวงขึ้นมาได้เหรอ???
ขณะที่ท่านพูดสิ่งภายนอกดับหมด การเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไปใช่ไตรลักษณ์มั้ย???
ก่อนที่จะเกิดสภาวะที่พูดมานั้น ลมหายใจที่เป็นกายสังขารชนิดหนึ่งก็แสดงพระไตรลักษณ์ให้เห็นอยู่แล้วครับ

เมื่อท่านตอบเสร็จท่านก็จะรู้ว่า ที่ท่านพูดมาทั้งหมดนั้นป็นการคิดเองเออเองเท่านั้น
ไม่ได้ปฏิบัติสมาธิกรรมฐานภาวนาผ่านประสบการณ์นั้นมาจริงๆ เป็นการพูดเพื่อเอาชนะเท่านั้น

ธรรมภูต
โดย: ในความฝันของใครสักคน วันที่: 24 ตุลาคม 2552 เวลา:7:51:32 น.
  
สรุป เพราะปัญญาไม่ใช่สมาธิ และ สมาธิไม่ใช่ ปัญญา แต่ เป็นปัจจัยสนับสุนุนซิ่งกันและกัน ในการเจริญวิปัสสนา
ถ้าอยู่ในสมาธิและ เดินปัญญาไม่เป็นก็ไม่เห็นไตรลักษณ์

มีสติไม่จำเป็นต้องมีปัญญา แต่ถ้ามีปัญญา เห็นไตรลักษณ์ เมื่อนั้นมี สติ สมาธิและ ปัญญาครับ

โดย: ผู้ อยากรู้ IP: 210.246.68.118 วันที่: 23 ตุลาคม 2552 เวลา:23:00:17 น.

.................................
ท่านผู้อยากรู้ครับ
ท่านเลิกสรุปมั่วๆได้แล้วครับ สติ สมาธิ ปัญญา สามสิ่งนี้เป็นอัญญะมัญญะปัจจัย เกื้อหนุนซึ่งกันเองตลอดเวลา
ในองค์อริยมรรค๘นั้น ยังต้องมีสัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ จิตจึงเป็นสมาธิได้
สมาธิถึงจะไม่ใช่ตัวปัญญาแต่ก็เป็นองค์ประกอบหนึ่งของปัญญา
ต้องเดินปัญญาเป็นจึงจะเข้าสู่สัมมาสมาธิฌานที่๑ได้ มีพระบาลีชัดเจน

สัมมาสมาธิ เป็นไฉน
ภิกษุในธรรมวินัยนี้
สงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรม(เกิดปัญญาปล่อยวาง) บรรลุปฐมฌาน
มีวิตก มีวิจาร มีปีติและสุขเกิดแต่วิเวก(วิเวก๓ กายวิเวก จิตวิเวก อุปธิวิเวก)อยู่


การมีสติโดยไม่มีปัญญานั้น เป็นเพียงความตั้งใจที่ชาวบ้านทั่วๆไปชอบเรียกว่า "สติ"
ถ้าเป็นสติที่แท้จริงแล้ว ย่อมต้องมีปัญญากำกับอยู่ด้วยทั้งนั้น
การที่สติ สมาธิ จะเกิดขึ้นได้นั้นต้องเดินปัญญารู้เห็นตามความเป็นจริง(ไตรลักษณ์)เป็นเท่านั้น

ท่านกำลังพูดในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ โดยเริ่มจากที่ส่วนปลายก่อนมาหาต้น
เหมือนการขึ้นต้นไม้นั้น ต้องเริ่มจากโคนต้นขึ้นไป แต่ท่านเล่นกระโดดทีเดียวถึงยอด
ค่อยๆไต่ลงมาที่โคนต้น เพื่อดูว่าขึ้นยังไง ซึ่งป็นการคิดเองเออเองทั้งนั้นครับ


ธรรมภูต
โดย: ในความฝันของใครสักคน วันที่: 24 ตุลาคม 2552 เวลา:8:18:24 น.
  
ขอบคุณท่านธรรมภูต..ที่แสดงความเห็น

คำถามของผมจะเกิดจากความคิดหรือประสบการณ์จริงนั้น..

มีแต่ผมเท่านั้นครับที่จะรู้ได้....

ขอเจริญในธรรม.....
โดย: palmgang IP: 119.42.102.97 วันที่: 24 ตุลาคม 2552 เวลา:9:31:23 น.
  

โปรดูคำอธิบาย ของผมเพิ่มเติมครับ

ในเรื่อง พระอรหันต์บรรลุแบบสุขวิปัสโก นั้น เห็นด้วยครับว่าขณะเกิดอริยมรรคนั้น ของพระอริยบุคคลทุกระดับทุกองค์จะต้องเกิดในณาญครับ แต่ ทางเดินของท่านไปสูอริยมรรค นั้น ไม่จำเป็นต้องมี สมาธิถึงขั้น ต้องทรงณาญ เขาจึงเรียกว่าใช้ปัญญานำสมาธิครับ ถ้าหากทรงณาณทำไม่ต้องแยกออกจากพระอรหันต์ประเภทอื่นๆที่ทรงณาญด้วยละครับ เช่นกล่ม เตวิโช เป็นต้น ที่เข้าแยกประเภท นั้น เพื่อ จำแนกทางเดินสู่อริยมรรค ว่ามี ได้หลายทาง ครับ แต่เมื่อบรรลุ ถึง อรหัตผลแล้ว ทุกองค์ ทรงณาญได้ครับ
ทำไม่ต้องแยก ประเภทของ พระอรหันต์ด้วยครับ และแยกโดยคุณสมบัติอะไรครับ
โดย: ผู้ อยากรู้ IP: 203.155.40.6 วันที่: 22 ตุลาคม 2552 เวลา:9:52:22 น.
.................................
ท่านผู้อยากรู้ครับ
ท่านอ่านพระบาลีนี้สักร้อยรอบพันหนสิครับ
พระองค์ทรงตรัสไว้ว่า"ทางนี้ทางเดียวเท่านั้น ทางอื่นนอกจากนี้ไม่มีอีกแล้ว"
ตกลงทางเดียวใช่มั้ยครับ ส่วนวิธีที่ใช้แตกต่างกันไปเท่านั้น

มีพระบาลีกล่าวไว้ว่า
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ทางนี้เป็นที่ไปอันเอก(ทางเดียว
เพื่อหมดจดวิเศษของสัตว์ทั้งหลาย(พ้นทุกข์)
เพื่อความก้าวล่วง ซึ่งความโศกและความร่ำไร
เพื่ออัสดงค์ดับไปแห่งทุกข์และโทมนัส
เพื่อบรรลุญายธรรม(ธรรมที่ควรรู ธรรมที่ถูฏ คืออริยมรรคมีองค์๘)


ส่วนที่ท่านจำแนกพระอรหันต์ออกมานั้น เนื่องจากอุปนิสัยบารมีที่แตกต่างกันครับ.....

ธรรมภูต
โดย: ในความฝันของใครสักคน วันที่: 24 ตุลาคม 2552 เวลา:10:12:36 น.
  
ถ้าจะบอกว่า ที่หลวงปู่มั่นสอน พระป่าทุกองค์สอน ตรงกับหลักสติปัฏฐานสี่ ล่ะครับ (ตรงกันที่วิปัสสนา)
ระสึก(รู้) (ระลึกได้) คำเดียวกันไหมครับ เป็น ปัจจุบัน
นึก เป็นอดีต
คิด เป็นอนาคต
รู้สึกตัวเข้าไว้ รู้เข้าไว้ ระลึกได้เข้าไว้ จะตรงกับหลักสติปัฏฐานสี่ไหมครับ (ต้องย้อนมาที่กายที่ใจของตัวเองนะครับ ไม่ใช่ของคนอื่น)
ขอบคุณครับ
โดย: คนธรรมดา IP: 117.47.194.167 วันที่: 22 ตุลาคม 2552 เวลา:12:18:33 น.
.................................
ท่านคนธรรมดาครับ
ท่านลองกลับไปอ่าน "มหาสติปัฏฐาน๔"ใหม่ดูสิครับ
ในพระสูตรหมวดแรกเลย กล่าวถึงพิจารณากายในกายเป็นไฉน???

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุพิจารณาเห็นกายในกายอยู่อย่างไรเล่า
ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ไปสู่ป่าก็ดี ไปสู่โคนไม้ก็ดี ไปสู่เรือนว่างก็ดี
นั่งคู้บัลลังก์ ตั้งกายตรง ดำรงสติไว้เฉพาะหน้า
เธอมีสติหายใจออก มีสติหายใจเข้า
อ่านเต็มๆที่นี่ครับ
//84000.org/tipitaka/read/v.php?B=10&A=6257&Z=6764&pagebreak=0

ในมหาสติปัฏบานสูตรนั้นเป็นทั้งสมถะและวิปัสสนาครับ
ของทั้งสองสิ่งนี้แยกออกจากกันไม่ได้หรอกครับ เกื้อหนุนกันอยู่ตลอดเวลาครับ
คำว่า "และ" ไม่ใช่ "หรือ" คำว่า "และ" หมายความว่าขาดสิ่งหนึ่งสิ่งใดไปไม่ได้เลย
ส่วนคำว่า "หรือ" หมายความว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่งก็ได้ ใช้แทนกันได้
เหมือนการถอนเงินในบ/ช นายก.และนายข. ต้องเซ็นชื่อพร้อมกันจึงจะเบิกได้
ถ้าเป็น "หรือ" นายก.หรือนายข. ใครคนใดคนหนึ่งก็ถอนได้ครับ

ธรรมภูต
โดย: ในความฝันของใครสักคน วันที่: 24 ตุลาคม 2552 เวลา:10:33:05 น.
  
ถึงคุณจิตเดียวนะครับ

บางคนถ้าต้องทำสมถะก่อน คือทำให้ต้องหาที่เงียบสงบในการสมถะเพือให้เกิดสมาธิ แต่บางคนก็ทำได้ในหมู่ชนที่อึดทึกครึกโครมได้นะครับ อย่างดูถูกไป
และที่บอกว่า ดีกว่าพระเสียอีก อันนี้ต้องตอบว่า ไม่ถูกจริตคุณจิตเดียวหรือเปล่าครับ(ว่าเอ๊ยหมิ่นพระนี่) ต้องดูก่อนนะครับว่า หมายถึงพระแบบไหน ถ้าเป็นพระที่ไม่ได้ปฏิบัติก็ถูกนะครับ เพราะว่าปุถุชนเค้าปฏิบัติตามแนวหลวงปู่มั่นตามประโยคนี้เลยนะครับ
"ทำสมาธิมากเนิ่นช้า พิจารณาธรรมมากฟุ้งซ่าน สิ่งที่ดีที่สุดคือการมีสติในชีวิตประจำวัน"
ซึ่งสติในชีวิตประจำวันนั้น กระผมคาดว่าคงจะเป็นสติปัฏฐานสี่ครับ ถ้าผิดโปรดขออภัยด้วยครับ
แล้วทีนี้ก็จะมาถึง เวลาในการปฏิบัติแล้วครับ ลองคิดดูซิครับ ว่าถ้าคนธรรมดาปฏิบัติทั้งวันคือการมีสติ จะเร็วกว่าพระที่เป็นสมมติสงฆ์ที่อยู่วัดแต่ไม่ค่อยได้ปฏิบัติไหมครับ
ผิดพลาดประการใด กราบขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยครับ
โดย: คนธรรมดา IP: 117.47.194.167 วันที่: 22 ตุลาคม 2552 เวลา:12:10:49 น.

.................................
ท่านคนธรรมดาครับ
ลองอ่านพระบาลีนี่สักร้อยรอบพันหนดูสิครับว่า จะแยกของที่แยกออกจากกันไม่ได้ ให้ได้มั้ย???
พระสูตรนี้ พระอรรถกถาจารย์ท่านรจนาขึ้นมาในภายหลัง เพราะถ้าเป็นของพระพุทธองค์มีแต่สัมมาสมาธิเท่านั้น

ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้
สมัยหนึ่ง ท่านพระอานนท์อยู่ ณ โฆสิตาราม ใกล้พระนครโกสัมพี
ณ ที่นั้นแล
ท่านพระอานนท์เรียกภิกษุทั้งหลายมาว่า ดูกรอาวุโสทั้งหลาย
ภิกษุเหล่านั้นรับคำท่านพระอานนท์แล้ว ท่านพระอานนท์ได้กล่าวว่า ดูกรอาวุโสทั้งหลาย
ก็ภิกษุหรือภิกษุณีรูปใดรูปหนึ่ง พยากรณ์อรหัตในสำนักเรา ด้วย
มรรค ๔ ทั้งหมดหรือด้วยมรรคเหล่านั้นมรรคใดมรรคหนึ่ง มรรค ๔ เป็นไฉน ฯ
ดูกรอาวุโสทั้งหลาย ภิกษุในศาสนานี้
ย่อมเจริญวิปัสสนาอันมีสมถะเป็นเบื้องต้น
เมื่อภิกษุนั้นเจริญวิปัสสนาอันมีสมถะเป็นเบื้องต้นอยู่
มรรคย่อมเกิด ภิกษุนั้นเสพ เจริญ ทำให้มากซึ่งมรรคนั้น
เมื่อภิกษุนั้นเสพ เจริญทำให้มากซึ่งมรรคนั้นอยู่
ย่อมละสังโยชน์ได้ อนุสัยย่อมสิ้นไป ฯ

อีกประการหนึ่ง ภิกษุเจริญสมถะมีวิปัสสนาเป็นเบื้องต้น
เมื่อภิกษุนั้นเจริญสมถะมีวิปัสสนาเป็นเบื้องต้นอยู่ มรรคย่อมเกิดขึ้น
ภิกษุนั้นเสพ เจริญทำให้มากซึ่งมรรคนั้น
เมื่อภิกษุนั้นเสพ เจริญ ทำให้มากซึ่งมรรคนั้นอยู่
ย่อมละสังโยชน์ได้ อนุสัยย่อมสิ้นไป ฯ

อีกประการหนึ่ง ภิกษุเจริญสมถะและวิปัสสนาคู่กันไป
เมื่อภิกษุนั้นเจริญสมถะและวิปัสสนาคู่กันไป มรรคย่อมเกิด
ภิกษุนั้นเสพ เจริญ ทำให้มากซึ่งมรรคนั้น
เมื่อภิกษุนั้นเสพ เจริญทำให้มากซึ่งมรรคนั้นอยู่
ย่อมละสังโยชน์ได้ อนุสัยย่อมสิ้นไป ฯ


อ่านเต็มๆที่นี่ครับ

//www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=31&A=7564&Z=7861&pagebreak=0

ธรรมภูต
โดย: ในความฝันของใครสักคน วันที่: 24 ตุลาคม 2552 เวลา:10:50:46 น.
  
ขอร่วมแจมด้วยคน เห็นข้างบนมีคนเม้นท์ว่า
มีประสบการณ์ นั่งสมาธิจนโลกภายนอกดับหมด มีแต่จิตผู้รู้เด่นดวงอยู่เพียงอย่างเดียว ทำไม่ไม่เห็นไตรลักษณ์ครับ


ให้เป็นที่สงสัยยิ่งนัก ว่านั่งสมาธิโดยมีสติกำกับอยู่ตลอดเวลาหรือเปล่า
หรือนั่งโดยไม่มีสติกำกับ...ตกภวังค์หลับไป...คิดไปเองว่ามีจิตผู้รู้เด่นดวงอยู่เพียงดวงเดียว
แล้วคงมัวรอดูว่าจะเห็นไตรลักษณ์รึเปล่ากระมังคะ

เพราะถ้านั่งสมาธิจนโลกภายนอกดับหมด
แค่ตรงนี้ ถ้านั่งและมีสติระลึกรู้กำกับอยู่ตลอด
ก็เห็นไตรลักษณ์ของลมหายใจ นับไม่ถ้วนแล้วค่ะ

ขำขำ
โดย: ขอเป็นอีกหนึ่งกำลังใจ IP: 10.34.10.200, 202.28.180.202 วันที่: 24 ตุลาคม 2552 เวลา:14:39:39 น.
  
ผมเพียงเอาปผลการปฏิบัติที่เคยประสบมา เล่าส่กนฟัง คุณไม่เชื่อผม แล้วทำไม่ผมจะต้องเชื่อคุณ

รบกวนคุณธรรภูต ตอบคำถามต่อไปนี้ให้ผมด้วยครับ
ต้องตอบนะคับมิฉะนั้นจะถือว่าไม่แน่จริง

มีคนภามว่าคุณบรรลุธรรขั้นไหนแล้วและคุณต่อบว่า
คุณรู้ได้รู้ได้ไงครับว่าผมไม่ใช่??? ถึงไม่ใช่แต่ก็ใกล้เคียงหละครับ

คุณเอาสมองส่วนไหนมาพยากรณ์ว่าคุณไกล้เคียง การพยากรณ์ว่า ใครจะสามารถบรรลธรรมเมื่อใดนั้น และบรรลูขั้นใดแล้วน้น (รบกวนดูตามพระสูตร) มีเพียงพระพุทธิเจ้าเท่านั้นที่จะรู้วาระจิตได้

คุณกำลังใกล้เคียงอัตตาตัวตน ว่ากูแน่น ผลของการปฏิบัติใครก็ไม่ถูก กูถูกคนเดียว

รบกวนตอบด้วยว่าทำไม่คุณตอบเช่นนั้น คุณเป็นเพียงปุถุชนเช่นผม (คนหนาด้วยเกิลส)
คุณไม่เชื่อผลการปฏิบัติที่ผมเล่า ผม ทำไม่ต้องเชื่อความเห็นแย้งต่างๆ ที่คุณมีต่อการปฏิบัติตามแนวปัจจุบัน

ในสังสารวัฏนั้นไม่รู้หรอกว่า ใครจะบรรลุธรรมก่อนใครคุณไม่รู้ว่าสนาบารมีของผมแค่ไหนผมเองยังไม่รู้ของผมเองเลย และผมก็ไม่รู้วาสนาบามีของคุณ
ฉะนั้นไม่แน่นว่าใครจะบรรลูก่อน

แก่ไม่แน่นว่าจะแน่นเสอมไป ดูพระสูตร ได้ "อย่างหมิ่น ว่า เป็นพระบวชใหม่ อย่าหมินว่ากษัตรย์ยังเยาวัย.

แล้วเรื่องคุณไม่นับถืออภิธรรม ผมว่าคุณไปตั้งสำนักและ ยกขบวนไปที่มหาจุฬา และมหามกกุฎ และ ไปแย้งเค้าแลยว่า เชื่อตำราที่บิดเบื่อนพุทธพจน์ เพราะคุณเคยบอกว่าจะปกป้องศาสนา ทำไมไม่ทำ

โดย: ผู้ อยากรู้ IP: 210.246.68.163 วันที่: 24 ตุลาคม 2552 เวลา:18:36:23 น.
  
คุณุธรรมภูครับ และที่น้อมนำพระสูตรมากกล่วานั้น แสดงให้เห็นชัดว่า สมถะและวิปัสนาควรเจริญครับ แต่มิได้แสดง ว่าสมถะต้องให้ถึงณาญจิตครับ รบกวนหาพระสูตรที่กว่าว่า ต้องจริญสมาถะให้ได้ถืงณาญจิต มาแสดงด้วยครับ

เรียนคุณขอเป็นอีกหนึ่งกำลังใจ ลำดับของณาญ 8 ไม่ได้กลว่า ว่ามีปิติ สุข เอกคตา และ อืนๆ รวมถึงต้องมี ลมหายใจ ครับ การบริกรรมหรือเครื่องอยู่เมื่อ จิตรวมเข้าแล้วพระป่าหลายท่านก็กล่าวว่า คำบริกรรมจะหายไป เฉกเช่นกับ ลมหายใจก็สามารถหายไปได้รับ
โดย: ผู้ อยากรู้ IP: 210.246.68.163 วันที่: 24 ตุลาคม 2552 เวลา:18:44:08 น.
  
ผมจะอธิบาย ให้เอาบุญโดยละเอียดมากขึ้นแก่ผู้หลงผิด จิต มีดวงเดียวครับ แต่ เป็นดวงเดียวในแต่ละปัจจันขณะ เมื่อขณะปัจจุบันล่วงไป จิตดวงนั้นก็ดับ และเป็นอดีต และปัจจันขณะต่อมาก็จะมีจิตดวงต่อมาเกิดขึ้นอีก 1 ดวง การที่พูดโดยโวหารว่า จิตมีดวงเดียว ก็เนื่องจากแต่ละปัจจุบ้นขณะจิตเกิดได้ดวงเดียวไม่สามารถเกิดซ้อนกันได้สองดวง
ในขณะที่มีจิตผู้รู้นั้น ทุกเสี้ยวของวินาทีที่ผ่านไปจิตจะเกิดดับในการรู้อารมณ์ ไปเรื่อยๆครับ แต่ที่โลกธาตุดับนั้น เนื่องจาก จิตทรงอยู่ในอารมณ์เดียวไปซัดเซไปหาอารมรณ์อืน
ถ้าคุณธรรมภูต เคยนั่งสมาธิมาสู่ระดับที่ผมเคยได้ ก็จะรู้ว่า ในขั้นต้นของการเจริญสมถะ จะต้องมีอารมณ์บัญญัติให้เป็นเครื่องยึดเหนียวจิต และในระยะแรกถ้าไม่ชำนาญ จิตก็จะรับรู้คำบริกรรมบ้าง หรือลมหายใจแล้วแต่จะใช้อะไรเป็นเครื่องบริกรรม ในขณะบริกรรม บางครั้งจิตก็จะหลงไปคิด หลงไปฟังเสียง เหตุที่จิตหลงไปคิดบ้าง ก็เนื่องจากจิตเป็นอนันตา บังคับไม่ได้ (แต่ฝึกได้) พอบริกรรมนานๆ เข้า บ่อยๆ จะชำนาญ จิตจะรวมได้ โดยเพิกต่ออารมณ์ต่างๆที่มากระทบ และมายึดคำบริกรรมเป็นหนึ่งเดียว เมื่อยึดคำบริกรรมเป็นหนึ่งเดียวแล้วบางครั้งนานๆ ไป คำบริกรรมก็จะหายไปครับ หรือแม้แต่ลมหายใจ ก็หาย และเหลือจิตผู้รู้ครับ ขบวนการทั้งหมดที่ พอจะข้าใจ ณ ครับ ขวนการทั้งหมด นี้ จิตจะรับรู้อารมณ์ แต่ละขณะปัจจุบันเพียง ดวงและดับ ไปเป็นอดีต และก็จะมีจิตดวงใหม่มารับรู้อารมร์ต่อไปเรื่อยๆ รับ แม้ ออกจากสมาธิแล้วจิตก็ทำงานเช่นเดิมคือจิต ดวง รับรู้อามรณ์ปัจจบันขณะ แล้วก็ดับไป เป็นอดีตขณะ และก็จะมีจิตดวงใหม่ เพียง ดวง เกิดขึ้น รับรู้อารมณ์ต่อไป เป็นเช่นนี้ ตลอดชีวิตในชาตินี้ จนกว่าจะตาย ซึ่งจะมี จิตที่เกิดดวงสุดท้ายในชาตินนี้คือจุติจิต และหลังจากนั้น ก็จะเป็นปฏิสนธิจิต เกิดตามมาทัน ที ทันทีที่ปฏิสนธิจิตเกิดก็แสดงว่า เรา เกิดใหม่แล้วครับ

พอใจหรือไม่ครับ ละเอียดพอไหม่ครับ คุณธรรมภูตคุณพอจะอธิบายการเดินของจิตของคุณในขณะเข้าสมาธิให้ผมทราบเป็นบุญบ้างได้หรือไม่ครับ

ผมว่าคุณก็จะบอกว่า ผมเดาสุ่มอีก ลองไปดูในภิธรรมนะ แต่ถ้าคุณไม่เชื่ออฎิธรรมก็ไม่ต้องไปดูละครับเสียเวลาเปล่า
และเรื่องทางเดินของสมถะคุณก็ไปหาอ่านดูจากตำราของครูบาอาจารย์วัดป่าได้ครับ รับรองไม่ตางกันมากครับ เพราะการเดินของสมถะเมื่อจิตรวมแล้วแต่ละคนจิตมักจะเดินคลายๆ กันเว้นแต่ บางคนจะเกิดนิมิต และไปติดในนิมิต

ออลืมบอก ว่าการเจริญกรรมฐานมี ได้ในอริยาบท 4 ครับ ยืน เดิน นั้ง นอน ไม่จำเป็นต้องเป็นขณะนั้งเสมอไปครับ พระอานนท์ บรรลุ ในอริยาบท ที่ 5 ครับ มิใช่ทั้ง ยืน เดิน นั้ง นอน คุณธรรมภูตคงสามารถหาอ่านได้จากพระสูตรครับ ปล ขณะที่ ผม สามารถแยกจิตผู้รู้ออกจาก กาย เวทนา นั้น เป็นขณะ นั่ง และ ขณะ ยืนครับ ถ้าการเจริญกรรมฐานมีแต่นั้งสมาธิ คงไม่ต้องมีการเดินจนกลมกะมังครับ


ผมก็ศิษ์มีครูครับ
โดย: ผู้ อยากรู้ IP: 210.246.68.163 วันที่: 24 ตุลาคม 2552 เวลา:23:01:33 น.
  
ผมเพียงเอาปผลการปฏิบัติที่เคยประสบมา เล่าส่กนฟัง คุณไม่เชื่อผม แล้วทำไม่ผมจะต้องเชื่อคุณ
โดย: ผู้ อยากรู้ IP: 210.246.68.163 วันที่: 24 ตุลาคม 2552 เวลา:18:36:23 น.
.................................
ท่านอยากรู้ครับ
ผมถึงได้บอกว่า นั่นไม่ใช่ผลการปฏิบัติ เป็นผลจากการคิดเองเออเองตามสัญญาที่จำตำรามาพูด
ส่วนที่ผมพูด ผมก็ไม่เคยให้ใครต้องมาเชื่อหรือต้องจ้างให้ใครเชื่อ
แต่มีมาในพระไตรปิฎก ที่ท่านอรรถกถาจารย์บอกไว้ว่าให้ควรเชื่ออะไร???


๓- วิ. มหา. เล่ม ๕/ข้อ ๙๒

ก็ปิฏก ๓ ที่ยกขึ้นสู่สังคีติ ๓ ชื่อว่าสุตตะ
ในปกิณณกะ มีสุตตะเป็นต้น.
ข้อที่เข้ากันได้กับกัปปิยะ ชื่อว่าสุตตานุโลม.
อรรถกถา ชื่อว่าอาจริยวาท.
ปฏิภาณของตน ตามความคาดหมายตามความรู้ ชื่อว่าอัตตโนมัติ.

ในปกิณณกะเหล่านั้น สุตตะ ใครๆ คัดค้านไม่ได้
เมื่อคัดค้านสุตตะนั้น ก็เท่ากับคัดค้านพระพุทธเจ้าด้วย.

ส่วนข้อที่เข้ากับได้กับกัปปิยะ ควรถือเอาเฉพาะข้อที่สมกับสุตตะเท่านั้น
นอกนั้นไม่ควรถือเอา.

แม้อาจริยวาทเล่า ก็ควรถือเอาแต่ที่สมกับสุตตะเท่านั้น
นอกนั้นไม่ควรถือเอา.

ส่วนอัตตโนมัติเพลากว่าเขาทั้งหมด.
แม้อัตตโนมัตินั้นก็ควรถือเอาแต่ที่สมกับสุตตะเท่านั้น
นอกนั้นไม่ควรถือเอา.


ก็สังคีติมี ๓ เหล่านี้คือ
ปัญจสติกสังคีติ (สังคายนาครั้งที่ ๑)
สัตตสติกสังคีติ (ครั้งที่ ๒)
สหัสสิกสังคีติ (ครั้งที่ ๓).

แม้สุตตะเฉพาะที่มาในสังคีติ ๓ นั้น ควรถือเอาเป็นประมาณ.
นอกนั้นเป็นที่ท่านตำหนิ ไม่ควรถือเอา.

จริงอยู่ บทพยัญชนะแม้ที่ลงกันได้ในสุตตะนั้น
พึงทราบว่าลงกันไม่ได้ในพระสูตรและเทียบกันไม่ได้ในพระวินัย.

ท่านเห็นหรือยังว่า แม้ท่านอรรถกถาจารย์เองยังต้องเชื่อพระพุทธวจนะเท่านั้น
การจะเชื่ออะไรนั้น ต้องยืนบนหลักเหตุผล ตริตรองตามได้ถึงควรจะเชื่อ
ไม่ใช่เชื่อแบบหลับหูหลับตาเชื่อ ตามตำราหรือศรัทธาเท่านั้น โดยขาดเหตุผลก็ยังจะเชื่ออีก

ธรรมภูต
โดย: ในความฝันของใครสักคน วันที่: 25 ตุลาคม 2552 เวลา:21:42:21 น.
  
รบกวนคุณธรรภูต ตอบคำถามต่อไปนี้ให้ผมด้วยครับ
ต้องตอบนะคับมิฉะนั้นจะถือว่าไม่แน่จริง
มีคนภามว่าคุณบรรลุธรรขั้นไหนแล้วและคุณต่อบว่า
คุณรู้ได้รู้ได้ไงครับว่าผมไม่ใช่??? ถึงไม่ใช่แต่ก็ใกล้เคียงหละครับ
คุณเอาสมองส่วนไหนมาพยากรณ์ว่าคุณไกล้เคียง การพยากรณ์ว่า ใครจะสามารถบรรลธรรมเมื่อใดนั้น และบรรลูขั้นใดแล้วน้น (รบกวนดูตามพระสูตร) มีเพียงพระพุทธิเจ้าเท่านั้นที่จะรู้วาระจิตได้
คุณกำลังใกล้เคียงอัตตาตัวตน ว่ากูแน่น ผลของการปฏิบัติใครก็ไม่ถูก กูถูกคนเดียว
รบกวนตอบด้วยว่าทำไม่คุณตอบเช่นนั้น คุณเป็นเพียงปุถุชนเช่นผม (คนหนาด้วยเกิลส)
คุณไม่เชื่อผลการปฏิบัติที่ผมเล่า ผม ทำไม่ต้องเชื่อความเห็นแย้งต่างๆ ที่คุณมีต่อการปฏิบัติตามแนวปัจจุบัน
ในสังสารวัฏนั้นไม่รู้หรอกว่า ใครจะบรรลุธรรมก่อนใครคุณไม่รู้ว่าสนาบารมีของผมแค่ไหนผมเองยังไม่รู้ของผมเองเลย และผมก็ไม่รู้วาสนาบามีของคุณ
ฉะนั้นไม่แน่นว่าใครจะบรรลูก่อน
แก่ไม่แน่นว่าจะแน่นเสอมไป ดูพระสูตร ได้ "อย่างหมิ่น ว่า เป็นพระบวชใหม่ อย่าหมินว่ากษัตรย์ยังเยาวัย.

โดย: ผู้ อยากรู้ IP: 210.246.68.163 วันที่: 24 ตุลาคม 2552 เวลา:18:36:23 น.
..............................
ท่านผ้อยากรู้ครับ
ท่านเอาแต่ถามผม โดยไม่เคยคิดจะตอบคำถามผมบ้างเลยหรือไงครับ???
ผมถามไปตั้งหลายข้อไม่เคยได้คำตอบ
มีแต่คิดแต่จะพูดเอามันอย่างเดียว แบบนี้เค้าไม่เรียกว่าสนทนาธรรมหรอกครับ

เมื่อกล้าถามผมก็กล้าตอบเช่นกัน ที่ผมกล้าตอบว่าถึงไม่ใช่ก็ใกล้เคียงนั้น
เหตุผลง่ายๆครับ เพราะผมลงมือปฏิบัติอย่างจริงจังจนเคยสัมผัสกับสภาวะ "ตทังควิมุตติ"
ผมจึงกล้าพูดโดยไม่ต้องละอายใจต่อตนเอง ผมไม่ต้องเอาสมองส่วนไหนคิดทั้งนั้น
การรู้เห็นธรรมตามความเป็นจริงนั้น ไม่ต้องคิด
ถ้ายังต้องคิดอยู่นั้น ก็ยังไม่ใช่รู้เห็นตามความเป็นจริง
เป็นเพียงวิปัสสนึกอย่างที่ท่านเล่ามายังไงหล่ะครับ

ถ้าการปฏิบัติสัมมาสมาธิเพื่อเดินตามอริยมรรคนั้น ยังต้องรอคนมาพยากรณ์ให้
แล้วพ่อแม่ครูบาอาจารย์ที่รุกขมูลอยู่ในป่าจนบรรลุธรรม
ท่านยังต้องนั่งรอให้คนอื่นมาพยากรณ์ให้ตัวท่านเองด้วยหรือครับ
แบบนี้จะเรียกว่า "ปัจจัตตัง"ได้ไง

ท่านรู้ได้อย่างไรว่าผมเป็นคนหยาบที่หนาไปด้วยกิเลส(เดาสวดเอา)
ของแบบนี้ผมพูดไปก็เท่ากับเป็นการยกตัวเองเปล่าๆ
ผมปฏิบัติไปถึงไหนย่อมรู้ดี เพราะมีพ่อแม่ครูบาอาจารย์ท่านคอยสอบอารมณ์อยู่ตลอด

ผมต้องรู้ต้องเห็นด้วยตนเองสิครับว่า ละวางได้แล้วซึ่งอะไร ถึงบอกได้ว่าถึง "ไม่ใช่ก็ใกล้เคียง"
เป็นผู้รู้ทางเห็นทาง รู้ระยะทางที่จะเดิน เพียงแต่ยังเดินไปไม่ถึงไหนเท่านั้น(จิตยังชอบเที่ยว)

จะให้ผมเชื่อท่านได้อย่างไร? เท่าที่ท่านพูดมาเป็นเพียงนายพักลักจำมาพูดเท่านั้น
ผมเป็นคนไม่ชอบหมิ่นใครง่ายๆอยู่แล้ว แต่ด้วยผ่านการปฏิบัติมามาก ย่อมรู้ว่าใครขนาดไหน
ผมไม่เคยสนใจว่าใครจะบรรลุก่อนหรือหลัง สนใจว่าขอเพียงให้เดินถูกทาง ย่อมบรรลุได้ไม่ช้าก็เร็ว
ถ้ายังมัวเดินหลงทางอยู่ ต่อให้ขยันเดินมากแค่ไหนก็เหนื่อยเปล่า เสียเวลาเปล่า

ถ้าแนวดูจิตที่มีอยู่ในปัจจุบันบรรลุได้จริง ผมคงไม่ต้องเสียเวลาอันมีค่า มาปากเปียกอยู่หรอก
ในเมื่อที่สอนมาล้วนขัดแย้งกับพุทธพจน์ และพ่อแม่ครูบาอาจารย์แต่เก่าก่อน

ธรรมภูต
โดย: ในความฝันของใครสักคน วันที่: 25 ตุลาคม 2552 เวลา:21:47:27 น.
  
แล้วเรื่องคุณไม่นับถืออภิธรรม ผมว่าคุณไปตั้งสำนักและ ยกขบวนไปที่มหาจุฬา และมหามกกุฎ และ ไปแย้งเค้าแลยว่า เชื่อตำราที่บิดเบื่อนพุทธพจน์ เพราะคุณเคยบอกว่าจะปกป้องศาสนา ทำไมไม่ทำ

โดย: ผู้ อยากรู้ IP: 210.246.68.163 วันที่: 24 ตุลาคม 2552 เวลา:18:36:23 น.
...............................

ท่านผู้อยากรู้ ท่านบอกว่าท่านเชื่อท่านอรรถกถาจารย์
แต่ผมเอาคำกล่าวของท่านอรรถกถาจารย์จากพระปิฎกมา ทำไมท่านไม่ยอมเชื่อหล่ะ???

๓- วิ. มหา. เล่ม ๕/ข้อ ๙๒
ในปกิณณกะเหล่านั้น สุตตะ ใครๆ คัดค้านไม่ได้
เมื่อคัดค้านสุตตะนั้น ก็เท่ากับคัดค้านพระพุทธเจ้าด้วย.


ธรรมภูต
โดย: ในความฝันของใครสักคน วันที่: 25 ตุลาคม 2552 เวลา:21:50:35 น.
  
คุณุธรรมภูครับ และที่น้อมนำพระสูตรมากกล่วานั้น แสดงให้เห็นชัดว่า สมถะและวิปัสนาควรเจริญครับ แต่มิได้แสดง ว่าสมถะต้องให้ถึงณาญจิตครับ รบกวนหาพระสูตรที่กว่าว่า ต้องจริญสมาถะให้ได้ถืงณาญจิต มาแสดงด้วยครับ
เรียนคุณขอเป็นอีกหนึ่งกำลังใจ ลำดับของณาญ 8 ไม่ได้กลว่า ว่ามีปิติ สุข เอกคตา และ อืนๆ รวมถึงต้องมี ลมหายใจ ครับ การบริกรรมหรือเครื่องอยู่เมื่อ จิตรวมเข้าแล้วพระป่าหลายท่านก็กล่าวว่า คำบริกรรมจะหายไป เฉกเช่นกับ ลมหายใจก็สามารถหายไปได้รับ

โดย: ผู้ อยากรู้ IP: 210.246.68.163 วันที่: 24 ตุลาคม 2552 เวลา:18:44:08 น.
....................................

ท่านผู้อยากรู้ครับ
ผมว่าท่านไม่ใช่อยากรู้จริงๆ ถ้าท่านอยากรู้จริงๆ ท่านต้องรู้จักนำไปเทียบกับพระสูตรและพระวินัย
ผมอุตส่าห์วางลิ้งค์ให้ท่านไปอ่านที่เต็มๆ ท่านก็ไม่ยอมอ่านเพื่อประดับความรู้
เอาแต่เถียงด้วยความสะใจเท่านั้น โดยไม่ยอมรับฟังเหตุและผลใดๆเลย

ถ้าท่านอ่าน ท่านจะเห็นว่า แม้ถึงจะแต่งเติมในภายหลังท่านอรรถกถาจารย์ ท่านก็ยังรอบคอบ
ท่านรจนาไว้ขัดเจนว่าทำให้เกิดมรรค๔ มรรคคือทางเดินของจิต
มรรค๔คืออะไร??? ทางเดินของจิตที่เข้าสู่ความเป็นอริยะ ๔ ขั้น
และการจะละสังโยชน์ได้นั้น ขั้นแรกจิตต้องเคยเข้าสู่สภาวะมรรคสมังคีมาก่อน เป็นเจโตวิมุตติ

ต่อไปนี้ผมถามท่านบ้าง และกรุณาอย่าเลี่ยงอย่าแถด้วยนะครับ เท่าที่ถามมายังไม่เคยตอบเลย
ถ้าสมถะและวิปัสสนาไม่ใช่เกิดจากการเพิ่มเติ่มเสริมแต่งในภายหลัง
ทำไมพระพุทธองค์ไม่ทรงตรัสไว้ในอริยมรรคมีองค์๘ เป็นองค์๑๐ หละ
น่าจะมีสัมมาสมถะและสัมมาวิปัสสนาด้วยสิ???
ผมก็บอกแล้วว่าของพระพุทธองค์มีแต่สัมมาสมาธิเท่านั้น เพราะเป็นทั้งสมถะและวิปัสสนา

ท่านเองก็พยายามเอาของที่รจนาในภายหลังมาเถียงพระพุทธวจนะ จะเอาชนะพระองค์ให้ได้
ผมขอบอกเลยนะครับว่า ญาณอะไรของท่านนะ ไม่เห็นมีในมหาสติปัฏฐาน๔เลย

ก็เล่นปฏิบัติตามแบบคิดเองเออเองตามตัวหนังสือ ก็ได้แต่สัญญาไปก็เท่านั้น

ธรรมภูต
โดย: ในความฝันของใครสักคน วันที่: 25 ตุลาคม 2552 เวลา:21:56:50 น.
  
ผมจะอธิบาย ให้เอาบุญโดยละเอียดมากขึ้นแก่ผู้หลงผิด จิต มีดวงเดียวครับ แต่ เป็นดวงเดียวในแต่ละปัจจันขณะ เมื่อขณะปัจจุบันล่วงไป จิตดวงนั้นก็ดับ และเป็นอดีต และปัจจันขณะต่อมาก็จะมีจิตดวงต่อมาเกิดขึ้นอีก 1 ดวง การที่พูดโดยโวหารว่า จิตมีดวงเดียว ก็เนื่องจากแต่ละปัจจุบ้นขณะจิตเกิดได้ดวงเดียวไม่สามารถเกิดซ้อนกันได้สองดวง
ในขณะที่มีจิตผู้รู้นั้น ทุกเสี้ยวของวินาทีที่ผ่านไปจิตจะเกิดดับในการรู้อารมณ์ ไปเรื่อยๆครับ แต่ที่โลกธาตุดับนั้น เนื่องจาก จิตทรงอยู่ในอารมณ์เดียวไปซัดเซไปหาอารมรณ์อืน
.....................................

ท่านผู้อยากรู้ครับ
ดีครับที่ท่านต้องการอธิบาย แต่ท่านก็รู้ดีกว่าใครๆอยู่แล้วว่า
ที่ท่านอธิบายอยู่นั้นเป็นสัญญาจากตัวหนังสือเท่านั้น

ผมถามนะครับว่า ถ้าจิตก.ขณะทำชั่วแล้วดับไป ขณะต่อมาจิตข.ทำความดีแล้วดับไป
ตกลงจิตดวงไหนกันแน่ที่ต้องรับกรรมดีกรรมชั่วนั้น???
อย่าบอกนะว่าก็จิตดวงก. ดวงข.สิต้องรับกรรม ก็มันดับไปแล้ว เกิดใหม่ก็ดวงใหม่???
ขณะที่จิตดวงก.ทำชั่วแล้วดับ ต่อมาจิตดวงข.ทำดีแล้วดับไป รู้มั้ย???
ต้องรู้อยู่แล้วสิ ถึงบอกมาได้ว่าอาการของจิตดวงหนึ่งเกิดขึ้น ดวงหนึ่งดับไป
แสดงว่า จิตไม่ได้ดับ ที่ดับน่ะคืออาการของจิต

ท่านพูดเองนะว่า "จิตจะเกิดดับในการรู้อารมณ์ ไปเรื่อยๆครับ"
จิตรู้การเกิดดับของอารมณ์ไปเรื่อย อย่าทำเนียนครับ เขียนกำกวมแบบนี้น่าละอายนะ

แล้วที่พระอาจารย์หลวงปู่สิมกล่าวไว้ ท่านจะว่ายังไง
"ตาเห็นรูป ก็จิตดวงนี้เป็นผู้เห็น ดีใจก็จิตดวงนี้หลงไป
เสียใจก็จิตดวงนี้หลงไป เสียงผ่านเข้ามาทางโสต ทางหูก็จิตดวงเก่านี่แหละ
กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ ก็จิตดวงนี้เป็นผู้หลง

เมื่อจิตใจดวงนี้เป็นผู้หลงผู้เมาไม่เข้าเรื่อง
เราก็มาแก้ไขภาวนาทำใจให้สงบ ไม่ให้หันเหไปกับอารมณ์ใดๆ
เห็นสิ่งต่างๆ ที่เกิดดับอยู่ในตัว ในใจ ในสัตว์ ในบุคคลนี้ว่า
มีเกิดขึ้น ตั้งอยู่ชั่วระยะหนึ่ง แล้วก็แตกดับไปเป็นธรรมดาอย่างนี้"


ธรรมภูต
โดย: ในความฝันของใครสักคน วันที่: 25 ตุลาคม 2552 เวลา:22:01:51 น.
  
ถ้าคุณธรรมภูต เคยนั่งสมาธิมาสู่ระดับที่ผมเคยได้ ก็จะรู้ว่า ในขั้นต้นของการเจริญสมถะ จะต้องมีอารมณ์บัญญัติให้เป็นเครื่องยึดเหนียวจิต และในระยะแรกถ้าไม่ชำนาญ จิตก็จะรับรู้คำบริกรรมบ้าง หรือลมหายใจแล้วแต่จะใช้อะไรเป็นเครื่องบริกรรม ในขณะบริกรรม บางครั้งจิตก็จะหลงไปคิด หลงไปฟังเสียง เหตุที่จิตหลงไปคิดบ้าง ก็เนื่องจากจิตเป็นอนันตา บังคับไม่ได้ (แต่ฝึกได้) พอบริกรรมนานๆ เข้า บ่อยๆ จะชำนาญ จิตจะรวมได้ โดยเพิกต่ออารมณ์ต่างๆที่มากระทบ และมายึดคำบริกรรมเป็นหนึ่งเดียว เมื่อยึดคำบริกรรมเป็นหนึ่งเดียวแล้วบางครั้งนานๆ ไป คำบริกรรมก็จะหายไปครับ หรือแม้แต่ลมหายใจ ก็หาย และเหลือจิตผู้รู้ครับ ขบวนการทั้งหมดที่ พอจะข้าใจ ณ ครับ ขวนการทั้งหมด นี้ จิตจะรับรู้อารมณ์ แต่ละขณะปัจจุบันเพียง ดวงและดับ ไปเป็นอดีต และก็จะมีจิตดวงใหม่มารับรู้อารมร์ต่อไปเรื่อยๆ รับ แม้ ออกจากสมาธิแล้วจิตก็ทำงานเช่นเดิมคือจิต ดวง รับรู้อามรณ์ปัจจบันขณะ แล้วก็ดับไป เป็นอดีตขณะ และก็จะมีจิตดวงใหม่ เพียง ดวง เกิดขึ้น รับรู้อารมณ์ต่อไป เป็นเช่นนี้ ตลอดชีวิตในชาตินี้ จนกว่าจะตาย ซึ่งจะมี จิตที่เกิดดวงสุดท้ายในชาตินนี้คือจุติจิต และหลังจากนั้น ก็จะเป็นปฏิสนธิจิต เกิดตามมาทัน ที ทันทีที่ปฏิสนธิจิตเกิดก็แสดงว่า เรา เกิดใหม่แล้วครับ

พอใจหรือไม่ครับ ละเอียดพอไหม่ครับ คุณธรรมภูตคุณพอจะอธิบายการเดินของจิตของคุณในขณะเข้าสมาธิให้ผมทราบเป็นบุญบ้างได้หรือไม่ครับ

ผมว่าคุณก็จะบอกว่า ผมเดาสุ่มอีก ลองไปดูในภิธรรมนะ แต่ถ้าคุณไม่เชื่ออฎิธรรมก็ไม่ต้องไปดูละครับเสียเวลาเปล่า
และเรื่องทางเดินของสมถะคุณก็ไปหาอ่านดูจากตำราของครูบาอาจารย์วัดป่าได้ครับ รับรองไม่ตางกันมากครับ เพราะการเดินของสมถะเมื่อจิตรวมแล้วแต่ละคนจิตมักจะเดินคลายๆ กันเว้นแต่ บางคนจะเกิดนิมิต และไปติดในนิมิต
ออลืมบอก ว่าการเจริญกรรมฐานมี ได้ในอริยาบท 4 ครับ ยืน เดิน นั้ง นอน ไม่จำเป็นต้องเป็นขณะนั้งเสมอไปครับ พระอานนท์ บรรลุ ในอริยาบท ที่ 5 ครับ มิใช่ทั้ง ยืน เดิน นั้ง นอน คุณธรรมภูตคงสามารถหาอ่านได้จากพระสูตรครับ

โดย: ผู้ อยากรู้ IP: 210.246.68.163 วันที่: 24 ตุลาคม 2552 เวลา:23:01:33 น.
......................
ท่านผู้อยากรู้ครับ
ท่านอย่าเอาผมไปเปรียบกับท่านเลยครับ ผมไม่บังอาจไปเทียบท่านหรอกครับ
ก็ท่านเล่นกางตำราหรือลักจำใครมาผมไม่อาจทราบได้ แต่ที่รู้ไม่ใช่จากนักปฏิบัติแน่นอน
เพราะนักปฏิบัติทั้งหลาย ตั้งแต่พระพุทธองค์ลงมาจนถึงกระทั่งพ่อแม่ครูบาอาจารย์
ย่อมรู้เห็นตามความเป็นจริงว่า เอก จรํ ผู้ใดสำรวมจิตที่มีดวงเดียว ท่องเที่ยวไปสู่ที่ไกลได้
ถ้าจิตยังเกิดดับ เราจะสำรวมจิตได้อย่างไร???

อะไรที่อบรมได้ ย่อมบังคับได้แน่นอนครับ มีที่ไหนในโลก ที่บังคับไม่ได้แต่อบรมได้
อย่าเดาสวดสิ ของที่เราอบรมมาแทบตายแต่ดันบังคับไม่ได้ จะอบรมให้เสียเวลาไปทำไม

ขณะที่คำภาวนาหายไปและลมหายใจก็หายไปด้วย ขณะนั้นวางจิตลงตรงไหนครับ???
ถ้าปฏิบัติถึงขั้นจิตผู้รู้ทิ้งกาย เวทนา ย่อมต้องรู้ครับ ไม่ใช่เลี่ยงที่จะไม่ตอบ
ได้แต่พ่นสัญญาที่คิดเองเออเองว่าปฏิบัติได้ออกมา

ท่านพูดว่า "คำบริกรรมก็จะหายไปครับ หรือแม้แต่ลมหายใจ ก็หาย และเหลือจิตผู้รู้ครับ"
ตกลงอะไรที่เกิดดับ คำภาวนา??? ลมหายใจ??? หรือจิตผู้รู้???
ในขณะนั้นกายกับจิตแยกกันหรือยังครับ???


ธรรมภูต
โดย: ในความฝันของใครสักคน วันที่: 25 ตุลาคม 2552 เวลา:22:06:48 น.
  
ปล ขณะที่ ผม สามารถแยกจิตผู้รู้ออกจาก กาย เวทนา นั้น เป็นขณะ นั่ง และ ขณะ ยืนครับ ถ้าการเจริญกรรมฐานมีแต่นั้งสมาธิ คงไม่ต้องมีการเดินจนกลมกะมังครับ
ผมก็ศิษ์มีครูครับ

โดย: ผู้ อยากรู้ IP: 210.246.68.163 วันที่: 24 ตุลาคม 2552 เวลา:23:01:33 น.
..............................

ยินดีครับที่เป็นศิษย์มีครู
แสดงว่าท่านเข้าออกสมาธิได้ชำนาญแล้วใช่มั้ย???
ขณะที่แยกจิตออกจากกาย เวทนา ท่านวางจิตลงที่ไหน???

ธรรมภูต
โดย: ในความฝันของใครสักคน วันที่: 25 ตุลาคม 2552 เวลา:22:07:48 น.
  
ถ้าคุณจะพยากรณ์ตนเองก็ เชิญครับ คงไม่ต้องคุยกันอีก

ปล โปรดตรวจสอบบาลี ถ้ายังไม่บรรลุอริยะมรค แสดงว่า เป็นปุถุบน ซึ่งบาลีแปลว่า หนาด้วยกิเลสครับ ไม่ได้ใส่ร้ายแต่ว่าตามบาลีครับ

ผมจะปฏิบัติถึงไหนผมตนเอกก็ย่อมรู้ดีเช่นกันครับแต่ไม่เคยรู้ว่าใกล้บรรลุแล้ว

ในเมื่อเป็นปัจจัตัง ก็ไม่มีอะไรพูดกันแต่ ผมไม่เคยยกตนว่า ใกล้บรรลุแล้ว โปรดดูตรงพระสูตรอีกครับ คนที่จะบรรลุ จะมี อาสาวะคยณาน ว่า พรหมจรรย์ อยู่จบแล้ว และในขณะที่กำลังเดินทางไม่มีทางทราบได้ว่าจะถึงเมื่อไหร เพราะณาญปัญาเจะเกิดตอนเกิดอริยะมรรคเท่านั้น พอบาลีไม่เข้าข้างตัวก็ ไม่สนใช่ไหมครับ รบกวนตรวจดูเรื่อง ญาณตรรัสรู้ของ พระอรหันต์และของ พระพุทธเจ้าอีกครังครับจะได้ไม่หลงผิด

อีกอย่าง พ่อแม่ครูอาจารย์ เหล่านั้น รู้เมือตนเองบรรลุธรรมแล้วไม่ใช่รู้ว่าจะใกล้บรรลุแล้ว พ่อแม่ครูอาจารย์เหล่านั้น บ่อยครับยังต้องไปหาหลงปู่มั่นให้แนะแนวทางและสอบอารมณ์ว่าก้าวหน้าถึงไหนแล้วไม่เคยอ่านพบว่า รู้ว่าตนเองใกล้บรรลุธรรมแล้ว

สิ่งที่คนปฎิบัติธรรมจะรู้ได้ในระหว่างปฏิบัติคือสภาวะธรรมต่างๆ ที่ตนผ่านมาเท่าน้น โดยสภาวะธรรมนั้น ที่ผ่านนั่นก้าวหน้าขนาดไหนคุณสามารถตรวจสอบได้จาก พระอภิธรรมที่กล่วาเรื่อง โสรสญาณหรือ ญาณ 16 ถึงแม้คุณจะถึงญาณใดก็ตามก็ไม่แน่นว่า จะบรรลุเร็วหรือใกล้บรรลุ ผู้ปฏิบัติมีหน้าที่สร้างเหตุ โดยไม่คาดว่า ผลจะมาเมื่อใดครับ ยกเว้นมีครูบาอาจารย์ซึ่งเป็นพระอริยะดูให้

ตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยได้ยินใครเคยบอกว่า ใกล้บรรลุธรรมแล้ว แม่แต่พ่อแม่ครูอาจารย์วัดป่า

และขอแนะนำอีกข้อนะครั้บ อย่าเอา ณาณ กับ ญาณไปปนกัน ณะ ครับ เพระ ณาณ ออกเสียงว่า ชาญ ซึ่งเป็นลำดับขั้นของ อัปนาสมาธิ คื่อสมถะครับ
ส่วน ญาณ ออกเสียงว่า ยาน คือ ลำดับ ขั้นของปัญญาในการเข้าสู่อริยมรรคครับ อภิธรรมลำดับไว้ 16 ขั้น เรียกว่า โสรส ญาณ ซี่งเป็นวิป้สสนาญาณครับคนละเรื่องกัน

คุณ คนธรรมดาครับ คุณยังอยากจะ หาความรู้ธรรมะจากคน อวดว่า ใกล้บรรลุอีกหรือครับ วิธีที่คุณกล่าวมาแต่แรกก็ถูกทางแล้วครับ แต่ถ้า จะให้มีจิตผู้รู้ก็ต้องหมันเจริญสมถะครับ แล้วในระห่างวัน ก็เจริญสติตามที่คุณได้เขียนมาแต่แรก
สติปัฐานก็กล้าวไว้ชัด กาย เวทนา จิต ธรรม และในพระสูตก็มีกล่าวเรื่องประตูเมือง 4 ด้าน เข้าด้านไหนก็ได้ครับไม่เชื่อลองไปตรวจสอบกับพระสูตได้ครับ


เพราะผมก็ทำตามนี้ และก็ได้ผลดีส่วนคุณจะเชื่อหรือไม่เชื่อผมเป็นการตัดสินใจของคุณเอง แต่สิงที่ผมไม่ทำคือ
1. การอวดว่าใกล้บรรลุแล้ว
2. การกล่วาว่าร้ายพระสงฆ์องค์เจ้าทั้งๆ ที่ยังไม่รู้จริง จะเรียนให้ทราบว่า พระส่งที่คุณธรรมภูกกล่วาร้ายนั้น ก็มีสหธรรมมิก ซึ่งเป็นลูกศิษย์ อดีตครูบาอาจารย์วัดป่าหลายท่าน

ในพระไตรปฏิกก็มีกล่วาไว้ว่า เคยมี คนว่าร้ายพระอริยะโดยไม่เชื่อว่า เป็นพระอริยะ สุดท้ายก็ซวยไป
ในเมื่อการบรรลุธรรมเป็นปัจจัตัง รู้เองไม่มีใครรู้ด้วยได้ คุณจะรู้หรือว่า ใครเป็นพระอริยะ สิ่งที่ควรทำ ถ้าไม่นับถือ ก็ควรสงบเสงียมเจียมตัวไว้
นอกจาก พระเหล่านั้น มีหลักฐานจริงๆ ว่า ปฏิบัตินอกรีตนอกรอย แต่ พระที่คุณ ธรรมภูตกล่วาว่าร้ายผมยังไม่เคยเห็นท่านทำอะไรผิดบัญญัติวินัยสงฆ์ทั้งยั้งมีลูกศิษลูกหามากมาย
ที่พูดมิได้ให้ร้ายแต่หลักฐานใน Web นี้ก็พิสูจน์แล้วใช่หรือไม่ครับทางที่ดีอย่างไปยุงกับพวกที่ชอบตีกับพระจะดีกว่า ไปหาพระดีๆ สั่งสอนธรรมให้จะดีกว่า

ผมคงไม่เขียนอะไรไปมากกว่านี้แล้วไม่อย่ากยุ่งกับพวกชอบตีกับพระ และอวดอตริ ออลีมไป พวกไม่นับถืออภิธรรมปิฎก

บ้ายๆ
โดย: ผู้ อยากรู้ IP: 210.246.68.235 วันที่: 25 ตุลาคม 2552 เวลา:22:35:23 น.
  
ว่าจะไม่เขียนแล้วเชียวแต่มีคำถามสำคัญที่ถูกท้าให้ตอบ
ผมถามนะครับว่า ถ้าจิตก.ขณะทำชั่วแล้วดับไป ขณะต่อมาจิตข.ทำความดีแล้วดับไป
ตกลงจิตดวงไหนกันแน่ที่ต้องรับกรรมดีกรรมชั่วนั้น???

นี่คุณธรรมภูต แกล้งโง่ใช่หรือไม่ถึง ต้องถามคำถามนี้
ใครๆ ที่ศึกษาพระสูตมาดีก็ตอบได้ครับ

ผมอยากจะเฉลยใจจะขาดแต่เก็บไว้ก่อนก็แล้วกัน

และอีกย่าง รบกวนอย่างอ้าง คำครูบาอาจารย์ มาเข้าข้างตนเองจนและกลว่าหาผู้อื่นเลยนะครับ

ส่วนทีคุณอ้างว่าผมเอาแต่ Copy เรื่องทางเดินของสมถะมาเขียน ก็อีกละครับแล้วแต่คุณจะเชื่อหรือไม่เชื่อแต่คุณสำครับไม่มีปี่ไม่มีขลุย อยู่ๆ ก็บอกว่า ใกล้บรรลุ

และในที่สุดก็รู้ความจริง ว่าคุณอยู่ในระดับ ซึ่งเป็นระดับธรรมดาธรรมดา ผู้จริญสติและเสมาธิทั้วไปก้ทำได้ครับ ตทังควิมุตติ ถ้าไม่เชื่อไปดูนิยามของ

ตทังควิมุตติได้ครับ ซึ่งแปลว่า พ้นชั่วคราว

วิกขัมภนวิมุตติ แปลว่า พ้นด้วยข่มหรือสะกดไว้ ได้แก่ความพ้นจากกิเลสและอกุศลธรรมได้ด้วยกำลังฌานอาจสะกดไว้ได้นานกว่าตทังควิมุตติ แต่เมื่อฌานเสื่อมแล้ว กิเลสอาจเกิดขึ้นอีก จัดเป็นโลกิยวิมุตติ

สมุจเฉทปหาน (มัคค) สมุจเฉทวิมุตติ แปลว่า พ้นเด็ดขาด

ถ้าใครส่งสัยดูตรวจสอบดูได้ครับ

และขอบอกว่า ตทังควิมุติน้น ผมก็ได้ครับเป็นการข่มกิเลสโดยใช้กำลังสติและสมถะทั้วๆ ไป โดยไม่ต้องใช้กำลังสมาธิระดับณาญ ครับไม่ใช่ปัญญา เช่นคุณโกรธก็เจริญ ธรรมที่เป็นปฏิปัก เช่นเจริญเมตา ให้กิเสลดับ อันนี้ไม่ใช่เรื่องของปัญญา คุณอาจจะแย้งได้ แต่ผมขอแสดงให้เห็นว่า ในขณะโสดาปัตติมัคจิตและมัคผลเกิด ผุ้ได้ชื่อว่าโสดาบันละได้แค่สังโยชน์ 3 คือ 1. สักายะทิฐิ (ความเห็นว่ากายนี้ใจนี้ เป็นตัวเรา) 2 ศีลภตะปราส (การถือศีลพตอย่างงมงาย) 3. อันนี้ไม่แน่นใจ ขอไปดูในพระสูตก่อน ไม่มีตัวไหนบอกว่า ละกิเลสได้ครับ ถ้าจะละต้องไประดับ อนาคามีมรรคเป็นต้นไป และ ที่เคยบอกว่าพระโสดาบันไม่กลัวตาย อันนี้ไม่มีในพระสูต เดาเอาเอง ความกลัว เป็นกิเลสประเภทโทสะ จะละได้ ในระดับ อนาคามีมรรค ฉะน้นตามพระสูต โสดาบัน ยังมีความกลัวได้ครับ แต่เมื่อเกิดความกลัว สติที่เจริญมาอย่างดีแล้วสติจะทำการละความกลัวได้อย่างรวดเร็วทุกครัง เนื่องจากมีปัญญาเห็นว่า กิเลสความกลัวไม่ใช่เรา เราไม่ใช่กิเลาความกลัว

ผมไม่เคยเห็นคุณธรรมภูตบรรยาย ออกจากจิตจากใจได้อย่างนี้เลยนี้ครับ นอกจาก ลอกพระสูตมาใส่อย่างเดียว

รบกวนอ่านดีๆ นะครับ ตังขวิมุตติ เป็นการขมกิเลส ด้วยกำลังของสมถะไม่ใช่วิปัสสนา เพราะไม่เห็นไตรลักษณ์ของว่า กายนี้ใจนี้ไม่ใช่เรา

ขอตอบอีกข้อเดียวหาว่าไม่จริง การแย้กจิตผู้รู้น้นไม่จำเป็นต้องอยู่ในขณะนั้งสมาธิ เนื่องจากกำลังของสมถะที่เจริญดีแล้วเ เมื่อถอยออกจากสมาธิ และถ้าผู้เจริญสมถะรู้การเจริญสติที่ถูกต้องคือสัมมาสติคือระลึกรู้กายรู้ใจในปัจจบัน ไม่ว่าอริยาบทใดก็ตาม เดิน ยืน นั้ง นอน คุณจเห็นเลยว่า กายอยู่ส่วนหนึ่ง เวทนาอยู่ส่วนหนึ่งจิตผู้รู้อยู่อีกส่วนหนึ่งถ้าไม่เคยประสบเองยากที่จะอธิบายให้เข้าใจได้ แต่การเข้าถึงสภาวะนี้ไม่ยากเย็นเกินไปครับ

ผมว่า คุณเป็นพวกบ้าสมถะ และชักกังกวลแล้วสิว่าการล่วงเกิน พระ จะมีผลเช่นใด ถ้าหากผู้นั้นเป็นพระอริยะเจ้า

รีบๆ ไปขอขมาดีกว่าครับ

ผุ้โพสท่านอื่นไม่รู้ว่าท่านใดยังบ้าสมถะอยู่ก็ ระวังเช่นกันนะครับ ต้องเป็นสมถะทีเป็นสัมมาสมาธินะครับเพราะมิฉามสมธิมีอยู่
อีกอย่างผมไม่เคยกลว่าแม้แต่ครัวเดียวใน webนี้ ว่าสมถะไม่ดีไม่ต้องเจริญ สมถะต้องเจริญแนน่นอนครับเพราะเป้นการสร้างพลังจิตแต่ต้องทำสมถะให้ถูกนะครับจึงจะเป็นสัมามสมาธิ แต่สิ่งที่สำคัญไม่น้อยกว่า หรือในความเห้นผมสำคัญมากกว่า คือการเจริญสติ ตามรู้กายตามรู้ใจ ตามความเป็นจริงในชีวิตประจำวัน เพื่ออะไรหรือครับเพื่อให้จิตประจักแจ้ง ถึงความไม่เที่ยงของกาย ใจ บังคับบัญชาไม่ได้

ผมจะตอบคำถามอีกข้อเรื่องจิตทีรับกรรม ณ ครับตอนนี้ปล่อยให้งง ไปก่อน

ตอบครบหรือยังไม่ครับ
ตกใจแทบแย้นึกว่า โต้แย้งกับ คนใกล้บรรลุ ที่แท้ก็พวกบ้าสมถะลูกเดียว

แนะนำนิดนึ่งถ้าไม่ได้มาจากการปฏิบัติจะลอกจากที่อื่นมาก็ได้ ณ ครับผม ไม่รู้หลอก ว่า เป้นผลการปฏิบัติของคุณธรรมภูตจริงหรือไม่
โดย: ผู้ อยากรู้ IP: 210.246.68.235 วันที่: 26 ตุลาคม 2552 เวลา:0:43:04 น.
  
และขอแนะนำอีกข้อนะครั้บ อย่าเอา ณาณ กับ ญาณไปปนกัน ณะ ครับ เพระ ณาณ ออกเสียงว่า ชาญ ซึ่งเป็นลำดับขั้นของ อัปนาสมาธิ คื่อสมถะครับ
ส่วน ญาณ ออกเสียงว่า ยาน....

โดย: ผู้ อยากรู้ IP: 210.246.68.235 วันที่: 25 ตุลาคม 2552 เวลา:22:35:23 น.

ขออนุญาตคุณธรรมภูตละกัน
เห็นคนขอแนะนำ แนะนำไม่ถูก ที่ถูกต้องเป็นดังนี้ค่ะ

ฌาน สะกดแบบนี้นะคะ อ่านว่า ชาน


มีบ้ายๆ ผมคงไม่เขียนอะไรไปมากกว่านี้ ตอน 22:35:23 น.
แล้ว กลับมาอีกที ตอน 0:43:04 น. ด้วยแหนะ




โดย: สมาชิกผู้ทรงเกียรติ วันที่: 26 ตุลาคม 2552 เวลา:7:34:10 น.
  
ถ้าคุณจะพยากรณ์ตนเองก็ เชิญครับ คงไม่ต้องคุยกันอีก

...................................

ท่านอยากรู้ครับ
แม้สัจจะท่านยังไม่มีเลย ขึ้นต้นก็ไม่ต้องคุยกันอีก
แล้วที่เขียนซะยืดยาวนี้อะ เรียกว่าบ้าน้ำลายหรือเปล่า???
ที่ผมถามไปไม่เคยคิดจะตอบ?งง คิดแต่จะพูดที่อยากพูดเท่านั้น

ก่อนจะสอนใคร ไปหัดเขียนภาษาไทยให้ถูกเสียก่อน
ไม่ต้องเขียนด้วยความร้อนรนที่อยากจะตอบ
เหมือนใครสักคนในเวปพลังจิต

ธรรมภูต

โดย: ในความฝันของใครสักคน วันที่: 26 ตุลาคม 2552 เวลา:7:51:29 น.
  
อีกอย่าง พ่อแม่ครูอาจารย์ เหล่านั้น รู้เมือตนเองบรรลุธรรมแล้วไม่ใช่รู้ว่าจะใกล้บรรลุแล้ว พ่อแม่ครูอาจารย์เหล่านั้น บ่อยครับยังต้องไปหาหลงปู่มั่นให้แนะแนวทางและสอบอารมณ์ว่าก้าวหน้าถึงไหนแล้วไม่เคยอ่านพบว่า รู้ว่าตนเองใกล้บรรลุธรรมแล้ว
โดย: ผู้ อยากรู้ IP: 210.246.68.235 วันที่: 26 ตุลาคม 2552 เวลา:0:43:04 น.
...................................
ท่านอยากรู้ครับ
ขนาดใกล้บรรลุยังไม่รู้ ต้องรอให้บรรลุก่อนจึงจะรู้ จะใช้ได้จริงหรือ???
ท่านที่บรรลุโสดาย่อมต้องรู้ตนเองว่า ตนเองใกล้บรรลุอรหันต์ในกาลข้างหน้า

ส่วนผู้ที่รู้เห็นทาง รู้ระยะทาง รู้ทางที่ถูกที่ควรสิ ย่อมรู้สิครับว่าเดินไปเถอะถูกทางแล้ว
ถึงจะนานแค่ไหนก็จะถึงได้สักวัน ไม่ชาตินี้ ชาติหน้าก็ยังทัน

เพราะท่านมัวเอาแต่อ่านตำรา จึงไม่รู้เพราะตำราไม่ได้บอกไว้
ถ้าไม่มีคนใกล้บรรลุจริงๆ พระองค์คงไม่ต้องคอยส่งพระญาณไปตรวจสอบเพื่อไปโปรดหรอก

ผมเองก็ไม่เคยใช้คำว่าใกล้บรรลุธรรมแล้วเลยสักครั้ง มีแต่ท่านคิดเองเออเองเป็นประจำ
คำว่า "ไม่ใช่ก็ใกล้เคียงนั้น" อยู่ที่คนตีความเองว่าขนาดไหน จากการอ่านคำพูด
คนที่มีอคิตเช่นท่าน ก็ตีความว่าใกล้บรรลุธรรมแล้ว ส่วนคนที่ไม่มีอคติย่อมคิดว่ายังอีกนานก็ได้

ธรรมภูต
โดย: ในความฝันของใครสักคน วันที่: 26 ตุลาคม 2552 เวลา:8:25:12 น.
  
แม้สัจจะท่านยังไม่มีเลย

ขอโทษ ครับที่เสียสัจจะอีกครั้ง

ผมว่า การสนทนาครั้งนี้ คงจะทำให้มีการโต้แย้งรุนแรงมากขึ้น มีคนกลว่าว่า ธรรมะของพรุพุทธิเจ้า มี ศานติเป็นเอกลักษณ์คือ รู้ ตี่น เบิกบาน สงบสันติ แต่ถ้าการสนทนาครังนี้ มีแนวโน้มนำไปสู่ความทางตรงกันข้าง ผมคงต้องขอโทษสำหรับคำพูดใดที่รุนแรงไปในระหว่างคำสนทนา นี้
ทุท่านต่างยังเป็นผุ้แสดงหามิได้ประจักแจ้งในธรรมด้วยตนเองจริงๆ ฉะนั้นส่งที่ยึดได้ก็คือศัทธาความเชื่อ ตามคำสอนของ พระพุทธเจ้า การตีความก็สามารถเข้าใจในคนละแง่มุม ต่อเมื่อประจักแจ้ง ก็จะพบเอง ซึ่งผมเองก็กำลังเดิน แต่สถาวะธรรมที่กล่วามาข้างตันนั้น ผมประสบเอง เป็นปัจจัตตัง ใครจะเชื่อหรือไม่เชื่อ ก็อีกละครับเป็นเรื่องของ แต่ละบุคคล เพราะ จิตเป็น อนันตา บังคับบัญชาไม่ได้ จะทำให้เชื่อก็ไม่ได้ จะไม่ทำให้เชื่อก็ไม่ได้ นอกจากมีเหตุปัจจับ

ออ นิดนึ่งครับ ขอบคุณสมาชิกผู้ทรงเกียรติครับที่แก้คำสะกดให้ เจตนาอยู่ที่การ ชี้แจงสภาวะครับมิได้ ต้องการให้ตรวจภาษาบาลีครับ เพราะผมก็ไม่ชำนาญมากครับ

ล่าก่อนครับ
โดย: ผู้ อยากรู้ IP: 203.155.40.6 วันที่: 26 ตุลาคม 2552 เวลา:9:27:27 น.
  
เพราะผมก็ทำตามนี้ และก็ได้ผลดีส่วนคุณจะเชื่อหรือไม่เชื่อผมเป็นการตัดสินใจของคุณเอง แต่สิงที่ผมไม่ทำคือ
1. การอวดว่าใกล้บรรลุแล้ว
2. การกล่วาว่าร้ายพระสงฆ์องค์เจ้าทั้งๆ ที่ยังไม่รู้จริง จะเรียนให้ทราบว่า พระส่งที่คุณธรรมภูกกล่วาร้ายนั้น ก็มีสหธรรมมิก ซึ่งเป็นลูกศิษย์ อดีตครูบาอาจารย์วัดป่าหลายท่าน

ในพระไตรปฏิกก็มีกล่วาไว้ว่า เคยมี คนว่าร้ายพระอริยะโดยไม่เชื่อว่า เป็นพระอริยะ สุดท้ายก็ซวยไป
ในเมื่อการบรรลุธรรมเป็นปัจจัตัง รู้เองไม่มีใครรู้ด้วยได้ คุณจะรู้หรือว่า ใครเป็นพระอริยะ สิ่งที่ควรทำ ถ้าไม่นับถือ ก็ควรสงบเสงียมเจียมตัวไว้
นอกจาก พระเหล่านั้น มีหลักฐานจริงๆ ว่า ปฏิบัตินอกรีตนอกรอย แต่ พระที่คุณ ธรรมภูตกล่วาว่าร้ายผมยังไม่เคยเห็นท่านทำอะไรผิดบัญญัติวินัยสงฆ์ทั้งยั้งมีลูกศิษลูกหามากมาย
ที่พูดมิได้ให้ร้ายแต่หลักฐานใน Web นี้ก็พิสูจน์แล้วใช่หรือไม่ครับทางที่ดีอย่างไปยุงกับพวกที่ชอบตีกับพระจะดีกว่า ไปหาพระดีๆ สั่งสอนธรรมให้จะดีกว่า
ผมคงไม่เขียนอะไรไปมากกว่านี้แล้วไม่อย่ากยุ่งกับพวกชอบตีกับพระ และอวดอตริ ออลีมไป พวกไม่นับถืออภิธรรมปิฎก
บ้ายๆ
โดย: ผู้ อยากรู้ IP: 210.246.68.235 วันที่: 25 ตุลาคม 2552 เวลา:22:35:23 น.
...................................
ท่านผู้อวดรู้ครับ
คนอย่างท่าน สัจจะยังหาไม่ได้ แล้วยังจะเอาธรรมที่ไหนมาอวด
เดี๋ยวพูดว่า "คงไม่ต้องคุยกันอีก" พอเขียนไปเริ่มหมดมุขโกหก
พูดว่า "ผมคงไม่เขียนอะไรไปมากกว่านี้แล้วไม่อย่ากยุ่งกับพวกชอบตีกับพระ"

ไม่แปลกใจเลยว่า ที่ถามไปทำไมไม่ตอบ เพราะเป็นคนไม่มีสัจจะนี่เอง
แถมยังชอบกล่าวร้ายเป็นอาจิณอีกว่า "ชอบตีพระ"
และพูดว่า "คุณธรรมภูกกล่วาร้ายนั้น ก็มีสหธรรมมิก ซึ่งเป็นลูกศิษย์ อดีตครูบาอาจารย์วัดป่าหลายท่าน"
ตรงไหนในบล๊อกที่ผมเอาชื่อพระมาด่า มาตี มากล่าร้าย ขอหลักหลักฐานครับ อย่ามั่ว

อย่าเที่ยวยกหลวงปู่มั่น มาข่มเลยไม่ได้ผลหรอก ภาวนายังภาวนาไม่เป็น แต่ชอบอ้างพระสายปฏิบัติ
หัดรู้จักละอายใจบ้าง เล่นอยู่แต่ร้านเนทเอาเวลาไปปฏิบัติบ้าง รู้แต่ตำราเอาตัวไม่รอดหรอก

ธรรมภูต
โดย: ในความฝันของใครสักคน วันที่: 26 ตุลาคม 2552 เวลา:9:48:39 น.
  
ว่าจะไม่เขียนแล้วเชียวแต่มีคำถามสำคัญที่ถูกท้าให้ตอบ
ผมถามนะครับว่า ถ้าจิตก.ขณะทำชั่วแล้วดับไป ขณะต่อมาจิตข.ทำความดีแล้วดับไป
ตกลงจิตดวงไหนกันแน่ที่ต้องรับกรรมดีกรรมชั่วนั้น???

นี่คุณธรรมภูต แกล้งโง่ใช่หรือไม่ถึง ต้องถามคำถามนี้
ใครๆ ที่ศึกษาพระสูตมาดีก็ตอบได้ครับ

ผมอยากจะเฉลยใจจะขาดแต่เก็บไว้ก่อนก็แล้วกัน

และอีกย่าง รบกวนอย่างอ้าง คำครูบาอาจารย์ มาเข้าข้างตนเองจนและกลว่าหาผู้อื่นเลยนะครับ
โดย: ผู้ อยากรู้ IP: 210.246.68.235 วันที่: 26 ตุลาคม 2552 เวลา:0:43:04 น.
...................................
ท่านผู้อวดรู้ครับ
ใครกันแน่ครับ ที่กำลังเนียนแกล้งโง่อยู่ ไม่ต้องทำมาแกล้งโง่คิดหลีกเลี่ยงที่จะตอบคำถาม
เห็นเป็นประจำ ตั้งแต่เล่นที่บอร์ดพลังจิตแล้ว พอถูกถามแกล้งโง่ที่จะไม่ตอบ ก็ออกอาการแถ
ก็ของมันไม่มีเหตุผลชัดๆ ดวงหนึ่งไปทำบาป แต่ให้อีกดวงหนึ่งรับแทน ใช้ได้ที่ไหน
หลักของกรรมเสียหายหมด ทำแล้วไม่ต้องรับกรรม ให้ดวงอื่นรับแทน ดับหนีไปเสียแล้ว

ไม่เถียงว่าใครศึกษาตำรา(ปิฎฏ) มาดีก็ตอบได้ ใช่ แต่มีเหตุผลมั้ยหละ
อย่าให้ศาสนาอื่นเค้าว่าได้ว่า ชาวพุทธเป็นพวกที่ไม่มีเหตุผล ตัวเองทำชั่วแล้วปัดไปห้ใครก็ไม่รู้รับแทน

ผมต้องอ้างครูบาอาจารย์มาให้รับรองที่เพื่ออะไร???
ไม่เหมือนกับใครบางคนที่ต้องอ้างครูบาอาจารย์เพื่อรับรองภูมิธรรมตนเอง
ผมเพียงนำธรรมของท่านครูบาอาจารย์ท่าน มาวางให้อ่านว่า ท่านกล่าวไว้ของท่านอย่างนั้นจริงๆ

ไหนท่านผู้อวดรู้บอกว่าเชื่อครูบาอาจารย์ไงหละ? พอผมเอาที่ท่านกล่าวไม่ตรงกับที่รู้ ที่ใจคิด
ก็กล่าวหากันเลยเหรอว่า เอาครูบาอาจารย์มาแอบอ้าง
ถ้าไม่ให้เชื่อครูบาอาจารย์แล้วเชื่อใคร???
เชื่อท่านผู้อวดรู้เหรอ???
หรือเชื่อคนที่กล่าวหาว่าครูบาอาจารย์ของตนเองกล่าวธรรมคลาดเคลื่อน....

ธรรมภูต
โดย: ในความฝันของใครสักคน วันที่: 26 ตุลาคม 2552 เวลา:10:16:26 น.
  
ตทังควิมุตติได้ครับ ซึ่งแปลว่า พ้นชั่วคราว

วิกขัมภนวิมุตติ แปลว่า พ้นด้วยข่มหรือสะกดไว้ ได้แก่ความพ้นจากกิเลสและอกุศลธรรมได้ด้วยกำลังฌานอาจสะกดไว้ได้นานกว่าตทังควิมุตติ แต่เมื่อฌานเสื่อมแล้ว กิเลสอาจเกิดขึ้นอีก จัดเป็นโลกิยวิมุตติ

สมุจเฉทปหาน (มัคค) สมุจเฉทวิมุตติ แปลว่า พ้นเด็ดขาด

ถ้าใครส่งสัยดูตรวจสอบดูได้ครับ

และขอบอกว่า ตทังควิมุติน้น ผมก็ได้ครับเป็นการข่มกิเลสโดยใช้กำลังสติและสมถะทั้วๆ ไป โดยไม่ต้องใช้กำลังสมาธิระดับณาญ ครับไม่ใช่ปัญญา เช่นคุณโกรธก็เจริญ ธรรมที่เป็นปฏิปัก เช่นเจริญเมตา ให้กิเสลดับ อันนี้ไม่ใช่เรื่องของปัญญา คุณอาจจะแย้งได้ แต่ผมขอแสดงให้เห็นว่า ในขณะโสดาปัตติมัคจิตและมัคผลเกิด ผุ้ได้ชื่อว่าโสดาบันละได้แค่สังโยชน์ 3 คือ 1. สักายะทิฐิ (ความเห็นว่ากายนี้ใจนี้ เป็นตัวเรา) 2 ศีลภตะปราส (การถือศีลพตอย่างงมงาย) 3. อันนี้ไม่แน่นใจ ขอไปดูในพระสูตก่อน ไม่มีตัวไหนบอกว่า ละกิเลสได้ครับ ถ้าจะละต้องไประดับ อนาคามีมรรคเป็นต้นไป และ ที่เคยบอกว่าพระโสดาบันไม่กลัวตาย อันนี้ไม่มีในพระสูต เดาเอาเอง ความกลัว เป็นกิเลสประเภทโทสะ จะละได้ ในระดับ อนาคามีมรรค ฉะน้นตามพระสูต โสดาบัน ยังมีความกลัวได้ครับ แต่เมื่อเกิดความกลัว สติที่เจริญมาอย่างดีแล้วสติจะทำการละความกลัวได้อย่างรวดเร็วทุกครัง เนื่องจากมีปัญญาเห็นว่า กิเลสความกลัวไม่ใช่เรา เราไม่ใช่กิเลาความกลัว

ผมไม่เคยเห็นคุณธรรมภูตบรรยาย ออกจากจิตจากใจได้อย่างนี้เลยนี้ครับ นอกจาก ลอกพระสูตมาใส่อย่างเดียว

รบกวนอ่านดีๆ นะครับ ตังขวิมุตติ เป็นการขมกิเลส ด้วยกำลังของสมถะไม่ใช่วิปัสสนา เพราะไม่เห็นไตรลักษณ์ของว่า กายนี้ใจนี้ไม่ใช่เรา

ขอตอบอีกข้อเดียวหาว่าไม่จริง การแย้กจิตผู้รู้น้นไม่จำเป็นต้องอยู่ในขณะนั้งสมาธิ เนื่องจากกำลังของสมถะที่เจริญดีแล้วเ เมื่อถอยออกจากสมาธิ และถ้าผู้เจริญสมถะรู้การเจริญสติที่ถูกต้องคือสัมมาสติคือระลึกรู้กายรู้ใจในปัจจบัน ไม่ว่าอริยาบทใดก็ตาม เดิน ยืน นั้ง นอน คุณจเห็นเลยว่า กายอยู่ส่วนหนึ่ง เวทนาอยู่ส่วนหนึ่งจิตผู้รู้อยู่อีกส่วนหนึ่งถ้าไม่เคยประสบเองยากที่จะอธิบายให้เข้าใจได้ แต่การเข้าถึงสภาวะนี้ไม่ยากเย็นเกินไปครับ

ผมว่า คุณเป็นพวกบ้าสมถะ และชักกังกวลแล้วสิว่าการล่วงเกิน พระ จะมีผลเช่นใด ถ้าหากผู้นั้นเป็นพระอริยะเจ้า

รีบๆ ไปขอขมาดีกว่าครับ

ผุ้โพสท่านอื่นไม่รู้ว่าท่านใดยังบ้าสมถะอยู่ก็ ระวังเช่นกันนะครับ ต้องเป็นสมถะทีเป็นสัมมาสมาธินะครับเพราะมิฉามสมธิมีอยู่
อีกอย่างผมไม่เคยกลว่าแม้แต่ครัวเดียวใน webนี้ ว่าสมถะไม่ดีไม่ต้องเจริญ สมถะต้องเจริญแนน่นอนครับเพราะเป้นการสร้างพลังจิตแต่ต้องทำสมถะให้ถูกนะครับจึงจะเป็นสัมามสมาธิ แต่สิ่งที่สำคัญไม่น้อยกว่า หรือในความเห้นผมสำคัญมากกว่า คือการเจริญสติ ตามรู้กายตามรู้ใจ ตามความเป็นจริงในชีวิตประจำวัน เพื่ออะไรหรือครับเพื่อให้จิตประจักแจ้ง ถึงความไม่เที่ยงของกาย ใจ บังคับบัญชาไม่ได้
ผมจะตอบคำถามอีกข้อเรื่องจิตทีรับกรรม ณ ครับตอนนี้ปล่อยให้งง ไปก่อน
ตอบครบหรือยังไม่ครับ
ตกใจแทบแย้นึกว่า โต้แย้งกับ คนใกล้บรรลุ ที่แท้ก็พวกบ้าสมถะลูกเดียว
แนะนำนิดนึ่งถ้าไม่ได้มาจากการปฏิบัติจะลอกจากที่อื่นมาก็ได้ ณ ครับผม ไม่รู้หลอก ว่า เป้นผลการปฏิบัติของคุณธรรมภูตจริงหรือไม่
โดย: ผู้ อยากรู้ IP: 210.246.68.235 วันที่: 26 ตุลาคม 2552 เวลา:0:43:04 น.

...................................
ท่านผู้อวดรู้ครับ
ท่านอย่ามัวใช้วิธีที่พยายามอธิบายโน้นนี่ตามตำราหรือที่คิดเองเออเอง
เพื่อหลีกเลี่ยงกลบเกลื่อนที่จะตอบคำถาม ที่ผมถามไปเลย ไม่เคยเห็นตามตรงๆสักที่
ท่านเอาแต่ถามผม โดยไม่เคยคิดจะตอบคำถามผมบ้างเลยหรือไงครับ???

ขณะที่บอกว่า "แยกผู้รู้ออกจากกายและเวทนาได้นั้น" ท่านวางผู้รู้ไว้ที่ไหน???

ที่ท่านพูดมานี้แสดงว่าท่านชำนาญในการเข้าออกสมาธิ ชำนาญทั้งหลับตาและลืมตาแล้วใช่มั้ย???

ถ้าชำนาญแล้วทำไมจึงแยกผู้รู้ออกจากกายและเวทนาได้เพียง "สองครั้ง"???

ถ้าจิตเกิดๆๆดับๆๆแล้วจิตผู้รู้จะเด่นดวงขึ้นมาได้เหรอ???

ขณะที่ท่านพูดสิ่งภายนอกดับหมด การเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไปใช่ไตรลักษณ์มั้ย???

ผมถามนะครับว่า ถ้าจิตก.ขณะทำชั่วแล้วดับไป ขณะต่อมาจิตข.ทำความดีแล้วดับไป
ตกลงจิตดวงไหนกันแน่ที่ต้องรับกรรมดีกรรมชั่วนั้น???

อย่าบอกนะว่าก็จิตดวงก. ดวงข.สิต้องรับกรรม ก็มันดับไปแล้ว เกิดใหม่ก็ดวงใหม่???

ขณะที่จิตดวงก.ทำชั่วแล้วดับ ต่อมาจิตดวงข.ทำดีแล้วดับไป รู้มั้ย???

ย่อมรู้เห็นตามความเป็นจริงว่า เอก จรํ ผู้ใดสำรวมจิตที่มีดวงเดียว ท่องเที่ยวไปสู่ที่ไกลได้
ถ้าจิตยังเกิดดับ เราจะสำรวมจิตได้อย่างไร???

ขณะที่คำภาวนาหายไปและลมหายใจก็หายไปด้วย ขณะนั้นวางจิตลงตรงไหนครับ???
ถ้าปฏิบัติถึงขั้นจิตผู้รู้ทิ้งกาย เวทนา ย่อมต้องรู้ครับ ไม่ใช่เลี่ยงที่จะไม่ตอบ
ได้แต่พ่นสัญญาที่คิดเองเออเองว่าปฏิบัติได้ออกมา

ท่านพูดว่า "คำบริกรรมก็จะหายไปครับ หรือแม้แต่ลมหายใจ ก็หาย และเหลือจิตผู้รู้ครับ"
ตกลงอะไรที่เกิดดับ คำภาวนา??? ลมหายใจ??? หรือจิตผู้รู้???
ในขณะนั้นกายกับจิตแยกกันหรือยังครับ???

ตทังควิมุตติ คือหลุดพ้นชั่วคราว ใช่หลุดพ้นมั้ย???
ถ้าเราสมาทาน ทำตทังควิมุตติให้ได้บ่อยๆ เนื่องๆ จนถาวร จะหลุดพ้นได้มั้ย???

จิตทีควรแก่การงาน ใช่จิตที่อยู่ในสัมมาสมาธิฌานที่๔ใช่มั้ย???

คำถามเหล่านี้ไม่เคยคิดจะตอบที่ตอบก็มั่วๆ
เอาจากการอ่านของท่านครูบาอาจารย์ มาตอบแบบไม่รู้จริง ท่านเสียหายหมด

ขอตอบอีกข้อเดียวหาว่าไม่จริง การแย้กจิตผู้รู้น้นไม่จำเป็นต้องอยู่ในขณะนั้งสมาธิ เนื่องจากกำลังของสมถะที่เจริญดีแล้วเ เมื่อถอยออกจากสมาธิ และถ้าผู้เจริญสมถะรู้การเจริญสติที่ถูกต้องคือสัมมาสติคือระลึกรู้กายรู้ใจในปัจจบัน ไม่ว่าอริยาบทใดก็ตาม เดิน ยืน นั้ง นอน คุณจเห็นเลยว่า กายอยู่ส่วนหนึ่ง เวทนาอยู่ส่วนหนึ่งจิตผู้รู้อยู่อีกส่วนหนึ่งถ้าไม่เคยประสบเองยากที่จะอธิบายให้เข้าใจได้ แต่การเข้าถึงสภาวะนี้ไม่ยากเย็นเกินไปครับ

แค่ขึ้นต้นก็ผิดแล้ว คำว่า "สมถะ" หมายถึง ความสงบตั้งมั่นแห่งจิต ยังจะให้แยกออกจากสมาธิอีกเหรอ
ถามตรงๆเฮอะ เคยภาวนาได้ผลมาบ้างหรือเปล่า? เอาแต่อ่านๆ จำๆมาตอบพุทธศาสนาเสียหายหมด
อธิบายซะเก่งเลยนะครับว่ามันไม่ยาก แต่พอถูกถามว่าวางจิตลงยังไงกลับไม่ตอบ??? งงมาก นี่เหรอรู้
แบบนี้ไม่เรียกว่าจำเค้ามาตอบ จะให้เรียกว่าอะไรท่านผู้อวดรู้

รู้ก็คือรู้ ไม่รู้คือไม่รู้ แต่ที่ชอบอวดรู้ จากการนึกเดาเอาจึงตอบไม่ได้
แล้วรู้ได้ยังไงว่า??? กายอยู่ส่วนหนึ่ง? เวทนาอยู่ส่วนหนึ่ง? จิตผู้รู้อยู่ส่วนหนึ่ง?
ถามตรงๆเฮอะ ไม่รู้เหรอว่าที่ตอบมานะมั่วชัดๆ ไม่รู้จริงๆหรือยังไงว่า "เวทนานั้นเป็นของคู่กับกาย"
ใครแยกเวทนาออกจากกายได้บ้าง แม้แต่พระพุทธองค์ท่านยังมีเวทนากายก่อนที่จะปรินิพพานเสียอีก
แต่จิตของท่านเท่านั้นที่ไม่มีเวทนาตามกายไปด้วย พระองค์ท่านยังตรัสตอบท่านพระอานนท์ว่า
"ที่เจ็บป่วยทุกข์เวทนาอยู่นี้เป็นเรื่องของกาย จิตใจเราหาเจ็บป่วยทุกข์ทรมานด้วยไม่"
ไม่รู้บอกว่าไม่รู้พอให้อภัย แต่เป็นท่านผู้อวดรู้ เอาแต่ของผิดๆมานำเสนอนั้นเป็นบาปมหันต์....

ขอปิดกระทู้เพราะยาวเกินไปหละ

ธรรมภูต
โดย: ในความฝันของใครสักคน วันที่: 26 ตุลาคม 2552 เวลา:10:58:45 น.
  
1. การดำรงสติในการบริกรรมฐานของจิต ยากที่จะรุ้ ว่าฐานของจิตอยู่ที่ใดหรืออวัยวะส่วนใด แต่เพียงรู้ว่า คำบริกรรม หรือ การรุ้อารมณ์บัญญติ ชัดที่ใดที่นั้นก็เป็นฐานของจิต เมื่ออารมณบัญญัติหายไป ไม่ว่า จะเป็น ลมหายใจ หรือ การบริกรรม จิต จะรวมมาที่จิต หรือผุ้รู้อย่างเดียว
ฉะนั้นคุณจะรู้สึกของฐานของจิตได้เอง เมื่อจิตตั้งมั่นกับคำบิกรรม

ตามที่คุณก็เคยกล่วาข้างตันว่า มีสติดึงจิตเข้าฐานเมื่อมีอารมณ์โกธ แต่ไม่เห็นบอกว่า ฐานจิตอยู่ที่ใดเลยนี่ครับ

2. เมื่อบริกรรม นานเข้า เช่นพุทโท คำบริกรรมจะเป็นสิ่งที่ถูกรู้ โดยที่มีตัวรุ้รู้มันอีกที

คุณช่วยบรรยาย สภาวะธรรมจากการปฏิบัติให้ผมทราบด้วยสิครับ

ตามที่คุณกว่ามาข้างต้น ก็ชัดแจนแล้วว่า จิตไม่ติดกับเวทนา เนื่องจากจิตกับเวทนาแยกออกจากกัน ผมก็บอกแล้วแต่แรกว่า แยกกาย และเวทนาออกจากจิต

ผมคิดว่า การสนทนาครั้งนี้ก็ควรจะสิ้นสุดเช่นกัน ในเมื่ออีกฝ่ายบรรยาย สถาวะธรรม แต่อีกฝ่ายมัวแต่ตั้งคำถามถึงสภาวะธรรมที่อีกฝ่ายพบเห็น ก็บอกแล้วว่า เป็นปัจจัตตัง การอธิบายเป็นคำพูดก็พอทำได้ แต่ อารมณ์ปรมัตถ นั้น ยากที่จะอธิบายให้เข้าใจ
ถ้าผมในชีวิตนี้ไม่เคยทาน มะม่วง จะให้คนมาบรรยายแทบตายว่ามะม่วงอร่อยย่างไรนั้น ผมก็คงได้แต่นึกคิดเดาเอาตามเรื่องแต่จะรู้รสได้ต้องทานเอง ถ้าคุณเคยมีจิตผุ้รู้แยกออกมาก็จะรู้เอง
ขอยืนยันว่า ผมมี จิตผู้รู้สามารถแยกเวทนา ออกจากจิตได้ เมื่อตอนมีสติตามรู้กายรู้ใจ ในปัจจุบัน แต่ก็ไม่สามารถทำให้จิตผุ้รู้เกิดแยกเวทนาได้ทุกครั้งเพราะต้องอาศัย สติที่ตั้งมั่น และสมาธิที่ตั้งมั่น ซึ่งก็บอกแล้ว่า ยังคับบัญชาไม่ได้ เพระไม่มีกำลังของ ณาณ มาสนับสนุนยกเว้นคุณจะทรงณาญ จิตก็สามารถตั้งมั่นเด่นดวงได้เป็นเวลานาน

ในฐานะผู้ปฏิบัติธรรมชาวพุทธเช่นเดียวกัน ผมขอกราบขออภัยในคำพูดใดๆ ที่เกินเลย และอาจทำให้คุณธรรมภูตขุ่นใจ ด้วยครับ และผมคิดว่า ธรรมะของพระพุทธองค์ เป็นธรรม ที่มี ความรู้ตื่น เบิกบาน สงบ และศานติ เป็นลักษณะ ไม่ความจะให้มี การโต้แยกที่รุนแรกเกิดขึ้น

ปล ผมก็ไม่เคยบอกว่า สมถะไม่ดี แต่ ถ้าทำสมถะแล้วไม่เจริญสติในชีวิตประจำวัน ก็ หมดโอกาสเจริญปัญญา ยกเว้นคุณจะมีความชำนาญใรการเจริญปัญญา ในขณะเข้าสมาธิซึ่ง ก็ต้องเป็นสมาธิที่ทรงณาญครับ

ขอให้เจริญในธรรมยิ่งๆ ขึ้นไปครับ
โดย: ผู้ อยากรู้ IP: 203.155.40.6 วันที่: 26 ตุลาคม 2552 เวลา:13:59:06 น.
  
ตามที่คุณก็เคยกล่วาข้างตันว่า มีสติดึงจิตเข้าฐานเมื่อมีอารมณ์โกธ แต่ไม่เห็นบอกว่า ฐานจิตอยู่ที่ใดเลยนี่ครับ

โดย: ผู้ อยากรู้ IP: 203.155.40.6 วันที่: 26 ตุลาคม 2552 เวลา:13:59:06 น.
...................................
ท่านผู้ อยากรู้ครับ
ที่ผมถามไปนั้น ถ้าผู้ที่ผ่านการปฏิบัติสมาธิกรรมฐานภาวนาจนกระทั่งจิตเคยรวมใหญ่แล้ว
ย่อมต้องรู้ดีและตอบได้โดยไม่พลาด ฐานจิตอยู่ที่ใดนั้น?
แต่ละท่านที่ผ่านมาได้ย่อมรู้ดีของแต่ละท่านว่าอยู่ที่ไหน "ฐานเดิม"
เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญในการปฏิบัติสมาธิกรรมฐานภาวนาอย่างมาก....

ขอปิดบล๊อก...ดูจิตตามแบบครูบาอาจารย์๒...แล้วพบกันใหม่ครับ

ธรรมภูต
โดย: ในความฝันของใครสักคน วันที่: 26 ตุลาคม 2552 เวลา:19:50:39 น.

ในความฝันของใครสักคน
Location :
กรุงเทพฯ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 4 คน [?]



สารบัญ Blog ธรรมภูต - พระภัทรสิทธิ์



หน้าแรก Blog ธรรมภูต - พระภัทรสิทธิ์