การสอนดูจิตที่เข้าใจผิดไปจากความเป็นจริงว่าจิตเกิดดับ
ปัจจุบันยังมีความเข้าใจเรื่องจิตผิดไปจากความเป็นจริง ดังได้เคยกล่าวมาแล้วนั้น เมื่อเริ่มต้นด้วยความเข้าใจจิตผิดไปจากความเป็นจริงแล้ว ย่อมศึกษาพระพุทธศาสนาผิดไปจากความเป็นจริงเช่นกัน

สืบเนื่องมาจากการศึกษาธรรมมาจากตำรับตำรา ซึ่งท่านที่เขียนไว้ให้ศึกษา ท่านผู้ที่เขียนล้วนพูดถึงจิตสังขาร(จิต+อารมณ์)ทั้งนั้น คือ จิตที่ได้ผสมปรุงแต่งไปกับอารมณ์ความรู้สึกนึกคิดเข้าไปแล้วทั้งสิ้น

และจิตก็จะแสดงอาการของจิตที่เนื่องด้วยอารมณ์นั้นออกมาให้ปรากฏ ให้เห็นถึงความรัก ชอบ ชังต่อสายตาประชาชนและธารกำนันทั่วไป ซึ่งจิตสังขาร (จิต+อารมณ์) เหล่านี้ ล้วนต้องเกิดดับไปตามอารมณ์ความรู้สึกนึกคิดที่เข้ามาปรุงแต่งจิตในขณะนั้นๆ ซึ่งเกิดขึ้นที่จิต และดับไปจากจิต

ถ้าผู้ศึกษาได้ลงมือปฏิบัติสัมมาสมาธิ ที่พระพุทธองค์ทรงวางหลักไว้ใน อริยมรรคมีองค์ ๘ มาแล้วอย่างจริงจัง ตามรอยพระบาทของพระบรมครูแล้ว จะไม่สงสัยในอาการของจิต (จิตสังขาร) ที่เกิดดับไปตามอารมณ์ความรู้สึกนึกคิดต่างๆเหล่านั้นเลย

ย่อมจะรู้เห็นตามความเป็นจริงได้ไม่ยากว่า ตัวจิตซึ่งเป็นธาตุรู้ ไม่เคยเกิดดับหรือดับตายหายสูญไปไหนเลย จิตรู้อยู่ตลอดเวลาในขณะปฏิบัติสมาธิกรรมฐานภาวนา “พุทโธ

ซึ่งมีบ้างที่จิตเผลอสติไปในบางครั้งบางคราว ทำให้จิตของผู้ปฏิบัติอยู่นั้น รู้เห็นไปว่าที่เกิดดับหรือดับตายหายสูญไปนั้น ล้วนเป็นจิตสังขารคืออาการของจิตที่เกิดขึ้นและแสดงตอบต่ออารมณ์ความนึกคิดทั้งหลายเหล่านั้น ในขณะที่เผลอสติไป

และอาการของจิตก็เกิดดับหรือดับตายหายสูญไปกับอารมณ์ความรู้สึกนึกคิดเหล่านั้น ที่เวียนตายเวียนเกิดเข้ามาที่จิตของตนอยู่ตลอดเวลาในขณะที่จิตเผลอสติหรือขาดสติอยู่นั่นเอง

ส่วนผู้ที่ศึกษาปริยัติธรรมมา โดยที่ไม่เคยลงมือปฏิบัติสัมมาสมาธิอย่างจริงจังมาก่อนเลยนั้น เพียงใช้แต่ความรู้ความเข้าใจ และ ความรู้สึกนึกคิดที่ตกผลึกแล้ว และเชื่อตามๆกันมา โดยที่ไม่เคยพิจารณาว่าสิ่งที่ตนเองได้เรียนรู้มานั้น ขาดหลักเหตุขาดผลที่น่าเชื่อถือได้ และพิจารณาให้เห็นตามความเป็นจริงด้วยไม่ได้ เพราะไม่สามารถที่จะชี้แจงให้เห็นความจริง ที่เป็นเหตุเป็นผลให้พิจารณาตริตรองตามได้

ตามที่มีสอนกันอยู่ในปัจจุบันว่า อารมณ์เกิด จิตจึงเกิด อารมณ์ดับ จิตจึงดับตามอารมณ์เหล่านั้น และสรุปว่าจิตเกิดดับตามอารมณ์ ต้องมีอารมณ์ก่อนจึงมีจิต ซึ่งไม่เป็นความจริงเลย

เราลองมาพิจารณาประโยคข้างต้นนี้ ด้วยใจที่เป็นธรรม บนหลักเหตุผล อย่าปล่อยให้ความเชื่อที่เคยเชื่อตามๆกันมาครอบงำเอาเสียก่อนแล้ว เราจะเห็นได้ว่า ประโยคข้างต้นดังกล่าวมานั้น เป็นสิ่งที่ขาดเหตุขาดผลอย่างยิ่งยวด ไม่น่าเชื่อถือเอาเสียเลย

เราทุกคนย่อมรู้ดีอยู่แล้วว่า รูปวัตถุสิ่งของต่างๆที่เกิดขึ้นมาในโลกนั้น ล้วนเป็นสิ่งที่จะก่อให้เกิดอารมณ์ความรู้สึกนึกคิด(กิเลส)ขึ้นมาได้ เป็นของที่มีอยู่ก่อน คู่กับโลก เพียงแต่รูปวัตถุสิ่งของต่างๆเหล่านั้น จะเป็นอารมณ์ความรู้สึกนึกคิด(กิเลส)ขึ้นมาได้นั้น ต้องมีผู้เข้าไปยึดมั่นถือมั่นในวัตถุสิ่งของเหล่านั้น เกิดมีขึ้นมาเสียก่อนใช่หรือไม่? จึงจะเรียกว่าเป็นอารมณ์ความรู้สึกนึกคิดที่เกิดขึ้นของคนๆนั้น (ผู้ที่เข้าไปยึดมั่น)ใช่หรือไม่?

ถ้าไม่มีผู้เข้าไปยึดมั่นถือมั่นในวัตถุสิ่งของต่างๆเหล่านั้นแล้ว เราจะเรียกว่าเป็นอารมณ์เกิดได้หรือไม่? ย่อมไม่ได้แน่นอน เพราะไม่มีผู้เข้าไปยึดมั่นถือมั่นในรูปวัตถุสิ่งของต่างๆเหล่านั้น อารมณ์จะเกิดขึ้นได้อย่างไร?

เราจะเรียกว่าอารมณ์ความรู้สึกนึกคิดเกิดขึ้นมาได้นั้น จะต้องมีผู้ที่เข้าไปยึดมั่นถือมั่นในวัตถุสิ่งของต่างๆเหล่านั้นก่อน และแสดงอาการของจิตออกมาเช่น รัก ชอบ ชังให้เกิดขึ้นมา จึงเรียกว่าเกิดอารมณ์ความรู้สึกนึกคิด รัก ชอบ ชังต่อวัตถุสิ่งของต่างๆเหล่านั้นใช่หรือไม่?

ถ้าไม่มีจิตผู้รู้อยู่ก่อนแล้ว จะมีผู้ที่เข้าไปยึดมั่นถือมั่นต่อวัตถุสิ่งของต่างๆเหล่านั้นขึ้นมาได้อย่างไร ก็จะเป็นได้เพียงแค่รูปวัตถุสิ่งของต่างๆที่มีอยู่ประจำโลกเท่านั้น จะเป็นอารมณ์ความรู้สึกนึกคิดของใครไปไม่ได้เลย เพราะขาดผู้ที่เข้าไปยึดมั่นถือมั่นในรูปวัตถุสิ่งของต่างๆเหล่านั้น

เหตุผลเพียงพื้นๆแบบนี้ ย่อมเกิดมีขึ้นได้ในผู้ที่ลงมือปฏิบัติสัมมาสมาธิอย่างจริงจังมาก่อน และเข้าใจเรื่องจิตได้ถูกต้อง จะละเอียดลึกซึ้งขึ้นไปเรื่อยๆตามภูมิธรรมภูมิจิตของผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบในสมาธิกรรมฐานภาวนาเหล่านั้น

สรุปง่ายๆแต่ไม่ลัดสั้น ต้องมีผู้รู้อยู่ก่อน จึงมีสิ่งที่ให้ถูกรู้เกิดขึ้นมาได้ เมื่ออารมณ์เกิด อาการของจิตจึงเกิดให้เห็นนั่นเอง แต่ผู้รู้ยืนรู้อยู่ก่อนแล้ว

มีพระพุทธพจน์รับรองเรื่องจิตไม่เกิดดับไปตามอารมณ์ความรู้สึกนึกคิด ที่กล่าวไว้ในมหาสติปัฏฐานสูตรดังนี้

“ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุพิจารณาเห็นธรรมในธรรมอยู่ อย่างไรเล่า
ภิกษุในธรรมวินัยนี้ พิจารณาเห็นธรรมในธรรม คือ นิวรณ์ ๕
ภิกษุพิจารณาเห็นธรรมในธรรม คือ นิวรณ์ ๕ อย่างไรเล่า

ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เมื่อกามฉันท์ พยาบาท ถีนมิทธะ อุทธัจจกุกกุจจะ วิจิกิจฉา มีอยู่ ณ ภายในจิต ย่อมรู้ชัดว่า กามฉันท์ พยาบาท ถีนมิทธะ อุทธัจจกุกกุจจะ วิจิกิจฉา มีอยู่ ณ ภายในจิตของเรา

หรือเมื่อกามฉันท์ พยาบาท ถีนมิทธะ อุทธัจจกุกกุจจะ วิจิกิจฉา ไม่มีอยู่ ณ ภายในจิต ย่อมรู้ชัดว่า กามฉันท์ พยาบาท ถีนมิทธะ อุทธัจจกุกกุจจะ วิจิกิจฉา ไม่มีอยู่ ณ ภายในจิตของเรา

อนึ่ง กามฉันท์พยาบาท ถีนมิทธะ อุทธัจจกุกกุจจะ วิจิกิจฉาที่ยังไม่เกิดจะเกิดขึ้นด้วยประการใด ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย

กามฉันท์ พยาบาท ถีนมิทธะ อุทธัจจกุกกุจจะ วิจิกิจฉา ที่เกิดขึ้นแล้ว จะละเสียได้ด้วยประการใด ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย

กามฉันท์ พยาบาท ถีนมิทธะ อุทธัจจกุกกุจจะ วิจิกิจฉา ที่ละได้แล้ว จะไม่เกิดขึ้นต่อไปด้วยประการใด ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย อีกอย่างหนึ่งฯลฯ


เมื่อเราลองมาพิจารณาตามพระพุทธพจน์ ในบทนิวรณ์บรรพะนี้ ด้วยใจที่เป็นธรรม ไม่ถูกสิ่งใดๆครอบงำด้วยความเชื่อที่มีตามๆกันมาแล้ว เราย่อมเห็นได้ชัดเจนว่าอารมณ์ความรู้สึกนึกคิดที่เกี่ยวกับนิวรณ์ทั้ง ๕ นั้น ล้วนเกิดขึ้นที่จิต และดับไปจากจิตใช่หรือไม่?

เนื่องจากพระพุทธพจน์ได้กล่าวไว้ชัดเจนว่า “ย่อมรู้ชัดว่า” ก็แสดงว่าอะไรเกิดขึ้นที่จิต จิตก็รู้ชัดว่าอะไรเกิดขึ้นที่จิต อะไรดับไปจากจิต จิตก็รู้ชัดว่าอะไรดับไปจากจิตใช่หรือไม่?

ถ้าจิตเกิดๆดับๆอยู่นั้น จะใช้คำว่า "รู้ชัด” ไม่ได้ พระพุทธพจน์ยังเน้นย้ำให้เห็นว่าอารมณ์ความรู้สึกนึกคิดนั้นมีเกิดขึ้นมาในภายหลัง ไม่ใช่เกิดขึ้นมาก่อนจิตเลย ดังนี้ “อนึ่ง กามฉันท์ พยาบาท ถีนมิทธะ อุทธัจจกุกกุจจะ วิจิกิจฉา ที่ยังไม่เกิดจะเกิดขึ้นด้วยประการใด ย่อม "รู้ชัด" ประการนั้นด้วย”

ถ้าจิตผู้รู้เกิดๆดับๆไปตามอารมณ์ความรู้สึกนึกคิด ที่เป็นเครื่องเศร้าหมองของจิต ที่เกิดขึ้นดับไป แบบที่ยังมีการสอนกันอยู่นั้น เราจะชำระจิตให้บริสุทธิ์หมดจดจากอารมณ์ความรู้สึกนึกคิด ที่เป็นเครื่องเครื่องเศร้าของจิตได้อย่างไร?

ในเมื่อมีพระพุทธพจน์รับรองไว้ชัดเจน ในโอวาทพระปาฏิโมกข์ หรือที่เราเรียกว่าหัวใจพระพุทธศาสนานั้นว่า ๑ ละชั่ว ๒ ทำดี ในสองข้อต้นนี้มีสอนกันในทุกๆศาสนาที่มีในโลก ส่วนข้อที่ ๓ การชำระจิตให้บริสุทธิ์หมดจดจากอารมณ์ความรู้สึกนึกคิดที่เป็นเครื่องเศร้าหมองทั้งหลายนั้น จะมีเฉพาะในพระพุทธศาสนาเท่านั้น

โปรดจดจำไว้ให้ขึ้นใจ เพราะเป็นหลักใหญ่สำคัญที่มีพระพุทธพจน์รองรองไว้ว่า “อธิจิตฺเต จอาโยโค เอตํ พุทฺธานสาสนํ”


เจริญในธรรมทุกๆท่าน
ธรรมภูต






Create Date : 04 มิถุนายน 2553
Last Update : 19 มกราคม 2558 16:57:28 น.
Counter : 488 Pageviews.

4 comments
  
พระปราโมทย์ เทศน์คุณไสย ติดตามอ่านได้ที่ //www.kammathan.com

โดย : เปิดโปง วันที่: 5 มิถุนายน 2553 เวลา: 1:44:00 น.

.................................................

//www.kammathan.com/

โดย: ในความฝันของใครสักคน วันที่: 5 มิถุนายน 2553 เวลา:7:55:38 น.
  
ตัวรู้ที่ต้องรู้ชัดคือจิตสำนึกบนความคิดของผู้ปฏิบัติค่ะ
โดย: Chulapinan วันที่: 5 มิถุนายน 2553 เวลา:16:48:18 น.
  
ถ้ารู้ชัด แสดงว่าไม่คิดแล้วค่ะ
ถ้ายังมีความคิดอยู่ แสดงว่ายังไม่รู้ชัดค่ะ

เพราะความคิดเป็นสังขารขันธ์ จิตยังมีการปรุงแต่งอยู่
ในเมื่อจิตยังปรุงแต่งอยู่ แสดงว่ายังรู้ไม่ชัดค่ะ

เจริญในธรรม
โดย: ขอเป็นอีกหนึ่งกำลังใจ IP: 58.9.99.16 วันที่: 5 มิถุนายน 2553 เวลา:22:43:52 น.
  
เป็นผมเองนะ จากพลังจิต เพื่อนร่วมทุกข์คนหนึ่ง ที่มากล่าวให้ความเห็น ว่าคุณธรรมภูต ยังมิจฉาทิฐิอยู่
ไปล่ะ สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม
โดย: jinny IP: 125.26.9.86 วันที่: 12 มิถุนายน 2553 เวลา:9:08:40 น.
...............................................
คุณjinny

ก็อย่างเคยแหละนะ คุณหนะเปลี่ยนไม่ได้เอาจริงๆ

เชื่อแบบตามๆกันมา โดยไม่มีเหตุผลก็ยังจะเชื่อ

ผมเคยสนทนากับคุณไปตั้งมากมาย

คุณก็ไม่เคยคิดที่จะคำถาม ที่ผมถามไปเลย

เมื่อคุณตอบไม่ได้ คุณก็กดไม่เห็นด้วยเป็นอย่างเดียว

ธรรมนะครับ ไม่ใช่เล่นเป็นเด็กขายขนมกัน

เราต้องถกธรรมเพื่อค้นหาสัจจะธรรมที่แท้จริง ในการปฏิบัติ

วางความเชื่อความเคิดเห็นส่วนตัวทั้งหลายลงเสียก่อนสิ

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม

ธรรมภูต
โดย: ในความฝันของใครสักคน วันที่: 12 มิถุนายน 2553 เวลา:10:43:35 น.

ในความฝันของใครสักคน
Location :
กรุงเทพฯ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 4 คน [?]



สารบัญ Blog ธรรมภูต - พระภัทรสิทธิ์



หน้าแรก Blog ธรรมภูต - พระภัทรสิทธิ์