Something is never missing - your imagination in your own world
Group Blog
 
All Blogs
 
Winter serenade อุ่นหัวใจกลางไอหนาว (บทที่ 5 ความรักอันเข้มข้นถ้วยที่หนึ่ง)

บทที่ 5 : ความรักอันเข้มข้นถ้วยที่หนึ่ง

“โอ๊ย เย็นจริงๆ ขนาดห่อตัวเป็นแหนมอย่างนี้ฉันยังหนาวเลย”

เกาหลีใต้ในยามสายต้อนรับหนุ่มสาวจากประเทศไทยด้วยอากาศเย็นต่ำกว่าศูนย์บาดผิวให้รู้สึกแสบชาขึ้นมาเป็นริ้วๆ ตามส่วนที่ไร้การปกปิดด้วยอาภรณ์หลายชั้นดังเช่นใบหน้าและแขนขาราวกับว่าแช่ร่างอยู่ในน้ำแข็งจนชายหนุ่มอดบ่นขึ้นมาไม่ได้แม้ว่าขณะนี้คิมหันต์และเต็มใจจะนั่งอยู่บนรถบัสที่ปรับอากาศให้อุ่นสบายมุ่งหน้าเข้าสู่กรุงโซลแล้วก็ตาม หากหญิงสาวข้างกายเขากลับนิ่งเงียบและชักสีหน้างอง้ำจนคิมหันต์ต้องถามขึ้นมาด้วยความสงสัยว่า

“กินรังแตนมาจากไหนไม่ทราบแม่คุณ ยังไม่ทันเดินทางก็ทำท่าจะฆ่าฉันให้ตายเสียแล้ว”

“ฉันไม่อยากพูดกับแกแล้วไอ้คิม” หญิงสาวในเสื้อโค้ตสีชมพูเริ่มตั้งท่าโวยวาย “แกมาโมเมว่าฉันเป็นแฟนแกน่ะฉันยังไม่ว่า แต่ไปหลอกเจ้าหน้าที่ตม.ว่าฉันเป็นภรรยาแกนี่มันชักจะล้ำเส้นมากไปแล้วนะยะ”

“เรื่องแค่นั้นเอง” คิมหันต์หัวเราะดังลั่นจนนักท่องเที่ยวหลายคนหันมามองเขาจึงลดเสียงลงก่อนที่จะพูดต่อ “ก็แกคิดดูสิ พาสปอร์ตฉันไม่ได้ปั้มจนลายพร้อยแบบแก แถมโดนถามว่ามาทำอะไร ไอ้หน้าตาอย่างฉันดูออกจะเป็นพลเมืองของประเทศนี้ดันมาถามเสียได้ ฉันก็เลยคิดอะไรไม่ออก ก็เลยตอบไปว่ามาฮันนีมูนกับแกไง ไม่งั้นฉันก็ไม่รอดมาหรอก”

“ค่ะพ่อคนฉลาด” เต็มใจชมเชยด้วยท่าทีที่แสดงออกชัดเจนว่าประชดประชันเต็มที่ “แต่ขอบอกนะยะนายคิมหันต์ แกยิ่งทำแบบนี้ฉันก็ยิ่งรู้สึกขนลุก ไม่รู้ว่าอีกหกวันจะออกมาอีท่าไหน ดีไม่ดีฉันจะขอเลื่อนไฟลต์กลับพรุ่งนี้ให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย”

“ก็เอาเป็นว่า เราก็ลองดูใจกันไปก่อนดีไหมล่ะ ถ้าเราทนคบกันไปตลอดการเดินทางได้ ฉันก็จะยอมลดตัวลงมาสงเคราะห์สมาชิกคานทองแพลตตินั่มอย่างแกให้รู้จักว่าความรักเป็นยังไงดูบ้าง หน้าตาแกน่ะมันบอกอยู่ทนโท่เลยนะว่า ‘ฉันไร้แฟนจ้า ช่วยมาสงเคราะห์ฉันที’ อยู่ชัดๆ” ชายหนุ่มพูดโอ่ๆ พร้อมกับตบบ่าเบาๆ แสดงอาการ ‘แมน’ เต็มที่ “ไม่มีไหล่ใครให้ซบตอนข้ามปีน่ะมันเหงานะน้อง”

“ฉันจะขอพูดแบบอลิซาเบธ เบนเนต ในไพรด์แอนด์เพรจูดิซเลยแล้วกันนะ” เห็นทีท่ารอฟังอย่างใจจดใจจ่อของชายหนุ่มที่นั่งข้างๆ หญิงสาวก็ไม่รอช้ารีบพูดต่อด้วยน้ำเสียงชัดเจน “ว่าแกจะเป็นผู้ชายคนสุดท้ายในโลกที่ฉันจะแต่งงานด้วย”

แทนที่ชายหนุ่มจะโต้ตอบผู้เป็นเพื่อนร่วมทาง คิมหันต์กลับเลือกที่จะเป็นฝ่ายนิ่งเงียบไปแทนแล้วก็เสียบหูฟังเครื่องเล่นเพลงส่วนตัวพลางหันหลังให้พร้อมกับหลับตาลงบ่งบอกว่าไม่อยากจะโต้ตอบกับเต็มใจอีกต่อไป จนหญิงสาวต้องส่ายหัวพร้อมกับนึกบ่นอยู่ในใจว่า

‘ไอ้คิมมันเป็นอะไรของมัน เดี๋ยวเล่นเดี๋ยวซึม ฉันล่ะงงกับมันจริงๆ’

เกือบชั่วโมงรถบัสที่มาจากท่าอากาศยานอินชอนก็ค่อยๆ ฝ่าการจราจรยามเช้าที่เริ่มจอแจเข้าสู่กรุงโซลอันเป็นเมืองหลวงของประเทศเกาหลีใต้ บรรยากาศแห่งความสุขของเทศกาลคริสต์มาสยังคงไม่จางหายไปเพราะเพิ่งจะผ่านมาได้เพียงไม่กี่วันเท่านั้น

ซ้ำเมื่อใกล้เทศกาลปีใหม่เช่นนี้บรรยากาศแห่งเทศกาลยิ่งทวีความเข้มข้นขึ้นภายในอากาศราวกับว่านักท่องเที่ยวสามารถสูดลมหายใจเอาความสุขที่ลอยอ้อยอิ่งท่ามกลางลมหนาวเข้าไปได้ตลอดเวลาด้วยการประดับประดาไฟต่างๆ ที่จะยิ่งสวยงามขึ้นเมื่อถึงยามค่ำคืน แต่เมื่อเป็นเวลาสายจนจวนจะใกล้เที่ยงเช่นนี้สีสันของกรุงโซลจึงมีเพียงแค่สีน้ำตาลแห้งของต้นไม้ที่ผลัดใบลงเหลือแต่กิ่งก้านแห้งแล้งสลับกับต้นสนสีเขียวหลากหลายขนาดทั้งที่เป็นต้นสนจริงบ้างและต้นสนเทียมบ้างสร้างสีสันอันเขียวสดให้บรรยากาศแห่งฤดูหนาวให้ดูไม่แห้งแล้งจนซึมเซาเกินไปนัก

ไม่นานหลังจากนั้นนักท่องเที่ยวจากประเทศไทยทั้งสองคนก็ลงจากรถในบริเวณย่านกลางเมืองเพื่อเดินทางสู่ที่พักที่ตั้งอยู่ท่ามกลางย่านที่ยังคงรักษาบรรยากาศเก่าๆ ได้เป็นอย่างดี สองคนใช้เวลาเดินพอจะเรียกเหงื่อให้ร่างกายอบอุ่นขึ้นมาเล็กน้อยก็เดินทางถึงฮันเกสต์เฮ้าส์ที่งามแสงเดือนเพื่อนรุ่นน้องโฆษณาไว้อย่างดิบดีว่ากำลังมาแรงในหมู่นักท่องเที่ยวในขณะนี้ และด้วยที่พักแห่งนี้มีบรรยากาศเป็นเกาหลีแท้ๆ กลมกลืนไปกับสภาพแวดล้อมที่ดูเหมือนเป็นย่านอนุรักษ์ก็ทำให้เต็มใจอุทานขึ้นมาด้วยความยินดีจนลืมชวนชายหนุ่มข้างกายทะเลาะไปเสียสนิทว่า

“สวยจริงๆ เลยนะคิม แกว่าอย่างนั้นไหม”

“ฮื่อ” คิมหันต์พยักหน้าแล้วก็สูดน้ำมูกที่เริ่มไหลออกมาด้วยความหนาวดังฟุดฟิดก่อนที่จะพูดขึ้น “มาถึงเวลานี้เขาจะให้เช็คอินหรือเปล่าก็ไม่รู้ ไปไหนมาไหนโรงแรมเขาก็เช็คอินกันตอนเที่ยงๆ บ่ายๆ ทั้งนั้น ฉันขี้เกียจกระเตงสัมภาระไปเที่ยวทั่วโซลกับแก”

“ไม่ลองก็ไม่รู้ ไปถามเจ้าของเขาก็น่าจะได้คำตอบแหละน่า” หญิงสาวไม่รอช้ารีบเดินเข้าสู่ภายในที่พักแล้วก็ให้นึกโล่งใจที่คุณป้าฮันเจ้าของเกสต์เฮ้าส์อนุญาตให้เช็คอินได้และสามารถนำสัมภาระไปวางไว้ในห้องได้ทันที แต่ก็ยังมีอีกเรื่องที่หญิงสาวรู้สึกขัดใจเมื่อสตรีเจ้าของเกสต์เฮ้าส์อธิบายลักษณะห้องพักเป็นภาษาอังกฤษเพื่อให้หญิงสาวชาวต่างชาติได้เข้าใจว่า

“ห้องนี้นอนกันสองคนนะจ๊ะ จองมาสองที่ป้าก็เตรียมฟูกไว้ให้แล้ว อยู่ในตู้ข้างหลังนั่นนะจ๊ะ”

“นอนด้วยกันหรือคะ” เต็มใจหลุดปากถามออกมาโดยไม่ต้องคิด “คือพอดี หนูไม่ได้มากับพี่ชายหนูน่ะค่ะ ถ้าจะนอนกับอีตาคนนั้นหนูจะรู้สึกแปลกๆ อาจุมมามีห้องอีกสักห้องไหมคะ หรือถ้าไม่มีหนูนอนห้องอาจุมมาก็ได้นะคะ หนูไม่เกี่ยง”

“ไม่ได้หรอกค่ะ” หญิงชราส่ายหัวแล้วก็พูดด้วยสีหน้าแย้มยิ้ม “ป้าคงจะให้หนูนอนกับคนอื่นไม่ได้ เดี๋ยวแฟนหนูจะว่า อ้าวนั่นไงมาแล้ว”

“ผมรักเธอครับ” เขาพูดเป็นภาษาอังกฤษอย่างชัดถ้อยชัดคำจนหญิงสาวข้างกายต้องหันมามองตาเขียว “พี่สาวคนนี้เขาเป็นแฟนผมเองครับป้า ไม่ต้องไปฟังเขานะฮะ”

“นี่แกพูดอะไรของแกนะ ฉันฟังไม่เข้าใจ” เต็มใจตั้งท่าเตรียมจะโวยวาย หรือถ้าคิมหันต์จะคิดก็คงต้องบอกว่าเต็มใจโวยวายไปเรียบร้อยแล้ว “ทีอย่างนี้ล่ะพูดภาษาอังกฤษซะคล่องเปรี๊ยะ หนอย! ทำมาเป็นอุบเงียบนี่นา แกคิดว่าแกจะฉีกหน้าฉันเลยใช่ไหมเนี่ย”

“เสียงใครดังตั้งแต่เช้าเนี่ย” หญิงสาวข้างห้องแต่งตัวในชุดเครื่องกันหนาวเต็มยศเปิดประตูออกมาแล้วก็บ่นพึมพำเป็นภาษาอังกฤษ “เบาๆ หน่อยได้ไหมคะคุณ”

“ขอโทษครับที่รบกวน” คิมหันต์เอ่ยขอโทษขอโพยเป็นภาษาอังกฤษ ไม่ได้สนใจหญิงสาวชาวไทยอีกคนที่ทำหน้าราวกับว่าจะกินเลือดกินเนื้อให้ตายกันไปข้างหนึ่งเลยทีเดียว “คือพอดีผมกับแฟนเพิ่งมาถึงน่ะครับ เลยมีปากเสียงกันนิดหน่อยว่าจะไปเที่ยวไหนกันดีระหว่างพระราชวังเคียงบกกับโซลสเตเดียม”

“โอ้! ไม่เป็นไรค่ะ ฉันเข้าใจ” หญิงสาวหัวเราะขึ้นด้วยอารมณ์ที่สดชื่นแล้วก็เดินมาแนะนำตัวกับชาวไทยทั้งสองคน “ฉันมาริอาน่าค่ะ ฟังสำเนียงก็รู้นะคะว่ามาจากอังกฤษ แล้วคุณสองคนล่ะคะ”

“ผมคิมครับ มาจากเมืองไทย” คิมหันต์แนะนำตัวสั้นๆ แล้วก็สะกิดหญิงสาวที่คงจะแรงไปหน่อยเพราะเต็มใจถึงกับร้องลั่นก่อนที่จะเปลี่ยนสีหน้าให้เป็นมิตรแล้ว ทักทายเพื่อนต่างชาติคนแรก

“ฉันทีเจค่ะ คือถ้าจะบอกชื่อจริงไปคุณก็คงพูดลำบาก เอาเป็นว่าเรียกทีเจแหละค่ะง่ายกว่า” แนะนำตัวเสร็จหญิงสาวในโค้ตสีชมพูก็รีบ ‘แก้ข่าว’ “ฉันไม่ใช่แฟนนายนี่นะคะ คุณอย่าไปเชื่อ”

“แหม! ฉันเข้าใจค่ะทีเจ ทีแรกฉันกับคูเปอร์ก็เป็นแบบนี้เหมือนกัน ตอนนี้ก็ย้ายมานอนห้องเดียวกันแล้ว” พูดแล้ว ‘คูเปอร์’ ที่หญิงสาวเดาว่าคงจะเป็นเพื่อนชายคนสนิทของสาวอังกฤษก็เดินออกมาจากห้องด้วยเครื่องกันหนาวที่เต็มยศไม่แพ้กัน “คูปคะ นี่ทีเจกับคิมค่ะ เขาเพิ่งมาถึงเมื่อเช้านี้เอง”

“ยินดีที่ได้รู้จักครับ” ชายหนุ่มร่างสูงไล่เลี่ยกับคิมหันต์สัมผัสมือทักทายเพื่อนใหม่ทั้งสอง “ยินดีต้อนรับสู่โซลครับ หวังว่ามาเที่ยวกันเป็นคู่แบบนี้คงจะเพิ่มความโรแมนติคได้ไม่น้อยเลยนะครับ”

ทั้งสองคนไม่รอให้เต็มใจพูดต่อ เพราะมาริอาน่าและคูเปอร์ต่างก็ส่งยิ้มให้พร้อมกับเอ่ยขอตัวอย่างสุภาพจนเต็มใจนึกขัดอกขัดใจขึ้นมาอยู่ครามครัน
ก็จะไม่ให้ขัดใจยังไงไหว…เพราะอีตาหัวจุกคลุกน้ำปลาข้างตัวไม่ปฏิเสธเลยสักนิดว่าเธอกับอีตานั่นน่ะเป็นแค่เพื่อนร่วมทางที่พระเจ้าผู้ทรงโหดร้ายเล่นตลกส่งให้มาเดินทางร่วมกันเท่านั้น ไม่ใช่แฟน คนรู้ใจ หรือแม้กระทั่งสามีภรรยาอะไรอย่างที่นายนั่นว่าด้วยซ้ำไป!

แม้จะรู้สึกขัดใจอยู่บ้างหากเมื่อต้องเดินทางด้วยกันจริงๆ แล้วเต็มใจก็เป็นฝ่ายให้ความร่วมมือกับชายหนุ่ม เป็นอย่างดีในการวางแผนการเดินทาง เพราะเต็มใจเองก็เห็นด้วยกับคิมหันต์ใน ‘ปรัชญาการท่องเที่ยว’ ที่ต้องการจะชื่นชมกับสถานที่แต่ละแห่งนานๆ มากกว่าที่จะไปชะโงกทัวร์ตามที่ต่างๆ เพื่อให้ได้มาถึงเท่านั้น ดังนั้นเมื่อคิมหันต์เสนอแนะว่าจะไปที่ใดก็ตามหญิงสาวจึงไม่คิดจะเกี่ยงงอนนัก ส่วนหนึ่งเต็มใจก็ยอมรับละว่าคงจะเป็นเพราะเธอนึกกลัวจริงๆ ว่าถ้าทะเลาะกันไปตลอดการเดินทางทั้งวันจะยิ่งทำให้บรรยากาศการพักผ่อนในสายลมหนาวอย่างที่เธอต้องการมาตลอดจะต้องกลายเป็นเวทีมวยราชดำเนินกลางกรุงโซลเป็นแน่แท้

ด้วยเหตุผลนี้เอง ทันทีที่ชายหนุ่มตัดสินใจเดินทางไปพระราชวังเคียงบกเป็นสถานที่แรกด้วยเพราะอยู่ในระยะที่พอเดินถึง หญิงสาวจึงเป็นฝ่ายถือแผนที่เดินนำหน้าเสียเองโดยไม่รอให้คิมหันต์เป็นฝ่ายออกปาก ‘สั่ง’ อย่างที่ชายหนุ่มคนเดิมชอบทำอยู่เสมอๆ

“โอ้โห! นี่หรือที่ที่แดจังกึมเคยมาทำกับข้าวให้พระราชากินน่ะ”

คิมหันต์อุทานด้วยความตื่นตาตื่นใจทันทีที่เดินทางมาถึงอาคารหลังใหญ่ของพระราชวังเคียงบกที่ประกาศความโอ่อ่าอลังการสมกับเป็นพระราชวังหลวงแห่งราชวงศ์โชซอนที่มีขนาดใหญ่ที่สุดและสำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์เกาหลีด้วยการประดับประดาที่แม้ในปัจจุบันจะดูไม่รุ่งเรืองดังแต่ก่อนแต่ด้วยการรักษาที่ยังคงทำได้อย่างดีก็บ่งบอกถึงเกียรติภูมิอันเก่าแก่ที่น่าภาคภูมิใจไม่น้อยทีเดียว

“แกดูแดจังกึมด้วยหรือไง” เห็นชายหนุ่มอุทานออกมาเช่นนั้นเต็มใจก็ถามด้วยนึกขัน “นึกว่าชายชาตรีอย่างแกจะดูพวกบอลพรีเมียร์ลีก ฟังเพลงร็อค แข่งมอเตอร์ไซค์ แล้วก็จีบสาวทิ้งขว้างเสียอีก”

“โอ๊ย! ตอนนั้นติดเลยละ” ชายหนุ่มไม่ปฏิเสธซ้ำยังออกเดินต่อเพื่อไปชมบัลลังก์กษัตริย์ที่อยู่ด้านใน “ว่าแต่ว่าไอ้โทษสมบัติที่แกบอกมานี่มันเป็นพวกเด็กแว้นมากกว่านะแม่คุณ กระผมเลยวัยแบบนั้นมาแล้วนะขอรับอาจุมมาเต็มใจ”

“ใครจะไปรู้ล่ะ เห็นแกย้อมผมสีน้ำตาลแถมมัดจุก แล้วยังมาประกาศปาวๆ ว่าเป็นสาวกเกาหลีเสียขนาดนี้ ไอ้ฉันมันก็นึกว่าแกยังนึกอยากทำตัวเป็นเด็ก”

“คนเรามันก็ต้องเปลี่ยนแปลงกันบ้าง จะให้ฉันมาไถหัวเกรียนนุ่งกางเกงขาสั้นอย่างที่แกเคยเห็นมาตลอดชาติก็คงจะเป็นไปได้หรอกนะแม่คุณ” คิมหันต์พูดแล้วก็ส่ายหัวอย่างอ่อนใจก่อนที่จะตัดบท “กินข้าวเสร็จเสร็จแล้วแกอยากไปไหนต่อล่ะเต็ม บ่ายนี้ฉันเปิดช้อยส์ให้แกเลย”

“โซลสเตเดียมแน่นอน” เต็มใจตอบโดยไม่ต้องคิด “บอลโลกคราวนั้นฉันเชียร์เกาหลีใต้จนเกาหลีใต้ทะลุเข้ารอบลึกๆ ขอมาเหยียบสนามที่เขาเล่นสักหน่อยจะเป็นไรไป”

“ตามใจแก เพราะฉันก็อยากไปเหมือนกัน”

เพราะโซลสเตเดียมหรือสนามกีฬาโซลที่ใช้แข่งขันฟุตบอลเมื่อปี 2002 อยู่ห่างไปจากใจกลางเมืองพอสมควรและด้วยการเดินทางภายในกรุงโซลที่ทั้งสองยังไม่คุ้นชินกับการใช้บริการขนส่งมวลชนนัก จึงทำให้ต้องเสียเวลานานพอดูในการเดินทาง แต่เมื่อเดินทางมาถึงเต็มใจก็ไม่ผิดหวังเลยแม้แต่น้อย หญิงสาวนำหน้าเพื่อนร่วมทางลิ่วๆ ตรงเข้าไปยังสนามกีฬาพร้อมกับอุทานด้วยความตื่นเต้น

“นี่ไงๆ ตรงนี้แหละที่ฉันเคยดูถ่ายทอดสด จำได้ว่าเวลากองเชียร์เกาหลีมาเชียร์นักฟุตบอลชาติตัวเองนะ อัฒจันทร์ด้านนี้แดงครึ่ดไปทั่วเลย แถมยังเชียร์กันได้ใจฉันมากๆ มีทั้งส่งเสียง มีทั้งเป่าปากแล้วก็ปรบมือกันจนฉันอยากมานั่งเป็นส่วนหนึ่งในสนามเลยละแก แกเชื่อไหมว่าตอนนั้นฉันบ้าปาร์กจีซองมากจนอยากจะขอเป็นแฟน”

“อืม แกน่ะบ้าจริงๆ” ชายหนุ่มพยักหน้าหงึกหงักก่อนที่จะพูดต่อ “ฉันหมายถึงว่าบ้าไปแล้วนะที่คิดจะขอปาร์กจีซองเป็นแฟน เพราะหน้าตาไม่ได้ไปด้วยกันกับฝีเท้าพี่เขาเลย ถ้าแกชอบลงฉันก็ต้องขอซูฮก”

“แกนะแก พูดออกมาได้” หากหญิงสาวบ่นอุบอิบหากก็ยอมรับในท้ายที่สุด “จริงๆ ตอนนั้นฉันชอบดงบังชิงกิตอนออกมาเป็นพรีเซ็นเตอร์ให้ทีมชาติเกาหลีมากกว่า ขอสารภาพว่าตอนนั้นแจน่ารักมากๆ”

“ไหมล่ะ” ได้ยิน ‘ความจริง’ จากปากของหญิงสาวข้างกายคิมหันต์ถึงกับปรบมือด้วยความถูกใจ “อย่างนี้มันค่อยเป็นนางสาวเต็มใจหน่อย ว่าแต่ว่าไม่ชอบแจคนนี้เหรอจ๊ะ โสดนะจ๊ะน้อง”

“ถ้าแกยังเห็นหน้าตัวเองไม่ชัดนะคิม แนะนำว่าน้ำในสระตรงหน้าสนามบอลน่ะแข็งหมดแล้ว ไปส่องดูเงาตัวเองว่าหน้าตาคุณน่ะห่างไกลกับตัวจริงขนาดนิพพานกับโลกันต์นรกเลยล่ะค่ะ ขอยืนยัน”

“ปากอย่างนี้แหละที่ไล่คนมานักต่อนักแล้ว นอกจากหน้าตาที่เป็นอาวุธน่ะ” เมื่อเห็นเต็มใจเตรียมตัวจะทำร้ายร่างกายด้วยความหมั่นไส้คิมหันต์ก็โบกไม้โบกมือพร้อมกับร้องลั่น “เออๆ ฉันเลิกพูดแล้วก็ได้ คุณนายอยากจะเดินชมอะไรก็เดินไปเถอะขอรับ กระผมสัญญาว่าจะเดินตามต้อยๆ ไม่มีปากเสียงสักคำเลยขอรับ สัญญาด้วยเกียรติของอดีตหัวหน้าหมู่ลูกเสือสีแดงเลยครับผม”

“อย่างนั้นก็ดี” เต็มใจลดมือลงพร้อมกับสีหน้าที่ดูจะพึงพอใจมากขึ้น “ถ้าฉันเดินอยู่นานก็อย่าบ่นซะก่อนละว่าหนาวจนเดินไม่ไหว เพราะแกพูดแล้วนะว่าจะไม่บ่น”

หญิงสาวพูดไม่ทันจบดีก็เดินลิ่วๆ ขึ้นไปยังส่วนบนสุดของอัฒจันทร์โดยเร็วโดยไม่ได้สังเกตเลยว่าชายหนุ่มข้างล่างที่แม้จะใส่โค้ตยาวสีดำหนาเพียงใดก็ตามกำลังยืนห่อตัวพร้อมกับพ่นลมหายใจยาวก่อนที่จะบ่นขึ้นมาเบาๆ ด้วยเพราะถ้า ‘เต็มใจทัวร์’ ได้ยินเสียงบ่นของคิมหันต์ก็คงจะบ่นกลับด้วยเสียงที่ดังกว่าเป็นแน่แท้

‘ฉันมาเที่ยวกับเพื่อนหรือฉันมาเที่ยวกับแม่กันแน่วะ ถึงได้ต้องยอมมันซะขนาดนี้!’

โปรแกรมสุดท้ายของวันนี้คือโปรแกรมการไปชมร้านกาแฟที่เป็นฉากหลักของละครเกาหลีเรื่องหนึ่งที่โด่งดังไปทั่วทั้งในประเทศบ้านเกิดและในประเทศไทยที่แม้จะยังไม่ทันฉายทางสถานีโทรทัศน์ช่องหลักแต่ผู้ที่ได้รับชมแล้วต่างก็ติดอกติดใจกันเป็นจำนวนมาก และแน่นอนว่าการเดินทางไปร้านกาแฟนี้เป็นรายการที่เต็มใจภูมิใจนำเสนอด้วยเพราะเธอเองก็เป็นสาวกของละครเรื่องนี้เช่นกัน หากที่น่าแปลกใจอีกประการหนึ่งก็คือคิมหันต์ยอมทำตามข้อเสนอของเธออย่างง่ายๆ โดยไม่คัดค้านหรือแม้กระทั่งจะอิดออดเพราะชายหนุ่มให้เหตุผลว่า

“หนาวๆ อย่างนี้ ไปนั่งกินกาแฟก็ดีเหมือนกัน ถึงจะไม่ดีเท่าจิบโซจูก็เถอะ”

และแม้ว่าเวลานี้จะเป็นเวลาเย็นมากแล้วก็ตาม แต่จำนวนลูกค้าในร้านก็ไม่มีทีท่าว่าจะลดลงไปเลยแม้แต่น้อย เพราะส่วนหนึ่งก็คงจะมาจากกรุ่นกลิ่นหอมๆ ของกาแฟที่ลอยเข้ามาปะทะจมูกสร้างความเย้ายวนใจทุกครั้งเมื่อใครก็ตามก้าวเข้ามาในร้านและความอบอุ่นจากภายในที่คงจะเป็นที่พักความหนาวได้ดีเป็นอย่างยิ่ง

และสาเหตุอีกประการหนึ่งก็คงจะเป็นเพราะร้านกาแฟนี้ยังคงรักษาฉากจากละครเรียกได้ว่าแทบจะถอดแบบกันออกมาก็ยิ่งทำให้ใครๆ ต่างก็อยากเข้ามาใช้บริการในร้านกาแฟแห่งนี้กันอย่างแน่นอน

“แหม! ดูสิ ภาพเขียนที่ยัยนางรองนั่นวาดให้พระเอกในร้านก็ยังอยู่เลย ร้านเขารักษาไว้ดีจริงๆ เลยนะเนี่ย ทำให้ฉันละนึกครึ้มคิดอยากเป็นนางเอกขึ้นมาตงิดๆ เผื่อจะได้มีผู้ชายอย่างยูมาชอบบ้าง”

“เรื่องนี้นางเอกปลอมเป็นผู้ชายไม่ใช่หรือ” ชายหนุ่มถามลอยๆ หากเต็มใจหันหน้ามามองราวกับว่าชายหนุ่มทำอะไรแปลกประหลาดมหัศจรรย์เสียอย่างนั้นแล้วก็เอ่ยถามด้วยความงุนงงเป็นยิ่งนัก

“คราวที่แล้วก็แดจังกึม คราวนี้ก็คอฟฟี่ปริ้นซ์ ฉันชักสงสัยแล้วว่าแกจะดูซีรีส์มากกว่าฉันแน่ๆ นี่แกกลายเป็นคนแบบนี้ไปได้ยังไงละเนี่ย”

“ดูกับแม่” ชายหนุ่มตอบสั้นๆ แต่สีหน้าคาดคั้นของเต็มใจทำให้เขาต้องอธิบายต่อ “ก็ตอนทำงานโฆษณาน่ะแทบไม่ได้ไปไหนเลย วันหยุดว่างๆ เห็นแม่ดูก็เลยดูเป็นเพื่อนแกหน่อย ทำไปทำมาก็เลยติด”

“ไม่อยากจะเชื่อว่าแกจะเป็นไปกับเขาด้วย” เต็มใจดูจะไม่เชื่อเอาจริงๆ ละว่าเพื่อนหนุ่มของเธอจะเปลี่ยนไปมากขนาดนี้ “นี่ก็เลยกลายเป็น ‘หนุ่มเกา’ ตั้งแต่หัวจรดเท้าใช่ไหมเนี่ย”

“โอ๊ย! พูดยังกับว่าฉันไม่ได้อาบน้ำมาเป็นชาติ เกาตั้งแต่หัวจรดเท้า พูดให้มันชัดๆ สิว่าเป็นหนุ่มเกาหลี ไม่งั้นคนจะเข้าใจผิดหมด” คิมหันต์เห็นเต็มใจหลุดหัวเราะขึ้นมาก็รีบตัดบท “รีบๆ กินเข้าไปเถอะกาแฟน่ะ กงยูของคุณชักเริ่มจะอารมณ์เสียแล้วครับคุณคานเต็มใจ”

“เอ๊ะ!” ‘คานเต็มใจ’ ได้ยินชื่อตัวเองเป็นภาษาเกาหลีก็ร่ำๆ จะทำท่าเอาเรื่องขึ้นมาอีกครั้ง “เมื่อกี้พูดว่าอะไรนะนายคิม ว่าฉันเป็นอะไรไม่ทราบ”

“เปล่า!” คิมหันต์ตัดบทพลางทำหน้าตาย “กินๆ เข้าไปเถอะกาแฟน่ะ นี่ฟ้าก็เริ่มจะมืดแล้ว ฉันไม่อยากจะกลับดึกมาก วันนี้ฉันยังไม่ได้นอนมาเลยนะแม่คุณ”

“เออหน่า…ก็กำลังจะรีบแกก็มาขัดจังหวะ” หญิงสาวพูดแล้วก็นิ่งไปนิดราวกับว่านึกอะไรขึ้นมาได้แล้วก็เปรยต่อ “พูดถึงกาแฟ…ฉันจำไม่ได้แล้วว่าใครสักคนนี่ละเคยบอกกับฉันว่า ‘ความรักก็เหมือนกับกาแฟ มันอาจจะขมก็จริง แต่มันก็ทำให้คนเราตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา’ คิดไปคิดมาฉันว่าถูกเผงเลยละแก แกว่าอย่างนั้นไหม”

คิมหันต์ไม่ตอบหากเขากลับยิ้มที่มุมปากน้อยๆ แต่ถ้าเต็มใจเข้ามานั่งอยู่ในความคิดของชายหนุ่มขณะนี้ เธอก็คงจะเห็นภาพในสมองของคิมหันต์ที่หมุนวนกลับไปสู่เรื่องวันวานที่มันยังคงชัดเจนเสมอในความรู้สึกของเขาซึ่งเขาก็ไม่รู้หรอกว่าหญิงสาวตรงหน้าเขานี้จะยังคงจำได้หรือไม่

วันนั้นเป็นวันเสาร์ในเดือนเมษายนที่ร้อนที่สุดวันหนึ่งจนคิมหันต์ไม่คิดอยากจะออกจะบ้านไปไหน หากเมื่อเต็มใจโทรมาพร้อมกับเสียงอันเศร้าสร้อยก็ทำให้คิมหันต์อดถามด้วยความเป็นห่วงไม่ได้

“แกทำไมทำเสียงจะร้องไห้ล่ะไอ้เต็ม เป็นอะไรหรือเปล่า”

“งานนี้แกต้องช่วยฉันแล้วล่ะไอ้คิม” หญิงสาวคนเดิมยังคงมีน้ำเสียงเจ็บปวดไม่เปลี่ยนแปลง “เพราะฉันเลิกกับพี่ปั้นแล้ว เมื่อกี้นี้เอง”

“แกอยู่ไหนเต็ม บอกมาเดี๋ยวนี้ว่าแกอยู่ไหน” ไม่รู้ว่าเพราะอะไรเหมือนกันที่ทำให้คิมหันต์อดคิดไม่ได้ว่าเต็มใจอาจจะทำอะไรบ้าๆ ลงไปก็เป็นได้ทำให้ชายหนุ่มต้องถามออกไปอย่างเร่งร้อน “เอาเป็นว่าฉันไปเจอกับแกที่ร้านกาแฟหน้าโรงเรียนแล้วกันนะ แกอย่าคิดทำอะไรโง่ๆ ล่ะ”

สี่สิบนาทีต่อมาเต็มใจและคิมหันต์ต่างก็นั่งอยู่พร้อมกับกาแฟร้อนสองถ้วยและคุกกี้กาแฟสองสามชิ้นที่เป็นของโปรดของเต็มใจ หากวันนี้หญิงสาวกลับไม่คิดจะแตะมันแม้แต่น้อย

“คุกกี้นี่มันแพงนะแม่คุณ ไม่คิดจะกินสักหน่อยหรือไง” คิมหันต์พยายามจะชวนแกมบังคับหากเต็มใจกลับขัดขึ้นด้วยเสียงอันเยียบเย็น

“ไม่อยากกิน ไม่มีอารมณ์” พูดแล้วน้ำตาของหญิงสาวก็พาลจะไหลหากเต็มใจกลับกัดริมฝีปากไว้แน่นบ่งบอกว่าพายุอารมณ์ในใจนั้นปั่นป่วนเพียงใดแล้วก็ฝืนพูดต่อ “รู้ไหมว่าพี่ปั้นเขาไม่ได้ดีอย่างที่พวกเราคิดกันหรอกนะ ลับหลังฉันเขาคบผู้หญิงทีละสามคน ไม่ใช่สองนะแก…แต่เป็นสาม แกลองคิดดูสิว่าจะมีใครทนได้บ้าง”

“โชคดีของพี่เขา แต่เป็นโชคร้ายของแก” ชายหนุ่มพูดแล้วก็พยักหน้าบ่งบอกว่าเข้าใจในสถานการณ์ที่เกิดขึ้น “แต่ถ้าให้ฉันเดา แกคงจะบอกเลิกเขาก่อนใช่ไหมล่ะ ถึงได้มานั่งเฮิร์ตขนาดนี้”

“แกนี่มันนอสตราดามุสหรือเปล่า หรือว่านั่งทางในก่อนมาหาฉัน” หญิงสาวใบหน้าโศกที่ขณะนี้ควบคุมอารมณ์ได้มากแล้วถามอย่างประหลาดใจก่อนที่จะพูดต่อ “ใช่…ฉันบอกเลิกเขาก่อน เพราะฉันรู้ว่าฉันไม่ควรจะเสียเวลาไปรักคนแบบนั้นอีกแล้วละ”

เห็นสีหน้าที่อ่อนโยนผิดไปจากปกติของชายหนุ่มผู้เป็นเพื่อนสนิทก็ยิ่งทำให้เต็มใจรู้สึกผ่อนคลายอย่างที่เธอไม่เคยรู้สึกมาก่อน เพราะแท้จริงเธอก็รู้ดีว่าคิมหันต์เป็นคนที่จริงจังมากเพียงใด หญิงสาวจึงปลดปล่อยความอัดอั้นที่สุมไว้ในอกออกมาจนหมดสิ้น

“น่าขำนะไอ้คิม ฉันน่ะอุตส่าห์เลือกคนที่เขารักเราแทนที่เป็นคนที่เรารักเขา แต่เอาเข้าจริง คนที่เขารักเราก็ไม่ยักกะรักเราอย่างที่ปากว่า ไอ้ครั้นจะเลือกคนที่เรารักเขามันก็หายหัวกันไปหมด”

“เต็ม ถึงแกจะเลิกกับพี่ปั้นไปแกก็ไม่ต้องเสียใจหรอกนะ แกลองคิดง่ายๆ สิว่าความรักมันก็เหมือนกาแฟที่ฉันสั่งมาเลี้ยงแกนี่ไงล่ะ มันหวานแค่ไหนแต่มันก็แค่พรางความขมไว้เท่านั้น”

คิมหันต์เองก็รู้สึกประหลาดใจเช่นกันเมื่อหลุดปากพูดออกมาเช่นนี้ เพราะเขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามีอะไรดลใจให้เอ่ยปากพูดอะไรที่มัน ‘น้ำเน่า’ เช่นนี้ออกมาได้ แต่ก็คงจะเป็นเพราะความห่วงใยหญิงสาวที่เป็นเพื่อนสนิทมาตลอดระยะเวลาหลายปีกระมังที่ทำให้เขายังคงพูดต่อไปได้

“ไอ้เต็มเอ๊ย! ธรรมชาติของความรักน่ะมันขม ไม่ใช่หวานอย่างที่แกอ่านนิยายหรือดูละครหรอก แต่อย่างน้อยความรักมันก็ทำให้ชีวิตคนเราตื่นตัว เหมือนกับไอ้กาแฟที่เรากินๆ กันอยู่นี่ไงล่ะ”

“จริงของแก” หญิงสาวพยักหน้ารับ…รู้สึกได้ทันทีว่าชายหนุ่มที่เธอสนิทสนมด้วย ‘มีดี’ มากกว่าที่เธอเคยคิดมาตลอดเวลา “รู้นะว่าความรักเป็นทุกข์แต่คนเราก็ยังไม่เข็ด ก็คงจะเหมือนที่ฉันกับแกก็ติดกาแฟอย่างนี้ละมั้ง ไม่กินก็ไม่ได้เสียด้วย เพราะไม่อย่างนั้นง่วงทั้งวันแน่”

คิมหันต์อยากจะคิดอยู่เหมือนกันละว่าท่าทีของเต็มใจที่ไม่ได้ดูเศร้าสร้อยจนเกินไปก็อาจจะเป็นสัญญาณบ่งบอกความรู้สึกของหญิงสาวอยู่บ้างเหมือนกัน แต่ชายหนุ่มเองก็ไม่กล้าเชื่อได้อย่างสนิทใจเพราะดูจากท่าทีวันนี้ก็ทำให้เขานึกหวั่นใจอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว

คิดแล้วมันก็ช่างน่าขันที่ระยะเวลาเจ็ดปีทำให้เต็มใจดูจะลืมคำพูดของเขาไปจริงๆ และก็คงจะน่าเสียดายเหลือเกินที่เต็มใจจะลืมทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นระหว่างเขากับเธอ

เพราะเธอคงจะไม่รู้หรอกว่าเมื่อเขาพบกับเธออีกครั้งในวันนี้ เขารู้ทันทีว่าความรู้สึกของเขาที่มีต่อหญิงสาวยังคงไม่เปลี่ยนแปลงไปจากเมื่อเจ็ดปีก่อนเลยแม้แต่น้อย!



Create Date : 18 พฤษภาคม 2551
Last Update : 18 พฤษภาคม 2551 0:00:49 น. 0 comments
Counter : 224 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

northstar_polaris
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add northstar_polaris's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.