~*+ความสุขของหนูมอญ+*~
Group Blog
 
All blogs
 

งานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกรา#3 (งานเลี้ยงของเรา)

งานเลี้ยงของเรา


“เมื่อกี้พี่เล็กโทรมา”
พี่เล็กหรือป้าเล็ก เป็นภรรยาของรุ่นพี่พ่อฉัน สนิทกับที่บ้านตั้งแต่ฉันเด็กๆ

“เหรอ โทรมาว่าไง” แม่ฉันถามกลับไปตามประสา ในขณะที่ฉันเริ่มเปิดถุงขนมที่ซื้อมา

“โทรมาขอเบอร์น้องฉัน”

“ฮ้า” ฉันกับแม่อุทานเกือบพร้อมกัน... ถุงขนมดังแคว้ก

“มีเสียงโห่เสียงฮากันใหญ่” หัวใจฉันเต้นแรงและเร็ว

“แล้วพี่ว่าไง” แม่ถามกลั้วหัวเราะ ถูกใจคุณนายแกนักล่ะ

“สัญญาณไม่ดีเลยวางไป” ลูกโป่งอัดลมแน่นโดนปล่อยลมฉันใด หัวใจฉันที่พองโตเมื่อครู่ก็แฟ่บลงฉันนั้น

พ่อใจร้าย จะปล่อยให้ลูกขึ้นคาน... แต่ฉันยิ้มกว้างกว่าเก่า กว้าง กว้าง กว้าง จนแก้มแทบปริ มันเหมือนมีอะไรวิบวับๆ ที่เรียกว่า ‘ความหวัง’ ปรากฏขึ้นในใจ

เมื่อมาถึงบ้านฉันอดไม่ได้ที่จะไปดูเบอร์ที่ได้รับสายในเครื่องพ่อ เพราะมีลางสังหรณ์อะไรบางอย่าง... เบอร์พี่เค้า ปรากฏที่เครื่องพ่อฉันจริงๆ

อะไรกันเนี่ย เกิดอะไรขึ้น ฉันตกใจ ดีใจ ตื่นเต้น แต่จะทำยังไงดี จะทำยังไงดี จำทำยังไงดี (วะ)

เป็นผู้หญิงนะเว้ยเฮ้ย

แต่ไม่มีแฟนมานานแล้วน้า

พี่เค้าเก็กจะตาย

แต่ได้คุยกันแล้วเค้าก็ดีไม่ใช่เหรอ

แต่เราเป็นผู้หญิงนะ

ฉันถือโทรศัพท์ของฉันเดินวนไปวนมาในห้องอยู่หลายนาที แล้วก็ได้รับคำตอบในที่สุด... บางทีเราก็ต้องยอมเสี่ยงกับอะไรบ้างเพราะเรื่องดีๆ ไม่ได้เกิดขึ้นง่ายๆ ที่สำคัญที่สุดเรื่องประหลาดๆ แบบนี้ก็ไม่ได้เกิดขึ้นกับฉันง่ายๆ แน่นอน...

“สวัสดีครับ ผมพลทหาร บลา บลา บลา รับสายครับ”

“เอ่อ พี่เค้าไม่อยู่เหรอคะ”

“แกออกไปข้างนอกครับ แต่ไม่ได้เอาโทรศัพท์ไป”

“อ๋อ งั้นไม่เป็นไร ขอบคุณมากค่ะ”

ฉันวางหู และคิดว่าพลทหารบลาบลา ย่อมรายงานผู้บังคับบัญชาตามหน้าที่ ประเดี๋ยวพี่เค้าคงโทรมา ฉัน รอ รอ รอ สองชั่วโมงผ่านไป พี่เค้าไม่โทรมา ฉันคิดในแง่ดีไว้ก่อนว่าพลทหารบลาบลา อาจไม่ได้รายงาน พี่เค้าเลยไม่รู้ หรือไม่พี่เค้าก็อาจจะยังไม่กลับ จะโทรไปอีกครั้งก็ดึกมากแล้ว ฉันเลยตัดสินใจส่งแมสเซส

สวัสดีค่ะ... พอดีเห็นเบอร์พี่เค้าที่เครื่องคุณพ่อค่ะ ไม่ทราบมีอะไรรึเปล่า แต่นี่เบอร์ฉันนะคะ มีอะไรก็โทรมาได้ (แต่คงไม่มีใครแซวให้โทรแล้วมั้ง อิอิ)

อะแฮ่ม... ทำไมค้า ทีพี่เค้ายังอ่อยได้ ฉันก็อ่อยได้เหมือนกัน

วันต่อมา แม่ได้รับโทรศัพท์จากป้าเล็กเล่าความเป็นไปเรื่องเมื่อวาน... เรื่องนี้มันสำคัญมากขนาดไหนกันเนี่ยพ่อแม่พี่น้อง ป้าเล็กรายงานว่า...

หลังจากที่ครอบครับฉันกลับไปแล้ว ฉันก็ตกเป็นTopic ทันที เมื่อบรรดาลุง ป้า น้า อา ส่งเสียงเชียร์กระหน่ำซัมเมอร์เซลล์ ให้พี่เค้าจีบฉันให้ได้ ประมาณว่าน้องฉันน่ารักอย่างโน้น เก่งอย่างนี้ เป็นเด็กดีเห็นมาแต่เล็ก จีบเลยๆ

แล้วไงรู้มั้ยคะ อีตาพี่เค้าทะลึ่งบอกทุกคนว่ามีเบอร์ฉันแล้ว... ฉันเดาจากรูปการณ์ได้ว่า พี่เค้าคงเข้าใจผิดว่าตอนที่ฉันยืมโทรศัพท์เขาโทรหาพ่อน่ะ ฉันโทรเข้าเครื่องตัวเอง ว้ายๆ ขี้ตู่จริงๆ ฉันโทรหาพ่อฉันต่างหาก เรื่องอะไรฉันต้องทิ้งเบอร์ไว้ให้เขาด้วยเล่า (แต่ก็ได้ส่งแมสเซสไปแล้ว ฮ่าๆ) ...ก็นั่นแหละ บรรดาพ่อสื่อแม่สื่อต่างตื่นเต้นกันยกใหญ่ แต่ไม่วายขอดูเบอร์ฉันจากพี่เค้าเป็นการยืนยัน... เมื่อทุกคนเห็นเบอร์ก็ฟันธงฉับๆ ว่าเฮ้ย ไอ้เค้านี่มันเบอร์พ่อน้องฉัน พี่เค้าคงทำหน้าเหวอ ก็เลยโดนบังคับให้โทรไปที่เบอร์นั้นซะเลย แล้วไงล่ะ พอเป็นพ่อฉันรับ พี่เค้าก็รีบส่งให้ป้าเล็กพูดเลยทีเดียว... ป๊อดซะไม่มีอ่ะ

ฉันรอโทรศัพท์ ตั้งแต่ 8 โมงเช้า ยัน 3 ทุ่ม พี่เค้าไม่โทรมา ฉันเริ่มดาวน์แล้ว ไม่ผ่อนด้วย ดาวน์จริงๆ เหมือนคนอกหัก เหมือนฉันทำอะไรผิดพลาดลงไป (ไงล่ะ เรื่องเสี่ยงของหล่อน สมน้ำหน้านัก... จิตใต้สำนึกของฉันเยาะเย้ย) ฉันเหี่ยวแล้วเหี่ยวอีก ทนไม่ไหวแล้ว พี่เค้าบ้า หลอกให้อยากแล้วจากไป

ฉันออนไลน์Msn เปิดเว็บแคมไปด้วยให้เพื่อนรักเห็นใบหน้าซังกะตาย แล้วยังตั้งชื่อใหม่ในเอ็มว่า ‘เหมือนอกหัก’ เพื่อนๆ ต่างแวะเวียนมาถามสารทุกข์สุกดิบ ฉันก็เล่าความทุกข์แบบดิบๆ ให้เพื่อนฟัง

ฉันเหี่ยวอยู่อย่างจน 21.40 น. โทรศัพท์ก็ดังขึ้น... อื้ม... โทรมาซะทีนะค้าไอ้พี่เค้า

“ขอสายน้องฉันครับ”

“พูดอยู่ค่ะ”

“พี่เขาน่ะครับ”

“ค่ะ”

เมื่อวานพลทหารบลาบลาละเลยต่อหน้าที่โดยการไม่รายงานพี่เค้าว่าฉันโทรไปจริงๆ พี่เค้าบอกว่าเดี๋ยวต้องไปคุยกับมันซะหน่อยแล้ว ปากของฉันบอกออกไปว่า ‘โอ้ยยย ไม่ต้องไปว่าเขาหรอก คนเรามันลืมกันด้ายยย’ แต่ในใจคือ ‘เอาเลยพี่ เล่นให้หนัก’

ฉันและพี่เค้าคุยกันเรื่องโน้น เรื่องนี้อยู่เกือบชั่วโมงก่อนวางสาย ไม่น่าเชื่อว่านิ่งๆ เก็กๆ อย่างนี้จะคุยด้วยแล้วเพลินดีเหมือนกัน

ฉันทิ้งท้ายว่า ถ้ามีอะไรก็โทรมาคุยได้นะคะ พี่เค้าบอกว่า ครับ แต่ฉันก็ไม่ได้หวังว่าเค้าจะโทรมาในเร็ววัน อาจจะเป็นเดือนหน้า หรือไม่โทรเลยก็เป็นได้ เพราะการที่พี่เค้าโทรมาครั้งนี้มันย่อมเป็นการโทรตามมารยาทอยู่แล้ว (ผู้หญิงอ่อยซะขนาดนี้) ฉันเองก็คิดว่าจะแมสเซสไปหาเขาบ้างในเทศกาลสำคัญ เช่นปีใหม่ สงกรานต์ หรือวาเลนไทน์… อย่างน้อยเราก็ได้รู้จักกัน

แต่เรื่องไม่คาดคิดมักจะมาให้เราคิดเสมอ เมื่อหลังจากนั้นอีกสามวัน ริงโทนที่ฉันตั้งไว้เป็นเบอร์พี่เค้าโดยเฉพาะก็ดังขึ้น ฉันแปลกใจไม่น้อย... มากเลยล่ะ

“พี่เขานะครับ”

“ค่ะ”

ฉันคุยกับพี่เค้าอีกเกือบชั่วโมง เรารู้จักชื่อจริง และวันเกิดกันแล้ว พี่เค้าบอกสวัสดีปีใหม่ฉันล่วงหน้า (วันนั้นวันที่30) โดยให้เหตุผลว่าทุกปีบ้านพี่เค้าจะจัดงาน อาจวุ่นๆ และไม่ได้โทร (จะโทรหาแฟนก็บอกมาเถอะพี่) จากนั้นก็วางสายแบบงงๆ เค้าอาจจะโทรมาอีกครั้งเพื่อไม่ให้ดูน่าเกลียดก็ได้ ฉันคิด

วันรุ่งขึ้นฉันออกเดินทางไปต่างจังหวัดตอนตีสามเพื่อหนีรถติด และจังหวัดที่จะไปก็ไม่ใกล้นัก ฉันส่งแมสเซสสวัสดีปีใหม่ให้พี่เค้าในรถ แต่ก็ไม่มีข้อความตอบกลับ จนกระทั่งถึงบ้านพักกลางหุบเขาที่ไร้ซึ่งสัญญาณโทรศัพท์ ฉันตัดขาดโลกภายนอกอยู่ 3 วันเต็มๆ แล้วกลับมาบ้านในวันจันทร์

ฉันคิดถึงพี่เค้าที่เดียวแหละ แต่ทำอะไรไม่ได้ ฉันตั้งใจว่าจะไม่โทรหาพี่เค้าเด็ดขาด เพราะแค่อ่อยไปคราวเดียวก็เกินพอแล้ว และด้วยความทำอะไรไม่ได้ ฉันจึงไประบายออกกับกูเกิล (www.google.co.th) เพื่อนฉันเคยบอกว่าฉันโรคจิต โอเคล่ะ ยอมรับก็ได้ว่าฉันเป็นโรคจิตอย่างหนึ่ง คือเวลาที่สนใจใครฉันจะใส่ชื่อคนคนนั้นในกูเกิล เผื่อบางทีฉันอาจจะได้ข้อมูลของเขาเพิ่มขึ้นก็ได้ สำหรับพี่เค้า... ฉันไม่ได้รับแค่ข้อมูล แต่ได้มาทั้งหน้าเลยล่ะ... โอ้โห พี่เค้าเคยลงปกนิตยสารด้วย แต่เอ๊ะ ทำไมนิตยสารถึงลงว่าพี่เค้า ว่าชื่อเขาล่ะ ฉันเริ่มเอะใจ พอดีกับสิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นอีกแล้ว เพลงของพี่เค้าดังขึ้น

“สวัสดีครับ ‘พี่เขา’ นะครับ”

“ค่ะ”

ฉันเริ่มครุ่นคิด พี่เค้าดูเน้นคำว่าเขาแปลกๆ รึเปล่านะ

“พี่ค้าวคะ” ฉันพยายามเรียกชื่อไม่ชัดเขาจะได้ฟังไม่ถนัด

“ครับ”

“น้องฉันมีเรื่องจะถาม”

“อะไรครับ”

“อย่าโกรธนะ”

“อื้ม”

“พี่ชื่อเค้าหรือเขาอ่ะคะ”

“อืม... พี่ก็ว่าแล้วว่าทำไมในแมซเสจเขียนเค้า ชื่อเขาครับ ขอไข่”

“ฮ่าๆๆ ขอโทษษษ แต่ตัวเองแหละไม่ยอมบอกเอง ปล่อยให้เรียกผิดอยู่ได้”

“อ้าว พี่ก็ไม่แน่ใจ”

“โอเค พี่เขา พี่เขา พี่เขา ขอโทษน้า”

สรุปว่าพี่เขาปล่อยให้ฉันออกเสียงชื่อเขาแบบผิดๆ อยู่ได้ไม่รู้จักบอก มันเลยเป็นเรื่องขำๆ ที่เกิดขึ้นอีกเรื่องระหว่างฉันกับพี่เขา

เหตุการณ์ดำเนินไปอย่างนี้ พี่เขาโทรมาหาฉันอาทิตย์ละ2-3 ครั้ง บางทีก็อาทิตย์ละครั้ง แต่ฉันไม่เคยโทรไป เพราะฉันไม่อยากรบกวน คิดแต่ว่าถ้าพี่เขาว่างคงโทรหาฉันเอง

แต่สิ่งหนึ่งที่ปฏิเสธไม่ได้คือฉันเฝ้ารอ... การชวนออกไปข้างนอกจากพี่เขา ฉันได้แต่ซื้อเสื้อผ้าน่ารักๆ เก็บไว้ เผื่อวันใดวันหนึ่งพี่เขาอาจจะชวน แต่ก็ไร้วี่แวว ฉันได้แต่คิดว่าเพราะฉันเป็นลูกพ่อรึเปล่า พี่เขาถึงไม่กล้าชวนฉันออกไปไหนๆ ให้เวลาเขาหน่อยแล้วกัน

...บางครั้งฉันก็ลืมนึกไปว่าพี่เขามีแฟนแล้ว...

เราคุยกันเรื่อยๆ อยู่สองเดือนกว่า วันหนึ่งพี่เขาก็พูดขึ้นว่า

“น้องฉันครับ น้องฉันจะโทรหาพี่บ้างก็ได้นะครับ”

ฉันหัวเราะ ก่อนหน้านี้หลายอาทิตย์ฉันเคยบอกพี่เขาว่าฉันเกรงใจ เวลาพี่เขาโทรมาให้ Missed call มาก็ได้ แล้วฉันจะโทรกลับเอง เพราะฉันมันคนว่าง ใครจะโทรมาก็ได้เสมอ แต่จะให้โทรไปน่ะเกรงใจ แต่คราวนั้นพี่เขายืนยันเสียงหนักแน่นว่า ‘ไม่ได้ ไม่เอา น่าเกลียด ทำงั้นได้ไง’

“ไม่ใช่นะ พี่ไม่ได้หมายความว่าพี่เปลืองหรืออะไรนะ เพียงแต่อยากบอกให้น้องฉันรู้ว่าถ้ามีอะไรน้องฉันโทรหาพี่ได้ตลอด”

“แล้วถ้าไม่มีอะไรล่ะคะ” ฉันไม่วายเล่นลิ้น

“ไม่มีอะไรก็โทรได้”

“โอเคค่ะ จะโทรไปจนเบื่อเลย”

คืนนั้นฉันยิ้มมม รู้สึกเป็นเรื่องที่น่ายินดีเป็นอย่างยิ่งที่มีคนขอให้โทรไปหา เขาอนุญาตให้ฉันโทรหาเขาได้เมื่อต้องการ ฉันจึงเริ่มโทรหาพี่เขาบ้าง




 

Create Date : 21 กันยายน 2549    
Last Update : 22 กันยายน 2549 8:53:08 น.
Counter : 341 Pageviews.  

งานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกรา#2 (งานเลิก... จริงอ่ะ)

งานเลิก... จริงอ่ะ


จนกระทั่งตอนเช้าทุกคนเตรียมตัวขนข้าวของออกจากโรงแรมขึ้นรถเพื่อเดินทางต่อไปยังวัดเพื่อไปทำบุญ ฉันแบกกระเป๋าส่วนตัว รวมทั้งกระเป๋าเล็กๆ น้อยๆ ของพ่อออกจากห้อง เป็นธรรมดาที่ผู้หญิงบอบบางอย่างฉันจะต้องมีคนมาช่วยถือของ ซึ่งจะเป็นใครไปไม่ได้ นอกจากคุณอาสุดหล่อคนนั้น แต่คุณอาหักหลัง... (หักอกไม่พอ ยังหักหลังฉันด้วย) ขนข้าวของของฉันไปแมะที่พี่เค้าที่เดินผ่านมาพอดี พี่เค้าจึงต้องซวยเดินแบกกระเป๋าของฉันไปให้ที่รถ แล้วมันก็ช่างประจวบเหมาะที่พ่อของฉัน(ผู้ซึ่งสาบานได้ว่าหากมีผู้สมรู้ร่วมคิดในการอุ้มสมครั้งนี้ พ่อฉันจะต้องทำหน้าหล่อเป็นพี่มาร์คออกมายืนวิจารณ์มติครม.แน่ๆ) ดันใช้ฉันไปหยิบ ‘กระเป๋าดำ’ คือกระเป๋าใบเล็กที่พ่อฉันเอาไว้ใส่อุปกรณ์สื่อสารโน้นนี่ที่อยู่ในรถพอดี แต่ฉันที่หูอื้อตาลายเพราะรู้ตัวว่าต้องเดินไปกับพี่เค้า กลับได้ยินเป็น ‘กระเป๋าตังค์’ ฉันวิ่งทะเล่อทะล่าตามพี่เค้าไป

“พี่คะ เดี๋ยวขอไปหยิบของด้วยอ่ะค่ะ”

พี่เค้าหันมามองฉัน แล้วพยักหน้ารับรู้ แต่ไม่รู้ว่าสายตาของฉันมันแวววาว จิกยั่ว หรืออ้อนวอนอะไรเกินไปรึเปล่า กะอีแค่ขอตามไปหยิบของ... พี่เค้าที่กำลังเดินก้าวขึ้นบันไดจึงสะดุดขั้นบันไดล้มโครม...

ตกใจมาก... งงมาก... ฉันควรจะทำยังไง รีบปรี่เข้าไปหา แล้วแสร้งบอกว่าเดี๋ยวจะไปหยิบเครื่องมือปฐมพยาบาลมาให้ เพื่อจะได้ชิ่งแอบไปหัวเราะดีมั้ย หรือฉันควรจะทำยังไงดี ไม่ทันที่จะนึกอะไรออก พี่เค้าที่อยู่ในท่าโก่งโค้งมือยันกับบันไดขั้นบน ค่อยๆ หันหน้าเข้มๆ มามองฉัน ที่ยืนทำหน้าเอ๋อ และเหวอ ตาโตๆ ของฉันขยายกว้างขึ้น4เท่าครึ่ง

“เอ่อ... เจ็บมั้ยคะ” ฉันเอ่ยถามเสียงงงๆ จริงๆ แล้วไม่น่าถาม ทหารจบใหม่หุ่นเฟิร์ม ร่างควายขนาดนั้น... (สืบทราบภายหลังว่าสูง 182 หนัก 79 อืมมม) กระแทกตัวลงไปกระทบพื้นขนาดนี้

“ไม่เป็นไรครับ” พี่เค้าว่าพลางค่อยๆ ยันกายขึ้นมา ก่อนปัดฝุ่นออกจากมือเปาะแปะ “แต่เดินตรงนี้ต้องระวังนะ”

“ค่ะ ขอบคุณค่ะ” โอ๊ยตายบอกตัวเองเถอะค่ะพี่ เป็นฉันฉันต้องรีบแทรกแผ่นดินหนี หรือแกล้งทำเป็นตายอยู่ตรงนั้น แต่พอดีว่าพี่เค้าคงตัวใหญ่ไป จะวิ่งไปหลบหลังเสาหรือต้นไม้หรือกลายเป็นอากาศคงไม่เป็นผล พี่เค้าเลยทำได้แค่เก็กแมน แล้วแสร้งชวนคุยคุยโน้นนี่... สม เก็กนัก แต่เหตุการณ์นี้ก็ทำให้เราได้คุยกันโดยที่ไม่มีไมค์หรือทำนองประกอบเป็นครั้งแรก

เมื่อไปถึงรถ จะด้วยความหูตาฝ้าฟางผสมตื่นเต้นมิรู้ได้ แต่ฉันหากระเป๋าตังค์พ่อเท่าไหร่ก็ไม่เจอ(ตอนนั้นยังไม่รู้ว่าตัวเองกลายเป็นฤๅษีแปลงสาร) คิดไปเองหลายตลบว่าฉันก็คนนะไม่ใช่พระอิฐพระปูน แถมอดอยากปากแห้งมาหลายเพลา มันก็ต้องมีใจเต้นตึกตักกันบ้างแหละ ฉันเที่ยวหากระเป๋าตังค์ของพ่อแทบตาย โดยที่ไม่รู้เลยว่าให้สิ่งที่พ่อต้องการน่ะมันโดนฉันรื้อมาแล้วแปดร้อยรอบ ใช่แล้วฉันหากระเป๋าตังค์พ่อในสิ่งต้องสงสัยอันดับหนึ่ง... ‘กระเป๋าดำ’ หามันอยู่อย่างนั้น

“เจอมั้ยครับ”

“ไม่เจออ่ะค่ะ... เดี๋ยวขอโทรถามแป๊บนะคะ” ...ก็จำได้อ่ะนะว่าถือโทรศัพท์มาด้วย แต่ด้วยความหน้ามืดหรือรักบังตาไม่อาจรู้ เสือกหาโทรศัพท์ไม่เจอซะงั้น เอาเข้าไป

“พี่คะ... มีโทรศัพท์ป่าวคะ” ฉันกระมิดกระเมี้ยนถาม

พี่เค้าทำหน้าหัวเราะฉันหึๆ แล้วยื่นโทรศัพท์ให้ฉัน ฉันรับมากดเบอร์พ่อเพื่อถามว่ากระเป๋าตังค์น่ะเอาไปซ่อนไหนลุง โทรไป มือก็คลำหาของไป เดชะบุญ อ้าวนั่นมันโทรศัพท์ฉันนี่ โดนเจ้าผ้าห่มช่วยชีวิต (ผ้าห่มคู่กายของสาวขี้หนาวอย่างฉัน) คลุมไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ฉันเจอปั๊บคว้าปุ๊บส่งโทรศัพท์คืนพี่เค้าทันใด แล้วใช้โทรศัพท์ฉันโทรหาพ่อต่อ... แต่พ่อไม่รับฉันจึงตัดใจ

“ไม่เจออ่ะค่ะ ไม่เป็นไรค่ะ คงอยู่กับคุณแม่แหละ แต่คุณแม่คงลืม”

“อ่อ ครับ”

ฉันจึงเดินกลับ... แบบไม่คิดอะไร แล้วก็มาทราบภายหลังนั้นแหละ ว่าฉันเซ่อซ่า ฟังผิดเอง หลังจากที่พี่เค้าคืนกุญแจ ฉันจึงต้องวิ่งกลับไปเอาของที่รถอีกรอบคนเดียวเปล่าเปลี่ยวชีวา T_T

จนสักพักหนึ่ง คณะของเราก็เคลื่อนย้ายไปยังวัด และร้านอาหารตามลำดับ... หลังจากท้องอิ่มก็ได้เวลาคิดอะไรเรื่อยเปื่อย ฉับถึงพลันฉันก็นึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ ‘เฮ้ย... อย่างนี้ฉันก็มีเบอร์พี่เค้าแล้วน่ะสิ’ เพราะฉันใช้โทรศัพท์พี่เค้าโทรหาพ่อนี่ ว่าแล้วจึงเดินไปขอมือถือจากพ่อเพื่อดูสายที่ไม่ได้รับ อิอิ มีเบอร์ผู้ชายมาประดับมือถืออีกเบอร์ก็ดีเนอะ... แต่ฉันไม่คิดจะโทรหรอกนะ สาบาน

ในที่สุดก็ถึงเวลาอันสมควรฤกษ์ ในการแยกย้ายกันกลับภูมิลำเนา ก่อนกลับไม่วายมีเสียงแซว

“น้องฉัน ปีหน้ามาอีกนะ มาร้องเพลงคู่”

พี่เค้าเขิน ฉันก็เขิน

ฉันยกมือไหว้ลาทุกคน รวมทั้งพี่เค้า ตอนนั้นฉันคิดในใจว่าไม่น่าเชื่อว่าฉันจะได้รู้จักอีตาเก็กคนนี้แล้ว ปีหน้าฉันจะยิ้มให้เขา

แต่ก็ไม่รู้จะอะไรกันหนักหนาเมื่ออีตาพี่เค้าถูกน้องๆ พี่ๆ ทั้งผลักทั้งดันให้เดินตามไปส่งฉันและครอบครัว นี่คงกะให้ไปจดทะเบียนหลังจากจบงานเลยใช่มั้ยน้อ และตานี้ก็ปฏิเสธไม่เป็น ต้องเดินท่อมๆ ทำหน้าแบบน้อยใจชะตาชีวิตตามมาส่ง

“แม่ๆ หันไปคุยกับแกหน่อยสิ” ฉันซุบซิบกับคุณนายแม่ แอบสงสารตาพี่เค้าเล็กๆ

แม่พยักหน้ารับรู้แล้วหันหน้าไปเปิดบทสนทนา

“มีแฟนรึยังจ๊ะ”

เฮ้ยยยยยยย แม่ให้ชวนคุย ไม่ได้ให้ขายลูกสาว คุยเรื่องลม ฟ้า อากาศ ก็ด้ายยย ฉันเริ่มเดินเสียจังหวะจากอาการเกร็ง พยายามเดินตีตัวออกห่างแม่ แต่ก็ยังได้ยินเสียงพี่เค้าหัวเราะ “หึหึหึ”

“อ้าวหัวเราะหึหึ แปลว่าอะไรเนี่ย”

“หัวเราะก็แปลว่ามีแล้วไงคะ”

ฉันอดไม่ได้จึงกลับมาตีสนิทกับแม่อีกครั้ง แล้วตอบแทนพี่เค้าเสร็จสรรพ

พี่เค้ายิ้มเขินๆ แล้วตอบว่า “มันก็ไม่แน่นอนอ่ะครับ เพื่อนผมก็เลิกไปหลายคู่แล้ว”

ตึง! (เสียงอารมณ์กดแป้นคีย์บอร์ดผิดจนพี่คอมต้องร้องประท้วง)
‘เฮ้ยยย พี่ค้า ตอบอะไรอย่างนี้ค้า…’ ไม่รู้หมายว่ายังไง บางคนว่ามันแปลกๆ แต่บางคนก็คิดเหมือนกับฉัน... ‘อ่อย’ เป็นคำตอบสุดท้าย ฉันนึกขำ และอดยิ้มไม่ได้

ฉันสวัสดีพี่เค้า แล้วขึ้นรถ

ฉันนั่งรถกลับกรุงเทพฯด้วยความรู้สึกอิ่มใจ อย่างน้อยก็มีอะไรดีๆ เกิดขึ้นในชีวิต แม้ฉันจะไม่ได้เจอเค้าอีกปีเต็มๆ นับจากวันนี้ แต่อย่างน้อยความปรารถนาลึกๆ ที่หวังว่าอะไรดีๆ จะเกิดขึ้นที่งานเลี้ยงแห่งนี้สักครั้งหนึ่งก็เป็นจริง ฉันถูกจับคู่ ฉันถูกแซว ฉันได้รู้จักคนๆ หนึ่งที่ก็น่ารักดีเหมือนกันนะ ก็นับว่าเป็นเรื่องดีๆ เรื่องหนึ่งที่ทำให้หัวใจฉันกลับมาเต้นแรงได้อีกครั้ง แล้วฉันก็นั่งมองวิวอย่างมีความสุข...
...
...
...
...
แต่เรื่องมันดันไม่จบง่ายๆ
เมื่อพ่อฉันขับรถแวะซื้อของฝากก่อนกลับบ้าน... ฉันลงไปกับแม่ เดินซื้อโน้นนี่อย่างสนุกสนาน แล้วกลับขึ้นรถ ออกรถไปสักพัก พ่อฉันพูดขึ้นว่า




 

Create Date : 21 กันยายน 2549    
Last Update : 22 กันยายน 2549 8:52:49 น.
Counter : 331 Pageviews.  

งานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกรา#1 (เริ่มงาน)

เริ่มงาน


ฉันเป็นลูกทหาร ตั้งแต่เล็กฉันวิ่งเล่นในค่ายทหาร มีพลทหารที่ฉันเรียกว่า 'อา' เป็นพี่เลี้ยง ทหารขี้เมา ทหารกินเหล้าเก่ง... ถูก เพราะตั้งแต่เด็กจนโตฉันตามพ่อกับแม่ไปงานเลี้ยงมาร้อยครั้งเห็นจะได้

งานเลี้ยงแต่ละครั้งก็ไม่ได้ต่างไปจากเดิม... ผู้ชายกินเหล้า ผู้หญิงนั่งเมาท์ เรื่องลูก เรื่องสามี ลูกเล็กๆ วัยเดียวกันไปวิ่งเล่นข้างนอก โตหน่อยก็จับกลุ่มคุยกัน และถ้าโตอีกหน่อยประเภทว่าเรียนมหาวิทยาลัย หรือเรียนจบกันแล้ว ก็ต้องนัดแนะกันดีๆ ว่าใครจะมาเจอกันที่งานได้บ้าง ไม่อย่างนั้นอาจจะมาเก้อต้องนั่งหง่าวตบยุงรอพ่อกับแม่ที่โต๊ะ

ฉันเองก็เคยทั้งวิ่งเล่น ไปจนถึงเริ่มจับกลุ่มนั่งคุยทำความรู้จัก ทีอาจจะพานต่อกันยาวมีนัดเจอนอกรอบตามแต่จะสะดวก แถมยังมีเรื่องกุ๊กกิ๊ก คนโน้นจีบคนนี้มาเป็นระยะๆ จนเลิกจีบกลายมาเป็นเพื่อนซี้กันถึงทุกวัน... นี่คือสาเหตุที่ฉันเต็มใจจะไปงานเลี้ยงกับพ่อและแม่ตลอดมา มันอาจจะดูน่าเบื่อที่ผู้ใหญ่คุยกันแต่เรื่องเดิมๆ แต่มันกลับกลายเป็นความผูกพัน... ผู้คนเหล่านั้น เพื่อนพ่อ รุ่นพี่พ่อ รุ่นน้องพ่อ หรือบรรดาภริยาสมาคมแม้บ้านทั้งหลาย กลายมาเป็นญาติสนิทของฉันโดยไม่รู้ตัว แถมยังเอาบรรดาลูกๆ มาเป็นเพื่อนสนิทกันอีก ฉันจึงเต็มใจตามพ่อกับแม่ไปงานเลี้ยงอยู่เสมอ

มันเริ่มจากความตื่นเต้น จนกลายเป็นความเคยชิน และพอฉันเริ่มโตจนถึงวัยทำงานเช่นตอนนี้ บางครั้งฉันก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าบางทีมันก็น่าเบื่ออยู่ไม่น้อย จนพานไม่อยากไปซะดื้อๆ แต่แล้วโชคชะตา พรหมลิขิต (ว้าว) หรืออะไรก็ตามแต่ที่ทำให้อยู่ๆ ชีวิตฉันต้องถูกอิทธิพลมืดเข้าครอบงำการดำเนินชีวิต แต่ทำให้การไปงานเลี้ยงของฉันกลับมาสดใสอีกครั้ง เรื่องมันเกิดเพราะงานเลี้ยงงานหนึ่งเมื่อปลายปีที่ผ่านมาแท้ๆ เลย...

ตอนนั้นฉันเพิ่งเรียนจบ และเลิกกับแฟนมาเกือบครึ่งปี ฉันเป็นคนอย่างนี้ เป็นคนที่อยู่เฉยๆ ของฉันดีๆ ก็จะมีเรื่องวิ่งเข้ามาหา ฉันชินกับการไปไหนกับพ่อแม่ หรือไปคนเดียว ฉันชอบมหาลัย ฉันไปเรียน ฉันไปนั่งเล่นกับเพื่อน ไปนั่งมองคนหล่อ แอบชอบคนโน้นคนนี้ แล้วก็กลับบ้าน ฉันอยู่คนเดียวได้ แต่เมื่อฉันรู้สึกอย่างนี้เมื่อไหร่ เมื่อนั้นฟ้าจะส่งมนุษย์เพศชายเข้ามาปั่นป่วนชีวี... ให้ฉันกระวนกระวาย ให้ฉันจะเป็นจะตาย แล้วเขาก็จากไป ให้ฉันอยากจะบ้าตาย แล้วลุกขึ้นมาทำแกร่งเป็นวีรสตรีเยี่ยงอย่าง โดยการฮึด ฮึด ฮึด ไม่สนไม่แคร์ ไม่รักอย่ารัก ฉันรักตัวเอง แล้วฉันก็ทำได้ ฉันกลับมาอยู่กับตัวเอง พ่อแม่ เพื่อน และเมื่อชีวิตฉันเข้าที่เข้าทาง ฟ้าเจ้าเก่าก็ส่งมนุษย์เพศชายรุ่นล่าสุดมาประทาน... เป็นอย่างนี้ทุกทีไป

งานเลี้ยงต้นเหตุจัดขึ้น2วัน1คืน โดยกองพันที่พ่อฉันเคยเป็นผู้บังคับบัญชาจัดขึ้นเพื่อเป็นการคืนสู้เหย้ากำลังพลที่เคยร่วมงานกันมา งานนี้ถูกจัดขึ้นติดกันมากว่า 8 ปี และถูกจัดที่จังหวัดเดิม รวมทั้งลักษณะการจัดงานก็จะเป็นเหมือนเดิม นั่นคือตอนกลางวันจะจัดรถบัสพาแม่บ้านและลูกๆ ไปเที่ยว ส่วนคุณพ่อบ้านก็ไปตีกอล์ฟ และตอนค่ำๆ ก็จะร่วมงานเลี้ยง... จากนั้นวันรุ่งขึ้นก็จะร่วมทำบุญและรับประทานอาหารกลางวันอีกหนึ่งมื้อแล้วแยกย้ายกันกลับบ้าน...

ปีแรก... สนุกมาก ฉันได้กลับไปยังจังหวัดที่เติบโต (ฉันมันก็เด็กบ้านนอกนี่เนอะ) ไม่สนใจอะไรนอกจากจังหวัดแสนรักของฉัน เพราะฉันยังเยาว์วัย สดใส แสนกล
คำถามที่สมาคมแม่บ้านถามฉันคือ “เรียนชั้นอะไรแล้วคะ”

ปีที่สอง... จะว่าไปฉันก็เป็นเด็กสาวปุถุชน และเริ่มแตกเนื้อสาวเปรี๊ยะๆ จึงเป็นเรื่องธรรมดาหากฉันจะหวังลมๆ แล้งๆ บ้าง เช่นฉันอาจจะพบเรื่องดีๆ จากงานเลี้ยง และฉันก็แอบปิ๊งผู้หมวดจบใหม่ อายุห่างกับเกือบฉัน 10 ปี... ฉันเรียกเขาอา... อาน่ารักมาก
คำถามที่สมาคมแม่บ้านถามฉันยังเป็นคำถามเดิมๆ คือ “เรียนชั้นอะไรแล้วคะ”

ปีที่สาม... อายังน่ารักอยู่มิรู้คลาย ผู้หมวดจบใหม่คนล่าสุดหน้าตาไม่ผ่าน เหมือนเกิดมาเพื่อเป็นนักรบโดยเฉพาะ ฉันเกรงบารมีจึงไม่กล้าแม้แต่จะคิด หรือแม้แต่จะมอง
คำถามที่สมาคมแม่บ้านถามฉันคือ “จะเข้ามหาลัยรึยังคะ”

ปีที่สี่... อาแจกการ์ดแต่งงาน ฉันไม่รักเขาแล้ว พอกันที
คำถามที่สมาคมแม่บ้านถามคือ “อยากเรียนคณะอะไร”

ปีที่ห้า... ฉันเข้ามหาลัย แอบปิ๊งเพื่อนในคณะ ฉันไม่สนผู้หมวดหน้าไหน
คำถามที่สมาคมแม่บ้านถามฉันคือ “เรียนคณะอะไร ยากไหม”

ปีที่หก ฉันโสด และหวังว่าจะเจอใครหน้าตาดีๆ ที่งานบ้าง เผื่อมีลุ้น... แต่ลุ้นไม่ขึ้น ทำไมโรงเรียนนายร้อยถึงผลิตประชากรหน้าตาแย่ลงมาปกป้องประเทศชาติ ฉันไม่เข้าใจ...
คำถามที่สมาคมแม่บ้านถามฉันคือ “ปีอะไรแล้วคะ”

ปีที่เจ็ด ฉันมาแบบชิลๆ แต่แอบเห็นคนๆ หนึ่ง หน้าตาดีไม่เถียง แต่เก็กซะไม่มี ฉันชอบคนสบายๆ จึงแอบหมั่นไส้เล็กน้อย
คำถามที่สมาคมแม่บ้านถามฉันคือ “ปีนี้จบรึยังคะ”

และแล้วก็มาถึงปีที่แปด ฉันเรียนจบแล้ว เริ่มทำงานเดือนแรก ฉันมาแบบไม่หวังอะไรทั้งสิ้น แค่จะมายังโดนบังคับให้มา
คำถามที่สมาคมแม่บ้านถามฉันกลายเป็นคำถามทิ่มแทงใจดำอย่างถึงที่สุด นั่นคือ

“น้องฉัน มีแฟนรึยัง” เป็นคำถามจากคุณอาจุ๋ม แฟนรุ่นน้องพ่อ ที่ฉันคุ้นเคยมาตั้งแต่เด็กๆ ตอนนั้นเรานั่งอยู่ในงานเลี้ยงแล้ว พวกนายทหารอาวุโสมากหน่อยนั่งโต๊ะหนึ่ง อาวุโสน้อยหน่อยก็แยกมานั่งอีกโต๊ะหนึ่ง ส่วนผู้หญิงก็นั่งอีกโต๊ะ และโต๊ะสุดท้ายเป็นของเด็กๆ ฉันคงนั่งโต๊ะเด็กไม่ไหว เลยมานั่งข้างแม่ที่โต๊ะนี่แทน ตอนนั้นฉันกำลังกินของหวานที่จะพานเป็นขมเพราะอาจุ๋มนี่แล

“ไม่มีค่ะ” ฉันวางช้อน แล้วตอบกลั้วหัวเราะ แต่น้ำตาตกใน มันคือเรื่องจริงที่ไม่ค่อยมีใครเชื่อ

“ไม่เชื่อ” เห็นมั้ยล่ะ

“จริงๆ ค่ะ”

ฉันนึกขำกับคำถามตามสเต็ป ประมาณว่าเด็กๆ ก็ต้องถามเรื่องเรียน เลือกคณะ จบปีไหน แล้วเมื่อทำงานแล้ว... ทำไมไม่เห็นถามว่างานเป็นยังไง แต่ดันถามว่ามีแฟนรึยัง มันสำคัญมากเลยใช่มั้ยนี่

“ทำไมไม่มี”

“ไม่ทราบค่ะ ไม่เห็นมีคนมาจีบ” ฉันตอบตามความจริง แล้วหันไปมองพ่อกับแม่ฉันบนเวที ที่กำลังขึ้นไปร้องเพลงคาราโอเกะ ที่จัดคิวโดยการร้องไล่จากลำดับอาวุโสน้อยไปจนถึงมาก (นั่นแสดงให้เห็นว่างานใกล้จะเลิกแล้ว เย้)

“ออกไปร้องเพลงให้อาฟังหน่อย”

“ว้ายยย ไม่ดีมั้งคะ”

“เอาน่า รู้หรอกว่าร้องเพราะ ออกไปแสดงความสามารถเผื่อหนุ่มๆ แถวนี้เค้าจะสนใจ” อาจุ๋มพูดพลางทำหน้าเจ้าเล่ห์แสนกลใส่ฉัน

“โอ้ย ใครเขาจะมาสนใจคะ” (นอกจากเขาจะไม่สนใจหนูยังไม่สนใจด้วยค่า)

“ก็นี่ไง ไอ้หนุ่มโต๊ะโน้นน่ะ อาเห็นนะมันแอบมอง” อาจุ๋มชำเลืองมองไปยังโต๊ะของบรรดาผู้หมวด ผู้กองทั้งหลาย

ฉันมองตามอาไปพบกับคู่กรณี... อีตาขี้เก็กปีที่แล้วนั่นเอง ปีนี้ก็หน้าตาดีเหมือนเดิม และเก็กเหมือนเดิม

“โอ้ยย ไม่ใช่มั้งคะ” ปฏิเสธไม่ได้ว่าใจฉันเริ่มเต้นแรง... อย่างน้อยเขาก็น่าตาดีนี่นา

“จริงๆ อาเห็นนะ มันมองแต่มันแบบเก็กๆ อ่ะ เก็กหน้าหล่ออ่ะ” ใช่ค่ะ เก็กจริงๆ

ฉันกับอาจุ๋มจับพิรุธเขาเป็นการใหญ่ ฤๅแท้แล้วจะเก็กหน้าหล่อเพื่อฉันโดยเฉพาะ โอ้... เป็นจังหวะเดียวกับที่แม่ฉันกลับเข้ามานั่งที่โต๊ะ อาจุ๋มจึงเสนอร่างมติทันที ซึ่งแม่ฉันก็รับรู้อย่างรวดเร็วประกอบกับขี้เกียจเลี้ยงลูกสาวไปจนแก่หรืออย่างไรไม่ทราบ แม่จึงต่อบทสนทนาที่ฉันเริ่มอยากออกจากวงไปให้เร็วที่สุดได้อย่างทันควัน

“อุ้ย สมัยนี้นะ หน้าตาดีอย่างเดียวไม่พอ ต้องดูด้วยนะว่าพ่อรวยรึเปล่า”

นั่นไง เอาเข้าไป ไปไหนกันล่ะเจ๊ สมาคมแม่บ้านเริ่มร่วมวงหัวเราะคิกคักอย่างสนุกสนาน หนึ่งในนั้นคืออาหนึ่งภรรยาอาผู้บังคับกองพันคนปัจจุบัน ผู้ที่ได้รับความกรุณาจากอาจุ๋มในการช่วยเป็นแม่สื่อแม่ชัก

“นี่คุณๆ …คนนั้นชื่อไร” อาหนึ่งหันไปถามอาผู้พันพลางพยักพเยิดไปทางตาขี้เก็ก ฉันเริ่มอยากจะแปลงร่างเป็นแมลงวันแล้วบินหวี่ๆ กลับขึ้นห้อง

“ชื่อ‘เค้า’”

“พ่อรวยมั้ย”

สมาคมแม่บ้านฮาครืนนน... ถูกใจบรรดาเจ๊แกซะเลยเกิน เหอะ

พี่เค้าเริ่มรู้ตัวแล้วว่าตกเป็นเป้าหมาย เค้าทำหน้าเขินๆ ส่วนฉันเริ่มหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา เปิดเกมส์อะไรไม่รู้ที่ไม่เคยเล่นมาก่อนในชีวิต กระแทกปุ่มอย่างเมามัน พยายามไม่รับรู้โลกภายนอก

“นี่ๆ”

อาหนึ่งยังไม่ละความพยายามถามคำถามสามี หลังจากที่ได้รับคำตอบว่า “จะบ้าเหรอ” จากคำถามเมื่อครู่

“บอกเค้ามาร้องเพลงกับน้องฉันหน่อย”

‘เฮ้ยยยยยยยย’ ฉันส่งเสียงร้องดังก้องอยู่ในใจ

คราวนี้ทั้งฉัน และพี่เค้า ตกเป็นเป้านิ่ง เสียงแซวจากทุกโต๊ะมุ่งตรงมาที่เรา พี่เค้าปฏิเสธไม่ได้อยู่แล้ว เพราะเป็น ‘คำขอ (แกมสั่ง)’ จากภรรยาผู้พัน ส่วนฉันก็ถูกทั้งอาจุ๋ม อาหนึ่ง และอาๆ ป้าๆ (ซึ่งมีแม่ฉันทำหน้าปีติ โดยไม่แสดงความหวงลูกสาวแม้แต่น้อย) แปลงร่างเป็นเจ๊ดัน ทั้งผลักทั้งดันให้เดินไปบนเวที จนไมค์แทบจะทิ่มปากฉันอยู่รอมร่อ

และแล้วฉันกับพี่เค้าก็ต้องออกไปร้องเพลงคู่กัน เรียกเสียงแซวเป็นบ้าเป็นหลัง ยกเว้นพ่อฉันที่ได้แต่ทำตาเขียวใส่พี่เค้าเป็นระยะๆ

เมื่อร้องเพลงจบก็ถึงเวลาเลิกงานพอดี ทั้งฉันและพี่เค้า ไม่มีใครเอ่ยปากออกเสียงโดยที่ไม่มีไมค์จ่อปาก หรือมีทำนองประกอบ พูดง่ายๆ คือ นอกจากร้องเพลงแล้ว เราก็ไม่ได้ส่งเสียงอะไรออกมาเป็นการแสดงว่าคุยกัน ดังนั้นเมื่อร้องจบ งานเลิก ต่างฝ่ายต่างก็แยกย้ายกันกลับห้อง... ฉันคิดว่าคงไม่มีอะไรเกิดขึ้นอีก เพราะวันพรุ่งนี้คงไม่มีโอกาสให้ใครเปิดประเด็นพูดถึงเรื่องนี้กันอีกแล้ว... ทุกคนเห็นอยู่ ว่าเราทั้งคู่ถูก ‘บังคับ’ ให้ขึ้นไปร้องเพลงด้วยกัน... เราคงทำบุญร่วมกันมาแค่นี้
...




 

Create Date : 21 กันยายน 2549    
Last Update : 22 กันยายน 2549 8:51:49 น.
Counter : 275 Pageviews.  


โรสลาวาตี
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




MorNRo$E = กุหลาบมอญ ^^
ทำไมต้อง "มอญ" >> ก็มีเชื้อมอญอะจิ
แล้วทำไมต้อง "กุหลาบ" >> ก็สวยอ้ะ ฮี่ๆๆๆ
(หน้าไม่อายจริงๆ ผู้หญิงอาไร้)


Friends' blogs
[Add โรสลาวาตี's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.