Group Blog |
เช็งเม้ง
ไปเช็งเม้งวันที่ 4 เมษายน
วันนี้อากาศตอนเช้า ( 7.00 น.) ไม่ร้อนมาก แต่พอขึ้นเลข 9.00 เท่านั้นแหละ ความร้อนไม่บันยะบันยัง สาดแสงร้อนส่องให้เราตาหยีกัน แต่พอถึงช่วงเที่ยง ๆ บ่าย ๆ ฝนก็ตกไม่ลืมหูลืมตากันเลย ม่อนจอง
เพราะกลุ่มพวกเราเป็นพวกเดินทางแบกเป้ ถ้อยทีถ้อยอาศัยกันอยู่แล้ว เราเริ่มต้นด้วยการนัดหมายกันที่สถานีรถไฟฟ้าหมอชิต... ที่นัดพบประจำสำหรับนักเดินทางแบบซำเหมาอย่างเราเรา ดอยม่อนจอง เป็นดอยที่เป็นแหล่งที่อยู่ของเลียงผา กวางผา อยู่ในเขตรักษาพันธ์สัตว์ป่าออมก๋อย ผืนป่าดอยม่อนจองเป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่า เป็นป่าต้นน้ำของแม่น้ำปิงที่ไหลลงสู่เขื่อนภูมิพล ในด้านการท่องเที่ยว ดอยม่อนจองเป็นแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติ ที่มีทัศนียภาพที่สวยงาม บนเส้นทางเดินบนสันดอยไปสู่ยอดสูงสุดกว่า 3 กิโลเมตร เป็นจุดชมวิวที่เปิดโล่ง ทางด้านซ้ายเป็นหน้าผาสูงมองลงไปจะเห็นเทือกเขาสลับซับซ้อน ทางด้านขวาเป็นป่าทึบซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่า ป่าทางด้านซ้ายนี้ยังมีพันธ์ไม้ที่สำคัญคือต้นกุหลาบพันปี มีขึ้นอยู่เป็นดงๆ แต่ละต้นมีขนาดใหญ่มากเรียกได้ว่า... ทีนี่เป็นแหล่งของกุหลาบพันปีที่สมบูรณ์ที่สุด จิ่วไจ้โกว สวรรค์บนดิน ตอนที่ 5
และแล้วเราก็โดยสารรถบัสกลับมาโรงแรมจิ่วไจ้โกว แต่ก่อนจะแยกย้ายกันพักผ่อน เราได้เดินทางไปโรงแรมแชงการีล่า เพื่อรับชมการแสดงโชว์ทิเบต ซึ่งการเดินทางไม่ถึง 5 นาที พวกเราเดินเข้าไปทางเข้าจะเห็นสาวงามชาวทิเบตหลายนางยืนเคาะกลองอยู่เพื่อสร้างอารมณ์ พร้อมได้รับแจกผ้าไหมสีขาวเพื่อให้เรานำไปคล้องให้กับนักแสดงที่ต้องตาถูกใจ แทนการคล้องพวงมาลัยแบบบ้านเรา
พอเริ่มการแสดง มีเสียงเหมือนเสียงสวดมนต์ทิเบตเป็นบทโหมโรง ก่อนที่จะเป็นการแสดงพื้นเมืองของชาวทิเบต ซึ่งได้ให้ผู้ชมขึ้นไปร่วมแจมการแสดงด้วย สร้างสีสันและเสียงเฮฮาได้พอสมควร ต่อด้วยการร้องเพลงของนักร้องชาย-หญิง คิดว่าน่าจะยอดนิยมของคนแถวนี้ เสียงดี ใช้ได้เลยทีเดียว ปิดท้ายด้วยการโชว์ชุดพื้นเมืองซึ่งมีหลากสีหลายแบบ หลายแนว สดใสมาก เมื่อชมการแสดงเสร็จก็ได้เวลาพักผ่อนกันก่อนเดินทางไปหวงหลงในวันต่อไป และแล้ววันนี้ก็มาถึง วันที่เราจะได้ไปหวงหลง ซึ่งเป็นที่คาดหวังของหลาย ๆ คน ซึ่งจากที่ค้นข้อมูลในผู้จัดการออนไลน์ โดยคุณวริษฐ์ ลิ้มทองกุล ที่ลงรายละเอียดของหวงหลงไว้ว่า... ห่างออกไปจาก "จิ่วจ้ายโกว" ประมาณ 2 ชั่วโมงรถนั่ง ลึกขึ้นไปในหุบเขาทางตอนเหนือของมณฑลเสฉวน มี มังกร ตัวหนึ่งนอนทอดตัวลาดลงมาตามไหล่เขา ... มังกรตัวนี้มีชื่อว่า มังกรเหลือง (หวงหลง:黄龙) มังกรเหลืองตัวนี้ไม่ได้เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ตามความเชื่อของจีนหากแต่โบร่ำโบราณ ย้อนประวัติศาสตร์ไปได้ไกลถึงราว 6,000 ปีก่อน (ในปี ค.ศ.1987 มีการขุดพบสุสานแห่งหนึ่ง ณ มณฑลเหอหนาน ที่ภายในบรรจุรูปสลักมังกรและเสืออยู่) เป็นการยืนยันว่าชาวจีนมองมังกร หรือ สิ่งมีชีวิตที่มี หัวเป็นม้า เขาเป็นกวาง ตัวเป็นงู เกล็ดเป็นปลา กรงเล็บเป็นนกอินทรี คือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ที่โชคดีและมีอำนาจวิเศษ* มีเทพนิยายโบราณของคนจีนเล่าว่า จักรพรรดิเหลือง ที่ชาวจีนนับถือกันว่าเป็นจักรพรรดิผู้เป็นบรรพบุรุษของ ชาวจีนทั้งปวง ได้ขี่มังกรขึ้นไปบนสวรรค์ ทั้งนี้ต่อมา ผู้ปกครองคนแรกที่นำมังกรเข้ามาเชื่อมโยงกับจักรพรรดิหรือหวงตี้ ก็คือ "หลิวปัง" ปฐมจักรพรรดิแห่งราชวงศ์ฮั่น อ้างอิงจาก สื่อจี้ (史记:Records of Historian) หนังสือประวัติศาสตร์เล่มแรกๆ ของจีน ได้บันทึกไว้ว่า ก่อนที่มารดาของหลิวปังจะตั้งท้อง ได้ฝันเห็นเทพองค์หนึ่ง ทั้งนี้ ณ เวลานั้น ก็มีฟ้าแลบ-ฟ้าผ่าอยู่ภายนอก เมื่อบิดาของหลิวปังมองขึ้นไปภายนอก ก็พบว่ามีมังกรตัวหนึ่งลอยอยู่บนฟากฟ้า จากนั้น พระมารดาของหลิวปังก็ตั้งท้อง และคลอด "หลิวปัง" ผู้ให้กำเนิดหนึ่งในราชวงศ์อันยิ่งใหญ่ที่สุดของประวัติศาสตร์จีน และนับจากนั้น จักรพรรดิทุกพระองค์ในประวัติศาสตร์จีน ก็เรียกขานตัวเองว่า "บุตรที่แท้จริงแห่งมังกร" ทุกอย่างที่เกี่ยวกับจักรพรรดิมีการนำมังกรเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นเครื่องแต่งกาย การแต่งห้อง เครื่องใช้ไม้สอย รวมไปถึง การออกแบบสุสาน ทั้งนี้อิทธิพลของมังกรที่มีต่อคนจีนทั่วไปนั้น ก็นับว่ามีมหาศาล เนื่องจาก ชาวจีนตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันก็ยังหลงเหลือความเชื่อที่ว่า "พญามังกร" เป็นผู้ดูแลแม่น้ำ ทะเลสาบ เป็นผู้ควบคุมเมฆและฝน ดังนั้นในพื้นที่ใดเมื่อเกิดสภาวะแล้งน้ำขึ้น ชาวจีนจึงไม่ได้ "แห่นางแมว ขอฝน" แบบคนอีสานบ้านเรา แต่จะเป็นการภาวนาต่อ "พญามังกร" แทน แม่น้ำ ทะเลสาบ หมู่บ้าน ทะเลสาบ และสถานที่หลายๆ แห่งที่เกี่ยวข้องกับชาวจีนถูกตั้งชื่อตามมังกร ... "หวงหลง" หรือ หุบมังกรเหลือง นี้ก็เช่นเดียวกัน แม้หวงหลงจะอยู่ห่างจาก "จิ่วจ้ายโกว" ไปเพียงไม่ถึงหนึ่งร้อยกิโลเมตร และมีความสวยงามระดับ "มรดกโลกทางธรรมชาติ (World Nature Heritage and Biosphere Reservation)" เช่นเดียวกับ "จิ่วจ้ายโกว" แต่เหล่าทัวร์จิ้มจุ่มมักจะมองข้ามหวงหลง โดยถือว่า หากมีเวลาเหลือค่อยไป ทั้งนี้ หวงหลง จึงนับว่าเป็นตัวเลือกที่เหมาะไม่น้อย สำหรับนักท่องเที่ยวที่ค่อนข้างจะรักความสงบ และต้องการจะปลีกตัวออกมาจากความแออัดยัดเยียดหลังการเที่ยวจิ่วจ้ายโกว จุดเด่นของหวงหลงนั้นอยู่ที่ สระหินปูนนับร้อยๆ สระ (คล้ายๆ กับสระมรกต ที่ป่าเขานอจู้จี้ คลองท่อม จังหวัดกระบี่) ที่เป็นผลพวงมาจากการลาดเทของภูเขาที่มีจุดเริ่มต้นมาจากหุบเขาลึก ด้วยแร่ธาตุ และสีท้องฟ้าทำให้น้ำในสระเหล่านี้สะท้อนทำให้เกิดเหลือบสีอันมหัศจรรย์ ... ส่วนชื่อ "หวงหลง หรือ มังกรเหลือง" นั้นเราสันนิษฐานเอาว่าหากมองลงมาจากท้องฟ้า หินปูสีเหลืองและสระน้ำสีเขียว-ฟ้า คงได้ภาพที่ใกล้เคียงกับ มังกรเกล็ดสีเขียว-ฟ้า ที่ทอดตัวอยู่กลางหุบเขา เส้นทางการชม และศึกษาธรรมชาติในหวงหลง มีระยะทางรวมเกือบสิบกิโลเมตร ทั้งนี้เนื่องจากอยู่ในพื้นที่อันมีระดับความสูงจากระดับน้ำทะเลราว 3,000-4,000 เมตร ด้วยความจำเป็นที่จะต้องเดินขึ้นเขา (จากจุดเริ่มไปยังสูงสุด) รวมกว่า 8 กิโลเมตร โดยเป็นเส้นทางขาขึ้นมากกว่า 4 กิโลเมตร และเส้นทางขาลงมากกว่า 3 กิโลเมตร ประกอบอากาศที่เบาบาง หวงหลงจึงนับได้ว่าเป็นเส้นทางที่หนักไม่น้อย โดยเฉพาะสำหรับผู้ที่เพิ่งเหนื่อยล้ามาจากจิ่วจ้ายโกว ใช้เวลาราว 4 ชั่วโมง เดินขึ้นไปถึงวัดสำคัญที่อยู่บนยอดเขา 2 แห่งด้วยกัน แห่งแรกคือ วัดกลาง (จงสื้อ:中寺) วัดสมัยราชวงศ์หมิงที่เป็นการผสมผสานตามความเชื่อของพุทธและเต๋า แห่งที่สองคือ วัดมังกรเหลืองโบราณ (หวงหลงกู่สื้อ:黄龙古寺) อันเป็นวัดเต๋า บนจุดสูงสุดของเทือกเขาหมินซาน (民山) ที่เป็นศูนย์กลางทางจิตใจของชาวเขาบริเวณนี้ตั้งแต่สมัยโบราณ การได้ละเลียดไปกับ น้ำตก สระบอนไซ สระหลากสี ลมเย็นที่พัดพาเอาไอเย็น และ ทิวหมอกที่ระอยู่ตามทิวเขา ได้ออกแรงสักนิด ปล่อยใจให้ไหลไปกับกระแสน้ำ ให้เท้าทำงานของมันไปทีละก้าว ทีละก้าว ... แล้วจุดหมายก็ไม่นับว่าไกลเกิน Tips@เที่ยว "หวงหลง" - เตรียมร่างกายให้พร้อม สำหรับเด็กหรือผู้สูงอายุที่ไม่มั่นใจในสุขภาพอาจจะเช่าอ๊อกซิเจนถุงแบบสะพายไปเผื่อด้วย กรณีที่หายใจไม่ทัน (ค่าเช่าประมาณ 80 หยวน) แต่สำหรับคนหนุ่ม-คนสาว ก็ไม่ต้องเชื่อคำขู่ของไกด์หรือใคร เดินไปพักไปดีที่สุด - สำหรับนักท่องเที่ยว ประเภท "ตีนไม่ติดดิน" ก็อาจจะเช่าเกี้ยว 2 คนหาม ขึ้น-ลง จากหวงหลงไป ด้วยราคาค่าเช่า ขาขึ้น 400 หยวน (2,000 บาท) และขาลง 220 หยวน (1,100 บาท) ... เห็นราคาแล้วยอมเหนื่อยดีกว่า! - ห้องน้ำตามเส้นทางของหวงหลงนั้นคุณภาพดี และสะอาดมาก น่าที่สถานที่ท่องเที่ยวบ้านเราจะเอาเป็นเยี่ยงอย่าง - วัดกลาง มีซุ้มขายแป้งทอดไส้ถั่วแดง อร่อยมาก! - บริเวณใกล้เคียงของ วัดมังกรเหลืองโบราณ มีถ้ำหินงอก-หินย้อยเล็กๆ ทางลงค่อนข้างชันและภายในถ้ำค่อนข้างชื้น แต่ภายในมีหินงอกออกมาจากผนังคล้ายพระพุทธรูป มีการประดับไฟตกแต่งอย่างสวยงาม หากมีเวลาเหลือควรลงไปชม ระหว่างทางที่เรานั่งรถบัสเดินทางไปหวงหลงนั้นมีหิมะโปรยปรายตลอดเส้นทาง จนคนขับรถชาวจีนต้องลงมาใส่โซ่ให้ล้อเพื่อไม่ให้ลื่น และระหว่างนั้นพวกเราก็เลยลงมาเก็บภาพถ่ายระหว่างทางกันซะ...เมื่อใส่โซ่ให้ล้อทั้งสี่เรียบร้อย ก็ได้เวลาเดินทางไปหวงหลงกันต่อ จนกระทั่งมาถึงความสูงประมาณ 4,700 เมตรจากระดับน้ำทะเล ก่อนถึงหวงหลง พวกเราก็ต้องตัดสินใจไม่เดินทางไปต่อ เพราะด้วยเส้นทางปิด และอันตรายเกินไปสำหรับรถใหญ่ที่จะแล่นเข้าไป ทำให้เราต้องพลาดโอกาสการชมความงามของที่นี่ที่ได้ชื่อว่าเป็นมรดกโลกทางธรรมชาติตามที่คุณวริษฐ์ ลิ้มทองกุล ได้เขียนบอกเอาไว้ แต่ที่ระดับความสูง 4,700 เมตรจากระดับน้ำทะเลที่มีหิมะปกคลุมขาวโพลนนั้น ก็มีสถูปที่มีธงหลากสีปลิวไสวปลอบใจเรา ให้เก็บภาพถ่ายไว้เป็นที่ระลึกแทน พวกเราบางคนไม่สามารถลงมาเดินได้ด้วยอาจเป็นเพราะความกดอากาศที่แปรเปลี่ยน ทำให้หายใจไม่สะดวก หรือที่นักเดินเขารู้จักโดยทั่วไปว่า โรคแพ้ที่สูง ซึ่งถือว่าเป็นอันตรายมาก หากขาดอากาศหายใจ และในคณะเรานี้มีเด็กเล็ก ๆ ร่วมขบวนด้วยถึง 3 คน โตหน่อยประมาณประถม 2 คน พวกเราวกรถกลับเดินทางต่อไปยังประตูผ่าน เมืองซงพาน ซึ่งเดิมเคยเป็นเมืองหน้าด่าน และชายแดนที่ติดต่อระหว่างจีนกับทิเบต ในสมัยราชวงศ์ถังและกษัตริย์ซงจ้านกั้นปู้ของทิเบต แวะถ่ายรูป ประตูเมืองโบราณซงพาน และชมอนุสาวรีย์กษัตริย์ซงจ้านกั้นปู้ และมเหสี (องค์หญิงเหวินเฉิน) มีอายุกว่า 500 ปี ถ่ายรูปเก็บไว้เป็นที่ระลึกแล้ว ก็เลยมายังหมู่บ้านชาวพื้นเมืองชาวเชียงทิวทัศน์รอบแม่น้ำหมิ่นเจียงที่มีความสวยงาม ได้ชมวิถีชีวิตความเป็นอยู่ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะ ได้ถ่ายรูปกับจามรี สัตว์เลี้ยงพื้นเมือง ซึ่งตอนนี้เป็นสัตว์เลี้ยงต้องห้ามของเมืองจีนเลยนะคะ เราเสียค่าถ่ายรูปคนละ 5 หยวน เพื่อให้ได้รูปถ่ายตอนขี่ตัวจามรีไว้เป็นที่ระลึก กับสัตว์ประเภทวัวที่ไม่มีในบ้านเรา หลังจากนั้นก็เดินทางกลับมายังโรงแรม แล้วแยกย้ายกันไปถนนคนเดินเพื่อซื้อหาของฝากกัน และในวันพรุ่งนี้ก็คือวันสุดท้ายของทริปนี้ พวกเราได้เดินทางไปชมคริสตัลที่สวยงามมาก แต่ไม่มีปัญญาซื้อ แล้วแวะรับประทานอาหารกลางวันก่อนขึ้น hi way เดินทางไปเล่อซาน เพื่อล่องเรือชมหลวงพ่อโต พร้อมถ่ายรูปเป็นที่ระลึก เรามีเวลาไม่พอ หรือไม่ก็เค้าไม่ให้ทัวร์ขึ้นไปเดินรอบองค์พระ ก็เลยได้แต่เสียเงินล่องเรือถ่ายรูปกับหลวงพ่อโตเล่อซานแบบไกล ๆ ซึ่งถ้าดูในโปสการ์ดของเล่อซาน เราจะเห็นว่าบริเวณเล่อซานเมื่อถ่ายจากมุมไกลทั้งหมด จะเห็นเป็นองค์พระนอน ซึ่งเรื่องนี้ไกด์ไม่ได้อธิบายให้เราฟัง แต่ที่เคยมาแล้วคราวก่อนเค้ากระซิบบอกมา เมื่อชมองค์พระเล่อซานกันแล้ว ก็ขึ้นรถบัสเพื่อเดินทางสู่สนามบินเฉินตู ระหว่างทางไกด์ก็ปฏิบัติตามหน้าที่คือ พูดขออภัยหากทำอะไรผิดพลาดไป... จนกระทั่งมาถึงสนามบิน พวกเราได้ขึ้นเครื่องไฟลท์ TG 619 เพื่อกลับ สู่สนามบินสุวรรณภูมิ และเริ่มต้นการทำงานในวันต่อไป พร้อมภาพความประทับใจที่เต็มเอี้ยดติดใจกลับมาด้วย... จิ่วไจ้โกว สวรรค์บนดิน ตอนที่ 4
บรรยากาศสองข้างทางงามตาแล้ว การต่อราคายังเพลินใจอีกด้วย ในระหว่างที่แวะทำธุระ จะมีการช้อปปิ้งเป็นระยะ ๆ เพื่อซื้อหาของที่ระลึกถูกใจ โดยงานนี้การต่อรองราคาเป็นสิ่งสำคัญ เพราะที่นี่จะตั้งราคาไว้สูงเพื่อให้เราต่อแบบเป็นจริงเป็นจังกันเลยทีเดียว อย่างเช่น เค้าตั้งราคามา 80 หยวน ให้ต่อไปเลยค่ะ 15 หยวน อะไรประมาณนี้
ถ้าไม่ได้ต้องอย่าแสดงอาการอยากได้ ให้เดินหนี แล้วคนขายจะตามมาง้อเราเองด้วยสนนราคาตามที่เราต่อรอง หลังจากที่ได้รู้เล่ห์เหลี่ยมการต่อราคากันแล้ว ในทริปนี้ยังมีวิชาพฤกษศาสตร์ให้เราศึกษาเพิ่มเติมด้วย นั่นคือ ทิวทัศน์สองข้างทางที่บางทีจะเห็นต้นไม้คล้ายซากุระ แต่พบเห็นอยู่ 2 สี นั่นคือสีขาว และสีชมพู ซึ่งไกด์เฉลยให้เราฟังว่าถ้าดอกเป็นสีขาว นั่นคือต้นสาลี่ ส่วนดอกสีชมพูก็คือ ต้นท้อ แหม! ดูแล้วคล้ายกันไปหมด แต่ถ้ามีผลออกมาสิ รับรองรู้ทันทีเลย พูดแล้วก็อยากกินสาลี่ตะหงิดๆ พูดถึงเรื่องราวที่พบเห็นระหว่างทางกันแล้ว คราวนี้เรามาทำความรู้จักกับ จิ่วไจ้โกว แบบเป็นทางการอีกดีกว่า จิ่วไจ้โกวเป็นส่วนหนึ่งของผืนป่าทางตอนใต้ของเทือกเขาหมินซาน และเป็นแหล่งต้นน้ำของลำน้ำเจียหลิงที่เป็นสาขาหนึ่งของลำน้ำฉางเจียง(แยงซีเกียง) ตั้งอยู่ริมชายขอบของที่ราบสูงทิเบตดินแดนแห่งหลังคาโลก เป็นเขตต่อเชื่อมจากที่ราบสูงทิเบตสู่มณฑลซื่อชวน สภาพทางนิเวศวิทยาของบริเวณนี้เป็นร่องรอยที่เกิดจากแรงอัดและการเคลื่อนตัวของเปลือกโลกหนุนขึ้นมาจนอยู่ในระดับสูง ทำให้เกิดร่องหินคดเคี้ยวเป็นทางยาว มีทั้งยอดเขาหิมะสูงเสียดฟ้า และหุบเขาลึก เฉพาะเขตที่มีการเปิดให้สาธารณชนเข้าชมก็มีความสูงจากระดับน้ำทะเลตั้งแต่ 2,000 3,100 เมตร อุณหภูมิเฉลี่ยตลอดปี 7 8 องศาเซลเซียส ด้วยสภาพภูมิประเทศที่มีความสูงต่ำแตกต่างกันอย่างมากมายนี้ ได้ทำให้สภาพภูมิอากาศและพืชพรรณสัตว์ป่าก็มีความหลากหลายและซับซ้อนยิ่งขึ้น น้ำถือเป็นจุดดึงดูดที่สุดในบรรดาสุดยอดความงามของทิวทัศน์จิ่วไจ้โกว ทั้งในด้านรูปลักษณ์ สีสัน ความหลากหลาย อีกทั้งสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติที่สวยงามยิ่งใหญ่ ทำให้ที่นี่กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวขึ้นชื่อเลื่องลือระดับชาติของจีน ความงามประหลาดของน้ำในจิ่วไจ้โกวนั้น มีสาเหตุจากการที่แหล่งน้ำในบริเวณนี้มีการสะสมของธาตุแคลเซี่ยมเจือปนอยู่ในปริมาณสูง อีกทั้งโดยมากเกิดกับพืชซึ่งจมอยู่ใต้ท้องน้ำ ทำให้ทะเลสาบและธารน้ำของที่นี่มีสีสันสดใสงดงามแปลกตา ธารน้ำในจิ่งไจ้โกวประกอบด้วยธารน้ำหลัก 2 สายไหลมาบรรจบกันเป็นรูปตัววาย (Y) มีความยาว 50 กว่ากิโลเมตร ตลอดแนวธารน้ำปรากฏบึงน้ำ ทะเลสาบ น้ำตกและโตรกธารมากมาย สายน้ำสีเขียวใสเลี้ยวลดอยู่ระหว่างแมกไม้ราวกับสายสร้อยมรกตที่ประดับอยู่บนอาภรณ์แห่งป่าเขาลำเนาไพร ทะเลสาบเลื่อมสลับลายและน้ำตกที่สูงสง่าอลังการ ทำให้ผู้คนที่มาเยือนไม่อาจละสายตาได้ จิ่วไจ้โกวมีชื่อเสียงด้านความงามแห่งสีสันที่แปลกเปลี่ยนไม่รู้จบ ทะเลสาบผุดขึ้นท่ามกลางหมู่แมกไม้เขียวขจี น้ำใสเป็นประกายชุ่มฉ่ำ ยอดเขาประกายหิมะ ตัดกับท้องฟ้าใสสีครามสลับปุยเมฆขาวเบาบาง เงาไม้หลากสีสันต้องแสงแดดสะท้อนลงบนผิวน้ำใสราวกระจกของทะเลสาบ เกิดเป็นภาพธรรมชาติอันงดงามที่แปรเปลี่ยนไปตามฤดูกาลผลิ ร้อน ร่วง หนาว ไม่ว่ายามสงัดฟ้าใส หรือฝนตกฟ้าคะนอง ยามเช้าหรือยามเย็น หิมะโปรยหรือยามฝนพรำ สีของน้ำในทะเลสาบก็จะแปรเปลี่ยนไป บ้างเขียวครึ้ม ผสมน้ำเงินเข้ม บ้างฟ้าเขียวสดใส อีกทั้งสาหร่ายและพืชพรรณใต้น้ำที่สะท้อนเงาแดดต่างประชันขันแข่งกันให้สีเขียวมรกต เหลืองบุษราคัม ชมพูจนถึงแดงอ่อน ราวกับเพชรพลอยที่ส่องแสงสะท้อนบาดตา (ที่มา- ผู้จัดการonline มุมจีน) พวกเรามาถึงที่อุทยานแห่งชาติจิ่วไจ้โกวในวันที่อากาศปลอดโปร่ง แต่ทว่าน้ำในอุทยานฯ ลดน้อยลง เนื่องจากเป็นฤดูแล้ง และทะเลสาบบางแห่งจึงมีหิมะจับ ทำให้กลายเป็นน้ำแข็ง ซึ่งถือว่าเป็นความงดงามอีกแบบหนึ่งที่เราไม่คาดหวังว่าจะได้พบ ภายในอุทยานฯ มีรถปลอดสารพิษมาคอยให้บริการรับ-ส่งพานักท่องเที่ยวไปยังจุดต่าง ๆ ที่เป็นจุดเด่นของอุทยานแห่งชาติแห่งนี้ และจุดสำคัญที่เราได้ไปชมกันก็มีหมู่บ้านใบบัว (ซู่เจิ้ง) แล้วต่อด้วยการเดินชมทะเลสาบ มังกรหลับใหล (ว่อหลงไห่ 卧龙海) และเดินเก็บภาพเรื่อยมาจนถึงทะเลสาบเสือ (เหลาหูไห่ 老虎海) ที่ได้ชื่อว่าทะเลสาบเสือก็เพราะเงาสะท้อนของต้นไม้บริเวณทะเลสาบมีลักษณะเหมือนเสือนั่นเอง จากนั้นก็โดยสารรถของอุทยานฯ มาทะเลสาบกระจก Mirror Lake ที่สะท้อนเงาของทิวทัศน์แถบนั้นได้ชัดประหนึ่งกระจกเงา ดูแล้วช่างสวยสดงดงามเพลินตาจริงๆ ที่ต่อมาที่เราจะไปกันก็มีทะเลสาบดอกไม้ 5 สี (อู่ฮัวไห่五花海) ซึ่งมีสีสันสวยงามตา ถึงแม้จะมีหิมะปกคลุมผิวน้ำอยู่ แต่ก็ทำให้เราซึมซับความงามในแบบที่เป็นของทะเลสาบแห่งนี้ เรื่อยมาก็มาถึงน้ำตกไข่มุกที่มีน้ำตกเป็นสาย ๆ ดูงามตาและชุ่มฉ่ำด้วยละอองฟองฝอยของน้ำตก พร้อมกับขึ้นไปบนทะเลสาบที่ได้ชื่อว่าสูงที่สุดของที่นี่ และมีอุณหภูมิต่ำสุด พร้อมเก็บภาพถ่ายเป็นที่ระลึกก่อนจะลงมาถ่ายรูปกับน้ำตกที่มีความกว้างที่สุดของอุทยานแห่งนี้ หลังจากนั้นก็เดินทางไปดื่มน้ำชา พร้อมชมสาธิตวิธีการชงชา พร้อมชนิดของใบชาและสรรพคุณอันหลากหลาย ซึ่งหากใครสนใจก็สามารถซื้อติดมือกลับไปเป็นของฝากได้เช่นกัน หลังจากดื่มชากันแล้วก็ได้เวลากลับไปพักผ่อน เพื่อเดินทางไปหวงหลงในวันรุ่งขึ้น สำหรับตอนหน้าจะได้พบการโชว์ทิเบตจ้า!!! จิ่วไจ้โกว สวรรค์บนดิน ตอนที่ 3
|
ลำนำบทกลอน
Rss Feed Smember ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?] |