ถ้ำเชียงดาว สันป่าเกี๊ยะ เห็นวิวดอยหลวงสวยโพดๆ \(^o^)/
Nov 10, 2008เช้านี้หลังจากอาหารเช้าที่ ปางวิมานเพลส เป็นบุฟเฟ่ค่ะ ก็มีทั้งข้าวต้ม ข้าวผัด แบบABFก็มีหลากหลายดี กินซะอิ่ม แปลกจังเช้านี้ไม่มีใครถ่ายรูปกันเลย กินกันจนลืม ระหว่างที่เพื่อนๆทานข้าวเช้าเราก็พยายามติดต่อจองบ้านพักและเหมารถขึ้นสันป่าเกี๊ยะ เป็นอะไรที่ฉุกละหุกสุดๆ นอนคิดเมื่อคืน เช้ามาตัดสินใจแล้วก็โทรหาเพื่อนให้เข้า internet หาเบอร์โทรให้ด้วย พอได้ก็โทรจองตอนนั้น แล้วก็ได้ทั้งที่พักพร้อมรถโฟร์วีลด้วยไปเที่ยวแบบไม่มีข้อมูลในหัวมาก่อนเลย...ทำไปได้หลังจาก Check out ราวๆ 10 โมงเช้า พี่รถตู้มารับ พวกเราก็เดินทางกันต่อ มาที่ ถ้ำเชียงดาวขอเข้าไปไหว้พระกันก่อนนะถ้ำเชียงดาวตั้งอยู่บริเวณไหล่เขาดอยหลวงหรือดอยอ่างสลุง อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ บริเวณปากทางเข้าถ้ำจะมีศาลาและบันไดมุงด้วยหลังคาศิลปะแบบพม่าซ้อนกันเป็น ชั้นตามลำดับ เชิงบันไดด้านขวามือเป็นหน้าผาสูงมีโพรงอยู่ตอนล่างมีน้ำใสไหลออกมายังอ่างใหญ่ตลอดเวลา หน้าโพรงถ้ำมีอ่างหรือสระกว้างน้ำเขียวใสเห็นปลาน้อยใหญ่ว่ายเวียนอยู่ไปมา ปลาที่นี่ตัวยักษ์มากๆนะ พวกเราเลยซื้ออาหารปลาเลี้ยงปลากันก่อนเมื่อเดินขึ้นไปจนสุดบันไดชั้นบน ประตูทางเข้าถ้ำจะแคบมาก ภายในถ้ำมีอากาศเย็นบวกอบๆ(จำได้ว่าเหงื่อแตก) มีไฟฟ้าส่องสว่างเห็นส่วนต่าง ๆ ของถ้ำอย่างชัดเจน นอกจากนี้ที่ปากถ้ำยังมีบริการให้เช่าตะเกียงเจ้าพายุใช้ ส่องทางเดินและยังมีไกด์พาเที่ยวชมความงามภายในถ้ำอีกด้วย (จำราคาไม่ได้) แต่เราเหมือนจะใช้ไกด์+ตะเกียง 2 ชุดในถ้ำเชียงดาวมีหินงอกหินย้อยที่จัดว่าสวยงามที่สุดถ้ำหนึ่งของประเทศ บางช่วงของทางเดินจะลื่นเนื่องจากมีน้ำไหลทำให้ต้องเดินปีนป่ายพื้นเขาลาดมี ถ้ำเป็นช่องเตี้ย ๆ บางครั้งอาจจะต้องมุดเข้าไปในช่องแคบ อย่างรูนี้เป็นต้นบางจุดเป็นโถงใหญ่ทุกคณะที่เดินเข้าไปเที่ยวถ้ำจะมีช่างภาพตามไปประกบตลอด ถ่ายรูปให้ทุกย่างก้าวไม่ว่าคุณจะมุดรูไหน โพสท่ากับหินก้อนใดก็ตาม หากใครไม่มีกล้องไปถือว่าดีมาก มีคนตามถ่ายรูปให้...แต่รูปเค้าอัดมาก็แพงอยู่เหมือนกัน พวกเราก็เห็นใจอุดหนุนไปคนละใบอันนี้ไกด์พามาดูเหวน่ะจ้ะ เดินๆระวังกันด้วยเน่อใกล้ออกจากถ้ำแล้ว ลงบันไดตรงนี้ชันมาก เสียวทำไมมันฉุนแบบนี้นะ เงยหน้าขึ้นไปข้างบนเพดานถ้ำ ขนลุกเลย...ค้างคาวเพียบระหว่างเดินชมถ้ำก็แทบเป็นลมเพราะมันจะบ่ายโมงแล้ว หิวข้าวตาลาย ชักภาพสุดท้าย ก่อนอำลาวัดถ้ำเชียงดาวเที่ยงนี้เรามากินขาหมูเชียงดาวร้านดัง "พรเพ็ญ" ซึ่งเราได้โทรจองไว้2ขาตั้งแต่ก่อน Check out จากโรงแรมที่เชียงใหม่ (กลัวหมดก่อน เดี๋ยวไม่ได้กิน) อาหารมื้อนี้อร่อยมากทุกอย่าง ส่วนไข่พะโล้เค้าคงได้ยินผิด(เพราะสั่งชุดเดียว) เค้าเอามา2ชุด เพื่อนๆเลยเอียนไข่กันไปเลยระหว่างรอรถโฟร์วีลที่จะขึ้นสันป่าเกี๊ยะตอนบ่าย3 พวกเราก็แวะซื้อเสบียงกันก่อนที่ปั๊มน้ำมัน ปรากฏว่าลุงอิน มาบ่าย3ครึ่ง ไม่เป็นไร พวกเราก็ชิลล์ๆ ช่วงแรกยังครื้นเครงกันอยู่ รถเป็นกระบะค่ะ 2สาวนั่งหน้า ปล่อยหนุ่มๆตากลม(หนาว)กันด้านหลัง แต่นานๆชักจะหนาวกันแล้วและนี่คือเส้นทางที่พวกเราไปกัน เก๋งไปไม่ได้เน่อพวกเรามาถึงหน่วยจัดการต้นน้ำแม่ตะมานราวๆ 17:30 น.ใช้เวลา 2 ชั่วโมงสันป่าเกี๊ยะ เป็นศูนย์วิจัยและฝึกอบรมที่สูง ของ คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่เห็นวิวดอยหลวงเชียงดาวแจ่มๆมีดอกไม้ด้วย สวยดีเพื่อนๆรวมทั้งเราตื่นเต้นกับวิวสวยๆมากนอกจากนี้อากาศก็เริ่มเย็นลงเรื่อยๆ ลมแรงและหนาวมากบ้านหลังนี้ก็น่าพักมากเลย แต่เค้าไม่เปิดให้คนทั่วไปพักอ่ะ พวกเราได้นอนเรือนแถวแสงเริ่มน้อยลงเรื่อยๆหนาวแค่ไหน ใครๆก็ยอมตากลมถ่ายรูปกันดวงอาทิตย์กำลังลับขอบฟ้า สวยจัง ระหว่างนี้เราก็ไล่ให้เพื่อนๆทยอยกันไปอาบน้ำเพราะเริ่มมืดแล้ว คุ้นๆว่าเค้าปิดไฟกลางคืนด้วยต้องทำเวลา ห้องน้ำมีเหลือเฟือเลยแต่น้ำเย็นมาก เหมือนอาบน้ำใส่น้ำแข็ง อาบไปร้องไปอ้อ ห้องน้ำต้องจุดเทียนนะถึงเวลาที่ทุกคนรอคอย มื้อเย็นวันนี้มาม่าครับพี่น้อง แต่ก็มีลูกชิ้นและผักใส่ด้วยเพื่อเพิ่มคุณค่าทางอาหาร ทุกคนร่วมแรงร่วมใจกับมื้อนี้มาก ช่างน่าประทับใจอะไรอย่างงี๊ที่นี่ไม่มีร้านค้าบริการมีแค่เครื่องครัว(มีเตาแก๊ส) ให้เท่านั้น พวกเราต้องเตรียมทุกอย่างขึ้นมาเอง...แต่เจ้าหน้าที่ๆดูแลอยู่บนดีใจดีมาก คอยอำนวยความสะดวกให้พวกเราเสมอ แอบขอน้ำปลาเค้ามาทำกับข้าวด้วยพลาดลวกเส้นมาม่าก่อนทำน้ำซุป ทำให้อืดเต็มหม้อเลยแต่ก็กินหมดนะ ตอนแรกจะไปกินลานรอบกองไฟหน้าที่พัก ปรากฏว่าลมแรงมากสู้ไม่ไหว กลับมานั่งกินกันตรงครัวนี่ล่ะหลังจากล้างจานกันแล้ว มือชาไปตามๆกันเพราะน้ำเย็นมาก พวกเราออกไปเดินเล่นกลางแสงจันทร์กันค่ำคืนนี้ พวกเราก็นอนคุยเล่นกันแก้หนาว กว่าไฟฟ้าจะดับประมาณ 4 ทุ่ม สำหรับเราหลับๆตื่นๆตลอดคืนเพราะว่าหนาวจนนอนแทบไม่ได้ แล้วก็ภาวนาว่าอย่าปวดฉี่กลางดึกเลย เพราะห้องน้ำอยู่นอกบ้าน จะไปก็ลำบากปลุกเพื่อนอีกมีเรื่องฮา ในห้องพักจะมีปล่องไฟ มันมีรู ใครๆก็กลัวไม่กล้านอนใกล้ อีกทั้งมีลมพัดเข้ามาด้วยทำให้หนาวมากกว่าเดิม มีเพื่อนคนนึงตื่นขึ้นมากลางดึกตกใจว่าเพื่อนข้างๆหายไป โวยวายจนตื่นกันทุกคนเพราะเพื่อนอีกคนมันก็แค่หนีมานอนอีกฝั่งเฉยๆกลายเป็นลุกมาฉี่กลางดึกทุกคนเลยตอนตี2กว่าNov 11, 2008เช้านี้มีก๊วนออกมารอดวงอาทิตย์ขึ้นกัน3คน ที่เหลือก็ไม่ว่ามองมุมไหนก็สวยหมอกปุยๆโผล่มาแว้วแล้วก็ได้เวลาพรรคพวกตื่นกันแล้ว ชิเช้านี้ พวกเรามีเมนูพิเศษ "ข้าวโต๊กหมูยอ" อันเกิดจากข้าวต้มหมูยอที่ต้มนานและกวนจนเละ จากข้าวต้มกลายเป็นโจ๊ก เอิ้กๆ รสชาดที่เพื่อนๆขอกินแค่ครั้งเดียวในชีวิต แต่ก็กินกันจนอิ่ม ส่วนเจ้าหมาน้อยน่ารักก็ได้รับผลบุญ(กรรม) กินหมูยอและโจ๊กกันพุงกางเช่นกันพามาดูบ้านพัก ของเรานอนเรือนแถว(ห้องริมเลย ติดครัวและห้องน้ำ) ราคาห้องละ 500 บาท นอนได้ 6-7 คน จำไม่ได้มาเสริมเบาะคิดกี่บาท แต่ไม่แพงจริงๆ ก่อนขึ้นมาสันป่าเกี๊ยะ ต้องติดต่อจองห้องพักล่วงหน้าก่อน เบอร์ 053-222014 แล้วเค้าจะแนะนำเบอร์ติดต่อรถโฟร์วีลให้เราอีกทีจ้ะสภาพภายในห้องพักไม่มีพัดลมนะ ไม่จำเป็นเลย มองไปนอกหน้าต่างก็เห็นวิวแหล่มๆหลังกินเสร็จ ล้างจานเรียบร้อยพวกเราก็ไปล้างหน้า เปลี่ยนเสื้อผ้า และเก็บกระเป๋ากัน (ไม่มีใครอาบน้ำเลยนะ.......เน่ามาก ก็มันหนาวนิ) ส่วนปล่องไฟรูนั้นล่ะ ตัวปัญหามาชมวิวสวยๆกันเจ้าหน้าที่กำลังทำงานได้เวลาถ่ายรูปกันก่อนอำลาสันป่าเกี๊ยะรูปหมู่ต้องลงกันแล้วล่ะคร๊าบ ขาลงใช้เวลาชั่วโมงครึ่งเองลงมาก็พบพี่รถตู้รอรับที่ปั๊ม ปตท.เช่นเคย แล้วก็รีบบึ่งเข้าตัวเมืองเชียงใหม่ทันที แวะทานข้าวเที่ยงที่ข้าวซอยลำดวนหลังจากนั้นแวะไปตลาดวโรรสซื้อของฝากกัน แล้วแวะกินเค้กที่ร้าน Love at first bite กันอีก แต่ทำเวลามากเลย แทบไม่ได้ดื่มด่ำกาแฟและละเลียดเค้กพี่รถตู้ก็รีบมาแวะส่งเพื่อนๆที่ขนส่งอาเขตแล้วบึ่งส่งที่เหลือที่สนามบิน ฉิวเฉียดจริงๆเกือบตกเครื่องบิน จบทริปนี้ด้วยความชื่นมื่น ต้องขอขอบคุณ-เพื่อนๆร่วมทริปทุกท่าน ไม่มีพวกคุณทริปนี้กร่อยแน่-พี่รถตู้ขับพาเราเที่ยวตลอดทริป-พี่แจ๊ค กับอาหารเช้า ที่อาบน้ำและขับรถพาเที่ยว-ร้านอาหารทุกร้านเลยค่ะ ทำเราอิ่มหมีพีมัน-เฮียพัน ผู้สร้างเสียงหัวเราะให้พวกเราท้องแข็งเลย แล้วจะกลับมาฟังเฮียเดี่ยวไมโครโฟนอีก-เจ้าหน้าที่บนสันป่าเกี๊ยะ ดูแลพวกเรา ถ้าไม่เกรงใจคงจะไปขอพริกไทยมาใส่โจ๊กแล้ว-พี่เอ๋ แห่งบ้านกาแฟที่ต้อนรับพวกเราอย่างดีเสมอมา-การบินไทย,แอร์เอเชีย ช่วยให้พวกเราเดินทางไปกลับเชียงใหม่อย่างปลอดภัยพบกันใหม่ทริปหน้าจ้ะ
ออบหลวง แม่แจ่ม เฮือนข้าเจ้า...ฮากระจาย^_^
Nov 9, 2008เช้านี้ ตื่นมาอย่างสดชื่นอากาศเย็นเล็กน้อย เราเดินออกไปซื้อข้าวกล่องปากซอยสิงหราชซอย4 มาบริการเพื่อนๆถึงห้องนอนเมื่อคืนพวกเราพักห้องใหญ่และห้องสำหรับ3คนที่บ้านกาแฟ ในภาพนี้เป็นห้องใหญ่ น่ารักมากหลังจากอาบน้ำเก็บข้าวของ เราก็Check Out กันเพื่อเตรียมเดินทางกันต่อวันนี้เจออุปสรรคเล็กน้อย รถติดมากทำให้เสียเวลาเราเลยต้องเปลี่ยนเส้นทางกันเล็กน้อย มุ่งหน้าสู่ อุทยานแห่งชาติออบหลวง อ.ฮอด จ.เชียงใหม่ ระหว่างมีเพื่อนอยากกาแฟสด เลยแวะแป๊บนึง แล้วก็ยาวมาที่นี่มาถึงที่นี่เที่ยงๆค่ะ หิวตาลาย...แวะทานข้าวที่ร้านน้องโจโจ้ หน้าอช.ออบหลวง แอบแพงแล้วไม่อร่อยด้วยแต่กินไม่เหลือเลยนะเออต้องทำเวลากันหน่อย กินเสร็จก็บึ่งไปจุดหมายต่อไป ระหว่างทางก็ต้องออมแรงแบบนี้ จัดไปอย่าให้เสียบ่ายนี้เราเดินทางมา อ.แม่แจ่ม จ.เชียงใหม่ ตรงนี้เป็นจุดที่พวกเราแวะถ่ายรูปกันพวกเราพยายามมองหา "นาข้าวขั้นบันได" กันค่ะ เพราะมาที่นี่เพื่อสิ่งนี้ และเราก็พบเราไปต้นเดือนพฤศจิกาแล้ว ข้าวก็ถูกเก็บเกี่ยวไปบ้างแล้ว ไม่ใช่ทุ่งนาสีเขียวเท่าไหร่ แต่เป็นสีอมทองๆพวกเราก็เดินลงไปดูใกล้ๆซะหน่อยแล้วเราก็เข้ามาในตัวเมืองแม่แจ่มกันค่ะ จุดแรกเราไปแวะที่แหล่งทอผ้าซิ่นตีนจก ร้านที่แวะวันนี้คือ บุปผาผ้าฝ้าย ผ้าซิ่นตีนจกป้าเจ้าของร้านใจดีมากค่ะ ขอให้ทำท่าตอนกำลังทอผ้าให้ดู จะขอถ่ายรูป ป้ารีบไปหยิบแว่นมาแล้วก็โพสท่าทอให้ดูเลยก่อนกลับจากแม่แจ่ม เราก็มาแวะที่ วัดพุทธเอ้นในตำนานพระเจ้าเลียบโลกกล่าวว่า เมื่อครั้งที่พระพุทธเจ้าเสด็จมายังดอยอ่างกา หรือดอยอินทนนท์เพื่อโปรดสัตว์ พระองค์เห็นสิงห์สองตัวกำลังต่อสู้กันเพื่อแย่งที่หากิน พระองค์จึงเสด็จลงมาเพื่อห้ามสิงห์ทั้งสอง เมื่อเสด็จมาถึงบริเวณบ่อแก้ว เสือทั้งสองได้ต่อสู้กันแล้ว พระองค์จึงส่งพระสุรเสียงห้ามออกไป ต่อมาบริเวณที่แห่งนั้นได้มีการสร้างวัดขึ้น เรียกว่า วัดเอิ้น แต่สำเนียงแม่แจ่มเรียกเป็นวัดเอ้น หรือวัดพุทธเอ้น มาจนถึงทุกวันนี้ เบื้องหลังคือ วิหารหลวง ตั้งอยู่บนเนินเตี้ย ๆ ภายในสวยดีค่ะวัดเล็กๆในเมืองเล็กๆกลางหุบเขาแต่สถาปัตยกรรมก็สวยงามแบบล้านนานอกจากนี้มี โบสถ์กลางน้ำ สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 5 หรือประมาณ 100 กว่าปีที่แล้ว มีขนาดไม่ใหญ่โตมากนัก ภายในพระภิกษุจะนั่งได้ประมาณ 7 - 8 รูป ตั้งอยู่ตรงกลางน้ำ มีพญานาค 2 ตัวขนาบข้าง หลังคามุงด้วยกระเบื้องไม้ ด้านหน้าแกะสลักเป็นพรรณพฤกษา ดอกโบตั๋น ทุกวันนี้ใช้เฉพาะประกอบพิธีบวชพระภิกษุสงฆ์เท่านั้นคติการบวชในโบสถ์กลางน้ำนั้น ถือว่าเป็นการบวชพระภิกษุสงฆ์ที่มีความบริสุทธิ์มากที่สุด ได้รับอิทธิพลมาจากฝ่ายลังกา ในล้านนาก็ได้รับคติเช่นนี้มา ปัจจุบันการบวชกลางน้ำนี้ได้ยกเลิกไปหมดแล้ว โบสถ์กลางน้ำที่วัดพุทธเอ้นแห่งนี้จึงเหลืออยู่เพียงแห่งเดียวในประเทศไทยบ่อแก้ว ตั้งอยู่บริเวณหน้าวัดซึ่งมีน้ำใหลออกมาตลอดปีน้ำศักดิ์สิทธิ์ที่ออกมานี้จะมีชาวบ้านมาตักไปใช้บริโภคกันค่ะ ตอนที่เราไปก็มีชาวบ้านมารองน้ำนี้กลับบ้านเช่นกัน มีป้ายบอกกฎการรองน้ำไปด้วยบ่าย3กว่าแล้ว เราต้องรีบกลับไปออบหลวงกันแล้วล่ะค่ะ แดดร่มลมตกพอดี ไม่ร้อน มาถึงที่นี่ก็ 5 โมงเย็นพอดีเลยคุณเพื่อนขอภาพบนก้อนหินท่ามกลางน้ำที่ไหลเชี่ยวสักหน่อยหลังจากจ่ายค่าธรรมเนียมเราเดินเท้าไปเล็กน้อยนะคะ ออกกำลังนิดนึงมาเจอป้ายออบหลวงแล้ว เป็นมุมถ่ายภาพที่สวยดีคำว่า อ๊อบ หรือ ออบ เป็นภาษาท้องถิ่นหมายถึงช่องแคบ หลวง หมายถึง ใหญ่ ออบหลวง คือชื่อเฉพาะที่ใช้เรียกช่องแคบหินขนาดยักษ์ที่มีลำน้ำแม่แจ่มบีบตัวแทรก ผ่านไป อีกนัยหนึ่งคือ หุบเขา ที่มีสายธารไหลผ่าน (Canyon) ภายในออบ น้ำที่ตกไปกระทบแก่งหินละอองน้ำจะกระจายฟุ้งเสียงดังสนั่นหวั่นไหวตลอดเวลา ลานหินและโตรกผาที่ถูกน้ำอันเชี่ยวกรากกัดกร่อนปีแล้วปีเล่า ทำให้หินมีลักษณะเป็นลวดลายรูปร่างแปลกตาสวยงามมาก ทำให้ผู้ไปเยือนต้องพิศวงว่ากำแพงหินสูงใหญ่ที่ขวางลำน้ำอยู่นั้น แตกทะลุหรือแยกตัวให้น้ำผ่านไปได้อย่างไร ความลึกของหน้าผาวัดจากสะพาน ออบหลวงถึงระดับน้ำปกติประมาณ 32 เมตร ส่วนแคบสุด 2 เมตร ความยาวของช่องแคบประมาณ 300 เมตร บางคนก็กลัวความสูงเหมือนกันไม่รู้เป็นไรนะ เราชอบออบหลวงยามเย็นจัง แสงแดดจางๆแบบนี้ เมื่อต้นปีเรามาถึงออบหลวงราวๆบ่าย4โมง สีสวยเชียว วันนี้มาเย็นไปหน่อยเลยจะมืดซะแล้วแอบเห็นจุดข้างล่างที่มีป้ายออบหลวงที่พวกเราแวะตอนแรกอยู่ไกลๆด้านบนมีดินแดนมนุษย์ก่อนประวัติศาสตร์ด้วย วันนี้จะพาขึ้นไปดูกันครั้งก่อนเรามาแค่2คน เย็นแล้วไม่กล้าขึ้นเส้นทางที่เดินขึ้นพบ หลุมฝังศพสมัยโลหะตอนปลาย(สำริด) แต่ไม่มีโครงกระดูกแล้วนะพวกเรายังคงเดินทางต่อไปบริเวณดอยผาช้างด้านตะวันตกมีเพิงผา คล้ายถ้ำเคยเป็นที่อยู่อาศัยของมนุษย์โบราณก่อนประวัติศาสตร์และได้วาดภาพ ช้างด้วยสีขาวและสีแดงไว้ จากรายงานของนักโบราณคดี กรมศิลปากรยืนยันว่าเป็นครั้งแรกที่พบภาพเขียนโบราณในพื้นที่ภาคเหนือตอนบน ในเขตจังหวัดเชียงใหม่ สันนิษฐานว่าภาพเขียนนี้มีอายุไม่น้อยกว่า 7,500 - 8,500 ปี มาแล้ว พอมาถึงตรงนี้ฟ้าเริ่มสลัว เดินต่อไปอีกนิดแค่ 30 เมตรก็จะหมดแล้วแต่มีทางแยก เราก็กลัวจะแยกผิด ไฟฉายก็ไม่มี เดี๋ยวหลงป่ากลางคืนจะแย่เอาเลยต้องกลับมืดแล้วนะ พี่โชเฟอร์เราก็บึ่งเต็มที่เข้าตัวเมืองเชียงใหม่ เพราะคืนนี้มีเพื่อนคนนึงต้องกลับก่อน เดี๋ยวกลัวไม่ทันมาทานมื้อเย็นด้วยกันก่อนกลับและแล้วก็มาถึงร้านเฮือนข้าเจ้า ร้านอาหารพื้นเมืองแบบตามสั่งพร้อมมีการแสดงโชว์สวยๆให้ชมฟรี หลังๆนี่เรามาเชียงใหม่ก็ไม่พลาดร้านนี้ตลอด ค่ำคืนนี้ ทางร้านมีลูกค้า2กลุ่ม พวกเรานั่งพื้นกัน อีกกลุ่มนั่งโต๊ะอาหารที่นี่อร่อยทุกอย่างอ่ะ ชอบไปหมด ลาบคั่ว ซี่โครงย่าง ปลาราดน้ำยำ จำชื่อได้แม่นคือ หมูสิบแปดมงกุฏอร่อยไม่อร่อยก็ดูเอาเอง ถึงขั้นแทะกระดูกกันทีเดียวการแสดงของเข้าก็สวยงามและสนุกมากงานไหนงานนั้น ไอ้ตัวนี้ได้หอมแก้มสาวๆประจำหลังจากการแสดงหลายชุดผ่านไปจนจบ เจ้าของบ้านเฮือนข้าเจ้า ก็ขออาสาพาแขกชมบ้านขอเก่ามากมาย วัตถุและศิลปะโบราณต่างๆที่ เฮียพัน ได้ถ่ายทอดให้พวกเราได้รับรู้ น่าสนใจมากๆนอกจากความรู้ใหม่ๆแล้ว เฮียพันยังเป็นนักพูดเรียกเสียงฮาให้พวกเราจนปวดกรามกันถ้วนหน้าตอนไปแจ้ซ้อน พวกเราเปิดแผ่น โน็ตเดี่ยวไมโครโฟน ยังหลับแล้วหลับอีกไม่ขำเลย แต่เจอเฮียพันใส่มุกไหนมา พวกเราก็ฮาขี้แตกขี้แตนไม่น่าเชื่อว่าเวลาผ่านไปเร็วมาก 5 ทุ่มกว่าแล้ว นี่เกือบ2ชั่วโมง ที่ฟังเฮียพันเล่าเรื่องลี้ลับและเรื่องตลก สนุกจริงๆ ไม่มีใครง่วงเลยเห็นป่ะ นั่งกันเรียบร้อยเหมือนเด็กๆรอผู้ใหญ่เล่าเรื่องอย่างสนอกสนใจขอถ่ายรูปเป็นที่ระลึกระหว่างชาวคณะกับเฮียพันก่อนกลับเฮียพันแนะนำให้พวกเราไปชมของเก่าที่สะสมไว้ใน "ร้านเกิดทันไหม เคยใช้หรือเปล่า" ซึ่งอยู่ชั้นล่างของร้านอาหาร มีสินค้าสมัยที่เราเด็กๆที่บางชิ้นไม่มีผลิตแล้วในปัจจุบัน บางอย่างก็ไม่เคยเห็น เฮียพันพาชมพร้อมอธิบายอย่างตั้งใจชมจนทั่วจึงอำลาเฮียพันกลับไปห้องพักเสียที เที่ยงคืนแล้วค่ำคืนนี้เราเข้ามาพักที่ ปางวิมานเพลส ตอนเที่ยงคืนครึ่งที่นี่ห้องพักใหม่ดีนะ เตียงก็นุ่ม ห้องน้ำก็สะอาดดี แถมราคาไม่แพงด้วย คืนนี้ สำหรับเรากว่าจะนอนหลับก็คิดทั้งคืนว่าพรุ่งนี้จะไปไหนต่อกันดี เพราะเดิมทีเราวางแผนไปดอยผ้าห่มปก แต่กลัวเรื่องฝนที่พึ่งจะตกไป ทางอาจขึ้นลำบาก เราก็เลยไม่จองเต๊นท์ไว้ เพราะถ้าขึ้นดอยไม่ได้ เจ้าหน้าที่ก็จะให้นอนด้านล่างที่ทำการอุทยานเท่านั้น เราก็ไม่อยากเสี่ยงเพราะอุตส่าห์ไปตั้งไกล ไม่ให้ขึ้นยอดดอยได้ไงน๊าหมดไปอีก1วันค่ะ โปรดติดตาม ตอนต่อไป ถ้ำเชียงดาว สันป่าเกี๊ยะ
1วัน3จังหวัด...ถ้ำผาไท น้ำพุร้อนแจ้ซ้อน ลอยโคม ณ ธุดงคสถานล้านนา
Nov 8, 2008เราเดินทางล่วงหน้ามาเชียงใหม่ 1 คืนก่อนหน้านั้นแล้วก็พักบ้านพี่แจ๊ค(พี่ใจดีของพวกเรา นอกจากขับรถพาพวกเราเที่ยวแล้ว) พอราวๆตี5 เราก็ออกไปรับเพื่อนๆจาก กทม. ที่มาถึงขนส่งอาเขตด้วยรุ่งประเสริฐ์ทัวร์ เห็นบ่นนอนไม่ค่อยหลับเพราะเหม็นฉี่กัน เพื่อนจาก ตจว. ก็ทยอยกันมานัดพบและอาบน้ำอาบท่ากันอาหารเช้า อภินันทนาการโดย พี่แจ๊คและครอบครัวเช้านี้เรามาแวะที่นี่ก่อนค่ะ วัดพระธาตุหริภุญชัยวรมหาวิหาร จ.ลำพูนไม่รู้เป็นไงนะปีนี้ มา2พระธาตุ ก็อยู่ในระหว่างบูรณะทั้งคู่ เพราะก่อนหน้า2สัปดาห์ เพิ่งไปพระธาตุดอยสุเทพ มาเหมือนกันเพื่อความเป็นสิริมงคล พวกเราก็มานมัสการพระธาตุหริภุญชัย เอาฤกษ์เอาชัยสำหรับทริปใหญ่แห่งปีอันนี้ตอนแรกก็เถียงๆกันอยู่ ว่าต้องวนฝั่งไหน ซ้ายหรือขวากันแน่ สรุป พวกเราก็วนขวาเสร็จแล้วเดินชมรอบๆ ไปพบกับต้นสาละ ไม่เคยเห็นกัน แวะดูหน่อยอันนี้เหมือนหออะไรสักอย่าง มีฆ้องใหญ่ๆด้วยแล้วพวกเราก็อำลา จ.ลำพูน เพื่อมุ่งหน้าไปยังจุดหมายต่อไประหว่างทางเพื่อนๆก็หิวเร็วซะเหลือเกินเลยต้องแวะทานอาหารกลางวันที่ ร้านข้าวซอยโอมา...เป็นข้าวซอย อิสลาม อร่อยใช้ได้ นอกจากนี้หมูสะเต๊ะและขนมปังหน้าหมูก็ไม่ควรพลาดจ้ะมุ่งหน้าสู่ อช.ถ้ำผาไท จ.ลำปาง ที่นี่ไม่เสียค่าธรรมเนียมเข้าอุทยานนะคะเข้ามาแล้วเป็นอุทยานที่เงียบเหงาจัง แต่ก็ดูร่มรื่นย์มาก น่ากางเต้นท์นอน เจ้าหน้าที่บอกว่า ช่วงเทศกาลก็มีนักท่องเที่ยวมาพักเยอะอยู่เหมือนกันเจ้าหน้าที่ กุลีกุจอมาต้อนรับพวกเราอย่างดี แนะนำที่เที่ยวและอาสานำเที่ยวถ้ำ โดยไม่มีค่าใช้จ่ายนะคะ ประทับใจมาก แต่พอเที่ยวถ้ำเสร็จเราเองก็ให้ทิปเป็นสินน้ำใจเล็กๆน้อยๆนะค่ะภาพนี้คือจุดเริ่มต้นของการเดินไปเที่ยวถ้ำผาไทกันนะจ๊ะ ระยะทางเดินขึ้นบันไดไปประมาณ 280 กว่าขั้นเดินขึ้นไปสักพักมองลงมาก็สูงแฮะระหว่างทางสงสัยเราจะแก่ไปแล้วมั๊งเนี่ย มาได้ครึ่งทางก็หอบแห่กๆระหว่างนั้นคุณเพื่อนไปถึงปากถ้ำกันแล้วไชโย...มาถึงปากถ้ำเสียทีบริเวณปากถ้ำค่ะมีพระพุทธรูปด้วยค่ะ ระหว่างนี้เจ้าหน้าที่ก็บรรยายประวัติของถ้ำผาไท ได้ความรู้ด้วยถ้ำผาไท เกิดจากภูเขาหินปูน มีความลึกจากบริเวณปากถ้ำเข้าไปประมาณ 405 เมตร มีหินงอกและหินย้อยที่สวยงามอยู่ตลอดเส้นทางเดิน มีถ้ำเล็กถ้ำน้อยอีกมากมาย ภาพนี้เรียกว่า"ไข่ดาว" เป็นจุดที่มีน้ำหยดลงมาจะกลายเป็นหินงอกอีกที แต่ละถ้ำก็มีความสวยงามแตกต่างกันออกไป ถ้ำเหล่านี้และหินงอกหินย้อยได้รับการขนานนามต่าง ๆ กัน คือ สร้อยอโนดาษ ชาละวันบรรทมคูหา หย่อนอารมณ์ รโหฐานชาติรังษี นิวาสจอมโจร เสนาอาสน์ บังลังก์โจร คูหาสวาท เชลยกำศรวล เทพีไสยาสน์ จรมรรคา เอราวัณ มณีโชติเดียวดาย อเวจี โรจนา ไตรรังษี ประกายเพชร รัตวิไล คอยหาย วิมานหินย้อย ลานลีลาศ ผาพิฆาต ม่านศิลา ถ้ำเสือเกล็ดแก้ว โดดเดียว ผาเสด็จ ฉัตรศิลา สร้อยระย้า สิงห์ผงาดและจันทโครพ ส่องฉายไฟไปยังหินงอกหินย้อยเหล่านี้ จะเห็นเสมือนประกายเพชรวาววับทีเดียว สวยมากนะอันนี้ถ้ำ"คอยหาย" ฟังตำนานจากเจ้าหน้าที่แล้ว พวกเราแทบอยากจะเดินออกจากถ้ำให้เร็วที่สุดค่ะแต่มันก็ต้องใช้เวลาพอควร กว่าจะออกไปที่ปากถ้ำ เพิ่งสังเกตุเห็น คราบสีแดงๆตรงจุดนั้นด้วย...คือไรอ่ะ จำไม่ได้ว่าเจ้าหน้าที่บอกรึเปล่าว่ามันคือคราบอะไรเที่ยวถ้ำเสร็จแล้วก็ออกมา...ดีใจมาก รอดตายแล้ว หลังจากแอบเสียวสันหลังอยู่พักใหญ่ ได้เวลาเหนื่อยอีกรอบ คือ การเดินลง แล้วเราก็อำลา อช.ถ้ำผาไท ไปด้วยความประทับใจ แอบหวังลึกๆว่า สักวันจะพาลูกทัวร์มานอนกางเต๊นท์ที่นี่ ตามคำแนะนำของเจ้าหน้าที่ ขอแนะนำให้เพื่อนๆลองไปเที่ยวกันค่ะ เจ้าหน้าที่บริการดีจริงๆ น่ารักมากพวกเราก็บึ่งต่อมายัง อช.แจ้ซ้อน มาถึงที่นี่ราวๆ 4 โมงเย็นแล้วน้ำพุร้อนแจ้ซ้อนที่มีสภาพการเกิดทาง ธรณีวิทยาที่น่าสนใจ มีกลิ่นกำมะถันค่อนข้างอ่อน จำนวน 9 บ่อ ตั้งอยู่ในบริเวณพื้นที่ประมาณ 3 ไร่ ภายในพื้นที่มีโขดหินน้อยใหญ่กระจัดกระจายอยู่ทั่วไป และมีไอน้ำลอยกรุ่นขึ้นจากบ่อปกคลุมรอบบริเวณราวกับสายหมอก นิยมนำไข่ไก่และไข่นกกระทามาแช่ สำหรับไข่ไก่แช่นานประมาณ 17 นาที ไข่แดงจะแข็งมีรสชาติมันอร่อยส่วนไข่ขาวจะเหลวคล้ายไข่เต่า (แต่ครานี้ไม่ได้เตรียมไข่ไปแช่เลย)ชวนเพื่อนๆมาแช่น้ำร้อนให้ผ่อนคลายกันนะคะระหว่างทางเดินไปแช่น้ำร้อนบ่อรวม บรรยากาศที่นี่ ทำให้ผ่อนคลายดีค่ะ มองไปก็มีแต่เขียวๆและน้ำจ่ายเงินค่าบริการ 20 บาทสำหรับบ่อรวม มีผ้าถุงหรือผ้าขาวม้าให้เปลี่ยน (ห้องแช่ส่วนตัวก็มีนะคะ)แต่แช่บ่อรวมมันได้อารมณ์กว่านะและแล้วก็สดชื่นสบายตัว พร้อมปฏิบัติภาระกิจต่อไปเพิ่งรู้ว่า อช.แจ้ซ้อน ยังเป็นสถานที่ฝึกวิทยายุทธ์ด้วยบรรยากาศยามเย็นที่ อช.แจ้ซ้อน ...เราชอบจัง อากาศเริ่มเย็มเรื่อยๆ พวกเราแวะหาอะไรรองท้องด้วยเครปและลูกชิ้นที่เป็นรถเข็น บริเวณที่ทำการอุทยาน แต่...ไม่อร่อยเลยเย็นมากแล้ว อีกหนึ่งภาระกิจสำคัญของทริปนี้ คือการไปลอยโคมที่ ธุดงคสถานล้านนา จ.เชียงใหม่ แต่พวกเราก็ฝ่าความมืด ด้วยอาการลุ้นตลอดทาง ว่าจะมาทันมั๊ย? ในที่สุดก็ไม่ทันตอนจังหวะปล่อยโคมพร้อมๆกันเยอะๆ เพราะระหว่างทางที่รถมุ่งไปนั้น เห็นกำลังปล่อยไกลๆ แต่ก็ไม่เป็นไร...อุปสรรคยังไม่หมดรถติดมากๆจนต้องตัดสินใจลงเดินกันเลย ไกลอยู่นา...ไม่หวั่นล่ะ เดินไปก็มีพลุและปะทัดจุดกันตลอด เราแอบกลัวอ่ะ กลัวมาตกใส่เราและแล้วเมื่อมาถึงบริเวณที่จัดงาน พวกเราก็เริ่มจุดโคมกันพร้อมปล่อยแล้วนะและแล้วโคมของพวกเราก็ลอยตามโคมของใครหลายๆคนที่ไปร่วมปล่อยโคมในวันนั้นหมดภาระกิจนี้แล้วเริ่มจะหิวนะ ก็ข้าวเย็นยังไม่ได้กินนี่นา ปาเข้าไป4ทุ่มกว่าแล้ว...อำลาธุดงคสถานล้านนาโจ๊กรอบดึกก็เกิดขึ้นตามด้วยติ่มซำ ที่ร้านโจ๊กสมเพชร (เจ้าประจำของพวกเรา)อิ่มแล้วก็มานอนกันที่ บ้านกาแฟ คืนนี้หลับเป็นตาย เพลียมากๆหมดภารกิจในวันแรกแล้วจ้ะ แล้วอย่าลืมติดตามตอนต่อไปนะคะ ออบหลวงและแม่แจ่ม
เสาร์-อาทิตย์ก็เที่ยวเชียงใหม่ได้
24 Oct 2008ครั้งนี้ออกเดินทางด้วยรถทัวร์ตอน2ทุ่มคืนวันศุกร์จากหมอชิต ของรุ่งประเสริฐทัวร์ จ้ะ ราคา596บาท VIP 30 ที่นั่ง เบาะใหญ่นั่งสบายมาก บริการอาหารบนรถไม่ต้องแวะทาน ยิงยาวเชียงใหม่เลย ปล.ข้าวผัดกุนเชียงอร่อยดีนะ น้องเรากินเกลี้ยงเลยจากคนที่ปกติไม่กินข้าวเย็น25 Oct 2008มาถึงเชียงใหม่ตี5หน่อยๆ ยังมืดอยู่เลย เราก็เข้าที่พัก พิงค์บุรี ราคา720บาท รวมอาหารเช้า โดนรถแดงฟันเละอีกแล้ว 2คน100บาทหลังจากอาบน้ำแล้วก็ออกหากินยามเช้า พวกเราเดินไปเรื่อยๆแบบไม่มีจุดหมายไปเจอร้านเฮือนเพ็ญ (ร้านอาหารพื้นเมืองชื่อดัง) แต่เสียใจ เค้ายังไม่เปิดร้าน แห้วเลย เราเลยกางแผนที่เดินไปมาหาร้านข้าวมันไก่เกียรติโอชา/กฤติโอชา ดันไปเจอข้าวมันไก่ศิริชัย นึกว่าเค้าเปลี่ยนชื่อ เลยเข้าไปกิน พอทานได้งั้นๆ พอออกจากร้านเห็น กฤติโอชาอยู่2คูหาถัดไป เซ็งบรมวันนี้เราไม่เน้นเที่ยวให้เหนื่อย มีแต่กินกับนอนหลังมื้อเช้า ด้วยความเพลียจากจากเดินทางของีบสักหน่อย ส่วนน้องเราไปโกรกสีผมมาใหม่ซะงั้น เที่ยงแล้วนั่งรถไปกินข้าวซอยลำดวน ฟ้าฮ่ามกัน อร่อยไม่เปลี่ยน คนแน่นร้านกันทีเดียวเชียวน้องเก็บท้องรอเค้กของร้าน Love at First Bite อยู่ไม่ว่าจะบานาน่าครีมพายของน้องอร่อยล้ำเราเองอยากกินเค้กเนื้อแน่นๆ ได้มาสมใจ เค้กแครอท อร่อยจังตกบ่ายนัดเจอคุณเพื่อนที่มาขึ้นมาเชียงใหม่ช่วงเดียวกัน พาไปเที่ยวถนนนิมมาน แล้วจบลงที่ร้านเค้ก Fern Forest...คุณเพื่อนเลี้ยงของเรากะน้องขอชิ้นเดียว พายมะพร้าวอ่อน เลี่ยนๆไม่อร่อยเหมือนเคยคุณมิ้ง คู่โปรเจคของเราเลือกพายแอปเปิ้ล เห็นบอกว่าแป้งอร่อยมาก แต่ไส้ไม่ขอพูดถึงผิดหวังกับเบเกอรี่ เพราะมาทีไรอร่อยทุกที หน้าแหกเลยอุตส่าห์พาเดินกันมาจากที่พักระหว่างรอนัดเจอเพื่อนอีกที เรากับน้องก็ไปเดินถนนคนเดินกัน (วัวลาย) เจอน้องหมามาช่วยเจ้านายขายของกันหลายตัวเดินไปประมาณครึ่งชั่วโมงฝนก็เทลงมาอย่างหนักหลบกันแทบไม่ทัน ทั้งคนและหมาแอบกันข้างทาง พอฝนหยุด ทุกอย่างก็ดำเนินตามปกติ ทั้งคนขายและคนช้อป น้องเราสนุกสนาน ตื่นเต้นกับของมากมายแล้วเรามานัดกินข้าวมื้อค่ำที่เฮือนข้าเจ้า อาหารอร่อยทุกอย่างเช่นเคย คืนนี้ฝนตกเลยไม่ได้นั่งที่ลานกลางแจ้ง ขึ้นมานั่งข้างบนชมการแสดงวันนี้ถือเป็นวันรวมญาติเลยทีเดียว เพื่อนๆสมัยเรียนอยู่ กทม.ไม่ยอมเจอกัน แต่มาเจอกันที่เชียงใหม่ซะงั้น เม้าท์กระจาย หนุกหนานหลังจากนั้นพวกเราก็แยกย้ายสลายตัว เราก็กลับที่พักหลับสบาย26 Oct 2008เช้านี้ตื่นมาอย่างสดชื่น กินข้าวดีกว่าเค้ามีให้แต่ ABF ในขณะที่โต๊ะอื่นให้เลือกกินได้ทั้งข้าวต้ม ข้าวผัด งงจัง คราก่อนมาพักเราได้กินข้าวผัดอ่ะหลังจากนั้นเราก็เก็บของ check out แล้วฝากกระเป๋าไว้ที่โรงแรม แล้วออกไปเที่ยวต่อ ด้วยรถแดงวินตรงก่อนถึงสวนสัตว์ เที่ยว3แห่ง (พระตำหนักภูพิงค์,ดอยสุเทพ,บ้านม้งดอยปุย)ที่ละ1ชม. ราคา 180 บาท/คนที่แรกวันนี้ไปพระตำหนักภูพิงค์ ทางเข้าเลยมีซุ้มอาหารน่ากินมาดักรอแถมร้านโปสการ์ดน่าแวะระหว่างทางไปก็ร่มรื่นย์ อากาศเย็นทีเดียวถึงตำหนักสักแห่ง แต่ไม่รู้ว่าตำหนักชื่ออะไร เดินกันเอื่อยๆจนเวลาล่วงเลย เจอคนร่วมทริปเดิมมาบอกว่าใกล้หมดเวลาแล้วต้นสนนี่สวยดีด้วยความเร่งก็ต้องรีบวิ่งกันไปเจอน้องหมาน่ารักตัวเดียว วิ่งไปทางเดียวกันด้วยหมอกกระจายเต็มเลยค่ะ สวยดีเหมือนอยู่ เมืองในหมอกแล้วเราก็รู้สึกว่าเที่ยวไม่ทั่วเพราะต้องรีบกลับมาที่จุดนัดพบภายใน1ชม. เซ็งเลย วิ่งมาซะเหนื่อย ได้อารมณ์มากับทัวร์แบบกำหนดเวลาแบบนี้ ไม่ชอบเล้ยจากนั้นเราก็ไปบ้านม้งดอยปุย แต่งชุดม้งกันถ่ายรูป ในขณะที่ฝนโปรยปรายเลยได้รูปมาน้อยมากเด็กๆชาวม้งมักมาขอให้ถ่ายรูปด้วยเพื่อแลกกับค่าขนมน้อยนิดที่ได้จากเราเอาด้วยคน น้องม้งนี่นี่น่ารักนะ ให้ทำอะไรก็ทำหมดเวลาแล้ว ยังไม่ได้เดินตลาดม้งเลยอ่ะ ข้อเสียของการมาแบบนี้ เราเสียรู้ซะแล้ว รู้งี๊นั่งสองแถวแต่ละทอดขึ้นมาเอง เที่ยวเองดีกว่าบ่ายโมงแล้วมาดอยสุเทพต่อ หิวข้าวจังเลยรีบมาสักการะพระธาตุก่อนเลย คนเยอะนะ แล้วกำลังบูรณะอยู่ ไม่สวยเลยมาเคาะระฆังกันต่อณ จุดชมวิวบนดอยสุเทพ เห็นเมืองเชียงใหม่ก็คราคร่ำไปด้วยผู้คน ขอสักช่องให้ถ่ายรูปหน่อยเน่อแล้วพวกเราก็หิวโซบ่าย3มาถึงสวนสัตว์เชียงใหม่ พอซื้อตั๋วแล้วจะเข้าไปหาข้าวกินข้างในด้วย ฝนก็ตกหนักเอามากๆจนเข้าไม่ได้ พอฝนซาก็ยังตกอยู่ไม่มีร่มอีก เลยจำใจเสียค่าตั๋วซื้อซาลาเปาหน้าสวนสัตว์กินแล้วก็นั่งรถแดงเข้าเมืองดีกว่าและแล้วเราก็มาถึงร้านเฮือนเพ็ญ บ่าย4กว่าๆแล้ว ร้านจะปิดบ่าย4ครึ่ง กินอย่างตายอดตายอยากมาจากไหน นี่คือข้าวเที่ยงของเรา อาหย่อยมากกลับไปที่ถนนคนเดินวันอาทิตย์ ช้อปกระจายอีกแล้วน้องเราเห็นแล้วชื่นใจ 6โมงตรง ทุกคนเคารพธงชาติเดินไปสองทุ่มครึ่งฝนก็เทมาหนัก เรากลับที่พักไปเอากระเป๋าแล้วรีบมาขนส่ง เกือบไม่ทันแหน่ะบอกพี่ตุ๊กตุ๊ก เหยียบเต็มที่ ขากลับๆด้วย สมบัติทัวร์ VIP รอบสามทุ่มครึ่ง ราคา 695 THB มีแวะกินข้าวต้มก็พอใช้จ้ะ แต่เสียตรงเปิดไฟปลุกตั้งแต่ยังไม่ถึงอยุธยาเลยอ่ะจบทริปนี้กลับมาเมื่อยขาอย่างแรงเลยอ่ะ เพราะเดินมากขอขอบคุณ-น้องจิ๊บ หากไม่มีน้องไปด้วย ทริปนี้คงไม่เกิด-เพื่อนTU: มิ้งค์ พรและเจมส์ ไปเจอกันที่โน่น ทำให้ทริปสมบูรณ์ขึ้น-ชาวเชียงใหม่ทุกท่าน-ร้านเค้กและร้านอาหารทุกแห่งที่ทำให้อิ่มท้อง-เด็กม้งที่ปอยปุย น่ารักทุกคนไว้เจอกันใหม่ทริปหน้าสนใจจองที่พักใน จ.เชียงใหม่ ตรงนี้เลยจ้ะ
ตะลุยเดี่ยว เที่ยว(หาของกิน)เชียงใหม่
21 Aug 2008วันนี้แม้ว่าฝนจะตกหนักมากตั้งแต่เย็นถึงค่ำ เกือบทำให้เราเปลี่ยนใจไม่ไปซะแล้ว แต่ในที่สุดก็เก็บข้าวของตอน2ทุ่ม อาบน้ำ ออกไปเลย หุหุออกเดินทางด้วยรถทัวร์ VIP 32 ที่นั่ง กทม.-เชียงใหม่ ของนครชัยแอร์ รอบ 21:45 น. (แต่เริ่มออกจากหมอชิตจริงๆก็ 4 ทุ่มตรง) เราไปขึ้นที่ท่ารถของนครชัยโดยตรง ราคาตั๋ว 695 บาท/คน เที่ยวที่เราขึ้นคนไม่เต็มรถจ้ะ เรานั่งยืดแขนขาสบายเลยเพราะข้างๆเราไม่มีคนนั่งเนื่องจากไม่มีการจอดรถระหว่างทางเหมือนเจ้าอื่น เค้าแจกข้าวกล่องและน้ำให้กินกันตั้งแต่รถเริ่มวิ่งกันเลยทีเดียว กินเสร็จก็ดู ชิงร้อยชิงล้าน ชะชะช่า จบไป1ชั่วโมงก็ได้ยินเสียงกรนดังระงมทั่วรถ 22 Aug 2008หลังจากทรมาน หลับๆตื่นๆมา9ชั่วโมง รู้สึกว่าหลับ1ชั่วโมงแล้วก็ตื่นทุกๆ1ชั่วโมง ก็มารู้สึกตัวอีกทีว่าอยู่ เชียงใหม่คนเดียวซะแล้วเรา ต้องหารถเข้าเมือง รอตัวหารไปสองแถวแดงดีกว่า รอไปรอมาครึ่งชั่วโมงกว่าไหงไม่ออกสักที เลยคว้าคนแถวนั้น(ขึ้นรถเที่ยวเดียวกัน) มาเป็นตัวหารได้1คน โดนไปคนละ 50 บาทเจ้า เราขอมากินโจ๊กอร่อยๆยามเช้ากันก่อนโจ๊กสมเพชร ชื่อดัง แสนอร่อย หมูก้อนๆอร่อยเช่นเคย กับโอวัลตินร้อนๆ สุดยอดกินเสร็จก็มา Check in ที่พักของเราคืนนี้ เรจิน่า เกสต์เฮ้าส์ดูรีวิวแล้ว อาจจะเกรงว่า น่ากลัวหรือไม่ปลอดภัย บ้างรึเปล่า? แต่ขอบอกว่าถ้างบน้อยแล้วอารมณ์แบบนี้ นอนแบบนี้สักคืนก็โอเคนะ เราผู้หญิงคนเดียวไปนอนแล้วก็ปลอดภัย ไร้สิ่งผิดปกติ .........ฟันธง!!!!!!!หลังจากอาบน้ำแล้วเราก็ของีบสัก2ชั่วโมง ระหว่างหลับอยู่ได้ยินเสียงคนคุยกันตลอดเวลา ลืมตาขึ้นมาก็ไม่เห็นตัว หลับก็ก็ได้ยินเสียงอีก หลอนเลยอ่ะพี่น้อง.....เพราะเจ้าของบอกว่าวันนี้ไม่มีแขกพัก มีเราพักห้องเดียวเท่านั้น แต่ด้วยความอ่อนเพลีย ตื่นมาเที่ยงพอดี ชะโงกหน้าไปนอกหน้าต่าง เลยรู้ความจริง ว่าข้างๆเกสต์เฮ้าส์ของเราเป็น ร้านชาริมแม่น้ำ ขายอาหารด้วยรึเปล่าไม่รู้ มีคนเข้ามากินกันตลอดเลย สรุปว่าไม่มีอะไรต้องกลัวแล้นหิวแล้วเลยอยากกินข้าวซอยชื่อดัง ถามน้องพนักงานที่นั่น เค้าบอกว่าไกลจากที่พัก หากใกล้ๆก็มีบอกว่าเดินไปไม่ไกลมีร้านนึงรสชาดพอใช้ได้ ชื่อร้าน "ข้าวซอยปริ๊นซ์" ข้างๆโรงเรียนปริ๊นซ์เชียงใหม่ (มั๊ง) ใช้เวลาเดินจากที่พักไม่เกิน 10 นาที ระหว่างทางที่เดินเจอชาวเจียงใหม่นั่งเชียร์นักชกชาวไทยในการแข่งโอลิมปิคกันเป็นกลุ่มๆ น่าชื่นใจวันนี้ขอข้าวซอยเนื้อ พิเศษด้วยเพราะหิวมากจริงๆรสชาดก็ใช้ได้นะ แต่เสียดายไม่มีมะนาว หอมและผักดอง ทำไมไม่มีหว่า กินไปเลี่ยนไป น่าตาน่ากินมาก ที่นี่เค้ามีน้ำบริการฟรีแต่ต้องไปตักเอง เราก็ไปตักมา กินเสร็จแล้ว เห็นถาดไรหว่าใกล้ๆมีผ้าขาวบางคลุมเลยแอบเปิดดู ว๊าย!!!!!!!! เครื่องเคียงของข้าวซอยมาอยู่ตรงนี้นี่เอง บริการตนเองด้วยก็ไม่บอก ปล่อยให้เรากินแบบจืดชืดเหมือนราเมนอิ่มแล้วก็เดินกลับครับ กลับมานั่งชิลล์ อ่านหนังสือริมน้ำปิงกันดีกว่าโต๊ะเค้าเก๋นะ ทำมาจากจักรเย็บผ้า นอกจากนี้ที่นี่ช่วงเช้าจะเปิดเพลงไทยเก่าๆสมัยสุนทราภรณ์รึเปล่าไม่ทราบ แต่ตกบ่ายเปิดเพลงสากลยุค60ได้มั๊ง พอแล้วก็เพลินดี แทบไม่รู้จักสักเพลง บางเพลงนี่ได้ยินปุ๊บ โห...นี่มันเพลงที่อาจารย์เคยเอามาสอนเราซึ่งเป็นยุคของพวกเค้านี่เองระหว่างที่เราเดินกลับ ก่อนถึงที่พักไม่เกิน 15 ก้าวก็เจอร้านขายสาคูไส้หมูและข้าวเกรียบปากหม้อ เห็นเขียนว่า ร้านสาคูหน้าวัดเกต อะไรทำนองนี้ ดูท่าทางทำเป็นล่ำเป็นสันเลยลองซื้อข้าวเกรียบปากหม้อมาลอง1กล่อง น่าตาน่ากินมาก แถมอร่อยด้วย บ่ายนี้เปรมจริงๆอันนี้คือท่าน้ำของที่พักเราจ้ะเริ่มเย็นแล้วจ้ะ หลังจากสอบถามน้องพนักงานว่าอยากกินอาหารพื้นเมือง น้องเค้าเลยแนะนำให้เดินไปซื้อตรงตลาดวโรรส กับข้าวถุงเยอะเลย เราก็เอาวะ ไปซื้อในตลาดกินดีกว่า ระหว่างทางกำลังจะเดินขึ้นสะพานวัดแขกข้ามแม่น้ำปิง ก็เจอน้องหมาเชียงใหม่น่ารักเชียว ชื่อว่า ชาเย็นระหว่างเดินข้ามสะพานวัดแขก ห่างจากที่พักไม่เกิน10ก้าว มองลงไปเห็นคนพายเรือแคนูกันเยอะเลยนะ พายเร็วด้วยมองไปอีกฟากของสะพาน เห็นดอยสุเทพอยู่ไม่ไกล อยากไปเที่ยว!!!!!!!!จัง เล็งๆอยู่ว่ามาครานี้อาจจะได้ไปเที่ยวธรรมชาติสัก1วันและแล้วก็มาถึงหน้าตลาดวโรรส ของกินเพียบ เรามาเร็วไปหน่อย น้องที่เกสต์เฮ้าส์บอกว่าถ้าค่ำกว่านี้ของจะเยอะกว่ามากๆ เราก็ว่างั้นเพราะตอนที่เราไปหลายร้านก็กำลังจัดร้านอยู่ แค่ตอนนั้นก็มีของน่ากินมากมายหลายอย่างเลือกไม่ถูกเลยและแล้วเราก็ได้อาหารเย็นมาเป็นที่เรียบร้อย อร่อยทุกอย่างอ่ะ ทั้งข้าวเหนียวหมูปิ้ง ไส้กรอกอิสาน นมข้าวโพด(สุดยอดอร่อย)และขนุน รวมๆแล้วไม่มีอาหารพื้นเมืองเลยแฮะ ก็เพราะว่ากินไม่เป็นอ่ะ แนวแกงๆแล้วตอนที่เราไปซื้อมันไม่มีลาบคั่วที่อยากกิน เลยเลื่อนอาหารพื้นเมืองเป็นวันรุ่งขึ้นแทนก็ได้ได้อาหารแล้วก็มานั่งกินอยู่คนเดียวริมน้ำยามโพล้เพล้ ได้อารมณ์เหงาดีจริงอิ่มข้าวแล้วนั่งกินขนุนหวานๆอร่อยมาก แถวบ้านไม่อร่อยแบบนี้เลย แข็งก็แข็ง บางทีแข็งๆเปิดห่อก็เน่าซะงั้น ที่นั่งริมน้ำยามค่ำคืนก็โรแมนซ์ไม่เบา มีหนุ่มสาวต่างชาติมานั่งกินข้าวใต้แสงเทียนกันไม่ขาดสาย แต่เรามาคนเดียว เหงาโคตรเริ่มดึกแล้วยุงเยอะ ขึ้นห้องไปอาบน้ำเตรียมนอนดีกว่า คืนนี้พอ3ทุ่มก็ฝนตกหนักมาก นอนสบายเลยเราแอบหนาวซะด้วย 23 Aug 2008นอนตั้งแต่4ทุ่ม หลับยาวตื่นมา6โมงเช้าเลย สดชื่นจริงๆ เช้านี้ตื่นมาแล้วกินขนมปังไส้ถั่วกับนมถั่วเหลือง(จากนครชัยแอร์)ตอน7โมง แล้วก็หลับต่อตื่นมาอีกที เกือบ9โมง เลยรีบอาบน้ำเก็บกระเป๋า เพราะเรามีภาระกิจต่อในช่วงเช้าภาระกิจอันยิ่งใหญ่นี้คือการเดินทางมาชิมเค้ก รสชาดที่ขาดหายไป 2-3ปีที่แล้ว ร้านนี้เลย Love at First Bite อยู่ถนน เชียงใหม่-ลำพูนซอย1ใช้เวลาเดินเท้าจากที่พักราวๆ15-20 นาที ก็มาถึงร้านนี้แล้วจ้า เด๋วนี้เค้ามีเค้กมากมายราวๆ 40-50 ชนิดแน่ะ น่ากินมากมายอยากกินมันแทบทุกอย่างแต่ไปคนเดียวเลยได้มาชิ้นเดียว แมงโก้ชีสเค้ก 70 บาท อร่อยมาก ถ่ายไม่ทันแหว่งไปแล้น ส่วนที่นั่งทานมีทั้งห้องแอร์และในสวน วันนี้ขอกินห้องแอร์เพราะเดินมาไกลแล้วร้อนเหงื่อท่วมเลย อีกอย่าง...มีเวบแล้วนะร้านนี้//www.loveatfirstbite-cm.com/home/พนักงานเค้าก็อัธยาศัยดีนะ บริการดี รู้สึกว่าเค้กอร่อยที่สุดก็ร้านนี้แหละเดินกลับมาก็เกือบเที่ยง Check out เรียบร้อย แล้วนั่งตุ๊กตุ๊กไปร้านข้าวซอยแสนอร่อย "ข้าวซอยลำดวน" ถนนฟ้าฮ่ามประเดิมด้วยข้าวซอยหมู เครื่องเครียงมาพร้อมลุยเลย อร่อยมั่กๆ ไม่เคยกินที่ไหนอร่อยเท่าที่นี่ ไม่สงสัยเลยว่าทำไมถึงดัง เค้าเปิดขายมาตั้งแต่ปี 24xx แล้วจนถึงปัจจุบัน ร้านนี้ยังมีข้าวหมกทั้งหลายขายด้วย หมูสะเต๊ะและอื่นๆอีกหลายอย่างยืนยันความอร่อยด้วย ข้าวซอยไก่ อีกชาม ตามด้วยน้ำแตงโมปั่น เข้ากันจริงๆอิ่มแล้วขอต้องเข้าที่พักของเราคืนนี้ดีกว่าจ้ะ ระหว่างรอรถนานมากไม่ค่อยมีรถสาธารณะผ่านมาเลย เลยต้องโทรเรียกตุ๊กตุ๊กคันที่เพิ่งมาส่งที่ร้าน มารับเราอีกที คืนนี้เรานอนที่ บ้านกาแฟ ครั้งที่2แล้วที่พักที่นี่ ยังประทับใจเช่นเคย วันนี้พักห้องที่2ด้านหน้าจ้ะ รีวิวห้องพักบ้านกาแฟเนื่องจากอากาศกลางวันร้อนมาก เหงื่อท่วมตั้งแต่ไปกินเค้กแล้ว เลยอาบน้ำอีกรอบแล้วก็มานั่งอ่านหนังสือชิลล์ๆนอกห้องพัก เปิดพัดลมเย็นสบายเย็นนี้ เราจะมากินอาหารพื้นเมือง เคล้าเสียงดนตรีโฟล์คซองคำเมืองที่ เฮือนสุนทรี เวชานนท์ เนื่องจากหากตัวเมืองสักหน่อย ได้พี่แจ๊คและครอบครัว(รวมเจ้าหลง น้องหมาของบ้านนั้นด้วย)ผู้ใจดีมารับ-ส่ง ขอบคุณมากค่ะอาหารเย็นของเราวันนี้มีชุดน้ำพริกอ่องแคบหมูและลาบคั่วกินกันตั้งแต่ยังไม่1ทุ่มอะ กินไปเรื่อยๆ ฟังเพลงที่เค้าเปิดไปก่อน รสชาดอาหารพอกินได้นะ แต่ไม่จี๊ดจ๊าดคุณสุนทรี เริ่มร้องเพลงตอน3ทุ่ม ได้ฟังประวัติเมืองเชียงใหม่ด้วยสนุกดี เราก็อยากฟังต้นตำรับเพลง สาวเชียงใหม่ ไม่ร้องสักที จน4ทุ่มก็ร้องเพลงนี้ เพราะดีจัง ได้อารมณ์มากมาย แล้วเราก็กลับหลังจากเพลงนั้นจบฝนตกพอดีตอนเราออกจากร้าน ดีนะคืนนี้ไม่ได้ไปเดินช้อป ที่ถนนคนเดินไม่งั้นเปียกแน่ กลับมาอาบน้ำนอนดีกว่า 24 Aug 2008นอนเต็มอิ่มตื่นมา 8:30 น. เลยอ่ะ รีบอาบน้ำแล้วออกไปหาข้าวกินเลย เดิมทีตั้งใจว่าเช้านี้จะขึ้นไปเที่ยวสวนสัตว์เชียงใหม่ แต่เห็นเค้าว่าตุลานี้จะเปิดอควาเรียม ก็เลยรอไปทีเดียวดีกว่าวันนี้กินข้าวผัด เป็นร้านเย็นตาโฟในซอยเดินไปประมาณ 10 ก้าวจาก บ้านกาแฟ ก็อร่อยดีนะ กินเกลี้ยงเลย สงสัยจะหิวเพราะมันเกือบๆ10โมงเช้าแล้วนิกินเสร็จเราก็เดินมาซื้อกับข้าวพื้นเมืองไปกินที่บ้านเย็นนี้ ณ ร้านเฮือนเพ็ญ ไกลเหมือนกันนะ จำไม่ได้ว่าเดินมานานแค่ไหน แถวๆถนนราชดำเนินอ่ะอาหารพื้นเมืองหลากหลายมาก แต่เราก็กินไม่ค่อยเป็นเท่าไหร่ ซื้อมาแต่ลาบคั่วกับน้ำพริกอ่องแล้วเราก็เดินต่อไปกินเค้ก ระหว่างทางแวะซื้อโจ๊กสมเพชรกลับบ้านอีก1ถุง เพราะมันใกล้ๆกัน แล้วเราก็มาถึงร้านเค้ก ร้านใหม่ให้เราได้ลองกันวันนี้คือ ร้าน ชาร์โคล อยู่ถนนศรีภูมิซอย1 เค้กวันนี้ของเราขอเป็น บลูเบอร์รี่ชีสเค้ก ละกันก็อร่อยดีนะ ชิ้นนี้ 70 บาท แล้วก็ซื้อเค้กช็อคโกแลตภูผาดำมาฝากชาวบ้านด้วย นอกจากเป็นร้านเค้กและกาแฟแล้ว ยังมีห้องพักด้วย ลองเข้าไปดูที่เวบได้ //www.charcoa.com/ครานี้ต้องไปซื้อของฝากที่ตลาดวโรรส เดินไปไหวแล้วทั้งเหนื่อยและร้อน สองแถวแดงเลยคร๊าบ ได้ของมา2ลังเลยอ่ะ หุหุกลับมาถึงที่พักเที่ยงพอดี ของก็ยังไม่เก็บรีบอาบน้ำดีกว่า เหนียวตัวไปหมด แล้วก็เก็บข้าวของ ออกมานั่งกินอาหารเที่ยงของเรา คือข้าวเหนียวหมูทอด จากร้านดำรงค์ในตลาดวโรรสบ่ายครึ่งเราก็ออกจาก Coffee House มีพี่แจ๊คและครอบครัวมาส่งเราที่สนามบินอีกแล้ว เกรงใจจังค่ะ สัมภาระเราเฉียดฉิว 19.1 kg. ทั้งๆที่เราได้สูงสุดแค่ 20 Kg. วันนี้เราไปกับ Nok Air กำชับพนักงานเลยว่าอาจจะมีของแตกได้เพราะมีพวกกระเทียมดองใส่โหลอยู่ในลัง (ใจจริงเราห่วงโจ๊กสมเพชรมากกว่า)เพิ่งรู้ว่าเดี๋ยวนี้ นกแอร์ เค้ามีขนมของว่างเป็นป้าแอ๊นไส้กรอกด้วย อร่อยดีแต่เย็นไปหน่อย ไม่ถึงชั่วโมงก็มาถึงดอนเมือง กลับบ้านโดยปลอดภัยทริปนี้ถ้าถามว่าสนุกมากมั๊ย คงบอกว่าไม่มาก สนุกตามอัตภาพ เพราะไปคนเดียวไม่มีเพื่อนเลยนิ แต่เราได้ความสุขกับการใช้เวลาอยู่กับตัวเองมากขึ้น ไม่มีเรื่องงานมารกสมองกวนใจ มีกำลังกลับมาสู้งานต่อได้อีกขอขอบคุณ-ที่พักแสนอบอุ่นและปลอดภัย Regina Guesthouse และ Coffee House-เค้กอร่อย ที่ Love at first bite และ ชาร์โคล-โจ๊กอร่อยตลอดกาล ร้านโจ๊กสมเพชร-ข้าวซอยอร่อยๆ ข้าวซอยปริ๊นซ์ และ ข้าวซอยลำดวน-อาหารพื้นเมือง ร้านเฮือนเพ็ญ กลับมากินที่บ้านแน่นท้องเลย-ไส้อั่วแสนอร่อย ร้านดำรงค์-ดนตรีสบายๆที่ เฮือนสุนทรี-อาหารง่ายๆแต่อร่อยที่ตลาดวโรรส โดยเฉพาะ นมข้าวโพด-ร้านของฝากวันเพ็ญ ทั้งหมูยอ กระเทียมดอง ลำไยอบแห้ง อร่อยสุดๆ-พี่แจ๊คและครอบครัว ที่รับ-ส่งเรา แถมมีเรื่องคุยคลายเหงาให้ด้วย-เดินทางปลอดภัย กับนครชัยแอร์ และ นกแอร์-พี่ตุ๊กตุ๊กและสองแถวแดง ที่ช่วยลดราคาเวลาที่เราต่อยังไงซะ หนาวนี้ต้องไปเที่ยวกับแก๊งค์ให้ได้สิ "นกทัวร์ตะลุยภาคเหนือ" สนใจจองที่พักใน จ.เชียงใหม่ ตรงนี้เลยจ้ะ