นวนิยายที่อยากเขียนของนิรีย์
 
 

ราตรีรัญจวน

ราตรีรัญจวน
โดย นิรีย์

ความกลัวสักเพียงชั่วอึดใจ...คือสิ่งที่ตะวันฉายต้องการอย่างเหลือเกินในค่ำคืนนี้ แต่เขาไม่เคยรู้สึกเช่นนั้นมานานมากแล้ว

เขาไม่เคยกลัว ไม่เคยแม้นแต่จะหวาดผวา หรือแม้นแต่จะกระพริบตาเพื่อมิต้องรับรู้ความน่าพรั่นพรึงใด ๆ

ด้วยกายาผงาดเด่น และเรืองฤทธาไม่แพ้เทพบุตรองค์ใด แม้นว่าเขาจะเป็นเพียงมนุษย์ที่มีสายเลือดของสุริยะเทพ แต่แทบไม่มีอะไรในดินแดนแห่งนี้ที่ทำให้เขากลัวได้ ทว่าเดี๋ยวนี้ ตอนนี้เขากำลังเรียกร้องหามัน

เพราะผู้หญิงเพียงคนเดียว

อยากจะกลัวนาง จะได้รีบหนีห่างให้ไกลสุดหล้า ไม่ต้องเผชิญหน้าให้หัวใจเขาโดนบีบรัดอย่างไม่รู้สาเหตุเช่นนี้

แต่ความรู้สึกกลับไม่เคยเฉียดใกล้กับความ ‘กลัว’ มันเตลิดลึกไปสู่สิ่งตรงกันข้ามที่เรียกว่า ‘รัก’ จนยากจะรั้งกลับมา แม้นจะพยายามมานานแสนนานแล้วก็ตาม

เขารักผู้หญิงจากรัตติกาลที่พร้อมจะทำลายผู้อยู่ในความสว่างเช่นเขาได้ตลอดเวลา เมื่อความมืดมาทิวากาลย่อมต้องจากไป แต่ทั้งเขาและนางกลับฝืนธรรมชาติแห่งเวลานั้น ใช้พลังงานอำนาจในตัวเพื่อที่จะได้พบกันนอกมิติของตัวเอง โดยต่างไม่รู้ว่าต่างกำลังจะสิ้นสลายด้วยพลังที่อ่อนล้าลงทุกทีในทุกครั้งแห่งการสัมผัส

ทว่าตอนนี้...เขาประจักษ์ถึงมันแล้ว อำนาจแห่งตะวันของเขากำลังใกล้สูญสิ้น เขากำลังจะดับสูญ แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่ห่วงกังวล นางต่างหากที่เขาห่วงใย อยากให้คงอยู่เป็นรัตติกาลที่สงบเยือกเย็นเช่นนี้ตลอดไป

“ท่านมาแล้ว” เสียงของนางดังทักทายอย่างยินดีจากความมืดเบื้องหน้าเขา เสียงนั้นแหบต่ำผิดกับเสียงหวานใสกังวานของหมู่คณิกาที่เหล่าผู้หวังดีจัดหามาเริงร่ายล้อมรอบเขาตลอดหลาย ๆ ราตรีแห่งความเดียวดาย แต่เสียงเช่นนี้แหละกลับฟังเย้ายวนใจยิ่งนักสำหรับเขา ไม่มีเสียงหญิงอื่นใดสัมผัสถึงก้นบึ้งแห่งใจได้เหมือนเสียงนาง

“เรียกข้ามาตายหรืออย่างไร” จำใจกราดเกรี้ยวใส่ผู้ที่อยู่ในความมืดมิดของราตรี

“ทำไมถึงคิดเช่นนั้น” เสียงแหบต่ำเริ่มสั่นพร่าด้วยความน้อยใจ

“ยามรัตติกาลคือศัตรูของข้า เจ้าก็รู้” แม้นในจะหายวาบเมื่อคิดถึงน้ำตาที่กำลังเอ่อล้น แต่ต้องทำใจให้เข้มแข็งเพื่อจะหยุดความสัมพันธ์ที่ไม่มีทางเป็นไปได้นี้

“และท่านก็ควรรู้ไว้ ข้าไม่มีทางปล่อยให้คนรักตายต่อหน้าเด็ดขาด” นางยังคงเด็ดเดี่ยวมั่นคง ไม่ว่าจะทุกข์ร้อนแสนสาหัสเพียงใด

“รัชนี เจ้าเป็นธิดาแห่งรัตติกาล อย่ามายุ่งกับวงศ์วานแห่งตะวันอย่างข้าเลยจะดีกว่า เราต่างขั้วสุดขอบจนไม่มีทางบรรจบกันได้”

“ตะวันฉาย!” นางร้องอย่างตระหนก แต่ไม่นานก็ข่มให้ตัวเองสงบลงได้

“ท่านยังโกรธอยู่” ความเยือกเย็นแห่งราตรีกำลังโลมเล้าความร้อนแรงให้บรรเทา

“โกรธเรื่องอะไร” แม้ท่าทางยังคงขึงขัน ทว่าภายในใจอ่อนยวบจนแทบไม่อาจทนยืนนิ่งอยู่เช่นเดิม อยากจะเข้าไปตระกองกอดนางแนบอก อยากจูบซับน้ำตาแห่งอาดูร แล้วปลอบประโลมให้กำลังใจอย่างที่ผ่านมา แต่จะมีประโยชน์อะไร ในเมื่อตัดสินใจแล้วว่าเขาจะไม่ทำให้นางต้องเจ็บปวดเพราะ ‘รัก’ อีก

“โกรธที่ข้าไม่ไปพบท่านในวันนัดพบที่ผ่านมา”

“แล้วทำไมเจ้าถึงไม่ไป” เขารุกไล่

“ข้า...มีความจำเป็น” นางแทบไม่มีเสียงตอบ

“ความจำเป็นของเจ้าคือโดนครอบครัวทำร้ายจนเจียนตายใช่ไหม” เค้นเสียงถามอีก

“ไม่ใช่”

“อย่ามาโกหกข้า ถึงจะเป็นโลกรัตติกาล แต่ถ้าข้าต้องการรู้ก็ไม่มีอะไรเป็นความลับได้”

“เพียงเพราะกลัวข้าจะโดนทำร้ายอีก ท่านเลยคิดจะเลิกรักใช่ไหมตะวันฉาย” นางตัดพ้อ

“มันสมควรจะต้องเป็นอย่างนั้นไม่ใช่หรือ เพราะรักข้า เจ้าโดนทำร้ายมากี่ครั้งแล้ว และมันก็หนักขึ้นเรื่อย ๆ โดยที่ข้าปกป้องเจ้าไม่ได้” ตะวันฉายพยายามไม่คิดถึงภาพความเจ็บปวดทรมานที่นางได้รับ

“ข้าไม่ต้องการการปกป้อง ข้าต้องการความรักเท่านั้น” คำยืนยันยังคงหนักแน่นเช่นเดิม

“ผู้ชายที่ไม่สามารถปกป้องหญิงที่รักได้ ก็ไม่สมควรจะรักนางต่อไป” เสียงเขาอ่อนลง แต่แววตาเปล่งประกายจ้าด้วยความโกรธแค้นตัวเอง

“เราพูดกันเรื่องนี้หลายครั้งแล้ว” นางพยายามจะจบเรื่องที่ไม่มีวันจบด้วยเสียงเศร้าสร้อย

“และทำไมเจ้าไม่เชื่อข้าสักครั้ง” อีกฝ่ายไม่ยอม

“ท่านทำเพราะรักข้า” เมื่อไม่สามารถเปลี่ยนเรื่องได้ นางจึงต้องใช้คำพูดเดิม ๆ ที่ใช้ได้ผลทุกครั้งในทุกทีที่มีเรื่องถกเถียงเช่นนี้ แต่มันใช้ไม่ได้สำหรับครั้งนี้

“รัชนี ข้าไม่…รัก...เจ้าแล้ว” เขาแทบจะกัดลิ้นตัวเองเมื่อเอ่ยคำพูดว่าไม่รัก

“ไม่จริง”

“ข้ากำลังจะไปจากที่นี่”

“ไม่เชื่อ”

หลังจากเสียงตะโกนลั่นนั้น ความมืดรอบตัวเขายิ่งดูเหมือนจะยิ่งมืดสนิทลง และอย่างช้า ๆ เหมือนมีแรงบีบมหาศาลพยายามบีบอัดเขาให้อยู่ในวงล้อมที่เย็นยะเยือก ตะวันฉายไม่ดิ้นรนหนี ยอมให้โดนโอบล้อมจนเกือบจะขาดอากาศหายใจ แต่ในเวลาที่เขากำลังจะปล่อยจิตสู่ห้วงรัตติกาลอย่างนิรันดร อยู่ ๆ วงล้อมที่บีบอัดก็คลายลงในทันใดพร้อมกับเสียงสะอื้นแผ่วจากความมืด

“ท่านใจร้าย แม้แต่ร่างกายตัวเองยังยอมให้โดนทำร้าย”

“เจ้าก็เหมือนกัน” เขาครางอย่างปวดร้าวใจเช่นกัน

“ตะวันฉาย...โปรดบอกข้าอีกครั้งว่าไม่รักรัชนีคนนี้อีกแล้ว...แล้วข้าจะไปจากท่านตลอดกาล”

ความเงียบเข้าครอบงำชายหญิงจากสองมิติที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง และใช้เวลานานราวชั่วกัปชั่วกัลป์ที่ฝ่ายชายจะเอ่ยคำพูดที่ทำร้ายหัวใจเขาไม่ยิ่งหย่อนไปกว่านาง

“ข้าไม่รักเจ้าแล้ว”

“ตะวันฉาย”

ราวกับดอกไม้ทั้งโลกได้เหี่ยวเฉาลงด้วยความร้อนแรงอย่างที่สุด ความสุขสดชื่นโดนทำลายลงย่อยยับ เหลือไว้เพียงซากไหม้เกรียมของสิ่งที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นความหวัง และกำลังใจ

“ไปเถิดรัชนี ไปจากข้าอย่างที่เจ้าบอก จากไปตลอดกาล”

เขาหันหลังเดินกลับ ปวดหนึบที่หัวใจจนอยากร้องครวญคราง ความกล้าแกร่งร้องแรงแห่งสายเลือดแสงตะวันไม่อาจช่วยให้เขาเข้มแข็งได้ในเรื่องความรัก

“ทำไมท่านถึงเป็นเช่นนี้ ทำไมถึงยอมแพ้ง่าย ๆ คนโลเล คนไร้สัจจะ” เสียงนางแหบแห้ง และขาดหายเป็นห้วง ๆ ด้วยก้อนสะอื้นที่จุกแน่นอก

ตะวันฉายหลับตาลง สูดลมหายใจเข้าลึก ก่อนจะหันกลับไปยังความมืดที่นางซ่อนเร้นกายอยู่

“ให้ข้าเห็นร่างของเจ้าได้ไหมรัชนี”

“ท่านบอกให้ข้าไป แล้วยังจะอยากเห็นข้าไปทำไม”

“เพราะเจ้ากล่าวหาว่าข้าไร้สัจจะ ทั้ง ๆ ที่สิ่งที่ข้าทำตอนนี้คือการรักษาสัจจะของเรา”

“อ้อ อย่างนั้นหรือ” นางประชดประชัน

“เราเคยสัญญากันไว้ว่าจะไม่ทำร้ายกันและกัน เจ้าจำได้ไหมรัชนี แต่ตอนนี้ดูสิ่งที่ข้าทำกับเจ้าซิ”

โดยไม่รู้ตัว ลำแสงสีนวลได้สาดเข้าไปสู่ความมืดที่นางแห่งรัตติกาลเร้นกายอยู่ แสงสว่างนั้นจับร่างอรชรในอาภรณ์ดำสนิทที่ขับให้ผิวขาวนวลยิ่งดูผุดผ่องเปล่งประกาย วงหน้ารูปหัวใจประกอบไปด้วยเครื่องหน้างามพริ้มเพราจนเขาแทบไม่อยากถอนสายตาจากไป ผมนางดำสลวยราวขนนกกาน้ำ ยาวสยายคลุมลงมาถึงสะโพกมน ถันอวบอิ่มทั้งสองข้างกระเพื่อมไหวขึ้นลงจนเห็นชัดตามแรงสะท้อนของหัวใจที่กำลังเต้นไม่เป็นส่ำเพราะความตื่นตกใจ

“อย่า”

นางร้องห้าม พยายามจะถอยหนีเข้าไปในความมืดเบื้องหลัง แต่ยังช้ากว่าอีกฝ่ายที่เข้ามาประชิด และคว้าจับข้อมือเล็กแบบบางไว้แน่น

“รัชนี” เขาร้องครางเมื่อเห็นนางเต็มตา นวลเนื้อส่วนที่ไม่สามารถปกปิดได้ด้วยอาภรณ์เป็นรอยแตกยาวเหมือนโดนหวดด้วยแส้คม

“ท่านมันขี้ขลาด” ตวาดใส่ด้วยหน้าที่เนืองนองไปด้วยน้ำตา พยายามบิดมือให้หลุดพ้นจากการเกาะกุม “อย่ามาอ้างสัญญาที่ท่านตีความแต่เพียงฝ่ายเดียว ข้าไม่ได้โดนท่านทำร้ายไม่ว่าจะโดยตรงหรือโดยอ้อม มันเป็นความต้องการของข้าเอง”

“ร่างกายที่แตกยับเช่นนี้ เจ้ายังคิดว่าไม่ใช่เพราะข้าอีกหรือ”

“ไม่ใช่เพราะท่าน อย่าโทษตัวเอง”

ภาพนางที่มีน้ำตานองหน้า ทำให้ความโกรธที่คุกรุ่นอยู่ปะทุเป็นพลังร้อนแรงออกมา อย่างลืมตัวตะวันฉายยิ่งออกแรงบีบข้อมือของนางหนักขึ้น

“ตะวันฉาย ข้าเจ็บ”

“นี่ไง ข้าทำผิดสัญญา ข้าทำให้เจ้าเจ็บ เพราะฉะนั้นเจ้าควรไปจากข้าได้แล้ว” เขาเหมือนคนคุ้มคลั่ง หลากหลายอารมณ์ผสมปนเปจนเป็นพิษร้าย

“ข้าจะไปเพื่อความสบายใจของท่าน แต่เพียงแค่ครั้งนี้เท่านั้น” รัชนีสะบัดมืออย่างแรงให้หลุดพ้นจากการเกาะกุม แม้นจะเจ็บช้ำแต่นางไม่เคยเปลี่ยนใจ ไม่เคยคลอนแคลนกับพายุใหญ่ลูกแล้วลูกเล่าที่กระหน่ำลงมาบน ความรักที่ตีบตันทางไปเช่นนี้

“รัชนี” ตะวันฉายตะโกนลั่นอย่างสุดจะอดกลั้นต่อไป ความดื้อดึงนั้นทำให้เขาโกรธเคืองที่นางไม่ยอมเข้าใจ

“โกรธหรือ คนที่ควรจะโกรธคือข้ามากกว่าท่าน” แม้นน้ำเสียงนางจะเย็นชา ตัดพ้อต่อว่าเขา แต่แววตากลับไม่เป็นเช่นนั้น ดวงตาคมหวานแวววาวยังคงส่งความรักมาให้อย่างไม่เสื่อมคลาย

แล้วเพียงชั่วอึดใจที่ตาต่อตาสบกันอีกครั้ง ตะวันฉายก็พ่ายแพ้แก่หัวใจตนเอง พ่ายแพ้แก่ราตรีที่ทำให้เขารัญจวนใจตลอดมา ความตั้งใจที่จะจบทุกอย่างให้สิ้นในค่ำคืนนี้ กลับกลายเป็นตรงกันข้าม ยิ่งดำเนินทุกอย่างต่อไปไม่จบสิ้น

“รัชนี ข้าแพ้เจ้าแล้ว ข้าแพ้แล้ว” เขาร้องอย่างสิ้นความยึดเหนี่ยวใด ๆ เวลานี้สิ่งเดียวที่ต้องการคือได้รักผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้า

“ไม่มีคำว่าแพ้หรือชนะ ในความรัก”

“เราอาจจะต้องสิ้นสลายเพราะรักครั้งนี้”

“ข้ายอม”

“เจ้าจะต้องทรมานมากนะรัชนี”

“ข้าทรมานมากกว่าถ้าไม่มีท่าน”

สิ้นคำนาง ตะวันฉายตวัดร่างงามที่เขาถวิลหาทุกค่ำคืนเข้ามาอยู่ในอ้อมกอดทันที รัดไว้แนบแน่นด้วยลำแขนแกร่งกำยำเหมือนกลัวจะหนีหายไปโดยไม่ร่ำลา ก่อนจะก้มหน้าลงไปหาริมฝีปากอิ่มที่เผยอออกน้อย ๆ เพื่อรอรับจุมพิตแห่งตะวันที่แสนเร่าร้อนของเขา

ริมฝีปากนางนุ่มนิ่มหากแต่เย็นฉ่ำ เช่นเดียวกับผิวกายผ่อง ทว่ามิอาจลดทอนความร้อนแรงจากร่างกายของเขาลงได้ สัมผัสเย็นสบายกลับยิ่งกระพือให้เขาร้อนระอุ ยิ่งทำให้อยากเบียดชิด เคล้าเคลียกับความเย็นชื่นใจนั้น

ความแตกต่างไม่ใช่อุปสรรคอีกต่อไป

หรือแม้นแต่ความตายก็ไม่ใช่อุปสรรคอีกแล้ว

ในเมื่อเขาตัดสินใจที่จะรักนางต่อไป ทำให้นางยังมีตัวตนอยู่ได้ ตะวันฉายก็พอใจกับราตรีรัญจวนครั้งสุดท้ายนี้

“ข้าขอให้ท่านคิดว่าคืนนี้เป็นคืนวิวาห์ของเรา”

นางอ้อนวอนอย่างที่ไม่เคยเอ่ยปากมาก่อน เขาเห็นใบหน้าที่แดงก่ำด้วยความอุธัจ และลังเลเพียงชั่วครู่ ร่างงามก็ขยับกระแซะเข้ามาชิดเขาอีก จงใจเสียดสีเนื้อตัวผ่านอาภรณ์บางเบาที่ขวางกั้น จนเขาแทบจะคุมอารมณ์ไม่อยู่

“คืนนี้จะเป็นคืนวิวาห์ของเราจริง ๆ ถ้าเจ้าต้องการ”

“วิวาห์ที่ไม่มีใครยอมรับ” เสียงนางแม้จะเรียบเฉย แต่ก็เจือความขมขื่นไว้อย่างปกปิดไม่ได้

“แค่เพียงเราสองคนยอมรับก็พอแล้ว” เขาปลอบใจ กอดนางไว้แน่นพร้อมกับกระซิบข้างหู “รัชนี เจ้ายินยอมรับข้าเป็นสามีหรือไม่”

รัชนีตอบรับคำขอนั้นด้วยจุมพิตหวาน เพียงแค่นี้ก็เพียงพอแล้ว เพียงแค่หัวใจรักก็เพียงพอแล้ว

“ไปกับข้า” ตะวันฉายยิ้มบอก

“ที่ใด”

“บ้านของเรา”

เขาจับจูงมือเล็ก ๆ นุ่มนิ่มของนางไปในความมืด แม้นจะไม่ชำนาญเส้นทางในยามราตรี แต่ก็จดจำทิศทางที่ตั้ง ‘บ้านของเรา’ ที่เขาสร้างไว้เมื่อหลายปีก่อนได้แม่นยำ

ระยะทางสำหรับมนุษย์ธรรมดาอาจจะยาวไกลเกินเดินทางถึงได้เพียงชั่วยามเดียวเช่นสายเลือดแห่งทิวา และราตรีของเขาและนาง ตะวันฉายพาหญิงคนรักที่ได้ยอมรับเป็นภริยาเขาแล้วมาสู่บ้านปีกไม้หลังย่อมที่ตั้งอยู่บนเนินเขาสูงลิ่ว บ้านที่สร้างด้วยรักรายล้อมไปด้วยต้นราตรีที่กำลังแข่งกันออกดอกขาวกระจ่างพร้อมส่งกลิ่นหอมตลบอบอวลไปทั่ว

“สวยเหลือเกิน ตะวันฉาย”

“ข้าสร้างไว้ให้เจ้า”

“บ้านของเรา”

รัชนีพึมพำอย่างเป็นสุข รีบเดินเข้าไปสำรวจภายในบ้านที่ตบแต่งไว้สวยงามจนได้แต่ยืนนิ่งตะลึงงันอยู่กลางห้อง

“ชอบไหม” เสียงกระซิบถามที่ข้างหูจากร่างสูงใหญ่ที่ตามเข้ามายืนประกบอยู่เบื้องหลัง

“ชอบมาก” ตื่นเต้นยินดีจนไม่ทันรับรู้ถึงความร้อนที่เริ่มลดลงเรื่อย ๆ จากร่างกายของอีกฝ่าย

“เราจะอยู่ด้วยกันที่นี่ตลอดไป” เขาบอกด้วยเสียงที่พยายามทำให้ร่าเริง

“จะไม่มีใครตามเรามาได้ใช่ไหมตะวันฉาย”

“แน่นอนเมื่อผ่านราตรีนี้ไปจะไม่มีใครพาเจ้ากลับไปทรมานได้อีก”

รัชนีเอนหลังพิงร่างสูงตระหง่านราวกำแพงแข็งแกร่งที่คอยปกป้องภัยร้ายมิให้กล้ำกรายอย่างเป็นสุข นางรู้สึกอบอุ่นและมั่นคง แม้นรู้ว่าคำพูดนั้นคงเป็นได้แค่คำปลอบประโลม ไม่มีทางใดเลยที่จะหนีพ้นอำนาจแห่งรัตติกาลนอกจากว่านางต้องหลบลี้จากราตรีไปยังที่ที่มีแต่แสงสว่าง ซึ่งคนจากความมืดเช่นนางไม่มีทางทานทนอยู่ได้นาน เพราะพลังในตัวจะโดนเผาผลาญไปเรื่อย ๆ จนท้ายสุดแล้วต้องสิ้นสลายไปตลอดกาลถ้ายังฝืนธรรมชาติแห่งตน

“ข้ารักท่าน”

นางหันกลับไปกอดร่างสูงแนบแน่น ไม่มีอะไรดีไปกว่าการใช้เวลาเท่าที่เหลืออยู่อย่างคุ้มค่าที่สุด รัชนีรู้ดีว่าเวลาที่จะมีชีวิตรอดของตะวันฉายและตัวเองเหลืออีกไม่มากแล้ว

อย่ารักเขานะลูก เจ้าจะตายถ้าอยู่ด้วยกัน

เสียงของท่านแม่ดังแว่วเข้ามา เป็นที่รู้กันว่าการใกล้กันระหว่างสายเลือดของตะวันและจันทราคือการฆ่ากัน ยิ่งสัมผัสล้ำลึกเท่าไหร่ยิ่งเหมือนหยิบยื่นความตายให้กันเร็วขึ้น แต่นางไม่อาจหักห้ามใจไม่ให้รักเขาได้ แม้นจะโดนกีดกันจากครอบครัวเพียงใดก็ตาม

“ตะวันฉาย จำได้ไหมที่เราพบกันครั้งแรก”

“จำได้ เจ้าบุกรุกเข้ามาในวิหารสุริยะเทพเพื่อจะหยุดตะวันไม่ให้ขึ้นในวันนั้น”

“โง่นะ ที่พยายามรั้นทำในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้”

“ไม่หรอก เพราะสิ่งที่เจ้าทำคือการพยายามช่วยชีวิตคน”

“แม่หนูน้อยกำพร้าพ่อคนนั้นมีลิขิตว่าจะต้องตายใช้เช้าวันรุ่งขึ้น ช่างน่าสงสารเหลือเกิน ต้องออกไปทำงานจนค่ำมืดเพื่อแลกกับอาหารไปให้แม่ที่ป่วยเป็นอัมพาต แต่โดนงูพิษกัดก่อนที่ถึงบ้านไม่กี่ก้าว ได้แต่นอนสิ้นสติ ไม่มีใครรู้ใครเห็น ข้ามาพบเข้าก็ใกล้เวลาวันใหม่เต็มทีแล้ว ข้าถึงต้องแอบเข้าวิหารไปกระทำการเช่นนั้น เพื่อยื้อเวลาให้หมอที่ข้าตามมาช่วยเด็กน้อยทัน”

“แล้วเจ้าก็โดนข้าจับได้”

“และท่านก็ปล่อยข้าไปเมื่อรู้ความจริง”

“แต่เราก็ไม่สามารถช่วยชีวิตเด็กน้อยนั้นได้”

“ชีวิตลิขิตไว้แล้ว ข้าโง่เองที่พยายามฝืนลิขิต แม้ไม่อาจช่วยชีวิตแม่หนูน้อยได้ แต่ข้าก็ดีใจที่ได้พบกับท่าน สายเลือดแห่งตะวันที่ยอมถูกลงโทษเพราะปล่อยคนจากรัตติกาลคนนี้ไป”

“เจ้าเป็นผู้หญิงที่งดงามทั้งกายและใจ เป็นรักแรกพบที่ไม่คิดว่าจะเกิดขึ้นจริงในชีวิตข้า”

“ข้าก็เช่นกัน รักแรกและรักเดียวตลอดไป”

ไม่มีคำพูดใดต้องเอ่ยกันอีก คำรักส่งสะท้อนออกมาไม่รู้จักจบทางสายตาของทั้งสอง ตะวันฉายไม่อดกลั้นอีกแล้ว เขาช้อนอุ้มร่างงามระหงขึ้นมาอยู่ในวงแขนกว้าง พาเดินลิ่วไปยังเตียงนอนใหญ่ที่ตั้งอยู่ในห้องด้านในสุด ค่ำคืนวิวาห์ที่ไร้ฤกษ์ส่งตัว มีแต่ฤกษ์ที่สองใจยินยอมร่วมเป็นหนึ่งเดียว

“ตะวันฉาย” เสียงนางเริ่มสั่นสะท้านเมื่อแผ่นหลังแตะลงบนฟูกนิ่ม

“ไม่ต้องกลัว ข้าจะพยายามรักเจ้าอย่างนิ่มนวลที่สุด” เขาตามติดลงมานอนเคียงข้าง กระซิบบอกก่อนจะจูบปลอบขวัญที่แก้มบางใส แต่พอได้สูดกลิ่นหอมของเนื้อสาว อารมณ์ที่โดนกักกดมาเนิ่นนานก็เริ่มพลุ่งพล่าน จากจูบแผ่ว ๆ กลายเป็นพรมจูบไปทั่วหน้า และมาหยุดลงที่ริมฝีปากอิ่ม

รัชนีปล่อยกายใจไปกับสัมผัสหวามของผู้เป็นที่รัก ตอบสนองลิ้นอุ่น ๆ ที่ชอนไชเข้ามาสำรวจอย่างเต็มใจ และจากเป็นแค่ฝ่ายรับในตอนแรก ก็เริ่มกล้าพอที่จะใช้ลิ้นเล็ก ๆ ของตัวเองเข้าไปสำรวจในปากของอีกฝ่ายบ้าง จนทำให้เขาต้องร้องครวญออกมาอย่างพึงพอใจ

“ตอบสนองเช่นนี้ ข้าคงนุ่มนวลกับเจ้าไม่ได้นะ” เขาหยุดจุมพิตเพื่อจ้องนางตรง ๆ

“ข้าไม่ต้องการความนุ่มนวล ข้าต้องการทุกอย่างที่เป็นท่าน”

รัชนีสบสายตาของตะวันฉายที่เร่าร้อนขึ้นทันทีด้วยประกายแห่งเพลิงพิศวาส มันรุนแรงจนนางต้องเมินหลบด้วยหัวใจที่เต้นระรัว แล้วเกือบจะกรีดร้องออกมาด้วยความตกใจเมื่ออาภรณ์โดนเขาปลดเปลื้องออกไปอย่างไม่ทันรู้ตัว และชักหวาดหวั่นกับอารมณ์สวาทที่ไม่อาจระงับให้อ่อนโยนได้ต่อไปของอีกฝ่าย

อากาศที่เยือกเย็นทำให้ร่างเปลือยเปล่าสั่นสะท้าน แต่เพียงไม่นานกลับร้อนซู่เมื่ออกอวบเต่งตึงทั้งคู่ถูกฝ่ามือร้อนผ่าวคลึงเคล้นไปมาหนักหน่วง แต่ไม่ได้ทำให้เจ็บปวด สิ่งที่รู้สึกคือความเสียวซ่านจนนางต้องกัดปากตัวเองไว้แน่นเพื่อไม่ให้ครวญครางออกมา หากในที่สุดก็ไม่อาจทานทนเก็บกั้นเสียงไว้ได้เมื่อยอดอกถูกริมฝีปากร้อนจัดครอบลงมาพร้อมกับดูดดึงจนเป็นไตแข็งชูชัน และเหมือนรสชาติของนางจะถูกปากเป็นอย่างยิ่ง เขายิ่งดูดเม้มเลียไล้ยอดถันสีชมพูจัดอย่างหิวกระหาย จากยอดหนึ่งไปยอดหนึ่งโดยมือยังคงบีบเคล้นเต้าทั้งสองไม่หยุด

ใจของรัชนี...กำลังจะขาด

ความรู้สึกเสียวกระสันที่ไม่เคยรู้จักมาก่อนแล่นวาบลงไปที่ท้องน้อย สู่จุดลี้ลับที่เริ่มร้อนและฉ่ำเยิ้ม รอคอยบางสิ่งอย่างแสนทรมาน

“ตะวันฉาย ทำไมตัวข้าทรมานเช่นนี้”

“ตรงไหนที่เจ้าทรมาน” ตะวันฉายเงยหน้าขึ้นมาถาม แม้นจะยิ้มเยือกเย็นแต่สีหน้าก็แฝงไว้ด้วยความทรมานไม่ต่างกัน

นางไม่ตอบ บิดตัวดิ้นรน และส่ายหน้าไปมาจนผมยาวสลวยแผ่สยายไปทั่วที่นอน เกิดเป็นภาพแสนงดงามและในขณะเดียวกันก็ยั่วยุไฟสวาทในตัวเขาที่กำลังโหมลุกอยู่แล้วให้ยิ่งกระพือความร้อนแรง ตะวันฉายรีบผละร่างออกมายืนที่ข้างเตียงแล้วกระชากเสื้อผ้าทุกชิ้นบนร่างทิ้งไปอย่างรวดเร็ว ก่อนจะกลับลงไปเคล้าเคลียนางอีกครั้ง

“ตรงนี้ใช่ไหมที่เจ้าทรมาน” เขากระซิบถาม ดันขานางให้แยกออกกว้างเพื่อเปิดทางให้เขาบดเบียดส่วนที่กำลังผงาดแข็งกับต้นทางของถ้ำสวาทที่กำลังร้อนระอุและชุ่มฉ่ำ

นางร้องครางเสียงแหบกระเส่ากอดรอบคอเขาไว้แน่น ยิ่งเมื่อเขาจงใจขยับตัวเสียดสีส่วนกลางลำตัวอย่างช้า ๆ ยิ่งทำให้ต้องผวากอดเขาแนบแน่นขึ้นอีก

“อา...”

“กอดข้าไว้ยอดรัก เราจะล่องลอยไปแตะขอบฟ้าด้วยกัน”

ตะวันฉายยกตัวขึ้น จรดจ่อความแข็งแกร่งที่ปากทางอ่อนนุ่มที่พรั่งพร้อมรอรับอยู่แล้ว โดยไม่รั้งรอ ด้วยการขยับสะโพกเพียงครั้งเดียวเขาได้ฝั่งตัวเองเข้าไปในความอบอุ่นที่คับแน่นเพราะไม่เคยมีสิ่งใดล่วงล้ำ ช่องทางรักนั้นตอดรัดเขาด้วยจังหวะธรรมชาติที่ทำให้ต้องครวญครางอย่างเสียวกระสันไม่หยุดจนเกือบควบคุมตัวเองไม่อยู่ แต่เขาก็สามารถควบคุมมันไว้ได้เพราะความตั้งใจมั่นที่จับจูงนางไปสู่ขอบฟ้าแสนงดงาม และทำให้นางจดจำราตรีนี้ไว้ตลอดไป

“ตะวันฉาย”

นางกรีดเสียงร้องเรียกชื่อเขาอย่างเจ็บปวดเมื่อโดนกระแทกกระทั้นจากความเครียดแข็งใหญ่โตจนพยายามถอยหนี แต่เขาไม่ยอม ตรึงนางไว้ด้วยกายาแกร่งเต็มไปด้วยมัดกล้าม

“ไม่เป็นไร ไม่เจ็บอีกแล้ว”จุมพิตปลอบขวัญที่ริมฝีปากอิ่ม มือทั้งสองเริ่มการคลึงเคล้นอกอวบหยุ่นอีกครั้งสะกิดดึงยอดอกสีหวานอย่างกระตุ้นเร้าเต็มที่ ไม่นานเสียงครวญครางด้วยความเสียวซ่านก็ดังสะท้อนไปทั่วห้อง การดิ้นรนหนีเปลี่ยนเป็นการตอบรับอย่างเต็มหัวใจ

“ข้ารักท่านตะวันฉาย” นางผวากอดร่างแกร่งแน่นเมื่อความสุขหลั่งล้นออกมาไม่ขาดสาย ตัวเบาหวิวราวลอยล่องไปไกลถึงขอบฟ้าอย่างที่เขาบอกไว้

“ข้าก็รักเจ้ารัชนี อย่าลืมคืนนี้นะที่รัก” เขากอดตอบ กดสะโพกตัวเองลงไปหาร่างนางอย่างหนักหน่วงเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะตามติดไปแตะขอบฟ้าที่เจิดจ้าด้วยกัน

“โอ้ ข้าเห็นขอบฟ้าอย่างที่ท่านบอก”

“เจ้าชอบไหม”

นางพยักหน้ารับอย่างเอียงอาย ก้มหน้างุดกับอกกว้าง

“ถ้าชอบก็ไปด้วยกันอีกครั้ง และอีกครั้ง”

รัชนีเงยหน้าขึ้นทันควัน แล้วดวงตาก็ต้องเบิกกว้างเมื่อรู้สึกถึงความแข็งแกร่งที่ยังไม่ได้ถอดถอนออกไปจากตัวนางเริ่มขยับเขยื้อนอีก

ตะวันฉายกลับตัวลงไปนอนอยู่ข้างล่างแทน ดันร่างงามที่แม้นมีร่องรอยการถูกทำร้ายกระจายอยู่ทั่วก็ยังงดงามไม่สร่างให้ลุกขึ้นนั่งคร่อมความตื่นตัวที่ยิ่งขยายใหญ่และแข็งแกร่งกว่าเดิมของเขาไว้

“ควบคุมมัน มันเป็นของเจ้าแล้ว”

“ทำอย่างไร” นางข่มความอายถามด้วยเสียงแผ่วหวิว หน้าตาเนื้อตัวแดงก่ำไปหมด

“อย่างนี้ไง” เขาจับเอวนาง แล้วยกตัวขึ้นลงเพื่อสอนการควบคุมที่แสนเร้าใจให้ จุดที่กำลังสอดประสานร้อนวาบ หวามในอารมณ์จนกายสะท้านในทุกครั้งที่โยกขยับ จนถึงขีดสุดจะทานทน นางได้ปล่อยกายขยับโยกลึกล้ำ ถี่กระชั้นจนร่างแกร่งที่นอนอยู่ข้างใต้กระตุกวูบ ปลดปล่อยสายธารแห่งรักเนืองนอง ส่วนตัวนางเองก็สิ้นเรี่ยวแรงล้มทับนิ่งบนตัวเขา

“อีกครั้งนะยอดรัก อีกครั้ง”

เขาจับร่างอ่อนเปลี้ยคว่ำลงบนที่นอน จูบไล้ไล่จากแผ่นหลังขาวเนียนที่มีร่องรอยการถูกทำร้ายอย่างไม่เดียดฉันท์ ต่ำลงมาจนถึงกลีบดอกไม้ที่เผยออ้าแดงจัดจากการถูกชื่นชมต่อเนื่อง ลิ้นร้อน ๆ ของเขาปาดเลียเพื่อบรรเทาความชอกช้ำ พร้อมทั้งมอบความสุขแห่งรสรักครั้งสุดท้าย

“อา...พอเถิด ข้าไม่ไหวแล้ว” นางครวญครางเสียงเบาแสนเบา ไร้สิ้นเรี่ยวแรงแม้นจะขยับปลายนิ้ว

“ครั้งสุดท้ายแล้วยอดรัก ขอให้ข้าได้รักเจ้าให้นานที่สุด” เขาเงยหน้าจากกลีบไม้งามที่เริ่มมีน้ำหวานฉ่ำเยิ้มออกมาอีก ยิ้มอย่างพอใจก่อนจะก้มลงไปละเลียดชิมความหอมหวานนั้นอย่างช้า ๆ คราวนี้เขาตั้งใจให้ช่วงเวลาแห่งรักครั้งนี้ดำเนินไปจนรุ่งเช้า เพราะเมื่อดวงอาทิตย์โผล่พ้นฟ้าเมื่อไหร่เวลาของเขาก็คงหมดลง

ใกล้รุ่งสางเต็มที

ตะวันฉายปลดปล่อยตัวเองอีกครั้ง...เป็นครั้งสุดท้าย

“ตะวันฉาย ท่านจะไปไหน”

เสียงเรียกเขาเบา ๆ จากร่างอรชรเปล่าเปลือยที่พยายามยันตัวลุกขึ้นนั่งเมื่อเห็นผู้เป็นสามีผละจากเตียงไปแต่งตัว

“เจ้านอนต่อเถิด ข้าจะไปวิหารแห่งตะวัน”

“เรากำลังจะสิ้นสลายไม่ใช่หรือ ทำไมข้าถึงยังอยู่”

“เรื่องเล่าที่ได้ยินมาคงไม่ใช่ความจริง”

“ข้าดีใจถ้าเป็นเช่นนั้น ท่านไปแล้วกลับมาเร็ว ๆ นะ ข้าจะรอ”

ตะวันฉายก้มลงไปจุมพิตริมฝีปากแดงระเรื่ออย่างดูดดื่ม ดึงนางเข้ามากอดแนบอกแน่น ดวงตาแห่งตะวันแดงก่ำแห้งผาก อยากจะยื้อเวลาออกไปอีก แต่คงเป็นไปไม่ได้ เขาต้องรีบไปเพื่อไม่ให้นางต้องเจ็บปวดกับการจากลา ให้นางเข้าใจว่าทิวากับราตรีนั้นอยู่ด้วยกันได้

“ข้าจะรีบกลับมา ยอดรัก”

เขากระซิบบอกเสียงแหบพร่า ก่อนจะจำใจถอนตัวเดินออกจากห้องไป ชะงักมือที่กำลังจะเปิดประตูที่ออกสู่แสงตะวัน

การร่วมรักจากค่ำคืนจนเกือบรุ่งเมื่อครู่คือการสละพลังทั้งหมดของเขาให้กับนาง

ทำให้นางสามารถดำรงร่างอยู่ต่อไปได้แม้ในยามทิวาวาร เมื่อครั้งก่อนไม่สามารถช่วยชีวิตเด็กน้อยคนนั้นไว้ได้ แต่ครั้งนี้เขาจะทำทุกหนทางเพื่อช่วยชีวิตรัชนี

ตะวันฉายหลับตาลง คิดถึงราตรีรัญจวนที่ผ่านมา เสน่หาที่มิรู้ลืม
และเขาแน่ใจว่านางคงไม่ลืมเช่นกัน

เพราะนางทำให้เขาเห็นค่าของการให้

รัก...คือการให้

เป็นสุขล้ำเมื่อได้ให้คนที่จิตใจงามเช่นนางมีชีวิตอยู่ต่อไป
ส่วนเขาหลังจากเปิดประตูบานนี้ สิ่งที่รอคอยอยู่เบื้องนอกคงทำให้เขาสิ้นสลายไปอย่างรวดเร็ว

ไม่อาจมีตะวันอยู่เคียงข้างจันทราได้

คงเหลือแต่ราตรีแห่งรักแค่ในความทรงจำ

“ลาก่อนรัชนีที่รัก”

เขาเปิดประตูสู่ลำแสงแรกของอาทิตย์ พร้อมรับกับการสิ้นสูญไปอย่างสงบ แต่กลับรู้สึกถึงพลังแห่งชีวิตที่กล้าแข็งแทนที่ ตะวันฉายยืนนิ่งงงงัน และพอรู้สึกตัวว่าเกิดอะไรขึ้นก็รีบหันหลังวิ่งตรงกลับไปยังห้องที่เพิ่งผละมาอย่างไม่คิดชีวิต

แต่สิ่งที่พบคือความว่างเปล่า และสายลมเอื่อยเย็นที่มาล้อมรอบตัว...คล้ายดังการกอดลาครั้งสุดท้าย

“ข้าไม่มีทางปล่อยให้คนรักตายต่อหน้าเด็ดขาด”

เขาได้ยินเสียงกระซิบของนางจากที่ไกลแสนไกล ที่ซึ่งเขาได้แต่ส่งความรักไปให้พร้อมกับสายลม


จบ




 

Create Date : 14 มิถุนายน 2553   
Last Update : 14 มิถุนายน 2553 10:46:42 น.   
Counter : 405 Pageviews.  



Niree
 
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




[Add Niree's blog to your web]

MY VIP Friend


 
 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com