All Blog
ตอนที่ 13 +++ ข้อแลกเปลี่ยนของผู้เป็นพ่อ +++

+++++ต่อเรื่อง+++++






ชายหนุ่มสองคนกำลังนอนคุยกันอยู่บนเตียงที่ปูด้วยผ้าปูที่นอนสีขาว ภายใต้ผ้าห่มสีเขียว
ที่ห่มไว้เพียงครึ่งท่อนลำตัวด้านล่าง ดวงตาสองคู่จ้องมองไปยังฝ้าเพดานที่กำลังระยิบระยับ
ด้วยเงาแสงสะท้อนจากโคมไฟกะพริบข้างหัวเตียง


“ตื่นเต้นเหรอโต้ง พรุ่งนี้ถ่ายเอ็มวีแล้วนะ ยังไม่รู้ว่าใครเป็นนางเอกเลย” มิวชวนคุย


“ไม่รู้ดิ ไม่รู้ว่ามันตื่นเต้นเรื่องอะไรกันแน่ ความรู้สึกประหลาดยังไงไม่รู้ ราวกับว่า...”


“อะไรหรอ”


“ไม่รู้เหมือนกัน ยังกับว่าเรื่องดีๆกำลังจะเกิดขึ้น แต่แล้วก็เหมือนกับว่า บางอย่างจะหลุดลอยไป”
สีหน้าของชายหนุ่มไม่สู้ดี ดวงตาสีน้ำตาลสะท้อนความหวาดหวั่นอย่างน่ากลัว


“ไม่มีอะไรมั้งโต้ง อย่าคิดมากน่า โต้งยังมีเราอยู่นะ” มิวพยายามให้กำลังใจโต้ง


“อือ.....” โต้งพูดสั้นๆ มือซ้ายของตนดึงมือขวาของมิวมากอดไว้ตรงหน้าอก แล้วพยายามหลับตา
ในใจของนักร้องหนุ่มที่นอนอยู่เคียงข้าง รู้สึกวิตกกังวลไม่แพ้กัน พรุ่งนี้แล้วสินะ ที่ป๊าจะมาหา
พรุ่งนี้แล้ว ที่มิวจะต้องคุยกับป๊าเรื่องผ่าตัด ป๊าเป็นคนฉลาด คงโกหกได้ไม่นาน
นักร้องนำวงออกัสต์พยายามคิดหาคำพูดที่จะใช้โน้มนำบิดาของตนให้ยอมเซ็นใบยินยอม


“แล้วทำไมมิวยังไม่หลับอีกล่ะ พรุ่งนี้มิวก็ต้องทำงานเหมือนกันนี่นา”
โต้งเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วงเมื่อเห็นมิวยังนอนไม่หลับ


“เปล่าหรอก แค่มีอะไรให้คิดนิดหน่อยน่ะ โต้งหลับก่อนเหอะ”
นักร้องหนุ่มพยายามฝืนยิ้มให้คนรัก ทั้งๆที่ในใจต้องฝืนเก็บความรู้สึกบางอย่างไว้
โต้งเอื้อมแขนขวาของตนไปหยิบไอพอดของมิวที่วางไว้บนคีย์บอร์ด จากนั้นก็เอาหูฟังมาใส่ไว้
ที่หูซ้ายของตนเองและหูขวาของมิวคนละด้าน แล้วเปิดเลือกเพลง”หลับตา” กล่อมให้ตนเองและ
คนรักของตนหลับไปในที่สุด


สี่นาฬิกาของวันรุ่งขึ้น นักร้องหนุ่มลุกจากที่นอนแต่เช้า มิวเหลียวมองไปทางขวาเห็นชายหนุ่ม
ที่นอนอยู่เคียงข้างยังคงหลับสนิท ค่อยๆลุกจากเตียงช้าๆ แล้วพาร่างโปร่งของตนลงไปชั้นล่าง
เดินไปนั่งที่หน้าเปียโน เปิดขึ้นอย่างเบามือ แล้วเริ่มบรรเลงเพลงคืนอันเป็นนิรันดร์ด้วยทำนองช้า
ทิ้งจังหวะให้ความคิดได้แล่น พยายามไตร่ตรองวิธีพูดที่จะทำให้ป๊าเข้าใจและยอมอนุญาตให้ผ่าตัด


“โต้ง โต้ง ตื่นได้แล้ว ตีห้าแล้วนะ เร็วเข้า ไปอาบน้ำ” มิวปลุกโต้งหลังจากที่ตนอาบน้ำเสร็จ


“เช้าแล้วหรอ มิวอาบน้ำรึยังอะ อาบพร้อมกันเลยปะ” สีหน้าชายหนุ่มเจ้าเล่ห์แต่เช้า


“บ้าอะ ทะลึ่งแต่เช้าเลยนะ ไปเลย ไม่ต้องโอ้เอ้ เราอาบตั้งนานแล้ว”


“โหมิว แล้วไม่ปลุกเราอะ มานอนค้างตั้งหลายครั้ง ยังไม่เคยอาบน้ำกับมิวเลย”


“แน่ะ ยังมาพูดเล่นอีก ดูหน้าสิ จิ้งจอกชัดๆ อ้าว ว่าแล้วยังยิ้มเจ้าเล่ห์” มิวพูดเสร็จก็ลากโต้ง
ลงจากที่นอน แต่เพราะสู้แรงไม่ได้ สุดท้ายนักร้องหนุ่มจึงโดนดึงลงไปนอนกลิ้งบนเตียง ดวงตา
สีน้ำเงินภายใต้ใบหน้างามของมิว ส่องกระทบดวงตาสีน้ำตาลภายใต้ใบหน้าหล่อเหลาของโต้งอย่างแนบชิด
จมูกโด่งของคนด้านล่าง ดุนเบาๆกับจมูกมนของคนที่พึ่งล้มลงมาใส่ เหมือนกับมีคนเอาจมูกของตัวต่อไม้
สองตัวมาชนกัน แววตาประสานของคนทั้งคู่กลับเปล่งประกายอย่างประหลาด ร่างสูงไม่รอช้า ใช้
แขนที่กำยำกว่าของตนโน้มคอของร่างโปร่งด้านบนลงมา ริมฝีปากแนบสนิทอย่างกลมกลืนกลายเป็น
ส่วนเดียวกัน ร่างโปร่งด้านบนหลับตาพริ้ม สองมือของตนยันพื้นที่นอนเอาไว้ เล็บจิกผ้าปูที่นอน
สีขาวและยึดไว้แน่น ร่างนั้นเกร็ง แต่ใจอ่อนระทวยเคลิบเคลิ้มไปกับรสจุมพิตของคนรัก มิวปล่อยให้
อารมณ์โลดแล่นอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะถอนริมฝีปากของตนขึ้นมา แล้วเดินหนีออกไปจากห้อง


“มิว เดี๋ยวดิมิว รอด้วย” โต้งกระวีกระวาดลุกจากที่นอน แล้ววิ่งตามมิวลงบันไดมา


“มิวโกรธที่เรา............เอ่อ........เราขอโทษ” โต้งที่ตามมาทันรีบขอโทษมิวทันที


“เราไม่ได้โกรธโต้งซะหน่อย ก็แค่....เคืองนิดหน่อยที่โต้งแอบเอาเปรียบเราเท่านั้นแหละ”


“ขอโทษคร้าบบบ คราวหน้าเราจะไม่รังแกมิวอีกแล้ว นะ..นะ “ โต้งพยายามยกนิ้วก้อยขอคืนดี
ชายหนุ่มกะพริบตาขึ้นลง แบบปากเล็กน้อย สีหน้ากึ่งเสียใจกึ่งดีใจ ดูเหมือนจะคาดหวังอะไรบางอย่าง


มิวหันมามองใบหน้าสะท้อนความรู้สึกของโต้ง ก่อนจะเผยอยิ้มออกมา
“ยังมาทำหน้าเจ้าเล่ห์อยู่อีก ไปเลย ไปอาบน้ำได้แล้ว” มิวแกล้งปั้นหน้าเคืองใส่


“เกี่ยวก้อยก่อนดิ” โต้งทำสีหน้าร้องขอ ยิ้มใส่มิวด้วยความหวัง


“เล่นอะไรเป็นเด็กๆอะโต้ง” ถึงปากจะบ่น แต่มิวก็ยอมเกี่ยวก้อยกับโต้งโดยดี


“ไปอาบน้ำได้แล้ว เดี๋ยวสาย” มิวไล่โต้งให้รีบไปอาบน้ำโดยไว แต่ก็ยังยิ้มให้


“คร้าบบบบผมมมมม” โต้งยิ้มสวน แล้ววิ่งขึ้นบันไดไปอาบน้ำทันที นักร้องหนุ่มหัวเราะขำ
เล็กน้อย เอามือสัมผัสริมฝีปากตนเองเบาๆ แล้วยิ้มอย่างมีความสุข



หกโมงเช้า รถแท็กซี่สีฟ้าแล่นเข้าไปจอดในลานกว้างของโรงแรมที่ใช้เป็นสถานที่ถ่ายทำ คุณบีเล็ง
โลเกชั่นใกล้เคียงไว้หลายจุดเพื่อถ่ายทำเอ็มวี มิวพาโต้งลงจากรถ ก่อนจะพากันเดินไปหาทีมงานที่คอยอยู่


“เดี๋ยวก่อนมิว นั่นมันรถไอ้เอิร์ธใช่ปะ” โต้งชี้ให้มิวดูรถเก๋งสีดำที่จอดอยู่


“ชัดเลยโต้ง จำได้แม่นเลยล่ะ ก็เกือบตายมาแล้วนี่เนอะ อย่างนี้ก็แปลว่า” มิวทำหน้าอึ้ง


“นางเอกเอ็มวีของเราก็คือ...โดนัทแหงเลย ให้ตายสิ โลกกลมชะมัด อย่างนี้มิวจะหึงมั้ยเนี่ย”


“หึง หึงมากด้วย” มิวแกล้งทำหน้างอนใส่โต้ง


“อะ ไม่ใช่ความผิดของเรานะ เฮ้ย แกล้งงอนนี่มิว นั่น หลุดหัวเราะจริงๆด้วย”


“ก็เปล่า แค่อยากรู้ว่าโต้งจะทำไงถ้าเราหึง เราเชื่อใจโต้งนะ” มิวยิ้มตอบโต้ง


“ขอบคุณนะ” ชายหนุ่มทั้งสองเอ่ยปากพร้อมกัน ต่างมองหน้ากันและกันอยู่อย่างนั้นและยิ้มออกมา





..........







..........








“โต้ง มิว มาแล้วหรอ” เสียงของหญิงสาวตะโกนทักมาแต่ไกล

“โดนัท” โต้งและมิวขานรับพร้อมกัน

“ดีใจจังเลย ไม่คิดมาก่อนว่า จะได้มาเล่นเอ็มวีเพลงของมิว ที่สำคัญ เล่นกับโต้งด้วย”

“ก็ดีเหมือนกัน เล่นกับคนรู้จัก จะได้ไม่เขินเท่าไหร่” โต้งตอบอดีตแฟนสาว

“แล้วมิวจะหึงมั้ยเนี่ย” โดนัทหันมาทางมิว

“เราเชื่อใจโต้ง เราไว้ใจเธอนะโดนัท” มิวตอบสั้นๆ แต่ทั้งโต้งและโดนัทยิ้มออกมา

“จริงดิ แล้วเอิร์ธล่ะ มันมาส่งไม่ใช่หรอ” โต้งเอ่ยถามหลังชะเง้อหาเพื่อนสนิท

“คุยอยู่กับเจ๋งด้านโน้นน่ะ แล้วก็ใครอีกคนนะ ที่เล่นกีตาร์ให้ออกัสต์อะมิว”

“เอ๊กซ์หรอ แล้วเค้าคุยเรื่องอะไรกันล่ะ” นักร้องหนุ่มทำหน้าสงสัย

“ฮ่า ฮ่า ฮ่า” โต้งหลุดหัวเราะออกมา ทำเอามิวและโดนัทแปลกใจ

“ขำอะไรอะโต้ง หรือโต้งรู้ ว่าเค้าคุยกันเรื่องอะไร” มิวยังสงสัยอยู่เหมือนเดิม

“เอาอย่างนี้มิว ตอนนี้ใครจีบหญิงอยู่ล่ะ” โต้งยิ้มถามหน้าบาน

“ก็ไอ้เชี่ยเอ๊กซ์อะดิ ทำไมหรอ”

“แล้วมิวรู้มั้ย ว่าหญิงเค้ามีเพื่อนที่ไหนอีกรึเปล่า”

“จริงด้วย หญิงเค้าเป็นเพื่อนกลุ่มเดียวกับเอิร์ธและเจ๋งนี่เนอะ เคยเห็นสองคนนั้นไปที่บ้านด้วย”

“ถูก ทีนี้รู้รึยัง ว่าพวกนั้นคุยเรื่องอะไรกัน”

“อือ...รู้แล้วล่ะ” มิวยิ้มตอบขำๆเช่นกัน

“พวกผู้ชายน่ะ เชื่อเค้าเลย คุยกันอยู่ได้เรื่องจีบหญิง ไม่ละเอียดอ่อนซักนิด” โดนัทบ่นเบาๆ

“ก็ผู้ชายนี่นา ย่อมอยากรู้วิธีชนะใจผู้หญิงเป็นธรรมดา” โต้งพยายามแก้ตัวแทนเพื่อน

“ทีเมื่อก่อน โต้งไม่เห็นจะสนใจเรื่องพวกนี้เลย” โดนัทย้อนถามโต้ง

“ก็ตอนนั้น เอ่อ.........คือเรา” โต้งอึกอักพูดไม่ออก

“ช่างเถอะ เราเข้าใจ ก็เรื่องรักมันบังคับใจกันไม่ได้นี่เนอะ ไปเถอะโต้ง พี่ๆเค้าเรียกแล้ว”
โดนัทคว้าข้อมือโต้งและพาเดินไปแต่งหน้าทันที ทิ้งให้มิวยืนอยู่ลำพัง
“จริงดิมิว พี่บีให้มาตามแน่ะ เรียกให้ไปแต่งตัวด้านโน้นน่ะ ไปแล้วนะ” โดนัททิ้งท้าย

นักร้องหนุ่มยืนยิ้มให้กับความร่าเริงของหญิงสาวที่แตกต่างจากเมื่อตอนนั้นอย่างลิบลับ
โดนัท ที่ผ่านเหตุการณ์ที่ทำให้ตนเติบโตขึ้น ผ่านคืนอันยาวนานไปได้อย่างสวยงาม
ต่างจากตนเอง ที่ผ่านคืนแบบนั้นมาได้แล้วก็จริง แต่ราตรีที่หมุนกลับมาอีกครั้ง กับยากที่จะผ่าน
ครั้งแรกที่ข้ามผ่านคืนอันเป็นนิรันดร์นั้นมาได้ ก็เพราะกันและกันที่ตนและโต้งมีต่อกัน
เพราะความรักความเข้าใจ ที่น้านีย์กับน้ากรมอบให้ แต่กับป๊า..............มันไม่ง่ายเลยนะ

“อย่าคิดมากสิมิว” นักร้องหนุ่มปลอบใจตัวเอง
“วันนี้เป็นวันที่ดีของนายนะ ทำวันนี้ให้ดีที่สุด” บ่นกับตัวเอง มิวก็เดินไปแต่งตัวอีกด้านหนึ่ง
ของกองถ่าย เห็นเพื่อนๆออกัสต์ พี่อ๊อด คุณเอ และคุณบี ต่างรออยู่แล้ว

นักร้องนำวงออกัสต์ถูกจับแต่งหน้าแต่งตัวที่เต๊นต์อีกหลังหนึ่ง วันนี้ มิวต้องเข้าฉากร้องเพลง
ต้องถ่ายหลายฉาก หลายโลเกชั่น แต่ได้เจอกับโต้งแค่ฉากเดียว แต่ก็ได้เข้าฉากกับสมาชิก
ออกัสต์อยู่หลายฉากเหมือนกัน ทั้งในส่วนเอ็มวี และถ่ายภาพนิ่งด้วย

ในขณะที่โต้งและโดนัท ก็ถ่ายหลายฉากเช่นกัน แต่มักจะได้เข้าฉากร่วมกันตลอด มิวมารู้จาก
คุณบีว่า เพราะเคยได้ยินมาว่า โต้งกับโดนัทเคยเป็นแฟนกันมาก่อน จึงได้เลือกโดนัทมา จะได้
เคลียร์ข่าวเรื่องโต้งกับมิวได้ง่าย

“แล้วคุณบีรู้เรื่องโดนัทกับโต้งได้ไงล่ะครับ” มิวหยั่งเชิงถาม

“โดนัทเค้าบอกน่ะ ที่จริง เรารู้จักโดนัทมาพักใหญ่แล้วล่ะ ตั้งแต่ก่อนปีใหม่อีก”

“คุณบีนี่ ไม่ธรรมดาเลยนะ น่ากลัวชะมัด” มิวแกล้งหยอก

“อย่ากลัวเลย กับมิวน่ะ เราไม่คิดอะไรแล้วจริงๆ” คุณบีทิ้งท้ายก่อนไปเช็คมอนิเตอร์


เพราะความไม่เคยชินที่ต้องร้องลิปซิ้งเพลงของตัวเอง ทำให้ช่วงแรก มิวต้องถ่ายอยู่หลายเท้ค
แต่พอนานเข้าก็สามารถผ่านไปได้ด้วยดี นักร้องหนุ่มถ่ายทอดอารมณ์ได้อย่างเป็นธรรมชาติ
ถึงแม้ว่าจะเป็นการร้องโดยไม่มีเสียงก็ตาม

ทางด้านโต้งกับโดนัท ก็เหน็ดเหนื่อยไม่ต่างกัน เพราะยังใหม่ทั้งคู่ จึงต้องเท้คหลายหน
แต่ฉากที่ต้องใกล้ชิดกัน ทั้งคู่กลับทำได้ดี แม้แต่เอิร์ธยังหึงเล็กน้อย

บ่ายสี่โมง การถ่ายทำของมิวเสร็จสิ้นลงแล้ว เหลือแต่เก็บงานในสตูดิโออีกหน่อย ซึ่ง
คุณเอนัดมิวมาถ่ายวันเสาร์หน้าที่สตูดิโอ นักร้องหนุ่มจึงจบภารกิจเรียบร้อย

ในขณะที่โต้ง ต้องถ่ายต่ออีกในเวลาค่ำ เพราะทีมงานต้องการได้บรรยากาศภาคค่ำของทั้งคู่
มิวจึงแวะไปดูโต้งที่กำลังพักกองอยู่ด้านหน้าโรงแรม แต่ทันใดนั้นเอง

“ตื๊ดดดดด ตื๊ดดดดด” เสียงโทรศัพท์มือถือของมิวดังขึ้น นักร้องหนุ่มดูชื่อผู้โทรเข้า

“คร์บป๊า” มิวพูดผ่านโทรศัพท์ แต่น้ำเสียงและสีหน้ากังวลอยู่บ้าง

“ตอนนี้ป๊าเข้ามากรุงเทพฯแล้วนะ เราอยู่ไหนล่ะ”

“มิวทำงานอยู่ครับป๊า จะเสร็จแล้ว เดี๋ยวมิวไปรอที่โรงพยาบาลเลยก็ได้ครับ”

“ก็ได้ เดี๋ยวเจอกัน” ป๊าวางสายโทรศัพท์ไปแล้ว แต่ในใจนักร้องหนุ่มยังตื่นกลัวอยู่

“ใครโทรมาหรอมิว” โต้งเดินเข้ามาหาหลังจากได้พักชั่วครู่

“อ๋อ....ป๊าอะโต้ง บอกว่าเข้ากรุงเทพฯมาแล้ว” มิวตอบเสียงสั่น

“มีอะไรเหรอเปล่ามิว” โต้งถามอย่างเป็นห่วง

“เปล่าหรอก....เอ่อโต้ง เดี๋ยวเรากลับก่อนนะ ต้องไปหาป๊าน่ะ”

“เอางั้นหรอ” โต้งก้มหน้าครุ่นคิด สีหน้ากังวล ไม่สบายใจ
“งั้นก็ได้ ถ้าเราถ่ายเสร็จแล้ว เราโทรหานะ”

“อืมม งั้นเราไปก่อนนะ” มิวพูดจบก็ขอตัวออกไปทันที
โต้งกลับไปถ่ายทำต่อในส่วนของตน ทั้งๆที่ในใจรู้สึกพะว้าพะวงชอบกล

“ไอ้มิวมันจะรีบไปไหนวะ” เอ๊กซ์ถามคนอื่นๆในวงที่หมดคิวถ่ายแล้วเช่นกัน

“ไม่รู้ดิพี่เอ๊กซ์ ปรกติ พี่มิวน่าจะอยู่เฝ้าพี่โต้งนี่นา” ปิงปองก็สงสัยเหมือนกัน

“กรูก็ว่างั้น เป็นอะไรมันวะ สีหน้าไม่ค่อยดี” แวนสะกิดถามมือกลองที่นั่งอยู่ข้างๆ

“แล้วกรูจะรู้มั้ยเนี่ย” เอ็มตอบเซ็งๆ แล้วหยิบการ์ตูนขึ้นมาอ่านโดยไม่สนใจใคร


ห้าโมงเย็น มิวเดนทางมาถึงโรงพยาบาล นักร้องหนุ่มตรงไปยังแผนกทางเดินอาหารทันที
สุนีย์คอยอยู่ก่อนแล้ว ในขณะที่กรเข้าไปนอนรอในห้องเตรียมผ่าตัดแล้ว

“สวัสดีครับน้านีย์” นักร้องหนุ่มทักทายก่อน ด้วยการไหว้

“ดีจ้ะลูก หนูแน่ใจแล้วหรอ มันเสี่ยงมากนะ”

“ครับน้านีย์ ผมมั่นใจครับ แต่ว่า....”

“อะไรเหรอมิว”

“มิวยังไม่ได้เล่าเรื่องทั้งหมดให้ป๊าฟังเลยครับน้านีย์” สีหน้ามิวรู้สึกผิดและเป็นกังวล

“อ้าว..แล้วอย่างงี้ ป๊ามิวเค้าจะยอมเซ็นใบยินยอมให้เหรอลูก” สุนีย์เองก็เริ่มเครียดเช่นกัน

“มิว” เสียงของป๊าดังขึ้นจากทางด้านหลัง






.......









........







“ป๊า” นักร้องหนุ่มหันไปยังที่มาของเสียงเรียกเมื่อครู่ ตื่นกลัวปนประหม่าอยู่บ้าง

“ตกลง จะบอกได้รึยัง เรื่องผ่าตัดน่ะ” เสียงของแม่มิวดังอยู่ข้างๆป๊า

“เอ่อ...น้านีย์ครับ มิวขอตัวไปคุยกับป๊าซักครู่นะครับ เดี๋ยวกลับมา”

“จ้ะ ไปเถอะ”

นักร้องหนุ่มผละจากแม่ของคนรัก ก็เดินไปหาป๊ากับแม่ และพาไปยังห้องว่างใกล้ๆ

“ว่ามา ทำไมต้องผ่าตัดใหญ่ขนาดนี้ เราไม่ได้ป่วยซะหน่อย” ป๊าคะยั้นถาม

“มิวไม่ได้ป่วย แต่มิวอยากช่วยน้ากร” นักร้องหนุ่มเอ่ยตอบเบาๆ

“ใครกร กรไหน ไม่เห็นเคยรู้จัก” ป๊ายังคงสงสัย

“น้ากรที่เคยอยู่บ้านตรงข้ามบ้านอาม่าไงป๊า จำไม่ได้หรอ”

“อ้อ..นึกออกแล้ว แล้วเราไปข้องเกี่ยวอะไรกับบ้านนั้นด้วย”

“เปล่า ก็น้ากรเค้าเป็นพ่อโต้ง มิวก็เลย....” น้ำเสียงมิวแผ่วลงอย่างชัดเจน

“พ่อไอ้หนุ่มที่เคยแวะไปที่บ้านน่ะหรอ” ป๊าคาดคั้นถาม

“ครับ ก็โต้งเป็นเพื่อนรักของมิว แล้วน้ากรก็ป่วยหนัก มิวสงสารเพื่อนก็เลยอยากช่วย”

“ถึงขั้นสละตับของเราเนี่ยนะ มันจะไม่มากเกินไปหน่อยสำหรับเพื่อนเหรอมิว”

“ครับ” นักร้องหนุ่มไม่กล้าสบตาผู้เป็นพ่อที่กำลังครุ่นคิดอยู่

“บอกความจริงมาทั้งหมด ไม่งั้นก็อย่าหวังว่าป๊าจะยอมเซ็นใบยินยอมให้ เร็ว ว่ามา”
ผู้เป็นพ่อพยายามคาดคั้นให้นักร้องหนุ่มพูดความจริงออกมาทั้งหมด

“มิวก็แค่อยากทำเพื่อเพื่อน มันผิดด้วยเหรอป๊า ก็โต้งเค้าเป็นเพื่อนรักของมิวจริงๆ”

“เราอย่ามาซี้ซั้วต่าน่า ต่อให้เป็นเพื่อน ก็คงไม่มีใครเค้ายอมขนาดนี้หรอก”

“เราเป็นเพื่อนกัน”

“แต่ป๊าไม่เชื่อ สงสัยตั้งแต่วันนั้นแล้ว เรากับนายนั่น เอ่อ.....” ป๊าส่งสายตาคาดคั้น

“นี่คุณคิดอะไรอยู่เนี่ย คิดว่ามิวเป็น.....จะบ้าเหรอไง ผู้ชายเหมือนกันนะ” แม่มิวตกใจเล็กน้อย

“ก็ทำไมจะไม่ล่ะ จู่ๆหมอนั่นก็มาเรียกลูกเราว่าที่รัก แล้วคุณจะให้ผมคิดยังไง
มิว เอาโทรศัพท์มือถือของเรามานี่” ป๊าสั่งให้มิวส่งเครื่องมือสื่อสารมาให้
นักร้องหนุ่มส่งโทรศัพท์มือถือให้ผู้เป็นพ่อด้วยมือที่สั่นเทา เหงื่อตก เหมือนคนไม่เต็มใจ

ผู้เป็นพ่อเปิดโทรศัพท์มือถือของลูกชาย เลือกอ่านข้อความเข้าที่มิวบันทึกไว้
“นี่ไง มีแต่ข้อความของนายโต้งทั้งนั้น เป็นสิบเลยเนี่ย มันแปลว่าอะไรมิว”
“ฝันดีนะ”................”คิดถึงจัง”................”รักมิวเสมอ” “เพื่อนกันเค้าส่งข้อความแบบนี้เหรอ”

ป๊ายังคงเปิดเมนูของโทรศัพท์ต่อไป เลือกเข้าไปดูที่คลังภาพของมิวที่ถ่ายเก็บไว้มากมาย
มือของป๊าสั่นด้วยความตะลึง เพราะภาพถ่ายที่อยู่ในเครื่องล้วนเต็มไปด้วยภาพของโต้ง
ภาพที่ถ่ายมิวกับโต้งคู่กันในร้านไอศกรีม ภาพถ่ายคู่กันของมิวกับโต้งหน้าโรงหนังสกาล่า
ภาพโต้งยืนชูซีดีซิงเกิ้ลของวงออกัสต์อยู่หน้าร้านดีเจสยาม ภาพถ่ายหมู่มิวโต้งและออกัสต์
ในห้องซ้อม ถาพถ่ายคู่มิวโต้งหน้าบ้านมิว กระทั่งภาพโต้งนอนหลับบนเตียงมิว

“มีอะไรแก้ตัวรึเปล่า เห็นรึยังแม่ ลูกเรามันเป็นเกย์ ได้ยินมั้ย มันเป็นเกย์ แล้วมันกำลัง
จะยกตับของมันให้กับพ่อของคู่ขาของมัน มัน....มันน่านัก” ป๊าเงื้อมือขึ้น

นักร้องหนุ่มก้มหน้ามองพื้น ไม่กล้าสบตาผู้เป็นพ่อ ได้แต่ยืนตัวสั่นอยู่อย่างนั้นโดยไม่พูดอะไร

“เงยหน้ามาพูดกันให้รู้เรื่อง บอกให้เงยหน้าขึ้นไง” ป๊าตวาดเสียงดังจนแม่เองก็ตกใจ

นักร้องนำวงออกัสต์ค่อยๆเงยหน้าของตนขึ้นมามองบิดาบังเกิดเกล้าช้าๆ

“เผียะ” โดยไม่เตือนล่วงหน้า ฝ่ามือของป๊าก็ตบเข้าที่แก้มของมิวอย่างแรงจนเห็นรอยได้ชัด

“อย่า..คุณ” แม่ห้ามไว้ไม่ทัน ได้แต่เอามือปิดหน้าตนเองเพราะไม่กล้ามอง

“มิว นี่เรา เราทำให้ป๊าผิดหวังมาก” คนที่พึ่งตบหน้าลูกชายเสียงสั่น มือสั่นด้วยความโกรธ
มิวพยายามจ้องมองใบหน้าของบิดา ในใจรู้สึกเจ็บปวดที่ป๊าไม่เข้าใจ

“ทำไมล่ะป๊า การที่มิวรักใครซักคนมันทำให้ป๊าผิดหวังนักเหรอ” มิวพยายามโต้เถียง
“ในเมื่อป๊าไม่เคยรักมิว ไม่เคยห่วงใยมิว ไม่เคยที่จะ....ช่างเถอะ พูดไปก็ไม่มีประโยชน์”

“ผิดแล้วยังจะเถียงอีก มิวเป็นลูกชายคนเดียวของป๊า แต่เรากลับไปรัก......ผู้ชาย”

“มิวไม่ได้รักผู้ชาย มิวรักแค่โต้ง มันไม่เหมือนที่ป๊าคิดซะหน่อย” มิวยังคงเถียงต่อไป
“โต้งเป็นคนเดียวที่เข้าใจมิว มีความรู้สึกเดียวกับมิว ไม่เหมือนป๊า ที่ทิ้งมิวไปเจ็ดปี แล้ว
จะมาสนใจทำไมว่ามิวจะรักใคร”

“แกนี่มัน...” ป๊าเริ่มโมโหอย่างหนัก เงื้อมือขึ้นมาอีกครั้ง

“ตบมิวอีกสิป๊า มิวจะไม่ปิดป๊าอีกแล้ว มิวรักโต้ง ได้ยินมั้ย มิวรักโต้ง” นักร้องหนุ่ม
ขึ้นเสียงกร้าวดัง จนผู้เป็นพ่อโมโห ตบใส่ใบหน้านั้นจริงๆ

“เผียะ” มือของป๊าสั่นเทิ้ม แววตาขึ้งตึง ในขณะที่แม่มิวเริ่มร้องไห้

“อย่าหวัง ว่าป๊าจะเซ็นใบยินยอมให้แก ไปแม่ กลับระยอง” ผู้เป็นพ่อหันหลังหนี

หยดน้ำตาเริ่มไหลออกมาจากขอบตาของดวงเนตรสีน้ำเงินของนักร้องนำวงออกัสต์
เหงื่อเม็ดเล็กๆผุดขึ้นบนมือที่เย็นเฉียบ ปากสั่นใจสั่น พยายามร้องเรียกผู้เป็นพ่อแต่ใจไม่กล้า
ป๊าของมิวเดินหายจากห้องนั้นจนพ้นสายตา มิวคุกเข่าทรุดลงกับพื้น ร้องไห้ด้วยความเสียใจ
นักร้องหนุ่มผิดหวังที่ไม่อาจทำเพื่อคนรักได้ เสียใจที่ป๊าไม่ค่อยใจ รู้สึกโทษตัวเองที่ทำให้ป๊า
โกรธ และรู้สึกผิดที่ตนทำให้น้านีย์ต้องผิดหวัง ทั้งๆที่ได้มอบความหวังให้ไปแล้ว

ประตูห้องค่อยๆเปิดอย่างช้าๆ ผู้เป็นพ่อเดินกลับเข้ามาอีกครั้ง มิวค่อยๆเงยหน้ามองไปที่ผู้ที่
พึ่งจะเดินกลับเข้ามาอีกครั้ง

“แกจะผ่าตัดก้ได้ แต่ป๊ามีข้อแลกเปลี่ยน”





......






......






หนึ่งทุ่มตรง หลังจากที่นักร้องหนุ่มพูดคุยแลกข้อตกลงกับบิดาของตน ก็เดินคอตกกลับมา
ที่ห้องพักผู้ป่วยของกร สุนีย์ที่นั่งคอยอยู่ด้วยความกระวนกระวายลุกออกมาไต่ถามอย่าง
เป็นห่วง ในขณะที่ตัวกรเอง ยังคงหลับอยู่ด้านใน

“ว่าไงบ้างมิว คุณพ่อของเราล่ะ” สุนีย์เอ่ยถามด้วยความกังวลใจแทน

“กลับไปแล้วครับน้านีย์” นักร้องหนุ่มตอบออกไป

“แล้วเรื่องใบยินยอม เอ่อ...คือ” สุนีย์ไม่กล้าซักไซ้ แต่ในใจก็นึกหวั่นอยู่บ้าง

“เซ็นให้เรียบร้อยแล้วครับน้านีย์ ตอนนี้ก็รอลุงหมอเดินเรื่องอีกซักพัก เดี๋ยวก็คงมาตาม
ให้มิวไปเตรียมตัวอะครับ น้านีย์ไม่ต้องห่วงนะ ยังไง น้ากรก็ต้องหายครับ เชื่อมิว”
นักร้องหนุ่มให้ความหวังในการรักษากรให้หายเป็นปรกติกับสุนีย์อีกครั้ง แต่ในใจของตน
กลับมีบางอย่างที่ทำให้ความหวังในเรื่องความรักของตน ค่อยๆเจือจางและลบเลือน

“ขอบใจมากนะมิว ถ้าโต้งไม่ได้เจอกับมิว เรื่องดีๆแบบนี้คงไม่เกิดขึ้น” สุนีย์เอ่ยกับมิว

“ไม่เป็นไรครับน้านีย์ ถ้าไม่ได้เจอโต้ง มิวก็ไม่รู้เหมือนกันว่าความสุขคืออะไร เท่าที่
ผ่านมา การที่มิวมีกันและกันกับโต้ง เป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดในชีวิตแล้วครับ” มิวเอ่ยตอบ

“ขอบคุณนะมิว ขอบคุณความรัก ที่มิวมอบให้กับลูกชายของน้า หกปีที่ผ่านมา พวกน้า
สองคน ละเลยที่จะเอาใจใส่โต้ง มองแต่ด้านของตัวเอง ไม่เคยคิดที่จะมองด้านอื่นบ้างเลย
ถ้าวันนั้น น้าหมายถึง วันนั้นอะนะ ที่น้าไปหามิวที่บ้าน แล้ว เอ่อ...... คือน้าแค่คิดว่า
น้าโชคดีแค่ไหน ที่ในที่สุด เราก็เข้าใจกัน น้าเข้าใจโต้ง เข้าใจมิว และเข้าใจในความรัก
ที่ถึงแม้ว่ามันจะไม่ได้เดินไปในทางที่น้าเคยหวัง เคยคิด แต่อย่างน้อย ความรักของโต้งกับมิว
ก็สร้างความสุข และความหวังให้กับครอบครัว ให้กับตัวน้าเองอีกครั้ง ขอบคุณนะ”
สุนีย์เอ่ยออกมาด้วยความซาบซึ้ง พร้อมความตื้นตันจนน้ำตาแอบไหล

“มิวก็ต้องขอบคุณน้านีย์เช่นกันครับ ตั้งแต่วันที่โต้งบอกว่า น้านีย์กับน้ากรยอมรับความรัก
ของเราสองคน หนึ่งเดือนที่ผ่านมา ถึงแม้ว่ามิวจะเจอเรื่องราวมากมายสารพัด แต่มันก็เป็น
หนึ่งเดือน ที่มิวมีความสุขที่สุดในรอบห้าปี นับจากที่มิวเสียอาม่าไป นี่ถ้าป๊า..........”
นักร้องหนุ่มพูดวลีสุดท้ายด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา แต่ก้พอให้สุนีย์ได้ยิน

“ทำไมเหรอมิว คุณพ่อของมิวเค้า เอ่อ................... เป็นอย่างน้าเมื่อก่อนหรอ” สุนีย์สะดุดหู
กับคำพูดทิ้งท้ายของนักร้องหนุ่ม ทำให้หวนนึกถึงตนเองเมื่อก่อนหน้านี้ จึงเอ่ยถามออกไป

“ไม่มีอะไรหรอกครับน้านีย์ ช่างเถอะ แล้วมันจะดีขึ้น โน่นครับ ลุงหมอมาแล้ว”
มิวพยายามบ่ายเบี่ยงคำถามของสุนีย์ ถึงปากจะไม่พูด แต่ในใจกลับปวดร้าวอยู่ลึกๆ


“มิว เดี๋ยวเราไปเตรียมตัวเลยนะลูก พรุ่งนี้ต้องผ่าแต่เช้า เดี๋ยวหลังเที่ยงคืน ต้องงดน้ำและ
อาหารทั้งหมด ถ้ายังไง หาอะไรทานก่อนแล้วกัน แล้วไปหาพยาบาลผ่าตัดที่ห้องด้านโน้น
ลุงสั่งการไว้หมดแล้ว” ลุงหมอบอกกับมิวที่พยักหน้าเข้าใจ

“ครับลุงหมอ แต่ว่ามิวไม่หิวอะครับ ถ้ายังไง ไปตอนนี้เลยก็ได้ครับ” มิวพยายามรีบไปเตรียม
ตัว จะได้ไม่ต้องตอบคำถามของสุนีย์ ที่มีทีท่าว่าจะซักไซ้อยู่เหมือนกัน นักร้องหนุ่มคิดว่า
รีบๆเตรียมตัวและเข้านอนซะ จะได้ไม่ต้องหวนคิดเรื่องข้อแลกเปลี่ยนที่ป๊าเสนอมา แต่ใน
ความเป็นจริงนั้น มีหรือ ที่นักร้องหนุ่มเจ้าของนัยน์ตาสีน้ำเงิน จะลบภาพและเสียงที่ทำลาย
ความสุขของตนลงไปได้





.....







.....





“เลขหมายที่คุณเรียก ไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้” เสียงสัญญาณผ่านมือถือของโต้ง

“ทำอะไรของเค้าอยู่วะ เปิดเครื่องรับสายสิมิว” ชายหนุ่มบ่นออกมาเมื่อโทรหามิวไม่ได้

“ติดต่อมิวไม่ได้เหรอโต้ง สงสัยแบตหมดมั้ง” โดนัทออกความเห็น

“คงงั้นมั้งโดนัท เพราะเมื่อคืนไม่ได้ชาร์ตเอาไว้ เสียดาย ว่าจะโทรบอกซะหน่อย ว่าคงเสร็จดึก
กะว่าจะขอไปนอนด้วยอีกซักคืนนึง กลับดึกเกรงใจแม่อะ เอาไงดีล่ะเนี่ย”

“โต้งก็โทรบอกหญิงสิ บ้านใกล้กัน ฝากบอกก็ได้”

“เอางั้นก็ได้ แล้วนี่พี่เค้ามาเรียกยังอะโดนัท” โต้งถามพลางชะเง้อดูทีมงานทีเก็บของอยู่

“อีกสิบนาทีน่ะ ยังพอมีเวลาน่า ไม่ต้องกังวลหรอกโต้ง” โดนัทพูดจบก็เดินไปหาร์ธที่นั่งคอยอยู่

“ตี๊ดดดด ตี๊ดดดด”

“ฮัลโหล ว่าไงโต้ง โทรมามืดเชียว” หญิงสาวคนหนึ่งรับสาย

“มิวกลับถึงบ้านรึยังอะหญิง” โต้งเอ่ยถามผู้ที่รับอยู่ปลายสาย

“ยังอะโต้ง เห็นป้าอรอยู่คนเดียวเอง ทำไมหรอ”

“เปล่า ไม่มีอะไร แค่โทรหามิวไม่ติดอะหญิง จริงดิ แล้วหญิงเห็นป๊ามิวรึเปล่า”

“ไม่เห็นนะ วันนี้ป๊ามิวมากรุงเทพฯหรอ ไม่รู้ดิ งั้นเดี๋ยวหญิงไปถามป้าอรให้เอาปะ”

“ไม่เป็นไรหญิง งั้น แค่นี้ก่อนนะ”

“เดี๋ยวสิโต้ง แล้วนี่ยังถ่ายเอ็มวีไม่เสร็จอีกหรอ”

“ยังเลยหญิง เดี๋ยวต้องย้ายกองไปที่สยามฯด้วยอะ กว่าจะเสร็จคงดึกแน่ๆ นี่เราก็กะว่า....”

“กะว่าจะมานอนบ้านมิวอะดิ เอางี้ เดี๋ยวเราแวะไปเจอที่สยามฯแล้วกัน เอ๊กซ์โทรมา
ชวนเราไปดูหนังเมื่อกี้นี้เอง”

“อือ..ใช่ พวกออกัสต์ถ่ายเสร็จก่อนตั้งแต่เย็นแล้วล่ะ”

“น้อง น้องครับ ขึ้นรถได้แล้วครับ” เสียงทีมงานคนหนึ่งตะโกนเรียก

“งั้นแค่นี้ก่อนนะหญิง พี่เค้ามาตามไปขึ้นรถแล้ว”

“โชคดีโต้ง แล้วเจอกัน” หญิงวางสายโทรศัพท์ก่อนจะเดินไปแต่งตัวเตรียมออกจากบ้าน


“หญิงจะไปไหนลูก” เสียงป้าอรเรียกถามที่ประตูบ้าน

“ไปดูหนังที่สยามฯค่ะป้าอร” หญิงเอ่ยตอบ

“ออกไปข้างนอกมืดค่ำ ดูแลตัวเองนะลูก” ป้าอรถามอย่างห่วงใย

“จริงสิคะป้าอร ทำไมมิวยังไม่กลับล่ะคะ”

“อ๋อ... วันนี้ ป๊ากับแม่ของหนูมิวเค้ามาน่ะลูก คงไปกินข้าวด้วยกันมั้ง”

“แล้วไม่ได้นัดเจอกันที่บ้านเหรอคะ” หญิงถามอย่างสงสัย

“เปล่าจ้ะ เห็นเถ้าแก่บอกว่านัดเจอกันที่โรงพยาบาลน่ะลูก”

“โรงพยาบาล ......... ใครไม่สบายเหรอคะ”

“ไม่รู้สิลูก ไม่มีมั้ง ถ้ามีใครป่วย คงต้องบอกป้าแล้วแหละ”

“แล้วโรงพยาบาลไหนล่ะคะ”

“จำไม่ได้แล้ว ชื่อมันติดอยู่ที่ปาก ก็โรงพยาบาลที่มิวไปนอนเมื่อครึ่งเดือนก่อนนั่นแหละลูก”

“เหรอคะ งั้นหนูไปก่อนนะคะ” หญิงทำหน้างงๆและเดินออกไปปากซอย





.......







.......












Create Date : 17 กุมภาพันธ์ 2553
Last Update : 5 มีนาคม 2553 14:58:47 น.
Counter : 437 Pageviews.

2 comment
ตอนที่ 12 +++ การตัดสินใจของหนุ่มขี้เหงา +++


+++++ต่อเรื่อง+++++





“น้องมิวมีแฟนรึยังคะ” เสียงใสๆอมเปรี้ยว ซ่อนความพรั่นพรึงไว้ภายในของนักข่าวสาวดังขึ้น

“ยังไม่มีครับ” เสียงใสๆอมหวาน ซ่อนความประหม่าของนักร้องหนุ่มตอบออกไป


“แล้วเพื่อนสนิทล่ะคะ มีบ้างรึเปล่าเอ่ย อย่าบอกพี่นะคะว่ายังไม่มี หน้าตาหล่อไม่เบาอย่างน้องมิว คงต้องเคยมีบ้างแหละ” น้ำเสียงคาดคั้นอยากเอาชนะมากๆ


“ยังไม่เคยจริงๆครับพี่” น้ำเสียงยังคงประหม่าหวาดหวั่นเช่นเดิม


“เริ่มจะมีชื่อเสียงบ้างแล้ว เคยมีสาวๆตามกรี๊ดน้องมิวบ้างรึเปล่าคะ”


“ก็มีบ้างครับ”


“แล้วรู้สึกยังไงบ้างคะ”


“ก็ไม่รู้เหมือนกันครับ ก็ดีครับ แปลกๆดี แต่ก็ดีใจที่มีคนฟังชอบเพลงของเรา”


“ในวงออกัสต์นี่ เป็นเพื่อนร่วมโรงเรียนกันหมดเลยใช่มั้ยคะ”


“ครับ โรงเรียนเซ้นต์นิโคลัส มีทั้งเพื่อนรุ่นเดียวกัน แล้วก็รุ่นน้องด้วย”


“เคยได้ยินมาว่า อยู่โรงเรียน น้องมิวมักถูกแซวว่าเป็นเกย์บ้างเป็นสาวบ้างใช่มั้ยคะ”


“เอ่อ...............................ก็มีบ้างมั้งครับ” เหงื่อเริ่มผุดออกมาตามรูขุมขนของนักร้องหนุ่มร่างโปร่ง


“แล้วรู้สึกยังไงบ้างล่ะคะ”


“เฉยๆครับ ไม่ได้คิดอะไร” น้ำเสียงมิวเริ่มสั่น ระแวง ท่าทางไม่ชอบใจนักข่าวคนนี้เอาซะเลย


“เหรอคะ................................อือ...................น้องมิวรู้สึกยังไงกับผู้ชายที่รักเพศเดียวกันคะ” คำถามเริ่มจู่โจมเพิ่มขึ้นทุกที


“ถ้าคนเราจะรักกัน จะเป็นเพศไหนก็ไม่สำคัญมั้งครับ” คำตอบของมิวฟังดูเชื่อมั่น แต่แฝงความหงุดหงิดอยู่บ้าง


“เหรอคะ...................” นักข่าวสาวจ้องมองใบหน้านักร้องหนุ่ม ยังกับว่าค้นหาอะไรบางอย่างภายใต้แววตาสีน้ำเงินคู่งามนั้น


“ครับ” มิวตอบสั้นๆ แต่ในใจอดคิดกังวลไม่ได้ นักร้องหนุ่มถึงกับก้มหน้ามองโต๊ะด้วยความตื่นกลัว


“น้องมิวหน้าหวานขนาดนี้ นอกจากสาวๆที่แอบกรี๊ดแล้ว เคยมีผู้ชายมาขายขนมจีบบ้างรึเปล่าเอ่ย” คำถามที่ทำให้มิวถึงกับต้องเงยหน้าขึ้นมามอง


“ไม่มีครับ”


“ค่ะ งั้นคำถามสุดท้ายแล้วกันนะคะ น้องผู้ชายอีกคนในรูปนี้เป็นอะไรกับน้องมิวเหรอคะ แล้วสองคนไปเที่ยวที่ไหนกันมาเอ่ย” นักข่าวสาวส่งรูปคู่ของมิวกับโต้งที่ถูกถ่ายหน้าโรงแรมม่านรูดให้นักร้องหนุ่มดู


“เราเป็นแค่เพื่อนกันครับ” มิวตอบประหม่า น้ำเสียงสั่น มือเย็นเฉียบ ไม่กล้าสบตานักข่าวคนนั้นอีกต่อไป


“ขอบคุณนะคะ พี่ไปก่อนแล้วกัน ข่าวของออกัสต์จะลงฉบับต้นเดือนหน้านะคะ ดีค่ะ”


“สวัสดีครับ” นักร้องหนุ่มยกมือไหว้ลาตามมารยาท แต่ในใจกลับว้าวุ่นอย่างแรง

...........
...........

“แล้วมิวจะทำยังไงล่ะ” โต้งเอ่ยถามหลังจากฟังมิวเล่าจบ


“ไม่รู้ดิ แต่คุณบีบอกว่าจะจัดการให้ ไม่รู้ว่าทำยังไงเหมือนกัน”


“อืมม.................ท่าทางนายนั่นก็ไม่เบาเหมือนกัน ทำธุรกิจพวกนี้ ก็คงเจนจัดและมีวิธีการล่ะมั้ง แต่มิวไม่ต้องกลัวนะ เราอยู่เคียงข้างเสมอ” โต้งตบบ่าเบาๆปลอบใจ


“ก็เพราะมีโต้งนี่แหละ เราถึงได้เข้มแข็ง ค่ำแล้ว โต้งกลับบ้านเถอะ”


“ว้า!!!! ไล่กันแล้วหรอ ว่าจะขอค้างคืนที่นี่ซักหน่อยอะ ได้ปะ” แววตาออดอ้อนเจ้าเล่ห์ของโต้ง ทำเอามิวส่ายหน้าทีเดียว


“ไม่ได้ พรุ่งนี้ต้องไปเรียนหนังสือ ใกล้สอบแล้วด้วย ไหนโต้งยังจะต้องช่วยน้านีย์ดูแลน้ากรอีก รีบกลับเหอะ พวกน้านีย์อุตส่าห์เห็นใจเข้าใจ แต่ใช่ว่าเราจะทำอะไรตามใจตัวเองได้นะโต้ง”


“คร้าบบบบผมมม ทราบแล้วครับ แต่มิวสัญญาว่าจะเล่นเปียโนให้ฟังไงอะ เล่นให้ฟังก่อนดิ เพลงจบแล้วเราค่อยกลับบ้าน” ชายหนุ่มกระพริบตาไปมา แววตาสีน้ำตาลสะท้อนกับแสงนีออนเป็นระยะๆ ในที่สุด มิวก็ต้องเคาะเปียโนเป็นเสียงดนตรีบรรเลงเพลงล่าสุดที่พึ่งอัดเสร็จ


“เพลงเพราะดีเนาะ แต่งได้ไงอะ” โต้งถามคำถามนี้อีกครั้งด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม หลังจากที่มิวเล่นจบลง นักร้องหนุ่มอดยิ้มตามไม่ได้ แล้วก็ตอบออกไป


“ก็ถ้าไม่มีโต้ง ก็คงไม่มีเพลงนี้หรอก ฟังแล้วโต้งว่าไง” คำตอบเดิมๆ แต่คนถูกถามลุกขึ้นยืนแล้วเดินมาใกล้คนถาม


“ก็ไม่รู้เหมือนกัน” คำตอบสั้นๆ แต่ร่างสูงใช้สองแขนประคองร่างโปร่งให้ยืนขึ้น ริมฝีปากของโต้งค่อยๆขยับไปหาเรือนโอษฐ์สีชมพูของมิวอย่างช้าๆ ก่อนจะบรรจงจุมพิตลงไปเบาๆ ชายหนุ่มทั้งสองดูดดื่มกันและกันอยู่สักระยะ ก่อนจะถอนริมฝีปากจากกัน


“ถึงบ้านแล้วเราโทรหานะ” โต้งบอกกับมิว ก่อนจะเดินไปเลื่อนประตูเลื่อนที่มิวปิดเอาไว้ให้กว้างขึ้น เพื่อให้ร่างสูงของตนลอดผ่านไปได้ แล้วเดินกลับออกไปทางปากซอย




.....




.....




.....







“ตกลงตามนี้นะ เดี๋ยวให้บีคัดเลือกนางแบบจากโมเดลลิ่งซักคนมาเล่นเอ็มวีเพลงนี้แล้วกัน แล้วพี่ให้บีรับผิดชอบการถ่ายทำทั้งหมดเลยด้วย อย่าให้ผิดหวังล่ะ”
คุณเอลุกขึ้นยืน แล้วตบบ่าน้องชายเบาๆ ก่อนจะเดินออกไปจากที่ประชุม


“มันจะเวิร์กแน่หรอครับคุณบี ผมยังไม่ได้บอกโต้งเลยน่ะ เรื่องจะเอาเค้ามาเล่นเป็นพระเอกเอ็มวีเนี่ย ไม่รู้จะยอมรึเปล่าอะดิ”
นักร้องนำวงออกัสต์ปรึกษากับโคโปรดิวเซอร์หนุ่มเมโทรอยู่ในห้องประชุมต่อ


“ก็คุยซะสิมิว นี่เป็นวิธีที่เวิร์กที่สุดแล้วนะ หรืออยากให้แม่นักข่าวนั่นเอาภาพไปลงก่อนล่ะ”


“ก็จริง.............................แต่ว่า.......................” มิวยังคงลังเล


“ฟังนะ ถ้าโต้งเค้าเป็นพระเอกเอ็มวีให้เพลงของเรา เรื่องที่มีคนไปได้รูปเราสองคนหน้าโรงแรมนั่น เราก็จะอ้างได้ว่าไปดูสถานที่ไง เข้าใจปะ”
คุณบีช่วยมิวหาหนทางแก้ปัญหาเรื่องภาพถ่ายของนักข่าวสาวคนนั้น


“ครับ งั้นผมจะลองคุยกับโต้งดูแล้วกัน” สีหน้ามิวยังคงไม่ค่อยมั่นใจเท่าไหร่


กลับจากการประชุมเรื่องถ่ายเอ็มวีเพลงกันและกัน นักร้องหนุ่มก็ลากลับบ้านทันที วันนี้ออกัสต์ไม่ต้องซ้อมเพลง
เพราะว่า วันพรุ่งนี้ และวันมะรืน มิวและเพื่อนๆม.หกจะต้องเข้าสอบโควต้าเพื่อเรียนต่อในมหาวิทยาลัย พี่อ๊อดจึงใจดีให้งดซ้อมสามวัน
ร่างโปร่งเดินมาเรื่อยๆจนมาถึงบ้านของตัวเอง หันไปมองหญิงที่มานั่งอ่านหนังสืออยู่ตรงเก้าอี้ขาวหน้าบ้านตนแล้วก็ยิ้มให้กัน


“วันนี้ไม่ซ้อมเพลงหรอมิว” หญิงเอ่ยปากถามเพื่อนสนิทบ้านตรงข้าม


“เปล่าหญิง พี่อ๊อดใจดีให้หยุดดูหนังสือ นี่หญิงก็...........”


“ใช่สิ...............หญิงก็ต้องอ่านหนังสือเหมือนกัน ม๊าอยากให้ได้โควตาบัญชี จะได้เรียนที่เดียวกับมิวด้วยไง เรามาสู้ด้วยกันนะ” หญิงยิ้มหวานใส่


“อยากเรียนที่เดียวกับเรา แล้วรวมถึงเจ้าคิ้วหนาด้วยรึเปล่าล่ะ” มิวแกล้งแซวเพื่อน


“ไม่เกี่ยวกับหมอนั่นซักหน่อย ดูดิ๊ งดซ้อมทั้งที จะโทรมาบอกหรือมาชวนไปทานข้าวซักหน่อยก็ไม่ได้ แย่ชะมัด” หญิงบ่นหน้าเซ็ง


“ตื๊ดดดดดด.....” ไม่ทันไรเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น หญิงดูชื่อผู้โทรเข้าแล้วหันมามองหน้ามิว


“ตายยากใช่มั้ยล่ะ บ่นถึงปุ๊บ ไอ้เอ๊กซ์มันโทรมาปั๊บเลย คุยกันดีๆล่ะ เข้าบ้านก่อน” มิวเดินเข้าบ้านไปทันที


เหลือบมองมาจากหน้าต่างในห้องนอน นักร้องหนุ่มเห็นหญิงที่ตอนนี้เปลี่ยนเสื้อผ้าแล้ว เดินออกไปทางหน้าปากซอยด้วยใบหน้าชื่นบาน


“เห็นหญิงมีความสุขแล้วดีจังนะ” เสียงของชายหนุ่มดังขึ้นมาจากประตูห้อง นักร้องหนุ่มรีบหันไปมองตามเสียง


“โต้ง......................มาตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย” มิวทักทายคนรักทันทีเมื่อหันหน้ามาเจอกัน


“ซักครึ่งชั่วโมงได้แล้วมั้ง คืนนี้เรานอนค้างบ้านมิวด้วยนะ ขอแม่ไว้แล้ว พรุ่งนี้จะได้ออกไปพร้อมกันเลยไง”
โต้งพูดจบก็เดินรี่เข้าไปสวมกอดมิวทันที นักร้องหนุ่มกอดคืนโต้งเช่นกัน จากนั้นก็จูงมือกันลงมาทานข้าวเย็นที่ป้าอรเตรียมไว้แล้ว

...........
...........

“ห้าวันได้แล้วเนี่ย ไม่เจอหน้ากันเลย มิวซ้อมเพลงเลิกดึกทุกวัน แล้วพรุ่งนี้จะสอบได้หรอ” โต้งถามมิวขณะที่ข้าวอยู่ในปาก


“ไม่รู้ดิ ไม่รู้เหมือนกัน คงผ่านมั้ง ช่างเหอะ กินก่อนดีกว่า” มิวตอบแล้วทานต่อไป


“ฉลาดอย่างมิวอะ ผ่านอยู่แล้วล่ะ ของเราอะดิ ไม่มั่นใจเลยซักนิด” โต้งเองก็กังวลเช่นกัน


“ไว้พรุ่งนี้ก็รู้เองล่ะน่า จริงดิ โต้ง..............................เรามีอะไรจะขอให้โต้งช่วยหน่อยได้ปะ” มิวมองหน้าคนรักแล้วยิ้มเจื่อนๆให้


“มิวอยากขออะไรเราล่ะ ถ้ามิวขอ เราช่วยทุกอย่างแหละ อย่าขอดาวกับเดือนแล้วกัน” โต้งยิ้มลอยหน้ากวนๆใส่มิว


“แหวะโต้ง เราไม่งี่เง่าอย่างนั้นหรอกน่า แค่อยากให้โต้งเล่นเอ็มวีเพลงกันและกันให้เท่านั้นเอง” สีหน้านักร้องหนุ่มเป็นกังวลหลังจากพูดจบ


“กันและกันหรอ แต่เพลงนี้มัน..............................” ท่าทางโต้งไม่ค่อยพอใจ


“เรารู้ เพลงนี้เราตั้งใจแต่งให้โต้ง แต่ว่า นักข่าวคนนั้นมีรูปเรากับโต้งที่โรงแรม ก็เลยคิดว่า ถ้าถ่ายเอ็มวีแล้วให้โต้งเล่น น่าจะแก้ปัญหาได้”


“ความคิดนายบีอะดิ เอาเถอะ ถ่ายก็ถ่าย งั้นมิวเล่นเป็นนางเอกได้ปะ” สีหน้าโต้งเปลี่ยนจากหงุดหงิดเล้กน้อยเป็นยิ้มเจ้าเล่ห์ทันที


“บ้าหรอ ใครจะยอมให้เล่นล่ะ คุณบีเค้าจะคัดตัวนางเอกมาเอง เราแค่ร้องเฉยๆ”


“เอาอย่างงั้นก็ได้ ก็ดีเหมือนกัน ทำเพื่อเพลงของเรา” โต้งยิ้มตาหวานสะท้อนนัยน์ตาสีน้ำตาลให้มิวอีกครั้ง


“ขอบคุณนะ” มิวยิ้มให้โต้งด้วยแววตาหวานสะท้อนแววตาสีน้ำเงินคืนให้โต้งเช่นกัน จากนั้นทั้งคู่ก็ทานข้าวต่อแล้วขึ้นไปดูหนังสือเตรียมสอบ




.....




.....




.....





ผ่านพ้นการสอบไปอย่างทุลักทุเล บรรดาออกัสต์รุ่นม.หกดูเหมือนว่า นอกจากแวนแล้ว ไม่มีใครมั่นใจเอาซะเลย

เย็นวันจันทร์หลังจากเลิกเรียน มิวและเพื่อนๆรวมทั้งรุ่นน้องต่างพากันไปหาพี่อ๊อดที่ออฟฟิศ เพราะวันนี้พี่แกจะชี้แจงเรื่องเอ็มวี


“สรุปว่า เราจะเริ่มถ่ายทำเอ็มวีกันวันเสาร์นี้เลยนะ จะได้เสร็จทันวางแผงอัลบั้มของพวกเราไงล่ะ” พี่อ๊อดเริ่มเล่าให้ฟัง


“แล้วได้นางเอกแล้วเหรอครับ” นักร้องนำถามพี่อีอด ท่าทางมิวจะตื่นเต้นเป็นพิเศษ


“อืมมม ใช่ เห็นคุณบีบอกว่าอยู่ม.หกเหมือนกับพวกเรานี่แหละมิว รู้สึกจะชื่อ อะไรนะ ของกินซักอย่างเนี่ยแหละ
คลับคล้ายคลับคลา ....... พี่ลืมไปแล้วอะ ไว้ค่อยถามมาให้อีกทีนะ” พี่อ๊อดตอบออกไป


“ครับพี่” มิวตอบรับ แต่ในใจกลับนึกถึงชื่อเพื่อนผู้หญิงคนนึงขึ้นมาได้
“คงไม่บังเอิญขนาดนั้นมั้ง” นักร้องหนุ่มบ่นออกมาเบาๆ พอแค่ตนเองได้ยินคนเดียว


เสร็จการซ้อม นักร้องหนุ่มขอลากลับบ้านตามลำพัง พึ่งจะสามทุ่มแต่มิวมีธุระบางอย่างที่ต้องไปทำ
ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่หลังจากที่รับโทรศัพท์เมื่อช่วงค่ำ ปฏิกิริยาของมิวก็เปลี่ยนไป


“สวัสดีครับลุงหมอ” นักร้องหนุ่มนึกถึงโทรศัพท์ที่ตนรับสายเมื่อช่วงค่ำ


“มิวเหรอลูก คือลุงหมอจะโทรมาบอกว่า เรากำหนดวันผ่าตัดได้แล้วนะ อาทิตย์หน้านี้เลย ว่าแต่เรื่องที่ลุงบอกว่าไงล่ะลูก”


“เอ่อ...............ผมโทรคุยกับป๊าไว้แล้วครับ เดี๋ยวนัดวันมาเซ็นใบอนุญาตได้เลยครับ” มิวโกหกลุงหมอ


“งั้นก็ดีเลย วันเสาร์นี้มิวให้พ่อมาเซ็นชื่อที่โรงพยาบาลนะลูก ลุงจะนัดสุนีย์ไว้”


“อย่าให้โต้งรู้นะครับ วันนั้นโต้งมีงาน ผมจะแอบชิ่งไปโรงพยาบาลก่อน”


“งั้นก็ได้ มิวอย่าลืมนัดแนะกับสุนีย์ล่ะ แค่นี้ก่อนนะ ลุงมีคนไข้”


“ครับลุงหมอ สวัสดีครับ” นักร้องหนุ่มวางสายด้วยสีหน้าไม่สบายใจเท่าไหร่


ตื่นจากภวังค์ รถแท็กซี่ก็พานักร้องนำวงออกัสต์กลับถึงบ้านแล้ว มิวลงจากรถแล้วเดินเข้า
บ้านอย่างเหม่อลอย สองเท้านำร่างโปร่งไปนั่งที่หน้าเปียโน ด้วยความกลุ้มใจที่ไม่กล้าคุยกับป๊า
มิวจึงบรรเลงเปียโนเพลงดาราเพื่อระบายความรู้สึกอึดอัดในใจ เมื่อจบเพลงก็โทรศัพท์เข้ามือถือของสุนีย์.....


“ให้มันเป็นเพลง บนทางเดินเคียง ที่จะมีเพียงเสียงเธอกับฉัน....” เสียงโทรศัพท์มือถือของโต้งดังขึ้น
ในช่วงย็นวันอังคาร หลังจากเรียนพิเศษเสร็จแล้ว


“ว่าไงมิว” ชายหนุ่มรับสายโดยไม่ต้องดูชื่อผู้ที่โทรเข้า


“ว่างปะ มีอะไรจะบอก” เสียงนุ่มๆของนักร้องหนุ่มดังลอดผ่านโทรศัพท์มือถือออกมา


“ได้ดิ ที่ไหนล่ะ” โต้งตอบผ่านโทรศัพท์หลังจากมาหยุดยืนอยู่หน้าร้านหนังสือการ์ตูน


“ตอนนี้โต้งอยู่แถวสยามปะ เราอยู่หน้าร้านดังกิ้นเนี่ย”


“งั้นเดี๋ยวเจอกันที่ร้านเดิมแล้วกัน อยากกินโดนัทแกล้มไอติมพอดีเลย”


“กินเก่งระวังอ้วนนะ หมดหล่อแล้วเราไม่สนด้วย” น้ำเสียงยั่วโมโหเล็กน้อย


“ไม่มีซะหรอก ต่อให้เราขี้เหร่กว่านี้ มิวก็รักเราอยู่แล้ว” น้ำเสียงยียวนกลับไปบ้าง


“งั้นแค่นี้นะ แล้วเจอกัน”


“คร้าบบบบบ”


ที่ร้านประจำของทั้งคู่ โต้งสั่งไอศกรีมถ้วยใหญ่มาทานร่วมกับโดนัทที่มิวซื้อมา เย็นนี้ร้านเงียบผิดสังเกต
คงเพราะมีกิจกรรมที่ลานเซนเตอร์พ้อยต์ ทำให้วัยรุ่นมากมายไปรวมกันอยู่ที่นั่น มิวกับโต้งจึงมีความเป็นส่วนตัวมากขึ้น


“ไหนว่ามีเรื่องจะบอกไง เห็นกินเอากินเอา ไม่เล่าอะไรซักที” โต้งที่กินไม่ทันเริ่มตัดพ้อ


“ก็คราวนี้เราหิวจริงๆนี่ ทุกทีโต้งแย่งกินหมด ครั้งนี้ขอแล้วกัน” นักร้องหนุ่มยิ้มกวนๆแบบที่โต้งชอบทำ


“โห...........เอาจริงหรอเนี่ย ก็ได้ ยอมให้มิวก็ได้” โต้งหยิบช้อนของตนตักไอศกรีมไปจ่อที่ปากมิว
แต่นักร้องหนุ่มไม่ทันระวัง ไอศกรีมก็เลยเลอะขอบปากกับจมูกไปทั่ว


“อะไรอะโต้ง ดุดิ เลอะหมดเลย” มิวบ่นเล็กๆ รอฟังเสียงโต้งอ้อนขอโทษ
แต่ชายหนุ่มเหลือบมองไปรอบร้าน หันซ้ายหันขวาไม่เห็นคนอื่นจึงกระ หยิ่มใจขึ้นมา


“ขอโทษอะมิว เดี๋ยวเราเช็ดให้นะ” โต้งไม่ได้หยิบผ้าเช็ดหน้าหรือกระดาษทิชชู่ แต่ใช้นิ้วชี้
ของตนปาดไอศกรีมที่เลอะรอบริมฝีปากของนักร้องหนุ่ม แล้วไปจ่อใกล้ๆกับปากสีชมพูอิ่มของมิว
นักร้องหนุ่มเหลียวมองรอบข้างบ้างเหมือนกัน มองดวงตาสีน้ำตาลของคนตรงข้ามที่ยิ้มเยิ้มอยู่ก็เข้าใจ
ก่อนจะคว้านิ้วที่มีไอศกรีมนั้นมาเข้าปากและดูดเบาๆ ทำเอาหน้าของโต้งที่กำลังเยิ้มเขินแดงขึ้นมาทีเดียว


“จั๊กจี๋อะมิว ไม่เอาแล้ว ไม่เล่นดีกว่า” โต้งถอนนิ้วออกมาแล้วเอาทิชชู่เช็ดปากมิวซักที


“แน่ะ ก็โต้งเริ่มก่อนเองนี่นา เจ้าเล่ห์นักนะ แกล้งกันชัดๆ” น้ำเสียงเคืองอยู่บ้าง


“เราไม่ได้แกล้งมิวซักหน่อย ตั้งใจจะป้อนจริงๆต่างหาก แต่พลาดซะก่อน” น้ำเสียงงอนง้อ


“เหรอคร้าบบบบ ก็ได้ ขอบคุณนะ ป้อนใหม่ดิ ให้โอกาสแก้ตัว” แววตาประกายเห็นได้ชัด


“อะ ที่แท้ก็อยากให้เราป้อนเหมือนกันนี่มิว บอกแต่แรกก็ป้อนให้ดีๆนานแล้วล่ะ” พูดจบก็ตักไอศกรีม
ป้อนมิวอีกครั้ง คราวนี้คนป้อนก็บรรจงป้อน คนรับก็อ้าปากรออย่างมีความสุข


“อร่อยปะ” โต้งเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน


“เป็นไอศกรีมที่หวานที่สุดเลยล่ะ เดี๋ยวเราป้อนให้โต้งบ้างนะ” นักร้องหนุ่มมองหน้าโต้งที่กำลังหลับตา
และอ้าปากคอยอยู่แล้ว มิวจึงแกล้งหยิบโดนัทชิ้นโตยัดเข้าปากของโต้งแทน


“อะ แกล้งกันนี่มิว แน่ะ ยังหัวเราะอีก อย่างนี้ต้องเอาคืน” โต้งหยิบโดนัทครึ่งชิ้นในปาก
พยายามเอาใส่ปากของมิวบ้างเป็นการเอาคืน


“ไม่เอาอะโต้ง ไม่เล่นแล้ว เราขอโทษก็ได้ อะ ไม่เอา อย่าดิ บอกว่าอย่าไง อะ ยอมก็ได้”
สุดท้ายโดนัทอีกครึ่งชิ้นนั้นก็เข้ามาอยู่ในปากนักร้องหนุ่ม สมใจโต้งที่นั่งหัวเราะอยู่อย่างผู้มีชัย


“ตกลงว่ามิวมีอะไรจะบอกเราหรอ” โต้งเริ่มเอ่ยปากถามหลังจากหยุดแกล้งกันแล้ว


“ก็กำหนดวันถ่ายเอ็มวีอะดิ วันเสาร์นี้แล้วนะ คุณบีให้เรามาบอกโต้ง ฝากให้ดูแลกันดีๆ”


“เสาร์นี้แล้วเหรอเนี่ย ก็เหลืออีกสามวันกับอีกสี่คืนอะดิ ว่าแต่ ใครเล่นเป็นนางเอกล่ะ”


“ไม่รู้เหมือนกัน พี่อ๊อดยังไม่ได้บอก ถามคุณบี คุณบีก็ยังไม่พูด บอกแต่ว่าเป็นเด็กใหม่ที่แคสต์ผ่านน่ะ”


“เสียดายจังที่ยังไม่รู้ เผื่อจะเคยเจอกันแถวสยามฯไง แต่ไม่เป็นไรหรอก ทำเพื่อเพลงของเรา ยังไงก็ได้”


“ทำเป็นพูดหวาน อย่าไปหวานในเอ็มวีนักล่ะ” น้ำเสียงไม่พอใจเล็กน้อย


“ที่แท้ก็แอบหึงหวงนี่เอง ฮ่าฮ่าฮ่า ไหนมิวเคยว่าไม่หึงเราไง” โต้งถามไปยิ้มไปอย่างพอใจ


“ก็ใครมันจะทำใจได้ง่ายๆล่ะ อะนะ เราเชื่อใจโต้งเสมอแหละ แต่ถ้ามันบาดตานักก็คงมีบ้าง”


“ขอบคุณนะ” โต้งขอบคุณด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม


“ขอบคุณทำไมล่ะ” มิวแกล้งถามหน้างงงง


“ขอบคุณที่มิวหึงเราไง มันทำให้เรารู้สึกภูมิใจเลยล่ะ ขอบคุณนะ” โต้งส่งยิ้มอบอุ่นมาให้มิว


“บ้า ............... เรื่องแค่นี้ต้องขอบคุณกันด้วย คนอื่นเขินกันพอดีอะดิ ไม่เอาแล้ว ไม่พูดดีกว่า”


“ว่าแต่..................มิวนัดเรามาบอกแค่เรื่องนี้อะเหรอ” โต้งถามต่ออย่างสงสัย


“เปล่า บอกแค่เรื่องนี้เรื่องเดียวแหละ” มิวตอบสีหน้าเรียบเฉย


“ไม่มั้ง ถามจริง นัดเรามาเนี่ย ไม่มีเหตุผลอื่นเลยหรอ” สีหน้าคาดหวังคำตอบบางอย่าง


“ก็อยากเห็นหน้าโต้งไง คงต้องซ้อมหนักแล้วคุยเรื่องอัลบั้มอีกหลายวันน่ะ ก็เลย................”
มิวหยุดคำพูดไว้แค่นั้น ดวงตาสีน้ำเงินของมิวสะท้อนไปที่นัยน์ตาสีน้ำตาลของโต้ง ตาสองคู่ประสานกัน
ไม่มีคำพูดใดๆหลุดออกมาอีก ทั้งคู่จ้องกันอยู่อย่างนั้น ความห่วงหาอาทรสะท้อนให้กันและกันอย่างอบอุ่น
มือทั้งสองคู่ประสานกันอยู่กลางโต๊ะที่บัดนี้ไอศกรีมไม่เหลือแล้ว เหลือเพียงมือของคนใส่นาฬิกาสีเขียวและดำ
เท่านั้น มือประสานมือ ตาประสานตา และใจประสานใจ ทำให้กันและกันของทั้งคู่เหนียวแน่นยิ่งขึ้น


“เราไปส่งมิวที่บ้านนะ” โต้งเอ่ยปากขอร้อง


“อือ...................” มิวเรียกพนักงานมาเก็บค่าไอศกรีม จากนั้นก็เรียกรถกลับบ้าน


โต้งกลับไปแล้ว มิวเหลือบดูนาฬิกาลูกตุ้มเรือนเก่าของอากง ทุ่มนึงแล้ว นักร้องหนุ่มคิดในใจ
“ป่านนี้ป๊าคงกลับเข้าบ้านแล้วมั้ง” คิดในใจแล้วก็กดโทรศัพท์หาพ่อของตน




.....






.....







ด้วยมือที่สั่นเทา ด้วยใจที่เต้นระส่ำ นักร้องหนุ่มกดหมายเลขโทรศัพท์ไปยังปลายทางที่
ระยอง ที่ซึ่งครอบครัวของตนอยู่ที่นั่น ป๊า แม่ น้องมายด์ รวมทั้งญาติคนอื่นๆที่มิวแทบไม่เคยพบหน้า



“โทรมาซะมืดค่ำ มีอะไรรึเปล่า” น้ำเสียงของป๊าหงุดหงิดเพราะพึ่งจะได้เลิกงาน


“เปล่าครับป๊า คือมิวแค่......................” น้ำเสียงสั่นเทิ้มเพราะความไม่กล้า


“ถ้าเปล่าแล้วโทรมารบกวนทำไมล่ะ แค่นี้นะ ป๊าเหนื่อย” พูดจบ ปลายสายจากระยองก็วางหู
ทันที ทิ้งให้คนโทรหายืนนิ่งอย่างอ้างว้าง ผิดหวัง และเสียใจ


“นี่แปลว่าป๊าไม่คิดจะใส่ใจเราเลยใช่มั้ยเนี่ย” มิวบ่นเสียงเบาๆ ก่อนที่น้ำตาจะรินออกมาอย่างช้าๆ ผ่าน
นัยน์ตาสีน้ำเงิน นักร้องนำวงออกัสต์ปาดคราบน้ำตานั้นทิ้งไป แล้วกดโทรศัพท์อีกครั้ง


“ฮัลโหล มิวเหรอลูก” เสียงผู้หญิงรับสาย คราวนี้เป็นแม่ของมิวเอง


“แม่เหรอครับ ป๊าไม่อยู่แล้วหรอ” น้ำเสียงยังคงมีร่องรอยความสะอื้นอยู่บ้าง


“อีขึ้นเหล่าเต๊งนอนหลับไปแล้วล่ะ มิวมีอะไรรึเปล่าลูก” น้ำเสียงของแม่แสดงความห่วงใย


“คือว่า................................คือ..............................” มิวยังคงอ้ำอึ้งไม่กล้าบอกออกไป


“ว่าไงจ๊ะ” น้ำเสียงอ่อนโยนของผู้เป็นมารดา ทำให้มิวใจชื้นขึ้นมาบ้าง


“คือว่า แม่........เอ่อ.............แม่ครับ..............อาทิตย์นี้มิวต้องเข้าผ่าตัดครับ” ในที่สุดก็พูดออกไป


“หา..........ว่าไงนะ” น้ำเสียงตื่นตกใจอย่างมากของแม่ ทำเอาคนโทรหาใจระส่ำไม่แพ้กัน


“ว่าใหม่อีกทีซิมิว ใคร ใครผ่าตัดอะไร”


“มิวเองแม่ มิวจะผ่าตัดวันอาทิตย์นี้แล้ว”


“แล้วเราเป็นอะไร ทำไมต้องผ่าตัดด้วยล่ะ เล่ามาให้แม่ฟังซิ”


“คือว่า.............................มิวยังไม่พร้อมจะเล่ารายละเอียดให้ฟังนะแม่ แต่ว่า แม่เข้ากรุงเทพฯมาเซ็นใบ
ยินยอมให้มิวหน่อยได้ปะ” น้ำเสียงขอร้องอ้อนวอนของมิวทำเอาแม่ตัดสินใจไม่ถูก


“แต่เรื่องแบบนี้ มันไม่ใช่เรื่องเล็กๆนะ ยังไงเราปรึกษาป๊าก่อนดีมั้ย”


“ป๊าคงไม่ยอมง่ายๆหรอกครับ แต่มิวมีความจำเป็นต้องผ่าตัดจริงๆนะ”


“เอางี้ ............................ ไว้แม่คุยกับป๊าเรา แล้วจะโทรไปหาอีกทีแล้วกัน ผ่าอะไรกัน ต้องเซ็นชื่อด้วย
แปลว่าไม่ใช่ผ่าธรรมดาใช่มะ ก็เห็นป๊าเค้าว่าอาทิตย์ก่อนที่แวะไปเยี่ยมยังเห็นแข็งแรงดีนี่นา”


“มิวไม่ได้ป่วยเป็นอะไรครับ แต่มิวอยากช่วยชีวิตอีกคนนึง นะครับแม่ แม่อนุญาตมิวนะ”


“ไว้แม่จะโทรไปแล้วกัน แค่นี้นะลูก มืดแล้ว ที่นี่ยังหนาวอยู่เลย ที่นู่นคงหนาวเหมือนกัน
ดูแลตัวเองดีๆนะ” น้ำเสียงของแม่ยังคงห่วงใย


“ครับ งั้นแค่นี้นะ สวัสดีครับ”


วางสายโทรศัพท์จากแม่แล้ว สีหน้าของมิวเริ่มดีขึ้น นักร้องหนุ่มเข้าไปลาป้าอรที่
ทำงานอยู่ในครัว ก่อนจะขึ้นข้างบนเพื่อทำธุระส่วนตัวและพักผ่อนซักที
.................
.................
แต่ละวันของนักร้องหนุ่มผ่านไปด้วยใจที่ไม่ค่อยจะสงบนัก ซ้อมร้องเพลงแต่ละครั้ง ก็
ออกมาไม่ได้ดังใจคาดหวังของเพื่อนๆและทีมงานในค่าย มิวใจจดใจจ่อรอโทรศัพท์จากแม่อยู่หลายวัน
จนในที่สุด แม่ก็โทรเข้ามาหาบอกว่าบ่ายวันเสาร์จะพาป๊าและน้องมายด์มาเยี่ยมถึงกรุงเทพฯ ข่าวที่ได้รับ
ทำให้นักร้องนำวงออกัสต์ทั้งตื่นเต้นและตื่นกลัวไม่น้อย





.....





.....





.....





“ให้มันเป็นเพลง บนทางเดินเคียง ที่จะมีเพียงเสียงเธอกับฉัน” เสียงโทรศัพท์มือถือของโต้งดังขึ้น
ในบ่ายวันศุกร์หลังเลิกเรียน ชายหนุ่มคว้ามือถือขึ้นมาตอบรับปลายสายทันที


“ว่าไงมิว” เสียงของโต้งพูดออกมาด้วยประโยคที่คุ้นเคย


“คืนนี้โต้งมานอนค้างบ้านเราได้ปะ พรุ่งนี้เช้าจะได้ตื่นแต่เช้าแล้วออกมาพร้อมกันเลย”


“ได้สิ แต่ว่าเรายังไม่ได้บอกแม่เลยนะ ว่าจะถ่ายเอ็มวีน่ะ” น้ำเสียงของชายหนุ่มมีความวิตกซ่อนอยู่บ้าง


“ไม่ต้องห่วงหรอกน่า เราโทรบอกน้านีย์ตั้งหลายวันแล้ว
แล้วก็ขออนุญาตให้โต้งมานอนค้างที่นี่เรียบร้อยแล้วด้วย” น้ำเสียงของมิวกระหยิ่มยินดี


“จริงดิ ก็ได้ งั้นเดี๋ยวเราแวะกลับบ้าน แล้วไปหาเลยนะ”
โต้งตอบรับแล้วเก็บกระเป๋านักเรียน จากนั้นก็เดินเรียกรถกลับบ้านของตน


“จะรีบไปไหนวะโต้ง” เสียงของเพื่อนสนิทดังเข้าหูให้ได้ยิน


“กลับบ้านก่อนโว้ย พรุ่งนี้กรูมีธุระแต่เช้ามืด ไปแดรกชาบ้านมรึงไม่ได้” โต้งบอกเพื่อน


“สุนีย์มารับแล้วเหรอวะ” เสียงกวนโอ๊ยของแหวดังขึ้นอีกคน


“ไร้สาระไม่หายนะมรึง วันนี้กรูกลับบ้านเองโว้ย”


“ก็ไอ้แหวมันแดรกขี้เป็นอาหาร ก็เลยปากหมาแบบนี้แหละ แต่ไอ้โต้ง
วันนี้พวกกรูไม่ได้จะไปแดรกชาบ้านไอ้เอิร์ธมัน แค่จะไปกินข้าวเฉยๆ
เพราะพรุ่งนี้มันต้องพาหวานใจมันไปทำงาน” เจ๋งเข้าร่วมการสนทนาอีกคน


“หวานใจคนไหนวะ เฮ้ย!! จริงดิ ไม่ค่อยได้คุยกันหลายวัน มัวแต่อ่านหนังสือสอบ
ตกลงเค้าตกปากรับคำเป็นแฟนกับมรึงแล้วเหรอวะ” โต้งถามเอิร์ธด้วยความดีใจ


“ก็ยังหรอก เค้ายังคงแคร์มรึงอยู่ แต่ก็บอกว่าจะพยายามตัดใจให้หมด
เหมือนอย่างที่หญิงเค้าตัดใจจากแฟนมรึงอะแหละ กรูยังต้องพยายามต่อไป”


“อือ.........สู้ๆนะเว้ย มรึงเป็นคนดี เป็นเพื่อนที่ดี กรูเชื่อว่าซักวันโดนัทจะใจอ่อน” โต้งให้กำลังใจเพื่อน


“ใจเว้ย...............แวะไปกินข้าวกับกรูก่อนปะ คืนนี้งดชา พรุ่งนี้ต้องไปรับโดนัทแต่เช้า”


“ไหนเหรอวะ” โต้งถามอย่างสงสัย


“ไม่รู้ดิ เค้าไม่ได้บอก บอกแค่ให้ไปรับแต่เช้ามืด จะไปทำงานแถวถนนเพชรบุรี
ใกล้ๆกับโรงแรมที่พวกเราไปช่วยมิวนั่นแหละ”


“งานอะไรเหรอวะ” โต้งยังสงสัยไม่เลิก


“กรูว่าแล้วว่ามรึงต้องไม่รู้ ตั้งแต่ก่อนคริสต์มาสแล้วเว้ย ที่โดนัทไปแอบเข้าสังกัดโมเดลลิ่ง
สวยเลือกได้แบบนั้น ก็ต้องอยากเป็นนางแบบอยู่แล้ว โดนัทบอกกรูว่าเค้าอยากจะบอกมรึงแต่เชี่ยเอ๊ย!!
มรึงไม่ค่อยใส่ใจเค้าเลย สุดท้าย ก็เลยไม่ได้บอกมรึงไงล่ะ” เอิร์ธเคลียร์ข้อสงสัยให้โต้ง


“เข้าใจแล้ว ตอนนี้กรูคงเชี่ยกับเค้ามากสินะ” โต้งพูดอย่างไม่สบายใจ


“มันไม่ใช่ความผิดของมรึงหรอกโว้ย ก็มรึงไม่ได้รักเค้า ยังไงซะ ตอนนี้ไอ้เอิร์ธมันก็ทำคะแนนอยู่
แล้วท่าทางจะไปได้สวยกว่ามรึงซะด้วย” เจ๋งปลอบใจเพื่อนโต้ง และให้กำลังใจเอิร์ธไปในตัว
............
............
โต้งกลับเข้าบ้านเพื่อเก็บสัมภาระไปบ้านมิว นอกจากเสื้อผ้าไม่กี่ชุดแล้ว
ชายหนุ่มยังหยิบหนังสือการ์ตูนเล่มโปรดไปด้วย จากนั้นก็เดินลงมาที่ชั้นล่าง
เห็นกรกำลังเตรียมตัวเข้านอน ในขณะที่สุนีย์ก็นั่งตรวจรายงานของนิสิตอยู่ที่โต๊ะกินข้าว


“ไงจ๊ะ พระเอกมิวสิควิดีโอ ตั้งใจทำงานนะลูก หาประสบการณ์ให้ตัวเอง”


“ฮะแม่ ไม่รู้ว่าพรุ่งนี้จะเสร็จดึกรึเปล่าสิครับ ถ้ายังไง โต้งขออนุญาตนอนค้างบ้านมิวอีกคืนนึงนะ”


“ยังไงก็โทรมาบอกก่อนแล้วกัน แม่จะได้ไม่ต้องห่วง จะรีบไปไม่ใช่หรอ ไปเถอะ
เดี๋ยวถึงบ้านมิวดึก” สุนีย์แกล้งตอบโต้งไปอย่างนั้นเอง ทั้งๆที่ในใจก็รู้อยู่ว่า คืนพรุ่งนี้ ทั้งมิว และกร
รวมทั้งสุนีย์เองจะต้องไปนอนที่โรงพยาบาลอย่างแน่นอน แต่เพราะรับปากมิวว่าจะไม่ให้โต้งรู้เรื่อง
ก่อนจะผ่าตัดเสร็จ ทำให้คนเป็นแม่ต้องจำใจปิดบังความจริงกับลูกชายที่รักของตน




Create Date : 09 กุมภาพันธ์ 2553
Last Update : 5 มีนาคม 2553 14:59:12 น.
Counter : 488 Pageviews.

2 comment
ตอนที่ 11 +++ หัวใจบรรเลง บทเพลงแห่งความรู้สึก +++


+++++ต่อเรื่อง+++++






สมาชิกทั้งสิบของวงออกัสต์ต่างรู้สึกกระวนกระวายที่นักร้องนำไม่ปรากฏตัวซักที พี่อ๊อดอารมณ์เสียมากขึ้นเรื่อยๆ เฮียสมเกียรติกับพี่หลิวยังคงใจเย็นอยู่ ส่วนคุณเอก็วางมาดขรึมสงบนิ่งอย่างเคย นอกจากมิวแล้ว คุณบีเองก็ยังมาไม่ถึงห้องบันทึกเสียง ไม่มีใครรู้ว่าเมื่อคืนนี้เกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นหลังจากที่ทุกคนแยกทางกัน นอกจากตัวมิวเอง คุณบี โต้งกับเพื่อนๆ รวมทั้งเฮียกับพี่หลิว แล้วก็หญิงอีกคน นักร้องหนุ่มไม่อยากให้เพื่อนๆในวงเป็นกังวล ยิ่งถ้ามีคนรู้เรื่องที่คุณบีทำกับมิว เพื่อนๆก็จะโกรธและโมโหคุณบีอย่างมาก ไหนๆมิวก็ยกโทษให้กับคุณบีแล้ว จึงไม่ได้บอกเรื่องนี้แก่ใครและขอร้องให้คนอื่นๆเก็บเรื่องนี้ไว้ด้วย


บ่ายสองโมงตรง อย่างกระหืดกระหอบ นักร้องหนุ่มวิ่งมาด้วยความรีบร้อนจนเหงื่อท่วมตัว เปิดประตูโผงเข้ามาพบพี่อ๊อดที่ใบหน้าบึ้งตึงด้วยความหงุดหงิด มิวจึงต้องรีบเข้าไปขอโทษตามระเบียบ


“ขอโทษครับพี่อ๊อด คือผม เอ่อ........................” นักร้องหนุ่มนึกคำแก้ตัวไม่ออก


“พี่เคยบอกแล้วใช่มั้ยมิว มืออาชีพน่ะ เค้าต้องมีความรับผิดชอบ ตรงต่อเวลา เราไม่ใช่วัยรุ่นธรรมดาที่จะมัวแต่สนุกแบบเดิมแล้วนะ ตอนนี้มิวเป็นนักร้องอาชีพแล้ว เข้าใจใช่มั้ยมิว การที่เราไม่เคารพเวลางานของคนอื่น มันจะส่งผลกระทบหลายอย่าง ไหนจะค่าเช่าห้องอัดที่เพิ่มขึ้น เสียเวลาทำงานมากขึ้น ยิ่งเสียเวลา การทำงานก็จะเครียด งานอาจจะออกมาไม่ดี พี่หวังว่ามิวจะเข้าใจนะ” พี่อ๊อดใส่เป็นชุดจนนักร้องหนุ่มสลด ได้แต่ก้มหน้า นี่เป็นอีกครั้งแล้วที่มิวถูกพี่อ๊อดดุ


“ผมผิดเองครับพี่อีอด อย่าว่ามิวเลยนะครับ” เสียงชายหนุ่มเมโทรโคโปรดิวเวอร์หนุ่มสำอางดังขึ้น


“คุณบี หมายความว่ายังไงเหรอครับ” พี่อ๊อดหันมาถามผู้ที่พึ่งเดินเข้ามาใหม่


“เรื่องมันยาวน่ะครับ เอาเป็นว่า ผมขอแรงมิวเค้าไปช่วยเลือกเพลงให้อีกวงนึง อยากฟังความเห็นนักแต่งเพลงหลายๆคน ก้เลยเสียเวลานานไปหน่อยอะครับ” คุณบียกเรื่องขึ้นมา ทำให้พี่อ๊อดไม่ซักไซ้ต่ออีก ส่วนนักร้องนำวงออกัสต์ก็ได้แต่ทำหน้างงๆ ตกใจที่คุณบียอมโกหกเพื่อช่วยให้ตนไม่ถูกพี่อ๊อดดุอีก แต่ก็นึกขอบใจอยู่เหมือนกัน หน้าเอ๋อรับประทานของมิวเปลี่ยนเป็นอมยิ้มสบายใจขึ้น


“เอ้า....................ยิ้มอยู่นั่นแหละ โน่น ไปเช็กเสียงได้แล้ว ซ้อมซะ จะได้เริ่มกันซักที” พี่อ๊อดหันกลับมาว่ามิ วที่มัวแต่ยิ้มเพลินอีกครั้ง


“คร้าบบบบบบบบบ” นักร้องนำรีบเข้าไปประจำที่ไมค์แล้วทดสอบเสียงทันที เพื่อนๆในวงยิ้มต้อนรับ แล้วเริ่มทำงานอย่างมีความสุข


เพลงทั้งสิบถูกคัดเลือกเป็นอย่างดี เพลงที่เคยทำวิงเกิ้ลแล้ว ไม่ต้องบันทึกเสียงอีก อย่างเพลง ticket , รู้สึกบ้างไหม , คืนอันเป็นนิรันดร์ และกันและกัน ส่วนเพลงใหม่อีกหกเพลงที่มิวแต่งขึ้นในเวลาไม่นานหลังปีใหม่ ถูกนำมาใส่ในอัลบั้มเต็มทั้งหมด ทั้ง คนธรรมดา ยังอยู่ในใจ ขอบคุณกันและกัน กับอีกสามเพลงล่าสุดที่มิวไม่ยอมร้องซักที


“ทำไมป่านนี้ พี่มิวยังไม่ยอมร้องเพลงพวกนั้นล่ะครับ” ปิงปองเอ่ยถามในตอนค่ำ หลังจากพึ่งอัดเสียงเสร็จไปจนครบทุกเพลง


“นั่นดิวะ อัดเสียงเครื่องดนตรีเสร็จหมดแล้วนะโว้ย เพลงอื่นก็เสร็จครบถ้วนสมบูรณ์แล้ว เหลือแต่เพลงใหม่ของมรึงนี่แหละ ไม่ยอมร้องซักที” เอ๊กซ์ก็เอ่ยถามขึ้นบ้าง เพราะคงสงสัยไม่แพ้กัน


“ใจเย็นดิวะ กรูกำลังคิดไลน์เสียงอยู่ ว่าจะเอายังไงดี ยังออกแบบวิธีการร้องไม่เสร็จอะ ไม่รู้ว่าจะร้องยังไง ให้อารมณ์เพลงมันเกิด เหมือนตอนที่แต่งใหม่ๆ” นักร้องหนุ่มบอกเพื่อนๆ


“สงสัยต้องร้องให้ใครฟังรึเปล่า” ปิงปองถามพลางยิ้มพลาง เพื่อนๆในวงต่างร่วมด้วยช่วยกันเฮ


“อออออออา “ ออกัสต์ทุกคนชี้มือชี้นิ้วและยิ้มใส่นักร้องนำที่เริ่มเขินหน้าแดง


“จะบ้าเหรอ ไม่เอา ไม่พูดดีกว่า” พยายามเก็บอาการเขินสุดแรงเกิด แต่ก็ทำได้ไม่เนียนเอาซะเลย บรรยากาศครึกครื้นในช่วงเวลาพัก ทำให้นักร้องหนุ่มสลัดเรื่องกลุ้มที่เกาะกุมใจไปได้ไม่น้อย คุณบียืนมองอยู่ห่างๆ รู้สึกมีความสุขกว่าก่อน ที่ได้มองมิวในอีกแบบ ไม่ใช่ความใครสิเน่หาอย่างเดิมที่เคยทำร้ายใจตนเอง และเกือบทำร้ายคนอื่นด้วย


“กรูว่านายนั่นมาแปลกว่ะ ไม่เห็นเหมือนตอนที่อยู่โรงพยาบาลเลย ตอนนั้นแมร่งโรคจิตชะมัด ไหงวันนี้มันเปลี่ยนไปวะเนี่ย” มือคีย์บอร์ดร่างท้วมทักขึ้นมา ทำให้คนอื่นๆหันไปมอง


“นั่นดิ แปลกจริงๆด้วยเว้ย เฮ้ยมิว มรึงรู้ปะวะ” มือเบสตาตี่ที่สงสัยเช่นกัน หันมาถามนักร้องนำเพื่อนร่วมห้อง


“เรื่องมันยาว ไว้กรูจะเล่าให้ฟังวันหลัง กรูว่ารีบกินข้าวเหอะ เดี๋ยวพวกพี่อ๊อดประชุมเสร็จ เข้ามาเห็นเราโอ้เอ้ จะโดนดุเอา” มิวทิ้งคำตอบที่ทำให้เพื่อนยังไม่หายคาใจ แต่ก็ไม่มีใครถามอีก แล้วพากันกินข้าวเย็นต่อไป จากนั้นก็ซ้อมกันต่ออีกพักใหญ่ ก่อนที่พี่อ๊อดจะอนุญาตให้กลับบ้านได้ตอนสามทุ่มกว่าๆ นักร้องนำคิดจะโทรหาโต้ง แต่เพราะไม่ได้เที่ยวกับเพื่อนร่วมวงยายมากแล้ว จึงแค่ส่งข้อความหาเท่านั้น


“เลิกงานแล้ว จะไปดูหนังรอบดึกกับเพื่อนๆในวง เที่ยงคืนถึงบ้าน “ ร่างสูงนอนอ่านข้อความในโทรศัพท์มือถือที่ส่งมาจากคนใกล้ชิดอยู่บนเตียงนอนของตน แอบบ่นน้อยๆ

“โห มิวอะ ไปเที่ยวกับเพื่อน น่าจะโทรมาชวน อะนะ ให้มิวพักผ่อนบ้างดีกว่า เหนื่อยมาหลายวันแล้วนี่เนอะ” โต้งส่งข้อความกลับไป ก่อนจะหยิบหนังสือการ์ตูนเล่มโปรดชื่อ”BECK ปุปะจังหวะฮา” มาอ่านต่ออย่างสนุกสนาน


“ดูหนังเผื่อด้วยนะ เดี๋ยวโทรหาก่อนนอน” นักร้องหนุ่มร่างโปร่งหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาอ่านข้อความ ก่อนจะเดินเข้าไปในโรงหนังกับเพื่อน แล้วปิดเครื่อง




“ตื๊ดดดดดด ตื๊ดดดดดดด” โทรศัพท์มือถือของนักร้องหนุ่มดังขึ้น หลังจากกลับมาถึงบ้านตอนเกือบเที่ยงคืน


“ว่าไงโต้ง” มิวพูดผ่านโทรศัพท์ลงไปทันทีโดยไม่ได้ดูชื่อผู้โทรเข้า


“กลับถึงบ้านรึยัง” คนโทรเข้ามาเอ่ยปากถาม


“พึ่งมาถึงเนี่ย แล้วโต้งล่ะ จะเที่ยงคืนแล้ว ไม่นอนอีกหรอ” น้ำเสียงนักร้องหนุ่มเหนื่อยล้าอยู่บ้าง แต่ก็ถามกลับอย่างห่วงใย


“นอนไม่หลับอะ อยากฟังเสียงมิวก่อนนอน” น้ำเสียงออดอ้อนเล็กน้อยตามประสาคนเหงาที่คิดถึงคนรัก


“ทำมาเป็นอ้อน ยังกับเด็กอะ โตแล้วนะ” มิวแกล้งว่าเล็กๆ แต่ก้แอบยิ้มผ่านหูโทรศัพท์มือถือของตนเอง


“ไม่ค้องมาแกล้งว่าเราเลยนะ รู้ว่ามิวแอบยิ้มอยู่แน่ๆ ใช่ปะ นะ นะ ร้องเพลงให้ฟังหน่อยดิ” ยังคงใช้น้ำเสียงอ้อนที่ทำเอานักร้องหนุ่มใจอ่อนเสมอ


“หลับตาลงนะ นะคนดี ขอให้เวลานี้ เธอหลับแล้วพักผ่อน กล่อมด้วยเพลงแห่งรัก ให้เธอนอน แค่เพียงก่อนที่ฟ้าจะสาง.............................พอแล้ว แค่นี้แหละ เดี๋ยวได้ใจ นอนหลับฝันดีนะ” เสียงร้องอ่อนโยนกับคำพูดอ่อนหวานของนักร้องหนุ่มทำเอาปลายสายเคลิบเคลิ้ม


“ขอบคุณนะ ฝันดีเช่นกันนะมิว” โต้งทิ้งประโยคสุดท้ายก่อนจะวางหู





....





....







แสงแดดยามสายของวันอาทิตย์สาดเข้ามาในห้องนอนของชายหนุ่ม ร่างโปร่งกำลังพลิกตัวอยู่บนที่นอนสีขาวภายใต้ผ้าห่มสีเขียวใบไม้ สองแขนยังคงโอบกอดหมอนใบเดิม ที่ใครบางคนเคยหนุนนอนหลายครั้ง นักร้องหนุ่มนอนยิ้มเพลินๆเหมือนคนฝันดี ดูท่าคงจะนอนฝันดีไปอีกนาน ถ้าเสียงโทรศัพท์มือถือไม่ดังขึ้นซะก่อน


“ตื๊ดดดดดด ๆ ๆ ๆ” มิวเอื้อมแขนไปหยิบโทรศัพท์บนโต๊ะข้างเตียง ก่อนจะงัวเงียรับสาย


“โหล ใครอะ” คนรับสายยังคงไม่ตื่นดีเท่าไหร่


“กรูเอง อยู่หน้าประตูบ้านมรึงแล้วเนี่ย มาเปิดเร็วเข้า” เสียงคุ้นเคยของเพื่อนสนิททำเอานักร้องหนุ่มหงุดหงิดเล็กน้อย ที่ต้องมาถูกปลุกจากความฝัน


“เออ.................เดี๋ยวกรูลงไป” ตอบแบบขอไปทีตามประสาคนพึ่งจะตื่นนอน ร่างโปร่งพยุงร่างตนเองขึ้นจากที่นอน เดินลงบันไดไปเปิดประตูหน้าบ้านทันทีโดยไม่แวะล้างหน้า


“กว่าจะเปิดประตูได้นะมรึง ยืนคอยจนรากจะงอกแล้วเนี่ย” นักกีตาร์คิ้วหนาเริ่มบ่นเพื่อนสนิทนักร้องนำที่งัวเงียมาเปิดประตูให้ช้า ไม่ทันใจ


“เก้าอี้มี เสรือกไม่นั่งล่ะ ยืนอยู่ได้ แล้วทำมาบ่นกรู” มิวสวนกลับไปบ้าง


“ก็ใช่ว่าไม่อยากนั่ง มรึงแหกตาดูซะก่อนดิ” เอ๊กซืว่ากลับแล้วชี้ให้มิวหันไปดูเก้าอี้ยาวสีขาวหน้าบ้าน


“เฮ้ย!!! มาไงวะเนี่ย” เจ้าของบ้านร้องอุทานด้วยความตกใจเมื่อเห็นอีกสามร่างที่คุ้นตากึ่งนั่งกึ่งนอนเบียดกันอยู่บนเก้าอี้ ที่สำคัญ เหมือนจะหลับกันอยู่เลย โดยเฉพาะมือเบสเพื่อนร่วมห้องที่มิวสังเกตเห็นคราบน้ำลายตรงมุมปาก


“ตื่นได้แล้วเว้ย” เอ๊กซ์ตะโกนใส่หูของปิงปองที่อยู่ใกล้ที่สุด ทำเอามือแซ็กรุ่นน้องสะดุ้งโหยง ก่อนจะค่อยๆปลุกคนอื่นๆให้ตื่นขึ้นแล้วพากันเดินเข้าบ้านของนักร้องนำ


“มีธุระอะไรกับกรูแต่เช้าวะเนี่ย พึ่งจะแปดโมงเองนะเว้ย” มิวถามเสียงฉุนสำเนียงบ่นเล็กน้อย


“ก็พี่อ๊อดอะดิ โทรสั่งเด็ดขาด ว่าวันนี้ให้มาลากมรึงไปให้ถึงห้องอัดก่อนเที่ยงให้ได้ เค้ากลัวมรึงสายเหมือนเมื่อวานมั้ง” เอ๊กซ์เริ่มสาธยาย


“ทำไมวะ มีอะไรปะ ก็ไหนว่านัดบ่ายโมงไง” น้ำเสียงของมิวเบาลง ถามอย่างสงสัย


“ไอ้ปิง สาธยายซิ กรูขี้เกียจเล่า” นักกีตาร์คิ้วหนาสั่งรุ่นน้องให้เล่าแทน ส่วนตัวเองเดินไปที่โซฟาตัวเก่าแล้วล้มลงนอนโดยไม่สนใจนักร้องหนุ่มเพื่อนซี้ ที่ทำหน้าสงสัยอยู่


“คืองี้พี่มิว พี่อ๊อดแกบอกว่า เที่ยงวันนี้จะมีคนมาสัมภาษณ์วงเรา โดยเฉพาะนักร้องนำ เค้าอยากสัมภาษณ์มาก เห็นว่ามาจากนิตยสารเล่มไหนซักเล่มนี่แหละ จำไม่ได้แล้ว” ปิงปองเริ่มเล่าให้มิวฟัง


“แล้วแห่กันมาหมดเลยเนี่ยนะ เวอร์ไปรึเปล่าวะ” นักร้องหนุ่มเจ้าของบ้านขยี้ตาเล็กน้อยเพื่อดึงให้ขี้ตาหลุด แล้วรอคำตอบ


“ก็ไอ้ปิงกับไอ้เชี่ยเอ๊กซ์สิวะ รับคำสั่งมาจากพี่อ๊อดแ ค่สองคน เสรือกลากพวกกรูสองคนมาด้วย บอกว่ามากันหลายคน แล้วมรึงจะเกรงใจเพื่อน ไม่มัวโอ้เอ้อยู่กับแฟนเหมือนเมื่อวาน” มือเบสเพื่อนร่วมห้องที่ตื่นแล้วได้โอกาสสาธยายกับเค้าบ้าง


“อย่ามองปิงปองอย่างงั้นดิพี่มิว ปิงไม่ได้พูดนะ ประโยคที่พี่ต่อว่าเมื่อกี๊เนี่ย พี่เอ๊กซ์คนเดียวเลย ผมไม่เกี่ยว” ปิงปองรีบแก้ตัวทันทีหลังจากสังเกตเห็นแววตาพิฆาตส่องออกมาจากดวงเนตรสีน้ำเงินอ่อนของมิว


“อือ...............พี่รู้แล้วน่า ปากไอ้เอ๊กซ์ก็เงี้ย ชินแล้ว แต่พวกมรึงไม่มากันเร็วไปหน่อยเหรอวะ แล้วไอ้แวนอีกคน มรึงไปลากมันมาได้ไงวะเนี่ย บ้านมันไกลจากที่นี้ตั้งเยอะ นี่ไม่ต้องไปปลุกแต่เช้ามืดเลยหรอวะ” มิวถามอย่างสงสัย


“ใครว่ามันมาจากบ้านล่ะ เมื่อคืนมันไปนอนบ้านกรูเว้ย ลืมแล้วรึไง เตี่ยกับม๊ามันไปเมืองนอกเมื่อวาน เหลือแต่เจ๊ของมันกับพวกคนงาน ไอ้นี่ก็เลยขอไปเล่นเกมบ้านกรู ให้ตายเหอะ พึ่งได้นอนแค่สามชั่วโมง ไอ้เชี่ยเอ๊กซ์ก็ไปปลุกแต่เช้า กรูสองคนก็เลยต้องลากสังขารมากับมันเนี่ย” ต่อค่อยๆเล่าให้มิวฟัง ในขณะที่มือคีย์บอร์ดของวงออกัสต์เดินไปที่โซฟาอีกคนเพื่อเบียดแย่งที่นอนกับมือกีตาร์คิ้วหนา


“ทีแรกก็จะโทรชวนพี่เอ็มอีกคนแล้วล่ะพี่มิว แต่พี่เอ็มปิดเครื่อง ก็เลยเปลี่ยนใจไม่โทร เพราะถ้าโทรไป พี่เอ็มเค้าก็ต้องมาอยู่ดี แล้วก็ต้องมาบ่นให้ฟังกันอีกอย่างเคยแน่นอน” ปิงปองพูดไปก็อมยิ้มเล็กๆ นึกถึงใบหน้าขี้บ่นของมือกลองรุ่นพี่


“เออ...................กรูรู้เรื่องแล้ว เดี๋ยวกรูไปอาบน้ำก่อน พวกมรึงหิวปะ ถ้าหิวก็หาอะไรในครัวทำกินแล้วกันนะ เผื่อกรูด้วยก็ดี อาทิตย์นี้ป้าอรไม่อยู่ แต่ถ้าจะไปซื้อก็เผื่อกรูด้วยนะเว้ย ชักจะเริ่มหิวเหมือนกัน กรูขึ้นไปอาบน้ำก่อนแล้วกัน” ร่างโปร่งสะบัดตัวเดินขึ้นบันไดไปทันทีหลังจากพูดจบ

.........
.........
.........

สิบเอ็ดโมงครึ่ง ทั้งห้าคนมาถึงห้องบันทึกเสียงก่อนเวลานัดเล็กน้อย คุณเอกับคุณบีมาคอยอยู่ก่อนแล้ว รวมทั้งสมาชิกคนอื่นๆ น้องไมค์กับน้องอาร์มกำลังเช็กเสียงเครื่องเป่าอยู่ที่มุมห้องด้านใน ที่โซฟายาว มิวสังเกตเห็นว่าพี่อ๊อดก็มารอนานแล้วเช่นกัน พี่หลิวที่วันนี้ฉายเดี่ยวกำลังช่วยน้องอ่อง น้องแมค และน้องอ้วนซ้อมไลน์เสียงประสานเพลง”ยังอยู่ในใจ”กับ”ขอบคุณกันและกัน”ให้คมขึ้น วันนี้ไม่มีเฮียตามติดเหมือนเช่นเคย เพราะว่าวันนี้ม๊าพาเฮียกับหญิงไปเยี่ยมญาติ กว่าจะกลับคงช่วงเย็นพอดี


“มากันแล้วหรอ ดีเลย พี่นัดเพื่อนที่จะสัมภาษณ์ไว้เที่ยงตรง ยังพอเหลือเวลา จะได้นัดแนะกัน ว่าควรจะพูดเรื่องอะไรบ้าง เข้าไปข้างในสิ จะบรีฟให้ฟัง” พี่อ๊อดเรียกให้พวกมิวเข้าไปด้านในห้องเล้กอีกห้องนึง


“แล้วพวกเอ็มกับน้องๆล่ะครับพี่อ๊อด ไม่เข้าไปพร้อมกันเหรอครับ” นักร้องนำเอ่ยปากถาม


“ไม่ต้องหรอก ตอนสัมภาษณ์น่ะ เข้าพร้อมกัน แต่พวกนั้นเค้าพูดไม่เก่ง พวกเราห้าคนนี่แหละ เหมาะแล้ว ช่วยกันพูดโปรโมตวงกับอัลบั้มใหม่ สัมภาษณ์หนังสือนะ ไม่ได้ออกทีวี พูดไม่กี่คนก็พอแล้วแหละ” พี่อีอดพาพวกมิวเข้าไปในห้องแล้วเริ่มบรี๊ฟทันที

...........
...........
...........

บ่ายโมงแล้ว การสัมภาษณ์ผ่านไปได้ด้วยดี มิวและเพื่อนๆรวมทั้งปิงปองตอบคำถามของผู้สัมภาษณ์ได้น่าประทับใจ ท่าทางพี่คนนั้นสนใจออกัสต์อย่างมาก หลังจากสัมภาษณ์กลุ่มเสร็จ มิวก็ถูกขอให้อยู่คนเดียวเพื่อสัมภาษณ์เดี่ยว การสัมภาษณ์ตัวต่อตัวระหว่างมิวกับนักข่าวคนนั้นผ่านไปสิบนาที ก่อนที่คนๆนั้นจะยิ้มร่าออกจากห้องแล้วลากลับไป มีเพียงนักร้องหนุ่มที่หน้าซีดไม่สบายใจอยู่ในห้อง นั่งนิ่งเพียงลำพัง คำถามสามข้อสุดท้ายที่ถูกถามทำเอามิววิตกไม่หาย ร่างโปร่งนั่งใคร่ครวญคำตอบของตนเองว่าตอบดีรึเปล่า ความกังวลแสดงออกบนใบหน้าเป็นเม็ดเหงื่อที่ไหลซึมบนใบหน้า ทั้งๆที่ห้องนั้นเปิดแอร์เย็นเฉียบ มิวหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา ตั้งใจจะโทรหาโต้ง แต่ก็ลังเลอยู่อย่างนั้น ไม่กล้าตัดสินใจ จนพี่อ๊อดแวะเข้ามาบอกว่าพักครึ่งชั่วโมง นักร้องหนุ่มก็ยังไม่ตื่นจากภวังค์ ยังคงนั่งคิดอะไรต่อไปเงียบๆคนเดียว




“ให้มันเป็นเพลง บนทางเดินเคียง ที่จะมีเพียงเสียงเธอกับฉัน” เสียงโทรศัพท์มือถือของโต้งดังขึ้น ชายหนุ่มกำลังอ่านหนังสือเรียนอยู่ที่โต๊ะหินอ่อนหน้าบ้าน ยิ้มหน้าบานก่อนจะหยิบโทรศัพท์มาพูด


“ว่าไงมิว” โต้งพูดผ่านหูโทรศัพท์ลงไป แต่เสียงเงียบ คนโทรมาไม่มีปฏิกิริยาตอบ นั่นยิ่งทำให้ชายหนุ่มเป็นกังวลว่าเกิดอะไรขึ้นกับคนรักของตน




........




........




........






“ให้มันเป็นเพลง บนทางเดินเคียง ที่จะมีเพียงเสียงเธอกับฉัน” เสียงโทรศัพท์มือถือของโต้งดังขึ้น ชายหนุ่มกำลังอ่านหนังสือเรียนอยู่ที่โต๊ะหินอ่อนหน้าบ้าน ยิ้มหน้าบานก่อนจะหยิบโทรศัพท์มาพูด


“ว่าไงมิว” โต้งพูดผ่านหูโทรศัพท์ลงไป แต่เสียงเงียบ คนโทรมาไม่มีปฏิกิริยาตอบ นั่นยิ่งทำให้ชายหนุ่มเป็นกังวลว่าเกิดอะไรขึ้นกับคนรักของตน


“เปล่าโต้ง ไม่มีอะไร” เสียงตอบจากนักร้องหนุ่มที่เริ่มพูดหลังจากเงียบไปพักหนึ่ง


“ไม่มีอะไรได้ไงอะมิว ปกติมิวไม่เป็นแบบนี้นี่นา มีอะไรในใจกันแน่ล่ะ บอกมาเหอะนะ” โต้งเอ่ยปากถามด้วยความเป็นห่วง


“เปล่า ไม่มีอะไรจริงๆ” มิวยังคงปฏิเสธ


“อือ........ไม่มีก็ไม่มี แล้วมิวโทรมาตอนนี้ แปลว่าเสร็จงานแล้วใช่ปะ” โต้งถามด้วยความกระตือรือร้น หวังใจว่าถ้ามิวเสร็จงานแล้วจะได้ไปเที่ยวด้วยกัน


“ยังหรอก แค่อยากได้ยินเสียงโต้งเท่านั้นแหละ งั้นแค่นี้ก่อนนะ พี่อ๊อดเรียกแล้ว” มิวรีบวางสายทันที ยิ่งทำให้โต้งไม่สบายใจมากขึ้น ชายหนุ่มจึงกดวางสายโทรศัพท์ของตนแล้วขออนุญาตสุนีย์ออกไปข้างนอกทันที

.........
.........

“วันนี้มิวต้องร้องเพลงที่แต่งใหม่ได้แล้วนะ จะได้บันทึกเสียงให้เสร็จกันซักที ขืนรั้งเวลาต่อไป จะไม่ทันเวลา พี่อยากให้เอาเพลงของพวกเราไปโปรโมตตามคลื่นวิทยุก่อนสิ้นเดือน นี่ก็ล่วงมากลางเดือนแล้วด้วย หวังว่ามิวจะเข้าใจนะ” พี่อีอดกึ่งขอร้องกึ่งออกคำสั่งกับนักร้องนำวงออกัสต์


“ครับพี่ เริ่มจากเพลงสุดท้ายที่แต่งไว้ เพลงดาราก่อนแล้วกันครับ” น้ำเสียงของมิวแผ่วเบา ร่างโปร่งพูดจบก็เดินไปที่ห้องอัด คว้าไมโครโฟนขึ้นมา น้องๆคอรัสอีกสามคนตามเข้าไปในห้อง เสียงดนตรีบรรเลงเพลงดาราที่บันทึกไว้ก่อนแล้วดังขึ้น ทำนองเนิ่นช้าชวนให้เศร้าซึม และเหงาอย่างประหลาด ฟังแล้วช่างว้าเหว่เดียวดายเหมือนดวงดาวที่ลอยอย่างเงียบงันบนท้องฟ้าเสียนี่กระไร มิวค่อยๆทบทวนอารมณ์ความรู้สึกที่แต่งเพลงนี้ หลังจากช่วงที่โต้งทอดอาลัยและถอดสร้อยเขวี้ยงลงไปในคลองเมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา นักร้องหนุ่มยกมือขึ้นมาที่ทรวงอกของตนเอง กระชับสร้อยพร้อมจี้รูปกางเขนเส้นนั้นไว้แน่น พลางหวนนึกถึงความรู้สึกกดดันที่ได้รับจากนักข่าวที่มาสัมภาษณ์เมื่อครู่ จดจำความรู้สึกและอารมณ์ในขณะนั้นอย่างแม่นยำแล้วจึงค่อยๆเปล่งเสียงออกมา



“งามโอ้งามดวงจันทรา โอ้งามโอ้งามเดือนดารา ดาวเดือนลอยส่องฟ้าดูสวยงาม
มองจนใจหลุดลอยไป ขึ้นไปข้างบนกับลมหนาว มองหมู่ดาวจนมองไม่เห็นใคร

มีดาวบนฟ้าตั้งมากตั้งมายเป็นล้านดวง ฉันมองตรงนี้ทุกครั้ง ที่ฟ้าค่อยมืดลงไป
จนมีแสงระยิบระยับประดับประดาบนฟ้าไกล แต่บางทีก็นึกหวั่นไหว ว่าแสงรำไรจะลวงตา

โอ้ไกล ( โอ้ไกล) อยู่ตรงไหนไม่รู้หรอก โอ้ใจ ใครจะรู้ว่าจริงหลอก
โอ้ใคร (โอ้ใคร) ใครที่รู้มาช่วยบอก ว่าที่เห็นนั้น จริงหรือหลอกตา ที่บนฟ้านั้นหรือคือ
ปลายทางที่...

งามโอ้งามดวงจันทรา โอ้งามโอ้งามเดือนดารา ดาวเดือนลอยส่องฟ้าดูสวยงาม
มองจนใจหลุดลอยไป ขึ้นไปข้างบนกับลมหนาว มองดูดาวอยู่ อย่างสงสัยว่าดาวบนฟ้าไกล นั้นมีจริงหรือเปล่า

โอ้ไกล ( โอ้ไกล) อยู่ตรงไหนไม่รู้หรอก โอ้ใจ ใครจะรู้ว่าจริงหลอก
โอ้ใคร (โอ้ใคร) ใครที่รู้มาช่วยบอก ว่าที่เห็นนั้น จริงหรือหลอกตา ที่บนฟ้านั้นหรือคือ
ปลายทางที่...

ดาวเดือนจะเลือนลา เดือนดาราจะลาเลือน ราวจะเตือนให้เราได้ลืมตา
มองสิ มองดูดาวโรย ที่โปรยร่วงราวจากเวหา จนเวลาผ่านไป ใครจำได้ไหมว่าบนฟ้าไกล
นั้นเคยมีดารา.......... ดารา............ฮือ...........”


การถ่ายทอดความรู้สึกของมิวผ่านบทเพลงเมื่อครู่ นอกจากเสียงร้องที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวแล้ว อารมณ์เพลงและความรู้สึกที่ถ่ายทอดออกมาก็ชวนให้คนฟังขนลุก เคว้งคว้าง และว้าเหว่ตามไปด้วย น้องๆคอรัสอย่างน้องอ้วน น้องอ๋อง น้องแมค ก็สอดคล้องได้จังหวะอารมณ์ตรงกับที่นักร้องนำต้องการสื่อ คงเพราะร้องเพลงด้วยกันมานาน ทำให้ความรู้สึกจากรุ่นพี่นักร้องนำสามารถส่งต่อสู่รุ่นน้องคอรัสได้อย่างลงตัวและกลมกลืนเสมือนอารมณ์จากคนคนเดียวกัน


“เพราะ เพราะมากๆ อารมณ์เพลงสุดยอดเลยมิว ไม่น่าเชื่อว่าเพลงที่มีอารมณ์ลึกขนาดนี้ เรายังสามารถแสดงออกถึงความรู้สึกได้ลึกและโดนขนาดนั้น มืออาชีพจริงๆ” พี่อ๊อดกล่าวชมนักร้องนำอย่างมิวและคอรัสทุกคนที่ช่วยกันขับขานเพลงนี้ได้ถูกใจแกเหลือเกิน ขนาดคุณบีที่นั่งฟังอยู่ห่างๆยังถึงกับต้องปาดน้ำตา เพราะหวนคิดถึงเรื่องราวของตนเอง


หลังจากเพลงดาราจบลง มิวก็ขอพี่อ๊อดเพื่อพักเสียงและทำอารมณ์กับเพลงต่อไปก่อน พี่อ๊อดจึงตัดสินใจให้พักสิบห้านาที นักร้องหนุ่มจึงเดินเข้าไปล้างหน้าในห้องน้ำตามลำพัง


“มรึงมีอะไรปะวะ เห็นแปลกๆตั้งแต่ที่ถูกสัมภาษณ์เดี่ยวแล้ว บอกกรูได้นะเว้ย” เอ๊กซ์ที่สังเกตเห็นความผิดปกติของเพื่อนแอบเดินตามเข้ามาไต่ถามเรื่องราว


“มรึงไม่เข้าใจหรอก” มิวตอบสั้นๆ


“อีกแล้ว ตอบแบบนี้ทุกที ถึงกรูจะไม่เข้าใจมรึง แต่กรูก็เป็นเพื่อนมรึงนะเว้ย ทำไมมรึงถึงคิดว่าไม่มีใครห่วงใยมรึงวะ อย่างน้อยมรึงก็มีพวกกรูไง มีหญิง แล้วก็มีโต้งอีกคน แต่ตอนนี้ เวลานี้ พวกกรูอยู่เคียงข้างมรึง มรึงมีอะไรก็อย่าเก็บไว้คนเดียวสิวะ เล่าให้พวกกรุฟัง ถึงกรูช่วยมรึงไม่ได้ แต่พวกกรูทุกคนก็พร้อมจะยืนหยัดกับมรึงนะโว้ย” มือกีตาร์หนุ่มคิ้วหนาปลอบใจเพื่อน พร้อมกับที่เพื่อนคนอื่นๆพากันเดินเข้ามาหานักร้องนำที่กำลังทุกข์ใจอะไรบางอย่าง แต่เก็บไว้คนเดียว


“นั่นดิพี่มิว เสียงร้องเพลงของพี่เมื่อกี้มันฟ้องอยู่ชัดๆว่าพี่กำลังมีอะไรในใจ ถึงปิงปองช่วยอะไรไม่ได้ แบ่งเบาไม่ได้ แต่ก็ใช่ว่าจะช่วยรับฟังไม่ได้ซักหน่อย นักข่าวเมื่อกี้เค้าถามอะไรพี่หรอ พี่ถึงได้ดูแย่ปานนี้ มีอะไรพี่ก็เล่าให้พวกเราฟังได้นะ ไม่แน่ว่าเราอาจจะช่วยกันแก้ไขปัญหานั้นด้วยกันก็ได้” มือแซ็กหนุ่มรุ่นน้องเริ่มพูดจาปลอบนักร้องนำรุ่นพี่อีกคน


แทนคำตอบ มิวล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกง หยิบเอารูปมาใบหนึ่ง แล้วส่งให้ทุกคนได้ดู มันเป็นรูปที่นักข่าวคนนั้นมอบให้กับมิวก่อนจะจบสัมภาษณ์แล้วเดินออกไป ทุกคนดูรูปใบนั้นแล้วถึงกับอึ้ง พูดไม่ออก สายตาทั้งสิบคู่ของออกัสต์ทุกคนหันจ้องไปที่ใบหน้าของผู้นำวงที่กำลังยืนจ้องแววตาสีน้ำเงินของตนเองที่สะท้อนมาจากกระจกบานใหญ่เหนืออ่างล้างหน้าสีขาว


“นี่มรึงกับไอ้โต้ง ไปแอบมีอะไรกันแล้วเหรอวะ ให้ตายสิเพื่อนกรู อะไรกันวะเนี่ย” มือกลองหนุ่มหลุดปากออกมาอย่างตกใจและสงสัย


“กรูเปล่านะเว้ย กรูยังไม่เคยแม้แต่จะคิด กรูกับโต้งแค่อยู่ผิดที่ผืดเวลาก็เท่านั้น” นักร้องหนุ่มแก้ตัวทันที น้ำเสียงสั่นกลัวอยู่บ้าง แต่เพื่อนๆก็ฟังรู้ว่าไม่ได้โกหก


“หน้าโรงแรมเนี่ยนะ เอาเหอะ กรูเชื่อมรึง แต่นี่มันไม่ใช่เรื่องเล็กนะเว้ย กรูว่ามรึงต้องรีบปรึกษาพี่อ๊อดกับคุณเอโดยด่วน ให้ตายดิวะ เสรือกมาดันงานเข้าก่อนวางแผงอัลบั้ม ช่างแมร่งมันปะไร ยังไงพวกกรูก็เคียงข้างกับมรึงเสมอ กรูเชื่อว่า แล้วมันจะผ่านไปได้ด้วยดี” ชายหนุ่มคิ้วหนาพูดจบก็ตบที่บ่าซ้ายของเพื่อนรักเบาๆ ก่อนจะพาสมาชิกออกัสต์ทั้งวงออกไปจากห้องน้ำที่เริ่มจะแน่นและหายใจไม่ค่อยสะดวก






หลังจากเวลาพักผ่านพ้นไป นักร้องหนุ่มกลับเข้าห้องอัดเสียงอีกครั้ง เพื่อที่จะบันทึกเพลงต่อไป คราวนี้มิวเลือกเพลงที่ตนแต่งไว้ตอนอยู่โรงพยาบาล ใช้ชื่อเพลงว่า”เช้าวันใหม่” เพราะอยากเปลี่ยนบรรยากาศและอารมณ์เพลงให้สดใสขึ้น แต่เวลาผ่านไปเรื่อยๆ หลายรอบก็แล้ว มิวก็ยังไม่สามารถขับขานเพลงที่ตนเองแต่งนี้ได้ซักที ถึงเนื้อเสียงของนักร้องนำวงออกัสต์จะไพเราะมาก แต่อารมณ์ที่เกิดขึ้นขณะร้อง ความรู้สึกที่มิวถ่ายทอดออกมานั้น คุณเอและพี่อ๊อดล้วนบอกว่าฟังแล้วมันยังไม่สดใส ไม่สว่างอย่างที่ควรจะเป็นตามความหมายของเพลง ฟังแล้ว ความสุขมันเปล่งประกายมาจากตัวนักร้อง มิวพยายามอยู่หลายครั้ง ลองเปลี่ยนให้น้องคนอื่นๆร้องดูบ้าง ถึงเสียงจะดีไม่แพ้กันเท่าไหร่ แต่ก็ยังขาดอัตตลักษณ์ที่โดดเด่น อีกอย่างนึง เพลงเหล่านี้ มิวเป็นคนแต่งขึ้นทั้งหมด น้องๆคอรัสทั้งสามคนจึงอยากให้พี่มิวที่เป็นเหมือนแรงบันดาลใจ เป็นผู้นำที่ให้โอกาสพวกตนทั้งสามได้เดินสู่ถนนสายนี้ได้ร้องและถ่ายทอดเองมากที่สุด มิวฟังน้องๆร้อง สังเกตจากแววตาของน้องๆทั้งสามก็เข้าใจ อดรู้สึกขอบใจไม่ได้ นักร้องนักแต่งเพลงหนุ่มตั้งใจว่าจะหาโอกาสแต่งเพลงเพื่อให้น้องๆเหล่านี้ได้ร้องเป็นเพลงของตนเองบ้าง อย่างน้องเพชรหรือที่คนในวงชอบเรียกว่าน้องอ้วน ก็มีเพลงคืนอันเป็นนิรันดร์เป็นของตัวเองแล้ว ถึงแม้ว่ามิวจะไม่ได้แต่งเพลงนี้เอง แต่เท่าที่ได้ฟังมา ก็ไม่มีใครที่ร้องเพราะไปกว่าน้องอ้วนอีก ปกติแล้ว นักร้องหนุ่มจะไม่ค่อยสนิทกับน้องๆคอรัสเท่ากับเพื่อนนักดนตรีร่วมสายชั้น แต่ก็รู้ดีว่าน้องๆทุกคนรักตน เหมือนที่เพื่อนๆรักตนเช่นกัน นักร้องหนุ่มแอบยิ้มให้กับตนเองที่โชคดีว่ามีเพื่อนและน้องๆที่เข้าใจ เห็นใจ แต่อย่างไรก็ตาม............................................................................


“ยิ้มอะไรอยู่ได้มิว ไม่เอาแล้ว ขืนร้องแบบนี้มีหวัง ไม่เสร็จทันกำหนดพอดี พักอีกซักรอบแล้วกัน เฮ้อ......เหนื่อย ทำไมอารมณ์ยังค้างจากเพลงแรกล่ะมิว มืออาชีพนะมิว นักร้องมืออาชีพต้องตัดอารมณ์ทุกอย่างออกได้หมดสิ เหลือไว้แต่อารมณ์ในบทเพลงที่เราจะต้องถ่ายทอดให้คนฟัง นึกถึงเนื้อเพลงไว้สิมิว เพลงนี้มิวแต่งขึ้นมาเองไม่ใช่เหรอไง นึกถึงความรู้สึกตอนที่แต่งเพลงนั้นไว้สิ พักครึ่งชั่วโมงแล้วกัน พี่จะไปงีบซักหน่อย” พี่อ๊อดบ่น บ่น บ่น แล้วก็เดินเข้าไปงีบในห้องเล็กอีกห้อง ออกัสต์ทุกคนเ ข้ามาปลอบใจและให้กำลังใจนักร้องนำอีกครั้ง คุณเอก็เช่นกัน เข้ามาให้กำลังใจมิวเหมือนที่คนอื่นๆทำ


“เสียงเราเพราะดีนะมิว แต่อย่างที่พี่อ๊อดว่านั่นแหละ มันยังขาดอะไรบางอย่างไป พี่ว่ามิวไปนอนซักพักดีกว่านะ ท่าทางจะเริ่มอิดโรยแล้ว เผื่อตื่นขึ้นมาแล้วจะดีขึ้น” คุณเอปลอบใจนักร้องในสังกัดของตน ก่อนจะเดินออกไปคุยโทรศัพท์ด้านนอก

...................

..............

......

..

ในความมืดมิด เคว้งคว้าง นักร้องหนุ่มมองเห็นหมู่ดาวพากันร่วงลงจากท้องฟ้า อากาศเย็นพาให้เหน็บหนาว มองไปทางไหนก็ไม่เห็นใครซักคน มิวมองซ้ายมองขวา แต่สิ่งที่ดวงจักษุสีน้ำเงินของตนสัมผัสได้ก็เป็นเพียงอากาศธาตุที่ไร้แสง มืดมิด ไร้ความหวัง “เหงาจนน่ากลัว” เสียงของตนเองดังก้องอยู่ในหัวสมอง ............. หัวสมอง..................... แต่ไม่ใช่หัวใจ มือนุ่มนวลข้างนั้นของนักร้องหนุ่มยกกระชับแนบกับหน้าอกข้างซ้ายของตน จี้เงินรูปไม้กางเขน ของรักของหวงของใครคนหนึ่งที่อยู่บนคนตน มือซ้ายข้างนั้นกำแน่น ตรงกับตำแหน่งหัวใจพอดี พลันเบื้องหน้าของตนกลับปรากฏแสงรำไรสีทอง ค่อยๆโผล่ขึ้นมาจากขอบฟ้า สว่างขึ้นเรื่อยๆ อบอุ่นขึ้นเรื่อยๆ เงาของใครบางคนที่ตนน่าจะรู้จัก นักร้องหนุ่มค่อยๆเพ่งพินิจ เงาของร่างสูงที่คุ้นเคยเริ่มปรากฏให้เห็นได้ชัด ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ใกล้ขึ้น ใกล้ขึ้น จนในที่สุด ร่างสูงนั้นก็มาประชิดติดกับร่างโปร่งที่เริ่มมีความหวัง รอยยิ้มเริ่มแย้มออกมาจากใบหน้าที่งดงามชวนจุมพิต ริมฝีปากของร่างสูงค่อยๆเขยิบใกล้เรือนโอษฐ์สีชมพูอ่อนของร่างโปร่งที่ยืนนิ่งหลับตา..............รอคอย....................... ขยับขึ้นลงช้าๆอย่างโหยหากันและกัน ขณะที่ริมฝีปากของร่างสูงเริ่มขยับ ริมฝีปากของร่างโปร่งก็กระชับและรับได้อย่างลงตัว นานจนเป็นที่พอใจ ริมฝีปากนั้นก็ถอนห่างจากกัน แต่แขนทั้งสี่ข้างยังคงสวมกอดกันและกันอยู่อีกครู่หนึ่ง เมื่อคลายแขนจากกันแล้ว ร่างโปร่งก็ค่อยๆขยับเปลือกตาเปิดขึ้น






แสงนีออนของหลอดตะเกียบประหยัดไฟสะท้อนเข้าใส่ดวงตาสีน้ำเงินของนักร้องหนุ่มจนรู้สึกแสบตา นี่ไม่ใช่ที่กว้างที่มืดมิดเมื่อครู่ นี่คือห้องนอนพักในสตูดิโอบันทึกเสียงย่านสยามฯ นักร้องหนุ่มลำดับความคิดแล้วจึงเข้าใจว่าเมื่อครู่นี้ ตนคงจะฝันไปแน่ๆ แต่ช่างรู้สึกดี อบอุ่น และมีความสุขเหลือเกิน พลังแห่งความสุขเริ่มซึมไปทั่วร่าง แม้จะเป็นเพียงความฝันอย่างที่มิวคิดเอาเองว่าคงใช่ แต่ความฝันนั้น กลับช่วยไล่ความรู้สึกหดหู่เมื่อตอนเที่ยงออกไป และช่วยปลุกความทรงจำตอนที่แต่งเพลง”เช้าวันใหม่” ขึ้นมาแทนที่ เมื่อได้ความรู้สึกนั้นกลับมา นักร้องหนุ่มก็พร้อมที่จะเข้าห้องอัดเพื่อถ่ายทอดอารมณ์เพลงนี้อีกครั้ง คิดในใจ “นี่ถ้าโต้งมายืนยิ้มตรงหน้าล่ะก็ ให้ร้องเพลงเช้าวันใหม่กี่รอบก็ไม่ถอยเลย”


“จริงดิมิว” เสียงที่คุ้นหูดังขึ้น ทำเอานักร้องหนุ่มต้องหันไปมอง


“โต้ง................มาได้ไงเนี่ย” มิวทำหน้างงงงถามออกไป


“อยากรู้จริงรึเปล่า เรื่องยาวนะ” โต้งแกล้งยียวนกลับบ้าง


“ไม่อยากรู้แล้วล่ะ ว่าแต่ ............... โต้งมาตั้งแต่เมื่อไหร่ล่ะ” มิวถามเขินๆหน้าแดง เพราะกำลังคิดว่าที่ฝันเมื่อครู่นี้มัน.......................


“ก็มาได้พักนึงแล้ว ตั้งแต่ตอนที่มิวนอนหลับนั่นแหละ เห็นหน้ามิวตอนนอนหลับแล้วน่ารักดี เราก็เลย...................” โต้งค้างคำพูดไว้แค่นั้น ก่อนจะจ้องหน้ามิว แววตาสีน้ำตาลของโต้งและแววตาสีน้ำเงินของมิวต่างสะท้อนซึ่งกันและกัน โต้งทำตาปริบๆ คล้ายคนสำนึกผิด อยากจะขอโทษ แต่มองอีกมุมนึงก็คล้ายกับแววตาออดอ้อนของเด็กซน ที่สำคัญ มุมปากของโต้งยังเผยอยิ้มเล็กๆจนสามารถสังเกตเห็นได้ไม่ยาก


“งั้นเมื่อกี้นี้โต้งก็..........................................” นักร้องหนุ่มหน้าแดงเป็นลูกตำลึง ไม่ใช่เพราะความโกรธ แต่เป็นความเขินอายมากกว่า ก็มิวอุตส่าห์คิดว่าตนเองฝันดี ที่ไหนได้ ดันเป็นจริง จูบจริงๆจากโต้ง ในยามที่ความมืดเข้ามากรายใกล้ อณูแห่งความสุขที่อาบไล้ผิวกายนักร้องหนุ่มเมื่อครู่นี้กลับยิ่งทวีความอบอุ่นมากยิ่งขึ้น หลายครั้งที่รอยจุมพิตของโต้งช่วยเติมพลังใจให้กับมิว แต่ครั้งนี้ อย่างกับว่า มิวได้มาถูกที่ถูกเวลา ความกลัดกลุ้มที่ยังคงค้างคาอยู่บ้างพลันหายไปหมด ณ เวลานี้ ไม่เพียงแต่อณูความสุขที่อาบทั่วผิวกาย แม้แต่ละอองแห่งความหวังก็ลอยฟุ้งกระจายทั่วห้องอัดเสียงไปด้วย ตราบใดที่มีโต้งอยู่เคียงข้าง มิวไม่กลัวปัญหาใดๆทั้งนั้น นักร้องหนุ่มกำลังอิ่มเอมใจที่ได้เห็นหน้าคนรัก แค่น้ำเสียงที่ผิดปกติเพียงเล็กน้อยของตน ก็ทำให้โต้งเป็นห่วง รีบมาหาตนถึงที่นี่ รอยยิ้มอย่างมีความสุขฉายออกมาจากใบหน้าของหัวหน้าวงออกัสต์ รอยยิ้มแห่งความสุขที่สะท้อนบนใบหน้าของอีกหนึ่งหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงหน้าเช่นเดียวกัน


“ขอบคุณนะ” นักร้องหนุ่มพูดเบาๆ แต่ไม่เบาเกินกว่าโต้งจะได้ยิน


“อือ............” โต้งตอบรับ ก่อนจะยิ้มเขินๆอีกคน
“มิวหน้าแดงจังนะ เป็นไข้รึเปล่า” โต้งแกล้งถาม ทั้งๆที่รู้เหตุผลอยู่แล้ว


“คนบ้า รู้อยู่แล้วยังมาถามคนอื่นอยู่ได้ คิดว่าคนเค้าอายไม่เป็นรึไง” นักร้องหนุ่มค้อนตอบออกไป ทำให้คนตรงหน้ายิ่งได้ใจ


“ก็เวลาที่มิวเขินอะ น่ารักจะตาย แก้มเงี้ยสีชมพูน่าหอมชะมัด” โต้งพูดขำๆพลางเหลือบมองไปทางประตูห้อง ที่มีช่องกระจกพอให้มองเห็นได้


“ยังจะเอาเปรียบคนอื่นอีก เมื่อกี้ก็แอบจูบไปทีนึงแล้วนะ” คนพูดยังคงเขินหน้าแดง


“อย่าว่ากันดิ มิวออกจะชอบไม่ใช่หรอ” โต้งยังคงแซวมิวให้เขินยิ่งขึ้น


“ไม่เอาแล้ว ไม่พูดด้วยแล้ว ออกไปดีกว่า เพื่อนรอ”


“มิว..................................ใครแอบมองที่ประตูไม่รู้”


“ฮึ.....” นักร้องหนุ่มรีบหันกลับไปมอง แอบตกใจที่เห็นหน้าของคนคิ้วหนาลอยอยู่ตรงช่องกระจก ก่อนจะยิ่งตกใจมากขึ้น เมื่อรู้สึกตึงที่แก้ม เพราะมีจมูกโด่งของอีกคนที่อยู่ด้วยกันมาดันที่แก้มซ้ายของตน ทำให้แก้มที่แดงเรื่ออยู่แล้วกลับแดงยิ่งขึ้น มิวสังเกตเห็นตาโตของเอ๊กซ์เบิกกว้างยิ่งขึ้น ก่อนที่ศีรษะของมือกีตาร์จะถูกมือของใครคนหนึ่งกดลงไป หายไปจากช่องกระจก แล้วหน้ายุ้ยๆของมือคีย์บอร์ดก็ปรากฏขึ้นมาแทน เสียงเบียดเสียดโวยวายดังอยู่ด้านนอกประตูห้อง เหมือนกับว่าคนหลายคนกำลังแย่งอะไรกันอยู่ นักร้องนำออกัสต์สันนิษฐานเอาว่าพวกเพื่อนๆคงจะแย่งกันแอบดูตนกับโต้งเป็นแน่ เสียงครึกโครมด้านหน้าหยุดลง เมื่อมีอีกสองเสียงตวาดแทรกเข้ามา คือเสียงของพี่อ๊อดและพี่หลิว มิวรีบผลักร่างสูงออกให้พ้นตัว แต่ไม่ได้แรงมากนัก


“หลอกเราอีกแล้วอะโต้ง” นักร้องหนุ่มทำหน้างอนๆ หน้าบึ้งของชายร่างโปร่งหันไปทางอื่น คราวนี้ใบหน้าออกจะแดงกล่ำด้วยความโกรธจริงๆ


“มิว....................เราขอโทษ...............เราจะไม่ทำอย่างนั้นอีกแล้ว” น้ำเสียงสลดลงจริงๆ จนน่าใจหาย โต้งพยายามมองหน้ามิว หวังในใจว่าจะรีบหันมามองตน


“ขอโทษทำไมล่ะ ไม่ได้โกรธซักหน่อย แค่จะบอกว่า คราวหลังก็บอกก่อนก็ได้” นักร้องหนุ่มหันมายิ้มให้โต้ง ก่อนจะเดินเข้าไปใกล้ๆ
“เราดีใจมากนะ ที่โต้งมาหาเราถึงนี่ มีเรื่องอยากพูดด้วยตั้งเยอะแน่ะ แต่เอาไว้เสร็จงานก่อนนะ”


“อือ......................” โต้งตอบสั้นๆ


“เชี่ยมิว เลิกหวานได้แล้วโว้ย พี่อ๊อดเรียกแล้ว” เสียงเอ๊กซ์ดังมาจากหน้าประตู


“สู้ ๆ นะมิว”


“ขอบคุณนะ งั้นเดี๋ยวเราไปก่อนนะ เพื่อนรอ” พูดจบมิวก็พลิกตัวเดินออกจากห้องไป



......





......







“เพียงลืมตามาพบกับวันใหม่ ที่ดูสดใสและสวยงามกว่า
ได้ยินเสียงนกน้อยร้องทักทาย ถามว่าวันนี้ทำไม ถึงดูดีแปลกตา
จึงบอกว่าเช้าทุกเช้าของวันหนึ่งวัน ถ้าเราตั้งความหวัง ให้ใจมีพลัง ทุกอย่างจะดีขึ้นมากมาย
(โอ้) ในยามเช้าเริ่มวันให้ดีแล้วใจกาย ทุกทางที่เราไปจะพบสิ่งไหนก็สวยงาม

ไม่ว่าจะท้องฟ้า ต้นไม้ สายลมบางเบา แดดยามเช้าอันแสนอุ่น โลกที่หมุนให้เราไปพบได้เจอ
กับวันนี้ที่สดใสอะไรก็สวยงาม ชาดาดา ดา ดาดา ออกมาพบเรื่องราวสุขสันต์ด้วยกันในวันใหม่

เธอรู้ไหมเช้าทุกเช้าในวันหนึ่งวันที่ฉันมีความหวัง เพราะเธอคือพลัง ให้ฉันนั้นได้ก้าวไป
เพียงเธอยิ้ม (เพียงเธอยิ้ม)โลกก็งามขึ้นทันใด เมื่อเห็นก็เข้าใจ ว่าความสุขนั้นก็คือ

ทุกครั้ง ที่เธอยิ้ม เธอหัวเราะหรือว่าร้องเพลง แค่ตรงนี้มีเธออยู่ โลกจะหมุนจะเวียนเปลี่ยนถึงเมื่อไร
ไม่ว่าจะทุกข์สุขสันต์กันอีกเท่าไร แค่ตรงนี้มีเธอใกล้ อยู่ในเช้าวันใหม่ของเธอกับฉันเท่านั้นพอ

ทุกครั้ง ที่เธอยิ้ม เธอหัวเราะหรือว่าร้องเพลง แค่ตรงนี้มีเธออยู่ โลกจะหมุนจะเวียนเปลี่ยนถึงเมื่อไร
ไม่ว่าจะทุกข์สุขสันต์กันอีกเท่าไร ขอตรงนี้มีเธอใกล้ อยู่ในเช้าวันใหม่แค่เธอกับฉัน

ที่ยามเช้าช่างสดใส ชา ดา ดาดา แค่ตรงนี้มีเธออยู่ แค่ตรงนี้มีเธอกับฉันด้วยกัน
ในยามเช้าที่สดใส ชา ดา ดาดา ขอตรงนี้มีเธอใกล้ อยู่ในเช้าวันใหม่ของเธอกับฉัน เท่านั้นพอ”


ในที่สุด มิวก็สามารถถ่ายทอดบทเพลงนี้ได้อย่างสมบูรณ์แบบชนิดเท้คเดียวผ่าน ขณะที่กำลังร้องเพลง”เช้าวันใหม่”อยู่นั้น นักร้องหนุ่มคิดถึงใบหน้าขาวสะอาด ดั้งโด่ง หล่อเหลาชนิดหล่อขั้นเทพของโต้ง แต่นั่นเป็นแค่ความรู้สึกผิวเผิน สิ่งที่อยู่ในใจของนักร้องนำแห่งออกัสต์ตลอดเวลาที่บันทึกเสียงเพลงนี้ คือความรัก ความห่วงใย กันและกัน ที่โต้งมีให้มิวตลอดมา ยิ่งช่วงเวลาเมื่อครู่ ยามที่มิวกึ่งฝันกึ่งจริง รอยยิ้มและกำลังใจของโต้ง นั่นคือ แสงตะวันที่ส่องนำทางในเช้าวันใหม่สำหรับมิวจริงๆ ดังนั้นการถ่ายทอดอารมณ์และความรู้สึกของมิวในครั้งนี้ จึงเป็นการแสดงออกอย่างสมบูรณ์แบบ ทำเอาทั้งพี่อ๊อดที่เอาแต่บ่นก่อนหน้านี้ รวมถึงคุณเอที่คงกดดันเหมือนกันอึ้งไปเลย


คุณบีที่ยืนสังเกตการณ์อยู่ใกล้ๆประตู ได้ยินเสียงมิวร้องและถ่ายทอดอารมณ์ของเพลงนี้แล้ว ในใจลึกๆก็อดอิจฉาโต้งไม่ได้ ก่อนหน้าที่โต้งจะมา มิวยังไม่สามารถทำได้ขนาดนี้ ในหัวใจของมิวมีชายหนุ่มที่เคยชกตนเป็นแสงสว่างจริงๆ เมโทรหนุ่มลูกชายคนเล็กของเจ้าของค่ายรู้สึกยอมแพ้อย่างหมดใจ ร่างระหงยิ้มให้กับความราบรื่นของงานและความรักของนักร้องในค่าย ก่อนจะปลีกตัวออกไปจากห้องนั้น


“ขอโทษนะ” จู่ๆคุณบีก็เข้ามาคุยกับโต้งในห้องพัก


“นายจะมาไม้ไหนอีกเนี่ย” โต้งยังไม่เชื่อใจคุณบี


“เปล่า เราก็แค่จะเข้ามาขอโทษเรื่องที่วันก่อนเรา.........เอ่อ............ที่เราทำร้ายมิวน่ะ”


“ช่างเหอะ มิวเค้ายกโทษให้นายแล้วนี่ ไม่เกี่ยวกับเราซะหน่อย” โต้งยังคงไม่ไว้ใจ


“แต่เราว่านายยังคงไม่พอใจเราอยู่ ใช่ปะ” คุณบีหยั่งเชิงถาม


“อือ................................ใครมันจะไว้ใจได้ลงคอ คนอย่างนายมัน .................... เราไม่ใช่คนดีอย่างมิวหรอกนะ ขอเตือนไว้ซะก่อน เอาเหอะ ขอโทษนายด้วยแล้วกัน” โต้งพูดจบก็ทำท่ากำหมัด แล้วต่อยแขนตัวเองเบาๆ บอกเป็นนัยให้รู้ว่าขอโทษเรื่องที่ชกคุณบีซะน่วมเมื่อคืนวันก่อน


“อือ....................เราอิจฉานายมากนะ ยิ่งตอนที่มิวร้องเพลงกันและกันเพื่อนาย แต่พอผ่านไปเรื่อยๆ เราก็รู้สึกดีใจ ที่เราข้ามมันมาได้ซักที ต้องขอบคุณมิวนะ ที่เตือนสติเรา ยินดีด้วย หวังว่านายทั้งสองจะประคองความรักครั้งนี้ไปได้ อย่างน้อย ก็ตัดอุปสรรคไปได้อีกหนึ่ง “


“นายแปลว่าอะไร อีกหนึ่ง นี่แปลว่า มิวเจอเรื่องอะไรมาอีกจริงๆใช่ปะ” โต้งมีน้ำเสียงกังวล ท่าทางร้อนรน


“ก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน แต่วันนี้มีนักข่าวมาสัมภาษณ์ เราสังเกตสีหน้ากระหยิ่มยิ้มย่องของยายนั่นแล้วรู้สึกไม่สบายใจยังไงไม่รู้ ระวังไว้หน่อยก็ดี”


“ไม่เห็นมิวเล่าให้ฟัง”


“ใจเย็นน่า ยังไม่เสร็จงาน เดี๋ยวเค้าคงจะบอกกับนายเองล่ะ”


“ขอบใจนะ นายทำงานอยู่วงการนี้ ยังไงก็ฝากด้วยแล้วกัน .........เอ่อ....................สรุปว่า นายเลิกคิดอย่างว่ากับมิวแล้วแน่นะ ไม่งั้น................”


“อือ........เข้าใจแล้ว เลิกกังวลได้แล้วน่า” คุณบียื่นมือไปเช็กแฮนด์กับโต้ง ซึ่งชายหนุ่มก็ยื่นมือมาจับมือด้วยเช่นกัน






“คุยอะไรกันอยู่หรอ” มิวเปิดประตูเข้ามาพอดีกับจังหวะที่โต้งและคุณบีจับมือกัน


“อ๋อ...................ไม่มีอะไรหรอก คุยกันดีๆล่ะ ไปแล้ว ไม่อยากเป็นกอขอคอ” คุณบีเดินออกไปจากห้อง ทิ้งให้สองหนุ่มอยู่ตามลำพังอีกครั้ง มิวจึงหันมาทางโต้งเพื่อรอฟังคำตอบที่ถามค้างไว้


“เปล่ามิว แค่เคลียร์กันนิดๆหน่อยๆน่ะ เสร็จงานแล้วหรอ” โต้งตอบ และตั้งอีกคำถาม


“ยังอะ พี่อ๊อดใจดี ให้พักอีกสิบห้านาที เดี๋ยวต้องอัดอีกเพลงนึง”


“เพลงเมื่อกี้เนี้ย เพราะดีเนาะ แต่งได้ไงอะ” โต้งตั้งคำถามเดิมๆ หลังจากฟังเพลงผ่านลำโพงเสียงที่พ่วงเข้าห้องนี้ด้วย


“โหยโต้ง คำถามเดิมอีกแระ เปลี่ยนบ้างก็ได้ แต่ก็............................ถ้าไม่มีโต้ง ก็คงไม่มีเพลงนี้หรอก ฟังแล้วโต้งว่าไง” คนตอบยิ้มเขินๆ


“อะ คำตอบยังเหมือนเดิมนี่นา แต่เราชอบนะมิว ชอบคำตอบแบบนั้นจัง แล้วเพลงที่เหลืออีกเพลงอะ เพลงอะไรหรอ”


“เพลงที่ร้องให้ฟังท่อนเดียวเมื่อคืนนั่นแหละ ชอบปะล่ะ”


“จริงดิ ขอฟังเต็มๆก่อนได้ปะ แบบว่า เริ่มง่วงนอนแล้วอะ” พูดจบ โต้งก็เริ่มหาว


“อ้าว.......................ไปอดนอนมาจากไหนอะโต้ง เมื่อคืนอุตส่าห์ร้องเพลงกล่อมก่อนนอน”


“มิวรู้แล้วอย่าโกรธล่ะ แบบว่า เมื่อวานนี้ นอนกลางวันมากไปหน่อย ตอนดึกๆก็เลยตื่นมาอีก แล้วก็อ่านหนังสือเรียนนานไปนิด อ่านยันเช้าเลยอะ อย่าตาขวางงั้นดิมิว ขอโทษนะ” โต้งรีบอ้อนกลัวมิวงอน


“คนเค้าไม่ได้โกรธซักหน่อย แค่เป็นห่วงที่โต้งไม่ยอมดูแลตัวเอง แล้วนึกไงเนี่ย อ่านหนังสือดึกๆดื่นๆ ไม่ใช่อ่านหนังสือว่าไม่ดีนะ แต่ต้องดูเวลากันบ้าง” นักร้องหนุ่มบ่นเล็กน้อย


“มิวจำที่เราคุยกันเมื่อเช้าวานได้ปะ เรื่องที่เรียนน่ะ เราตัดสินใจแล้ว ถ้ามิวจะสอบโควตาเข้าที่นั่น เราก็ต้องสอบแอดมิดให้ผ่านให้ได้ในที่เดียวกัน เราก็เลย..................” น้ำเสียงอ้อนอย่างเคย


“พยายามเข้านะโต้ง” เสียงนุ่มๆพร้อมรอยยิ้ม ให้กำลังใจคนรัก ทำให้โต้งยิ้มอย่างมีความสุขเช่นกัน


“งั้นโต้งแอบงีบแป๊บนึงก็ได้ ไปแระ จะได้เสร็จไวๆ” มิวเดินออกไปจากห้องพัก โต้งล้มตัวนอนที่โซฟาสีเขียวอ่อน หนุนศีรษะบนพนักแขน แล้วเอาหมอนสีเขียวเข้มมานอนกอด รอฟังเพลงของมิว



นักร้องหนุ่มกลับเข้ามาในห้องอัดเพลง เพลงสุดท้ายที่จะร้องนี้เป็นเพลงที่มิวต้องร้องเดี่ยว ไม่มีคอรัส ดนตรีบรรเลงเริ่มต้นขึ้น นักร้องนำออกัสต์หลับตาของตนลง นึกถึงคืนที่โต้งไปนอนค้างที่บ้าน ตั้งแต่สมัยยังเด็ก จนกระทั่งถึงวัยหนุ่ม หลายครั้งที่โต้งมาอาศัยนอนค้างบ้านมิวเพราะมีปัญหาในใจ มิวนึกถึงยามที่ร่างสูงอย่างโต้งนอนร้องไห้ แล้วคว้าร่างโปร่งของตนไปนอนกอดเพื่อปลอบใจ ความรู้สึกอิ่มเอมที่ตนสามารถเป็นที่พักใจให้กับคนรักได้ ทำเอาหัวใจของนักร้องหนุ่มพองโต


“ฮือออออออ...........................................................................

หลับตาลงนะ นะคนดี ขอให้เวลานี้ เธอหลับและพักผ่อน
กล่อมด้วยเพลงแห่งรัก ให้เธอนอน แค่เพียงก่อนที่ฟ้าจะสาง

หลับตาลงนะ นะคนดี ไม่มีอะไรที่ ต้องห่วง แม้ซักอย่าง
สิ่งที่เคยแบกไว้ ให้เธอวาง ให้โลกผ่านดั่งเพียงฝันไป

หากเพียงเธอได้รู้ ว่าเธอนั้นสำคัญแค่ไหน หากเพียงเธอได้รู้ ว่ามีคนรักเธอมากมาย
หากเพียงเธอได้รู้ ว่าเขานั้นยอมทำสิ่งใด เพื่อให้เธอ ได้พบกับความสุขใจ

เธอคงไม่ต้องดิ้นรน ไม่ต้องกังวลอะไรให้วุ่นวาย
คงไม่ต้องเหนื่อยใจ หาใครต่อใครช่วยทำให้ทุกข์คลาย
เพียงแค่คนหนึ่งคน ที่ยอมหมดจนแม้ลมสุดท้าย แค่ให้เธอได้รู้

หากเพียงเธอได้รู้ ว่าเธอนั้นสำคัญแค่ไหน หากเพียงเธอได้รู้ ว่ามีคนรักเธอมากมาย
หากเพียงเธอได้รู้ ว่าเขานั้นยอมทำสิ่งใด เพื่อให้เธอ ได้พบกับความสุขใจ

เธอคงไม่ต้องดิ้นรน ไม่ต้องกังวลอะไรให้วุ่นวาย
คงไม่ต้องเหนื่อยใจ หาใครต่อใครช่วยทำให้ทุกข์คลาย
เพียงแค่คนหนึ่งคน ที่ยอมหมดจนแม้ลมสุดท้าย แค่ให้เธอได้รู้

หลับตาลงนะ นะคนดี สิ้นสุดลงตรงนี้ หนทางที่แสนไกล
แค่เธอจับมือฉัน และเชื่อใจ รักยิ่งใหญ่จะไปถึงเธอ “





.....




.....






เย็นวันนั้น มิวและโต้งไปทานข้าวด้วยกันสองคนที่ร้านปากซอยเข้าบ้านมิว
แต่มิวลืมหยิบกระเป๋าสตางค์ออกจากบ้านเมื่อตอนเช้าเพราะเจ้าคิ้วหนาเพื่อนซี้เร่งแล้วเร่งอีก
เหลือแค่เงินติดกระเป๋ากางเกงยีนส์ไม่กี่บาท และขี้เกียจแวะเข้าไปเอาในบ้าน
โต้งจึงตัดสินใจเลี้ยงข้าวมิวเป็นการฉลองที่อัดเพลงเสร็จไปในตัว
ที่จริงคุณเอก็ชวนทุกคนไปเลี้ยงข้าวที่ภัตตาคารใกล้ๆ เพื่อฉลองการเสร็จงานเช่นกัน
แต่วันนี้ไม่รู้เพราะอะไร นักร้องนำออกัสต์จึงทิ้งลูกวงไปกับชายหนุ่มอีกคนกันเพียงสองคน
นักร้องหนุ่มมีเรื่องในใจมากมายที่อยากพูดกับโต้งเพียงลำพังสองคน
สุดท้าย จึงขอปลีกตัวจากคนอื่นๆมากันแค่สองคนเท่านั้น


“เส้นใหญ่แห้งต้มยำกุ้งสองชามครับพี่ ขอกุ้งพิเศษชามโตๆนะครับ”
นักร้องหนุ่มเริ่มสั่งอาหารทันทีหลังจากที่ได้นั่งเก้าอี้พลาสติกสีเขียวในร้านก๋วยเตี๋ยวต้มยำที่เปิดใหม่


“ท่าทางมิวจะหิวมากเลยนะเนี่ย สั่งด่วนสองชามเลยหรอ” โต้งแซวที่มิวสั่งทีเดียวสองชามพิเศษ


“ก็ตั้งแต่เช้าได้กินมาม่าฝีมือไอ้ปิงแค่ถ้วยเดียว เหอะน่าโต้ง จะเลี้ยงเราทั้งที
แค่สองชามคงไม่ถึงกับขนหน้าแข็งร่วงหรอกนะ ใช่ปะ” มิวยิ้มขำๆ




“แล้วน้องคนหล่อๆล่ะจ๊ะ อยากทานอะไรเอ่ย สั่งมาเลยสิจ๊ะ เดี๋ยวเจ๊จัดให้”
สาวประเภทสองเจ้าของร้านที่ออกมาบริการลูกค้าถึงโต๊ะเอ่ยปากถามโต้ง แถมมือยังอยู่ไม่สุข เกาะไหล่โต้งไต่นิ้วไปมา
ร่างสูงสะดุ้งด้วยความเขิน หันไปมองร่างโปร่งที่นั่งเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม คาดหวังว่ามิวจะหึง แต่นักร้องหนุ่มกลับทำแค่ยิ้มขำอยู่อย่างนั้น


“สั่งเหมือนกันอีกชามนึงครับพี่ ขอเป๊ปซี่สองขวดด้วยนะครับ” โต้งรีบสั่งแล้วทำทีท่าเป็นขยับเก้าอี้
จนเจ้าของร้านถอยออกห่างไปทำก๋วยเตี๋ยวตามออเดอร์ลูกค้า






“โต้งนี่ เสน่ห์แรงไม่เบานะ ขนาดเจ๊เจ้าของร้านยังมาเกาะแกะถึงโต๊ะเลย”
คนพูดยังยิ้มขำกึ่งหัวเราะต่อไป โดยไม่สนใจแววตาแสนงอนของอีกคน


“โห........มิวอะ แซวกันอยู่ได้ ขำนักรึไง ไม่โดนบ้างก็แล้วไป เราก็อุตส่าห์นึกว่า.....”


“นึกว่าอะไรหรอ”


“ก็นึกว่าจะหวงคนอื่นบ้างอะดิ อะไรก็ไม่รู้ ไม่มีซักนิด”
น้ำเสียงงอนอยู่บ้าง แต่โต้งไม่ได้พูดดังมาก เพราะอยู่ในที่สาธารณะ


“หวงโต้งจากพี่เจ้าของร้านเนี่ยนะ ฮ่าฮ่าฮ่า ไม่มีซะล่ะ เราว่าน่ารักดีออก หรือว่าไง”
มิวยิ้มขำน้อยลง เมื่อยังเห็นโต้งหน้าตึงอยู่


“ไม่เอาด้วยหรอก ไม่ไหว น่ากลัวออกจะตาย มิวนะมิว ที่ตอนคุณบี เรายังหวงเลย”



“มันคนละเรื่องกันนี่นา ตอนนั้นคุณบีเค้าก็....................นั่นแหละ
อีกอย่างเจ๊แกแค่มาหาเศษหาเลยตามประสาของแกแค่นั้นแหละ
ไม่ได้จริงจังอะไรซักหน่อย น่านะ เดี๋ยวกลับถึงบ้านแล้วเล่นเปียโนให้ฟังเป็นการไถ่โทษก็ได้”


“อือ..........สัญญาแล้วนะ” มิวพยักหน้าหลังจากโต้งพูดจบ ก่อนที่โต้งจะพูดต่อ
“แล้วมิวไม่อยากไปกับเพื่อนๆเหรอ ป่านนี้คงฉลองกันสนุกแล้วมั้ง ยิ่งถ้าหิวๆแบบมิวด้วยล่ะก็”


“พวกนั้นจะไปหิวอะไรล่ะโต้ง ก็วันนี้เราร้องมากกว่าใคร พวกเจ้าเอ๊กซ์ก็แค่นั่งๆนอนๆ กินของขบเคี้ยวที่พี่หลิวซื้อมานั่นแหละ
ก็แค่ออร์เดิ๊ฟก่อนมื้อใหญ่ของเจ้าพวกนั้น ถ้าคุณเอไม่บอกก่อนว่าจะเลี้ยงมื้อใหญ่ล่ะก็ ................
ช่างเหอะ ปล่อยพวกนั้นสนุกไปเหอะนะ สำหรับเรา แค่มีโต้งอยู่ก็พอแล้วล่ะ ที่จริง........................
วันนี้มีเรื่องมากมายอยากจะคุยด้วย ไว้กลับถึงบ้านก่อน ตอนนี้กินก่อนดีกว่านะ
............ เจ๊ หิวแล้ว เสร็จรึยังคร้าบบบ” มิวเปลี่ยนน้ำเสียงเป็นเสียงดังขึ้นเพื่อเร่งเจ๊เจ้าของร้านด้วยความหิว








หลังจากมื้อเย็นเต็มคราบ นักร้องหนุ่มกับเพื่อนชายคนสนิทก็พากันเดินกลับเข้าบ้าน
สี่เท้าของทั้งสองคนมุ่งหน้ากลับบ้าน เพราะว่าอยู่ในย่านสาธารณะ ทั้งคู่จึงไม่กล้าจูงมือกัน
ถึงแม้ว่าจะมีเสียงกระซิบนินทาแว่วเข้ามาให้ได้ยินอยู่บ้าง ว่ามิวควงแฟนเข้าบ้านอีกแล้ว
โต้งอึ้งไปบ้างตอนที่ได้ยิน หันไปมองมิวที่มีแต่สีหน้าเรียบเฉย ทั้งคู่พยายามไม่ใส่ใจกับเสียงที่ได้ยิน และเดินต่อไป


“มิวทนได้ไงอะ มีแต่เสียงแบบว่า.....................” โต้งเริ่มถามเมื่อเดินถึงหน้าบ้าน


“ชินแล้วล่ะ ตั้งแต่เมื่อก่อน เราก็ถูกนินทาเรื่องที่เป็น........แบบ...... ทีนี้โต้งเข้าใจรึยังล่ะ
ว่าทำไมเราถึงปิดตัวเองอยู่หลายปี” นักร้องหนุ่มตอบด้วยสีหน้าเรียบเฉย


“อือ.......................... “ แทนคำพูด โต้งเดินมากุมมือของมิวไว้
ความอบอุ่นถูกถ่ายทอดจากร่างสูงผ่านเข้าสู่ร่างโปร่ง ชายหนุ่มทั้งคู่ยิ้มให้กันและกัน ก่อนจะเดินเข้าไปในบ้าน


“โต้งดูรูปนี่ดิ” มิวส่งรูปถ่ายคู่หน้าโรงแรมของทั้งสองหนุ่มให้โต้งดู หลังจากที่เข้ามาในบ้านแล้ว
จากนั้นก็เดินไปนั่งที่เปียโน ปล่อยให้โต้งนั่งที่เก้าอี้ตรงโต๊ะกลม ดื่มน้ำในขวดที่วางทิ้งไว้แต่เช้า


“เฮ้ย!!! นี่มัน..............................งานเข้าแล้วมิว รูปนี้มาได้ไงเนี่ย” โต้งมีทีท่าตกใจไม่น้อย


“พี่นักข่าวเค้าเอาให้ดูตอนที่สัมภาษณ์เดี่ยวเราน่ะ แต่ละคำถามนะ น่ากลัวชะมัด ไม่รู้ว่าที่ตอบไปจะใช้ได้รึเปล่าอะดิ”


“แล้วนักข่าวนั่นเค้าถามอะไรมิวบ้างล่ะ” โต้งเอ่ยปากถาม
ในขณะที่นักร้องหนุ่มหลับตาทบทวนความทรงจำเมื่อช่วงเที่ยงในห้องสัมภาษณ์ ก่อนจะเริ่มเล่าให้โต้งฟัง




Create Date : 08 กุมภาพันธ์ 2553
Last Update : 5 มีนาคม 2553 14:59:42 น.
Counter : 427 Pageviews.

3 comment
ตอนที่ 10 +++ แผนร้ายของคนธรรมดาและภัยซ่อนเร้น +++



+++++ต่อเรื่อง+++++





การซ้อมดำเนินต่อไปจนถึงห้าทุ่ม วันนี้เป็นวันศุกร์ พี่หลิวจึงให้ซ้อมหนักเป็นพิเศษ หลังจากนั้นก็จะพากันไปกินก๋วยเตี๋ยวเจ้าประจำ แต่เสียดายที่วันนี้ร้านไม่เปิด สุดท้ายจึงต้องพากันกลับบ้าน โดยพี่หลิวขับรถไปส่งรุ่นน้อง ส่วนเพื่อนๆคนอื่นๆก็ขอแยกไปขึ้นรถอีกฟากถนน เหลือแต่มิวที่ต้องมารอรถแท็กซี่กลับบ้านตามลำพังอีกเช่นเคย ลมเย็นโชยผ่านทำให้นักร้องหนุ่มต้องกระชับเสื้อแจ๊กเก็ตกันหนาวเข้าหาตัว กวาดสายตาไปทางขวาเพื่อรอให้แท็กซี่ผ่านมาซักคัน แต่สิ่งที่เห็นกลับเป็นเพียง ไฟหน้าของรถสปอร์ตสีบรอนซ์เงินคุ้นตาที่เข้ามาใกล้เรื่อยๆ และมาหยุดตรงที่นักร้องนำวงออกัสต์ยืนอยู่


“ว่าไงมิว” เสียงที่นักร้องหนุ่มไม่อยากได้ยินดังขึ้น


ตื๊ดดดดด ตื๊ดดดดด เสียงข้อความโทรศัพท์ดังขึ้น นักร้องหนุ่มล้วงมือลงไปหยิบโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงนักเรียน โดยไม่สนใจเจ้าของรถสปอร์ตที่เข้ามาจอดเทียบใกล้ๆ


“โต้ง” มิวอ่านชื่อผู้ส่งเบาๆ อ่านข้อความที่ได้รับ นักร้องหนุ่มอมยิ้มและกำลังจะส่งข้อความตอบกลับ จู่ๆก็มีมือเรียวยาวสีขาวของใครคนหนึ่งมาคว้าเอาโทรศัพท์มือถือไปจากมือของนักร้องนำวงออกัสต์ เจ้าของเครื่องเงยหน้าขึ้นมองด้วยสีหน้าไม่พอใจ แต่คนๆนั้นได้แต่ยิ้มเยาะ


“คุณต้องการอะไรของคุณ เลิกยุ่งกับผมซะทีได้มั้ย ผมขอเถอะ แล้วก็ช่วยส่งโทรศัพท์คืนให้ผมด้วย” มิวยื่นมือออกมาเพื่อจะรับโทรศัพท์คืน แต่ผู้ที่เอาไปกลับยิ้มเยาะอย่างเดิม


“ถ้าอยากได้คืนก็ขึ้นรถมาซะดีๆ”


“ทำไมผมต้องทำตามคุณด้วยล่ะคุณบี ถ้าอยากได้นักก็เอาไปก็ได้” ร่างโปร่งหันกลับทำท่าจะเดินหนี


“จะเป็นยังไงนะ ถ้าเราส่งข้อความไปบอกให้โต้งมาหา” เสียงพูดเย้ยหยันและต้องการให้ผู้ฟังสนใจ ได้ผล มิวรีบเดินกลับมาทันที


“อย่าทำอะไรโต้งนะ” นักร้องหนุ่มมีน้ำเสียงที่เริ่มอ่อนลงเล็กน้อย


“งั้นก็ว่าง่ายๆ ขึ้นรถเร็วเข้า” พูดจบคุณบีก็เข้าไปนั่งประจำที่คนขับ มิวลังเลอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ต้องมานั่งด้านข้าง แล้วรถสปอร์ตคันนั้นก็สตาร์ตออกไปจากบริเวณนั้นทันที

..........
..........
..........

“นั่นมันมิวไม่ใช่เหรอวะ” เสียงของชายหนุ่มที่กำลังขับรถเก๋งโตโยต้าสีดำพูดกับเพื่อนๆที่นั่งรถมาด้วยกัน น้ำเสียงแปลกใจ เหมือนไม่เชื่อตาตัวเอง


“นั่นดิวะ แต่กรูว่าใช่นะ แล้วไอ้เด็กเซ้นต์นิโคลัสนั่น มันมาทำแมร่งอะไรแถวนี้วะ” เพื่อนที่นั่งเบาะหลังอีกคนเอ่ยปากบ้าง


“ไอ้โง่ มันเป็นนักร้องก็ต้องมาซ้อมเพลงสิวะ โน่น ซอว์เรคคอร์ดอยู่โน่น ว่าแต่ แล้วไหงถึงขึ้นรถไปกับหมอนั่นล่ะ” ผู้ชายใส่แว่นที่นั่งหลังอีกคนบอกออกมา


“เฮ้ยไอ้เอิร์ธ กรูว่า เราลองขับตามมันไปดีปะวะ กรูสังหรณ์ไม่ดีเลยโว้ย ไอ้เจ้าของรถนั่นท่าทางเอาเรื่องชอบกล ท่าทางเจ้ามิวก็ไม่อยากขึ้นรถไปกับมันด้วย เดี๋ยวมรึงขับตามไปห่างๆนะ” คนที่นั่งคู่คนขับร้องบอกเพื่อนที่เป็นเจ้าของรถ ซึ่งออกรถตามไปห่างๆทันที


“หมอนั่นอาจจะนอกใจไอ้โต้งก็ได้ พวกเกย์ก็แบบเนี้ยแหละ อย่าไปยุ่งเลยวุ้ย” คนที่ใส่แว่น พยายามโน้มนำเพื่อนว่าอย่าไปสนใจ


“แต่กรูไม่คิดอย่างมรึงนะไอ้แหว คราวที่แล้วเจ้านั่นก็ยอมเสี่ยงโดนรถกรูชนเพราะไอ้โต้ง แล้วฟังจากที่ไอ้โต้งเล่าให้ฟังเรื่องสร้อยนั่น มรึงคิดดูดิ ถ้าไม่รักจริง ใครจะโง่โดดลงคลองไปงมหาสร้อยให้ล่ะวะ กรูกับพวกมรึงทุกคนก็เหอะ จะมีใครคิดจะพยายามหาสร้อยนั่นมาให้ไอ้โต้งรึเปล่าล่ะ เชื่อกรู มิวมันรักโต้งจริงแน่ๆ กรูยังคิดเลยนะโว้ย ถ้ากรูกับโดนัทคบกันรอดล่ะก็ กรูก็อยากให้มีใครรักกรู แบบที่มิวมันรักไอ้โต้งบ้าง” คนขับรถแสดงความเห็นอย่างเชื่อมั่น

........
........
........

ดึกมากแล้ว แต่ชายหนุ่มยังนอนไม่หลับ ร่างสูงกระสับกระส่ายหนักตั้งแต่ช่วงห้าทุ่ม เพราะรู้ว่าคนรักเลิกซ้อมดนตรีดึกจึงส่งsmsไปหาด้วยข้อความ “เลิกซ้อมแล้ว พักผ่อนมากๆ ดูแลตัวเองดีๆนะ” เชื่อมั่นว่า ตนจะต้องได้รับข้อความตอบกลับแน่นอน แต่รอมาเกือบครึ่งชั่วโมง ก็ยังไม่เห็นข้อความตอบกลับซักที ในที่สุดชายหนุ่มก็เปลี่ยนใจ กดโทรศัพท์หาเลขหมายของคนที่ตนต้องการคุยด้วย แต่ก็ไม่มีสัญญาณตอบรับกลับมา นี่จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้โต้งนอนไม่หลับและเป็นห่วงมิวเหลือเกิน


ตื๊ดๆๆ ตื๊ดๆๆ

“ว่าไงวะเจ๋ง” โต้งรับโทรศัพท์เมื่อรู้ว่าเพื่อนโทรมาหา


“กรูว่ามรึงรีบมาเหอะ อย่าถาม คอขาดบาดตายเว้ย มิว................”

........
........
........

“นายจะพาเราไปไหน” นักร้องหนุ่มร้องถามโคโปรดิวเวอร์ที่กำลังขับรถอยู่ ตอนนี้รถวิ่งมาไกลพอสมควรแล้ว แต่คนขับไม่ยอมตอบ มิวหันหน้าจะไปถาม แต่จู่ๆก็ได้กลิ่นแปลกๆออกมาจากเสปรย์ที่คุณบีฉีดใส่หน้า ร่างโปร่งค่อยๆอ่อนแรง ดวงตาสีน้ำเงินคู่นั้นเบลอและสลึมสลือเล็กน้อย ก่อนจะค่อยๆปิดลง รถสปอร์ตสีบรอนซ์เงิน วิ่งมาจอดที่โรงแรมแห่งหนึ่งย่านถนนเพชรบุรี รถคันงามนั้นแทรกตัวผ่านผ้าม่านสีเขียวครามที่พนักงานโรงแรมเปิดไว้ให้ ก่อนจะเงียบหายไป


รถเก๋งโตโยต้าสีดำ เข้ามาจอดที่หน้าโรงแรม ดวงตาสี่คู่สอดส่องมองหารถสปอร์ตตัวการแต่ก็ไม่ทันเห็นว่าเข้าไปที่ห้องไหนกันแน่


“เดี๋ยวไอ้โต้งตามมาเว้ย เอาไงต่อดีวะ” เจ๋งซึ่งวางสายจากโต้งแล้ว หันมาปรึกษาเพื่อนๆ


“ไปลากคอพนักงานมาถามเลยดีเปล่าวะ” เขาทรายเสนอความเห็น


“ไม่ได้นะเว้ย เดี๋ยวจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ เกิดใครแจ้งความล่ะก็ ทัณฑ์บนยกกลุ่มแน่มรึง แล้วยังจะไอ้นักร้องนั่นอีก มีหวังจบเห่ แทนที่จะช่วย กลับยิ่งทำให้แย่” คราวนี้แหวซึ่งไม่ชอบใจนักที่ต้องตามมา แต่ก็ชี้แจงเหตุผลที่ฟังขึ้นให้เพื่อนรู้


“แล้วจะเอาไงดีวะเอิร์ธ” เจ๋งเก็บโทรศัพท์มือถือใส่ในกางเกงแล้วหันไปถามเอิร์ธ


“ใจเย็นๆ รอโต้งมาก่อน มันพึ่งจะเข้าไป คงยังทำอะไรไม่ได้หรอก”

.........
.........
.........

ร่างโปร่งนอนหลับอยู่บนเตียงที่ปูผ้าสีขาว ชายหนุ่มอีกคนกำลังง่วนอยุ่กับการตั้งกล้องวีดีโอที่หันเลนส์กล้องไปยังกลางเตียงพอดี ก่อนจะหยิบผ้าสีดำมาคาดที่ใบหน้า แต่พอมีช่องให้มองเห็นได้ พร้อมกับสวมหมวกคลุมผมสีดำ ทำให้ใครที่เห็นก็จำไม่ได้ว่าเป็นใครกันแน่ ก่อนที่ร่างระหงไสตล์เมโทรเซ็กชวลนั้นจะเดินมายังร่างที่นอนนิ่งอยู่ ดึงแขนทั้งสองข้างของนักร้องหนุ่มไปมัดกับเสาเตียง ก่อนจะค่อยๆบรรจงปลดกระดุมเสื้อนักเรียนสีขาวปักอักษรย่อ ซ.น.ค. พร้อมตัวเลขไทย ๔๖๓๖๔ สีแดง บนอกเสื้อด้านขวา ทีละเม็ด ทีละเม็ด อย่างช้าๆ จนเห็นอกเปลือยสีขาวนวล มีขนหน้าอกขึ้นรำไรพอเล็กน้อย


“สุดท้ายนายก็หนีเราไม่พ้นหรอกมิว” ใบหน้ายิ้มเยาะและกระเอี้ยนกระหือรืออย่างเห็นได้ชัด หนุ่มมาดสำอางคนนั้นค่อยๆดึงเน็กไทสีขาวจากคอเสื้อให้หลวมๆ แล้วบรรจงปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตสีเทาที่สวมอยู่ออกสามเม็ด พอให้เห็นอกสีขาวของตนเช่นกัน

..............
..............
..............

รถแท็กซี่สีฟ้าวิ่งเข้ามาจอดเทียบหน้าทางเข้าโรงแรมหลังนั้น ร่างสูงในเสื้อยืดสีฟ้าแขนยาว กางเกงยีนส์สีเทาหม่น ก้าวลงมาจากรถ รถเก๋งโตโยต้าสีดำจอดคอยอยู่ก่อนแล้ว จากนั้นชายหนุ่มทั้งห้าก็ลงมาปรึกษากันที่หน้าทางเข้าโรงแรม ก่อนจะตัดสินใจดำเนินแผนการที่โต้งคิดได้



ชายหนุ่มหยิบโทรศัพท์มือถือของตนขึ้นมา บอกหมายเลขของมิวให้กับเพื่อนๆของตน ก่อนจะแยกย้ายกันเดินไปตามห้องต่างๆ โต้งกดหมายเลขโทรศัพท์ของมิว เงี่ยหูลงที่ประตู ตั้งใจฟังเสียงสิ่งที่อยู่ข้างใน ไม่มีเสียงสัญญาณโทรศัพท์ของเครื่องมิว ชายหนุ่มใจเย็นไม่รีบร้อน เดินไปยังห้องถัดไป ขณะเดียวกัน กลุ่มเพื่อนๆของโต้งก็ทำในสิ่งเดียวกันกับที่โต้งทำ


ตี๊ดดด ตี๊ดดด เสียงสัญญาณโทรศัพท์มือถือดังขึ้นที่หัวเตียงนอนสีขาวที่ชายหนุ่มคนหนึ่งนอนอยู่ นักดนตรีหนุ่มขมวดคิ้วหนาด้วยความหงุดหงิดเสียงโทรศัพท์ที่มาขัดจังหวะการนอนของตน คว้ามือถือขึ้นมา ตั้งใจจะตะโกนด่าคนโทรที่ไม่รู้จักเวล่ำเวลา แต่พอเหลือบเห็นชื่อคนโทรว่าเป็นหญิงก็อดแปลกใจไม่ได้


“สวัสดีครับ สาวสวย โทรมาตอนดึก มีธุระสำคัญอะไรรึเปล่าคร้าบบบ” น้ำเสียงของเอ๊กซ์ต่างจากสีหน้าหงุดหงิดเมื่อครู่โดยสิ้นเชิง


“เลิกซ้อมนานรึยังเอ๊กซ์ ป่านนี้มิวยังไม่กลับบ้านเลย โทรไปก็ไม่รับสาย พอตอนหลังปิดเครื่องเฉยเลย ชักกังวลแล้วอะดิ เห็นว่าช่วงนี้ดวงไม่ค่อยดี มีเรื่องด่วนด้วยนะเนี่ย” น้ำเสียงของหญิงท่าทางกระวนกระวายและร้อนใจอย่างมาก


“เกือบชั่วโมงแล้วนะ น่าจะถึงบ้านตั้งนานแล้วนี่นา แล้วไปเอามาจากไหนล่ะ ที่ว่าไอ้มิวมันดวงไม่ดีน่ะ ว่าแต่ เชี่ยมิวมันเสรือกไปไหนวะ แล้วหญิงมีอะไรล่ะ” เอ๊กซ์เอ่ยปากถามกิ๊กสาวแสนสวยที่กำลังพยายามจีบอยู่


“อ้าว!!! ก็ดูดวงผ่านมือถือไง สมัครไว้เล่นๆ หนุกๆน่ะ แต่เข้าเรื่องดีกว่า ก็ป๊ามิวอะดิ จู่ๆก็เข้ามากรุงเทพฯ มาตอนไหนไม่มา มาเอาดึกเลย แถมป้าอรก็ไม่อยู่ซะอีก ป๊ามิวเค้าไม่มีกุญแจบ้าน คืนนี้ก็เลยไปหาโรงแรมนอนก่อน ถ้าเอ๊กซ์ติดต่อมิวได้ รีบบอกด้วยล่ะ” หญิงเล่าเรื่องราวให้เอ๊กซ์ฟัง ก่อนจะวางหูแล้วหันไปบอกกับเฮียที่รอฟังอยู่อย่างเป็นห่วง


พยายามหลายครั้ง แต่แผนการของตนก็ไม่เป็นผล นายบีปิดโทรศัพท์ของมิวไปพักนึงแล้ว โต้งเองก็จนใจ ไม่รู้จะทำอย่างไรดี ทันใดนั้น เสียงโทรศัพท์มือถือของตนก็ดังขึ้น หมายเลขของเพื่อนหญิงที่อยู่บ้านเก่าของตนนั่นเอง


“ว่าไงหญิง” เสียงชายหนุ่มพูดผ่านหูโทรศัพท์

“โต้งเจอมิวรึเปล่า” เสียงของหญิงแสดงความกังวลถามออกมา

“มิวเกิดเรื่องแล้วหญิง ไอ้นายบีมันลักพาตัวมิวมาโรงแรม เฮียอยู่แถวนั้นปะ บอกเฮียให้ติดต่อพี่หลิวด่วนเลยนะ ตอนนี้อยู่โรงแรมxxx แถวเพชรบุรี เออ แล้วหญิงพอจะหาเบอร์ของไอ้นายบีได้ปะ ขอด่วน เดี๋ยวจะไม่ทันการ” โต้งคุยกับปลายสายอย่างทุกข์ร้อนกังวล แต่ก็มีความหวัง


“งั้นเราวางสายก่อนนะ เดี๋ยวติดต่อพี่หลิวได้แล้วจะโทรหาอีกที เราว่าพี่หลิวต้องรู้เบอร์นายบีอะไรนั่นอยู่แล้วแหละ” หญิงวางสายจากโต้งแล้ววิ่งไปหาเฮียสมเกียรติพี่ชายของเธอทันที


เมโทรเซ็กช่วลไฮโซหนุ่ม ทายาทเจ้าของค่ายเพลงชื่อดัง ยืนมองดูร่างโปร่งที่นอนสลบนิ่งอยู่บนเตียง อกที่เปลือยเปล่าสีขาวทำเอาไฮโซหนุ่มมองตาเป็นมัน สร้อยคอสีเงินอร่ามห้อยอยู่บนคอนักร้องหนุ่ม จี้รูปไม้กางเขนสีขาวแวววาว สิ่งที่มิวอุตส่าห์เสี่ยงตายดำน้ำไปหาเอามาจากคลอง บัดนี้ อยู่บนคอของนักร้องนำวงออกัสต์ สร้อยพร้อมจี้ ที่โต้งใส่มานาน และมอบให้แก่มิว ตอบแทนน้ำใจรักที่มิวมอบให้ นายบีมองสร้อยเส้นนั้นแล้วจำได้ว่า เคยเห็นอยู่บนคอของโต้ง อารมณ์โมโหจึงพุ่งขึ้นมา แววตาบึ้งตึงด้วยความโกรธ ยื่นมือขวาไปคว้าที่ตัวจี้ไม้กางเขนและตั้งใจจะกระชากออกจากคอของนักร้องหนุ่มที่สลบอยู่ ทันใดนั้น มือซ้ายเรียวงามที่ใช้เล่นเปียโนเป็นประจำก็ยกขึ้นมาคว้ามือขวาของนายบี แล้วดันออกไป เหมือนมีอะไรมาปลุกนักร้องหนุ่มให้ตื่นขึ้นจากอาการสลบ ความต้องการปกป้องสิ่งอันเป็นที่รัก ความไม่ต้องการสูญเสีย กระตุ้นสัญชาตญาณรับรู้ให้แก่เจ้าของร่างที่นอนสลบอยู่ มิวค่อยๆเปิดตาสีน้ำเงินขึ้นช้าๆ แล้วจ้องมองไปยังร่างระหงของชายหนุ่มที่กำลังตกใจจากการฟื้นของตน


“ทำไมคุณถึงต้องทำแบบนี้ด้วยล่ะ มันคุ้มแล้วหรอ คุณก็น่าจะรู้ว่าผมไม่มีทางจะชอบคุณได้ ผมรักโต้ง คนเดียว เท่านั้น ไม่มีทางเปลี่ยนใจ ต่อให้คุณทำอะไรผมก็ตาม ผมก็จะรักโต้งคนเดียว และผมก็เชื่อว่า โต้งจะรักผมไม่เปลี่ยนแปลงแน่นอน ได้โปรดเถอะนะคุณบี เชื่อผม เรายังพอเป็นเพื่อนกันได้ อย่าให้เรื่องมันเลวร้ายไปกว่านี้เลยนะ” เสียงของมิว เอ่ยถามโคโปรดิวเซอร์หนุ่มที่คุกคามตนเอง แต่แววตาสีน้ำเงินของนักร้องนำวงออกัสต์ แสดงถึงความอ่อนโยน จริงใจ น้ำตาแห่งความหวาดกลัวรื้นมาเล็กน้อยที่ขอบตาสดใสคู่นั้น แต่นักร้องหนุ่มก็ยังคงยิ้ม ยิ้มที่มักจะเอาชนะทุกคนได้เสมอ ยิ้มให้อย่างเป็นมิตร แม้กระทั่งกับคนที่จ้องจะทำร้ายตนเองก็ตาม


“ทำไมนะหรอ เพราะเราชอบนายไงมิว ชอบตั้งกนายแต่แรกเห็นแล้ว ชอบมาก จนทนไม่ได้ ที่จะต้องเห็นนายไปมีความสุขกับนายโต้งนั่น ทุกครั้งที่เราเห็นพวกนายอยู่ด้วยกัน มันทำให้เรารู้สึกอิจฉาหมอนั่นจับใจ ทำไมนะ ทำไมเราถึงไม่มีใครที่รักและดีกับเราบ้าง ไม่ได้เหรอมิว นายหันมาสนใจเราแทนหมอนั่นไม่ได้บ้างเลยหรอ จริงๆหรอ” น้ำเสียงของคุณบีอ่อนโยนขึ้นเล้กน้อยเมื่อได้เห็นรอยยิ้มที่ออกมาจากใบหน้าอ่อนหวาน ดวงตาอ่อนโยน และหัวใจที่งดงามของมิว


“คุณคงเหงามากเลยสินะ ใช่มั้ย คงจะมีบางครั้ง เอ่อ....ผมหมายถึง บางครั้งที่อาจจะรู้สึกว่า ความเหงามันเชี่ยใส่เอามากๆ เหมือนกลัวว่าเราจะสูญเสียใครซักคนที่เรารักมากๆไป ดังนั้น เมื่อเราเริ่มจะรักใครมากๆ ก็เลยทุ่มเทและทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้ความรักนั้นมาครอบครอง เพราะกลัวว่าจะทนไม่ได้ ถ้าเราจะต้องสูญเสียคนที่รักไป ..................................... คงเป็น อย่างนั้น ใช่มั้ย” น้ำเสียงของนักร้องหนุ่ม นุ่มนวล อ่อนโยน และจริงใจ สะท้อนเข้าไปในหัวใจของโคโปรดิวเซอร์ตัวแสบ


“เป็นเพื่อนงั้นเหรอ นั่นมันไม่ใช่สิ่งที่เราต้องการ ที่เราต้องการคือเป็......................”


“มันเป็นไปได้หรอกนะคุณบี ผมไม่ได้รักคุณ และคุณก็ไม่ได้รักผม คุณแค่อ่อนไหวไปตามความรู้สึกที่อ่อนแอของตัวเองแค่นั้น ฟังผมให้ดีๆนะ คุณไม่ได้รักผม ไม่ได้ชอบผม คุณลองถามตัวเองให้ดีๆสิ ว่าที่ทำอยู่ตอนนี้เนี่ย มันใช่สิ่งที่คุณต้องการจริงๆรึเปล่า คุณเอาชนะร่างกายผมได้ครั้งนึง แต่ผมจะเกลียดคุณไปทั้งชีวิต ออกัสต์จะต้องฉีกสัญญากับค่ายเพลงของพ่อคุณ ที่คุณทำไปทั้งหมดจะนำมาซึ่งความล้มเหลว สุดท้ายก้ไม่เหลืออะไรแม้แต่ความเป็นเพื่อน ถ้าพ่อคุณ หรือพี่ชายคุณรู้เรื่อง พวกเค้าจะเสียใจแค่ไหน ผิดหวังแค่ไหน ในที่สุด คุณก็ต้องกลับมาทนกับความเหงาที่มันเชี่ยใส่คุณอยู่โดยลำพัง และไม่เหลือใครอีกเลย” นักร้องหนุ่มยังคงเกลี้ยกล่อมคุณบีต่อไป จากความกลัวเริ่มกลายเป็นความเข้มแข็งขึ้นมาอีกครั้ง


“เสียใจหรอ พ่อเราเค้าไม่แคร์หรอก ไม่เคยใส่ใจเลยด้วยซ้ำ ตั้งแต่แม่ตาย พ่อก็ส่งเราไปเรียนเมืองนอกอยู่ลำพังคนเดียว ไม่เคยไปเยี่ยม ไม่เคยโทรคุย ส่งให้แต่เงิน เลี้ยงเราด้วยเงิน เด็กคนเดียวในดินแดนที่คุยกันคนละภาษา มันเหงา มันทรมานมากแค่ไหน นายคงไม่เข้าใจหรอกมิว นายมีเพื่อน มีวง มีผู้คนที่นายคุยด้วยได้ แล้วนายก็มีโต้ง แล้วเราล่ะ เราไม่มีใครเลยซักคนเดียว กลับจากนอกก็โดนสั่งให้ทำงานตามที่เค้าต้องการให้เราเป็น อยู่เมืองนอกก็แทบจะหาเพื่อนไม่ได้ กลับมาเมืองไทย ก็ยังไม่มีใครเหมือนเดิม ขนาดพี่เอก็ยังมีเพื่อน มีแฟน แต่เราล่ะ เราไม่มีใคร ไม่มีใครที่มาสนใจเราเลยซักคนเดียว” จู่ๆคุณบีก็พรั่งพรูความรู้สึกที่อัดอั้นออกมา มือซ้ายดึงผ้าคาดตาและหมวกออกมา เพื่อจะได้ยืนคุยกับร่างโปร่งที่นอนอยู่


“ไม่จริงหรอก คุณบีแค่ปิดตัวเองมากไปต่างหาก แค่คิดไปเองว่าไม่มีใคร ทำไมผมถึงรู้นะหรอ ผมก็เคยเป็นอย่างคุณ เติบโตตามลำพังโดยไม่มีพ่อแม่เอาใจใส่ อยู่กับเพื่อนที่ไม่เข้าใจความรู้สึกที่อัดแน่นข้างในตัวเรา แต่อย่างน้อยเราก็ยังมีความรัก ถึงจะไม่เข้าใจกัน แต่ก็ใช่ว่าจะไม่รักกัน ไม่ห่วงกัน เชื่อผมนะคุณบี มีคนที่รักคุณบีแน่นอน” นักร้องหนุ่มชักจะเริ่มสงสารเมโทรหนุ่มคนนี้มากกว่าโกรธแค้น


“แล้วทำไมนายรักเราบ้างไม่ได้ล่ะ” คุณบียังคงไม่เลิกรากับมิวง่ายๆ


“ผมยังคงยืนยันนะครับ ผมรักโต้งคนเดียวเท่านั้น แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า เราจะเป็นเพื่อนกันไม่ได้นี่ คุณบีเป็นเจ้านาย เป็นเพื่อนร่วมงาน ผมพร้อมจะพูดคุยกับคุณเสมอ แต่สำหรับเรื่องนั้น ผมมีคกันและกันที่พร้อมจะมอบให้โต้งคนเดียวเท่านั้น” นักร้องหนุ่มยืนยันเสียงแข็งสำหรับความรักที่ตนมีต่อโต้งคนเดียวเท่านั้น คนฟังรู้สึกผิดหวังกับคำตอบ แต่ก็เริ่มจะทำใจยอมรับได้ พลันเสียงโทรศัพท์มือถือของคุณบีก็ดังขึ้น


“บางทีเราเป็นเพียงคนโง่ บางทีเราเป็นเพียงคนเหงา บางทีเราอาจเพียงต้องการแค่เรา ที่หายไป” เสียงริงโทนเป็นเสียงร้องของมิวจากเพลงคนธรรมดา สะท้อนความรู้สึกของเจ้าของเครื่องได้เป็นอย่างดี


“นายชอบเพลงนี้หรอ” คนแต่งเพลงถามขึ้นมา


“ใช่ ชอบที่สุดเลยล่ะ “ คนตอบแอบยิ้มดีใจ ที่มีคนสนใจตัวตนของตนเอง


“ถ้านายชอบเพลงนี้ ก็ควรเข้าใจความรู้สึกของเพลงนี้ด้วย เราแต่งเพลงนี้ ตอนที่เราเริ่มจะยอมรับแล้วว่า เรื่องของเรากับโต้งคงเป็นไปไม่ได้ นั่นก่อนที่พ่อแม่โต้งจะยอมรับได้นะ เพียงแค่เราเลิกคิดที่จะครอบครอง เราก็จะทนอยู่กับความผิดหวังนั้นได้เอง นี่แหละความรัก เราต้องเรียนรู้ที่จะอยู่กับมัน ถึงบางครั้งอาจจะต้องเจ็บปวดก็ตาม” คำพูดของมิวช่วยทลายความรู้สึกอึดอัดคับแค้นผิดหวังเสียใจ รวมทั้งความเหงาที่เชี่ยใส่คุณบีลงไปได้


“จริงเหรอมิว ที่ว่าเรายังเป็นเพื่อนกันได้น่ะ แล้ว เอ่อ.................คือว่า...........นายไม่โกรธเราหรอ เราทำกับนายขนาดนี้เนี่ยนะ เรา.....................ขอโทษ” ดูเหมือนว่า คนทำผิดจะคิดได้และรู้สึกเสียใจกับการกระทำโง่ๆของตน


“ไม่โกรธหรอก แต่เข้าใจมากกว่า บางครั้ง คนเราก็อาจจะทำอะไรโง่ๆไปบ้างก็ได้ มันไม่ผิดหรอก ที่เราจะทำอะไรผิดพลาดไปบ้าง เพียงแต่เราเอาความผิดพลาดนั้นมาเป็นบทเรียน และเรียนรู้ที่จะเริ่มต้นสิ่งดีๆในวันข้างหน้าก็พอแล้ว ชีวิตมีโอกาสให้เริ่มใหม่เสมอแหละ” คำพูดปลอบโยนของมิว ทำให้คุณบีเริ่มจะยิ้มออกมาได้


“ขอบคุณนะ” ประโยคสั้นๆ แต่คุ้นหูผู้ฟังยิ่งนัก
“แต่เราถึงกับจะถ่ายวิดีโอไว้แบล็กเมล์นายเลยนะ แล้วนายยังจะให้อภัยเราอีกหรอ ทำไมนายถึงได้....”


“ก็คุณยังไม่ได้ลงมือซักหน่อยนี่นา คุณก็แค่แสดงออกอะไรบางอย่างเพื่อข่มให้ผมกลัว คิดว่าวิธีนั้นจะเอาชนะผมได้ แต่เปล่าเลย แค่เริ่มคิด คุณก็เริ่มแพ้แล้วล่ะ ความรักน่ะ ไม่สามารถบังคับให้ได้มาหรอก ต้องใช้หัวใจรักแลกมาเท่านั้นแหละ”


“ขอบคุณนะมิว ขอบคุณที่ให้สติเรา นายนี่เก่งเนอะ นายมีพรสวรรค์”


“ยังไงล่ะ”


“นายดูคนออก”


“เหมือนที่ผมดูคุณออก”


“แล้ว”


“คุณไม่ทำผมหรอก”


“นายดูเราทะลุปรุโปร่งจริงๆด้วย ขอบคุณนะ ขอบคุณที่อภัยคนโง่อย่างเรา ขอให้ความรักของนายกับโต้งยืนยาวมั่นคง และไม่มีอุปสรรคนะ ก็แหม ตอนนี้ก็ตัดเราไปได้หนึ่งแล้วนี่เนาะ มา เราแก้มัดให้”


ในที่สุด คุณบีก็ตัดสินใจปล่อยมิว และตั้งใจจะไปส่งมิวที่บ้าน ร่างระหงยกตัวขึ้นไปบนเตียง ขึ้นคร่อมร่างโปร่งที่ถูกมัดอยู่ เอื้อมมือไปที่เสาเตียงซึ่งมีเชือกมัดมือนักร้องหนุ่มอยู่ กำลังจะปลดเชือกนั้นออก ทันใดนั้น เสียงโทรศัพท์มือถือของคุณบีก็ดังขึ้นอีกครั้ง มีเสียงเอะอะอยู่หน้าประตูห้อง พลันวัยรุ่นหนุ่มกลุ่มนึงก็กระแทกประตูเปิดเข้ามา ร่างสูงในเสื้อยืดสีฟ้าแขนยาวของโต้งปรากฏขึ้น ภาพที่เห็นคุณบีคร่อมร่างมิวอยู่บนเตียงทำให้อารมณ์โกรธของโต้งพุ่งขึ้นอย่างรุนแรง กระโดดขึ้นไปบนเตียงแล้วกระชากคุณบีลงมา พร้อมกับกระหน่ำหมัดใส่ใบหน้าสะอาดอ้านนั้น


“โต้ง ................................... อยยยยยยยยยยยยยยยยยย่า” มิวตะโกนร้องห้ามคนรัก แต่ท่าทางจะไม่ทันแล้ว







ร่างระหงของคุณบียังคงนอนนิ่งอยู่บนพื้น เลือดกบปากเพราะฤทธิ์หมัดของโต้งที่บรรเลงไม่ยั้ง เพื่อนๆของโต้งช่วยกันมัดให้มิว นักร้องหนุ่มรีบลงมาที่พื้นและดึงโต้งให้ลุกขึ้น ทั้งๆที่อยากจะอธิบายให้โต้งหยุดมือและใจเย็นกว่านี้ แต่พูดไปคงไม่ทันการ ร่างโปร่งคว้าร่างสูงเข้ามาใกล้และสวมกอดด้วยความโหยหา ได้ผล โต้งหยุดมือจากการชกนายบีทันที แล้วกอดมิวกลับคืน สามวันที่ไม่เจอกัน ทำให้ทั้งสองคนเป็นห่วงและอาทรกันและกันยิ่งนัก ถึงแม้จะโทรศัพท์คุยกันทุกวัน แต่ก็ไม่สามารถจะเทียบกับการได้พบหน้าได้


ร่างระหงค่อยๆลุกขึ้นยืน มือขวาหยิบผ้าเช็ดหน้าจากระเป๋าเสื้อมาเช็ดเลือดที่ไหลอยู่ตรงมุมปาก จ้องมองผู้มาเยือนที่ลงมือกับตนอย่างไม่ปราณีปราศรัย แต่ก็ไม่นึกโกรธ ดีซะอีก กระตุ้นสติและสามัญสำนึกได้ชะงัดนัก คุณบีมองคนทั้งสองที่กอดกันต่อหน้า ถึงจะอิจฉาอยู่ลึกๆ แต่ในใจก็นึกอวยพรให้ทั้งคู่ หันไปมองอีกสี่คนที่กำลังจ้องดูคู่รักกอดกันอยู่นั้น แล้วอดเสียวสันหลังไม่ได้ นี่ถ้ามิวไม่คว้าโต้งไปกอด ตนเองอาจจะโดนสหบาทาอีกระรอกใหญ่ก็เป็นได้ เมโทรหนุ่มจึงได้แต่ยิ้มขำตัวเองอยู่ห่างๆ


“ไม่เป็นไรนะมิว มันทำอะไรมิวรึเปล่า” โต้งพูดจบก็หันไปมองยังนายบีด้วยแววตาโกรธขึ้ง ทำเอาคนถูกมองใจสั่นขึ้นมา


“ไม่เป็นไรแล้ว เค้าไม่ได้ทำเราซะหน่อย กำลังจะปล่อยต่างหาก แต่พอดีโต้งโผล่เข้ามาซะก่อนน่ะ” มิวได้จังหวะที่จะเริ่มอธิบายซักที


“ฮะ ว่าไงนะ” โต้งสงสัย จึงได้เปิดโอกาสให้มิวเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง


“แล้วเราควรจะขอโทษมันรึเปล่ามิว เกิดมายังไม่เคยชกใครน่วมขนาดนี้เลย” โต้งกระซิบถามคนรักเบาๆ


“อ้าว!!! แล้วตอนที่ช่วยเราตอนเด็กล่ะ ก็สู้กับคนอื่นเหมือนกันนี่นา”


“ตอนนั้นน่ะ โดนซ้อมซะมากกว่า ไม่ได้ชกใครเลยซักคน เกิดมาก็พึ่งจะมีเรื่องชกต่อยชาวบ้านก็เพราะมิวนี่แหละ แล้วว่าไงล่ะ จะให้ขอโทษมันรึเปล่า” เสียงกระซิบของโต้งเริ่มดังขึ้น จนคนที่ถูกชกได้ยิน


“ไม่ต้องหรอก หมัดนายก็หนักใช้ได้อยู่ น่าจะเอาดีทางนักมวยนะ” คุณบีรีบปฏิเสธการขอโทษก่อนที่โต้งจะเอ่ยปาก


“ก็ดี สมควรแล้วล่ะ เสรือกมาทำกับมิวก่อน” โต้งก็ยังคงไม่เป็นมิตรกับคุณบีอยู่เหมือนเดิม ทำเอามิวเหนื่อยใจ ต้องหาทางไกล่เกลี่ย


“ไม่เอาน่า เราก็ปลอดภัยดีแล้วไง ต้องขอบคุณเครื่องรางที่โต้งให้เรานะเนี่ย เราถึงได้ปลอดภัยอย่างนี้” นักร้องนำวงออกัสต์รีบดึงสร้อยคอมาอวดเจ้าของเก่า


“ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว กลับเถอะ ดึกมากแล้ว ว่าแต่ มิวแน่ใจนะว่าจะไม่เอาเรื่องหมอนี่ แจ้งความได้นะ พ่อไอ้เจ๋งซี้กับนายตำรวจผู้ใหญ่หลายคน นอนห้องขังซักสองสามวันก็ได้ เอาปะ” โต้งยังคงข่มคุณบีอยู่ ทำเอาคุณบีหน้าสลด


“อย่าพูดเล่นสิโต้ง อยากให้กลายเป็นเรื่องใหญ่หรอ ไม่เอาหรอก เรากลับกันดีกว่านะ ง่วงจะแย่แล้ว” มิวชวนโต้งและเพื่อนๆกลับกันซักที เพราะสถานที่แบบนี้ไม่ควรจะอยู่นานเกินไป ทั้งหกคนพากันเดินออกมาจากห้องสู่ด้านหน้าโรงแรม


“มิว” เสียงโคโปรดิวเซอร์หนุ่มร้องเรียก


“อะไรของนายอีกเนี่ย” โต้งยังคงหงุดหงิดใส่คุณบีอยู่


“เดี๋ยวเรามานะ” นักร้องหนุ่มบอกคนรัก แล้วเดินกลับมาหาคนที่เดินตามมา


“ขอบคุณนะ” คุณบีพูดสั้นๆ แต่คนฟังเข้าใจถึงความสำนึกผิดของผู้พูดได้ดี


“อือมมม งั้น พรุ่งนี้เจอกันที่ห้องอัด” นักร้องหนุ่มยิ้มตอบเบาๆก่อนจะเดินกลับไปหาโต้งที่ยืนคอบอยู่อย่างอึดอัด ส่วนคุณบีก็กลับไปขึ้นรถสปอร์ตของตน


“อย่าไปดีกับมันมาก ยังไงเราก็ไม่ไว้ใจมันอยู่ดี” โต้งกระซิบบอกเบาๆ


“หึงใช่มั้ยล่ะ ที่เราอภัยให้เค้าง่ายๆน่ะ” มิวแกล้งเย้าโต้งเล่น ๆ


“ใคร ใครหึง ไม่มีซะล่ะ” โต้งปฏิเสธหน้าตาย


“แล้วทำไมโมโหไม่เลิกล่ะโต้ง” มิวยังแหย่ต่อไป


“ก็มันมาทำร้ายมิวของเรา เป็นใครก็ต้องโกรธเป็นธรรมดา” โต้งลอยหน้าตอบ


“ใคร ใครหรอมิวของโต้ง เรารู้จักปะ แล้วเค้านิสัยดีปะล่ะ” มิวถามยิ้มๆ


“รู้จักดิ ดีมากด้วย ที่สำคัญนะ นิสัยดีที่สุดเลยล่ะ” โต้งพูดอย่างภูมิใจ


“แล้วมิวของโต้งเค้าดีตรงไหนล่ะ บอกได้ปะ” คนถาม ก็ถามอย่างมีความสุข


“ก็เค้ารักเราที่สุดไง รักเราคนเดียวด้วย” คนตอบก็ตอบอย่างมีความสุข และภูมิใจอย่างแรง ทำเอาคนข้างๆที่ได้ฟังยิ้มเขินหน้าแดง แต่เพื่อนๆอีกสี่คนที่เดินตามมาทำหน้าเซ็งและเลี่ยนชอบกล กับคำพูดหวานๆของคนทั้งคู่ แต่ในใจก็ยินดีที่เพื่อนมีความสุข


“ไม่เอาแล้ว ไม่พูดดีกว่า” นักร้องนำวงออกัสต์เขินอายอย่างเห็นได้ชัด


“เออ แล้วพวกมรึงสองคนจะกลับยังไงเนี่ย ไปกับพวกกรูพร้อมกันเลยปะ” เอิร์ธเอ่ยปากถามโต้งกับมิว ขณะที่กำลังไขกุญแจรถอยู่ มิวหันมามองโต้งเป็นเชิงรอคำตอบ


“ไม่เป็นไร เดี๋ยวกรูเรียกแท็กซี่ไปส่งมิวที่บ้านเอง พวกมรึงกลับกันก่อนเหอะ ขอบใจมากนะเว้ย ที่มาช่วยมิว พวกมรึงช่าง...............”


“มรึงเป็นเพื่อนพวกกรู เพื่อนเดือดร้อน คนรักของเพื่อนเดือดร้อน พวกกรูก็ต้องช่วยสิวะ มรึงไม่ต้องขอบใจหรอก เพื่อนกันนี่หว่า งั้น พวกกรูไปก่อนนะ” เอิร์ธและเพื่อนคนอื่นๆบอกลาโต้งกับมิว ก่อนจะขึ้นรถหายไป ส่วนโต้งกับมิวก็ออกมายืนเรียกรถแท็กซี่ด้านหน้าโรงแรมด้วยกัน โดยลืมไปว่านี่เป็นโรงแรมอย่างว่า และนี่ก็เป็นคืนวันศุกร์ที่มีผู้คนสัญจรยามค่ำคืนไม่น้อยเลย กระทั่งมีรถคันหนึ่งที่แล่นผ่านไป และจำได้ว่า คนในชุดนักเรียนคือนักร้องนำวงออกัสต์ แล้วไฉนถึงเดินออกมาจากโรงแรมอย่างว่าพร้อมกับชายหนุ่มหน้าตาดี



รถแท็กซี่สีเขียวเข้ามาจอดหน้าบ้านมิว โต้งพามิวมาส่งถึงบ้านอย่างปลอดภัย มิวลงมาจากรถ แต่รั้งโต้งไว้ไม่ให้ลงมาข้างล่าง ถึงจะอ่อนเพลียไปมาก แต่นักร้องหนุ่มก็ไม่ได้ร้องขอให้คนรักอยู่เคียงข้าง แต่กลับขอให้โต้งกลับไปบ้านแทน รถแท็กซี่ที่นั่งมายังคงคอยอยู่ โต้งยืนเกาะประตูรถที่เปิดทิ้งไว้ คุยกับนักร้องนำวงออกัสต์ที่หันมาคุยด้วย


“ทำไมล่ะมิว ให้เราอยู่เป็นเพื่อนก็ได้ เหอะนะ” ชายหนุ่มขอร้อง


“อย่าเลยโต้ง เดี๋ยวน้านีย์เป็นห่วง โต้งไม่ได้บอกน้านีย์ใช่ปะ กลับก่อนเถอะนะ เราอยู่ได้ เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็เจอกันแล้ว” นักร้องหนุ่มบอกลาโต้ง


“แล้วพรุ่งนี้เช้า มิวต้องไปไหนรึเปล่าล่ะ เราหมายถึง ก่อนไปรับพ่อตอนสิบเอ็ดโมงน่ะ” ชายหนุ่มที่ตัวสูงกว่ายืนถามบนรถ ทอดสายตาที่เต็มตื้นด้วยนัยน์ตาสีน้ำตาลมองลงมาหาอีกคนเบื้องล่าง


“พรุ่งนี้หรอ ไม่มีอะไรหรอก แค่ต้องไปซ้อมให้ทันตอนบ่ายโมงน่ะ ทำไมหรอ” นักร้องหนุ่มที่ยืนอยู่เบื้องล่าง เงยหน้าที่อ่อนหวานนั้นไปหาร่างสูงข้างบน นัยน์ตาสีน้ำเงินสะท้อนความรู้สึกขอบคุณที่คนรักทุ่มเทออกตามหาและช่วยเหลือตน


“ว่าจะชวนไปหาอะไรกินซะหน่อย” น้ำเสียงผู้พูดออดอ้อนนิดๆ


“งั้นไว้..................................” แทนคำพูด มิวยกมือแนบข้างศีรษะ นิ้วโป้งอยู่ใกล้หู นิ้วก้อยอยู่ใกล้ปาก สามนิ้วที่เหลือพับแนบฝ่ามือ เป็นเครื่องหมายให้รู้ว่าจะโทรหา


“อือออมมมม” ชายหนุ่มในรถบอกลาแล้วกลับเข้าไปในรถ รถแท็กซี่สีเขียวออกตัวไปทางหน้าปากซอย นักร้องหนุ่มอมยิ้มก่อนจะหันกลับมาไขประตูเข้าไปในบ้าน



เช้าวันรุ่งขึ้น นักร้องหนุ่มสลึมสลือตื่นขึ้นมาตามเสียงของโทรศัพท์มือถือที่มีข้อความเข้า มิวงัวเงียคว้ามือถือมาอ่านอย่างเสียไม่ได้

“อรุณสวัสดิ์ ตื่นได้แล้วนะ อีกครึ่งชั่วโมงจะไปถึง” ข้อความสั้นๆที่กระตุ้นให้คนอ่านต้องรีบไปอาบน้ำ แต่ก็มีเสียงบ่นเบาๆดังมาจากนักร้องร่างโปร่งที่กำลังอาบน้ำอยู่

“โต้งนะโต้ง ปลุกแต่เจ็ดโมงเช้า ที่นอนก็ยังไม่ทันเก็บเลยนะเนี่ย” ถึงปากจะบ่นแต่ก็อมยิ้มแฝงความสุข พร้อมกับฮัมเพลงใหม่ที่แต่งที่โรงพยาบาลเมื่อสัปดาห์ก่อนไปเรื่อยๆ มิวใช้ชื่อเพลงว่า “เช้าวันใหม่” เพราะฟังแล้วสดใสมีชีวิตชีวาดี


เสียงกริ่งดังมาจากประตูบ้าน นักร้องหนุ่มยังแต่งตัวไม่เสร็จ พึ่งจะผ่านไปยี่สิบนาที สงสัยโต้งจะมาเร็วกว่าเวลาที่นัดไว้ มิวรีบกุลีกุจอลงมาชั้นล่างเพื่อเปิดประตูให้กับคนที่กดกริ่งคอย


“มาแล้วโต้งงงงง มาแต่เช้าเชียว คนกำลังแตะ.............................” มิวเปิดประตูออกมา แล้วตกใจกับคนตรงหน้า จึงหยุดคำพูดค้างไว้แค่นั้น


“ป๊า” น้ำเสียงอ่อยลงไป เพราะผู้มาเยือน นำมาซึ่งความแปลกใจ ตกใจ และดีใจระคนกัน มือที่กำลังเปิดประตูอยู่ ค้างไว้แค่นั้น จนคนคอยประตูเปิดเริ่มหงุดหงิด


“จะเปิดได้รึยังเนี่ย ป๊าคอยนานแล้วนะ” เสียงป๊ามิวหงุดหงิดเล็กน้อย เจ้าของบ้านต้องรีบเปิดประตูทันที


“ป๊ามาได้ไงเนี่ย หลายปีแล้วนะ ที่มิวไม่เจอป๊าเลย” เจ้าของบ้านหนุ่มตั้งคำถามกับผู้เป็นพ่อ ถึงจะตกใจแต่ก็เจือน้ำเสียงโหยหาอยู่บ้างเหมือนกัน


“ก็ป๊าไม่ว่าง อีกอย่าง มิวอยู่นี่ก็สบายดีไม่ใช่หรอไง เห็นว่าอาทิตย์ก่อนเข้าโรงพยาบาล ก็หายดีแล้วนี่ นี่พอดีป๊าแวะมาทำธุระเมื่อวาน ก็เลยมาดูเราซักหน่อย” น้ำเสียงเย็นชาอยู่บ้าง แต่ก็ยังเจือความเอ็นดูอยู่


“แล้วป๊ากับม๊า แล้วก็น้องมายด์อยู่ระยอง เป็นไงบ้างล่ะ” มิวเริ่มถามเริ่มพูดกับผู้เป็นพ่อ ถึงในใจจะผิดหวังอยู่บ้างที่ผู้เป็นพ่อไม่ได้ตั้งใจมาหา แต่ก็ยังฝืนยิ้มและกล้ำกลืนความรู้สึกไว้


“ก็สบายดี เทอมหน้าน้องมายด์เช้ามัธยมแล้ว แม่เรากับน้องมายด์เค้าบ่นถึงเราเหมือนกัน ว่าอยู่คนเดียวหลายปีเป็นไงบ้าง โทรมาหาก็ไม่ค่อยอยู่ เจ๊อรก็บอกแต่ว่าไปซ้อมดนตรี นี่เราจะเอาดีทางนี้ใช่มั้ยเนี่ย ไม่คิดจะไปดูแลกิจการของป๊าเหรอไง” ผู้เป็นพ่อเอ่ยปากถามถึงแนวโน้มอนาคตของลูกชายคนเดียว


“ไม่รู้ดิป๊า มิวไม่........มิวไม่อยากทำธุรกิจ กิจการของป๊าเองก็เถอะ แต่ไหนแต่ไร มิวก็ไม่เคยไปยุ่งเลยนี่ครับ” มิวปฏิเสธความต้องการของผู้เป็นพ่อ


“สรุปว่าเราอยากเอาดีทางนักร้องงั้นล่ะสิ ไม่...........ป๊าไม่เห็นด้วย แล้วก็ไม่อนุญาต เป็นนักร้องเนี่ยนะ คิดดีแล้วรึไง คิดอะไรโง่ๆ ไม่เข้าท่า กลับบ้านดึกดื่น ป๊าอุตส่าห์มาตั้งแต่เมื่อคืน ว่าจะนอนบ้านซักหน่อย สุดท้ายต้องไปนอนโรงแรม” ป๊าบ่นออกมาเสียงดังไปถึงบ้านของหญิง


“ก็มิวต้องซ้อมนี่ครับ มันเป็นสิ่งที่มิวรัก อีกอย่างเรื่องร้องเพลง มิวก็ตัดสินใจแล้ว มิวมีความฝันของมิวและเพื่อนๆ เราจะเล่นดนตรี มิวจะเป็นนักร้อง ต้องประสบความสำเร็จ แล้วป๊าจะต้องเห็นและยอมรับในความสำเร็จของมิว” นักร้องหนุ่มแสดงความมุ่งมั่น


“เหลวไหลน่า มีธุรกิจหลายสิบล้านให้ดูแลไม่ชอบ ดันอยากจะเป็นนักร้อง เอาเถอะ เรื่องนั้นค่อยว่ากันที่หลังก็ได้ ป๊าก็แค่แวะมาเยี่ยมเรา ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว ป๊าจะได้กลับระยองซักที แต่ถ้าเราอยากให้ป๊าชอบใจ ก็เลือกเรียนบริหารธุรกิจ แล้วก็พอซะทีกับไอ้ดนตรีบ้าบอนี่ ไม่รู้อาม่าเอาอะไรใส่หัวเราไม่รู้ หกปีแล้วนะ กับเรื่องไร้สาระพวกนี้ เออ.... แล้วเงินที่ส่งมาให้พอใช้รึเปล่าล่ะ”


“พอครับ แล้วป๊าจะไม่อยู่กินข้าวกับมิวก่อนหรอ”


“ไม่ดีกว่า นัดลูกค้าไว้ตอนบ่าย ว่าจะรีบกลับ”


“แล้วป๊ากลับไงล่ะ ขับรถมาเองหรอ”


“น้าชินขับมาส่งตั้งแต่เมื่อค่ำวานแล้ว นู่น จอดรออยู่ด้านโน้น” ป๊าชี้นิ้วไปยังด้านหน้าปากซอย แต่ไม่ได้หันไปมองตามที่ชี้ นักร้องหนุ่มเงยหน้ามองตาม เห็นร่างสูงของชายหนุ่มคนหนึ่งสวมเสื้อเชิ้ตสีฟ้าด้านในและสวมทับด้วยเสื้อกั๊กสีขาวเดินเข้ามาตามทางที่มุ่งสู่บ้านตน หญิงพยายามจะเรียกให้ชายคนนั้นหยุดเท้าแต่ร่างนั้นก็เดินลิ่วมาจนห้ามไว้ไม่ทัน


“รอนานมั้ยที่รัก นึกว่าจะสายซะแล้ว ไปกันรึยังล่ะ” เสียงของผู้มาใหม่ดังขึ้น โดยที่ไม่ได้มองว่า เจ้าของบ้านหนุ่มน้อยหน้ามนยืนคุยอยู่กับใคร




Create Date : 07 กุมภาพันธ์ 2553
Last Update : 5 มีนาคม 2553 15:00:09 น.
Counter : 420 Pageviews.

8 comment
ตอนที่ 09 +++ พลังใจในความสิ้นหวัง +++


+++++ต่อเรื่อง+++++




มิวเอี้ยวตัวหันมามองโต้ง ที่ลุกออกมาจากเตียง สังเกตแววตาสีน้ำตาลที่จ้องไปมองจอมอนิเตอร์ นึกขึ้นได้ว่าตนยังเปิดเมลล์ของคุณบีทิ้งไว้ แขนเรียวของร่างโปร่งรีบปิดเมลล์ฉบับนั้นทันที ก่อนจะหันกลับมามองใบหน้าเรียวได้รูปของโต้งอีกครั้ง ที่บัดนี้ ปั้นหน้าเก็บอาการโกรธจนใครก็สัมผัสได้ ถึงความกรุ่นที่แอบเกาะอยู่ภายในจิตใจของร่างสูงที่กึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียง นักร้องหนุ่มได้แต่ยิ้มและพูดปลอบใจแฟนหนุ่ม


“อย่ากังวลไปเลยโต้ง หมอนั่นทำอะไรเราไม่ได้หรอก ตราบเท่าที่คนฟังยังรักและชื่นชมเพลงของเรา เพลงของออกัสต์ เราเชื่อว่าถ้าเรามีคนที่เรารักอยู่เคียงข้าง เราจะผ่านอุปสรรคต่างๆไปได้ โต้งเชื่อใจเรานะ” พูดจบก็ยกมือทั้งคู่ของคนข้างๆมากุมไว้ พร้อมกับยิ้มสร้างความไว้ใจ


“อือ เราจะฟันฝ่ามันไปด้วยกัน ทุกๆเรื่อง ใช่มั้ยมิว” โต้งส่งแววตาหวานๆออกไปอย่างที่เคย แววตาสีน้ำตาลที่เรียกร้องความเชื่อมั่นจากคนรัก


“แน่สิโต้ง ไม่ว่าจะอุปสรรคเรื่องอะไร เราจะต้องผ่านมันไปด้วยกัน” แววตาสีน้ำเงินพร้อมรอยยิ้มที่สดใสของมิว ส่งผ่านความรักไปถึงโต้ง ทำให้ชายหนุ่มมีกำลังใจดีขึ้น


“แล้วเรื่องของน้ากรล่ะ โต้งจะเอายังไง” มิวถามอย่างเป็นห่วง คนถูกถามขยับมานั่งใกล้ๆ มองหน้าคนถาม ก่อนจะตอบออกมา


“เราคิดดีแล้วนะมิว เราจะบริจาคตับของเราให้พ่อ ลุงหมอบอกว่าถ้าปลูกถ่ายตับให้พ่อได้ พ่อก็จะรอดแหละ เรายอมเสียสละเพื่อพ่อของเรา” โต้งพูดอย่างเชื่อมั่น และดูเข้มแข็งขึ้น ต่างจากเมื่อตอนเย็นอย่างเห็นได้ชัด อาจจะเป็นเพราะตอนนี้ โต้งมีกำลังใจที่ยิ่งใหญ่อยู่เคียงข้าง แม้จะอ่อนแออยู่ในใจ แต่ถ้ามิวอยู่เคียงข้าง ชายหนุ่มก็พร้อมจะเข้มแข็งและตัดสินใจแก้ปัญหาได้เสมอ เหมือนกับตอนที่โต้งให้มิวติดต่อกับจูนเพื่อให้มาช่วยดูแลพ่อเมื่อเดือนก่อน


“แล้วโต้งจะไม่เป็นไรหรอ” มิวดีใจที่โต้งเข้มแข็ง แต่ก็อดเป็นห่วงไม่ได้


“ลุงหมอว่าจะต้องตัดเอาไปบางส่วน คงไม่มีอันตรายกับเราหรอกนะ แต่ต้องตรวจก่อนว่าจะเข้ากันได้มั้ย หรือตับเรามีปัญหาอะไรรึเปล่า” หนุ่มผมเกรียนยังคงยิ้มให้กับมิว


“งั้นโต้งก็สบายใจบ้างแล้วล่ะสิ ถ้าอย่างงั้น ก็หลับตาลงเถอะนะคนดี คงไม่มีอะไรต้องห่วงแล้วแหละ ตีสามเอง หลับก่อนนะ พรุ่งนี้ต้องไปโรงเรียนแต่เช้า” มิวมีความสุขและสบายใจที่คนรักมีกำลังใจที่ดี ความเศร้าที่ทับถมหัวใจคลี่คลายไปบ้างแล้ว


“ยังอะ มิวเล่นเพลงนั้นให้เราฟังหน่อยดิ” โต้งทำน้ำเสียงอ้อนที่มักทำให้คนฟังใจอ่อนเสมอ


“เพลงอะไรเหรอโต้ง เพลงเดิมหรอ” มิวยิ้มตอบ แต่ก็ลังเลว่าโต้งอยากฟังเพลงไหนแน่


“เพลงนั้นน่ะ เอาไว้ฟังตอนเหงา หรือคิดถึงใครซักคน เราอยากฟังเพลงที่มิวแต่งให้เราต่างหาก” รอยยิ้มที่ออกมาจากทั้งปากสีชมพูรูปกระจับสวยงาม และแววตาสีน้ำตาลสดใส ทำเอาคนที่จ้องมองเขินไปเหมือนกัน แววตาสีน้ำเงินเปล่งประกายของมิว หลุบลงด้วยความอาย ก่อนจะยิ้มตอบเบาๆให้พอแค่โต้งได้ยิน


“บ้า คนอะไร จ้องอยู่ได้ เขินเป็นเหมือนกันนะ” พูดจบก็ก้มลงไปยังคีย์บอร์ด นิ้วเรียวยาวทั้งสิบก็เริ่มบรรเลงเพลงกันและกัน เพลงรักที่มิวแต่งเพื่อโต้ง เสียงดนตรีดังเบาๆไปกับบรรยากาศที่เริ่มอบอุ่น แม้จะเป็นตีสามในฤดูหนาว ฤดูที่ใครต่อใครมักจะมีความเหงา ที่เคียงคู่กับลมโชยเย็นจับใจไปตามฤดูกาล แต่ในหัวใจของชายหนุ่มสองคน ที่ผ่านเหตุการณ์ที่บั่นทอนหัวใจมาตลอดทั้งวัน กลับอบอุ่น เพราะทั้งคู่ต่างเติมไฟให้แก่หัวใจของกันและกัน ใช้ความรักเป็นพลังหล่อเลี้ยงเพื่อสร้างความหวังของทั้งคู่ ให้ยืนยงคู่กันและกันต่อไป


“เพลงเพราะดีเนาะ แต่งได้ไงอะ” คำถามเดิมดังขึ้น


“ก็ถ้าไม่มีโต้ง ก็คงไม่มีเพลงนี้หรอก ฟังแล้วโต้งว่าไงอะ” คำตอบของคนแต่งยังไม่เปลี่ยนแปลง ทำเอาทั้งคนถามคนตอบยิ้มเขินกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อเดือนก่อน จูบแรกที่โต้งมอบให้แก่มิว เป็นสัญลักษณ์ที่โต้งใช้แสดงออกถึงความรักที่ตนมีต่อนักร้องนำวงออกัสต์




ร่างสูงยกตัวเข้ามาใกล้ร่างโปร่งที่กำลังบรรเลงเพลงกันและกันอยู่ โน้มศีราะลงไปใกล้ๆกับใบหน้าของนักดนตรีหนุ่มเจ้าของบ้าน ริมฝีปากสีชมพูบนใบหน้าสีขาวนวล ค่อยๆประทับไปบนแก้มขวาสีชมพูที่กำลังเรื่อแดงด้วยความเขินอายของมิว ก่อนจะกลับลงมานอนหลับตาพริ้มบนที่นอนอีกครั้ง หลับอย่างช้าๆและก็หลับสนิทลงไปเมื่อมิวบรรเลงเพลงจบลงพอดี




ร่างโปร่งวางมือลงข้างตัว หลับตานึกถึงภาพเหตุการณ์เมื่อครู่ การที่ได้เห็นคนรักหลับตาลงอย่างมีความสุข วางภาระเรื่องกังวลลงไปได้ เพราะได้ฟังเพลงรักที่ตนตั้งใจบรรเลงกล่อมให้ฟัง ทำให้หัวใจของมิวพองโต และด้วยหัวใจที่เบิกบานและอิ่มนั้นเอง ทำให้นักร้องหนุ่มคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ มือซ้ายเอื้อมไปหยิบปากกาด้ามโปรด ที่วางคู่กับสมุดบันทึกเล่มเดิมที่ใช้มาตลอดบนหลังลำโพงอีกตัว ก่อนจะค่อยๆจดความคิดความรู้สึกเมื่อครู่ลงไป พร้อมกับกดแป้นคีย์บอร์ดควบคู่ไปด้วย ระหว่างที่เขียนอยู่นั้น ก็หันไปมองร่างสูงที่นอนหลับตาพริ้มเป็นระยะๆ นักร้องหนุ่มก็มักจะยิ้มเป็นระยะๆบ้าง ทุกครั้งที่สามารถบรรจงจรดปากกาเขียนทั้งเนื้อเพลงและทำนองลงไปได้ แต่เพราะมองร่างที่นอนหลับไปแล้วนานเกินไป ทำให้หัวใจของนักร้องหนุ่มเริ่มบอกเจ้าของร่างว่า อยากลงไปอยู่ใกล้ๆกับหัวใจอีกดวงที่เต้นอยู่ในอีกร่างบนที่นอน มิวเริ่มปิดอุปกรณ์ต่างๆลง ลุกจากเก้าอี้ แล้วเข้าไปนั่งบนที่นอนฝั่งของตน เคียงข้างกับร่างสูงของโต้งที่กำลังหลับอยู่นั้น เลื่อนตัวลงมาเรื่อยๆเพื่อที่จะได้นอนต่ออีกซักสองชั่วโมง แต่ก่อนที่ได้ล้มตัวลงนอนสำเร็จ ร่างโปร่งของมิวค่อยๆยกตัวขึ้นไปอยู่เหนือใบหน้าที่หลับพริ้มอย่างมีความสุขของโต้ง ริมฝีปากสีชมพูของเจ้าของห้อง ค่อยๆประทับลงเบาๆบนริมฝีปากของผู้มาเยือน แค่ชั่วไม่กี่วินาที มิวดึงศีรษะของตนกลับมา แล้วล้มตัวลงนอน ใบหน้างามของเจ้าของนัยน์ตาสีน้ำเงินที่บัดนี้เปล่งประกายมีสีชมพูเรื่อๆ ก่อนที่ดวงตาสีน้ำเงินงามคู่นั้นจะค่อยๆปิดลงอย่างช้าๆและหลับไปในที่สุด ไม่ทันได้สังเกตเลยว่า ใบหน้าของเจ้าของดวงตาสีน้ำตาลงามอีกคู่ของคนข้างๆ ก็เรื่อสีชมพูเหมือนกัน แววตาสีน้ำตาลที่เปล่งประกายอยู่ภายใต้เปลือกตาที่ปิดสนิทของโต้ง กำลังมีความสุขและอบอุ่น เพราะพลังใจแห่งกันและกันที่มิวตั้งใจบรรเลงเพื่อโต้งนั่นเอง




เช้าวันรุ่งขึ้น มิวและโต้งต่างแยกย้ายกันไปโรงเรียนของแต่ละคน ก่อนจะนัดเจอกันที่โรงพยาบาลตอนค่ำ เพราะมิวต้องไปซ้อมดนตรีกับเพื่อนๆซะก่อน เฮียบอกไว้ตั้งแต่เช้าว่า สัดาห์หน้าจะเริ่มบันทึกเสียงของเพลงทั้งหมด ทางค่ายต้องการให้ทันออกอัลบั้มในช่วงวาเลนไทน์เดือนหน้า เป็นหน้าที่ที่ทั้งมิวและวงออกัสต์จะต้องตั้งใจซ้อม เพื่อความพร้อมในการออกอัลบั้มแรกอย่างเป็นทางการของพวกตน เป็นธรรมดาที่นักร้องหนุ่มต้องดีใจเป็นพิเศษ และเดินทางไปโรงเรียนอย่างมีความสุข


“อะ เครื่องใหม่ของมรึง กรูซื้อรุ่นเดิมมาเลยนะเว้ย พี่หลิวว่าจะหักจากค่าตัวของมรึงเองเลย” เอ๊กซ์ส่งมือถือเครื่องใหม่ให้กับมิว ก่อนจะนั่งลงข้างๆแล้วหยิบการบ้านของต่อมานั่งลอกกับมิว


“ขอบใจโว้ย” พูดเพียงแค่นั้น ก็หยิบซิมการ์ดและเมโมรี่การ์ดจากเครื่องเดิมมาใส่ลงในเครื่องใหม่ ก่อนจะกดหมายเลขโทรศัพท์หาใครบางคนที่อยู่อีกโรงเรียนนึง





.....




.....





‘ให้มันเป็นเพลง บนทางเดินเคียง ที่จะมีเพียงเสียงเอกับฉัน’ เสียงสัญญาณโทรศัพท์ดังขึ้น บนกระเป๋านักเรียนใบแบนๆสีดำ ที่วางอยู่บนเก้าอี้ยาวริมสนาม มีเจ๋งที่กำลังนั่งคุยโทรศัพท์กับเพื่อนอยู่ข้างๆ ก่อนจะหยิบขึ้นมาดู ว่าเบอร์ของใครโทรเข้ามา


“โต้ง เชี่ยโต้ง โทรศัพท์” เจ๋งตะโกนบอกโต้งที่กำลังเตะบอลอยู่กับเพื่อนๆ อย่างอารมณ์ดีข้ามคืน เมื่อก่อน ถ้าเป็นโดนัทโทรมา หลายครั้งที่โต้งจะปฏิเสธ แต่ครั้งนี้ ชายหนุ่ม พยักหน้าไปทางเจ๋งเป็นเชิงถามว่านี่เป็นโทรศัพท์จากใคร เพื่อนสนิทอย่างเจ๋งก็เหมือนรู้ใจ รีบทำท่าทำไม้ทำมือเป็นรูปคนกำลังร้องเพลง ทำให้โต้งรีบวิ่งออกจากสนามมารับโทรศัพท์ทันที





Create Date : 04 กุมภาพันธ์ 2553
Last Update : 5 มีนาคม 2553 15:01:12 น.
Counter : 510 Pageviews.

5 comment
1  2  3  4  5  6  7  8  

Niramitr
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 8 คน [?]



สาวก"รักแห่งสยาม"

New Comments