Welcome to My World ...จากเมืองนอก..สู่บ้านนา ลั้ลลาสุดๆ

ลูกมอดินแดง: สามปีในฐานะเด็กม.ปลาย ตอนแรก

แล้วเธอก็ได้เรียนที่นี่

ใครจะคิดว่า เด็กที่ผลการเรียนไม่โดดเด่นมากมาก จริงๆ ก็เกรดสามแบบปลายๆ ทุกเทอม จะสอบติดที่นี่ ที่ที่มีแต่คนอยากเข้าเรียน สอบเข้าก็แสนจะยาก เพราะสอบเข้าหลายพัน รับจริงๆสี่สิบ...ต้องเป็นพวกที่คิดแบบแปลกๆ ถึงจะได้เรียน เราก็คิดว่าเป็นโอกาสอันดีนะ ที่เราจะได้เปลี่ยนทัศนคติในการมองโลกซะที...ที่เคยคิดว่าคนสวย ต้องเรียนไม่เก่ง ...หรือ คนเล่นกีฬาเก่ง เล่นดนตรีเก่ง วาดรูปเก่ง ต้องเรียนไม่เก่ง เพราะที่นี่...เราได้เห็นคนเก่งทุกรูปแบบ การเรียนแบบพึ่งพาตัวเองแบบสุดๆ ที่หนึ่งของประเทศที่สอบเข้าแพทย์ได้ตั้งแต่ม.ห้าก็เป็นเพื่อนเรา...

ที่นี่ ทำให้เรารู้ว่า สวย รวย เก่ง แล้วก็ความสามารถพิเศษอีกเพียบ สามารถรวมอยู่ในตัวคนๆ เดียวกันได้ ไม่ผิดกฎกติกามารยาทอะไร...การมาเรียนที่นี่ถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นของการเปิดกะลาออกมาสู่โลกกว้างของเราอย่างแท้จริง

เริ่มต้นที่หอพักรินกานต์ พี่น้องและผองเพื่อน

จากการที่เราได้ผ่านการสอบคัดเลือกให้มาเป็นนักเรียนสาธิต ทำให้เราต้องย้ายมาอยู่ไกลบ้านขึ้น รูมเมทคนแรกของการอยู่ต่างบ้าน หญิง เพื่อนสมัยประถมของเรานั่นเอง หญิงเรียนสายศิลป์คำนวณ ส่วนเราเรียนสายวิทย์ ที่หอพักนี้ก็อยู่กันแบบครอบครัว มีห้องพักประมาณสิบเอ็ดห้องที่ให้เช่าอย่างเป็นทางการ เราอยู่ชั้นล่างห้องแรกเลย

ชีวิตเราปีแรกในสาธิตสนุกสนาน รื่นเริงบันเทิงใจ ไร้สาระไปวันๆ แล้วผลออกมาก็คือ เกรดเราต่ำมากๆ สองกลางๆ ไม่เคยได้อย่างนี้มาก่อนเลย ก็วันๆ เอาแต่ เฮฮาปาจิงโกะ...กินแล้วนอน นอนแล้วก็ยังกิน ก็เลยอ้วนตุ๊เลยแหละ ...ด้วยความที่อยู่หอแล้วสนุก ก็เลยไม่ค่อยอยากออกไปสนุกกับโลกภายนอก ชอบอยู่หอมากกว่า...เลยไม่ค่อยได้สุงสิงกับเพื่อนๆ ที่หออื่นๆเท่าไหร่ มาตอนนี้ความสัมพันธ์ก็เลยไม่ใคร่จะแนบแน่นเท่าที่ควร ไม่เป็นไรหรอก...ไม่มีอะไรสายสำหรับคนที่พยายามจะแก้ไขตัวเอง

สี่สิบห้า และห้าสิบสี่ ภายในหนึ่งปีนี้มีที่มา

ก็อย่างที่ได้บอกไว้น่ะแหละ ว่ากินแล้วนอน มิหนำซ้ำ นอนแล้วยังตื่นขึ้นมากินได้อีก... มาเรียนที่นี่นะ พฤติกรรมการกินของเราเปลี่ยนไปทุกอย่างเลย จากเคยเลือกอาหารอยู่บ้านว่าจะกินอะไร ไม่กินอะไร ก็ต้องมากินอาหารจานเดียว แล้วแถมยังชอบเพิ่มไข่ดาวเข้าไปอีก...เท่านั้นยังไม่พอนะ กินเสร็จแล้วก็แบบว่าห้องมันเล็กน่ะ ทำไงได้...ก็เลยล้มตัวลงนอนเล่นๆ บนเตียงดีกว่า...แล้วยังไงน่ะเหรอ ผลลัพธ์ก็คือ น้ำหนักเพิ่มขึ้นแบบกู่ไม่กลับกันเลย...จากสี่สิบห้า (บอกไปก็ยากที่ใครจะเชื่อ) เป็นห้าสิบสี่ ตัวเลขก็เป็นสองตัวเหมือนกัน ต่างก็เพียงแต่สลับตำแหน่งกัน ก็แค่นั้น ทำตื่นเต้นไปได้

...ตอนแรกก็ยังไม่สำเหนียกนะว่าตัวเองอ้วนขึ้นมากๆ เพื่อนม.ต้น ทักในวันที่เราไปฉลองงานปีใหม่ที่บ้านหัวหน้าห้องสมัยม.ต้น เราก็ได้แต่ค้านไปว่า ไม่เห็นอ้วนขึ้นตรงไหนเลย...โหย...พูดออกไปได้ไม่อายปากนะตอนนั้น ตั้งเกือบสิบโลแน่ะ แค่ปีเดียวทำได้ไงเนี่ยะ (ยังไงก็ตาม สถิตินี้ก็ถูกทำลายลงไปเมื่อเรามาเรียนต่อที่เมืองผู้ดี เพราะสามารถทำน้ำหนักได้ถึงสิบเจ็ดกิโล ภายในเวลาเพียงสิบห้าเดือน... เชื่อหรือไม่...)

ยังมีตอนต่อไปนะ ยังไงก็อย่าลืมติดตามล่ะ




 

Create Date : 24 ตุลาคม 2548    
Last Update : 23 เมษายน 2554 13:24:52 น.
Counter : 476 Pageviews.  

เรื่องราวสามปี ณ โรงเรียนสตรีประจำจังหวัด ตอนสอง

เรื่องที่จะเล่าเนี่ยะ ก็เป็นส่วนหนึ่งของความสามารถของเราเท่านั้น พูดแล้วก็เหมือนจะโม้ ... เหอๆ ก็มีทั้งเรื่องดนตรีกีฬา แล้วก็เรียน ... แต่ก่อนที่จะถูกหมั่นตับ (หมั่นไส้ไปมากกว่านี้) เราก็เลยตัดสินใจ คัดเรื่องความสามารถด้านการเรียนของเราออกไป เอ้า...ลองอ่านกันดูก็แล้วกันนะ ขำๆ

ซ้อมวิ่งยังกับไปแข่งโอลิมปิก

นอกจากเรื่องเรียนแล้วเนี่ยะ เรื่องกีฬาของเราก็ไม่แพ้ใครเหมือนกันล่ะ ไม่ค่อยอยากจะโม้ (นี่ขนาดไม่โม้นะเนี่ยะ) ตอนม.สาม เราก็สมัครคัดตัวเป็นนักกีฬาเพื่อแข่งขันกีฬาสี แล้วไอ้ความสามารถของเราเนี่ยะมันก็ไม่ค่อยจะยอมซ่อนตัวซะด้วยสิ เราก็เลยติดเป็นหนึ่งในนักวิ่งสี่คูณร้อยน่ะ แล้วงานนี้ก็ดันได้ร่วมงานกับผู้ที่เชี่ยวชาญด้านการวิ่ง แล้วก็มีดีกรีถึงนักกีฬาเขต ชื่อของเธอก็คือ สมพิศ การซ้อมวิ่งสี่คูณร้อยของเราเลยธรรมดาไม่เป็น เริ่มต้นด้วยการนัดซ้อมวันเสาร์อาทิตย์ นี่ขนาดกีฬาสีระดับโรงเรียนแค่นั้นนะ พี่แก่เล่นทำเหมือนกับว่าจะต้องไปแข่งระดับจังหวัด ระดับภาค ไอ้เราเนี่ยะ วันเสาร์อาทิตย์นี่ก็ต้องวิ่งรอกเรียนพิเศษ โหย...เหนื่อยสุดๆ

จากการเรียนที่โรงเรียนนี้นะทำให้เราได้รับค่านิยมด้านความคิดแบบแปลกๆ “ครูที่นี่ชอบปลูกฝังให้เด็กคิดว่า ถ้าเรียนเก่งแล้วจะเล่นกีฬาหรือทำอย่างอื่นไม่เก่ง” อันนี้เราเจอมากับตัวเลย วันนั้นเราซ้อมกีฬา แล้วก็คุยอยู่กับเพื่อนๆ ห้องสิบเพราะเป็นนักกีฬาด้วยกัน อาจารย์เค้าก็เดินมาที่กลุ่มพวกเรา เห็นใส่เสื้อสีแดงก็เหมารวมเลย พวกเธออยู่ห้องสิบกันละสิ...เราก็บอกว่าเปล่าค่ะ อยู่ห้องหนึ่ง...ทำไมต้องตัดสินคนจากค่านิยมของตัวเราเอง ...แย่จังเนอะ แต่จากการวิ่งโดยการฝึกซ้อมของสมพิศ ก็ทำให้เราสามารถรับส่งไม้ได้อย่างสุดเท่ เหมือนนักกีฬามีระดับเค้าทำกัน ...ถึงแม้ว่าผลการแข่งขันพวกเราจะแพ้ เพราะความไม่ได้มาตรฐานของสนามและกรรมการก็ตาม งานนี้สมพิศผิดหวังมาก ถึงขั้นหลั่งน้ำตาเลย ก็ได้แต่ปลอบกันไป ว่าการแข่งระดับเล็กแบบนี้คงไม่เหมาะกับพวกเรา เพราะเราเชื่อว่าถ้าสนามได้มาตรฐาน พวกเราต้องชนะแน่นอน

จากอังสุมาลิน...ถึงโหมโรง..(ว่าด้วยเรื่องของดนตรีไทย)

ที่โรงเรียนเรามีคล้ายๆ จะเป็นชมรมดนตรีไทย ซึ่งตอนนั้นเราเคยไปขออาจารย์หัดเรียน หัดซ้อมอยู่พักใหญ่ เราเล่นซออู้ แต่เห็นว่ายิ่งเล่นก็ยิ่งไม่เวิร์ก ก็เลยไม่อยากฝืน ...ว่าไปนั่นเลย จริงๆ ก็คือ เล่นได้ แต่ว่าเวลากลับบ้านไม่อำนวยให้ซ้อมได้น่ะ บ้านอยู่ไกล อะไรทำนองนั้น จริงๆ ก็อยากเล่นขิมเป็นอังสุมาลินเหมือนกันนะ เพราะสมัยนั้นคู่กรรมมาแรงเชียว...ดูแล้วน้ำตาไหลแบบว่าตะงืดๆ ถึงแม้ว่ามันจะนานมาแล้วแต่ความอยากเรียนดนตรีไทยมันก็ยังมีอยู่ไม่รู้คลาย ...จนเราไปเรียนที่สาธิต(ตอนม.ปลาย ซึ่งเป็นคนละที่กับตอนประถม) เราก็ได้ลองฝึกอีกหลายอย่าง เราลองเล่นขิม จะเข้ ระนาด ซอด้วง แต่ก็เห็นว่าไม่รุ่งซักอย่าง เลยไม่อยากจะฝืน...แล้วยิ่งพอมาดูโหมโรงเนี่ยะ อยากฝึกระนาดขึ้นมาตะหงิดๆ เลยแหละ ....แล้วยังมีเปียโน กับไวโอลินอีกนะที่อยากเรียนแต่ยังไม่ได้เข้าไปเริ่ม แล้วถ้าสบโอกาสยังไงคิดว่าไม่พลาดอยู่แล้วแหละ




 

Create Date : 24 ตุลาคม 2548    
Last Update : 23 เมษายน 2554 13:24:01 น.
Counter : 486 Pageviews.  

เรื่องราวสามปี ณ โรงเรียนสตรีประจำจังหวัด ตอนแรก

เราว่าเราเขียนเรื่องราวไปค่อนข้างจะเยอะแล้ว ส่วนใหญ่ก็จะเป็นวีรกรรมต่างๆ แต่สิ่งเหล่านี้ก็ยังไม่ได้ซักกระผีกของสิ่งที่เราได้ประสบมา แต่ครั้นจะให้ถ่ายทอดหมด เขียนจนเรียนกันไม่จบ...ก็ไม่หมดหรอก ยังไงเราก็จะทยอยๆ เขียนเล่าไปก็แล้วกันนะ

เราเริ่มชีวิตม.ต้นของเราด้วยความสดใส ซาบซ่า

ในห้องเรียนของเรามีนักเรียนประมาณห้าสิบคนได้ เราเลขที่สิบสาม ...โห อะไรจะเฮงขนาดนั้นเนี่ยะ อันนี้เราก็ไม่รู้อ่ะนะ เรามาเรียนที่นี่ด้วยการสอบโควตาน่ะ แบบว่าเรียนดี เค้าก็เลยคัดให้มาสอบก่อน ไม่ต้องไปสอบรวม แรกๆ ก็เรียนอยู่ที่ตึกขี้ค้างคาว...หลังจากมีตึกใหม่ ก็ได้ขึ้นไปอยู่ตึกใหม่... เรื่องของหนุ่มๆ เนี่ยะ ก็ไม่มีหลุดเข้ามาให้เห็นเลย สงสัยว่าเราจะเหมือนทอมมากมั้ง เพราะตอนแสดงละครเรื่องขุนช้างขุนแผน ตอนเรียนภาษาไทย เพื่อนยังบอกเราเลยว่า โหย.. ถ้านิลเป็นผู้ชาย เราคงละลายไปแล้ว เพราะว่าตาเราเยิ้มมาก...อันนี้เราก็ไม่รู้อ่ะนะ มันเป็นไปเอง

เวลาเรากินข้าว เราก็จะห่อไปกินกับเพื่อนๆ กินรวมกัน ตอนแรกก็ไม่เข้าใจว่าทำไมแม่ถึงให้เราห่อข้าวไปกินที่โรงเรียน แต่ตอนนี้รู้แล้วว่า อาหารที่เค้าขายเนี่ยะ เค้าไม่ได้เลือกสิ่งที่ดีที่สุด แต่เค้าเลือกที่ถูกที่สุด แล้วก็อุดมไปด้วยผงชูรส...แต่ของที่แม่ทำนอกจากจะอร่อยล้ำแล้ว ยังอุดมไปด้วยคุณค่าทางอาหาร ถึงแม้ว่าจะต้องวิ่งตามลุงสำราญคนขับรถของสถาบันไปติดๆ เลยก็ตาม...แบบว่าแม่ทำกับข้าวสายอ่ะนะ แต่พอม.สามก็กินข้าวกับโครงการอาหารกลางวันที่โรงเรียนน่ะ ขี้เกียจรอแม่ทำ


การอ่านนิยาย...ใครคิดว่าไม่สำคัญ

บัวริน บัวแดง บัวหลวง และอื่นๆ อีกมากมาย ถ้าใครที่เป็นคอนิยายเล่มละสิบบาท คงจะรู้จักนามปากกาของนักแต่งเหล่านี้ดี แล้วยิ่งถ้าเป็น นภาลัย ไผ่สีทอง อันนี้รับประกันได้เลยว่าต้องติดใจ... เราก็เป็นคนนึงที่ได้รับการถ่ายทอดวิทยายุทธในการอ่านนิยายในห้องเรียน อ่านแบบธรรมดามันคงไม่เท่ห์ ต้องแอบอ่านน่ะ ถึงจะเจ๋ง วันนึงๆ อ่านได้หลายเล่มมากเลย อ่านแบบนี้ไม่ต้องถามนะว่าเรียนรู้เรื่องมั้ย เพราะถ้าเราแอบทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งอย่างตั้งใจ อย่างอื่นมันไม่เข้าหัวเราหรอก แต่เราก็ยังประคับประคองเกรดของเราให้ออกมาสวยหรูมากๆ เลยนะ ไม่อยากจะโม้

จริงๆ แล้วเราเริ่มต้นอ่านนิยายเล่มหนาแบบจริงจัง เมื่อตอนป.สี่ จะไม่เชื่อก็ตามใจอ่ะนะ เราไปห้องสมุดกับเอิง ก่อนหน้านั้นเราชอบอ่านแบบหวานแหวว น้ำกับฟ้า...ของนราวดี หลังจากนั้นก็เปลี่ยนแนว เป็นแบบลึกลับของจินตวีร์ วิวัฒน์ ซึ่งเน้นเกี่ยวกับเรื่องของม่อน พระจันทร์แล้วก็ล้านนา อ่านไปแล้วก็จินตนการพระเอกกันให้วุ่นวายไปหมด ...แต่สำหรับนางเอกแล้ว ไม่ต้องเสียแรงคิดให้ยากเลย..เพราะว่าจะเป็นใครอื่นไปได้นอกจากตัวเราเอง หรือว่าเวลาใครอ่านนิยายแล้วคิดถึงคนอื่น...

นอกจากเรื่องกิน แล้วก็บันเทิงแล้วเนี่ยะ เรายังทำอย่างอื่นเป็นอีกนะ ... ยังไงก็ลองติดตามอ่านตอนต่อไปก็แล้วกันจ้า




 

Create Date : 24 ตุลาคม 2548    
Last Update : 23 เมษายน 2554 13:23:26 น.
Counter : 506 Pageviews.  

วีรกรรมประถมปลาย กับโรงเรียนใกล้บ้าน ภาคสาม

ภาคนี้ก็เป็นเรื่องราวภาคสุดท้ายแล้ว กับวีรกรรมสมัยประถมปลายของเรา จริงๆ ก็มีเด็ดกว่านี้อีกนะ แต่มันเสี่ยงกับความมั่นคงของตัวเอง ก็เลยต้องตัดอกตัดใจคัดออกน่ะ เราว่าที่เราจะเล่าต่อไปนี้ ก็เด็ดสำหรับรุ่นเราแล้วล่ะ

ลงเรือน้อยลอยวน

เรื่องนี้มีอยู่ว่า พวกเราได้มีโอกาสเรียนวิชาช่างไม้ และงานปั้น ซึ่งได้รับความเอื้อเฟื้อสถานที่จากคณาจารย์ในสถาบัน แล้วก็เรียนหล่อพิมพ์ทำงานเซรามิกซ์ คราวนี้ที่อาคารเรียนก็จะมีสระบัว...เรื่องราวมันก็เลยเกิดขึ้น สระบัวมีสะพานเล็ก แล้วก็มีดอกบัวสาย...ซึ่งเค้าว่ากันว่า ถ้าสระไหนที่เลี้ยงบัวสายได้ สระนั้นจะค่อนข้างลึก เราก็มีความเชื่ออย่างนั้น แต่ไม่วายลงไปพายเรือเล่นกัน แล้วเรือเค้ามีไว้ให้เหรอ ทำไมเค้าเสี่ยงจัง ทิ้งเรือไว้ให้เด็กเล่น.... โปรดอย่าเข้าใจเขาผิดๆ อันนี้ร้องเป็นเพลงเลย ความจริงแล้ว เรือมันไม่ได้อยู่แถวนั้นหรอก แต่พวกเพื่อนๆ ของเรามีความพยายามมาก ย้ายเรือพาย ที่อยู่ในหนองนกเป็ด มาประจำไว้ที่สระบัว ที่อาคารเซรามิก ไกลไม่หยอกเลยแหละ พวกเราก็พายเล่นกันอย่างสนุกสนาน จากสนุก ก็กลายเป็นคะนอง...เป็นอันว่าจะพายเข้าเทียบที่ตรงไหน ก็จะถูกมือดี เรียกว่าตีนดี จะถูกกว่า ถีบหัวเรือส่งออกมา เป็นเหตุให้เรือล่ม จี๋โดนงูกัด มุกตัวเปียก ...ต๊อกต้องเป็นหมดจำเป็นฉีดยากันบาดทะยักให้จี๋ วันนั้นอลหม่านกันไปหมด

เซรามิก, น้ำสลีฟ และครูฝึกสอนผู้น่าสงสาร

คิดแล้วก็รู้สึกสงสารครูฝึกสอนคนนั้นยิ่งนัก ไม่รู้ทำกรรมอะไรไว้เลยได้มาสอนพวกเรา แล้วพวกเรามันก็ไม่ธรรมดากันอยู่แล้วน่ะนะ ในคาบเรียนครูก็แนะนำถึงดินที่จะเอามาเทในแบบพิมพ์ว่า เค้าเรียกกันว่าน้ำสลีฟ เค้าจะเอาชิ้นงานที่ไม่ดี แล้วยังไม่ได้เผาเนี่ยะ มาแช่ไว้ในอ่าง แล้วคงมีการเติมสารอย่างอื่นด้วย แต่ครูเค้าไม่ได้พูดถึง แล้วอยู่มาวันนึง พวกเราก็มาเล่นที่โรงเรียนกัน แล้วก็มีความคิดว่าทำไมพวกเราไม่มาทำงานกันต่อละ เทพิมพ์ไปได้ซักพัก น้ำสลีฟก็หมด ... ด้วยความร้อนวิชาพวกเราก็จัดการทำน้ำสลีฟเอง... มันก็ไม่ได้มีอะไรมากอะนะ แค่เอาดินมาเช่น้ำ ก็ครูเค้าบอกแค่นี้ก็แค่นี้ แต่ก่อนที่อะไรๆ มันจะเลยเถิดไปมากกว่านี้ ...อาจารย์ผู้ใหญ่ ผู้ปราบมาร ก็เข้ามาที่ตึก แล้วถามว่าใครเปิดประตูให้ ...ใครอนุญาตให้เข้ามา ใครสอน ครูคนนั้นเลยซวยไป เพราะพวกเราอ้างชื่อของครูด้วยความภูมิใจว่าตัวเองเป็นศิษย์มีครู โดยไม่ได้สำเหนียกเลยแม้แต่นิดว่า ตัวได้นำมาซึ่งความเดือดร้อนให้ครูซะแล้ว...

เกาเสื่อเพื่อกลบเสียง...จากอวัยวะเบื้องล่าง

เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อพวกเราต้องไปเข้าค่ายลูกเสือกันที่ค่ายหนองจิก... สนุกปนน่ากลัว ที่น่าประทับใจสุดๆ สำหรับเรา คือ พ่อกับแม่เราขนของเข้าไปเยี่ยมแบบออกนอกหน้า...ขนขนมมาเพียบ แล้วก็ผ้าห่มแบบกลัวว่าลูกชั้นจะหนาวตาย อะไรประมาณนั้นน่ะ เอ้า จะออกนอกเรื่องอีกแล้ว...แบบว่ามันต้องมีกันบ้างใช่ม้า ต่อเลยนะ พอตกกลางคืน เค้าก็มีการแยกโซนนอน เด็กผู้หญิงนอนฝั่งนึง เด็กผู้ชายอีกฝั่งนึง...และแล้วความลับของต่ายขาวก็ไม่เป็นความลับอีกต่อไปเมื่อบาสเพื่อนรักได้เอามาแฉ...อยากฟังกันแล้วใช่ม้า สองมือล้วงกระเป๋า สองเท้าก้าวเข้ามาเลย... คืนนั้นเป็นคืนที่ค่อนข้างจะหน้า ...บาสนอนไปสักพักก็ได้ยินเสียงเกาเสื่อดังแกรก แกรก... ดังมาจากไหนหว่า ฟังดีๆ แล้วก็เลยรู้ว่ามาจากเพื่อนรักที่นอนอยู่ถัดกันนี่เอง อยากจะสะกิดถามใจจะขาดว่ามึงเกาทำไมวะ...แต่แล้วความจริงก็ฟ้องออกมา เสียงตดที่ดังแทรกออกมาจากเสียงเกาเสื่อ หรือจะพูดให้ฟังง่ายๆ ก็คือ ต่ายเกาเสื่อมาตั้งนาน แต่พอตด ดันหยุดเกา เพราะมัวแต่ลุ้นเสียงที่จะดังออกมา เรื่องมันก็เลยแดง... ล้อกันไม่เลิกเลย เอากลับไปล้อจะยังจำได้อยู่มั้ยน้าาาาา

ลาวกระทบไม้

อันนี้น่าจะตอนอยู่ป.หก โรงเรียนของเราก็ได้รับเกียรติจากสถาบันแม่อีกแล้วครับท่าน เค้าให้ส่งการแสดงเข้าร่วมใน
งานวันเด็ก...การแสดงในวันนั้นคือลาวกระทบไม้ ไอ้เราก็คาดหวังกันอย่างเต็มที่เลยว่าเราน่าจะได้รำกับเค้าด้วย...แต่หลายๆอย่างในชีวิต มันไม่ได้เป็นไปอย่างที่เราคิดเสมอไป พูดง่ายๆ ก็คือว่า เราได้ร่วมการแสดงจริง แต่เป็นคนนั่งกระทบไม้ สงสัยว่าหน้าตาเราคงลาวไม่พอ (ไม่ได้รำ แล้วพาลครับท่าน) ...การการแสดงนี้คือ รำลาวกระทบไม้นี่นา คิดดูสิ ว่าเด็กตัวเล็กๆ อย่างเราจะรู้สึกน้อยใจขนาดไหน ที่ในห้องมีคนเรียนยี่สิบเอ็ดคน หญิงสิบคน...เค้าให้เรากับจี๋กระทบไม้ คู่กับเจมส์ แล้วก็ใครอีกคนเราจำไม่ได้แล้ว เราก็กระแทกไม้ซะแรงเชียว แบบว่าพาลน่ะ คิดถึงตอนนั้นแล้วเสียวแทนนะ ถ้าแบบว่ากระทบพลาดเนี่ยะ คงตาตุ่มแตกกันล่ะ แต่โชคดีที่ไม่มีใครเป็นอะไรไป กาแสดงก็เลยสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี

กว่าเราจะว่ายน้ำเป็น

เท้าความก่อนว่า ก่อนหน้าที่เราจะว่ายน้ำได้เก่งเหมือนปัจจุบันนี้ เราก็ได้ไปเรียนกับโรงเรียนเมื่อตอนป.สี่ แต่ดันกระโดดลงไปในส่วนที่ค่อนข้างลึก กินน้ำไปหลายอึก...กว่าจะทะลึ่งขึ้นมาจับขอบสระได้ แล้วหลังจากวันนั้นเราก็รู้สึกขยาด บอกพ่อว่าไม่ไปว่ายน้ำแล้วนะ พ่อก็บอกว่าจะหาครูสอนให้...แต่เราก็ยังดื้อ ไม่เอา สุดท้ายก็ยกเลิก พอจะหัดช่วงป.สี่ขึ้นป.ห้า เราก็ดันป่วยเป็นคางทูมควบกันกับคออักเสบ ทำให้เราต้องนอนรักษาตัวอยู่ที่บ้านตลอดช่วงปิดเทอมสามสัปดาห์ สรุปง่ายๆ ก็คือ งวดนั้นเพื่อนบ้านทุกคนก็ว่ายน้ำกันเป็นหมด ยกเว้นเราคนเดียว แต่เราก็ไปว่ายน้ำที่สระพละ อยู่นะ แบบงูๆปลาๆ น่ะ ท่าแรกที่ว่ายได้รู้สึกว่าจะเป็นกบแบบเขียดน่ะ หัดเองก็อย่างเงี้ยแหละ ต้องทำใจหน่อย ในที่สุดเวลาที่เราว่ายน้ำได้จริงก็มาถึง...ช่วงปิดเทอมป.ห้า เราก็ได้สมัครเรียนอีกครั้งนึง งวดนี้เราเป็นพี่ชั้นโตที่สุด น่าอายจริงๆ พี่ป. ห้า เรียนว่ายน้ำกับน้องสี่ขวบ...แต่ก็ดีนะ มันเป็นแรงฮึด น้องทำได้ เราก็ต้องทำได้ แล้วก็โชคดีด้วยที่ได้ อ.สิงห์ ...สอนแบบตั้งใจ เราก็เลยว่ายน้ำเป็นตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา แล้วเกมส์ที่พวกเราชอบเล่นที่สุดคือ เก็บหิน หมาเน่าลอยน้ำ แล้วก็เล่นเป็นจระเข้ ค่อยๆ ไหนเอาหัวดิ่งลงสระ สนุกดี

เรื่องราวสมัยประถมจบลง ... แต่เรื่องราวมัธยมกำลังจะเริ่มขึ้น ... อย่าลืมติดตามล่ะ




 

Create Date : 24 ตุลาคม 2548    
Last Update : 23 เมษายน 2554 13:19:21 น.
Counter : 523 Pageviews.  

วีรกรรมประถมปลาย กับโรงเรียนใกล้บ้าน ภาคสอง

ก่อนอื่นต้องขอออกตัวแล้วก็ขออภัยล่วงหน้า ถ้าได้มีการกล่าวพาดพิงถึงบุคคลที่สอง ที่สาม ที่สี่ และอื่นๆ นะ เราขอรับความผิดไว้แต่เพียงผู้เดียว เพียงแค่อยากให้รู้ไว้ว่า เจตนาเดียวที่เรามีอยู่ คือความรัก แล้วก็ระลึกถึงเพื่อนๆ ทุกคนเสมอ ประสบการณ์ที่เรามีร่วมกัน ถ้าไม่ประทับใจจริงก็คงไม่เขียน แต่ที่ไม่ได้ เขียน ไม่ใช่ว่าไม่ประทับใจ แต่บางครั้ง มันละเอียดอ่อนเกินกว่าจะเขียนพาดพิงได้... หวังว่าคงจะเข้าใจจ้า

เกริ่นมาก็นานแล้ว เอาเป็นว่า เริ่มเมาท์เลยแล้วกันนะ

วีรกรรมอีกาฟักไข่ กับต่ายขาว

อันนี้เป็นเรื่องที่เล่าทีไร มีก๊ากทุกที เรื่องมีอยู่ว่า พวกเราเล่นอีกาฟักไข่ บ้างก็เรียก อีกากกไข่ พวกเราจะถอดรองเท้านักเรียน แล้วเอาไปรวมไว้ตรงกลาง ติ๊ต่างว่าเป็นไข่กา แม่กาจะต้องพยายามกางปีกห้องไม่ให้คนมาขโมยไข่ได้ แต่ต่ายขาวไม่ได้เป็นแม่กาธรรมดาๆ แต่เป็นแม่กาที่ปล่อยแก๊สพิษ ที่มีอานุภาพทำลายล้างรัศมีโคตรไกล ต่ายเป็นแม่กาทีไร ไม่มีใครกล้าขโมยไข่ซักที ให้มันได้อย่างงั้นสิ

หนุ่มสาวใต้ต้นหว้า

อันนี้รู้สึกว่าจะอยู่ป.ห้า หลังจากที่ย้ายมาอยู่ที่อาคารใหม่แล้ว พวกเราก็มีตึกเรียนสีชมพูเป็นของตัวเอง ราวบันไดสีแดงชวนสยอง...ทำไมต้องสีนี้ด้วยน้าาาา....ทุกคนต่างสงสัย เอ้า นอกเรื่องซะแล้ว ต่อเลยนะ เพื่อนๆ เราเนี่ยะ จะเป็นกลุ่มที่ทโมนมาก หนึ่งในนั้นมีพวกที่ตั้งตัวเป็นแก๊งสี่คิง โดยให้แต่และคนเป็นคิงแต่ละตัว เริ่มที่ต่ายขาว หล่อหน่อยแล้วก็สูงขาว เลยได้เป็นคิงข้าวหลามตัด ต่ายดำ ตัวเตี้ยผิดคล้ำ เลยได้เป็นคิงโพธิ์ดำ บาสตัวไม่ขาวมาก สูงเลยได้เป็นคิงดอกจิก ส่วนหนุ่มน้อยหน้าหยก ได้เป็นคิงโพธิ์แดง

อยู่มาวันนึง มีพี่ชายหญิงคู่นึง เค้าไม่รู้คิดยังไง พากันมาจีบกันหลังโรงเรียนเรา...ใต้ต้นหว้าแห่งนั้น จริงๆ ต้นหว้าก็อยู่ไกลจากตึกเรียนเราประมาณไม่ต่ำกว่าร้อยเมตร แต่ด้วยสายตาเหยี่ยวพยายมอย่างพวกเรา มีเหรอจะให้อะไรรอดพ้นสายตาไปได้ ดังนั้น เสียงจากสวรรค์ก็ดังขึ้น “พี่คร๊าบบบบบ จีบกันสนุกมั้ยคร๊าบ” แล้วพอพี่สองคนนั้นหันมานะ เค้าอายจนไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ไหนเลย ค่อยๆ เดินเลี่ยงหนองนกเป็ดไป แล้วไม่ได้กลับมาให้เห็นอีกเลย จะไม่ให้อายได้ยังไงไหว หน้าต่างมีเท่าไหร่ พวกเราไปยืนโผล่หน้ากันสลอน ทั้งห้องเลยก็ว่าได้ คงคิดแหละเนอะว่า อุตส่าห์หลบมาไกลขนาดนี้ มันยังตามมาเป็นมารกันได้ ตอนนี้กรรมก็เลยตามมาทันให้เห็นทันตาเลยไม่มีแฟนกับเค้าเลย เนี่ยะแหละน้าาาา เค้าถึงว่าไว้ ...กรรมไม่ต้องรอชาติหน้า

วีรกรรมเด็ด ของพี่หนุ่มรวมพล

เรื่องราววันนั้นก็ไม่มีอะไรมาก เป็นหนึ่งวันในชั้นป.ห้า เราที่ค่อนข้างจะป๊อบในหมู่เด็กสาวๆ ก็จะมีน้องๆ หน้าตาดีๆ แวะมาหาเสมอ แล้ววันนี้ก็เช่นกัน น้องป.สามคนหนึ่ง ยืนคุยกับเราซักพัก หนุ่มรวมพลก็เดินมา แล้วด้วยความเร็วสูง หนุ่มจับกระโปรงน้องเค้าปิดขึ้น แล้วก็พูดว่า “ว้าาาา สีขาว” พูดเสร็จก็เดินจากไปเหมือนกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น น้องเค้ายืนเหวอไปเลย ต้องทำใจหน่อยละนะ มาห้องนี้เนี่ยะ หน้ามึนกันทั้งนั้นเลย

วีรกรรมยังมีต่ออีกเยอะ ติดตามภาคสามกันได้เลยจ้า




 

Create Date : 24 ตุลาคม 2548    
Last Update : 23 เมษายน 2554 13:18:28 น.
Counter : 464 Pageviews.  

1  2  3  4  

I_am_Nin
Location :
กาญจนบุรี Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




สวัสดีค่ะ ท่านผู้มีอุปการะคุณทุกท่าน... ทางเว็บของเรามีความยินดีเป็นอย่างยิ่ง ที่จะต้อนรับทุกท่านเข้าสู่บล็อกแห่งนี้...

โดยส่วนตัวแล้วเป็นคนที่มีอุปนิสัยสนุกสนานร่าเริง รักการอ่านทุกประเภท ชอบท่องเที่ยว (ไม่รักสัตว์ ไม่รักเด็ก เพราะไม่คิดจะเป็นนางงาม อิอิ)... ส่วนใหญ่ก็ไปเที่ยวตามแต่กำลังทรัพย์ ชอบเที่ยวไปยังแหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติต่างๆ ปัจจุบันตอนนี้มีความสนใจและความชอบเพิ่มขึ้น ตามวงปีที่ได้เรียนรู้โลกที่เพิ่มมากขึ้น อาทิ ซีรีส์ วาไรตี้ และนักร้องเกาหลี (เข้าสู่วงการเมื่อประมาณ 4-5 ปีที่แล้ว และบัดนี้ก็ยังไม่ได้ออกมา ...ก็อย่างที่เค้าบอก ว่าวงการนี้เข้าง่าย แต่ออกยาก)

... หน้าที่การงานตอนนี้ ก็หลบเลี่ยงจากความวุ่นวายของเมืองกรุงฯ มาทำงานอยู่ในจังหวัดใกล้ๆ ที่ขับรถ 2-3 ชั่วโมงก็มาถึงแล้ว (อยู่ที่ว่าจะมาเส้นไหน ขับรถเร็วมั้ย และติดไฟแดงเยอะรึเปล่า) มีสโลแกนของจังหวัดว่า 'แคว้นโบราณ ด่านเจดีย์ มณีเมืองกาญจน์' หลังจากที่เรียนจบมานานจากเกาะอันไกลโพ้น
Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add I_am_Nin's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.