Welcome to My World ...จากเมืองนอก..สู่บ้านนา ลั้ลลาสุดๆ

สี่ปีแสนสั้น กับเรื่องราวมันๆ ในรั้วมอดินแดง ตอนสอง

จากเรื่องพี่ๆ สายรหัส และเพื่อนๆ แถวรหัสแล้ว... เรื่องราวต่อมา ก็ยังคงเกี่ยวพันกับความเป็นพี่เป็นน้องกันอยู่ แต่กระเถิบเข้ามาใกล้ตัวมากขึ้น โดยเป็นเรื่องของพี่ๆ น้องๆ ในภาควิชาที่เราเรียนอยู่น่ะ

การรับน้องของพี่ๆ ภาคคอม ....จากถูกรับ...เป็นตั้งรับ

รุ่นสี่ของภาคคอม...ปีนี้มีเพื่อนๆ มากหน้าหลายตา ทั้งที่คุ้นเคย และไม่คุ้นเคย เข้ามาเรียนร่วมกัน... มีผู้หญิง แปดคน แล้วก็มีผู้ชายอีกร่วมสามสิบคน ... แต่ที่ยืนหยัดอยู่ด้วยกัน จนถึงวินาทีสุดท้าย แล้วก็จบไปเนี่ยะ มีประมาณยี่สิบปลายๆเห็นจะได้... ไม่ต้องตกใจว่าทำไมหายไปมากมายกันขนาดนั้น ก็มีย้ายภาคมั่ง ย้ายมหาลัยมั่ง ซิ่วมั่ง รีไทร์มั่ง มั่วไปหมดเลยแหละ

ปีนี้ พี่ๆ พาพวกเราไปรับน้องที่เขื่อนจุฬาภรณ จ. ชัยภูมิ เสียดายที่ฝนตกตลอดจนชื้นไปหมด เลยทำกิจกรรมไม่ได้อย่างที่ตั้งใจไว้น่ะ ....พี่ๆ จัดทำฐานต่างๆ ไว้เพื่อให้พวกเราได้แสดงความสามารถ แล้วก็ความสามัคคี ตกเย็นก็มีการแสดงของแต่ละชั้นปี... อันนี้สนุกมากๆ เลย ...ลืมเล่าไป ตอนที่พวกเราเดินทางไป พวกพี่ๆ ก็ชอบมานั่งคุย แล้วก็มีการอำกันไปอำกันมา... พี่ต้น(พี่ปีสี่) ก็อำเพื่อนๆ ว่า อย่าไปกวนน้องเค้ามากนะ ไม่รู้เหรอว่าบ้านน้องเค้าเป็นค่ายมวย... เมื่อพี่ต้นส่งมุขกันขนาดนี้แล้ว จะไม่รับรึ ...ก็กระไรอยู่... เราก็เลยบอกไปว่า ...พี่อย่าบอกใครนะ ...ไม่อยากให้เพื่อนรู้ เดี๋ยวเพื่อนจะไม่คบนิล...น้าาาาาน ตีบทแตกครับท่าน...จากนั้นเป็นต้นมา เพื่อนๆ พี่ๆ ก็รู้จักกันในนามของลูกสาวค่ายมวย...อะไรจะเท่ห์ขนาดนั้น แต่ความก็มาแตกตอนที่เราทำค่าย CESCA อบรมคอมพิวเตอร์ให้กับนักเรียนทั่วภาคอิสาน แล้วอาจารย์ แถวบ้าน ที่เค้ารู้จักเรากับครอบครัวก็มาส่งลูก เค้าก็ทักทายเราถามถึงพ่อ เพื่อนๆ ก็เลยรู้ว่า บ้านเราไม่ใช่ค่ายมวย ฮา ... มีการถามอีกนะว่า แล้วบ้านเธอไม่ได้เป็นค่ายมวยเหรอ... ฮ่าๆ ตลกดี อำมาได้ตั้งนาน...ความแตกซะแล้ว

เมื่อเป็นพี่ปีสาม แล้วพาน้องไปเที่ยวรีสอร์ท ...อันนี้พากันไปรับน้องที่สวิตเซอร์แลนด์รีสอร์ทที่เพชรบูรณ์ ไม่ค่อยสนุกเท่าไหร่ เพราะฝนตกตลอดเลย ขนาดไปเที่ยวสวนผลไม้ ...ฝนยังตกเลย...อดเดินเที่ยว ได้แต่ซื้อของ ...ไม่ค่อยได้ทำกิจกรรมอะไรเท่าไหร่ ไม่ค่อยได้สนิทกับน้องเท่าไหร่ ไม่เหมือนตอนที่ตัวเองถูกรับ อันนั้นรู้สึกว่าน่าประทับใจกว่ากันเยอะน่ะ ไม่รู้เหมือนกัน

เย้....เป็นพี่ปีสี่แล้ว ปีนี้เลยไปรับน้องที่สระบุรี...มีน้องชิต เป็นตัวตั้งตัวตีในการจัดการติดต่อรถ แล้วก็ที่พัก ...รีสอร์ทที่ไปพัก บ้านพักดีมากๆ เลยแหละ พวกเราได้เที่ยวกันที่ปราสาทหินพิมายด้วย...อาจารย์วิโรจน์(หนึ่งในคณะอาจารย์ผู้ควบคุม) น่ารักมาก มาถ่ายรูปทำท่าบ้าๆ กับพวกเราด้วย...อิอิ ...

... มีมุขนึงที่ภาคเราขาดไม่ได้ คือ เรื่องให้เหยียบความลับเนี่ยะ ไอ้ที่บอกว่า รู้แล้วเหยียบไว้นะเนี่ยะ ให้ระวังไว้เลย ... เพราะคนที่รู้ จะกลัวว่าถ้าเหยียบไว้คนเดียว มันจะไม่แน่น ฉะนั้น จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องช่วยให้คนอื่นช่วยเหยียบ มันจะได้แน่นๆ ... เพราะฉะนั้น ถ้าอยากประกาศอะไรเนี่ยะ แค่บอกว่า เหยียบแน่นๆ นะ อย่าบอกใคร...มันจะกระจายได้เร็วกว่าเรื่องที่ต้องการให้ประกาศซะอีก เหอๆ น่ากลัวจริงๆ เลย ... ไม่กล้าเผามากไปกว่านี้แล้วล่ะ ... เดี๋ยวจะแย่




 

Create Date : 24 ตุลาคม 2548    
Last Update : 23 เมษายน 2554 13:27:21 น.
Counter : 556 Pageviews.  

สี่ปีแสนสั้น กับเรื่องราวมันๆ ในรั้วมอดินแดง ตอนแรก

เรื่องราวนี้ ก็เป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นหลังจากที่เรามาใช้ชีวิตอยู่ในฐานะนักศึกษา ในมอดินแดง ... อาจจะสงสัยว่า เราเรียนที่นี่มากี่ปี ... ถ้ารวมเรียนม.ปลายด้วย ในรั้วมอดินแดงแห่งนี้ ก็ขอตอบว่าเจ็ดปีจ้า ... น่าจะนานกว่าที่อื่นๆ ทั้งหมดเลยแหละ เพราะฉะนั้น เราก็จะรู้สึกผูกพันกับสถานที่มากกว่าหลายๆ ที่ที่เราเรียน อันนี้ไม่นับโรงเรียนตอนประถมต้นนะ เพราะบังเอิญว่าอยู่ในรั้วเดียวกับสถาบันที่ บ้านเราอยู่น่ะ ก็เลยผูกพันมากกว่านิดนึง เรื่องที่เราจะเล่าเรื่องแรกเลย ก็น่าจะเป็นเรื่องของเพื่อนแล้วก็รุ่นพี่ ที่จะต้องช่วยเหลือเกื้อกูลกันตลอดสี่ปีที่เรียนอยู่ เพราะที่นี่ระบบพี่น้องเค้าค่อนข้างจะเคร่งครัด ... เอาเป็นว่า อย่าเสียเวลาเกริ่นอยู่เลย ... มาฟังกันเลยดีกว่า ว่าเรื่องที่เราละเล่า เกี่ยวกับใครบ้าง เหอๆๆ

พี่ๆ สายรหัสสุดเท่ห์ของเรา

การเรียนมหาลัย กับการมีพี่รหัสเนี่ยะ เป็นเรื่องที่คู่กันมาตั้งแต่สมัยดึกดำบรรพ์ เราเองก็ได้มีโอกาสเข้ามาเป็นหนึ่งในฟันเฟืองเล็กๆ ของคณะที่ผู้ชายเยอะสุดในมหาวิทยาลัยแล้ว...ไม่อยากโม้ ที่เลือกเรียนคณะนี้ก็เพราะเหตุผลนี้เหตุผลเดียวเท่านั้นแหละ อย่าเอ็ดไปล่ะ หลังจากที่สืบทราบชื่อของพี่รหัส เราในฐานะของน้องรหัสที่ดี ก็เริ่มถามเพื่อนสมัยม.ปลาย ที่เข้ามาเรียนก่อนเราปีนึงทันที...โอ๋ เพื่อนของเรารายละเอียด แล้วก็รูปพรรณสัณฐาน ว่า พี่เค้า ตัวสูง ขาว ใส่แว่นตา....โหย อะไรจะเข้าประเด็นกันขนาดนั้นวะเนี่ยะ จากวันนั้นเป็นต้นมา เราก็มองแต่รุ่นพี่ที่ใส่แว่นแล้วก็สูงขาว...ด้วยความเข้าใจว่า เค้าน่าจะเป็นพี่รหัสเราเข้าซักคนล่ะน่า... แล้ววันนั้นก็มาถึง อยากรู้ละสิว่าวันไหน

วันรับน้องคณะ...พวกเราจะถูกพาไปรับน้องที่หน้าบ้านแข (เพื่อน ม.ปลาย) แถวศาลเจ้าพ่อมอดินแดงน่ะ แล้วก็พากลับมาแกล้งเล่นที่คณะ หรือไงเนี่ยะแหละ จำไม่ได้แล้ว ....ตอนที่รับน้องที่คณะเสร็จ เราก็มอมพอสมควร ...จู่ๆ ก็มีรุ่นพี่มานั่งคุยด้วย เราเห็นว่าเป็นพี่ปีสอง เราก็เลยถามว่า พี่รู้จักพี่เม้งมั้ยคะ... พี่เค้าก็บอกว่า ...ก็พี่นี่ไง....โหย...ไอ้เรานะ งงเป็นไก่ตาแตกเลย แถมมีการถามว่า พี่ไม่ใส่แว่นตาเหรอคะ ถามเพื่อน เค้าบอกว่าพี่ใส่ พี่เค้าก็เลยบอกว่าใส่เฉพาะ เวลาอ่านหนังสือ ...ว้า... แย่จัง จากนั้น เราก็ไม่เคยคิดกับพี่รหัสในแง่อื่นอีกเลย ... จบข่าว

สายรหัสเราเป็นผู้ชายหมด แถวรหัสก็เป็นชายหมด ยกเว้นเรา เพราะฉะนั้นเราก็เลยเป็นผู้หญิงที่สวยที่สุดในแถวและสายรหัส... ลุงรหัสเราหล่อมั่กมาก เป็นพระเอกละครนัวเนียร์ (ละครประจำคณะ) ในปีที่เราถ่ายทำสไลด์เป็นหนูหิ่น..ทำได้ไงวะเนี่ยะ แต่งตัวแบบหนูหิ่นไปยืนรอรถเมล์ คนก็มองกันอยู่ได้ อายมากกกกก

ลุงเราชื่อพี่หมี...พี่เค้าเล่นบาสเก่งมากๆ เป็นคนที่น่ารัก ชอบบริการ ตอนหลังเราพอจะรู้ทางว่าถ้าเค้าอยากได้อะไร เค้าจะทำให้คนอื่นก่อน เช่น พี่หมีจะตักของกินให้เราก่อน เพราะเขินที่จะตักให้ตัวเองก่อน หรือไม่ก็ ...ถ้าพี่เค้าอยากถ่ายรูปเค้าก็จะเสนอตัวถ่ายให้ก่อน ... อันนี้เราต้องรู้แล้วว่า พี่เค้าอยากเข้ากล้องบ้างประมาณนั้น สี่ปีในรั่วแห่งนี้ก็เป็นการเรียนที่มีความสุขนะ แต่ปีหลังๆ ก็ไม่ค่อยๆ ได้เจอพี่หมีกับพี่เม้งบ่อยนัก เพราะต่างคนต่างก็มีงานน่ะ ไม่รู้ว่าพี่ๆ เป็นยังไงกันบ้าง คิดถึงเหมือนกันนะเนี่ยะ...




 

Create Date : 24 ตุลาคม 2548    
Last Update : 23 เมษายน 2554 13:27:04 น.
Counter : 465 Pageviews.  

ลูกมอดินแดง: สามปีในฐานะเด็กม.ปลาย ตอนจบ

เรื่องที่เราจะเล่าต่อไปนี้ ก็เริ่มต้นด้วยเรื่องราวของความโชคร้ายของเราตอนปลายปีที่เรียนม.ห้า แต่ปิดท้ายด้วยความโชคดีตอนเทอมปลาย ม.หก

วัวตัวนั้น...มาจากไหนเนี่ยะ

ก็อย่างที่โบราณเค้าว่าไว้น่ะนะ ว่าคนมันถึงที่จะซวย...ทำยังไงก็รั้งไว้ไม่ได้น่ะแหละ.... เรื่องของเรื่องก็มีอยู่ว่า วันนั้น เป็นวันนึงในช่วงฤดูหนาวอันแสนโหดสำหรับการเตรียมตัวสอบเอนทรานซ์ เรากับหญิงได้สมัครเรียนพิเศษไว้ในเมือง และวันนั้นก็เป็นอีกวันนึงที่พวกเราได้ออกไปเรียนกันตามปกติ...แต่ก็ดันเกิดเรื่องที่ไม่ปกติขึ้นซะก่อน... ก่อนหน้าที่จะเกิดเรื่องประมาณสามวันได้ เราฝันถึงเพื่อนสมัยม.ต้น ที่เสียไปเพราะอุบัติเหตุ ในฝันเราอยู่ที่อาคารปัจฉิมสมัยเรียนตอนประถม เราจมน้ำที่ท่วมแค่ระดับหัวเข่าได้...เราพยายามตะเกียกตะกาย แต่เราเงยหน้าไม่ได้ จู่ๆ ก็มีมือนึงดึงเสื้อ...ยกหัวเราขึ้นมาจากน้ำ...ตอนนั้นรู้แค่ว่าเรารอดแล้ว... หลังจากที่เห็นว่าใครเป็นคนช่วย จิตใต้สำนึกเราก็เตือนเราทันทีว่า เพื่อนเราคนนี้ตายแล้วนี่นา... เราเล่าให้มะฟิวฟัง เค้าก็บอกว่าเราให้เราไปทำบุญ ... แต่ยังไม่ทันได้ทำอะไร ก็เกิดเรื่องขึ้นซะก่อน

มอเตอร์ไซค์ที่เรานั่งไป ถูกวัววิ่งมาชนอย่างจัง ...เราไม่อยากบอกเลยว่า ภาพเหตุการณ์ในวันนั้นมันยังชัดเหมือนเพิ่งเกิด ก่อนออกจากหอ น้องๆ ก็ชวนกินข้าว พร้อมกับร้องกันระงมเลยว่าไม่ต้องไปหรอก...หยุดซักวันไม่เห็นจะเป็นไรเลย... นี่ถ้าเราเห็นแก่กินกว่านี้นะ เราคงไม่เป็นอะไร แต่ก็ไม่แน่หรอก ...เพราะมันเป็นเรื่องที่ถูกลิขิตไว้แล้ว ก่อนออกจากหอ เราเปลี่ยนเสื้อกันหนาวเป็นตัวที่หนาที่สุดโดยให้เหตุผลกับตัวเองว่า...ที่เรียนมันหนาว พอเรากับหญิงขับมอเตอร์ไซค์ซ้อนกันออกไปจากซอยสาม แล้วเข้าสู่ช่วงซอยหนึ่ง วัวตัวเท่ๆ ก็เงยหน้าขึ้นมาสบตากับเรา..ตาต่อตามาประสาน..จากนั้นมันก็เริ่มวิ่ง...ในใจเราก็คิดแค่ว่า ทัน...ไม่ทัน...ทัน...ไม่ทัน... แล้วในที่สุดสิ่งที่เรากลัวก็เกิดขึ้น ทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็วมาก เรากระเด็นจากรถ กระแทกถนนก่อนแล้วกลิ้งห้าตลบ แต่เราถือว่าเหตุการณ์ครั้งนี้เราโชคดีมากๆ โดยเริ่มจาก ถนนเส้นนี้ปกติตอนเย็นประมาณสี่โมงครึ่ง รถจะแล่นกันขวักไขว่ แต่ตอนที่เรารถชน ...มีรถตามมา แต่ไกลมาก นอกจากนี้ถนนเส้นนี้นอกจากจะมีต้นสนที่ปลูกติดกันเป็นระยะๆ แล้วก็ยังมีเสาสายไฟฟ้า และเสาไฟฟ้าเป็นระยะ แต่เรารอดสิ่งเหล่านั้นมาได้อย่างน่าอัศจรรย์ แล้วยังมีใบสนที่ร่วงลงมาก่อนหน้านั้น หนาพอสมควร หนาพอที่จะรับร่างเราไว้ไม่ให้เจ็บมาก จากเหตุการณ์วันนั้น นอกจากขาตรงส่วนเหนือหัวเข่าเป็นรูโบ๋ลงไปจนทำให้ต้องเย็บทั้งในทั้งนอก แล้วก็ไม่มีอะไรที่ร้ายแรง

เรายังยังจำเหตุการณ์หลังจากที่ถูกวัวชนได้แม่นเลย ...หลังจากที่รถชน เรากลิ้งห้าตลบ จากนั้นก็มีคนงานก่อสร้างผู้หญิง เค้าจอดรถลงมาช่วยเรา เค้าพยายามปลุกเราว่าไม่ให้หลับ ...มีน้ำใจมากเลย จากนั้น รปภ. ก็เอารถกะบะมารับพวกเราไปโรงพยาบาล ตอนนั้น เรามีสติทุกอย่าง แถมยังเดินได้อีกต่างหาก เสียดายแต่กางเกงที่ขาดตรงหัวเข่านี่แหละ...ตอนนั้นยังไม่รู้ว่าแผลนั้นมันจะร้ายแรงขนาดต้องเย็บ พอไปถึงโรงพยาบาล เราก็นั่งรถเข็นเข้าไป...ด้วยความคิดว่า ไหนๆ เค้าก็เข็นมาแล้ว ก็นั่งๆ หน่อยแล้วกัน ดีซะอีกไม่ต้องเดินให้เมื่อย... เรากับหญิงถูกส่งเข้าไปที่ห้องอุบัติเหตุฉุกเฉิน หญิงนอนเตียงนึง ส่วนเรานอนอีกเตียงนึง ตอนแรกหมอเค้าเห็นเราเดินได้ เค้าก็คิดว่าไม่เป็นไร เตรียมเรียกพยาบาลมาทำแผลให้เรา ...พอเราถอดกางเกงออกเท่านั้นแหละ ...เปลี่ยนจากพยาบาล เป็นหมอสองคน แล้วหมอยังมีการบอกว่าอีกนะว่า ดีนะเนี่ยะที่อ้วน เอ็นเลยไม่ขาด... เราเห็นแผลแล้วยังเสียวเลย เพราะว่าลึกมากๆ พอเย็บเสร็จ เราก็ออกไปนั่งโม้ ให้เพื่อนๆของเราที่ได้ข่าว แล้วก็แห่กันมาเยี่ยม ได้ฟัง งานนี้...ได้เหล่พี่ๆ อินเทอร์นเพียบเลย ส่วนหญิง ตอนหลังบอกเราว่า จำอะไรช่วงนั้นไม่ได้เลย รู้อีกทีก็เห็นแสงนีออนในห้องฉุกเฉินแล้ว... ส่วนเราจำได้ทุกเม็ด พอเล่าให้ใครฟังนะ เค้าก็ถามเราว่า แล้ววัวตัวนั้นล่ะ..... ห่วงกันจั๊งงงง แล้วหลังจากเหตุการณ์ของเราในครั้งนั้น...มข. ก็ได้ออกกฎอย่างเคร่งครัด...ห้ามนำสัตว์เข้ามาหากินในเขตมหาลัย ... อย่างน้อยเหตุการณ์ของเราก็ช่วยลดความเสี่ยงให้กับคนอื่นได้บ้าง

การสอบโควตาที่แสนจะสุขใจ

จริงๆ แล้วเนี่ยะ ขึ้นชื่อว่าสอบ มันก็ไม่น่าจะมีอะไรที่รื่นเริงบันเทิงใจนักหรอกนะ ถ้าเราไม่โชคดีได้สอบห้องเดียวกับเอก ชายหนุ่มที่เราเคยได้ยินเต่ชื่อ ว่าป๊อบมาก ในหมู่นักเรียนสาว ทั้งในและนอกโรงเรียนของเค้า ชายหนุ่มคนนี้มาในมาดของนักเรียนเกๆ (แบบว่าเราคิดเองเออเอง จากการใส่กางเกงนักเรียนผ้าเวสปอยต์น่ะ มันสั้นๆ ขาบานๆ แล้วสีก็ซีดๆ) เรานั่งเป็นเลขที่สุดท้ายของห้อง เค้านั่งซ้ายมือเรา ด้านหน้าเราก็มีอีกหนุ่มหน้าตาน่าเอ็นดู มาจากอีกโรงเรียนนึง... รายล้อมไปด้วยบรรดาหนุ่มหน้าตาดี แล้วอย่างงี้จะไม่ให้เราสุขใจได้ไง... ทำข้อสอบไปยิ้มไปเลยแหละ แต่สงสัยเราจะหันไปมองหนุ่มด้านซ้ายบ่อยเกินไป เพราะว่ามีอยู่ช่วงนึง อาจารย์มานั่งอยู่ด้านหลังระหว่างเรากับค้า...ประมาณว่า ชั้นนั่งตรงนี้ เธอจะได้มองไปทางนั้นไม่ได้... แหมมมม ช่างไม่รู้อะไรซะเล๊ยยย ตอนนั้นเรารู้แต่ว่าเราก็เจ๋งพอ เราไม่ลอกคนอื่นให้เสียแรงหรอก... แต่แบบว่าเรื่องของคนที่หน้าตาหล่อ แล้วไม่ใช่ว่าจะหาได้ง่ายตามท้องตลาดนี่สิ ที่ทำให้เรามองเค้าบ่อยๆ แล้วไอ้ที่มองเนี่ยะ ก็ไม่ได้ทำแบบแอบๆ ด้วยนะ ระดับนี้เนี่ยะ แอบทำไม่เป็นอ่ะ เลยมองกันโต้งๆ ไปเลย ผลก็คือ ได้คุณครูมานั่งคั่น สบายแฮ ตอนไปดูผลสอบก็ลุ้นสุดๆ เลย ...มีคนมาบอกว่าเราติดสามคน แต่พอถามว่าเห็นชื่อเรามั้ย บอกว่าไม่ แต่ว่าเห็นชื่อโรงเรียน แล้วก็เลขที่ก็ประมาณว่าน่าจะเป็นของเรา คือประมาณช่วงเลขที่กันเลย น่ากลัวจริงๆ แล้วพอเห็นชื่อตัวเองนะ ดีใจมากๆ เลย เท่านั้นยังไม่พอ ระดับเราแล้วเนี่ยะ ต้องดูอยู่แล้วว่าสุดหล่อติดรึเปล่า...พอเห็นชื่อเท่านั้นแหละ....สี่ปีในมหาลัยคงสดใสกว่าที่คิด อย่างน้อยก็ได้ร่วมชั้นกับคนหล่อละวะงานนี้...เหอๆๆๆ




 

Create Date : 24 ตุลาคม 2548    
Last Update : 23 เมษายน 2554 13:25:30 น.
Counter : 524 Pageviews.  

ลูกมอดินแดง: สามปีในฐานะเด็กม.ปลาย ตอนสาม

นอกจากเรื่องเจ็บป่วยแล้วเนี่ยะ เรื่องที่เราจะเล่าต่อไปนี้ ก็เป็นเรื่องประทับใจของเราต่อพี่ๆ สตาฟกีฬาสีน่ะ แล้วก็ต่อไปถึงความสามารถด้านกีฬา จะน่าประทับใจขนาดไหน ก็ลองอ่านดูเองนะ

เรา... กับความสามารถทางด้านกีฬา

ถ้าจะพูดถึงเรื่องของกีฬาเนี่ยะ เราก็เป็นคนนึงแหละที่ค่อนข้างจะมีทักษะ แล้วก็พรสวรรค์ทางด้านนี้ กีฬาอะไรขาดคน ขอให้บอกเถอะ...เราเป็นลงเล่นให้หมด ถ้าเล่นเป็นน่ะนะ เรามาเริ่มนับกันเลยดีกว่าว่าเราเล่นอะไรเป็นมั่ง ...อันแรกเนี่ยะ ก็เป็นการวิ่งแข่งในช่วงงานกีฬาสีโรงเรียน....เราอยู่สีแดง มีสโลแกนว่า Red Indian เสื้อก็น่ารัก แขนสั้นมีหมวก ด้านหลังมีรูปแล้วก็ข้อความว่า You’ll never walk alone ซึ่งมาตอนหลังเราถึงรู้ว่าเป็นสโลแกนของทีมลิเวอร์พูลนี่เอง

เราลงแข่งวิ่งเกือบทุกระยะ เว้นมาราธอนเอาไว้ซักอันแล้วกัน แบบว่าเราถนัดแต่การวิ่งระยะสั้นน่ะ ห้าสิบเมตรเนี่ยะ โปรดสุดๆ แล้ว แต่วันนั้นเพราะเห็นใจรุ่นพี่ที่เค้าต้องเตรียมงานกันหนักจนเช้า เราก็เลยแสดงสปิริตด้วยการลงแข่งวิ่ง สี่คูณสี่ร้อย แล้วก็แปดร้อยด้วย รู้สึกว่าจะได้เหรียญทองทั้งคู่น่ะ ส่วนระยะสั้นก็วิ่งกันตามระเบียบ...สรุปได้ว่า กลับไปบ้านนวดเคาน์เตอร์เพนจนไม่ได้นอนเลย แบบว่านวดแล้วก็เย็น แถมเป็นหน้าหนาวอีก...บรื๋อ...ทรมานสุดๆ ตอนอยู่ม.สี่เทอมต้น เรียนว่ายน้ำ อ.โกมล ครูสอนว่ายน้ำ ก็ให้เราว่ายกบให้เพื่อนๆ ดูเป็นตัวอย่าง บอกว่าท่าสวย...เล่นชมกันแบบนี้ สู้ตายค่ะ ...จากนั้นพอเทอมสองเราก็แสดงบทบาทเป็นพิทเชอร์ฝีมือดี มีทีมเป็นของตัวเองว่า Omega แข่งขันระหว่างกลุ่มหาผู้ชนะ แล้ววีรกรรมที่ทำให้พี่ๆ ที่อยู่ข้างสนามโจทย์ขานก็คือ การรับลูกที่ตีออกจากไม้..ด้วยมือเปล่า..ณ ตำแหน่งของพิทเชอร์ ซึ่งเค้าจะรู้กันว่าลูกจะค่อนข้างแรง ไม่มีคนบ้าที่ไหนทำอย่างเราหรอก...แต่ที่ทำเพราะว่ามันเกิดขึ้นเร็วมาก รู้แต่ว่าเราต้องรับลูกนั้นให้ได้ ถ้าไม่ได้ เราก็คงต้องเหนื่อยอีกนาน เพราะพอเรารับได้ก็ครบสามเอาท์พอดี จะเอื้อมมือซ้ายไปรับก็...ไม่ทันซะแล้ว... หลังจากที่มีเสียงดัง ตั้บ...ในสนามเงียบเสียงไปครู่ใหญ่ ...พี่ๆ ที่ซ้อมโยนลูกอยู่ใกล้ๆ หันมามองแบบอึ้งๆ ยังทึ่งตัวเองไม่หายเหมือนกัน ... ฮ่าๆ หลังจากซอฟท์บอล เราก็เล่นวอลเล่ย์, แบดมินตัน(โชคร้ายที่ดันมาเรียนหลังซอฟท์บอล เพราะเราคว้ารับลูกดะเลย ถ้ามันเข้ามาช่วงลำตัว ต้องหัดเอามือไพล่หลังอยู่นานเหมือนกัน), เปตอง ... ตอนนั้นอดเรียนเทนนิส เพราะเค้าเพิ่งทุบสนามสร้างใหม่น่ะ แต่หลังจากนั้น เราก็หัดเล่นเอง ตอนนี้ก็เล่นเป็นเกือบทุกอย่างแล้วนะ ที่เป็นกีฬาคนเดียว แล้วไม่ต้องอาศัยเงินซื้ออุปกรณ์มากนัก

อีกตอนเดียวก็จะจบแล้ว ยังไงก็อย่าลืมติดตามตอนต่อไปล่ะ




 

Create Date : 24 ตุลาคม 2548    
Last Update : 23 เมษายน 2554 13:25:14 น.
Counter : 465 Pageviews.  

ลูกมอดินแดง: สามปีในฐานะเด็กม.ปลาย ตอนสอง

ก็ต่อจากภาคที่แล้ว ที่พูดถึงความเป็นมาเบื้องต้น แล้วก็ที่พักในการมาร่ำเรียนที่สถานศึกษาแห่งนี้ ซึ่งที่จะพูดถึงก็เป็นเรื่องของ การเจ็บไข้ได้ป่วยที่ค่อนข้างจะเป็นวีรกรรมเด็ด แล้วก็ผลพวกของการเจ็บป่วยครั้งนั้นอ่ะ เรื่องก็มีอยู่ว่า

แล้วก็ถึงเวลาต้องอำลาไส้ติ่งน้อย

มาจะกล่าวบทไป...ถึงไส้ติ่งน้อย... ขึ้นต้นมาก็ลิเกซะแล้ว เรื่องราวของการผ่าตัดใส้ติ่งนี้ มีที่มาค่อนข้างจะยาวอ่ะนะ มันเริ่มมากจากว่า เราเดินทางกลับจากทุ่งสง หลังจากไปเยี่ยมญาติๆ ทางฝั่งพ่อในช่วงปิดเทอม เราก็เดินทางกลับทางรถไฟ...มันเป็นการเดินทางที่อึดที่สุดเท่าที่เราเคยทำมา... เดินทางจากนครศรีธรรมราชมากรุงเทพเนี่ยะ ก็ราวๆ สิบหกชั่วโมงแล้ว ยังต้องมาต่อรถไฟไปขอนแก่นอีกเกือบเจ็ดชั่วโมง...ที่ตื่นเต้นสุดๆ คือวันที่เรานั่งรถไฟออกมาจากหัวลำโพง เค้ามีการเผาสถานีรถไฟ เพื่อที่จะแสดงพลังของมวลชนในช่วงของพฤษภาทมิฬ

เรานั่งมาถึงขอนแก่น ก็เข้าหอพัก พอวันรุ่งขึ้นก็ไปช่วยเพื่อนๆ ทำซุ้มเพื่อรับน้องใหม่ อันนี้เป็นช่วงจะขึ้นม.ห้าน่ะ เป็นพี่กับเค้าซะทีนึง ตอนเช้าก็รู้สึกว่ามีไข้ เป็นตัวรุมๆ แต่ก็คิดว่าไม่เป็นไรมาก กินยาก แล้วก็นม อาการก็ดีขึ้น... แต่มาเป็นเอาหนักก็ตอนที่กินข้าวเที่ยง เพราะรู้สึกปวดหัวมากๆ จะอาเจียน ...เราก็สันนิษฐานไปว่าเป็นอาการของไวรัสลงกระเพาะ เพราะว่าอาการมันพ้องเกือบทุกอย่างเลย พอไปล้วงคอออกหมด ก็หายปวดหัว เราก็เลยขอให้เพื่อนพาเรากลับไปเอาของที่หอ จากนั้นเราก็ตัดสินใจกลับบ้าน ประมาณว่าขอกลับไปตายเอาดาบหน้า

เรื่องมันเด็ดกว่านั้นก็ตรงที่ว่า หลังจากที่เรามาถึงหน้าสถาบัน เราก็แวะบ้านอาจารย์ที่สนิทกันกับครอบครัว เพื่อรบกวนโทรกลับบ้าน แล้วก็ขอพักอยู่ที่บ้านนี้ก่อน เพราะเรารู้สึกปวดหัวมาก เหมือนจะไม่ไหว หลังจากนั้นเกือบเกือบชั่วโมง พ่อก็มาถึง... พอไปตรวจที่ร้านหมอ แบบว่าเพื่อความแน่ใจเค้าก็ให้ไปสองร้าน จากนั้นหมอก็บอกว่าน่าจะเป็นไส้ติ่ง และแนะนำอีกว่าให้ไปเจาะเลือดตรวจ หลังจากผลการเจาะเลือดบอกเราอย่างเป็นทางการว่าเราเป็นไส้ติ่งอักเสบ พ่อก็พาเราไปขึ้นเขียงที่โรงพยาบาล โชคดีที่ คุณหมอและพยาบาลก็บังเอิญรู้จักกับพ่อเรา ก็เลยทำให้เรารู้สึกไม่เกร็งเท่าไหร่ พ่อหายไปได้สองชั่วโมงก็กลับมาพร้อมแม่และเสื้อผ้าข้าวของของเรา แม่เช็ดตัวจนเราฟื้น... พอหกโมงเช้า พยาบาลกลัวว่าแผลจะติดกันจัด เค้าเลยมาลากเราขึ้นจากเตียงตั้งแต่หกโมงเช้า ...โห โหดสุดๆ ผ่าตัดเสร็จสี่ทุ่ม พอหกโมงลากขึ้นมาเดิน ถึงตอนนี้ เราก็ไม่มีไส้ติ่งแล้วสิเนี่ยะ ว้าาาาา แย่จัง

ความลำบากในการเรียนดนตรีสากล...

หลังจากที่เราผ่าตัดไส้ติ่งเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เราก็ลาโรงเรียนต่ออีกเป็นอาทิตย์ แล้วช่วงนั้นเค้าก็ดันมีการเลือกวิชาเรียนเสริมกัน แบบว่าปีก่อนเราเลือกเรียนคอมพิวเตอร์ แบบว่าเรียนแล้วรู้สึกคุ้ม...ได้จับอุปกรณ์ราคาแพง มาปีนี้ก็ดันมาเป็นวิชาเลือกที่ยอดฮิตสำหรับนักเรียนซะด้วย...เราเองก็ไม่สามารถมาเลือกได้ ก็คงต้องตามมีตามเกิดละวะงานนี้ ผลออกมาก็คือ เราได้เป็นส่วนหนึ่งของวงดนตรีสากล ในฐานะนักร้องนำแหน่ ... อย่าได้สงสัยไปเลยว่าทำไมได้อยู่ในตำแหน่งนี้ เหตุก็เพราะว่า...เราเล่นเครื่องดนตรีอะไรไม่เป็นกะเค้าซักกะอย่าง...เสียงก็ไม่ได้ดีขนาดที่จะร้องนำ ก็เลยได้แต่คลอๆ ไปกับเค้าน่ะ แล้วหลังจากที่หลวมตัวเรียนมาได้หนึ่งปี ก็หลงเสน่ห์ เลยไม่คิดจะไปไหน แล้วที่สำคัญนะ เค้ามีสอนกีตาร์คลาสสิกด้วย เราก็เลยเลือกที่จะเรียนต่อ เรียนทั้งๆ ที่อ่านโน้ต เคาะจังหวะไม่เป็น ...ก็อาศัยการจำวิธีดีดจากบอมบ์, จุ้มจิ้ม แล้วก็คนอื่นๆ แบบว่าเรียนถ่ายมือมาเลย ตอนนั้นนะ ทั้งเครียดทั้งโหด คิดแต่ว่าไม่น่าเรียนเลย มาถึงตอนนี้เราอยากจะเรียนการอ่านโน้ตเพิ่มเติม เพื่อที่จะได้เล่นได้ดีขึ้นนะ เราเชื่อว่า ความพยายามอยู่ที่ไหน ความพยายามก็ต้องอยู่ที่นั่น...ฮ่าๆ พูดเล่นน่ะ จริงๆ แล้วก็อย่างที่รู้ๆ กันว่า ความพยายามมักจะอยู่คู่กับความสำเร็จเสมอ








 

Create Date : 24 ตุลาคม 2548    
Last Update : 23 เมษายน 2554 13:26:17 น.
Counter : 497 Pageviews.  

1  2  3  4  

I_am_Nin
Location :
กาญจนบุรี Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




สวัสดีค่ะ ท่านผู้มีอุปการะคุณทุกท่าน... ทางเว็บของเรามีความยินดีเป็นอย่างยิ่ง ที่จะต้อนรับทุกท่านเข้าสู่บล็อกแห่งนี้...

โดยส่วนตัวแล้วเป็นคนที่มีอุปนิสัยสนุกสนานร่าเริง รักการอ่านทุกประเภท ชอบท่องเที่ยว (ไม่รักสัตว์ ไม่รักเด็ก เพราะไม่คิดจะเป็นนางงาม อิอิ)... ส่วนใหญ่ก็ไปเที่ยวตามแต่กำลังทรัพย์ ชอบเที่ยวไปยังแหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติต่างๆ ปัจจุบันตอนนี้มีความสนใจและความชอบเพิ่มขึ้น ตามวงปีที่ได้เรียนรู้โลกที่เพิ่มมากขึ้น อาทิ ซีรีส์ วาไรตี้ และนักร้องเกาหลี (เข้าสู่วงการเมื่อประมาณ 4-5 ปีที่แล้ว และบัดนี้ก็ยังไม่ได้ออกมา ...ก็อย่างที่เค้าบอก ว่าวงการนี้เข้าง่าย แต่ออกยาก)

... หน้าที่การงานตอนนี้ ก็หลบเลี่ยงจากความวุ่นวายของเมืองกรุงฯ มาทำงานอยู่ในจังหวัดใกล้ๆ ที่ขับรถ 2-3 ชั่วโมงก็มาถึงแล้ว (อยู่ที่ว่าจะมาเส้นไหน ขับรถเร็วมั้ย และติดไฟแดงเยอะรึเปล่า) มีสโลแกนของจังหวัดว่า 'แคว้นโบราณ ด่านเจดีย์ มณีเมืองกาญจน์' หลังจากที่เรียนจบมานานจากเกาะอันไกลโพ้น
Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add I_am_Nin's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.