Group Blog
 
All blogs
 

[UK3] Lake District อาณาจักรแห่งทะเลสาบ


ต่อจากการเดินทาง :
[UK1] E N G L A N D แมนเชสเตอร์ (Manchester), เชสเตอร์ (Chester), ยอร์ค (York)
[UK2] S C O T L A N D เอดินเบอระ (Edinburgh)




--12 เมษายน 2554--

เราเดินทางออกจากเมืองเอดินเบอระ (Edinburgh) ของสกอตแลนด์กันในตอนเช้า เพื่อไปยังถิ่นทะเลสาบ เลคดิสทริค (The Lake District หรือ The Lakes หรือ Lakeland) แห่งประเทศอังกฤษในช่วงบ่าย เส้นทางสาย A592 ซึ่งผ่านหุบเขา ทุ่งหญ้า ป่าไม้ ลำธาร ทะเลสาบ สลับกันกับหมู่บ้านเล็ก ๆ เป็นช่วง ๆ ทำให้เราต้องพยายามลืมตาตื่นขึ้นมาชมวิวสวย ๆ เป็นระยะ ๆ เพราะแค่ชมทัศนียภาพระหว่างเดินทางก็เหมือนมาพักผ่อนแล้ว (ไม่อยากพลาดสักนาทีจริง ๆ นะ)






Lake District National Park เป็นอุทยานแห่งชาติ มีอาณาเขตกว้างใหญ่ครอบคลุมพื้นที่แถบตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศอังกฤษ (ชื่อเขต Cumbria) ซึ่งเป็นสถานที่พักผ่อนตากอากาศที่มีชื่อเสียงมากทั้งด้านการล่องเรือ เล่นเรือใบ ตกปลา ปั่นจักรยาน เดินป่า..


ภาพแผนที่จาก www.viragene.com


จุดหมายของเราคือทะเลสาบวินเดอร์เมียร์ (Windermere) ซึ่งเป็นทะเลสาบที่ใหญ่ที่สุดใน Lake District และประเทศอังกฤษ เราแวะทานกลางวันในตัวเมืองวินเดอร์เมียร์ (Windermere) ที่ค่อนข้างสงบ บ้านเรือนทำด้วยหินเข้ากับบรรยากาศ




และหากเดินทางโดยรถไฟก็มาลงที่สถานีนี้เลย "วินเดอร์เมียร์" (Windermere Railway Station) ..คงไม่สับสนเนอะ



และก็ถึงเวลาไปล่องเรือกันแล้ว เราไปยังท่าเรือ Bowness Pier เพื่อชมวิวทะเลสาบวินเดอร์เมียร์ ซึ่งมีความยาวประมาณ 18 กิโลเมตร โดยมีท่าเรือสำคัญ 3 แห่ง ได้แก่
1. Lakeside Pier อยู่ทางใต้สุดของทะเลสาบในเมือง Windermere
2. Bowness Pier อยู่ตรงกลางของทะเลสาบในเมือง Windermere
3. Ambleside Pier (หรือ Waterhead Pier) อยู่ทางเหนือสุดของทะเลสาบในเมือง Ambleside




บริเวณท่าเรือ Bowness Pier





ช่วงรอรอบเวลาเรือออกตอน 16.35 น. ก็ชมนกชมน้ำไปตามประสา




น้องก้มหน้าก้มตากินอย่างจริงจัง ทุ่มทั้งตัวและหัวใจ




บนเรือหนาวมาก แดดออก..แต่ลมเย็นโค-ตร (คำคุณศัพท์ขั้นสูงสุด)




(บน) บ้านคนมีอันจะกิน
(ซ้ายล่าง) โรงแรมสุดหรู




ถ้าฐานะดีขึ้นมาหน่อยก็จะมีเรือใบส่วนตัวด้วย




โรงแรมหน้าท่าเทียบเรือ




ขึ้นบกมาถ่ายรูปหมู่เป็นที่ระลึก




แวะเดินชมเมือง Bowness-on-Windermere ก่อนจาก




ธรรมชาติสวยงามระหว่างการเดินทางไปยังเมืองรันคอร์น (Runcorn) ที่เราจะพักกันคืนนี้
(ขวาบน) พระจันทร์แอบยิ้มให้ด้วยละ..เอ่อ คือจุดขาว ๆ เท่าขี้ตานั่นน่ะค่ะ





ติดตามการเดินทาง
[UK4.1] E N G L A N D สแตรทเฟอร์ด-อัพพอน-เอวอน (Stratford-upon-Avon),
เบอร์ตัน ออน เดอะ วอเทอร์ (Bourton-on-the-water)














 

Create Date : 26 กรกฎาคม 2554    
Last Update : 12 ธันวาคม 2555 0:39:49 น.
Counter : 4805 Pageviews.  

[UK2] Scotland ดินแดนที่ชายไม่นุ่งกางเกงในใส่กระโปรงลายเป่าปี่











ต่อจากการเดินทาง :
[UK1] E N G L A N D แมนเชสเตอร์ (Manchester), เชสเตอร์ (Chester), ยอร์ค (York)



--11 เมษายน 2554--

วันนี้เราจะขึ้นเหนือไปเที่ยว สกอตแลนด์ (Scotland)
"ดินแดนแห่งปราสาทสวย" ประเทศเล็ก ๆ ที่มีประชากร
ไม่ถึง 6 ล้านคน แต่เป็นทั้งศูนย์กลางทางการเงินและ
การท่องเที่ยวที่สำคัญของสหราชอาณาจักร นอกจากธรรมชาติที่สวยงาม ทั้งท้องทุ่ง ทะเลสาบ ภูเขากว้างใหญ่ แล้ว ยังเป็นแหล่งประวัติศาสตร์สำคัญที่เก่าแก่และงดงาม



ครึ่งวันแรกหมดไปกับการเดินทางข้ามพรมแดนตอนเหนือ
Mr.Chris ใจดีมาก ขับพาไปชมรอยต่อระหว่าง 2 ประเทศ
แต่โชคร้าย..ฝนตก แถมอากาศค่อนข้างหนาว
เลยไม่มีใครใจถึงพอที่จะลงรถไปถ่ายรูป

ภาพแผนที่จาก www.maps-of-britain.co.uk





ช่วงที่เหลียวหลังมองธงชาติตรงจุดแบ่งเขตแดนแบบตาละห้อย น้องเช้งก็เล่าที่มาของการรวมธงประจำชาติทั้ง 4 ประเทศของสหราชอาณาจักร (The United Kingdom of Great Britain and Northern Ireland) หรือที่เรียกว่า Union Jack ให้ฟัง


St George's CrossSt Andrew's CrossSt Patrick's CrossUnion Jack
++=
England + WalesScotlandNorthern IrelandThe United Kingdom




เราพักรถกันที่เมือง Jedburgh แวะร้านขายของที่ระลึกของสกอตแลนด์ที่ใหญ่และมีของน่าสนใจเยอะมาก แต่เสียดายที่ไม่ได้ซื้อเพราะคาดการณ์ว่าจะมีร้านอื่นอีก..อดเลย




ทิวทัศน์ระหว่างทางก่อนถึงตัวเมืองเต็มไปด้วยทุ่งหญ้าปศุสัตว์และกังหันลมผลิตกระแสไฟฟ้า






ทันทีที่เข้าสู่ เอดินเบอระ (Edinburgh) เมืองหลวงของสกอตแลนด์ เมืองมรดกโลกที่ได้รับการยกย่องว่าสวยคลาสสิคที่สุดในสหราชอาณาจักร และที่นี่ยังเป็นศูนย์กลางการเงินอันดับ 2 รองจากลอนดอน (London) และครองอันดับ 5 ของยุโรป พวกเราวี้ดวิ้วกันน่าดู..ได้เห็นสถาปัตยกรรมแบบโบราณในทุกย่างก้าว ไม่ว่าจะเป็นอาคารที่มีเสาสูงแบบโรมัน หอนาฬิกา โบสถ์สไตล์ปราสาท
รูปปั้นบนยอดอาคาร รวมทั้งอนุสาวรีย์ต่าง ๆ เรียกว่าสวยงามทุกตารางเมตรเลยทีเดียว


กล่าวกันว่า เอดินเบอระ เป็นเมืองที่ผสมกันอย่างกลมกลืนระหว่างตึกโบราณที่สร้างด้วยหินในยุคกลาง และอาคารที่มีรูปแบบนีโอคลาสสิกสไตล์จอร์เจียน (Georgian Neoclassical)







อันดับแรกที่ต้องไป คือ ปราสาทเอดินเบอระ (Edinburgh Castle) ปราสาทสวยงามที่เก่าแก่
ที่สุดในสกอตแลนด์ ตั้งอยู่บนภูเขาสูงอันเป็นทำเลที่ได้เปรียบเชิงยุทธศาสตร์ในสมัยก่อน โดยรอบทำเป็นคูเมืองเพื่อประโยชน์เชิงการทหาร รอบนอกเป็นที่ราบลดหลั่นเป็นขั้น ๆ ทำให้เราสามารถมองเห็นปราสาทได้จากทุกมุมเมือง ไฮไลท์ที่น่าสนใจมีหลายอย่างเลย และที่นี่แหละคือสถานที่เปิดตัวหนังสือชื่อดังอย่างแฮรี่ พอตเตอร์ (Harry Potter)




ภาพแผนที่ 2D www.planetware.com | แบบ 3D www.edinburghcastle.gov.uk




บน - วิวด้านหน้าทางเข้าปราสาทเอดินเบอระ
ล่างซ้าย - รูปปั้นของ Prince Frederick, Duke of York and Albany
ล่างขวา - 78th Highlanders Memorial






Esplanade คือชื่อเรียกลานกว้างที่อยู่ด้านหน้าปราสาท






บนซ้าย - ประตูทางเข้า
บนขวา - "ดอกทิวลิป 5 ดาว" = การรันตีความยิ่งใหญ่อลังการโดยการท่องเที่ยวแห่งสกอตแลนด์
ล่างขวา - รูปปั้นของ Robert I, the Bruce ตรงซ้ายมือของประตูทางเข้า ส่วนด้านขวาที่ไม่ได้ถ่ายติดมาคือ William Wallace




ล่าง - เรา + ลุงทอม ไกด์ท้องถิ่น + ผู้ชายที่หล่อที่สุดในโลก






ถังเก็บน้ำ (Water Tank)






ทะเลเหนือ (North Sea) ลุงทอมเล่าว่า “มันเป็นทะเลที่ไม่มีใครกล้าว่ายน้ำเล่นเลย ทำไมน่ะเรอะ ?
ก็อุณหภูมิมัน 4 องศาเซลเซียสน่ะ วะฮ่ะฮ่ะ”

บรรยายไทยโดย กูรู(มั่ง ไม่รูมั่ง)






ปืนบ่ายโมง (The One o’clock Gun) ปืนใหญ่จะยิงไปยังทะเลเหนือ (North Sea) ตอนบ่ายโมงของทุกวันตั้งแต่ปี ค.ศ. 1861 เพื่อเป็นการบอกเวลาแก่ชาวเรือ รวมทั้งข่มขวัญข้าศึกไปพร้อมกัน ปัจจุบันก็ยังคงสืบทอดการยิงปืนอยู่เช่นเดิมทุกวันทำการ (ยกเว้นวันอาทิตย์)






โคตรปืนใหญ่ (Mons Meg) ปืนใหญ่ที่เก่าแก่ที่สุดของยุโรป ความยาว 4.06 เมตร หนัก 6.6 ตัน
ยิงได้ไกลถึง 3.2 กิโลเมตร เฉพาะลูกปืนมีน้ำหนักถึง 150 กิโลกรัม






St Margaret’s Chapel โบสถ์หินแบบโรมันหลังน้อย ๆ สร้างขึ้นโดย King David I (1083-1153) ในปี ค.ศ. 1130 เพื่อเป็นอนุสรณ์แด่พระมารดา Queen Margaret of Scotland (1045-1093)
ซึ่งสิ้นพระชนม์ในปราสาทแห่งนี้ หลังจากล้มป่วยลงเมื่อทรงทราบข่าวพระสวามี (King Malcolm III) และโอรสองค์โต (Edward) สิ้นพระชนม์ในสงครามแห่งแอล์นนิค (Battle of Alnwick) ได้ 3 วัน

ซ้ายล่าง - ครอบครัวตัวป่วน
ขวา - ภายใน St Margaret’s Chapel อาคารที่เก่าแก่ที่สุดในเอดินเบอระ






Scottish National War Memorial เปิดครั้งแรกในปี ค.ศ. 1927 เพื่อรำลึกถึงบรรพชนผู้เสียสละชีพในสงครามโลกทั้ง 2 ครั้ง โดยชื่อของพวกเขาถูกจารึกไว้ในสมุดที่ชื่อว่า "The Rolls of Honour"







Royal Palace สร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1617 เพื่อถวายพระเกียรติแด่ King James VI (1567-1625)
ผู้เป็นกษัตริย์แห่งสกอตเมื่ออายุเพียง 13 เดือน และเป็นกษัตริย์องค์แรกแห่งเกาะบริเตนใหญ่
ขณะอายุเพียง 22 พรรษา (1st King of Great Britain : 1603-1625) โดยปกครองดินแดนอันประกอบด้วยอังกฤษ (England) สกอตแลนด์ (Scotland) และไอร์แลนด์ (Ireland) ในนามของ King James I
ภายในอาคารมีห้องประทับของกษัตริย์และราชินี เครื่องราช
กุธภัณฑ์ ข้าวของเครื่องใช้ของราชวงศ์ต่าง ๆ หุ่นจำลอง มงกุฏ คฑา ดาบ..และน่าเสียดายที่ไม่เจอหินแห่งโชคชะตา (Stone of Destiny) ที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดของชาวสกอต

ภาพหินแห่งโชคชะตา (Stone of Destiny) จาก www.aboutscotland.com


"หอนาฬิกา" สัญลักษญ์แห่ง Royal Palace



ขากลับใช้เส้นทางผิดเลยไปโผล่ในร้านขายของที่ระลึก..ที่คนแน่นมากจนเกือบไม่เห็นประตูทางออก



ปล. ที่เอามือล้วงกระเป๋าเกือบทุกรูปเนี่ย ไม่ใช่แค่ทำให้ดูเท่เฉย ๆ นะคะ..หนาวด้วย เห็นแดดแรงจนหน้ามันก็จริง..แต่หน้าก็แห้งและลอกด้วยเป็น 3-Zone แบบสับสนมาก น้องเช้งบอกว่าโลชั่นของบ้านเราใช้ไม่ได้สำหรับประเทศแถบนี้







หลังออกจากปราสาทมา นั่งรถผ่านพวกรูปปั้นบุคคลสำคัญอีกแล้ว
ซ้าย - David Hume นักปรัชญาและนักประวัติศาสตร์คนสำคัญ..ผู้ปลุกยุโรปให้ตื่นจาก "การหลับใหลอยู่กับหลักความเชื่อ" (ราว ค.ศ. 1770)
ขวา - The Black Watch หรือกองทหารผู้ควบคุมความสงบของชนเผ่าต่าง ๆ ในสกอตแลนด์




เราใช้เส้นทาง รอยัลไมล์ (The Royal Mile) หรือถนนราชดำเนินแห่งสกอตแลนด์ ซึ่งสร้างตามแนวสันเขาเชื่อมโยงพื้นที่ประวัติศาสตร์ระหว่างปราสาทเอดินเบอระ (Edinburgh Castle) และพระราชวังโฮลี่รู้ด (Palace of Holyroodhouse) ทิวทัศน์ระหว่างทางงามเริศราวกับอยู่ในเทพนิยาย

ซ้าย - The Balmoral Hotel ด้านหลังนั่นคือ Calton Hill
กลาง - Robert Burns Monument บน Calton Hill
ขวา - St Giles' Cathedral




โดยในปี 2011 รอยัลไมล์ (The Royal Mile) ครองอันดับ 3 ถนนสุดโรแมนติกในสหราชอาณาจักร
ของ "Google Street View Awards" จากผลสำรวจความคิดเห็นของชาวอังกฤษกว่า 20,000 คน

ภาพแผนที่จาก www.aboutscotland.com
1. ปราสาทเอดินเบอระ (Edinburgh Castle)
2. ถนนรอยัลไมล์ (The Royal Mile)
3. พระราชวังโฮลี่รู้ด (Palace of Holyroodhouse)
4. ถนนปริ้นเซส (Princes Street)

พระราชวังโฮลี่รู้ด (Palace of Holyroodhouse) ที่ประทับอย่างเป็นทางการแห่งราชวงศ์สกอตแลนด์ โดย Queen Elizabeth II แห่งสหราชอาณาจักรจะมาประทับที่นี่เป็นเวลาหนึ่งอาทิตย์ในต้นฤดูร้อนของทุกปี คำว่า “Holyrood” แปลงมาจาก “Haly Ruid” ในภาษาสกอต แปลว่า “กางเขนศักดิ์สิทธิ์ (Holy Cross)” ส่วนด้านหลังพระราชวังเป็นที่ตั้งของ ซากโบสถ์ Holyrood Abbey ซึ่งค้นพบโดย King David I แห่งสกอตแลนด์ ในปี ค.ศ. 1128




ภาพ Holyrood Abbey จาก //en.wikipedia.org/wiki/Holyrood_Abbey



บน - พระราชวังโฮลี่รู้ด (Palace of Holyroodhouse)
ล่างซ้าย - ทางเข้า Holyrood Abbey
ล่างขวา - I R S สัญลักษณ์ของ King James I Royal Residents




ซ้าย - เจอชายไม่นุ่งกางเกงในกำลังเป่าปี่โชว์นักท่องเที่ยวพอดี อิอิ..ไม่ได้ทะลึ่งนะคะ แต่มันเป็นธรรมเนียมปฏิบัติในการใส่ คิลท์ (Kilt) หรือกระโปรงลายสกอต ซึ่งเป็นเครื่องแต่งกายประจำชาติสำหรับผู้ชายชาวสกอต โดยคิลท์ของแท้จะทำจากผ้าขนสัตว์ที่หนาและหนักมาก จึงไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องความโป๊เวลาเจอลมพัดแรง ๆ
ขวา - ถ่ายรูปด่วนบริเวณด้านหน้าประตูทางเข้า เนื่องจากมีรถออกจากพระราชวังพอดี






Princes Street ถนนที่แบ่งระหว่างเมืองเก่า (Old Town) กับเมืองใหม่ (New Town) ซึ่งเป็นย่านช้อปปิ้ง ตรงบริเวณนี้มีสวนสาธารณะสวยมาก ๆ (Princes Street Gardens) แต่เวลามีน้อยมากเลยไม่ได้แวะ


บน - Princes Mall หรือ Waverley Shopping Centre
ล่างซ้าย - รูปปั้นของ David Livingstone มิชชันนารีผู้ศรัทธาในคริสต์ศาสนาและนักสำรวจกาฬทวีป
ล่างขวา - Melville Monument ตรงจตุรัส St Andrew Square ซึ่งเป็นจุดเชื่อมต่อระบบขนส่ง






The Scott Monument อนุสาวรีย์ที่มีความสูง 61.1 เมตร บริเวณ Princes Street มีขั้นบันไดทั้งหมด 287 ขั้น และระเบียง 4 ชั้น ซึ่งสามารถชมวิวได้ 360 องศา สร้างขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแด่นักเขียนนิยายประวัติศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคนแรก เซอร์ วอลเตอร์ สก็อต (Sir Walter Scott : 1771-1832)






บ้านของ Sir Lawrence Dundas ซึ่งกลายเป็นสำนักงานใหญ่ของ Royal Bank of Scotland






วินาทีที่บังเอิญเห็นนกเกาะอยู่บนศีรษะของ Duke of Wellington พอดี






หลังจากเดินเล่นย่านช้อปปิ้งบริเวณ Princes Street จนตกเย็น คืนนี้เราพักกันที่เอดินเบอระ และจะอำลาดินแดนแห่งวิสกี้ ปี่ และกระโปรงลายสกอตเพื่อกลับสู่อังกฤษกันในตอนเช้าของอีกวัน

บน - Calton Hill เมื่อมองจากสะพานเหนือ (North Bridge)
ล่าง - War Memorial Statue บนสะพานเหนือ (North Bridge)






ติดตามการเดินทาง
[UK3] E N G L A N D เลคดิสทริค (The Lake District National Park), ทะเลสาบวินเดอร์เมียร์ (Windermere)




 

Create Date : 29 มิถุนายน 2554    
Last Update : 11 ธันวาคม 2555 22:24:12 น.
Counter : 4665 Pageviews.  

[UK1] เยือนบ้านปีศาจผู้ดี Manchester



--10 เมษายน 2554--

พักร้อนช่วงสงกรานต์ของครอบครัวเรา 4 คน เริ่มต้นที่สนามบินสุวรรณภูมิ
ในวันที่ 9 เม.ย. เวลา 19.30 น. ไปเปลี่ยนเครื่องที่อาบูดาบี้ (Abu Dhabi) ตอน 01.35 น.
และถึงสนามบินแมนเชสเตอร์ (Manchester) ของอังกฤษ (England) เวลา 07.30 น.
12 ชั่วโมงบนเครื่องบินจบลง..ก็ออกเที่ยวต่อแบบไม่ได้ล้างหน้าแปรงฟัน



Manchester

แมนเชสเตอร์ (Manchester) เป็นเมืองอุตสาหกรรม ศูนย์กลางศิลปะ สื่อ ธุรกิจขนาดใหญ่
ถูกจัดเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวติดอันดับ TOP 3 ของอังกฤษ
โดยได้รับการเสนอชื่อให้เป็นมรดกโลก รวมทั้งได้ฉายา “เมืองแห่งดอกฝ้าย”
และเป็นบ้านเกิดของสโมสรฟุตบอลที่มีชื่อเสียงไปทั่วโลก
ทั้งแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด (Manchester United) และแมนเชสเตอร์ซิตี้ (Manchester City)


จากเครื่องบิน เห็นได้ว่าเมืองถูกโอบล้อมด้วยเนินเขา ต้นไม้ และสายน้ำ




เมื่อคณะของเรา 31 ชีวิตนั่งรถโค้ชชมเมืองกันรอบนึง ต่างเกิดความสงสัยในใจว่า..
นี่หรือเมืองผู้ดี? ..สองข้างถนนมีขยะให้เห็นอยู่ทั่วไป >> ของไม่ดี..เลยไม่ได้ถ่ายรูปมา
“น้องเช้ง” ผู้เป็นหัวหน้าทัวร์จึงรีบแจ้งว่า เมื่อวาน (9 เม.ย. 54) มีการดื่มฉลองกัน
เนื่องจากแมนยูเอาชนะฟูแล่ม 2-0 ในการแข่งขันศึกพรีเมียร์ลีก >> อ๋อ!
วันนี้เป็นวันอาทิตย์ ร้านค้าส่วนใหญ่ปิด บรรยากาศบ้านเมืองจึงเงียบสงบ










ที่แรกที่เราไปคือ วิหารแมนเชสเตอร์ (Manchester Cathedral)
ซึ่งเป็นโบสถ์คริสต์ในยุคกลาง ตั้งอยู่บนถนนวิคตอเรีย (Victoria Street)




โชคดีมากเจอน้องหมาชาวอังกฤษ 2 ตัวมาเดินเล่นหน้าวิหารพอดี
คนอังกฤษใจดีและรักสัตว์ ต้องจ่ายภาษีค่าเลี้ยง แถมจ้างคนจูงน้องเดินออกกำลัง




เข้าไปด้านในโบสถ์ มีการซักซ้อมพิธีมิสซาพอดี
เห็นเพดานแล้วนึกถึงโรงเรียนคาถาพ่อมดแม่มดและเวทมนตรศาสตร์ฮอกวอตส์
(Hogwarts School of Witchcraft and Wizardry)
ขึ้นมา




เดินอ้อมมานิดเดียวก็เจอชิงช้าสวรรค์ Wheel of Manchester
ซึ่งอยู่ตรง Exchange Square สูง 60 เมตร มีความจุ 42 กระเช้า


แล้วก็มาถึงไฮไลท์ของวันนี้ สนามโอลด์แทรฟเฟอร์ด (Old Traffic Stadium)
>> ออกเสียงพยางค์ท้ายตรง ford ว่า เฟิด (น้องเช้งบอกมา)
สนามเหย้าของทีมแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด (Manchester United) หรือ ปีศาจแดง..แมนยู

(ขวา บน) ด้านหน้ามีรูปปั้น The United Trinity ของนักเตะในตำนาน 3 คน
ได้แก่ George Best, Denis Law และ Bobby Charlton




จริง ๆ โปรแกรมทัวร์มีแค่การชมภายนอกสนามโอลด์แทรฟเฟอร์ด
แต่น้องเช้งใช้ความสามารถพิเศษอ้อนเจ้าหน้าที่จนได้ซื้อตั๋ว Museum & Stadium Tour
ซึ่งปกติ ถ้าไม่จองล่วงหน้าก็อดเลย เพราะคนจองเต็มหมดแล้ว
โดยมีเจ้าหน้าที่ไกด์พาทัวร์เป็นรอบเวลาที่กำหนดไว้เท่านั้น

Museum มีทั้งประวัติของสโมสรและนักเตะ เสื้อ ถ้วยรางวัล..อื่น ๆ อีกมากมาย


(ขวา บน) หุ่นขี้ผึ้งของ ผู้รักษาประตูในตำนาน Peter Schmeichel




Stadium ยิ่งใหญ่อลังการและสวยงาม จุคนได้ถึง 76,000 ที่นั่ง
เปิดสนามครั้งแรกในปี ค.ศ.1909 อืม..อายุเป็นร้อยแล้ว แต่ได้รับการปรับปรุงดูแลอย่างดี
สมกับเป็นสนามแห่งเกียรติยศและศักดิ์ศรีของชาวปีศาจแดง
ตั้งใจไว้ว่า ถ้ามีโอกาสจะกลับมาเชียร์บอลที่นี่สักครั้ง






ก่อนจากแวะซื้อของที่ระลึกในร้านสาวกผีแดง Mega Store


เราได้เสื้อแขนกุด MUFC Boy Size 12-13 มา 1 ตัว
ตอนแรกอยากได้เสื้อบอลเด็กสกรีน Rooney
แต่สู้ราคาไม่ไหว (50 ปอนด์)
ส่วนแจคเก็ตแบบที่เพื่อนฝากซื้อก็ไม่มีที่หน้าร้าน
ต้องสั่งทางออนไลน์เท่านั้น


จบทัวร์..ก็มีการแจกใบประกาศนียบัตรให้เราไว้ชื่นใจ




Chester

เที่ยงกว่า เดินทางไปเมืองเก่าแก่ที่สวยที่สุดของเกาะอังกฤษ..เชสเตอร์ (Chester)
ซึ่งอยู่ห่างจากเมืองแมนเชสเตอร์ (Manchester) ไปทางตะวันตก ประมาณ 1 ชั่วโมง
เชสเตอร์เคยเป็นเมืองปราการของโรมันตั้งแต่ปี ค.ศ.79 โดยมีชื่อว่า Deva Victrix
เกือบ 2,000 ปี ผ่านไป แต่ที่นี่ก็ยังคงอนุรักษ์สภาพเมืองเก่าไว้อย่างงดงาม
และยังคงสามารถเห็นอาคารที่สร้างด้วยหินทรายสีแดงโดยชาวโรมัน


(ขวา) เดินบนกำแพงโรมัน (Roman Wall) ไปยังหอนาฬิกาซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของเมือง



ปัจจุบันกำแพงถูกใช้เป็นทางสัญจร ซึ่งเชื่อมไปยังร้านค้าต่าง ๆ
โดยช่วงศตวรรษที่ 60 หลังสงครามโลกครั้งที่สอง ผู้คนขาดแคลนที่อยู่อาศัย
จึงปรับพื้นที่ภายในกำแพงเป็นที่พัก ภายหลังจึงดัดแปลงเป็นร้านค้าเช่นปัจจุบัน


The Eastgate Clock ตั้งอยู่บนกำแพงฝั่งตะวันออกย่านใจกลางเมือง
สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1897 เพื่อเฉลิมพระชนมพรรษาครอบรอบ 80 ปี ของ Queen Victoria
นับเป็นหอนาฬิกาที่มีชื่อเสียงโด่งดังเป็นอันดับ 2 รองจาก Big Ben




ชมอัฒจันทร์โรมันโบราณ (Roman Amphitheatre) สถานที่ต่อสู้ของนักรบสมัยก่อน




ออกจากประตูฝั่งตะวันออก (Eastgate) จะเห็นอาคารบ้านเรือนส่วนใหญ่เป็นแบบ
Victorian และ Tudor


(ขวาบน) สถาปัตยกรรมแบบ Tudor ซึ่งเป็นบ้านสีขาว ประดับไม้สีดำ




เดินตามทางมาเรื่อย ๆ บริเวณใกล้มหาวิหารเชสเตอร์




มหาวิหารเชสเตอร์ (Chester Cathedral)
โบสถ์คริสต์อายุเก่าแก่ที่มีความสำคัญและสวยงามมากอีกแห่งหนึ่ง








หลังทานกลางวัน ก็ออกเดินทางต่อ วิวข้างทางเต็มไปด้วยทุ่งมัสตาร์ด ทุ่งเลี้ยงสัตว์..


(ขวา) ไม่รู้เป็นยังไง ชอบม้าลายวัวจริง ๆ น่ารักดี






York

ปิดท้ายที่เมืองยอร์ค (York) ซึ่งอยู่ทางตอนเหนือของอังกฤษ ก่อตั้งเมื่อปี ค.ศ. 71
เรานั่งรถไปตามกำแพงเมืองที่ทอดยาวไปสู่ตัวเมือง

(ขวา บน) คลิฟฟอร์ด ทาวเวอร์ (Clifford Tower) ซึ่งเป็นป้อมปราการโบราณ
ตั้งแต่สมัยจักรพรรดิ์คอนสแตนติน (Constantine The Great)




มหาวิหารยอร์ค มินสเตอร์ (York Minster Cathedral) โบสถ์กอธิคที่ใหญ่ที่สุดในอังกฤษเหนือ
..เสียดายที่ไม่ได้เข้าไปชมความงดงามของโบสถ์ที่ตกแต่งด้วยกระจกสีด้านใน








ลาไปด้วยภาพหน้าร้านอาหารค่ำตอนเกือบ 2 ทุ่ม นี่ใช่ไหมที่มาของ “สีเขียวหัวเป็ด”





ติดตามการเดินทาง [UK2] S C O T L A N D ปราสาทเอดินเบอระ (Edinburgh Castle), รอยัลไมล์ (The Royal Mile), พระราชวังโฮลี่รู้ด (Palace of Holyroodhouse), ถนนปริ้นเซส (Princes Street), อนุสาวรีย์สกอต (The Scott Monument)











 

Create Date : 01 พฤษภาคม 2554    
Last Update : 11 ธันวาคม 2555 22:04:49 น.
Counter : 1617 Pageviews.  

[India] อินเดียไม่เหมือนที่คิด ไม่ผิดจากที่บอก#4


มาถึงบทสรุปแห่งการเดินทางท่องไปตามสามเหลี่ยมทองคำของอินเดีย
(Golden Triangle Tourist Circuits of India) ได้แก่

I N D I A 1 เดลลี (Delhi) , อักชาร์ดัม (Akshardham)

I N D I A 2 อักรา (Agra) , ทุ่งมัสตาร์ด (Mustard Field) , ทัชมาฮาล (Taj Mahal)

I N D I A 3 ไจปูร์ หรือ ชัยปุระ (Jaipur) , แอมเบอร์ฟอร์ท (Amber Fort) ,
จาลมาฮาล (Jal Mahal) , ซิตี้พาเลซ (City Palace) , ฮาวามาฮาล (Hawa Mahal)





--3 มกราคม 2554--

เราออกเดินทางจากไจปูร์กลับไปยังสนามบินอินทิราคานทีที่เดลลีกันตั้งแต่เช้า
และถึงสุวรรณภูมิในตอนค่ำ
กลับถึงบ้าน..รีบเปิดกระเป๋าเพื่อชื่นชมของเมดอินดินแดนภารตะ ก็พบว่า
(มี Text Emotion ประกอบอารมณ์และความรู้สึก
อาจดูประสาทไปบ้าง..อย่าได้ถือสา โปรดสงสารและเข้าใจ)


แก้วดินเผาใส่นมควาย ได้จากเราไปแล้วอย่างถาวร
> แล้วช้านจะบ้าขนมาทำมาย..ย หนักนะเนี่ย

จะมีใครรู้ไหมนะว่าบางรูปมีรหัสลับซ่อนอยู่...




ตุ๊กตาหุ่นกระบอกชายหญิง อยู่ในถุงพลาสติกน่าจะปลอดภัย แต่พอแกะถุงออกเท่านั้น
อยากบินกลับไปตึ้บคนขาย..กระโปรงซับในตัวผู้หญิงขาดรุ่งริ่ง..
ตั้งใจซื้อฝากเพื่อน ก็ต้องได้แต่เก็บไว้ในใจคนเดียว --'
> เซ็ง! โดนแขกหลอกจนด้าย..ย

B




ผ้า 4 ชิ้น ..คลี่ออกมาดู..ก็พบรอยด่าง ๆ เหลือง ๆ ในบางผืน
บ้างก็ยับเหมือนถูกรีดมาอย่างนั้น > เฮ้อ! ฉันก็เหนือยใจเป็นเหมือนกันนะ

I




ผ้าพันคอ ของแม่กับน้องสาว สวยงาม..รอดตัว




รองเท้าหนัง..ก็โอเค

N




บรรดาของกิน
1. น้ำมะนาว (Lemon Nade) กินเหลือจากอักรา = อร่อย
2. ขนมฮิปโป 3 ถุง (สีฟ้า-รสอิตาเลี่ยน = พอกินได้, สีม่วง-รสผงกะหรี่ = พอกินได้)
3. น้ำมะม่วง จาก Lunch Box = รสชาติใช้ได้
4. ขนมกรุบกรอบจากบนเครื่อง = ยังไม่ได้ลอง
5. ขนม Kurkure 2 ถุง รสผงกะหรี่ = กินไม่ลง กลิ่นแรงและเผ็ดมาก
6. ชอคโกแลต 2 อัน = รสชาติใช้ได้




ของฝาก..ที่ระลึกจากอินเดีย
1. ทัชมาฮาลหินอ่อน = ฐานบิ่นเล็กน้อย > อาจเพราะโหลดกระเป๋า
2. ทัชมาฮาลในหิมะ (Snow Grobe) = มีเศษพลาสติกสีขาว 1 ชิ้น อยู่ในน้ำ
> มันช่างบังอาจมาก..ก
3. ที่รองแก้วหินอ่อน = ปลอดภัย
4. พวงกุญแจทัชมาฮาลในหิมะน้อย = น้ำปริ่มออกมาบ้าง > เหมือนน้ำในตา
5. พระตรีมูรติ = ฝากที่ทำงาน แต่น้องเขาว่าเป็นพระพิฆเนศวรปางอวตารเปิดโลก
> มันจะเลวไปถึงหนาย..ย
6. ช้างหินอ่อน (ของแถม) = หน้าตามู่ทู่ > สมฐานันดร
7. สีปั๊มหน้าผาก (Indian Taj Bindi) = ปัจจุบันยังไม่ได้เอามาเล่น

D




สุดท้ายแล้ว..ถุง โปสการ์ด หนังสือ > ตึ่ก..ตั่ก..
1. ถุงหิ้วสำหรับใส่ขวดน้ำตอนไปทัชมาฮาล = เก็บเป็นที่ระลึก
2. บัตรเข้าชมทัชมาฮาล = เก็บเป็นที่ระลึก
3. บัตรเข้าชมซิตี้พาเลซ = เก็บเป็นที่ระลึก
4. สุดยอดตำราในตำนาน Kama Sutra เล่มละ 250 รูปี ^_^
> อ่านสแกนมาตั้งแต่ที่ร้านแล้ว บอกได้ว่า..อาร์ต
เล่ม Kama Cyrpa ภาษาอะไรไม่รู้ ...ให้เป็นของขวัญแต่งงานของน้องที่ทำงาน
เพราะภาพสวยเยอะ > ไม่ต้องมีคำบรรยายใด ๆ ซักคำให้ลึกซึ้ง
อีกเล่ม ยังเก็บรักษาไว้เท่าชีวิต > โฮะ โฮะ.. ชีวิตก็ยังเหลืออะไรดีบ้างสิน่า

I


ปล. ขอเล่าความทรงจำที่แสนจะปลื้มใจ
เรื่องของผ้าปูโต๊ะ หรือ ผ้าพาดเตียงงานควิลท์ สวยงามมาก
ซื้อมาในราคา 300 รูปี จากราคาเต็ม 500 รูปี
ตอนแรกคนขายไม่ยอมให้ เขายืนยันราคา 350 รูปี ท่าเดียว..
เราก็ไม่เอา...ขณะยืนรอพี่คนอื่นซื้อของกัน เจ้าของร้านใจอ่อนยอมขาย
อีตาคนขายโมโหใหญ่เลย..มาตบไหล่เรา แล้วบอกว่า "You Win!"
แต่เราก็ไปลืมทิ้งไว้ที่โรงแรมซะงั้น..เพราะเข้าใจว่าอาจติดไปกับพี่อีกคน
ก็นั่นแหละ..ของนอกกาย ถึงมันจะหายไป แต่ความสะใจยังคงอยู่
55+..เอาชนะแขกได้ก็ถือว่าประสบความสำเร็จแล้ว

รวมเป็นคำอินเดียหนึ่งคำ





ช่วง 3-4 วันที่ผ่านมา เราพบว่า อินเดียเป็นเหมือนอย่างที่เขาเล่าลือ
และก็แตกต่างไปจากที่คิดเช่นกัน

-- อากาศร้อน คนกลิ่นแรง บ้านเมืองเลอะเทอะ --
โซนที่เราไปนั้นอยู่ค่อนไปทางตอนเหนือ อากาศจึงมีทั้งร้อนและหนาว
คนที่นี่จึงไม่นิยมอาบน้ำกันเท่าไหร่ เพราะเขาหนาวจริง
กลิ่นของชายที่เราเข้าถึงตัว..ก็พอรับได้ ไม่แรงเท่าที่รถไฟฟ้าสถานีนานา
(เดินเข้ามาเป็นครอบครัว เกือบตายกันทั้งโบกี้..คงติดนิสัยไม่ค่อยอาบน้ำ)
ส่วนท้องถนนและบ้านเรือนใกล้เคียงกับบ้านเรา
สะอาดเป็นหย่อม ๆ ทิ้งขยะกันบ้างตามประสา
แต่ส่วนใหญ่โดยรวมสะอาดตา โดยเฉพาะที่นิวเดลลี (New Delhi)

-- ห้องน้ำ ของหายาก --
ที่ว่า "ห้องน้ำกว้างใหญ่สุดลูกตา เชิญอุบาสกด้านขวา อุบาสิกาด้านซ้าย"
ก็ยังเป็นอยู่..ระหว่างทางอย่าหวังแวะปั๊มน้ำมัน เพราะไม่มีให้เห็น
ถ้าไม่ไหวก็ต้องหาเนินดินทำเลสวย หรือเข้าร้านขายของฝากไปเลย
สภาพถือว่าดีใช้ได้ ค่อนข้างสะอาด ไม่มีกลิ่น
แถมมีคนบริการกระดาษทิชชูด้วย แต่อย่าลืมว่า..”ของฟรีไม่มีในโลก”
จ่ายตามกำลังศรัทธาค่ะ ..ให้น้อย ๆ จะได้มีเหลือให้อีกนาน ๆ

-- อาหารรสชาติแปลก --อาหารส่วนใหญ่ค่อนข้างกลิ่นแรง
Masala เขาเด็ดจริง
แต่ที่อร่อยถูกปากก็มีเหมือนกัน
รายการอาหารที่เราชอบกินก็มี
ไก่ทอด มันฝรั่งทอด Naan
Papad ข้าวหมกแพะ
ชา นมควาย

แต่ไม่ยักมีโรตีขายแฮะ



-- ถ้าเจองูพร้อมกับเจอแขก ให้ตีแขกก่อน --
ที่นั่นความเป็นอยู่ของคนส่วนใหญ่ค่อนข้างแร้นแค้น
ขนาดเมืองท่องเที่ยวอย่างอักรา (Agra) นักท่องเที่ยวมากมายเพียงใด
ประชาชนก็ยังรายได้น้อยเหมือนเดิม..ต้องสอบถามผู้นำรัฐว่าเงินไปไหน
ร้านค้า..รวมทั้งหาบเร่จึงต้องแข่งกันใช้เทคนิคการขายขั้นเทพ
ตั้งแต่ทำตัวเป็นมิตร “Come come, my friend”
แถมโปรโมชั่น “Special price for you”
สร้างความรู้สึกภูมิใจให้ลูกค้า ..ว่าต่อรองราคาได้เยอะ
บางครั้งก็ใช้หลักการโลจิสติกส์ “First In, First Out”
แบบว่าชิ้นไหนตกรุ่น ก็ปล่อยของก่อน
ซึ่งไม่ถือเป็นการโกง ...เรียกว่า ”ตาดีได้ ตาร้ายเสีย” จะเหมาะกว่า

-- ทัชมาฮาล (Taj Mahal) ตำนานรักที่ยิ่งใหญ่ --
ถือว่าเกินกว่าคำร่ำลือ ด้วยความสูงใหญ่ ความสวยงามของตัวทัชมาฮาล
ประกอบกับมัสยิด อาคาร สนามหญ้า และกำแพงโดยรอบ
ยิ่งอ่านประวัติความเป็นมายิ่งประทับใจ
ความรักสามารถสร้างสิ่งมหัศจรรย์และยิ่งใหญ่ได้จริง ๆ



อินเดียเป็นสถานที่ที่มีเสน่ห์และมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว
ได้เห็นสิ่งแปลกใหม่หลากหลาย ทั้งวัฒนธรรม ผู้คน ไม่เหมือนที่ใดในโลก
ประทับใจ และอยากกลับไปเยือนอีก..สมกับคำเปรียบประเทศอินเดีย
ที่จะใช้ส่งท้ายว่า “ผวาเมื่อจะมา ถวิลหาเมื่อลาจาก”
นมัสเตค่ะ













 

Create Date : 06 เมษายน 2554    
Last Update : 17 กุมภาพันธ์ 2555 23:17:21 น.
Counter : 7657 Pageviews.  

[India] อินเดียไม่เหมือนที่คิด ไม่ผิดจากที่บอก#3










































ต่อจากการเดินทาง
I N D I A 1 กรุงเดลลี (Delhi) , อักชาร์ดัม (Akshardham)
I N D I A 2 กรุงอักรา (Agra) , ทุ่งมัสตาร์ด (Mustard Field) , ทัชมาฮาล (Taj Mahal)


--2 มกราคม 2554--

ด้วยเหตุผลที่ว่าช่วงปีใหม่นี้ ทางอินเดียทำการปรับปรุงถนนสายหลักระหว่างเมือง
การเดินทางไปเมืองไจปูร์ (Jaipur) โดยใช้เส้นเลี่ยงเมืองจึงใช้เวลามากขึ้น
ถนนแคบ ประกอบกับคนเดินทางเยอะ..ทำให้ทริปเราต้องเริ่มต้นเร็วกว่าปกติ
เราขึ้นรถกันตอนตี 5 มีเสบียงระหว่างทางเป็น Lunch Box ที่โรงแรมจัดให้




ระหว่างทางน่ากลัวเป็นระยะ ๆ ..ข้างทางรกร้าง ผ่านหมู่บ้านประปราย
เห็นวิถีชีวิตของคนชนบท.. เรียบง่าย..สงบ




และเราเจอแจ็คพ็อตด่านเถื่อนเข้าให้จนได้..ชายวัยรุ่น 3 คน ถืออาวุธไม้ในมือคนละอัน
มีกิ่งไม้เล็ก ๆ ขวางถนนดินแดงไว้ "ระวิน" ไกด์ชาวอินเดียก็ทำการเจราจรกับพวกเขา
คนอื่นนั่งหลับกันบ้าง..คุยกันบ้าง ส่วนเรานั่งอยู่ริมหน้าต่างแถว 2 จึงเห็นความเป็นไป
กลัวเขาขึ้นมาปล้นบนรถมาก..ไม่กล้ามอง..แกล้งทำเป็นไม่รู้เรื่องรู้ราว
หลังต่อรองกันร่วม 15 นาที ก็มีการตกลงจ่ายเงิน และพวกเราได้เดินทางต่อ..โล่งอก
สรุปว่า..รถเราถูกปล้นเป็นเงิน 50 รูปี (ประมาณ 35 บาท) โถ! เด็กน้อย..ริอ่านเป็นโจร


ผ่านเมืองฟาติปูร์สิครี (Fatehpur Sikri) เห็นร่องรอยอดีตเมืองเก่าและสถาปัตยกรรมโมกุล
รู้สึก..เหมือนอยู่ในละครจักร ๆ วงศ์ ๆ..ไม่น่าเชื่อว่ามีสถานที่แบบนี้ในโลกปัจจุบัน



เกือบเที่ยง เราก็มาถึงเมืองไจปูร์ (Jaipur) เมืองหลวงแห่งรัฐราชาสถาน (Rajasthan)



ไจปูร์ (Jaipur) หรือ "นครสีชมพู" (Pink City) ที่คนไทยเรียกว่า "ชัยปุระ"
เราจะเห็นอาคารบ้านเรือนส่วนใหญ่ทาสีชมพู (ออกส้มอมแดง)..สวยมาก
เพราะในปี ค.ศ. 1853 สมัยอินเดียยังเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษ
มหาราชาไสวชัยสิงห์ที่ 2 (Maharaja Sawai Jai Singh 2) ได้สั่งให้ประชาชนในเขตเมือง
ทาสีบ้านด้วยสีชมพู เพื่อถวายการต้อนรับการเสด็จประพาสเยือนของ “Prince of Wales”
มกุฏราชกุมารแห่งอังกฤษ (ต่อมาคือ พระเจ้าเอ็ดเวิร์ด ที่ 7)
ที่นี่ได้ชื่อว่าเป็นเมืองที่ถูกออกแบบวางผังเมืองได้สวยงามอีกแห่งของอินเดีย




แต่ยังคงเห็นอนุสาวรีย์ หรือ สิ่งก่อสร้างแปลก ๆ




ไม่รู้ว่าอาคารนี้คืออะไร..สวยดี



หลังทานมื้อเที่ยง ทุกคนรีบลงไปรอที่รถ แต่เราติดภารกิจสำคัญในห้องน้ำ
แถมกดไม่ลง ต้องใช้ความพยายามนานมาก --'
ปกติเราจะพยายามรักษาเวลา แต่ครั้งนี้ต้องขอโทษก๊าบ



โปรแกรมในช่วงบ่ายวันนี้เราจะไปชมพระราชวัง 4 แห่ง

เริ่มจาก แอมเบอร์ฟอร์ท (Amber Fort) ซึ่งเป็นพระราชวังในป้อมปราการบนภูเขา
เริ่มสร้างในปี 1592 และก่อสร้างเพิ่มเติมโดยใช้ระยะเวลาถึง 150 ปี
ทำจากหินทรายแดงที่มีสถาปัตยกรรมผสมผสานของโมกุล (อิสลาม) และฮินดู
โดยถูกล้อมรอบด้วยทะเลสาบ Maota Lake





หวาดเสียวมาก..ต้องนั่งรถจี๊ป 5 คน/คัน ขึ้นเขาไปตามทางแคบ คดเคี้ยว และขรุขระ
ถึงที่จอดรถ..ทุกคนต้องจำรถที่ตัวเองนั่งมาให้แม่น ..คันของใครก็ของใคร
(ขวา ล่าง) เจ้าน้องหมูนี่ไม่ได้มาคันเดียวกับเรานะ




ผ่านประตูทางเข้า สร้างด้วยหินอ่อนแกะสลักลวดลายสวยงาม




ท้องพระโรง




สวนเรขาคณิตแบบทางยุโรป




(ซ้าย+ขวา บน) "Jai Mandir" หรือ ห้องแห่งชัยชนะ (Hall of Victory)
ตามผนังและเพดานประดับด้วยกระจกชิ้นเล็ก ๆ
ไม่รู้ว่าจะใช่อันเดียวกับ ซีซมาฮาล (Sheesh Mahal) หรือ วังกระจก หรือเปล่า
ว่า..เวลากลางคืน หากจุดตะเกียง..ทั้งห้องก็จะสว่างไสวเหมือนจุดตะเกียงนับพัน





(ซ้าย บน) ที่อาบน้ำสตรี
(ซ้าย ล่าง) สุขาโบราณ แต่ไม่กล้าชะโงกดูใกล้ ๆ กลัวเจอศิลปะสมัยใหม่




เป็นป้อมปราการที่ยิ่งใหญ่มาก






มีภาพเขียนสีบนผนัง




(ล่าง) รวมกรุ๊ป 8 คน + 1 หัวหน้าทัวร์




ทางเดินวกวน ซับซ้อน..หลงกันไปมา ไม่เว้นแม้แต่หัวหน้าทัวร์ 55+
(บน) มีการสร้างบันไดหลอกไว้ด้วย..แคบมาก
(ล่าง) ณ ทางเดินแคบ ๆ ที่พวกเราจะเดินขึ้นไปยังหอสังเกตการณ์




วิวบนหอสังเกตการณ์..เห็นกำแพงของป้อมแอมเบอร์แล้วนึกถึงกำแพงเมืองจีน




ที่นี่มีการแสดงงานศิลปะ (Art Gallery) และร้านค้าขายของด้วย






จาลมาฮาล (Jal Mahal) หรือ พระราชวังแห่งสายน้ำ (Water Palace)
ตั้งอยู่กลางทะเลสาบ Man Sagar สร้างสำหรับไว้พักผ่อนในฤดูร้อน
และได้มีการบูรณะปรับปรุงครั้งใหญ่ โดยมหาราชาไสวชัยสิงห์ที่ 2
(Maharaja Sawai Jai Singh 2) ในศตวรรษที่ 18

(ล่าง) เห็นวอลเปเปอร์ด้านหลังเราก็พอเดาได้ว่าที่นี่คือประเทศอินเดีย
คำกล่าวที่ว่า "DNA อยู่บนหน้า" เป็นอย่างนี้เอง






ซิตี้พาเลซ (City Palace) พระราชวังของมหาราชาแห่งชัยปุระ สร้างในปี ค.ศ. 1729


ซุ้มประตูทางเข้าชื่อ Virendra Pol



ด้านในแบ่งเป็น 4 ส่วน ได้แก่
1. พระราชวังของมหาชาราชาองค์ปัจจุบัน หรือ จันทรามาฮาล (Chandra Mahal)
วันนี้พระองค์ทรงประทับอยู่พอดี โดยสังเกตจากธงประจำพระองค์บนยอดเสา


ผนังกำแพงด้านหน้าพระราชวังเขียนลวดลายสีแดง




2. มูบารักมาฮาล (Mubarak Mahal)
พิพิธภัณฑ์เครื่องทรงเครื่องใช้ของมหาราชาและมหารานี

มหาราชา Sawai Madho Singh I ผู้สูงเพียง 1.2 เมตร
แต่หนักถึง 250 กิโลกรัม โอ้! แม่เจ้า
ตกใจกับขนาดชุดของพระองค์มาก (เสียดาย ห้ามถ่ายรูป)
เห็นอย่างนั้น..พระองค์ก็มีสนมถึง 108 นาง


3. พิพิธภัณฑ์อาวุธและของใช้ในสงคราม

4. พิพิธภัณฑ์ศิลปะ ภาพถ่าย รถพระที่นั่ง.. พรมโบราณ


(บน ซ้าย) ปืนใหญ่ด้านหน้าทางเข้าพิพิธภัณฑ์อาวุธ
(ล่าง) “หม้อเงินใหญ่ที่สุดในโลก” จุน้ำได้ 4,000 ลิตร
ความสูง 1.6 เมตร หนัก 340 กิโลกรัม
เป็น 1 ใน 2 ใบ ที่มหาราชาใส่น้ำจากแม่น้ำคงคา (Ganga River) ไปใช้ที่อังกฤษ
เมื่อครั้งไปร่วมพิธีราชาภิเษกของพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 7 (Edward VII) ในปี ค.ศ. 1901
เนื่องจากชาวฮินดูเชื่อว่า หากกษัตริย์เดินทางออกจากแผ่นดินอาจทำให้เสียวรรณะ
จึงต้องดื่มและอาบน้ำศักดิ์สิทธิ์ตลอดเวลาที่ออกนอกประเทศ




ประตูนกยูง (Peacock Gate) หนึ่งในประตูสี่ฤดู /หอนาฬิกา/ปืนใหญ่




ที่นี่มีการแสดงเชิดหุ่นให้ชมประกอบดนตรี




บ้านน้องลิงตูดแดง/ คู่รัก / อีกหนึ่งครอบครัวอบอุ่น



อดีตมีเชื้อพระวงศ์ของไทยเราไปเป็นมหารานีแห่งชัยปุระ และมีคดีฟ้องร้องมรดก
8,000 ล้าน กับราชมาตา มหารานีคยาตรีเทวี (Maharani Gayatri Devi)
ผู้ติดอันดับ 1 ใน 10 สตรีที่สวยที่สุดในโลก จากการจัดอันดับของ VOGUE Click!




ฮาวามาฮาล (Hawa Mahal) หรือ พระราชวังแห่งสายลม สัญลักษณ์แห่งเมืองไจปูร์
สร้างโดย มหาราชาไสวประทับสิงห์ (Maharaja Sawai Pratap Singh) ในปี ค.ศ. 1799
มีความสูงจากฐาน 15 เมตร สร้างด้วยหินทรายสีแดงและชมพู 5 ชั้น
ลักษณะคล้ายมงกุฏของพระกฤษณะ (Krishna) เทพของศาสนาฮินดู
จุดเด่น คือ มี “Jharokhas” หรอ หน้าต่างเล็ก ๆ จำนวนมากถึง 953 ช่อง
เพื่อให้นางในได้มองเห็นความเป็นไปนอกวัง โดยไม่มีใครเห็นใบหน้า
ด้วยการฉลุหินอ่อนคล้ายตาข่าย ทำให้เกิดช่องระบายอากาศจำนวนมาก
จึงเป็นที่มาของชื่อ พระราชวังแห่งสายลม "Palace of the Winds"






ตอนแรกเราเข้าใจว่าที่นี่มีแค่ฉากด้านหน้า เหมือนโบสถ์เซนต์ปอลของมาเก๊า
แต่ความจริงแล้วสามารถขึ้นไปชมพระราชวังได้




บนถนนย่านฮาวามาฮาล (Hawa Mahal) มีร้านค้าขายของที่ระลึกให้เราช้อปปิ้งเยอะแยะ
โดยมีประโยคจูงใจว่า "Come Come my friend, special price for you"




(ซ้าย บน) เดินผ่านประตูเมืองกลับไปที่จอดรถ
(ซ้าย ล่าง) น้องหมาที่ไหน ๆ ก็หน้าตาคล้ายกัน
(ขวา บน) ใครกันช่างออกแบบห้องสุขาแบบ Open Air ไว้ข้างประตูเมือง
(ขวา ล่าง) อากาศหนาวจนน้องแพะหลายตัวต้องใส่เสื้อ..แขนกุดบ้าง..แขนยาวบ้าง




พวกเราชื่นชมความสวยงามของนครสีชมพูแห่งนี้อีกครั้งในตอนค่ำ
เสี้ยววินาทีของการกดชัตเตอร์ ทำให้ทันได้เห็นช่วงเวลาหนึ่งของวิถีชิวิตเล็ก ๆ




ติดตามการเดินทาง : I N D I A 4 บทสรุปแห่งการเดินทาง , ของที่ระลึกจากอินเดีย










 

Create Date : 27 มีนาคม 2554    
Last Update : 7 ธันวาคม 2555 0:42:36 น.
Counter : 1471 Pageviews.  

1  2  3  4  

Nileriver
Location :
ตราด Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 17 คน [?]







จำนวนครั้งที่เข้าชมทั้งหมด
craigslist view counter





ขอฝากร้านของน้อง ๆ ด้วยค่ะ
--------------------------------------
Easy Celeb
เปลียน Look คุณให้ดูดีแบบ Celebrity ดาราคนไหนใช้แบรนด์เนมอะไร ถ้าคุณยากได้เราจะหามาให้
ไม่ว่าแฟชั่นนั้นจะอยู่อังกฤษ ฝรั่งเศส อเมริกา หรือญี่ปุ่น



--------------------------------------
Celesmart by Easy Celeb
ร้านแฟชั่นชายที่จะเปลี่ยนคุณให้ดูดี จนใคร ๆ ต้องร้อง หล่อ มว๊าก!!!




--------------------------------------
Gadgilla
ร้าน gadgets เช่น Case โทรศัพท์, จุกอุดหูฟัง แอบเก๋ตรงรับออกแบบรูปภาพสำหรับแปะแผ่นหลัง iPhone ตาม order (รับประกันความเป็นเอกลักษณ์ ชิ้นเดียวในโลก)



New Comments
Friends' blogs
[Add Nileriver's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.