ธงชาติเกาหลี (แทกึกกี)
ประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม
สาธารณรัฐเกาหลี (대한 민국 อ่านว่า แทฮัน มินกุก) หรือ เกาหลีใต้ (South Korea) เป็นประเทศในเอเชียตะวันออก มีพื้นที่ครอบคลุมส่วนใต้ของคาบสมุทรเกาหลี พรมแดนทางเหนือติดกับประเทศเกาหลีเหนือ มีประเทศญี่ปุ่นตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้โดยมีทะเลญี่ปุ่นและช่องแคบเกาหลีกั้นไว้ เมืองหลวงของประเทศคือกรุงโซล ซึ่งจัดเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดและมีจำนวนประชากรอยู่อาศัยมากที่สุดของประเทศ
คำขวัญ: Broadly bring benefit to humanity (เกาหลี: 널리 인간 세계를 이롭게 하라)
เพลงชาติ
คนเกาหลีเป็นคนที่รักในชาติของตนเป็นอย่างมาก เพลงชาติของประเทศก็มีความหมายที่บ่งบอกถึงความรักชาติเป็นอย่างยิ่ง เรามาทำความรู้จักกับประวัติของเพลงชาติของประเทศนี้กันซักนิด
เพลงของผู้รักชาติ ( 애국가 อ่านว่า เอกุกกา) เป็นเพลงชาติประเทศเกาหลีใต้ เชื่อกันว่าคำร้องได้ประพันธ์ขึ้นใน ค.ศ. 1896 ซึ่งจารึกอยู่ที่ประตูอิสรภาพโดย ยุนชิโฮ (연신호) นักการเมือง หรือ อันชางโฮ (안창호) ผู้ใช้นามปากกา โดซาน (도산) ผู้นำในการต่อสู้เพื่อเอกราชของเกาหลี และเป็นนักการศึกษา ในช่วงที่เกาหลีตกเป็นเมืองขึ้นของญี่ปุ่น เพลงนี้ได้รัองโดยชาวเกาหลีโพ้นทะเล เพื่อขอพรให้ประเทศเกาหลีได้รับอิสรภาพ ต่อมา อันอิกแท (안익태) นักดนตรีเกาหลีในสเปน ผู้ประพันธ์ทำนองเพลงนี้ในปี ค.ศ. 1935
เพลงนี้ได้บรรเลงในพิธีฉลองการสถาปนาสาธารณรัฐเกาหลี ในวันที่ 15 สิงหาคม ค.ศ. 1948 โดยนายลีซึงมาน (리승만) ประธานาธิบดีคนแรกของสาธารณรัฐเกาหลี หลังการปลดปล่อยเป็นอิสระจากญี่ปุ่นเป็นเวลาสามปี และนำมาใช้เป็นเพลงชาติในปีเดียวกัน
ประวัติศาสตร์
ในประวัติศาสตร์เกาหลี แบ่งเป็นราชอาณาจักรทั้งสาม คือราชอาณาจักรโคกูเรียว อาณาจักรแพ็คเจ และอาณาจักรซิลลา ซึ่งปกครองคาบสมุทรเกาหลีและบางส่วนของจีน ระหว่าง 57 ปีก่อน คริสตศักราช ถึงปี ค.ศ. 668 อาณาจักรทั้งสามนับเป็นอาณาจักรที่มีอำนาจสูงสุดในแถบนั้น คาบสมุทรเกาหลีทั้งหมดและดินแดนส่วนใหญ่ของประเทศจีนอยู่ภายใต้การปกครองของสามอาณาจักร คือ โคกูเรียว แพ็กเจ และชิลลา
ต่อมาในปี ค.ศ. 676 อาณาจักรโคกูเรียว และอาณาจักรแพ็กเจได้รวมเข้ากับอาณาจักรชิลลา จึงเป็นการรวมเอาดินแดนในคาบสมุทรเข้าด้วยกัน ยุคชิลลารวมอาณาจักร (ปี ค.ศ. 676-935) นับเป็นยุคทองของวัฒนธรรมเกาหลี โดยเฉพาะทางด้านพุทธศิลป์ ต่อมาในปี ค.ศ.918-1392 อาณาจักรโคเรียว ได้ถือกำเนิดขึ้น และมีการจัดตั้งรัฐบาลแห่งชนชั้นปกครองขึ้น พุทธศาสนาได้กลายเป็นศาสนาประจำชาติ และมีอิทธิพลต่อระบบการเมืองการปกครองเป็นอย่างมาก ชื่อประเทศเกาหลีก็มาจากคำว่า โคเรียว นั่นเอง ต่อมาในปี ค.ศ. 1392-1910 อยู่ในสมัยอาณาจักรโชซอน อันเป็นอาณาจักรสุดท้ายของประเทศเกาหลี มีการปฏิรูปการเมืองการปกครองอย่างเอาจริงเอาจัง ความเปลี่ยนแปลงที่สำคัญที่สุดคือ การยกย่องให้ลัทธิขงจื้อกลายเป็นคติธรรมประจำชาติ การสร้างสรรค์งานด้านวรรณศิลป์ และการประดิษฐ์ตัวอักษร ฮันกึล ในปี ค.ศ. 1443 ทำให้ยุคนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อวัฒนธรรมของชาวเกาหลี มีเมืองฮันยาง (ปัจจุบันรู้จักกันในชื่อกรุงโซล) เป็นเมืองหลวงในปี ค.ศ. 1394 พระราชวังและกำแพงเมืองจากในยุคนี้ยังคงมีให้เห็นจนกระทั่งปัจจุบัน
อย่างไรก็ตามหลังจากสิ้นสุดรัชสมัยของพระเจ้าซุนจง (โดยราชวงศ์ลีเป็นราชวงศ์สุดท้าย) เกาหลีก็ได้ถูกปกครองโดยญี่ปุ่นในปี ค.ศ. 1910 จนกระทั่งสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 ในปี ค.ศ. 1945 ประเทศเกาหลีต้องแยกเป็นสองประเทศตามข้อตกลงพอตสดัม (Potsdam) โดยประเทศเกาหลีใต้สถาปนาเป็น สาธารณรัฐเกาหลี ประเทศเกาหลีเหนือ สถาปนา สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลี
วัฒนธรรม
ชาวเกาหลีได้สร้างวัฒนธรรมที่โดดเด่นผ่านช่วงประวัติศาสตร์อันยาวนานและมรดกทางวัฒนธรรมอันเด่นเฉพาะตัวก็สามารถพบ ได้ตลอดคาบสมุทร ชาวเกาหลีให้คุณค่ากับการเรียนรู้และมีชื่อเสียงมากในการอุทิศตนและความมุมานะอุตสาหะ บางทีอาจเป็นเพราะลักษณะเหล่านี้ก็ได้ที่ทำให้พวกเขาสามารถใช้แรงกระตุ้นทางวัฒนธรรมซึ่งนำมาประยุกต์อย่างถี่ถ้วนกับสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติ
ศิลปะเกาหลี
ศิลปะเกาหลีมีลักษณะเด่นหลายประการที่ทำให้เกิดแบบของตัวเอง ศิลปะเกาหลียกย่องธรรมชาติ และการใช้สีอ่อนและเรียบก็ปรากฏอยู่เสมอ ในภาพเขียนและเครื่องปั้นแบบเกาหลีวัฒนธรรม งานหัตกรรมพื้นบ้านคือศิลปะที่สืบทอดกันมาหลายร้อยปี งานไม้และเครื่องเขินของเกาหลีเป็นที่รู้จักกันดี โดยเน้นการออกแบบที่เพื่อประโยชน์ใช้สอยและความเรียบง่ายสิ่งสะดุดตาในงานไม้เกาหลีคือศิลปะการประดับมุก งานหัตกรรมโลหะทำด้วยทองทำด้วยสำริด ทางด้านพระพุทธศาสนามีการสร้างพระพุทธรูปสำริด ระฆังวัดที่หล่อด้วยสำริด เอกลักษณ์ของระฆัง เกาหลีคือรูปร่างการออกแบบและเสียง ศิลปะเครื่องปั้นดินเผาเกาหลีเป็นประเทศที่เป็นที่ยอมรับในการพัฒนาศิลปะด้านนี้ และเครื่องปั้นดินเผาที่มี ชื่อเสียงคือ ศิลาดล เป็นเครื่องเคลือบที่มีความสดใสฝีมือประณีตนิยมเคลือบด้วยสีขาวซึ่งพัฒนาให้สวยงามในยุคโกเรียว
ในด้านศิลปะการเขียน เดิมรูปแบบตัวอักษรเกาหลีเป็นอักษรจีน ซึ่งเป็นตัวเขียนที่ยังใช้อยู่ในเอเชียตะวันออกร่วมพันปี แม้ว่าหลังจากที่เกาหลี ประดิษฐ์อักษรฮันกึล ในปี ค.ศ. 1446 ตัวอักษรจีนยังคงใช้ในภาษาราชการ จนถึงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 เพราะว่าตัวอักษรจีนมีอยู่นับหมื่นตัว แต่ละตัวมีความแตกต่างกัน มีวิธีเขียนหลายแบบ หลายความหมาย การเรียนอ่านและการเขียนตัวอักษรจีน จึงไม่ใช่เรื่องง่าย สำหรับการเขียนตัวอักษรด้วยพู่กันเกาหลีเรียกว่า บุดกึลซี ต้องอาศัยปัจจัย 4 ของนักปราชญ์ ได้แก่ หมึก แท่งหินฝนหมึก พู่กันและกระดาษ ศิลปินเขียนพู่กันส่วนใหญ่มักเป็นทั้งนักปราชญ์และจิตกร ศิลปินเหล่านี้อาจใช้พู่กันเล่มเดียวกันเขียนกลอนบรรยายภาพ ภาพวาดเกาหลี เป็นศิลปะที่มีธรรมเนียมนิยมของตนเองอย่างสมบูรณ์ จิตรกรรม ภาพจิตกรรมของเกาหลีมีมานานแล้ว สถาบันภาพวาดก่อตั้งขึ้นในยุคโกกุริวสถาบันแห่งนี้เน้นภาพวาด ที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนา รูปแบบจิตกรรมที่หลากหลาย ได้พัฒนาสืบต่อกันมาจนถึงสมัยโซชอน พร้อมนำรูปแบบศิลปะจีนแบบใหม่รวมทั้งเทคนิคการวาดภาพแบบตะวันตก มีการใช้สีสันสดใสในภาพที่วาดเกี่ยวกับศาสนานี้
นอกจากนี้ อิทธิพลของภูมิอากาศยังบ่งบอกถึงสถาปัตยกรรมสิ่งปลูกสร้างที่แตกต่างกันของเกาหลี โดยบ้านแบบเกาหลีจะมีออนดอล (Ondol) ซึ่งทำปฏิกิริยาภายใต้พื้นเพื่อช่วยเพิ่มความร้อนในช่วงฤดูหนาว และโดยทั่วไปบ้านจะมีหลังคาต่ำ มีห้องเล็กและผนังหนามีหน้าต่างและประตูเปิดสู่ภายนอกซึ่งมักจะทำเป็นสองชั้นเพื่อป้องกัน ลมเข้ามาภายในห้อง บ้านเกาหลีแบบโบราณจะมีห้องโถงเป็นพื้นไม้ โดยห้องสำหรับอยู่อาศัยนั้นโดยปกติจะอยู่กลางบ้านใหญ่ ห้องรับแขกจะอยู่อีกหลังต่างหากห้องครัวก็สร้างเป็นหลังต่างหาก
**ข้อมูลจาก www.koreathai.com
Create Date : 05 พฤษภาคม 2551 |
Last Update : 6 พฤษภาคม 2551 23:42:21 น. |
|
4 comments
|
Counter : 860 Pageviews. |
|