|
โรคหน่อไม้พิษ
โรคหน่อไม้พิษที่เกิดขึ้นซ้ำซากจริงๆแล้ว อาจมีผู้ป่วยอื่นๆในประเทศไทยอีกมากที่เป็นโรคนี้แต่ไม่ได้รายงาน หรืออาจจะวินิจฉัยไม่ได้ เนื่องจากอาการจะคล้ายคลึงกับโรคเส้นประสาทอักเสบ (Guillain Barre syndrome) และโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง (myasthenia gravis) ซึ่งเกิดจากภาวะแพ้ภูมิตัวเอง โรคหน่อไม้พิษเกิดจากการเตรียมหน่อไม้ไม่ถูกสุขลักษณะ โดยมีพิษจากแบคทีเรีย Clostridium botulinum ซึ่งปกติอยู่ในดิน และปนเปื้อนสู่หน่อไม้ ซึ่งจะมีการสร้างสปอร์ (spore) โดยที่สปอร์มีความทนทานต่อความร้อน แม้ต้มที่ 100 องศาเซลเซียส นาน 6 ชั่วโมงก็ไม่ตาย การทำหน่อไม้อัดปี๊บที่เกิดปัญหาส่วนใหญ่เตรียมจากการต้ม 1 ชั่วโมง และอัดปี๊บเลยและเก็บไว้ในอุณหภูมิห้อง 3-6 เดือน จนกว่าจะจำหน่ายหมด ในระหว่างนี้เองที่แบคทีเรียจะเจริญงอกงามในปี๊บ ซึ่งมีอากาศน้อยและมีภาวะเป็นกรดไม่มาก และเริ่มผลิตพิษ (toxin) ซึ่งพิษจาก C. botulinum เป็นพิษที่รุนแรงที่สุดในบรรดาพิษจากแบคทีเรียทั่วไป จนมีการพัฒนาเป็นอาวุธชีวภาพปล่อยทางอากาศฟุ้งกระจายทำให้เกิดโรค คนที่ทานหน่อไม้เหล่านี้จะได้รับพิษไปโดยปริยาย พิษเหล่านี้ไม่ได้ทนทานความร้อนมาก ดังเช่น ตัวสปอร์ ดังนั้นการต้มก่อนด้วยความร้อนเพียงแค่ 80 องศาเซลเซียส นาน 30 นาที หรือ 100 องศาเซลเซียส นาน 10 นาที ก็จะทำลายพิษเหล่านี้ได้ สำหรับตัวเชื้อและสปอร์เอง คนที่มีระบบน้ำย่อยของกระเพาะอาหารเป็นปกติ มีความเป็นกรด จะไม่เกิดโรค ทั้งนี้ เนื่องจากสปอร์จะไม่โตในสภาวะที่เป็นกรด (pH น้อยกว่า 4.6 ) อย่างไรก็ตามเด็กทารกอาจจะเกิดโรคจากการกินของที่ปนเปื้อนเชื้อและสปอร์ได้ เนื่องจากระบบน้ำย่อยยังมีความเป็นกรดไม่เต็มที่ ที่จะสามารถป้องกันการสร้างพิษจากสปอร์เหล่านี้ได้ คนที่ได้รับพิษเข้าไปจะเริ่มมีอาการภายในไม่กี่ชั่วโมงจนถึงประมาณ 6วัน โดยมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสียและต่อมาพิษจะซึมจากระบบทางเดินอาหารเข้าสู่เลือดไปยังเส้นประสาท โดยที่พิษเหล่านี้จะทนทานต่อน้ำย่อยได้ เมื่อถึงเส้นประสาทพิษจะทำการยับยั้ง การปล่อยสารเคมี ซึ่งควบคุมการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อทั้งตัว โดยบริเวณที่ถูกกระทบก่อนมักเป็นกล้ามเนื้อหนังตา กล้ามเนื้อลูกตา กล้ามเนื้อใบหน้า ส่วนที่ควบคุมการพูดการกลืน ดังนั้นผู้ป่วยจะมีหนังตาตก เห็นภาพซ้อน กรอกตาไม่ได้ จนกระทั้งยักคิ้วไม่ได้ หลับตาไม่ลง และขยับกล้ามเนื้อใบหน้าไม่ได้ พูดและกลืนลำบาก จากนั้นจะมีอาการแขน-ขาอ่อนแรง และหายใจไม่ออก เนื่องจากกล้ามเนื้อกระบังลมและกล้ามเนื้อทรวงอกไม่ทำงาน นอกจากเส้นประสาทกล้ามเนื้อแล้ว เส้นประสาทอัตโนมัติยังถูกกระทบทำให้มีอาการปากแห้ง รูม่านตาไม่ตอบสนองต่อแสง และลำไส้ไม่เคลื่อนไหวทำให้ท้องอืด ถ่ายไม่ออก รวมทั้งปัสสาวะไม่ออก
การรักษาอยู่ที่การระงับไม่ให้พิษที่ยังอาจหลงเหลืออยู่ในกระแสเลือดไปจับ กับเส้นประสาท โดยการให้ซีรั่ม (antitoxin) ทางหลอดเลือด ซึ่งควรต้องได้รับอย่างเร็วที่สุด ไม่เช่นนั้นพิษจะเข้าไปจับกับเส้นประสาท และซีรั่มจะไม่ได้ผล อย่างไรก็ตาม ซีรั่มจะไม่ทำให้อาการอ่อนแรงดีขึ้นนัก แต่ป้องกันไม่ให้เลวลงในกรณีที่ยังมีพิษหลงเหลือในกระแสเลือด การรักษาอื่นๆเป็นการรักษาแบบประคับประคอง ได้แก่ การให้เครื่องช่วยหายใจ สอดท่อทางเดินปัสสาวะ และช่วยฟื้นฟูกายภาพบำบัดกำลังกล้ามเนื้อ และป้องกันไม่ให้มีภาวะโรคติดเชื้อแทรกซ้อน ในกรณีที่มีอาการมาก และหายใจเองไม่ได้ ผู้ป่วยอาจติดอยู่ในเครื่องช่วยหายใจนานหลายสัปดาห์ถึงเป็นเดือน และต้องทำกายภาพบำบัดต่ออีกหลายเดือนจนกว่าจะเริ่มดีขึ้น อาหารประเภทอื่นๆเช่น เนื้อแดง อาหารทะเล เนื้อเป็ด ไก่ นม ซึ่งมีความเป็นกรดไม่มาก ก็มีความเสี่ยงต่อการทำให้เกิดโรค ถ้าถูกปนเปื้อนด้วยเชื้อและสปอร์ ถ้านำไปบรรจุกระป๋อง และไม่ได้ผ่านการฆ่าเชื้อที่ถูกต้อง การฆ่าเชื้อที่ถูกต้อง (sterilization) ได้แก่ การให้ความร้อนที่อุณหภูมิ 116-121 องศาเซลเซียส ภายใต้แรงดัน 0.68-0.97 หน่วยบรรยากาศ (10-15 ปอนด์ต่อตารางนิ้ว) นาน 20-100 นาทีขึ้นไป จึงจะมีความปลอดภัยในการผลิตเป็นอาหารบรรจุกระป๋อง โรคดังกล่าวนี้ยังอาจเกิดขึ้นได้ในกรณีที่เป็นแผลและติดเชื้อ C.botulinum และมีการสร้างพิษเข้าไปในกระแสเลือด โดยจะมีอาการคล้ายคลึงกันแต่น้อยกว่าที่ได้รับพิษจากการกินอาหาร C.botulinum อยู่ในตระกูลเดียวกับ C.tetani ที่ทำให้เกิดโรคบาดทะยัก โดยที่ในโรคบาดทะยักพิษจะเข้าเส้นประสาทและทำให้แข็งเกร็งจนหายใจไม่ได้แทน ที่จะเป็นอ่อนแรงดังในกรณีของ C.botulinum
ที่มาของบทความ ศาสตราจารย์นายแพทย์ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา โรง พยาบาลจุฬาลงกรณ์ //www.cueid.org/content/view/35/40/
Create Date : 19 มิถุนายน 2553 | | |
Last Update : 29 มิถุนายน 2553 21:58:32 น. |
Counter : 1100 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
| |
|
|