Group Blog
 
All blogs
 
เล่นกับฟองสบู่ โดย ดร.นิเวศน์


ความคึกคักของตลาดหุ้นในช่วงนี้ ซึ่งเห็นได้จากดัชนีราคาหุ้นที่ปรับตัวขึ้นอย่างร้อนแรง บวกกับปริมาณการซื้อขายที่สูงลิ่วอย่างไม่เคยเป็นมาก่อนทำให้คนเริ่มถามกัน มากว่าตลาดหุ้นตอนนี้เป็น Bubble หรือ “ฟองสบู่” หรือยัง

ผมคงไม่ฟันธงว่าตลาดหุ้นในขณะนี้เป็นฟองสบู่หรือไม่ ข้อพิสูจน์นั้นจะมาในภายหลัง ถ้าเวลาผ่านไป 2-3 ปี ดัชนีตลาดหุ้นตกต่ำลงกว่าปัจจุบันมาก เราก็บอกว่าตลาดในช่วงปี 2553 เป็น “ฟองสบู่” แต่ถ้าดัชนียังสูงกว่าปัจจุบัน นั่นก็หมายความว่าตลาดหุ้นในปี 2553 เป็นช่วงตลาดกระทิงที่มีเหตุผลมีพื้นฐานรองรับ การคาดการณ์ว่าตลาดในขณะนี้เป็นฟองสบู่หรือไม่นั้น ไม่ใช่เรื่องที่ทำได้ง่าย ๆ ประสบการณ์ในอดีต ทั้งของต่างประเทศและของไทยเองก็แสดงให้เห็นว่าแม้แต่เซียนหรือนักวิชาการ ระดับโลกก็อาจจะทำนายผิดได้ ดังนั้น ผมไม่คาดการณ์ แต่จะอธิบายจากสิ่งที่เคยเกิดขึ้นในประวัติศาสตร์ของการเกิดฟองสบู่แต่ละ ครั้งว่าฟองสบู่หุ้นนั้น มักจะเกิดขึ้นจากสาเหตุอะไร

ข้อแรกก็คือ ฟองสบู่นั้น มักจะเกิดขึ้นเนื่องจากมีการเปลี่ยนแปลงสำคัญระดับ “ปฏิวัติ” ของเท็คโนโลยีของโลก เช่น การเกิดและเติบโตอย่างรวดเร็วของธุรกิจไฮเท็คและ “ดอทคอม” ในสหรัฐอเมริกา หรือการเปลี่ยนแปลงในเรื่องของ “โครงสร้างการทำงานหรือธุรกรรมทางการเงิน” เช่นเรื่องของการบูมของการแปลงหนี้ผ่อนบ้านให้เป็นตราสารซับไพร์มในอเมริกา หรือถ้าจะพูดให้ใกล้ตัวและเห็นได้อย่างชัดเจนก็คือ การ “เปิดเสรีทางการเงิน” ของประเทศไทยในปี 2533 หรือเมื่อ 20 ปีก่อนที่ทำให้เงินต่างประเทศไหลเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นและก่อให้เกิดฟองสบู่ ที่ใหญ่ที่สุดในช่วงปลายปี 2536

ข้อสอง ฟองสบู่จะเกิดไม่ได้ถ้าตลาดเงิน “ตึงตัว” นั่นก็คือ อัตราดอกเบี้ยในท้องตลาดสูงและเงินหายาก ฟองสบู่นั้นมักเกิดขึ้นในช่วงที่ตลาดเงินมีสภาพคล่องสูงและอัตราดอกเบี้ยใน ตลาดต่ำมาก การกู้เงินมักทำได้ง่าย มีการปล่อยกู้ให้กับลูกค้าโดยไม่เข้มงวดในด้านของความสามารถในการใช้หนี้คืน และหลักประกันมากนัก สถาบันการเงินมักจะแข่งขันกันปล่อยเงินกู้ ทำให้ยอดการปล่อยกู้เติบโตสูงกว่าปกติ การที่เงินหาง่ายนั้นทำให้นักเล่นหุ้นสามารถเพิ่มการซื้อหุ้นได้อย่าง “ไม่จำกัด” โดยการใช้หลักทรัพย์ที่มีราคาเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เป็นหลักประกันในการขอกู้เพิ่มซึ่งก็กลับไปซื้อหุ้นต่อไปเรื่อย ๆ

ข้อสาม ฟองสบู่มักจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อฟองสบู่ครั้งล่าสุดเกิดขึ้นไม่ต่ำกว่า 15-20 ปีมาแล้วซึ่งเท่ากับ “หนึ่งชั่วอายุคน” เหตุผลก็คือ เมื่อฟองสบู่ครั้งล่าสุด “แตก” คนในรุ่นนั้นก็ขาดทุนกันหนักมากแทบจะล้มละลายสิ้นเนื้อประดาตัว จำนวนมากออกจากตลาดหุ้นและสั่งสอนลูกหลานว่าตลาดหุ้นเป็นสถานที่ที่ “เลวร้าย” และไม่ควรเข้าไปเกี่ยวข้องกับหุ้นเลย นักลงทุนที่ยังเหลืออยู่ก็จะระมัดระวังมากในการลงทุนและคิดว่าหุ้นมีความ เสี่ยงเสมอโดยเฉพาะเมื่อราคาปรับตัวขึ้นไปมาก ฟองสบู่ลูกใหม่ที่จะมามักจะเกิดขึ้นจากนักลงทุนรุ่นใหม่ที่ไม่เคยประสบกับ เหตุการณ์ฟองสบู่แตกมาก่อน พวกเขาไม่เคยประสบกับ “หายนะ” ของการลงทุน ดังนั้น เมื่อตลาดหุ้นบูมมายาวนานและการ “ปรับตัวลง” ของดัชนีหุ้นเป็นครั้งคราวในระยะเวลาสั้น ๆ มักจะตามมาด้วยการ “ปรับตัวขึ้น” อย่างรุนแรงและสูงกว่าเดิมอีก ทำให้นักลงทุน “รุ่นใหม่” เหล่านี้ “ฮึกเหิม” จนนำไปสู่การเป็นฟองสบู่ในที่สุด

ข้อสุดท้าย ฟองสบู่มักเกิดขึ้นเมื่อนักลงทุนละทิ้งวิธีการลงทุนที่คำนึงถึง “มูลค่าที่แท้จริง” ของกิจการ สิ่งนี้เกิดขึ้นเนื่องจากการที่ตลาดถูก “ยึดครอง” โดยนักลงทุนที่ขาดความรู้และประสบการณ์ในการลงทุน พวกเขาจำนวนมากเป็นคนที่อาจจะเรียกว่า “หาเช้ากินค่ำ” แต่เข้ามาเล่นหุ้นโดยที่เห็นและคิดว่าการลงทุนซื้อขายหุ้นเป็นสิ่งที่ง่าย และสามารถทำเงินได้รวดเร็วกว่าการทำงานปกติของตนเอง

ไม่ว่าแหล่งหรือสาเหตุของการเกิดฟองสบู่จะมาจากไหน แต่ฟองสบู่ทุกครั้งจะเกิดขึ้นจากนักลงทุนที่ซื้อหุ้นเพียงเพราะหุ้นมัน “กำลังจะขึ้น” กระบวนการนั้นทำให้คนโหมเข้าไปซื้อหุ้นอีกซึ่งทำให้หุ้นขึ้นไปอีก กลายเป็นกระบวนการที่ต่อเนื่องเป็นลูกโซ่ จนกระทั่ง “เชื้อเพลิง” ซึ่งก็คือเม็ดเงินสดและโดยเฉพาะอย่างยิ่งเงินกู้ยืมหรือมาร์จินในการซื้อขาย หุ้นหมด ซึ่งก็คือจุดที่ฟองสบู่แตก และทั้งหมดนั้นก็คือ “วงจร”ของฟองสบู่ที่มักกินเวลาหลายปี

วิเคราะห์จากสถานการณ์ของตลาดหุ้นไทยในเวลานี้ ปัจจัยในการเกิดฟองสบู่ที่กล่าวมาข้างต้นนั้น ผมเห็นว่ายังไม่ชัดเจนนัก ไล่มาตั้งแต่ข้อหนึ่งผมก็ยังไม่เห็นว่ามีการเปลี่ยนแปลงในระดับโครงสร้างทาง เท็คโนโลยีหรือการเงินอะไรมากนัก ข้อสอง ในด้านของสภาพคล่องทางการเงินนั้น ผมคิดว่าประเทศไทยในขณะนี้มีสภาพคล่องที่สูงมากและถือได้ว่าอาจจะเป็นปัจจัย ในการก่อให้เกิดฟองสบู่ได้แม้ว่าในขณะนี้การใช้เงินกู้ยังไม่สูงมาก อย่างไรก็ตาม เม็ดเงินสดที่อยู่ในกระเป๋าของนักลงทุนเองก็มีเหลือล้นและและพยายามหาการลง ทุนที่ให้ผลตอบแทนดีกว่าการฝากเงินที่ได้ดอกเบี้ยต่ำมาก ในข้อสามนั้น ผมคิดว่านักลงทุนส่วนใหญ่ที่อยู่ในตลาดหุ้นวันนี้เป็นคนที่ไม่ได้สัมผัสกับ สภาวะฟองสบู่แตกในช่วงวิกฤติปี 2540 ดังนั้นมีโอกาสที่พวกเขาจะมองโลกในแง่ดีและก่อให้เกิดฟองสบู่ได้ สุดท้ายก็คือเรื่องของการมองในด้านของมูลค่าหุ้น ในข้อนี้ผมคิดว่า ตลาดหุ้นไทยยังไม่ถึงจุดที่คนไม่สนใจมูลค่าพื้นฐานของหุ้นเห็นได้จากการที่ ค่า PE ของตลาดก็ยังไม่สูงเกินไปที่ 14-15 เท่า นอกจากนั้น หุ้นที่ผลการดำเนินไม่ดีราคาหุ้นก็ยังไม่ปรับตัวขึ้นเท่าไรนัก นอกจากนั้น คนที่เข้าตลาดหุ้นเร็ว ๆ นี้ ก็ยังไม่ใช่กลุ่มคนที่หาเช้ากินค่ำ แต่เป็นคนที่มีเงินพอสมควร

ข้อสรุปของผมก็คือ มีปัจจัยที่อาจก่อให้เกิดฟองสบู่อยู่ประมาณครึ่งหนึ่ง ดังนั้น มีโอกาสที่หุ้นจะขึ้นต่อไปเป็น “กระทิงที่ยาวนาน” ทำให้คนที่ไม่อยู่ในตลาดหุ้นหรือรีบออกจากตลาดเสียโอกาสไปมาก เช่นเดียวกัน มีโอกาสที่มันจะกลายเป็นฟองสบู่ที่ทำให้คนที่มีหุ้นอยู่เสียหายหนักเมื่อพบ ว่า “ฟองสบู่แตก” และตนเองหนีไม่ทัน คำแนะนำของผมก็คือ ในภาวะแบบนี้ ควรถือหุ้นที่มีธุรกิจที่มั่นคงปลอดภัยมีกำไรดีเสมอแม้ว่าฟองสบู่จะแตก หุ้นเหล่านี้แม้ว่าในช่วงที่ตลาดขึ้นแรงต่อไปจะไม่ให้ผลตอบแทนที่ดีสุดยอด แต่ถ้าเกิดฟองสบู่แตก มันจะฝ่าอุปสรรคไปได้ ความเสียหายจะไม่ถึงกับเป็นหายนะ

แหล่งที่มา ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

อยากให้อ่านเรื่องนี้ด้วยครับ



 
แวะมาอ่าน่ครับ


โดย: Big cap only วันที่: 8 พฤศจิกายน 2553 เวลา:14:27:36 น.  

 
ขอบคุณครับ


โดย: ta IP: 124.120.53.221 วันที่: 8 พฤศจิกายน 2553 เวลา:23:02:27 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

girdpol
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 15 คน [?]




Friends' blogs
[Add girdpol's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.