All Blog
เมื่อต้องบินเดี่ยวครั้งแรก....กับการได้พบเนื้อคู่เป็นของแถม (ตอนที่ 2)
หลังจากเรียนภาษาญี่ปุ่นจบ ก็มีเจ้าหน้าที่จากเมืองคิตะคิวชิวมารับก้อยและเพื่อนเกาหลีอีกคนที่จะไปอบรมในสาขาเดียวกัน เดินทางถึงคะตะคิวชิวก้อยพักอยู่ที่หอพักของ JICA (Japan International Cooperation Agency) ส่วนเพื่อนเกาหลีเค้าไปพักอยู่ในอพาทร์เม้นต์ข้างนอกคะ เพราะเค้าบอกโฮสต์ว่าสามีเค้าจะมาเยี่ยมจึงไม่สะดวกพักที่หอพัก ส่วนก้อยพักที่ไหนก็ได้ไม่มีปัญหาอยู่แล้วคะ





ไปถึงที่ว่าการคิตะคิวชิวซึ่งเป็นที่อบรมและที่ทำงานของก้อย วันแรกเราก็ได้เข้าพบกับผู้ว่าการเมืองคิตะคิวชิว วันนั้นได้มีนักข่าวมาทำข่าวด้วยก็เลยได้ออกโทรทัศน์ท้องถิ่นด้วยคะ เสร็จแล้วก็ต้องมีการนำเสนอ Country Report ให้เจ้าหน้าที่ทางญี่ปุ่นฟัง





ชีวิตที่นี่ก็ดำเนินไปด้วยความสนุกสนาน สะดวกสบายเป็นที่สุด ทางโฮสต์ได้พาก้อยไปเปิดบัญชีธนาคารและบัตรเอทีเอ็ม เพราะเค้าจะให้เงินเดือนเหมือนเป็นข้าราชการในที่ว่าการเมืองทุกเดือน มีโทรศัพท์มือถือให้ใช้ฟรี มีแลปท็อปให้ใช้ทั้งที่หอพักและที่ทำงาน มีตั๋วเดินทางโดยรถไฟฟ้าให้ตลอด เพราะจากที่หอพักก้อยต้องใช้รถไฟฟ้าเพื่อเดินทางไปที่ทำงานทุกวัน ไปทำงานก็สายเกือบทุกวัน เอิ๊กๆ


ระบบการทำงานของที่นี่เหมือนอยู่ในโรงเรียนสมัยประถมเลยคะ พอถึงเวลาเริ่มทำการก็จะมีเสียงกริ่งดัง .....กรี๊งๆ......พอถึงเวลาพักเที่ยงก็จะดังอีก.....พอหมดเวลาพักเที่ยงก็จะร้องอีก........พอประมาณบ่าย 3 ก็จะร้องว่าถึงเวลาพักเบรกดื่มชา กาแฟ 15 นาที เสร็จแล้วก็ร้องอีก จากนั้นพอถึงเวลา 5 โมงเย็นก็ร้องอีกบอกว่าถึงเวลากลับบ้านแล้วจ้า......แต่ส่วนใหญ่คนที่นี่นั่งทำงานกันต่อคะ ถึงทุ่ม 2ทุ่ม เป็นอย่างน้อยถึงจะกลับบ้านกัน เอิ๊กๆ







เทศกาลช่วงฤดูร้อนคะ




อันนี้เป็นเทศกาลช่วงฤดูใบไม้ร่วง


ตอนกลางวันในที่ทำงานเป็นช่วงเวลาที่พะอืดพะอมมาก เพราะไม่รู้ว่าจะหม่ำอะไรดีในแต่ละวัน ตอนอยู่เมืองไทยก็ชอบมากกกกกอาหารญี่ปุ่น แต่พอให้มากินทุกวันก็ไม่ไหวเหมือนกัน รู้สึกว่ารสชาติมันเหมือนกันทุกอย่างเลย ในที่ทำงานมีอาหารให้เลือกอยู่ 2 แหล่งคือ 1 ตรงหน้าลิฟท์ จะมีแม่ค้าเอาอาหารกล่องมาขาย คนต่อแถวซื้อยาวเหยียด แต่อาหารสุดแสนจะไม่อร่อย ที่เค็มก็เค้มเค็ม ที่หวานก็หว้านหวาน แหล่งที่ 2 คือ โรงอาหารชั้นใต้ดิน คนก็ตรึมเหมือนกันคะ สั่งอาหารก็แสนลำบาก เพราะมีแต่ภาษาญี่ปุ่น มีทั้งแบบตู้หยอดเหรียญ ใส่เหรียญเข้าไปแล้วกดว่าจะเอาเมนูไหน เสร็จแล้วก็จะได้คูปองมาเพื่อเอาไปให้แม่ครัว แล้วเค้าก็จะจัดอาหารมาให้ตามคูปอง อีกแบบคือไปสั่งกับเจ้าหน้าที่ว่าจะเอาอะไร แล้วเค้าก็จะให้คูปองมาเหมือนกัน ส่วนก้อยแล้ว ส่วนใหญ่จะใช้บริการตู้หยอดเหรียญคะ ก็อาศัยจำเอาว่าเมนูไหนต้องกดปุ่มไหน ก็พอได้กินอยู่


แต่ว่ากินกันแบบนั้นทุกวันก็ไม่ไหวคะ เบื่ออาหารสุดๆ ก้อยก็เลยออกหาที่หม่ำไปเรื่อย ส่วนใหญ่แล้วก็จะไปร้านอาหารอิตาเลี่ยนคะ ได้พาสต้ากุ้งซอสมะเขือเทศ เป็นเมนูหลัก ถ้าพนักงานที่ร้านเห็นก้อยก็จะรู้แล้วว่ายายคนนี้จะสั่งอาราย อิอิอิ อื่นๆ ที่ได้ฝากท้องบ้างก็มีร้านอาหารไทย อาหารจีน ร้านซูชิ


ช่วงเวลาที่อยู่คิตะคิวชิวค่อนข้างนานก้อยก็เลยได้มีทริปหลายทริปไปโน่นนี่อยู่คะ ในปีนั้นที่ญี่ปุ่นเป็นเจ้าภาพจัดงาน World Expo ก้อยก็ได้ไปกับเค้าอยู่เหมือนกัน ยิ่งใหญ่อลังการมากอยู่








แถมได้ไปเที่ยวฮิโรชิมาด้วย วันนั้นไปคนเดียวคะ เดินทางไปด้วยรถไฟชินกันเซ็น จากสถานี Kokura ถึง Hiroshima เสร็จแล้วก็นั่งรถไฟไปที่ท่าเรือเพื่อไปเที่ยว Miyajima เกาะนี้ช่างมีเสน่ห์เหลือเกิน พอไปถึงเกาะก็มีน้องกวางมาเดินต้อนรับ น่ารักมาก และช่างไม่กลัวใครเอาซะเลย แถมมากินแผนที่ของก้อยอีกต่างหาก








จากที่ Miyajima ก็เดินทางกลับไปที่ Hiroshima เพื่อเอาข้าวของไปเก็บไว้ที่อพาทร์เม้นของเพื่อนแล้วไปเที่ยวต่อที่ Hiroshima Peace Memorial Museum ไปที่นี่แล้วก็รู้สึกเศร้าใจไปกับผู้คนที่โดนระเบิดปรมาณู วันที่เกิดเหตุเป็นวันที่ 6 สิงหาคม 1945 เวลา 8.15 น. ในพิพิธภัณฑ์มีนาฬิกาของผู้ประสบภัยซึ่งหยุดอยู่ตรงเวลานั้นพอดี......








หลังจากที่เมือง Hiroshima ทั้งเมืองได้ถูกทำลายไปในตอนนั้น ทางการญี่ปุ่นก็ได้วางผังเมืองใหม่ จนกลายเป็นว่า Hiroshima เป็นเมืองที่มีผังเมืองที่ดีที่สุดในญี่ปุ่น


นอกจากนี้ที่ทำงานก้อยก็พาไปดูงานที่เมืองมินามาตะด้วย เมืองนี้อยู่ทางตอนใต้ของเกาะคิวชิว เมืองนี้เป็นจุดเริ่มต้นของโรคมินามาตะ





โรคนี้มีอาการมือและใบหน้า เกิดอาการบวมและเจ็บปวดสายตามัว เกิดอาการเหน็บชา ร่างกายบางส่วนเป็นอัมพาต ความจำเสื่อม บางคนถึงกับเสียสติ และในที่สุดล้มตายลง เมื่อปี พ.ศ.2508 พบคนล้มตายจากโรคมินามาตะถึง 40 คน สาเหตุของโรคเกิดจากชาวบ้านรับประทานปลาที่มีสารปรอทสูง เมื่อสารปรอทสะสมในร่างกายมากๆ ในที่สุดก็ล้มป่วยลงด้วยพิษของปรอท ส่วนสาเหตุที่ปลาบริเวณริมอ่าวมีสารปรอทสูง เพราะบนริมอ่าวเป็นที่ตั้งของโรงงานอุตสาหกรรมผลิตพลาสติก PVC ซึ่งในกระบวนการผลิตใช้สารประกอบของปรอท ได้เกิดการรั่วไหลและการเทสารของปรอทลงในอ่าวเป็นประจำ ในอดีตช่วงที่มีการปฏิวัติอุตสาหกรรม ปะรเทศญุี่ปุ่นมีโรงงานอุตหสาหกรรมเป็นจำนวนมาก และมีการปล่อยสารพิษสู่อากาศและน้ำในปริมาณมาก ในช่วงเวลานั้นหากเมืองไหนท้องฟ้ามีหลากหลายสีจากควันพิษ ก็จะถูกมองว่าเป็นเมืองที่ร่ำรวย เพราะมีโรงงานอุตสาหกรรมเป็นจำนวนมาก แต่ตอนนี้ไม่มีแล้วคะ ญี่ปุ่นกลับมามีฟ้าใสแล้ว





ที่มินามาตะนี้เราก็ได้ไปพักกันที่โรงแรมแบบสไตล์ญี่ปุ่นมากๆ นอนบนเสื้อตาตามิ และมีออนเซ็นด้วยคะ บรรยาการดีมาก ออนเซ็นแบบ open air ท้าทายสายตาชาวโลกสุดๆ อิอิอิ แต่เราก็ไปอาบกันนะคะ เพื่อนคนญี่ปุ่นเค้าบอกว่าเวลามาพักที่โรงแรมแบบนี้คนญี่ปุ่นจะต้องอาบน้ำแร่ให้คุ้มคะ เพราะมันช่างดีต่อผิวพรรณเหลือเกิน วิธีการอาบก็มีอยู่ว่า เมื่อมาถึงโรงแรมก็จัดการไปอาบน้ำแช่น้ำให้สมใจ เสร็จแล้วก็จะมีอาหารมารอเราอยู่ที่ห้อง เราก็หม่ำให้หนำใจเช่นกัน พอกินอิ่มแล้วก็ไปตามน้ำต่อก่อนนอน ตื่นนอนมาตอนเช้าก็วิ่งไปอาบน้ำอีก แ้ล้วพอกลับมาที่ห้องก็จะีมีอาหารเช้ามารอเราอยู่แล้วเช่นกัน สำราญจริงๆ......








อยู่มาถึงตรงนี้ก็เข้าไป 4 เดือน 5 เืดือนแล้ว ยังไม่เห็นมีวี่แววว่าจะเจอใคร แต่ช่วงนั้นก็มีหนุ่มชาวเชคมาเริ่มส่งตาหวาน ไปรู้จักเค้าเพราะก้อยลงเรียนภาษาญี่ปุ่นเพิ่ม เพราะมาอยู่คิตะคิวชิวแล้วเค้าไม่ได้ส่งให้เรียนแล้วคะ ก็เลยขวนขวายหาที่เรียนเอาเอง ไปเรียนก็ได้นั่งกันข้างๆ กับหนุ่มเชค เอ.....จะยังไงต่อไปหนอ ไว้มารอลุ้นต่อตอนหน้าคะ


วันนี้ลาไปด้วยสาวงามคนนี้คะ





มีความสุขกันถ้วนหน้านะคะทุกคน รักษาสุขภาพค่า



Create Date : 04 มกราคม 2554
Last Update : 5 มกราคม 2554 1:10:46 น.
Counter : 1420 Pageviews.

17 comment
เมื่อต้องบินเดี่ยวครั้งแรก....กับการได้พบเนื้อคู่เป็นของแถม (ตอนที่ 1)
ตื่นเต้นมากคะที่จะมาเล่าประสบการณ์การเดินทางไปต่างประเทศครั้งแรกคนเดียวให้ฟังกัน และการเดินทางครั้งแรกนี้เองที่ทำให้ได้พบกับเนื้อคู่ อิอิอิ.....แต่เรื่องนี้อาจจะมีหลายตอนนิดนึงนะคะ คาดว่าน่าจะไม่เกิน 3 ตอน เพราะเรื่องมันยาวอะ ตั้ง 7 เดือนจะให้จบง่ายๆได้ไงเนอะ

ตอนที่ 1 นี้เป็นจุดเริ่มต้นว่าก้อยต้องบินเดี่ยวได้ไง เรื่องของเรื่องก็มีอยู่ว่าเมื่อตอนเดือนมกราคมปี 2005 ผอ.กองที่ทำงานก้อยที่กทม. เรียกก้อยมาบอกว่าจะให้ก้อยไปอบรมที่ญี่ปุ่น 7 เดือน !!!!

หาาาาา 7 เดือน น๊าน นาน .....อบรมอะไรกันเนี่ย.....แต่ก็น่าสนุกนะ ในใจตอนแรกรู้สึกว่าไปม่อยากไปมาก เพราะมีเรื่องต้องจัดการหลายอย่าง เพราะก้อยเพิ่งเรียนจบโทมาได้ไม่นาน และระเบียบของราชการนั้นหากจะไปอบรมต่างประเทศ และเพิ่งหลับมาจากลาเรียนจะต้องกลับมาไม่ต่ำกว่า 10 เดือน นับไปนับมา กว่าจะเดินทางเดือน พฤษภาคม เราก็กลับมาทำงานครบ 10 เดือน พอดีแป๊ะ


ช่วงเวลานั้นก้อยรู้สึกว่าไม่อยากยุ่งยาก ขี้เกียจเดินเรื่อง เอาไว้คราวหน้าดีกว่า เพราะที่ทำงานก้อยมีทุนไปต่างประเทศเยอะ

........แต่แล้วจู๋ๆ วันนึงในช่วงนั้น นอนหลับอยู่ดีๆ ตกใจตื่นขึ้นมาและได้ยินเสียงในหัวตัวเองว่า "ฉันต้องไปญี่ปุ่นครั้งนี้ มันถึงเวลาของฉันแล้ว".........อืมมมมม เป็นลางบอกเหตุอะไรหนอ......

จริงๆ แล้วผอ. จะให้พี่อีกคนนึงไป แต่ติดที่ว่าต้องไปขออนุญาตจาก ผอ.สำนักด้วยตัวเองเพราะว่าเวลาที่จะไปอบรมมันนานมาก ที่ทำงานต้องขาดกำลังคนไป และพี่เค้าไม่กล้าไปเข้าขอผอ.สำนัก แต่ก้อยติดว่าหน้าหนากว่าพี่เค้านิดนึง บากหน้าไปขอเองก็ได้วะ ปรากฎว่าเข้าไปคุยกับท่าน ผอ. สำนัก ท่านอนุญาตให้ไปด้วยดี ผ่านฉลุย และแล้วคนที่ได้ไปอบรมที่ญี่ปุ่นก็เป็นเรา.......อิอิอิ

จากนั้นก็ต้องเตรียมตัวทั้งเรื่องวีซ่า ตรวจร่างกาย เอกสารทุกอย่างพร้อม เย้ .......

แต่ตอนจัดกระเป๋านี่ต้องเป็นระเบียบและมีสตินิดนึงคะ เพราะทางญี่ปุ่นระบุมาว่าให้จัดกระเป๋าเป็น 3 ใบนะจ๊ะท่านผู้เข้าร่วมอบรม
- ใบที่ 1 จะอยู่กับตัวเองที่โตเกียวตอนเดินทางไปถึงระยะเวลาประมาณ 1 สัปดาห์
- ใบที่ 2 จะถูกส่งไปที่จังหวัดชิกะ ซึ่งเป็นที่เรียนภาษาญี่ปุ่นจ้า ระยะเวลาประมาณ 1 เดือนครึ่ง
- ใบที่ 3 จะถูกส่งไปที่เมืองคิตะคิวชิว ในจังหวัดฟูกูโอกะ ซึ่งเป็นเมืองที่จะต้องรับการอบรมจนจบคอร์ส

แล้วก้อยก็จัดการจัดกระเป๋าตามที่เค้าแนะนำมาคะ

ทุ้กอย่างเรียบร้อย พร้อมเดินทาง......

แต่ด้วยครั้งนั้นเป็นการเดินทางต่างประเทศเป็นครั้งแรกในชีวิต เคยแต่ไปส่งคนอื่นขึ้นเครื่อง ไปขึ้นเครื่องเองนี่มันจะเป็นไงหนอ ใจตุ้มๆ ต่อมๆ เข้าเช๊คอิน สายการบินไทยทุกอย่างเรียบร้อย กระเป๋าหนักเกินพิกัดไปมากกกกกกก.......แต่เจ้าหน้าที่ใจดี เข้าใจว่าเราจะไปอยู่นาน ก็เลยผ่าน เข้าไปที่ ตม. ก็ฉลุย แล้วก็ไปรอขึ้นเครื่อง ขึ้นไปบนเครื่องก็นั่งไปกับผู้หญิงชาวพม่า เค้าก็น่ารักดีคะ

นั่งไปก็หลับๆ ตื่นๆ คะ พอเครื่องบินร่อนลงจอดไปที่สนามบินนาริตะ ก็ชักจะใจเสียอีกแล้ว นี่ถ้าเราออกไปแล้วไม่เจอเจ้าหน้าที่ที่จะมารับทำไงดีอะ......ฮือฮือ ชักอยากจะร้องไห้ คิดถึงพ่อคิดถึงแม่มาก ในเวลานั้นก็พยามยามทำตัวติดๆ ไปกับหญิงสาวชาวพม่าที่นั่งมาด้วยกัน เพราะเค้ามาญี่ปุ่นบ่อย ก็ใจชื่น เดินตามๆ เค้าไป ขึ้นรถรางเพื่อไปอาคารผู้โดยสารขาเข้า แล้วก็ผ่าน ตม. สบายๆ แล้วก็ไปรอรับกระเป๋าทั้ง 3 ใบ เฮ้อ.....ชีวิตน้อยๆ ต้องลำบากลำบนอะไรอย่างนี้หนอ กลัวก็กลัว

พอเดินออกไปจากประตู ก็ทำให้ได้ยิ้มหน้าบานเพราะเจ้าหน้าที่ทางญี่ปุ่นมารอรับ มีป้ายชื่อ Chalika Noonin Thailand อิอิอิ ดีใจจัง

แล้วเค้าก็พาพวกเราที่มาไฟล์เดียวกันขึ้นรถ Shuttle Bus เพื่อไปโรงแรมที่พัก

การอบรมที่ก้อยไปในครั้งนี้อยู่ในโปรแกรม Local Government Officials Training Program ซึ่งผู้เข้ารับการอบรมมีทั้งหมดประมาณ 130 คน มาจากหลายประเทศ เช่น จีน เกาหลีใต้ ไทย รัสเซีย แม๊กซิโก เยอรมันนี นิวซีแลนด์ มองโกเลีย ปากีสถาน ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย

ผู้เข้าอบรมทั้งหมดเป็นข้าราชการจากประเทศนั้นๆ และมีหลากหลายอาชีพคะ และแต่ละคนเมื่อเข้ารับการปฐมนิเทศที่โตเกียวแล้ว ก็จะไปเรียนภาษาญี่ปุ่นด้วยกันก่อน จากนั้นก็จะแยกย้ายไปอบรมในเมืองต่างๆ ที่เป็นโฮสต์ และในสาขาที่ตัวเองทำงาน เช่น คนที่เป็นหมอก็จะอบรมในโรงพยาบาล คนที่เป็นนักวิจัยในห้องแล็ปก็จะไปทำอยู่ในห้องแล๊ป คนที่เป็นนักดับเพลิงก็จะไปอบรมกับหน่วยงานดับเพลิง ส่วนก้อยทำงานด้านสิ่งแวดล้อม ก็จะไปอบรมอยู่ที่สำนักงานสิ่งแวดล้อมระหว่างประเทศที่ศาลาว่าการเมืองคิตะคิวชิว

ไปถึงโรงแรมที่พักแล้วก็มีงานเลี้ยงรับรอง มีเจ้าหน้าที่จากสถานฑูตไทยมาร่วมด้วยคะ ไปถึงที่ญี่ปุ่นก้อยเจอพี่คนไทยอีกคนนึงที่เข้าอบรมในครั้งนี้ด้วย





และก็มีทริปเล็กๆ ในโตเกียว





เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วก็ต้องเดินทางไปจังหวัดชิกะกันแล้ว พวกเราเดินทางไปด้วยชินกันเซ็นคะ รวดเร็วทันใจ จากโตเกียวแป๊ปเดียวก็มาถึงโอซาก้า จากโอซาก้าพวกเราก็ เดินทางต่อไปถึงที่เรียนภาษาญี่ปุ่นคะ มีชื่อว่า Japan Intercultural Academy of Municipalities (JIAM)

ที่ JIAM นี่บรรยากาศดีน่าเรียนมากเลยคะ อยู่ไม่ไกลกับทะสาป Biwa ซึ่งเป็นทะเลสาปที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น




พอไปถึงวันแรกภาระกิจใหญ่ที่ต้องทำคือการทดสอบภาษาญี่ปุ่นเพื่อจัดห้องเรียน ผลออกมาว่าก้อยได้เรียนอยู่ในห้องรองบ๊วยคะ อิอิอิ.....ยังดีที่ไม่บ๊วย.....

หลังเลิกเรียนเกือบทุกวันก้อยก็ออกไปเดินเล่น หรือไม่ก็ปั่นจักรยานไปทั่วเลยคะ ไปเล่นกับเด็กๆ ญี่ปุ่น ได้ฝึกภาษาไปในตัวด้วย





ส่วนเสาร์-อาทิตย์ก็ออกไปเที่ยวกันคะ ไปเกียวโตบ้าง โอซาก้าบ้าง เพราะอยู่ไม่ไกลกัน








อยู่ที่นี่เราได้รับเงินเดือนจากเมืองที่เป็นโฮสต์คะ และมีการ์ดเงินสดให้ใช้สำหรับกินข้าวที่โรงอาหารใน JIAM สำหรับทุกมื้อ ถ้ามื้อไหนไม่ได้กินเงินก็จะถูกเก็บสะสมไว้ เราก็เอาไปซื้อของอย่างอื่นในร้านค้าที่ JIAM ได้

ที่ JIAM เนี่ยเวลาอาบน้ำเป็นช่วงเวลาที่ตื่นเต้นมาก เพราะห้องน้ำรวมคะ ผู้ชายอยู่ชั้นนึง ส่วนผู้หญิงอยู่อีกชั้นนึง ห้องน้ำเค้าไม่มีกลอนคะ เป็นประตูแบบบานพับ ต้องคอยเอาของมาแขวนไว้ที่ประตู ใครเข้ามาก็จะได้รู้ว่ามีคนอาบน้ำอยู่ ห้องอาบน้ำแบบนี้มีแค่ 3 ห้องเองคะ ต้องรอคิวยาวเหมือนกันกว่าจะได้อาบ แต่หากใจกล้าก็ไปอาบอีกห้องนึงซึ่งเป็นห้องอาบน้ำสไตล์ญี่ปุ่น เข้าไปปุ๊บก็จะเป็นห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า เสร็จแล้วก็ต้องถอดออกให้หมดไม่ให้เหลือ แล้วก็เข้าไปในห้องอาบน้ำ ซึ่งต้องไปนั่งอาบน้ำให้สะอาดก่อนแล้วค่อยลงไปแช่ในอ่างน้ำร้อน เหมือนออนเซ็น แหละคะแต่อันนี้ไม่ใช่น้ำแร่ อิอิอิ

ตอนแรกก้อยก็ไม่กล้าไปอาบในห้องใจกล้าคะ แต่พี่คนลาวเค้าชวนไปกันสองคน ตอนนั้นดึกแล้วไม่มีใคร ก้อยก็เลยตกลงใจ ปรากฎว่าไปอาบแล้วติดใจคะ แช่น้ำอุ่นสบายมากกกกก ชอบสุดๆ จนได้ไปอาบในห้องใจกล้าหลายครั้งอยู่ ครั้งหลังๆ ก็ไป แบบเริ่มจะทำใจได้มากขึ้น ไปตอนที่มีคนด้วยน้า ก็เลยทำให้ได้รู้จักเพื่อนมากขึ้นด้วย อาบน้ำกันไป คุยกันไป ผู้หญิงเหมือนกัน อะไรๆ ก็คล้ายๆ กันทั้งน้านนนน อิอิอิ

เรียนไปที่ JIAM ก็มีกิจกรรมให้ทำมากมาย ทั้งออกไปสัมภาษณ์นักศึกษาที่มหาวิทยาลัยเกียวโต ทั้งแสดงละคร ห้องก้อยได้รางวัลจากการแสดงละครด้วยนะคะ เป็นรางวัลสาขา “ขำสุดๆ” 5555 ขอบอกว่าก้อยเป็นผู้กำกับละครด้วยนะค่า กำกับไปแบบมั่วๆ สไตล์ภาษาญี่ปุ่นห้องรองบ๊วย เพื่อนๆ ห้องก้อยแทบจะพูดภาษาอังกฤษไม่ได้เลย ส่วนใหญ่เป็นคนจีนกับมองโกเลีย ก็มีแต่สาวรัสเซียนี่แหละคะที่คุยกันรู้เรื่องหน่อย เอิ๊กๆๆ








เล่ามาซะตั้งนาน ยังไม่เห็นวี่แววเจอเนื้อคู่เลยใช่ไม๊คะ ช่วงนั้นก้อยก็มีหนุ่มๆ มาแอบส่งตาหวานอยู่น้า มีทั้งหนุ่มแม๊กซิโกกับหนุ่มจีน แต่เรื่องราวจะเป็นไงต่อไปต้องติดตามคะ สนุกแน่ๆ

ขอบคุณที่แวะมาอ่านนะคะ รักทุกคนเลยยยยยยย



Create Date : 24 ธันวาคม 2553
Last Update : 4 มกราคม 2554 3:08:12 น.
Counter : 914 Pageviews.

8 comment
เมื่อชิวิตเด็กเกเรผลิกผัน
สวัสดีคะ วันนี้มีเรื่องอยากจะเขียนบันทึกเก็บไว้ เป็นเรื่องราวของก้อยตอนสมัยเด็ก เรียนอยู่ชั้นมัธยมคะก้อยเป็นเด็กเกเรมาก เรียนอยู่ที่ยะลา โดดเรียนสม่ำเสมอ ไปโรงเรียนสายต้องกระโดเข้าทางกำแพงโรงเรียน เข้าทางประตูไม่ได้เพราะเวลาเข้าสายต้องมีการลงชื่อไว้ที่ยาม แต่ก้อยไปโรงเรียนสายจนเกินโควต้าแล้ว ก็เลยต้องปีนรั้วกับเพื่อนร่วมแกงค์

ชีวิตตอนนั้นก็แทบจะไม่ได้ตั้งใจเรียนหนังสือกับเค้าเลย เวลาสอบก็ลอกเพื่อนคะ จนถึงชั้น ม.6 คราวนี้ต้องใช้ความสามารถของตัวเองที่อยู่น้อยนิด เพื่อสอบเอนทรานส์เข้ามหาวิทยาลัย จะทำไงดีหนอให้สอบเข้าได้ เฮ้อ.....

ตอนเลือกลำดับสาขาและมหาลัยที่ต้องการพ่อก็ช่วยเลือกให้คะ ช่วงนั้นก้อยก็อ่านหนังสืออยู่บ้าง ถึงแม้ว่าจะไม่ค่อยได้ตั้งใจเรียน แต่ว่าจริงๆ แล้วเมื่อตอนเด็กๆ เรียนชั้นประถม และมัธยมต้นก้อยก็เป็นเด็กเรียนดีอยู่ ตอนเด็กๆ ก็เคยได้เหรียญทองอยู่เหมือนกันน้าเพราะสอบได้ที่หนึ่ง



รูปถ่ายตอนได้รับเหรียญทองเพราะสอบได้ที่หนึ่งของห้อง ตอนอยู่โรงเรียนรังสีอนุสรณ์ จ.ยะลา


และแล้วก็ถึงวันสอบเอ็นฯ เข้าห้องสอบไปก็รู้สึกว่าวิชาที่ทำได้พอสมควรคือวิชาภาษาอังกฤษ ส่วนวิชาอื่นๆ ก็ได้บ้างเดาบ้าง พอมีลุ้นว่าจะเอ็นติดกะคนอื่นเค้า

วันประกาศผลเอ็นฯ มาถึง ปรากฎว่า......

สอบติดคะ สาาาาาาธุ...... คุณพระคุณเจ้าคุ้มครองแท้ๆ สอบติดสาขาที่เลือกไว้เป็นอันดับสอง นั่นคือ ที่คณะสาธารณสุขศาสตร์ ม.มหิดลคะ

พอเข้าเรียนที่มหิดลก็เริ่มพยามยามตั้งใจเรียน แต่ด้วยความที่ไม่เคยอ่านหนังสือสอบสมัยมัธยมก็เลยทำให้ก้อยอ่านหนังสือสอบไม่เป็น ไม่รู้จะเรียนอ่านตรงไหน!!!!

เทอมแรกเลยสอบผ่านมาได้แบบเฉียดตก ได้เกรดเฉลี่ยแค่ 2.47
จ๊ากกก...ทำไงดีละคราวนี้ ถ้าไม่เอาจริง สงสัยต้องโดนไล่ออกแน่ๆ พอเรียนเทอมต่อไปก็เริ่มฮึดสู้คะ

ปี 1 เทอมสองเริ่มดีขึ้นได้เกรด 3.05 (เป็นไปได้ไงเนี่ย )
ปี 2 เทอมหนึ่งดีขึ้นอีกเป็น 3.58
ปี 2 เทอมสอง 3.34
ปี 3 เทอมหนึ่ง 4.00 จ๊ากกกกก ดีใจสุดๆ เลย
ปี 3 เทอมสอง 3.95
ปี 4 เทอมหนึ่ง 3.92
ปี 4 เทอมสอง 3.79

จนจบมาด้วยเกรดรวม 3.54 เกียรตนิยมอันดับ 1 หาาาาาา......เราเนี่ยอะนะ ทำได้ด้วยเหรอ คนที่ปลื้มและภูมิใจที่สุดก็เป็นพ่อกับแม่คะ ก้อยก็ดีใจมากที่ทำให้พ่อแม่มีความสุข เพราะตอนสมัยเรียนมัธยม พ่อกับแม่ต้องปวดหัวกับก้อยอยู่เสมอ



ตอนรับปริญญาที่มหิดล


พอเรียบจบมหิดลคราวนี้ก็หางานทำคะ พอดีช่วงก่อนจบอาจารย์แจ้งข่าวว่า กทม. เปิดรับสมัครข้าราชการ แบบวิธีพิเศษ คือสอบสัมภาษณ์อย่างด้วย แต่ต้องเป็นเฉพาะคนที่เรียนจบมาด้วยเกียรตนิยม ก้อยก็สมัครไปงั้นๆ แหละคะ เพราะว่าจริงๆ ไม่อยากเป็นข้าราชการ ช่วงนั้นที่รอสอบสัมภาษณ์ก็ทำงานอื่นอยู่แล้วที่โรงพยาบาลรามาธิบดี ก็ไม่อยากจะไปสอบ แต่อาจารย์บอกว่าลองไปดู เพราะว่ายังไงก็ไม่เสียหาย แถมเป็นโอกาศที่เค้าเปิดสอบพิเศษเรามีสิทธินั้นก็อย่าปล่อยไป

ก้อยก็เลยไปสอบกับเค้าด้วย พอดีว่าตำแหน่งที่เค้าต้องการช่วงนั้นเป็นตำแหน่งที่ต้องทำเพื่อสร้างจิตสำนึกให้ประชาชนในเรื่องการจัดการสิ่งแวดล้อม คนสัมภาษณ์เค้าก็ถามคำถามในแนวนี้ ก้อยก็เรียนมาพอดี เพราะจบในสาขาเอกอนามัยชุมชน ก็ตอบคำถามไปตามที่เรียนมา ผลปรากฎว่า.......

.......สอบได้ที่ 1 คะ.......

ได้ไงอีกแล้วเนี่ย ชะตาชีวิต และแล้วก็ต้องไปเป็นข้าราชการคะ ทั้งที่ไม่อยากเล้ย แต่ก็ทำไปได้ตั้ง 10 ปี อิอิ 10 ปี ผ่านไปไวเหลือเกินคะ

พอทำงานไปได้ประมาณ 2 ปีก็ลาไปเรียนต่อปริญญาโทคะ ก้อยได้รับทุนให้เรียนต่อที่สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย (Asian Institute of Technology: AIT) ในสาขาการจัดการสิ่งแวดล้อมเมือง



ตอนรับปริญญาที่ AIT


เรียนจบโทแล้วก็กลับมาทำงานแล้วในปีที่ 9 ของการทำงาน ก้อยก็ได้รับคัดเลือกให้เป็นข้าราชการดีเ่ด่นของกทม.ด้วยคะ เป็นปลื้มอีกแล้ว



รับรางวัลข้าราชการดีเด่นจากคุณอภิรักษ์ โกษะโยธิน ผู้ว่ากทม.สมัยนั้นคะ


แต่หลังจากทำงานได้ 10 ปี ก้อยก็ลาออกคะ เพราะแต่งงานและตอนนี้ย้ายมาอยู่ที่ชิลีได้ปีครึ่งแล้วคะ

นึกย้อนหลังเรื่องราวของตัวเองแล้วก็สนุกดีคะ ก้อยยังมีเรื่องอื่นๆ มาเล่าให้ฟังอีกเยอะคะ ทั้งเรื่องการประสบการณ์เิดินทาง ความรัก ธรรมะข้อคิดต่างๆ

มีความสุขกันถ้วนหน้านะคะทุกคน ไว้แวะมาอ่านกันอีกนะคะ



Create Date : 09 ธันวาคม 2553
Last Update : 9 ธันวาคม 2553 22:45:38 น.
Counter : 2659 Pageviews.

11 comment
เริ่มต้น--ทักทาย
สวัสดีคะ วันนี้เปิดบล๊อกใหม่เพื่อจะเขียนถึงเรื่องราวที่น่าประทับและควรค่าแก่การจดจำในวันเวลาที่ผ่านมาในชีวิตคะ เพราะรู้สึกว่าเราทำอะไรมาก็หลายอย่างอยู่ บางอย่างเป็นประโยชน์ น่าสนใจ น่าเกาะติด ตื่นเต้นอีกต่างหาก ก็เลยอยากจะเขียนเพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์ร่วมไปกับทุกคนคะ

ยินดีที่ได้รู้จักทุกคนนะคะ



Create Date : 02 ธันวาคม 2553
Last Update : 2 ธันวาคม 2553 21:44:53 น.
Counter : 610 Pageviews.

6 comment
1  2  3  

Adorable Corazon
Location :
Santiago  Chile

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 12 คน [?]



สวัสดีคะ ชื่อก้อยนะคะ เกิดปี พ.ศ.2520 คะ จะเรียกพี่เรียกน้องหรือป้าก็ได้นะคะ เพื่อความสนิทสนม อิอิ

ตอนนี้อยู่ที่ชิลีคะ เป็นประเทศที่ไกลจากเมืองไทยที่สุดก็ว่าได้ แต่ด้วยความรักที่คุณสามีมีให้เลยทำให้ตัดสินใจย้ายมาอยู่ซะไกลขนาดนี้

ยินดีที่รู้จักทุกคนในบล๊อกแกงค์นะคะ เวปนี้มีประโยชน์มากจริงๆ ก้อยได้เรียนรู้หลายอย่างจากเพื่อนๆ ในนี้ ทั้งการทำอาหาร การเย็บผ้า รวมถึงเรื่องน่าสนใจอื่นๆ อีกมากมาย รักบล๊อกแกงค์และทุกคนในนี้มากคะ

ขอบคุณจริงๆสำหรับมิตรภาพที่ทำให้อุ่นใจแม้จะอยู่ห่างกันไกลแสนไกล ^_^