ติดตาม twitter ได้ที่ @karnoi กด
ติดตามข้อมูลเว็บทาง FaceBook กด

กุยช่ายผัดตับหมู

 เมนูที่ทำได้ง่ายอีกหนึ่งเมนู ทำง่ายและยังได้สารอาหารจากตับหมูอีกด้วย ใครที่อยากได้หรือขาดธาตุเหล็ก น่าจะชอบเมนูนี้ครับ ความอร่อยจากดอกกุยช่ายที่ผัดเข้ากับตับหม

­ูปรุงรสจนเข้มข้นอร่อย ทานกับข้าวร้อนๆ รับรองความอร่อยครับ


วัตถุดิบ

สำหรับ 2-3 ที่

1. ดอกกุยช่าย 300 ก.
2. ตับหมู 250 ก.
3. กระเทียมสับละเอียด 1 ชต.
4. น้ำตาลทราย 1ชช.
5. น้ำปลา 1/2 ชต.
6. น้ำมันหอย 2 ชต.
7. น้ำมันพืช 3 ชต.





วิธีทำ

1. หั่นกุยช่ายเป็นท่อนขนาด 2 นิ้ว จากนั้นหั่นตับหมูให้บางเป็นชิ้นพอดีคำ
2. ผัดกระเทียมกับน้ำมันพืชให้พอหอม นำตับลงผัดให้สุกซัก 50%
3. ปรุงรสด้วยน้ำปลา น้ำตาลทราย น้ำมันหอย ผัดให้เข้ากัน
4. เติมดอกกุยช่ายลงไป ผัดให้เข้ากันจากนั้นเติมน้ำเปล่าลงไปอีก 3 ชต. ผัดจนทุกอย่างเข้ากันดี เป็นอันเสร็จ







 

Create Date : 02 พฤศจิกายน 2558   
Last Update : 2 พฤศจิกายน 2558 8:56:13 น.   
Counter : 1371 Pageviews.  

หลนปูเค็ม Salted Crab in Dipping Sauce





หลนปูเค็ม Salted Crab in Dipping Sauce หลนเป็นอาหารไทยพื้นบ้านที่เรารู้จักกันดี เป็นเครื่องจิ้มของทางภาคกลาง นิยมรับประทานกับผักสด ผักพื้นบ้าน หากเป็นผักที่มีรสเปรี้ยวอมฝาด เช่นยอดมะกอก จะช่วยชูรสให้หลนอร่อยยิ่งขึ้น และเป็นอาหารที่ทำให้เราได้ทานผักมากขึ้นด้วย

วัตถุดิบ

สำหรับ 1-2 ที่
เวลา 10 นาที

1. ปูเค็ม 4-5 ตัว
2. หมูบด 1 ขีด
3. หัวกะทิ 250 กรัม
4. หัวหอมแดง 6-7 หัว
5. พริกชี้ฟ้า แดง เขียว ส้ม อย่างละ 1 เม็ด
6. รากผักชีโขลกละเอียด 1 ช้อนโต๊ะ
7. ตะไคร้ซอย 2 ช้อนโต๊ะ
8. น้ำขามเปียก 1-2 ช้อนโต๊ะ
9. น้ำตาลมะพร้าว 1 ช้อนโต๊ะ
10. เกลือ 1 ช้อนชา
11. พริกขี้หนูบุบ 5-6 เม็ด
12. ใบผักชี สำหรับตกแต่ง


วิธีทำ

1. ล้างปูให้สะอาด แกะตะปิ้ง เด็ดเล็บ แกะกระดองเอาสิ่งสกปรกออก ลวกน้ำร้อน 1 นาที
2. นำหัวกะทิตั้งไฟปานกลาง รอเดือด ใส่หมูบดและรากผักชี คนให้กระจายตัวเข้ากับกะทิ ใส่ปูเค็มที่เตรียมไว้ รอเดือด
3. ใส่หัวหอมแดงซอย พริกชี้ฟ้าหั่นเฉลบ และตะไคร้ซอย ลงไปในหม้อ รอเดือด
4. ปรุงรสด้วยน้ำตาลมะพร้าว น้ำมะขามเปียก และเกลือป่น ชิมรสชาติตามชอบ รอให้เดือด ตักขึ้นใส่ถ้วยตกแต่งด้วยใบผักชี และพริกขี้หนู รับประทานกับผักสด เช่น ขมิ้นขาว ถั่วพู ถั่วฝักยาว แตงกวา มะเขือ ใบบัวบก ผักกาดขาว

เมนูอาหารอื่น ๆ https://www.facebook.com/groups/jarnprod/




 

Create Date : 31 ตุลาคม 2558   
Last Update : 31 ตุลาคม 2558 9:37:21 น.   
Counter : 1403 Pageviews.  

สูตรวิธีทำหมูสะเต๊ะ รสเด็ด (Pork Satay)

สูตรอาหารไทย หมูสะเต๊ะ (Pork Satay) เป็นเมนูอาหารภาคใต้ ที่ได้รับความนิยมไปทั่วทุกภาค ด้วยเป็นอาหารที่ทานง่าย มีความหอมอร่อยเป็นเอกลักษณ์เฉพาะด้วยเครื่องเทศมากมาย ทว่าถ้าจะให้หมูสะเต๊ะอร่อยครบสูตร นอกจากการหมักเนื้อให้หอมนุ่มอร่อยแล้ว ก็ต้องทานเคียงกับอาจาดแก้เลี่ยน พร้อมกับน้ำจิ้มหมูสะเต๊ะเข้มข้นรสเด็ดก็ช่วยเพิ่มอรรถรสความอร่อยกลมกลมของหมูสะเต๊ะได้อย่างลงตัวสุดๆ สำหรับใครที่ชอบทานหมูสะเต๊ะห้ามพลาด วันนี้เราได้นำสูตรวิธีทำหมูสะเต๊ะเด็ดๆ มาฝาก เหมาะมากที่จะทำทานในวันหยุดหรืองานสังสรรค์หรือนึกหิวก็มาทำทานได้เลย (^_^)...อีกเมนูที่ทำไม่ยากครับ...แต่อาจจะต้องเตรียมวัตถุดิบเครื่องปรุงหลายอย่างอยู่บ้าง…ถ้ายังไงเราไปดูพร้อมกันเลย




สำหรับการทำหมูสะเต๊ะให้อร่อยเด็ดครบสูตร ในส่วนขั้นตอนการทำนั้น เราอาจต้องการความพิถีพิถันอยู่บ้าง ตั้งแต่การเลือกหมูอย่างไร การหมักหมู ซึ่งเป็นส่วนสำคัญมากเพราะส่งผลต่อรสชาติ และความแข็งนุ่มนิ่มของเนื้อหมู รวมถึงเทคนิคการหมักทิ้งข้ามคืนในอุณหภูมิที่ต้องจำกัดอยู่ในความเย็น รวมทั้งขั้นตอนการนำหมูเสียบไม้ จะต้องมีการเสียบหมูอย่างไรให้หมูที่ย่างออกมาดูน่ารับประทานมากยิ่งขึ้น ส่วนการย่างหมูก็มีส่วนสำคัญ ต้องย่างในไฟขนาดไหนถึงจะกำลังสุกน่าทาน ตลอดจนขั้นตอนการทำน้ำจิ้มหมูสะเต๊ะเด็ดๆ ที่เราก็ได้รวบรวมคำแนะนำเหล่านี้มาไว้ที่นี่แล้ว…

วิธีทำหมูสะเต๊ะ
เครื่องปรุงและส่วนผสมหมูสะเต๊ะ
  1. เนื้อหมูนำมาแล่เป็นชิ้น (ขนาดประมาณ ขนาด 2 x 6 ซม.) 500 กรัม 
  2. (แนะนำให้ใช้เป็นหมูสันนอกหรือเนื้อหมูส่วนสะโพก…หากเป็นเนื้อหมูรุ่นจะดีมาก เพราะเนื้อหมูจะนุ่ม)
  3. ลูกผักชีคั่วให้หอม 1 ½ ช้อนโต๊ะ (ใส่หรือไม่ใส่ก็ได้ครับ…ถ้าใส่จะหอมดี)
  4. ลูกยี่หร่าคั่วให้หอม ½ ช้อนโต๊ะ
  5. ข่าสับพอหยาบๆ 1 ช้อนชา
  6. ตะไคร้ซอย 1 ½ ช้อนโต๊ะ
  7. หัวกะทิ ½ ถ้วย
  8. ผงขมิ้น 1 ช้อนขา (ถ้ากลัวไม่เหลืองให้ใส่เพิ่มได้ แล้วแต่ชอบ)
  9. ผงกะหรี่ 1 ช้อนชา
  10. น้ำตาลทรายนวล 1 ½ ช้อนโต๊ะ
  11. พริกไทดำป่น 1/2 ช้อนชา (ถ้าไม่มีใช้พริกไทขาวแทนก็ได้)
  12. เกลือป่น 1 ช้อนชา
  13. ไม้เสียบหมูสะเต๊ะ
  14. ผงฟู ½ ช้อนชา หรือน้ำสัปปะรด 2 ช้อนโต๊ะ (ใส่หรือไม่ใส่ก็ได้…เพื่อให้เนื้อหมูนุ่มๆเด้งๆ)
เครื่องปรุงน้ำกระทิพรมหมูสะเต๊ะ
  1. หัวกะทิ 1 ถ้วย
  2. นมสด หรือนมสดตราคาร์เนชั่น/ตรานกเหยี่ยว 1 ถ้วย
วิธีทำ: นำหัวกระทิและนมสดมาผสมให้เข้ากัน ทำไว้สำหรับพรมสะเต๊ะขณะย่าง ที่ทำแปรงพรมด้วยใบเตยฉีก



วิธีทำหมูสะเต๊ะ
  1. โขลก ลูกผักชีคั่ว ลูกยี่หร่าคั่ว จนละเอียด จากนั้นใส่ข่า ตะไคร้ โขลกให้เข้ากันจนละเอียดดีแล้ว
  2. นำเครื่องที่โขลกใส่ลงไปในอ่างเนื้อหมู…(จากข้อ 1) จากนั้นก็ใส่น้ำตาล หัวกระทิ ผงขมิ้น ผงกะหรี่ พริกไทป่น ผงฟู เกลือป่น และน้ำตาลทราย คลุกเคล้าทุกอย่างให้เข้ากันดี ด้วยการคลุกเคล้าขยำๆเบาๆ ควรนวดนานๆ เพื่อให้เครื่องหมักซึมเข้าเนื้อหมูได้ดียิ่งขึ้น
  3. จากนั้นนำหมูไปใส่กล่องพลาติก นำไปแช่ในตู้เย็นช่องแข็ง แล้วหมักทิ้งไว้ 3-4 ชั่วโมง หรือจะหมักข้ามคืนก็ได้ยิ่งดี (การแช่ใว้ในความเย็นนานๆ…จะทำให้น้ำหมักหมูดูดซึมเข้าไปในเนื้อมาก…จะทำให้เนื้อหมูนุ่มดีค่ะ)
  4. เมื่อครบ 3 ชั่วโมงแล้ว นำมาเสียบไม้พักไว้ในตู้เย็น จนกระทั่งจะปิ้ง หรือ ถ้ายังไม่ทานให้ห่อให้สนิทแล้วนำเข้าแช่ในช่องแข็ง แล้วจึงนำออกมาพักในตู้เย็นช่องธรรมดาจนอ่อนตัวลง…แล้วจึงค่อยนำไปปิ้ง
  5. วิธีย่างหมูสะเต๊ะ คือ ก่อนที่จะอย่างหมูสะเต๊ะ ให้นำหมูที่เสียบไม้แล้วนำมาชุบในน้ำพรมหมูสะเต๊ะที่เตรียมไว้ แล้วจึงนำไปอย่างด้วยไฟปานกลาง (ห้ามใช้ไฟอ่อน หมูจะแข็งไม่อร่อย) แล้วขณะที่ย่างให้พรมน้ำกระทิ(ที่เตรียมไว้) ลงบนหมูสะเต๊ะขณะปิ้งเล็กน้อย และหมั่นพลิกหมูบ่อยๆ ให้สุกทั่วกัน ควรย่างให้พอสุกจะได้สะเต๊ะหมูเนื้อนุ่มละมุน (ถ้าย่างนานเกินไปเนื้อจะแห้งหยาบไม่อร่อย) และควรย่างกับเตาถ่านหรือเตาบาบีคิวจะได้กลิ่นหอมอร่อยมากยิ่งขึ้น
  6. จัดหมูสะเต๊ะใส่จานเสิร์ฟ พร้อมกับน้ำจิ้มหมูสะเต๊ะและอาจาด หรือจะทำขนมปังปิ้งร้อนๆ ด้วยก็ยิ่งอิ่มอร่อยมากขึ้น



แนะนำเพิ่มเติม
  • ควรใช้เวลาที่เครื่องหมักหมูอย่างต่ำต้อง 3-5 ชม. ถ้าหมักค้างคืนได้จะยิ่งดี
  • อีกเคล็ดลับของร้านหมูสะเต๊ะชื่อดังคือ การหมักหมูที่ต้องแช่ในถังน้ำแข็งที่ใช้เป็นนำแข็งป่นเท่านั้น ห้ามแช่ช่องฟรีซเด็ดขาด (ซึ่งน่าจะมีส่วนทำให้เนื้อหมูนุ่มยิ่งขึ้น และน้ำหมักดูดซึมเข้าไปในเนื้อหมูได้ดียิ่งขึ้น) …ยังไงถ้ามีโอกาสลองนำไปทำดูนะครับ
  • สูตรนี้นอกจากใช้ทำหมูสะเต๊ะแล้ว ยังสามารถประยุกต์ใช้ทำเนื้อสะเต๊ะ ไก่สะเต๊ะได้ด้วย
  • หมูสะเต๊ะเวลาเสียบไม้ ให้เสียบแบบงูเลื้อยจะดี เนื่องจากเวลาปิ้งออกมาจะดูน่าทาน
  • หมูต้องมีติดมันหน่อยก็จะดี เพราะไม่งั้นปิ้งออกมาจะดูไม่งาม
  • ก่อนที่จะนำไม้หมูสะเต๊ะมาใช้…ควรนำไปแช่น้ำอย่างน้อยซัก 30 นาที หรือแช่น้ำค้างคืนไว้ก่อนยิ่งดี เพื่อไม่ให้ไม้ไหม้หรือดำขณะย่าง และจะทำให้เสียบง่ายขึ้น

อาจาด (สูตรอร่อยเข้มข้นกำลังดี)
สำหรับน้ำจิ้มอาจาดรสอร่อยกำลังดีนั้น รสชาติจะออกเปรี้ยวๆ ตัดด้วยรสหวานและเค็มนิดๆ พร้อมด้วยกลิ่นหอมๆ จากหอมแดง และสีสันจากผักและพริกที่ใส่ลงไป น้ำจิ้มใสๆข้นนิดๆ น่ากินนักเชียว แถมวิธีทำก็ไม่ยาก…สามารถอร่อยได้ง่ายๆกับสูตรดังนี้



เครื่องปรุงและส่วนประกอบ
- น้ำส้มสายชู ½ ถ้วย
- น้ำตาลทราย ¼ ถ้วย (+ 2 ช้อนโต๊ะ) (เพิ่มหรือลดได้นิดหน่อยขึ้นอยู่กับน้ำส้มสายชูที่ใช้)
- น้ำสะอาด ⅓ ถ้วย + 2 ช้อนโต๊ะ
- เกลือป่น 1 ช้อนชา
- แตงกวาเลือกเอาลูกเล็ๆผ่าครึ่ง สไลด์บาง 100 กรัม
- ผักชีเด็ดเป็นใบ สำหรับโรยหน้าเล็กน้อย
- พริกชี้ฟ้าสีแดงหั่นแฉลบบางๆ 1 เม็ด
-พริกชี้ฟ้าสีแดงหั่นแฉลบบางๆ 1 เม็ด
- หอมแดงลอกเปลือก ซอยบางๆ 2 หัว

วิธีทำอาจาด
  1. ใส่น้ำ น้ำตาลทราย น้ำส้มสายชูลงในหม้อ แล้วตั้งไฟเคี่ยวให้น้ำตาลและเกลือละลาย
  2. จากนั้นชิมให้ได้สามรส เปรี้ยว เค็ม หวาน หรือเปรี้ยว หวาน เค็ม แล้วแต่ชอบ
  3. จากนั้นพักไว้ให้เย็นก่อน เวลาจะเสิร์ฟถึงค่อยใส่แตงกวา หอมแดง พริกชี้ฟ้า และผักชี ลงในถ้วย…แล้วตักน้ำที่เคี่ยวไว้ลงไปผสม แล้วน้ำอาจาดเสิร์ฟพร้อมกับสะเต๊ะ และน้ำจิ้มสะเต๊ะ
แนะนำเพิ่มเติม
  • ถ้าจะให้ดีควรจะแยกผักกับน้ำจิ้มอาจาดไว้นะ ถึงเวลาเสิร์ฟแล้วค่อยตักรวมกัน ป้องกันผักเฉาและรักษาความกรอบ จะได้แตงที่กรอบอร่อยกว่า

สูตรน้ำจิ้มหมูสะเต๊ะ 
สูตรอาหารไทย: ไม่ว่าจะเป็นเมนูหมูสะเต๊ะ ไก่สะเต๊ะ เนื้อสะเต๊ะ นอกจากเนื้อที่ต้องหมักให้อร่อยหอมไปด้วยเครื่องเทศแล้ว อาจาดก็ต้องรสชาติดี และสูตรนำจิ้มหมูสะเต๊ะก็ต้องอร่อยเข้มข้นถูกใจด้วย ถึงจะเป็นการกินหมูสะเต๊ะให้อร่อยครบสูตร สำหรับน้ำจิ้มหมูสะเต๊ะที่อร่อยจะต้องออก 3 รส หวาน เค็ม เปรี้ยว ตัดด้วยความมันของถั่วลิสง และเผ็ดเล็กน้อยในน้ำจิ้ม ที่จะได้รสชาติอร่อยทานคู่กับหมูสะเต๊ะได้อย่างลงตัว สำหรับวันนี้เราก็มีหลากหลายสูตรน้ำจิ้มหมูสะเต๊ะรสเด็ดๆมาฝาก ที่ทำได้ง่ายๆ ด้วยสูตรน้ำจิ้มหมูสะเต๊ะรสเด็ดเข้มข้นดังนี้



น้ำจิ้มหมูสะเต๊ะสูตรที่ 1
เครื่องปรุงและส่วนผสมน้ำจิ้มหมูสะเต๊ะ
  1. พริกแกงเผ็ด 3 ช้อนโต๊ะ (ซื้อที่ตลาดเลยก็ได้ หรือจะทำเองก็ได้ที่: วิธีทำพริกแกงเผ็ด)
  2. ถั่วลิสงคั่วป่น ½ ถ้วย (ถ้าจะให้ดีต้องคั่วถั่วลิสงเองแล้วบดให้ละเอียด เพราะจะได้ถั่วลิสดใหม่ ไม่เหม็นหืน)
  3. กะทิ 2 ถ้วย
  4. น้ำตาลปี๊บ 3 ช้อนโต๊ะ
  5. น้ำมะขามเปียก 3 ช้อนโต๊ะ
  6. เกลือป่น 1 ช้อนชา
  7. น้ำมันพืช 2 ช้อนโต๊ะ

น้ำจิ้มหมูสะเต๊ะ (เข้มข้น) สูตรที่ 2
เครื่องปรุงและส่วนผสมน้ำจิ้มหมูสะเต๊ะ
  1. กะทิ 300 มล.
  2. ถั่วลิสงคั่วป่นละเอียด 200 ก. (ใส่เพิ่มหรือลดได้ ปริมาณตามชอบ)
  3. พริกแกงเผ็ด 1 ช้อนโต๊ะ
  4. พริกแกงมัสมั่น 1 ช้อนโต๊ะ (สามารถซื้อพริกแกงทั้งสองได้ที่ตลาด…ถ้าไม่มีก็ใช้พริกแกงเผ็ดอย่างเดียว 2 ช้อนโต๊ะ ก็ได้)
  5. น้ำตาลปี๊บประมาณ 1/2 ถ้วย
  6. น้ำมะขามเปียกประมาณ 1/2 ถ้วย 
  7. เกลือ ½ ช้อนชา
  8. น้ำปลา
  9. น้ำมันพืช 2 ช้อนโต๊ะ
  10. ผงกระหรี่ 100-200 กรัม (ตามชอบจะลดหรือเพิ่มหรือไม่ใส่ก็ได้…คือถ้าใส่จะได้กลิ่นหอมเครื่องเทศ)
วิธีทำน้ำจิ้มหมูสะเต๊ะ
  1. นำน้ำมันพืชและพวกพริกแกงเอามาผัดรวมกัน โดยตั้งไฟอ่อนถึงปานกลาง 
  2. ค่อยๆ ใส่กะทิลงไปตามด้วยถั่วลิสงคั่วป่น แล้วคนให้เข้ากัน เคี่ยวด้วยไฟกลางรอจนเดือด (จนแตกมันลอยขึ้น)
  3. จากนั้นปรุงรสด้วย น้ำตาลปี๊บ น้ำมะขามเปียก และเกลือป่น (เครื่องปรุงแบบนี้ ให้ค่อยๆใส่นะคะ ใส่ไปชิมไปดีกว่าจ้ะ ถ้าใส่ไปทีเดียวแล้วจะอาจแก้ไม่ทัน เพราะอาจจะเปรี้ยวเกินไปหรือหวานเกินไป)
  4. น้ำจิ้มหมูสะเต๊ะที่อร่อย จะต้องหวานนำ เค็มตาม เผ็ดนิด ๆ และเปรี้ยวตามมาห่าง ๆ คอยคุมรสไว้ให้ เมื่อรสชาติเป็นที่พอใจแล้ว 
  5. จากนั้นเคี่ยวต่อไปจนน้ำจิ้มเริ่มดูออกข้นๆ แล้วจึงปิดไฟ
  6. ตักน้ำจิ้มหมูสะเต๊ะ ใส่ถ้วยพร้อมเสิร์ฟ

น้ำจิ้มหมูสะเต๊ะสูตรที่ 3
สำหรับสูตรนี้ สามารถเตรียมน้ำจิ้มหมูสะเต๊ะได้ปริมาณ 1 ลิตร และใช้เวลาในการทำประมาณ 20 นาที ถ้าต้องการเตรียมในปริมาณที่มากหรือน้อยกว่านี้ ก็สามารถทอนสัดส่วนเพิ่มหรือลดเครื่องปรุงได้
เครื่องปรุงและส่วนผสมน้ำจิ้มหมูสะเต๊ะ
  1. กะทิ 300 มล.
  2. ถั่วลิสงคั่วป่นละเอียด 200 กรัม
  3. พริกแกงมัสมั่น 20 กรัม
  4. พริกแกงพะแนง 20 กรัม
  5. น้ำตาลปี๊ป 80 กรัม
  6. น้ำมะขามเปียก 4 ช้อนโต๊ะ
  7. เกลือป่น ½ ชช.
(ขอขอบคุณสำหรับสูตรนี้จาก: foodtravel.tv)
วิธีทำน้ำจิ้มหมูสะเต๊ะ
  1. นำกะทิและน้ำพริกแกงมัสมั่น พริกแกงพะแนง ผัดรวมกันจนกะทิเดือดและแตกมัน
  2. ปรุงรสด้วยน้ำตาลปี๊ป น้ำมะขามเปียก เกลือป่น คนจนน้ำตาลปี๊ปละลายจนหมด และกะทิเริ่มข้นขึ้นค่อยเติมถั่วลิสงป่นลงไป คนเล็กน้อย เป็นอันเสร็จ พร้อมเสิร์ฟ
คำแนะนำเพิ่มเติม
  • ในการทำน้ำจิ้มหมูสะเต๊ะ นอกจากใช้พริกแกงเผ็ดแล้ว หากชอบให้น้ำจิ้มมีกลิ่นเครื่องเทศหอมๆ ละก็ ก็สามารถใช้พริกแกงมัสมั่นแทนได้ดีเช่นกัน


ขอบคุณภาพประกอบจาก : GreenMelon

เมนูอาหารอื่น ๆ https://www.facebook.com/groups/jarnprod/




 

Create Date : 31 ตุลาคม 2558   
Last Update : 31 ตุลาคม 2558 9:36:31 น.   
Counter : 1593 Pageviews.  

น้ำพริกปลาทูสูตรเด็ด อร่อยแซ่บเวอร์


น้ำพริกปลาทู (Fried mackerel with shrimp paste sauce) อาหารยอดฮิตของทุกภาคโดยเฉพาะที่ภาคกลาง ปลาทูเป็นเนื้อปลาที่อร่อยถูกปากอยู่แล้ว เมื่อนำปลาทูมาทอดหรือย่างจนหอมฉุย แกะเนื้อใส่ลงโขลกในน้ำพริก ก็จะได้น้ำพริกปลาทูที่แสนอร่อย เมื่อนึกถึงรสชาติเมื่อไร ก็อยากจะรับประทานขึ้นมาทันที มีครบทุกรส เผ็ด เปรี้ยว หวาน และเค็ม ไม่ว่าจะทานเล่นหรือนำมาคลุกกับข้าวสวยร้อนๆ หรือทานกับปลาทูทอดตัวโตๆ หรือไข่ต้ม ไข่เจียว หรือผักสดผักลวก หรือกับอาหารอื่นๆ ก็เจริญอาหารและอร่อยแซ่บเวอร์ยิ่งนัก ทานเมื่อใดก็อร่อยติดอกติดใจกันทั้งบ้าน


ส่วนผสมน้ำพริกปลาทู
  • เนื้อปลาทูตัวเล็กย่างหรือทอด (แกะเอาเฉพาะเนื้อเท่านั้น) 1 ตัว 
  • พริกขี้หนู 10 เม็ด 
  • กระเทียมไทย (กลีบเล็กหรือกลีบใหญ่ได้ทั้งนั้น) ลอกเปลือก 10 กลีบ 
  • หอมหัวแดง ลอกเปลือก 5- 6 หัว 
  • น้ำปลา 1- 2 ช้อนโต๊ะ 
  • (ถ้ามีน้ำปลาร้าด้วย ก็ให้ใส่น้ำปลาร้าข้น 2 ช้อนโต๊ะ + น้ำปลา 1 ช้อนโต๊ะ) 
  • น้ำมะนาว 2 ช้อนโต๊ะ 
  • น้ำตาลทราย ½ ช้อนชา 
  • น้ำต้มสุก 2- 4 ช้อนโต๊ะ 

เครื่องเคียง:
ทานกับผักสด : ยอดมะกอก, มะเขือเปราะ, แตงกวา, ถั่วพูฟักอ่อน, แตงกวา, ถั่วฝักยาว, ผักชีล้อม, ขมิ้นขาว, ยอดแค, มะเขือพวง ฯลฯ
(แต่ผักบางอย่างไม่ควรทานดิบ ๆ อาทิ กระหล่ำปลี ผักกาดขาว เราก็ต้องลวก นึ่ง หรือต้มให้สุกก่อนครับ)
ผักลวก : ข้าวโพดอ่อน, ยอดฝักแม้วลวก, มะเขืออ่อนลวก, ผักบุ้งลวก, ดอกแคลวก ฯลฯ

วิธีทำ
1. เตรียมส่วนผสมให้พร้อม ดังนี้
  • นำปลาทูมาทอด (ใช้น้ำมันน้อยๆก็พอ) ทิ้งไว้ให้เย็น แล้วแกะเอาเฉพาะส่วนเนื้อปลา 
  • พริกขี้หนูนำไปล้างน้ำแล้วหั่นเป็นชิ้นหนาพอประมาณ (เม็ดนึงหั่นให้ได้สัก 2 ชิ้น) 
  • นำกระเทียมมาตัดหัวท้าย แล้วลอกเปลืกแข็งทิ้งไป แล้วหั่นเป็นชิ้นหนานิดนึง (กลีบนึงหั่นให้ได้สัก 2 ชิ้น อย่าหั่นบางมาก เวลาเอาไปคั่วจะไหม้ง่าย) 
  • หอมหัวแดง เลือกหัวที่ไม่เน่า ไม่ฝ่อ ไม่มีราขึ้น แล้วลอกเปลือก นำไปล้างน้ำสักครั้ง แล้วหั่นเป็นชิ้นหนานิดนึง 
  • ถ้าใส่น้ำปลาร้าด้วย ก็ให้ตักเอาเฉพาะน้ำปลาร้าข้นประมาณ 2 ช้อนโต๊ะ.... แล้วผสมกับน้ำต้มสุกอีก 2 ช้อนโต๊ะ นำไปต้มให้เดือด แล้วยกลงพักไว้ให้เย็น 
2. นำพริกขี้หนู กระเทียม และหอมหัวแดงที่เตรียมไว้ ลงไปคั่วในกระทะด้วยไฟอ่อนๆ จนสุกหอม
3. แล้วนำทั้งหมดไปเทใส่ครก (คือพริก กระเทียม หอม และตามด้วยเนื้อปลาทูที่เราแกะเอาไว้) โขลกให้เข้ากันให้แหลกละเอียดตามต้องการ (จะโขลกเอาหยาบๆหน่อยหรือแหลกละเอียด ก็ตามชอบเลยครับ)
4. ปรุงรสด้วยน้ำปลา (น้ำปลาร้าต้มสุก) น้ำมะนาว และน้ำตาลทราย
5. แล้วปรับความข้นตามชอบด้วยน้ำต้มสุก แล้วคนให้เข้ากันดี…ชิมรส (ตามชอบ)
6. เสร็จแล้วตักใส่ถ้วย กินกับผักต้ม และผักดิบได้




แนะนำเพิ่มเติม
  • ถ้าเป็นน้ำพริกปลาทูแบบดั้งเดิมนั้น เขาจะนำเครื่องทุกอย่างทั้งปลาทู พริกขี้หนู หอมแดง และกระเทียม มาย่างบนเตาถ่านจนกระทั่งสุก เพื่อให้ได้กลิ่นหอมอร่อย แต่ครัวสมัยใหม่นิยมใช้เป็นเตาแก็สเพราะสะดวกกว่า ดังนั้นเราอาจจะเปลี่ยนมาคั่วพริกขี้หนู หอมแดง และกระเทียม ในกระทะด้วยไฟอ่อนๆก็ได้ครับ ส่วนปลาทูก็ทอดให้สุกด้วยน้ำมันน้อยๆ ก็จะช่วยให้ประหยัดเวลาและประหยัดถ่านไปได้เยอะ…(แต่แบบคั่วจะหอมน้อยกว่าแบบเผานิดนึงนะครับ) และนิยมใส่เป็นน้ำปลาร้าลงไปด้วย น้ำพริกปลาทูที่ได้จะหอมมากๆ และอร่อยมากๆด้วย 
  • น้ำพริกปลาทู หรือน้ำพริกไทยๆ ทุกชนิด ควรเลือกใช้กระเทียมไทยในการทำ เพราะจะมีกลิ่นหอมอร่อยกว่ากระเทียมชนิดอื่น ส่วนกระเทียมจะกลีบเล็กหรือใหญ่ใช้ได้ทั้งนั้นครับ
  • ถ้ารับประทานน้ำพริกไม่หมดให้อุ่นบนเตาให้ใช้ไฟอ่อนๆ จะสามารถเก็บไว้รับประทานต่อได้อีกหลายวัน
  • อย่าทำให้รสจัดมากเกินไป เช่น เค็มจัด เปรี้ยวจัดหรือเผ็ดจัดเกินไป เพราะว่าไม่เป็นผลดีต่อระบบลำไส้หรือกระเพาะอาหาร นอกจากนี้ รสเค็มจัดก็จะมีผลต่อการเพิ่มความดันโลหิต ดังนั้นคนที่เป็นโรคความดันโลหิตสูง ก็ควรที่จะระวังในเรื่องนี้ด้วย


เมนูอาหารอื่น ๆ https://www.facebook.com/groups/jarnprod/




 

Create Date : 31 ตุลาคม 2558   
Last Update : 31 ตุลาคม 2558 9:35:44 น.   
Counter : 1535 Pageviews.  

3 สูตรหมูหวานเลิศรส ทานกับอะไรก็อร่อย

หมูหวาน (Moo Wan or Sweet Pork) อีกสูตรอาหารไทยที่ทำง่ายและอร่อย มีรสหวานกลมกล่อมตัดเค็มนิดๆ บวกกับความนุ่มอร่อยของเนื้อหมู ไม่ว่าเราจะทานกับข้าวสวย หรือข้าวต้มร้อนๆก็อร่อยจนไม่อยากวางมือเลย รับประทานแล้วก็อยากรับประทานอีก นอกจากนี้ หมูหวานสามารถรับประทานกับสาระพัดน้ำพริกก็อร่อยเข้ากันดี ทานกับแกงส้ม หรือกับสาระพัดอาหารได้แทบทั้งสิ้น ยิ่งถ้าเป็นเมนูข้าวคลุกกะปิยิ่งไม่ต้องพูดถึง ถ้าทำข้าวคลุกกะปิแล้วไม่มีหมูหวานนี่คงหาความอร่อยครบรสได้ยาก


สำหรับหมูหวานแต่ละสูตรก็มีวิธีทำแตกต่างกันไป แล้วแต่ใครเห็นว่าสูตรไหนอร่อย สำหรับหมูหวานทั้ง 3 สูตรที่นำมาฝากนี้ เป็นสูตรหมูหวานที่รับรองว่าอร่อยนุ่ม แต่มีขั้นตอนวิธีทำที่แตกต่างกัน จึงอยากนำมาฝากเผื่อใครที่กำลังสนใจหาสูตรหมูหวานอร่อยๆทำทานเองที่บ้าน ก็ตามไปดูกันเลยครับ


หมูหวานสูตรที่ 1

หมูหวานสูตรนี้ เป็นการนำกระเทียมมาผัดพอหอม ตามด้วยหมูสามชั้นผัดพอสุก นำมาปรุงรสนู่นนี่นั่น แล้วก็เคี่ยวไปเรื่อยๆจนเนื้อนุ่ม จากนั้นถึงนำมาผัดกับน้ำตาลปี๊บจนเครื่องปรุงเข้าเนื้อ มีรสหวานกลมกล่อมตัดเค็มนิดๆ นุ่มอร่อย แต่ถ้าใครที่ ไม่ชอบทานเนื้อติดมันก็สามารถใช้เนื้อส่วนสันคอหมูแทนก็ได้ ให้ความอร่อยนุ่มเช่นกัน (ใครกลัวอ้วนยิ้มออกแล้วละซิ^_^)

ส่วนผสมหมูหวาน (สำหรับ 4 ที่)
หมูสามชั้น 400 กรัม
หอมแดงปอกเปลือก 12 หัว
น้ำมันถั่วเหลือง 4 ช้อนโต๊ะ
ซอสถั่วเหลือง 2 ช้อนโต๊ะ
ซีอิ๊วขาว 2 ช้อนโต๊ะ
น้ำตาลปี๊ป 200 กรัม
ซีอิ๊วดำ 2 ช้อนโต๊ะ
น้ำเปล่า 1 ถ้วย

วิธีทำ
1. เตรียมวัตถุดิบต่างๆไว้ให้พร้อม ดังนี้
  • ล้างเนื้อหมู และหั่นหมูสามชั้นตามขวางเป็นชิ้นเล็กประมาณหนา 1 เซนติเมตร ยาว 1 นิ้ว 
  • ปอกหอมแดง นำไปล้างให้สะอาดและซอยเป็นแว่นบางๆ 
2. ตั้งกระทะใช้ไฟปานกลาง เติมน้ำมันพืชสักเล็กน้อยลงไป ใส่หอมแดงลงไปเจียวให้หอม
3. แล้วจึงใส่หมูสามชั้นตามลงไปผัดให้เข้ากันเกือบสุก
4. ปรุงรสด้วยซีอิ๊วขาว ซอสถั่วเหลือง ถ้าอยากให้หมูหวานมีสีเข้มขึ้นให้ใส่ซีอิ๊วดำลงไป ผัดทั้งหมดให้เข้ากัน
5. เติมน้ำเปล่าลงไป ผัดให้เข้ากัน ปิดฝาเคี่ยวประมาณ 10 นาที…ให้น้ำซอสงวด (คือเมื่อน้ำเริ่มแห้ง)
6. จึงค่อยเติมน้ำตาลปี๊ปลงไป ผัดให้เข้ากัน จนกระทั่งน้ำตาลปี๊ปละลายหมด ปิดไฟ
7. ตักหมูหวานใส่จาน…พร้อมเสิร์ฟ…จะทานกับข้าวสวย หรือข้าวต้มร้อนๆ ก็อร่อยทั้งนั้น

## หมูหวานควรใส่น้ำตาลปี๊บในขั้นตอนสุดท้าย เพื่อไม่ทำให้หมูสามชั้นรัดตัวแข็งกระด้างเวลาทาน ##


ขอขอบคุณรูปภาพและสูตรจาก:https://www.facebook.com/media/set/?set=a.182871331839223.36875.122876307838726&type=3)

หมูหวานสูตรที่ 2

ขั้นตอนวิธีทำหมูหวานสูตรนี้จะคล้ายกับสูตรที่ 1 แต่จะต่างกันที่ส่วนผสม รับรองสูตรนี้อร่อยไม่ผิดหวัง ยิ่งถ้านำไปทำเป็นเครื่องเคียงข้าวคลุกกะปิยิ่งอร่อยกลมกล่อมเข้ากันดีนัก เป็นสูตรจากเปิดตำราทำอาหารกับแม่อบเชย By Pakavadee Siriprasert ลองนำสูตรไปทำดูนะครับ…เป็นอีกสูตรที่อยากแนะนำ

ส่วนผสม (สำหรับ 6-7 ที่)
สันคอหมู 700 กรัม
น้ำตาลมะพร้าว 3/4 ถ้วย
หอมแดงซอย 3/4 ถ้วย
เกลือ 3 ช้อนชา
น้ำมันพืช 1 ช้อนโต๊ะ
รากผักชีกระเทียมพริกไทยตำละเอียด (1: 1: ¼) 1 ช้อนโต๊ะ

วิธีทำ
1. เตรียมวัตถุดิบต่างๆไว้ให้พร้อม ดังนี้
  • ล้างเนื้อหมู และหั่นหั่นสันคอหมูตามขวางเป็นชิ้นเล็กหนาประมาณ 1 เซนติเมตร ยาว 2 เซนติเมตร
  • ปอกหอมแดง นำไปล้างให้สะอาดและซอยเป็นแว่นบางๆ
2. ตั้งกระทะใช้ไฟปานกลาง เติมน้ำมันพืชสักเล็กน้อยลงไป ใส่หอมแดงลงไปเจียวให้หอมจนสุกใส
3. จากนั้นจึงใส่รากผักชีกระเทียมพริกไทยตำละเอียด และหมู…ลงไปผัดให้เข้ากัน
4. แล้วเติมน้ำเปล่าลงไปพอท่วมหมู…แล้วต้มหมูไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเปื่อยนุ่ม
5. ใส่น้ำตาลมะพร้าวเคี่ยวจนน้ำตาลละลาย ปรุงรสด้วยเกลือ เคื่ยวไฟกลางไปเรื่อยๆ…จนน้ำตาลเข้าเนื้อหมู
6. ตักหมูหวานใส่จาน…พร้อมเสิร์ฟ

## หมูหวานควรใส่น้ำตาลปี๊บในขั้นตอนสุดท้าย เพื่อไม่ทำให้หมูสามชั้นรัดตัวแข็งกระด้างเวลาทาน ##


ขอขอบคุณรูปภาพและสูตรจาก: //www.bloggang.com/viewdiary.php?id=pookhakae&month=04-2013&date=01&group=11&gblog=98

หมูหวานสูตรที่ 3

วิธีทำหมูหวานสูตรนี้แตกต่างจากสูตรที่ 1 และ 2 เริ่มจากต้องเคี่ยวน้ำตาลปี๊บให้ละลายและเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลแดงเข้ม…จากนั้นจึงใส่หมูที่เราหั่นเตรียมไว้ลงไปผัดให้เข้ากัน ใส่น้ำเปล่าลงไปพอท่วมหมู แล้วจึงปรุงรสนู่นนี่นั่น ลดไฟลงใช้ไฟอ่อนๆ ปิดฝา เคี่ยวไปเรื่อยๆและหมั่นคนเป็นระยะๆ ประมาณ 20-30 นาที…เคี่ยวไปจนกระทั่งหมูหวานเป็นประกาย เงาใสสวย สีเข้มสวยงาม...(บางคนอาจจะนึกสงสัย เคี่ยวน้ำตาลเป็นคาราเมลแล้วใส่หมูลงไปผัดอย่างนั้นหมูจะไม่แข็งกระด้างเหรอ คำตอบคือไม่แข็งกระด้าง…เพราะเราใช้หมูสามชั้นหรือเนื้อหมูติดมันครับ) หมูหวานที่ได้จากสูตรนี้จะอร่อยนุ่ม ไม่เปื่อยยุ่ย รสชาติก็เข้มข้นหวานกลมกล่อม เค็มตามมาห่างๆกำลังพอดี อีกทั้งกลิ่นหอมของน้ำตาลเคี่ยวทำให้หมูหวานจานนี้น่ารับประทานยิ่งนัก เป็นสูตรจากคุณปูขาเก เซมารู ว่าแล้วก็ไปดูวิธีการทำหมูหวานกันเลยครับ

ส่วนผสมหมูหวาน (สำหรับ 8 ที่)
หมูสามชั้น 850 กรัม
หอมแดงซอย ½ ถ้วยตวง
กระเทียมสับ 2 ช้อนโต๊ะ
น้ำตาลปี๊บ 300 กรัม
ซีอิ๊วขาว 4 ช้อนโต๊ะ
น้ำเปล่า 2 ถ้วยตวง
เกลือป่น เล็กน้อย
ซีอิ๊วดำ (ใส่หรือไม่ใส่ก็ได้) 2 ช้อนโต๊ะ
น้ำมันพืชสำหรับผัด 3 ช้อนโต๊ะ

วิธีทำหมูหวาน
1. เตรียมวัตถุดิบต่างๆไว้ให้พร้อม ดังนี้
  • ล้างเนื้อหมู และหั่นหมูสามชั้นตามขวางเป็นชิ้นเล็กประมาณหนา 1 เซนติเมตร ยาว 1 นิ้ว
  • ปอกหอมแดง นำไปล้างให้สะอาดและซอยเป็นแว่นบางๆ
  • กระเทียมนำไปล้างและสับหยาบ
2. ตั้งกระทะใช้ไฟปานกลางและใส่น้ำมันพืช ตามด้วยหอมแดงกับกระเทียมลงไปเจียวให้หอม ใส่น้ำตาลปี๊บลงไป เคี่ยวไปเรื่อยๆ…จนน้ำตาลปี๊บละลายและเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลแดงเข้มมีกลิ่นหอม (ระวังอย่าปล่อยให้ไหม้ เดี๋ยวจะขม)เคี่ยวน้ำตาลปี๊บให้ละลายและเคี่ยวต่ออีกสักนิดจนกระทั่งน้ำตาลปี๊บกลายเป็นสีน้ำตาลเข้ม
3. ตามด้วยใส่เนื้อหมูสามชั้นลงไปผัดให้เข้ากัน จึงค่อยเติมน้ำเปล่าลงไปใส่แค่พอท่วมหมูเท่านั้น ปรุงรสด้วยซีอิ๊วขาว และเกลือป่น(ชิมรสดูตามชอบ) ถ้าอยากให้สีของหมูหวานเข้มขึ้น ให้ใส่ซีอิ๊วดำลงไปด้วย
4. จากนั้นจึงลดไฟลง…ใช้ไฟอ่อนๆ ให้กระทะหมูหวานเดือดแค่ปุดๆ แล้วจึงเคี่ยวหมูไปเรื่อยๆและหมั่นคนหมูเป็นระยะๆ (เคี่ยวประมาณ 40-50 นาที) เพื่อให้หมูสุกทั่วถึงไม่ไหม้และน้ำตาลเข้าเนื้อหมู…เคี่ยวไปจนกระทั่งหมูหวานเป็นประกาย สีเข้ม เงาใสสวย และน้ำแห้งลงโดยน้ำที่เหลือจะมีลักษณะเป็นยางมะตูม…ก็เสร็จเรียบร้อย…ปิดไฟพักไว้…
5. ตักหมูหวานใส่จาน…พร้อมเสิร์ฟ…จะทานกับข้าวสวย หรือข้าวต้มร้อนๆ ก็อร่อยทั้งนั้น

แนะนำเพิ่มเติม
  • หมูสามชั้นเป็นเนื้อหมูที่นิยมนำมาทำหมูหวาน แต่ถ้าท่านที่ไม่ชอบทานหมูติดมัน…ใช้เป็นสันคอหมูหรือสะโพกหมูแทนก็ได้ ทำมาแล้วเนื้อหมูไม่แข็งกระด้างครับ เพียงแต่อาจให้ความนุ่มๆหนึบๆน้อยกว่าที่ใช้หมูสามชั้น


เมนูอาหารอื่น ๆ https://www.facebook.com/groups/jarnprod/




 

Create Date : 31 ตุลาคม 2558   
Last Update : 31 ตุลาคม 2558 9:35:15 น.   
Counter : 807 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  55  56  57  58  59  60  61  62  63  64  65  66  67  68  69  70  71  72  73  74  75  76  

thainewcar
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 45 คน [?]










ติดตามข้อมูลของเว็บทาง twitter ได้ที่ @karnoi กด
ติดตามข้อมูลเว็บทาง FaceBook กด







Online Users


[Add thainewcar's blog to your web]