ความรัก...
  หัวใจที่สั่นๆ ความรู้สึกแน่นตรงหน้าอก ความรู้สึกกระวนกระวาย กินไม่ได้ นอนไม่หลับ ความรู้สึกเหมือนมีผีเสื้อบินในท้องตลอดเวลา ความรู้สึกคิดถึงใครคนหนึ่งมากมายเหลือเกิน แม้ว่าฉันจะเจอเขาทุกวันที่ทำงาน แต่ฉันคิดถึงเขามากมายเหลือเกิน ฉันอยากจะเห็นเขาอยู่นสายตาตลอดเวลา ฉันอยากรู้ว่าเขาทำอะไร กินอะไร คิดถึงใคร คิดเหมือนกันบ้างไหม ห้องทำงานของเขาอยู่ฝั่งตรงข้าม คนละฝั่งของชั้นเดียวกัน ฉันมักจะเห็นเขาทุกๆครั้งที่ฉันลุกจากโต๊ะเดินไปเข้าห้องน้ำ ฉันเห็นเขามองมาที่ฉัน และคล้ายๆกับว่าเขารู้สึกเหมือนกัน แต่ก็ไม่รู้สิ เขาอาจจะรู้สึก หรือไม่รู้สึกอย่างเดียวกันก็ได้ ในหัวของฉันเต็มไปด้วยเสียง ถกเถียงกัน ใช่ หรือไม่ใช่ ฉันคงชอบเขาเข้าแล้วสินะ ใจฉันอยากให้เขารู้เหลือเกิน แต่ก็บอกไม่ได้ จึงมาเขียนเรื่องสั้นระบายให้ตัวเองฟัง... 

ถ้าเขาชอบฉัน มันเกือบจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุดในตอนนี้แล้ว หากเพียงแต่ฉันยังโสดทั้งกายและใจเช่นเดียวกับเขา ทว่าฉันโสดเพียงกายเท่านั้น หาใช่ความโสดทางนิตินัยไม่ อาจจะฟังดูแปลกๆ แต่เอาง่ายๆคือ ฉันแต่งงานแล้ว แต่แยกกันนอนคนละเตียง เอาให้ง่ายกว่านั้น ฉันกำลังจะหย่า แต่สามีฉันไม่ยอมหย่าทั้งๆที่เขานอกใจฉันมาเกือบสองปี ทำไมล่ะ ก็แค่ไปอำเภอและเซ็นใบหย่า แต่มันไม่ง่ายอย่างนั้นเพราะฉันอาศัยอยู่ ณ ประเทศสหรัฐอเมริกา การหย่าที่มีขั้นตอนแตกต่างจากเมืองไทย เมื่อมาคิดทบทวนสะระตะแล้ว ฉันขอเก็ยความทรมานจากความรักเอาไว้ในใจก็พอ ในเมื่อสถานะของฉันยังไม่พร้อม ฉันไม่อาจเห็นแก่ตัว แสดงออกถึงความรักหรือเอาใครเข้ามาพัวพัน ให้คนตราหน้าว่าเป็นผู้หญิงไม่ดี ในวันนี้และสถานะแบบนี้ ทำให้ฉันทรมานเหลือเกิน ใช่ ฉันจะต้องทำมันให้สำเร็จ ฉันจะต้องจบความสัมพันธ์นี้ให้ได้ก่อนที่จะเริ่มความสัมพันธ์อื่นๆ และฉันก็เผื่อใจไว้แล้วว่า หากใครคนนั้นที่ฉันคิดถึงเขาตลอกเวลา ไม่ได้คิดเช่นเดียวกัน ฉันจะเสียใจ และฉันจะเข้าใจ...



Create Date : 26 พฤศจิกายน 2558
Last Update : 26 พฤศจิกายน 2558 10:56:50 น.
Counter : 443 Pageviews.

0 comment
ความลับ
ยิ่งฉันใกล้เธอเท่าไหร่ ยิ่งอยากจะเผยใจ เมื่อสบสายตาก็ยิ่งหวั่นไหว
มันยากเหลือเกิน จะเก็บ ซ่อนความลับเอาไว้
แล้วความลับในใจของเธอ มีฉันอยู่บ้างไหม ....โปรดบอกความในใจให้ฉันรู้ได้ไหมเธอ


เพลง “ความลับ” ของวงพอร์ส ถูกร้องโดยมีกีต้าร์โปร่งนำทำนอง ผมยืนร้องเพลงจนขาแข็ง แต่ไม่มีทีท่าว่าเงินเหรียญจากผู้ใจบุญจะเพิ่มขึ้นสักเท่าไหร่กัน
ผมเป็นนักดนตรีข้างถนน หรือมักเรียกตัวเองอย่างภาคภูมิใจว่า วนิพก อาชีพข้างทางที่หลายคนคงไม่อยากทำเพราะต่ำต้อย แต่ก็ไม่ด้อยในศักดิ์ศรี เพราะผมหาเงินเรียนต่อปริญญาตรีด้วยอาชีพดนตรีเปิดหมวกนี่แหละ

ทุกๆวันผมออกเดินทางไปเล่นดนตรียังสถานที่ต่างๆ หน้าห้างสรรพสินค้าบ้าง สวนสาธารณะบ้าง วันนี้ผมเลือกมายืนร้องเพลงหน้าร้านข้าวหน้าเป็ดแถวศิริราช อันที่จริงก็ใช่ว่าผมจะยืนบังหน้าร้านแต่ประการใด ผมยืนด้านหน้าให้พอเยื้องๆ ถ้าเกิดผมไปยืนข้างหน้าเสียทีเดียวคงโดนอาแปะเจ้าของร้านออกมาด่าเช็ดไปแล้ว

ร้านข้าวหน้าเป็ดบ่ายวันเสาร์มีคนเต็มร้าน เป็นธรรมดาที่คนเดินชอปปิ้งย่านวังหลังต้องหิ้วท้องมาฝากที่ร้านนี้ ด้วยว่าเป็นร้านขึ้นชื่อย่านนี้ …คนเยอะย่อมมีคนใจบุญอารมณ์สุนทรีบ้างแหละน่า ผมจึงเริ่มปักหลักร้องเพลงหน้าร้านนี้ทุกบ่ายวันเสาร์ แต่นี่ก็ไม่ใช่เหตุผลเดียวที่ผมมายืนร้องเพลงที่นี่เป็นประจำ

ว่ากันว่า ความรักไม่มีพรมแดน หรือศาสนา เช่นเดียวกันกับความรักระหว่าง เธอ ลูกเจ้าของร้านข้าวหน้าเป็ดชื่อดังฝั่งเยาวราช กับวนิพกพเนจร อย่างผม ผมรู้ดีว่า ฟ้าสูงและแผ่นดินต่ำแค่ไหน แต่ความรักก็ไม่อาจห้ามได้ดังที่ว่า ความรักเหมือนคึกโคถึกพิโรธ เพลงนี้ อาจจะเก่าไปหน่อย สำหรับวินาทีนี้ ผมเลือกร้องเพลง ความลับ ของลงพอร์ช เพื่อบอกความรู้สึกที่ผมมีต่อเธอ ให้โลกรู้

...............................................................................


มอง มองเธอมาแสนนาน ฉันไม่กล้า ต้องคอยหลบตาเธอเสมอ
กลัว สักวันนึงถ้าเธอ รู้ว่าฉัน ปิดบังความจริงอะไรเอาไว้


เกือบปีมาแล้วที่ผมเรียนจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 หมายมั่นว่าจะเข้ามาได้ดีในกรุงเทพ แต่นั่นก็ไม่สำคัญเท่าผมจะดำรงชีวิตอย่างไรให้จบปริญญาตรีได้โดยไม่อดตายเสียก่อน ผมเดินทางมาพร้อมความหวังเต็มกระเป๋า ตั้งใจว่าจะเป็นนักร้องอาชีพ ร้องเพลงกลางคืนตามร้านอาหารหรือโรงแรมและเรียนวิชากฎหมายมหาวิทยาลัยเปิดไปพร้อมๆกัน
หนึ่ง สอง สาม.... ผมเดินทางไปเกือบสิบที่ ไม่มีร้านค้า ผับบาร์ที่ไหนรับผมเป็นนักร้องอาชีพ ผมอยู่ในกรุงเทพมาร่วมอาทิตย์กว่า อาศัยนอนหลับข้างทาง กินน้ำก๊อกไปวันๆ หัวใจที่สิ้นหวัง ทำให้ผมได้พบสัจธรรมประการสำคัญ การรอคอย คือศาสตร์ชั้นสูงของการมีชีวิตอยู่

อา ใช่แล้ว การรอคอย .... ด้วยความเหนื่อยล้าจากการตามล่าฝันมาครึ่งค่อนวัน ผมนั่งลงตรงริมฟุตบาทเฝ้ามองชีวิตต่างๆผ่านไปผ่านมา ตำรวจจราจร คนกวาดถนน พ่อค้าแผงลอย นักศึกษา พนักงานบริษัทใส่สูทผูกไทด์ ทุกชีวิตต่างเดินไปสู่จุดหมายเพื่อเสาะแสวงหาบางสิ่งบางอย่าง ไม่มีใครหยุดนิ่งนอกจากผม ผมนี่มันไร้ค่าเสียจริง
สายตาผมหันไปกระทบกับหมู่คนตาบอดเล่นดนตรีอยู่อีกฝั่งถนน
ดูสิ คนตาบอดช่างน่านับถือ แม้พิการยังดิ้นรนหางานทำได้ ไม่เหมือนผมที่ไม่ต่างอะไรจากคนมองไม่เห็นพูดไม่ได้ ในเมื่อ ว่างงานไร้จุดหมาย และไม่มีกินอยู่อย่างนี้ ผมนี่มันไร้ค่าจริงๆ
นั่งเพลินๆ ชั่วครู่หนึ่ง ผมเหลือบมามองเจ้ากีต้าร์คู่ใจ แล้วหันไปมองคนตาบอดอีกครั้ง อาใช่แล้ว อาชีพร้องเพลงข้างถนนคือสิ่งที่ผมเริ่มทำได้โดยไม่ต้องรอให้ใครมาจ้าง เพราะสำหรับการเป็นนักดนตรีในร้านอาหาร หรือแม้กระทั่งออกอัลบั้ม ผมคงต้องรอเวลานาน ไม่แน่ว่าอาจจะไม่ได้ทำในชาตินี้ด้วยซ้ำ แต่หากรอจนถึงวันนั้น มีหวังคงต้องอดตายในกี่วันนี้เป็นแน่
การเดินทางในฐานะวนิพกจึงเริ่มขึ้น ผมยืนร้องเพลงหลายต่อหลายที่ ได้เงินพอเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง จนกระทั่งวันหนึ่ง ผมมายืนร้องเพลงแถวๆท่าเรือศิริราชตอนบ่ายสองของวันเสาร์ที่คลาคล่ำไปด้วยผู้คน..... ผมยืนร้องเพลงอยู่สามชั่วโมงโดยไม่พักเลย ขาล้าจนไปต่อไม่ไหว มองดูกระเป๋าใส่กีต้าร์ที่วางรอรับเงินจากคนใจบุญดูท่าจะไม่ได้สักเท่าไหร่เลย ผมจึงหอบวิญญาณไร้กำลังใจในร่างกายอันอ่อนล้าไปนั่งตรงข้างๆร้านขายข้าวหน้าเป็ด

เหงื่อเม็ดเป้งไหลลงมาอาบใบหน้าราวกับว่าเพิ่งอาบน้ำเสร็จแล้วยังไม่ได้เช็ดตัว
สภาพของผมยามนี้ไม่ต่างจากลูกหมาตกน้ำ ไม่ใช่สิ ผิวคล้ำๆตัวใหญ่ๆอย่างผมคงเป็นลูกหมาไปไม่ได้ สภาพของผมคงคล้ายๆจับกังแบกข้าวสารเสียมากกว่า ผมบรรจงปาดเหงื่อดัวยกลัวว่าผมยาวๆประบ่าจะเสียทรง ไม่ว่าร้อนแค่ไหน ผมคงไม่มั่นใจ ถ้าไม่ได้ปล่อยผมร้องเพลง...

ช่วงเวลาพักเหนื่อยราวครึ่งชั่วโมง ผมนั่งมองคนเดินผ่านไปผ่านมาโดยไม่รู้ว่า มีใครคนหนึ่งแอบมองผมอยู่ไกลๆ
“นี่ เอา”
ใครคนหนึ่งเดินมาตรงหน้ายื่นแก้วน้ำหวานสีแดงให้ผม
“เห็นยืนร้องเพลงอยู่ตั้งนาน เพราะดีนะ”

เป็นประโยคแรกที่ได้พบ “เธอ” ผมไม่มีคำพูดใด ได้แต่รับน้ำจากมือที่หวังดีมาซดโฮกไม่ถึงนาทีหมดเกลี้ยง
“หึ...”
ผมได้ยินเสียงหัวเราะในลำคอ
อาการเหนื่อยหนักจากการยืนร้องเพลงอย่างยาวนานทำให้ผมรู้สึกหงุดหงิดนิดหย่อยที่มีคนหัวเราะท่าทางการกินน้ำที่ไม่มีฟอร์มของผม
“โกรธเหรอ”
“เปล่าครับ ผมแค่เหนื่อยมาก ก็เท่านั้น”
สีหน้าที่อ่อนล้าจนทำไม่ได้แม้แต่จะฝืนยิ้ม
“ร้องเพลงเพราะดีนะ ร้องมานานรึยัง”
“เพิ่งมาวันแรกครับ”
“ร้องเพลงวงพอร์สบางสิ รับรองได้หลายตังค์แน่ๆ.....”
คำแนะนำพร้อมรอยยิ้มก่อนจากไป “เธอ”อยู่ในร้านขายข้าวหน้าเป็ดข้างๆนี่เอง
เพลงของวงพอร์ส.....ผมไม่รอช้าเริ่มบรรเลงเพลง “ความลับ” ของวงพอร์สตามคำแนะนำของผู้หวังดี และก็ได้ผล คนให้เงินผมเยอะขึ้นจริงๆ คราวหน้าคงต้องขอบคุณผู้หวังดีเสียแล้ว......เอ....เธอเป็นใครนะใจดีจัง.....

.................................................................................
เก็บเอาคำพูดของเธอ มาคิดมาก แอบคิดไปเองอยู่อย่างนี้
และเธอ เธอช่างดีแสนดี คำว่ารัก จะต้องเก็บไว้อีกนานแค่ไหน
ความลับที่ฉันซ่อนไว้ ไม่เคยบอกใคร จนอดใจไม่ไหว.....


“ไม่เห็นมาร้องเพลงแถวนี้นานแล้วนะ”
ผมเพิ่งมารู้ทีหลังว่า คุณผู้หวังดีคือลูกคนเดียวของเจ้าของร้านข้าวหน้าเป็ดที่ผมมายืนร้องเพลงเปิดหมวกทุกวันเสาร์นี่เอง

“เธอ”ทักทายผมอีกครั้ง หลังจากที่ผมหายไปหลายอาทิตย์เพราะติดสอบกลางภาค ผมกลับมาร้องเพลงเปิดหมวกหน้าร้านข้าวหน้าเป็ดอีกครั้ง ทุกครั้งที่ผมกลับเธอมองผมและยิ้มอย่างอบอุ่น ช่วงแรกๆผมรู้สึก ประหลาดใจระคนสับสนในความรู้สึกที่มีต่อเธอ มันอาจไม่ใช่เรื่องถูกต้องนักที่เราจะรักกัน ผมปฏิเสธความรู้สึกลึกๆอยู่นาน จนกระทั่งวันหนึ่ง....ที่ผมมายืนร้องเพลงย่านนี้จนถึงหกโมงเย็น


หน้าหนาวปีนี้อากาศหนาวมากกว่าทุกปี ลมเย็นๆที่พัดอย่างไม่ขาดสายชวนให้หัวใจว่างเปล่าหนาวสั่นกว่ากันหลายเท่านัก วันนี้ผมเลิกงานวณิพกพเนจรช้ากว่าทุกวัน หกโมงสี่สิบห้า ฟ้าหลัวจนเกือบมืด ผมเดินเข้าซอยเล็กเป็นทางลัดไปยังป้ายรถเมล์
ซอยนี้เงียบมากเสียจนน่ากลัวว่าจะเกิดเหตุการณ์ไม่ดีอยู่บ่อยๆ และก็เป็นจริงดังคาด ...

เมื่อผมเดินไปถึงกลางซอยผมเห็น “เธอ”ผู้หวังดีกับผมเสมอยืนอยู่ท่ามกลางกลุ่มอันธพาล ดูท่าจะมีเรื่องกันเป็นแน่ ผมเดินเข้าไปอย่างไม่รอช้า

“มีอะไรกันน่ะ”
“พวกกูกำลังคุยธุระกันอยู่ มึงไม่เกี่ยวก็ถอยไป”

ประโยคสุดท้ายจากปากชายหัวหน้าแก็งค์ก่อนจะสั่งพรรคพวกรุมกระทืบผม ที่เข้าไปขวางทางข้อขัดแย้งระหว่าง เธอ กับพวกมัน
“มีอะไรค่อยๆพูดกันก็ได้ครับ” ผมอยากตอบแทนที่เธอดีกับผมบ้างจึงเข้าไปกันเธอออกมา
“มึงอย่าแส่หาเรื่อง”
คำเตือนสุดท้ายของชายหัวหน้าแก็งค์ ก่อนจะสั่งพรรคพวกรุมซ้อมผม....และ “เธอ”

“ให้รู้ซะบ้างว่าใครเป็นใคร”
ประโยคส่งท้ายของชายคนเดิม ที่จากไปพร้อมรอยเลือดอาบหน้าผม เธอเข้ามาซับรอยเลือด ทั้งๆที่เธอเองก็มีเลือดออกตรงมุมปากเช่นกัน

วันนั้นเองที่ทำให้ผมรู้ว่า ผมคิดกับเธออย่างไร.....

เมื่อใบหน้าเราสองคนใกล้กัน ความรู้สึกจึงลอยเลื่อนไปโดยไม่ต้องพูดอะไร
“เจ็บมากไหม....ขอบใจนะอุตส่าห์มาช่วย เป็นคนอื่นเค้าคงโกยแน่บไปแล้ว”

ผมไม่พูดอะไร ทว่ามองลึกลงไปในดวงตาเธอ จึงทำให้รู้ว่า เธอถามผมด้วยความเป็นห่วงอย่างจริงใจ ดวงตาเล็กๆของเธอส่องประกายสุกสว่างยิ่งกว่าหมู่ดาว ผมรู้ว่า ผมรักเธอเข้าแล้ว สองสายตารวมกันเป็นหัวใจเดียวกันโดยไม่มีคำพูดใดๆ.... เราทั้งสองต่างรู้แน่แก่ใจว่าเรารักกัน

จากวันนั้นถึงวันนี้เราทั้งคู่ต่างรู้ใจซึ่งกันและกัน แต่ยังคงเก็บเป็นความลับที่บอกใครไม่ได้ ผมกลัวว่า ถ้าถึงวันที่พ่อแม่เธอรู้ว่าเรารักกันท่านคงหัวใจวาย ลูกสุดที่รักเพียงคนเดียวมอบหัวใจให้ชายจนตรอกแปลกหน้าผู้คุ้นเคย .....

ดวงตาของเราสอดประสานกัน ผมค่อยๆยื่นหน้าเข้าไปใกล้เธอ แตะปลายจมูกลงบนเนื้อแก้มเบาๆ มือลูบไล้จากกกหูไปยังต้นคอ เธอไม่ปฏิเสธใดๆซ้ำยังเอามือทั้งสองข้างโอบไหล่ผม ท้องฟ้ามืดสนิทในซอยเล็กร้างผู้คนแห่งนี้ดูจะเป็นใจให้เราสองพลอดรักกันได้อีกนาน.....เธอและผมเป็นของกันและกันมีความสุขไปไกล ผมนึกแปลกใจในธรรมชาติของมนุษย์ จิตใต้สำนึกอันพิเศษนำพาให้เราพบหาทางแห่งความรักโดยไม่ต้องสอนได้อย่างไร...

โมงยามอันแสนสุขจบลงพร้อมหัวใจที่เอ่อล้นด้วยรัก ผมเดินไปส่งเธอสุดซอย จูบลาและมาหาเธอใหม่ในตอนเย็นวันถัดมา ช่วงหลังๆ ผมมายืนร้องเพลงที่หน้าร้านข้าวหน้าเป็ดทุกวัน แม้ได้เงินน้อยนิด แต่ผมก็ไม่ไปไหน เพราะหัวใจของผมอยู่ที่นี่ บ่อยครั้งที่ผมเลือกร้องเพลง “ความลับ” ของวงพอร์ส เพื่อสื่อถึง ความรักที่เป็นความลับของเรา....
และยังเป็นสัญญาณนัดหมายไปยังจุดนัดพบเพื่อพิธีกรรมอันแสนสุขระหว่างเราแทบทุกวัน....

และไม่ต่างจากวันอื่นๆ วันนี้เรานัดกันที่จุดเดิม ซอกลึกลับในซอยเล็กๆ ผมรอเธออยู่ราวครึ่งชั่วโมง เธอจึงเดินมาตามนัด อย่างไม่ต้องรั้งรอ เรารู้กันว่าดนตรีหัวใจเริ่มบรรเลง ณ จุดใดของร่างกาย บทรักที่นุ่มนวลและสวยงามระหว่างเราดำเนินไปอย่างเนิบๆเพื่อซึมซับความรู้สึกดีๆระหว่างกัน..... ราวเกือบชั่วโมงต่อมา สิ่งที่ไม่คาดคิดจึงเกิดขึ้น ใครคนหนึ่งเดินเข้ามาใกล้ แต่เสียงฝีเท้าที่เบามากทำให้เราทั้งคู่ไม่รู้สึกใดๆเลย

เสี้ยววินาทีหนึ่ง แสงไฟฉายสาดเข้าหาเราทั้งคู่อย่างรวดเร็ว

“อาเล้ง” เสียงชายแก่เรียกลูกชายสุดที่รักที่กำลังนัวเนียอยู่กับผม!!!

อาเฮียเจ้าของร้านพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ทว่าสั่นเครือด้วยความเสียใจสุดขีด
“อาเล้ง มึงทำอะไรน่ะ”
“ไป ไอ้ลูกชั่ว....กลับบ้าน”


ความลับระหว่างเราถูกเปิดเผยเสียแล้ว !!!

หลังจากคืนนั้น ผม กับเล้งไม่ได้เจอกันอีกเลย ผมมาทราบข่าวทีหลังว่าเล้งถูกส่งตัวไปเรียนต่อที่เมืองจีน ส่วนผมยังคงร้องเพลงแลกเงิน รอเวลาเรียนจบเป็นนักกฎหมายอย่างใจหวัง

ผมเปลี่ยนที่ร้องเพลงไปเรื่อยๆ ทว่าไม่เคยไม่คิดถึง “เธอ” คนนั้น เธอที่หวังดีกับผมเสมอ เธอที่ผมรักและได้จากไปแสนไกล

เส้นทางอาชีพวณิพกพเนจรของผมยังคงดำเนินไปอย่างเนิบๆ ผมเปลี่ยนที่ร้องเพลงไปเรื่อยๆแต่ไม่เคยย้อนกลับมาย่านศิริราชอีกเลย ทุกอย่างในชีวิตผมดูเหมือนจะคงเดิมทั้งหมด ต่างจากเล้ง ที่ต้องจากไปไกล ทะเลาะกับพ่อ ผมรู้ว่าเล้งจะปวดร้าวแค่ไหน เพราะเราสองคนมีหัวใจดวงเดียวกัน ผมรักเล้งและยังคงรักเสมอ ผมหวังว่า สักวัน เราจะกลับมารักกัน ความรักระหว่างเราจะต้องถูกเปิดเผยและไม่เป็นความลับอีกต่อไป

อย่างที่ผมเคยยึดถือเสมอ การรอคอยคือศาสตร์ชั้นสูงของการมีชีวิต ณ เวลานี้ ผมคงต้องรอคอย อย่างใจเย็น เล้งก็เช่นกัน เราทั้งสองต้องจากกันในวันนี้ แต่ผมเชื่อมั่นว่า ในไม่ช้าผมกับเล้งจะกลับมาพบกันอีกครั้ง วันหนึ่งที่เล้งกลับมา ดนตรีแห่งความรักจะเริ่มขึ้นอีกครั้ง.....และความรักของเราจะไม่เป็นความลับอีกต่อไป


Credit picture : //www.google.com/imgres?um=1&hl=en&sa=X&biw=1024&bih=677&tbm=isch&tbnid=cCy9gmaj_1RVWM:&imgrefurl=//www.123rf.com/photo_5281236_an-black-and-white-picture-of-an-acoustic-guitar-being-played.html&docid=rebRwJ1b32E_HM&imgurl=//us.123rf.com/400wm/400/400/psnoonan/psnoonan0908/psnoonan090800012/5281236-an-black-and-white-picture-of-an-acoustic-guitar-being-played.jpg&w=400&h=267&ei=iWDlTo-_L4HbmAW5hKjwBA&zoom=1&iact=hc&vpx=84&vpy=278&dur=740&hovh=183&hovw=275&tx=182&ty=87&sig=103787097474516040760&page=3&tbnh=133&tbnw=162&start=34&ndsp=18&ved=1t:429,r:0,s:34



Create Date : 12 ธันวาคม 2554
Last Update : 26 พฤศจิกายน 2558 10:58:50 น.
Counter : 535 Pageviews.

0 comment
ลิปสติกสีแดง ณ อิแทวอน



แม้อากาศภายนอกจะหนาว ความปรารถนาภายในกลับร้อนราวกับภูเขาไฟรอวันปะทุ รอยจูบของเขาราวกับพญามังกรที่พ่นไฟเข้ามาทั่วร่างฉัน ไม่เพียงเท่านั้น มือซนๆของเขาก็เริ่มสัมผัสประชิดตัวฉันมากขึ้น ลมหายใจของเขาอุ่นเสียจนเรียกได้ว่าร้อนราวกับไฟที่ถาโถมเข้าใส่ฉัน ร่างกายและจิตใจที่เปรียบเสมือนเหล็กเก่าๆที่มีรอยสนิมมากมายแทบหลอมละลายไปชั่วขณะ ฉันคงโดนมนต์อิแทวอนสะกดให้ฉันกลายเป็นสาวใหญ่สุดบ้าคลั่งที่ประกบปากแลกน้ำลายกับหนุ่มชาวต่างชาติ ในที่สาธารณะอย่างไม่อายฟ้าดินเสียแล้ว

ไฟราคะ….แรงปรารถนาที่เร่าร้อน รุนแรงราวกับไฟ และความกระหายอยากทางกามโดยไม่รู้จักผิดชอบชั่วดี ทั้งสองสิ่งนี้เรียกรวมกันสั้นๆ เข้าใจง่ายๆว่า ไฟราคะ นั่นสินะ ในเมื่อชีวิตมนุษย์เต็มไปด้วยแรงปรารถนา เรามีความต้องการในชีวิตอย่างไม่มีที่สิ้นสุด เราหิวข้าวได้ทุกวัน หิวน้ำได้ทุกชั่วโมง และเซ็กซ์ก็เป็นความต้องการของมนุษย์ชนิดหนึ่งที่เราหิวได้เช่นกัน

อา…ใช่แล้ว ฉันหิวเซ็กส์ และไฟราคะในตัวฉันมันคุกรุ่นจนแทบปะทุออกมาราวกับลาวาภูเขาไฟก็ไม่ปาน ฟังแล้วอาจจะไม่เหมาะนักที่ผู้หญิงดีๆอย่างฉันจะรู้จักความต้องการตัวเองและพูดโพล่งออกมาเช่นนี้ ใช่สิ ผู้หญิงเราจำเป็นต้องสวย อ่อนหวาน เป็นผู้ตามที่ดี ไม่มีปากเสียงในเรื่องใดๆ รวมไปถึงเรื่องเซ็กส์ ด้วยเหตุผลสั้นๆที่ใครๆต่างบอกว่า “ผู้หญิงดีๆ เค้าไม่พูดเรื่องเซ็กส์ หรือความปรารถนาอะไรแบบนั้นหรอก คงมีแต่ผู้หญิงร่านสวาทเท่านั้นที่มัวแต่หมกมุ่นอยู่กับเรื่องนี้”

ฉันเองก็เคยเชื่อในคำพูดเหล่านั้นตลอดมา ตั้งแต่เด็กจนโตฉันเป็นหญิงสาวที่ดีได้รับการศึกษาที่ดี หญิงสาวที่น่ารักคนนี้เรียนจบจากมหาวิทยาลัยหญิงอีฮวาและได้แต่งงานกับคิมโซอิลชายหนุ่มอนาคตไกลซึ่งจบมาจากมหาวิทยาลัยแห่งชาติโซล
ด้วยวัยเพียงยี่สิบสี่ปีฉันมีชีวิตที่ดีพร้อม เรียนจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยชื่อดังเป็นที่เชิดหน้าชูตาของพ่อแม่ ได้แต่งงานกับชายหนุ่มที่ดีเพียบพร้อม ช่างเป็นชีวิตที่หญิงสาวเกาหลีทุกคนใฝ่ฝัน แล้วชีวิตฉันจะขาดอะไรอีกเล่า…

“ผมไปทำงานก่อนนะ”
เสียงทุ้ม นุ่มนวล ทว่าเย็นชาของเขาช่างบาดหัวใจของฉันเสียเหลือเกิน เขาละมือจากอาหารเช้า คว้าเสื้อนอก และเดินออกไป ไม่มีแม้แต่รอยจูบเบาๆที่แสดงว่าเขายังรักและเป็นห่วงฉัน… สิ่งเหล่านั้นคงหายไปพร้อมกับการแต่งงานร่วมสิบปีของเราสินะ

อีกวันของชีวิตที่เต็มไปด้วยความว่างเปล่า นานเท่าไหร่แล้วนะที่ฉันมีเพียงเสียงของความเงียบเป็นเพื่อนยามเช้า นานเท่าไหร่แล้วนะที่ทุกๆวันของฉันผ่านไปราวกับล่องลอยอยู่บนก้อนเมฆสีเทาที่เงียบเหงาและหนาวเหน็บ
หรือว่าฉันหมดศรัทธาในความรักแล้วหรือ?

ความรัก…ฉันไม่แน่ใจเสียด้วยซ้ำว่า “ความรัก” มันมีตัวตนอยู่จริงๆ หรือเป็นเพียงการแต่งงานเพื่อทำหน้าที่ภรรยาที่ดีของคิมโชอิลเท่านั้น บ้านหลังใหญ่ เงินใช้สอยที่ฟุ่มเฟือย แต่ชีวิตคู่ที่ไร้ความรักราวกับถูกขังอยู่ในกรงแก้ว ฉันใช้เวลาอยู่คนเดียวในบ้าน ในขณะที่ “เขา” ใช้ชีวิตนอกบ้านเสียเป็นส่วนใหญ่ นานเท่าไหร่แล้วนะที่เขาไม่เคยแม้กระทั่งหอมแก้มหรือสัมผัสมือเบาๆ เพราะฉะนั้นอย่าได้ฝันที่จะพูดถึงเรื่องเซ็กส์เลย

โชอิลกลับบ้านดึก บ่อยครั้งที่ฉันได้กลิ่นน้ำหอมที่ไม่คุ้นเคย หรือรอยลิปสติกจางๆ แต่ด้วยหน้าที่ภรรยาที่ดี หน้าที่ๆจะต้องประคับประคองชีวิตครอบครัว ฉันจึงไม่เคยซักถามเรื่องราวเหล่านั้นแต่ประการใด ได้แต่เก็บมันไว้ในมุมมืดของความคิดเพียงเพราะกลัวที่จะเผชิญกับความจริงที่ซ่อนอยู่

เรามีลูกชายด้วยกันหนึ่งคน สามีของฉันวาดความหวังและอนาคตอันไกลโพ้นให้กับลูกชายวัยเก้าขวบ อนาคตที่ดีก็ต้องแลกกับเวลาที่ต้องใช้ไปอย่างมากมายกับโรงเรียนกวดวิชา ฉันจึงใช้ชีวิตอยู่ในบ้านเพียงลำพังคนเดียวมาเป็นเวลาหลายปี เพื่อรอสามีกลับมาตอนดึก หรือบางวันที่เขาไม่กลับมาและวันนั้นก็จะเป็นวันที่ฉันรอเก้อ….ฉันเบื่อเต็มทีกับการเป็นคุณนายคิมที่ต้องอยู่แต่ในบ้าน เมื่อความอดทนของคนเรามีที่สิ้นสุด ฉันจึงไม่ทนรอและใช้ชีวิตเป็นคุณนายคิมหลังครัวอีกต่อไป ฉันออกไปชอปปิ้งซื้อข้าวของ เสื้อผ้า และเครื่องสำอางจึงกลายเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของฉัน

ใช่แล้ว ฉันกลายเป็นคุณนายคิมผู้รักในการชอปปิ้งอย่างเป็นชีวิตจิตใจ ฉันซื้อเสื้อผ้าและเครื่องสำอางมากมาย และสิ่งหนึ่งที่ฉันคลั่งไล้มากที่สุดคือลิปสติกสีแดงสด และที่บ้าไปกว่านั้นคือ แม้เป็นลิปสติกสีแดงเหมือนกัน แต่ฉันซื้อมามากมายหลายยี่ห้อ มากเสียจนใช้ได้ไปอีกสิบปี แต่ก็ไม่เป็นไรหรอกนะ เพราะฉันมีเงินซื้อของเหล่านั้น และสามีฉันก็เต็มใจจ่ายให้เสมอ

ด้วยวัยสามสิบตอนปลายผู้หญิงทุกคนต่างก็กังวลว่าตนจะแก่ตัวลงไป เครื่องสำอางรวมไปถึงการทำศัลยกรรมจึงเป็นเสมือนเพื่อนแท้ สำหรับฉันลิปสติกสีแดงสดเป็นเสมือนเพื่อนแท้ เป็นประกายไฟให้ชีวิต ทำให้ฉันรู้สึกเซ็กซี่และสดใสอยู่ตลอดเวลา เรียวปากได้รูปถูกทาทาบด้วยลิปสติกสีแดงสด ฉันรู้สึกได้ถึงความเร่าร้อน ร่าเริง และยั่วยวนไปในที ลิปสติกสีแดงคือสัญลักษณ์ของความเป็นผู้หญิงเต็มตัว และหากฉันไม่ได้ทาลิปสติกสีแดงสดก่อนออกจากบ้าน วันนั้นฉันคงรู้สึกได้ว่าร่างกายของฉันซีดเผือดและเปลือยเปล่า ราวกับไม่ได้ใส่ชุดชั้นในเลยทีเดียว ช่างน่าขันที่รูปลักษณ์เซ็กซี่ช่างขัดกับชีวิตเซ็กส์เสียเหลือเกิน ภายนอกเป็นเหมือนกองไฟแต่ภายในเหลือเพียงเถ้าถ่าน

ชีวิตที่เหี่ยวเฉาก็ไม่ต่างอะไรกับใบไม้แห้งที่รอวันโรยรา เหมือนกับฤดูใบไม้ร่วง และวันธรรมดาในฤดูใบไม้ร่วงก็ไม่ธรรมดาอีกต่อไป วันนี้ฝนตก ลมพัดค่อนข้างแรง ฝนเริ่มตกหนาเม็ดขึ้นเรื่อยๆ และฉันเองก็ไม่มีร่ม พาลจะทำเสื้อแบรนด์เนมสุดหรูที่อยู่ในถุงข้างกายเปียกเอาเสียได้ ฉันจึงตัดสินใจวิ่งเข้าร้านกาแฟที่ใกล้ที่สุดโดยไม่ลังเล

“โอ๊ย “เสียงดังปึง..โครม ฉันวิ่งชนประตูกระจกเข้าอย่างจัง ถุงในมือหล่นกระจายไม่เป็นทิศทาง
“I’m so so so sorry… sorry” ใช่แล้ว เสียงชายหนุ่มชาวต่างชาติคนหนึ่ง ขอโทษฉันเสียเป็นการใหญ่ เขาเดินเข้าไปในร้านกาแฟ คงรีบมากเสียจนเห็นว่าฉันวิ่งตามมาข้างหลัง
“ผมขอโทษจริงๆที่ผมไม่ทันดู” เขาช่วยฉันเก็บข้าวของ เราสองคนพาร่างที่เปียกปอนเข้าไปในร้านกาแฟ
“ขอให้ผมได้เลี้ยงกาแฟคุณเพื่อเป็นการขอโทษนะครับ”

นี่ก็เป็นเวลาเที่ยงกว่าๆ ฝนตกหนักอย่างไม่มีทีท่าว่าจะซาลงง่ายๆ แต่คงไม่เป็นไรนักเพราะดูทีท่าว่าฉันจะได้เพื่อนใหม่ในวันนี้ ชายหนุ่มสัญชาติอเมริกันที่นั่งอยู่ตรงข้ามฉันชื่อว่า ทอม หรือ โทมัส โจนส์ เป็นทหารในกองทัพอเมริกันประจำอยู่ที่โซล ฉันไม่ได้ถามอายุทอม ทว่าใบหน้าที่อ่อนเยาว์ รอยยิ้มที่สดใสผ่านม่านนัยน์ตาสีฟ้าคู่นั้นคงพอเดาได้ว่าเขาคงมีอายุอยู่ประมาณยี่สิบกลางๆ เวลาผ่านไปสามชั่วโมงอย่างรวดเร็วเหลือเกิน นานเท่าไหร่แล้วนะที่ฉันไม่ได้พูดคุยและหัวเราะมากมายขนาดนี้ ทอมดูเป็นคนมีอารมณ์ขันดีเสียทีเดียว เราคุยเรื่องราวต่างๆนาๆเกี่ยวกับชีวิตในเกาหลี ฉันยังคงค่อยๆจิบคาเฟ่ มอคคิอาโตอย่างละเมียดละไม ในทันใดฉันเห็นสายตาของทอมจดจ้องมาที่ฉันอย่างไม่วางตา

“ทำไมคะ”
“เปล่าครับ แค่มองดู รู้สึกว่าคุณจะมีความสุขกับการจิบกาแฟแก้วนั้นจริงๆนะครับ”
แค่ประโยคพื้นๆ บทสนทนาธรรมดาๆ แต่ไม่รู้ทำไมฉันถึงรู้สึกเขินมากมายขนาดนี้ มันคงเป็นเรื่องน่าขันที่คุณนายคิมวัยสามสิบกว่าๆรู้สึกเขินกับคำพูดของชายชาวต่างชาติอายุน้อยคนนี้ ไม่หรอก…มันไม่ได้มีความหมายใดๆทั้งสิ้น คงเป็นเพียงคนที่คุยกันถูกคอก็เท่านั้น

บทสนทนาและเสียงหัวเราะสามชั่วโมงกว่าๆในร้านกาแฟย่านอิแทวอนได้เวลาปิดฉากลง ฉันขอตัวกลับบ้าน และบอกลาทอม ชายหนุ่มแปลกหน้าที่ฉันไม่อาจปฏิเสธเสน่ห์ในตัวเขาได้ ก่อนกลับ ทอมได้ให้นามบัตรและเบอร์โทรศัพท์มือถือยื่นให้ฉัน มือของเขาสัมผัสฝ่ามือฉันเบาๆ ฉันรู้สึกได้ถึงสารเคมีที่ปั่นป่วนแผ่ซ่านเข้าสู่ร่างกาย ทันใดนั้นนัยน์ตาของเราประสานกันอย่างไม่ได้ตั้งใจ ราวกับเราสามารถพูดคุยกันโดยสายตา ไม่แม้แต่จะมีคำพูดใดๆ ทอมดึงมือฉันเข้าหาตัวเขาและทาทาบริมฝีปากคู่นั้นเข้ากับริมฝีปากของฉัน จูบ!! รอยจูบแบบไม่ได้ตั้งใจแต่เต็มไปด้วยแรงปรารถนาของคนแปลกหน้าสองคนเป็นเหมือนเพลิงอันเร่าร้อนที่ไม่อาจหยุดได้อย่างง่ายดาย

ท่ามกลางร้านรวงและความวุ่นวายในย่านอิแทวอน เขาบรรจงจูบ รุนแรง เร่าร้อน แต่นุ่มนวลไปในที ร่างกายของฉันอยู่ในอ้อมกอดอันแข็งแกร่งและอบอุ่นของเขา หากเขาไม่โอบฉันเอาไว้ ณ วินาทีนี้ ฉันคงเข่าอ่อนหลอมละลายลงไปกองกับพื้นเป็นแน่ ชั่วครู่ต่อมา ฉันผละตัวเองออกจากอ้อมแขนของเขา

“ผมขอโทษ จริงๆ ผมคิดว่าผมชอบคุณ” นัยน์ตาคู่นั้นมองมาที่ฉันราวกับจะอ้อนวอนขอให้ฉันกลับไปอยู่ในอ้อมกอดเขาอีกครั้ง ฉันถลาเข้าไปกอดเขาและเราจูบกันอีกครั้ง ข้างๆร้านกาแฟร้านเดิม ซอกหลืบเล็กๆในย่านอิแทวอนที่ไม่มีใครสนใจซึ่งกันและกัน และครั้งนี้เป็นรอยจูบที่ฉันเต็มใจให้เขาอย่างจริงจัง

ร่างกายถูกประสานกันด้วยรอยจูบราวกับเขาและฉันหลอมละลายกลายเป็นร่างเดียวกัน รอยจูบนี้ช่างดีเหลือเกิน ดีจนเรียกได้ว่าดีที่สุดในชีวิตเลยก็ว่าได้ ทว่ารอยจูบนี้นำมาซึ่งไฟราคะที่ยากจะดับลงไปได้ง่ายๆ ไม่นานเท่าไหร่นักเราทั้งสองเปลือยกายใต้ผ้าห่มผืนเดียวกันในห้องของเขาซึ่งไม่ไกลจากร้านกาแฟมากนัก เขายังคงหลับอยู่ ฉันมองเขาอยู่ครู่หนึ่งแล้วเดินเปลือยกายไปในครัวเพื่อหาน้ำเย็นๆดื่มสักแก้ว บทรักของเขากับฉันช่างร้อนแรงเสียจนฉันอดยิ้มกับตัวเองไม่ได้ นานเท่าไหร่แล้วนะที่ฉันไม่ได้ปลดปล่อยความรู้สึกแบบนี้ หรือทั้งชีวิตฉันไม่เคย…เลย แม้แต่กับโชอิล ใช่…โชอิลไม่เคยทำให้ฉันมีความสุขได้ขนาดนี้ หรือโชอิลไม่เคยรักฉันเลยนะ… หรือฉันคิดมากเกินไป ฉันกับเขาเจอกันเพียงครั้งเดียว ฉันไม่ควรเอาความใคร่ชั่วครู่มาตัดสินความรักและชีวิตคู่ของฉันกับโชอิล ความรักกับความใคร่มักมาคู่กันเสมอจนฉันแทบแยกไม่ออก เสียจริง

“ตื่นนานรึยังครับ” ร่างเปลือยเปล่าของเขาโอบกอดฉันจนแทบจะหลอมละลายอีกครั้ง เขานัวเนีย เว้าวอนขอให้ฉันอยู่กับเขาต่อไปอีกสักพัก สามทุ่มกว่าๆ ภาพของโชอิลลอยเข้ามาในหัวฉันตลอดเวลา ฉันรู้สึกผิดต่อโชอิลเสียเหลือเกิน

ฉันบอกลาทอมและกลับบ้านมารอโชอิล ห้าทุ่มกว่า โชอิลยังไม่กลับบ้านตามเคย ฉันรอโชอิลด้วยความรู้สึกผิดจับใจ การทำหน้าที่ภรรยาที่ดีของฉันได้พังทลายลงสิ้น แต่อีกนัยหนึ่งในใจฉันยังคงคิดถึงทอม รอยยิ้มที่สดใส บทสนทนาที่เต็มไปด้วยความร่าเริง เป็นกันเอง ราวกับฉันได้อยู่ในโลกแห่งความฝัน และบทรักที่เร่าร้อน ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีและไฟปรารถนาในใจของฉันถาโถมซัดเข้ามาในสมองราวกับคลื่นยักษ์กระทบฝั่ง ท้ายที่สุดฉันหลับไปพร้อมกับฝัน จินตนาการที่มีทอมและฉันอยู่ด้วยกัน เป็นอันสรุปว่า ไฟราคะได้ชนะความรู้สึกผิดชอบชั่วดีโดยมีฉันเป็นกรรมการที่อยุติธรรมที่สุดในโลก

ในวันต่อๆมา ฉันยังคงไปพบทอมที่อิแทวอนเสมอ ชู้รักวัยหนุ่มของฉันร่าเริงและน่ารัก เขารอฉันอยู่ในร้านกาแฟร้านเดิมที่เราพบกันครั้งแรก ทุกๆครั้งเราพบกันที่นั่น โต๊ะตัวเดิม และจบลงที่อพาร์ตเม้นท์ของทอม เป็นดนตรีที่บรรเลงเพลงเดิมซ้ำไปซ้ำมา แต่ไม่เคยเบื่อเลย ฉันไม่แน่ใจว่าฉันรักเขาหรือเป็นเพียงความปารถนาในช่วงเวลาสั้นๆกันแน่ ยามอยู่ใกล้เขาหัวใจเต้นแรง เร็ว ไม่เป็นจังหวะ รอยยิ้มและหัวเราะที่ทำให้หัวใจเบาหวิวและลอยล่องอย่างมีความสุขราวกับนกฮัมมิ่งเบิร์ด ในป่าภูเขา ฉันคิดว่าฉันรักเขาและหวังว่าเขาคงรักฉันเช่นกัน ในขณะที่ฉันอยู่กับโชอิลเพียงช่วงเวลาสั้นๆของวัน ฉันยังคงเป็นคุณนายคิมที่อ่อนโยนอยู่เสมอ
“ทุกครั้งที่ผมมองตาคุณ มันเหมือนมีม่านในดวงตา เหมือนคุณไม่ได้เปิดใจให้ผม” ทอมพูดกับฉันราวจะตัดพ้อ เขาคงเปรียบเปรยเพียงเพื่อจะถามถึงเรื่องของโชอิล สามีของฉันสินะ ทอมไม่เคยเอ่ยปากถามว่าฉันมีใครรออยู่ที่บ้าน หรือถามว่าฉันแต่งงานหรือยัง แต่ด้วยความเข้าใจที่ไร้ซึ่งสำเนียงภาษาเราทั้งคู่ต่างเข้าใจในความหมายเดียวกันว่า เราทั้งคู่ได้ก้าวล้ำผ่านเขตแดนของ “ความถูกต้อง” ไปเสียแล้ว
ฉันลุกขึ้นมาแต่งตัว แต่งหน้าอยู่ตรงหน้ากระจกในห้องของทอม บรรจงทาลิปสติกสีแดงเพื่อเพิ่มความมั่นใจ ทอมลุกจากเตียงมาลูบหลังฉันและกระซิบเบาๆ

“คุณทาปากแดง ดูเซ็กซี่จริงๆ”
ฉันหัวเราะเบาๆ กับคำชมแล้วหันกลับไปบอกเค้าแบบขำๆว่า “แน่ล่ะสิ ลิปสติกสีแดงมันเป็นเหมือน Identity ของฉันเพราะ มันสามารถปกปิดความแก่ของฉันได้ยังไงล่ะ”
“ไม่นะครับ คุณไม่แก่ แต่คุณเซ็กซี่ จริงๆนะ”

ใช่ตามที่ฉันบอก ลิปสติกสีแดงคือความเป็นตัวตนของฉัน ตัวตนที่ฉันบอกสังคมว่าฉันคือ ฮยอริ หรือคุณนายคิม ผู้ดีพร้อม ฮยอริที่ต่างจากฮยอริที่อ้างว้าง โหยหาความรักและมีความสัมพันธ์ลับๆกับหนุ่มต่างวัยชาวอเมริกัน ฮยอริที่ปกปิดตัวเองไว้ด้วยลิปสติกสีแดง ความสดใสจอมปลอมบนใบหน้า

ม่านในดวงตาที่ทอมหมายถึงคงเทียบไม่ได้กับม่านในดวงใจของฉัน ม่านผืนหนาในดวงใจของฉันห่มคลุมความรู้สึกที่ฉันมีต่อทอมอย่างมิดชิด หลบซ่อนไม่ให้โชอิลและครอบครัวได้รับรู้ ทว่าม่านในดวงใจผืนนั้นกลับห่มคลุมความสุขของฉันไว้เสียสิ้น ความสุขที่ฉันได้รับจากทอมอาจจะไม่ใช่ความสุขที่แท้จริง

ความสุขเหล่านั้นเป็นเพียงการฉีดยาชาให้ผู้บาดเจ็บ เพียงชั่วครู่ที่ยาชาหมดฤทธิ์ ความอ้างว้างมาเยือนฉันอีกครั้ง หรือไม่ ความสุขเหล่านั้นคงไม่ต่างอะไรกับลิปสติกสีแดงแท่งนี้เสียล่ะมั้ง ทุกครั้งที่ลืมตาตื่นด้วยใบหน้าซีดเผือดบ่งบอกร่องรอยแห่งวัย เครื่องสำอางและลิปสติกสีแดงคืนความสดใสให้ฉันอีกครั้ง แต่ก็เป็นเพียงความสดใสชั่วคราว พอตกกลางคืนฉันลบมันทิ้งไป และพบกับความจริงอีกครั้ง คือ คุณนายคิม ภรรยาที่แสนดี ทว่าอ้างว้างเหลือเกิน แต่ในทางกลับกันคุณนายคิมที่ไร้คราบลิปสติกในคืนนี้ จะกลับไปเป็นคุณนายคิมที่สดใสด้วยลิปสติกสีแดง จะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงการเป็นชู้รักของทอมตอนกลางวันและคุณนายคิมยามค่ำคืนไปได้ เพราะสองสิ่งนี้ต้องอยู่คู่กันเสมอ เหมือนลิปสติกสีแดงที่ถูกลบออกยามค่ำคืน และทาทาบริมฝีปากในช่วงกลางวัน เวลานั้น ความสดใสจะกลับมาอีกครั้ง ณ อิแทวอน




Create Date : 23 พฤษภาคม 2554
Last Update : 23 พฤษภาคม 2554 11:32:55 น.
Counter : 566 Pageviews.

0 comment
ครีมรองพื้น….ร่องรอยที่อยากลบเลือน
ครีมรองพื้น….ร่องรอยที่อยากลบเลือน
หกโมงเช้า ฉันตื่นเช้ากว่าปกตินิดหน่อย นัยน์ตาลืมอย่างเหม่อลอย ร่างกายเปลือยเปล่าบนผ้าห่มผืนใหญ่ ฉันพลิกตัวสัมผัสเนื้ออุ่นๆ เขายังคงหลับสนิทอยู่ข้างกายฉัน ใบหน้ายามหลับของเขามีเสน่ห์อย่างประหลาด มันเหมือนใบหน้าของเด็กน้อยที่พริ้มหลับอยู่ในความฝันอันแสนสุข
อา ใช่แล้ว สัมพันธภาพทางอารมณ์และร่างกายอันลึกซึ้งระหว่างเราเมื่อคืน คงค้างแรมอยู่ในห้วงคำนึงของเขา เขาอาจจะกำลังฝันถึงห้วงราคะอันสุขสมอยู่กระมัง ฉันนึกภูมิใจในความสามารถเสนอและสนองอารมณ์ให้เขาได้สุขล้นจนยิ้มในฝันได้ขนาดนี้
ความหล่อยามหลับใหลของเขาทำให้ฉันอดชื่นชมไม่ได้ ฉันนอนมองเขาหลับอยู่ครู่หนึ่งก่อนพาร่างล่อนจ้อนออกจากผ้าห่ม เดินไปไม่กี่ก้าวเพื่อหยิบเสื้อผ้าที่ถอดสะเปะสะปะเอาไว้ทั่วห้องช่วงอารมณ์กำหนัดเมื่อคืน ฉันคว้าเสื้อเชิร์ตสีขาวของเขามาใส่ ติดกระดุมสามเม็ดล่างแล้วปล่อยส่วนของลำคอและช่วงอกเพื่อโชว์สัดส่วนอันเร่าร้อนของตัวเอง ฉันเซ็กซี่ ใช่แล้ว หนุ่มๆที่ออฟฟิตหลายคนมองฉัน ชื่นชมวัยสาวแม้จะไม่แรกรุ่นแต่ยังคงบานสะพรั่ง ฉันภูมิใจในความสาวของตัวเองเสมอ
………………..

หกโมงยี่สิบสามนาที เขาพลิกตัวไปมา คงใกล้ตื่นแล้วสินะ ฉันเดินไปชงกาแฟ สำหรับฉันต้องกาแฟดำไม่ใส่น้ำตาลผสมน้ำเย็นให้กินได้ทันที ฉันซดโฮกเดียวด้วยความรีบร้อน ล้างหน้าและมุ่งตรงไปยังโต๊ะเครื่องแป้ง บรรจงปาดครีมรองพื้นที่ควักมาจากกระปุกลูบไล้ให้ทั่วใบหน้าและลำคอ ครีมรองพื้น อุปกรณ์เสริมความมั่นใจที่ขาดไม่ได้ ครีมรองพื้นมีไว้ช่วยปรับผิวให้เรียบเนียน ลบเลือนรอยด่างดำบนใบหน้าให้จางลงได้ และที่สำคัญ มันทำให้ฉันสวย
ความรู้รอบด้านเครื่องสำอางทำให้ฉันรู้ว่า ครีมรองพื้นมีหลายแบบ ทั้งแบบสติกซึ่งเป็นเนื้อครีมเข้มข้นไปจนถึงแบบเหลวที่มีเนื้อบางเบา ยิ่งเนื้อครีมรองพื้นเข้มข้นเท่าไหร่ยิ่งปิดรอยด่างดำได้มากเท่านั้น ฉันเลือกครีมรองพื้นแบบเหลวผสมมอยส์เจอไรเซอร์ เพื่อบำรุงผิวไม่ให้แห้งเกินไปและปกปิดริ้วรอยอย่างเป็นธรรมชาติ เมื่อเสร็จสิ้นกระบวนการรองพื้น ฉันปัดบลัชออนสีเอิร์ทโทนเพื่อปรับสีพวงแก้มให้ดูสดใสเป็นธรรมชาติ ก่อนที่จะเช็คความสวยขอตัวเองว่าเข้าที่ดีหรือยัง
ฉันเช็คใบหน้าตัวเองอีกครั้ง อืม สวยเข้าที่ พร้อมแล้วที่ใครสักคนจะลืมตาตื่นขึ้นมาเห็นใบหน้าอันเรียบเนียนนี้แล้ว และเป็นไปตามคาด เขาลุกจากเตียงบิดขี้เกียจสองสามทีแล้วเดินตรงมาหาฉันด้วยรอยยิ้ม
ฉันไม่เคยปล่อยให้ใบหน้าดูโทรมต่อหน้าเขาเลย เขาเดินตรงมาจูบฉันฟอดใหญ่ มือที่ซุกซนของเขาเริ่มลูบไล้ต้นคอ และลุกลามล่วงเกินเข้าไปในเสื้อเชิร์ตตัวโพล่ง ฉันไม่ขัดขืนเขาสักนิด ซ้ำยังแอ่นตัวเข้าไปใกล้ให้ร่างกายเราได้เสียดสีกัน เราทั้งสองหายใจแรงเร็วขึ้นเป็นจังหวะเดียวกัน เป็นสัญญาณเล็กๆที่บอกว่า มหกรรมรักของวันใหม่เริ่มต้นอีกครั้ง เขาเริ่มจูบฉันตรงโน้นที ตรงนี้ที ฉันรู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นต่อไป เหมือนกับฉันรับรู้และเข้าใจทุกอารมณ์ความเคลื่อนไหวของเขาอย่างทันเกมส์ ต้นคอ เรียวขา หน้าอก และสะโพก เราทั้งสองก้าวประสานเหมือนเป็นร่างเดียวกัน ถอยกลับมายังเตียงนุ่ม และ...ใช่...สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นไปตามคาด
...เก้าโมงสิบสองนาที ฉันเหลือบมองนาฬิกา เวลาผ่านไป สองชั่วโมงครึ่งอย่างรวดเร็ว เราเสร็จกิจมาราธอนเวลาเก้าโมงสิบสองนาที ทั้งฉันและเขานอนแผ่อยู่บนเตียงอย่างไร้เรี่ยวแรง
ฉันสัมผัสได้ถึงฮอร์โมนเทสโทสเทอโรนจากกลิ่นเหงื่อที่ผุดเม็ดเป้งๆตามตัวเขา เช่นเดียวกัน ฉันเหงื่อโทรมกาย ให้ตายเถอะ เมื่อเช้าฉันเผลอไปปิดแอร์ด้วยกลัวว่าอากาศจะหนาวเกินไป หน้าของฉันในยามนี้มันเปลือยเปล่าหมดร่องรอยของครีมรองพื้นหน้าใสไปเสียแล้ว เจ้าผิววัยสามสินต้นๆโผล่มาจ๊ะเอ๋โดยไม่ตั้งใจ ฉันไม่อยากให้เขาเห็นหน้าฉันเลย ฉันไม่มั่นใจเมื่อไม่มีครีมริพื้นอยู่บนใบหน้า ฉันจึงนอนตะแคงหันหลังให้เขา
ติ๊ด ติ๊ด
เสียงโทรศัพท์มือถือของเขาดังขึ้น
“ฮัลโหล” เขาเงียบไปครู่หนึ่ง เหลือบมามองฉันที่ยังคงนอนหันหลังให้เขาด้วยความอายใบหน้าที่เต็มไปด้วยริ้วรอย
ฉัน ที่นอนหันหลังให้เขาอยู่ในขณะนี้ รู้สึกได้ว่า เขากำลังเดินไปยังระเบียงเพื่อคุยโทรศัพท์กับปลายสายอันลึกลับ
“จ้า จ้า” เสียงของเขานุ่มนวลและสุภาพเสมอ เขาค่อยๆกระซิบ ทว่า ความเงียบของสายวันเสาร์ทำให้เสียงของเขาเล็ดลอดเข้าหูฉัน
“เดี๋ยวกลับแล้ว ล่ะจ้ะที่รัก ผมอยู่บ้านเพื่อนน่ะ”
อา ..ฉันรู้แล้ว เสียงปลายสายคงเป็น ตัวจริงของเขาที่รออยู่ที่บ้าน
ฉันชอบใช้คำว่า ‘ตัวจริง’ มากกว่าคำว่า ‘เมีย’ เพราะคำหลังมันแทงใจดำและตอกย้ำสถานะ ‘ชู้’ ของฉันเหลือเกิน เช่นเดียวกัน ฉันมักจะบอกเพื่อนสนิทว่า สถานะของเราคือ กิ๊ก หาใช่ชู้ไม่
เขาหยิบเสื้อผ้าทุกชิ้นของเขาอย่างรวดเร็ว ไม่ถึง 5 นาที เขาก็คว้าครบทุกสิ่งอย่าง ก่อนจะเดินมาจูบลาฉัน แล้วจากไป
เกือบสองปีแล้วสินะที่ความสัมพันธ์ระหว่างฉันกับเขา ผู้ซึ่งมีเจ้าของหัวใจทางนิตินัยแล้ว
และเกือบสองปีที่เราปกปิดความสัมพันธ์เอาไว้อย่างเงียบๆ แม้เพื่อนที่ทำงานบางคนแอบสงสัยและซุบซิบนินทาเป็นครั้งคราว ฉันเรียนรู้ที่จะปิดปากเงียบ และแสดงความรู้สึกระหว่างกันแบบลับๆ หลายครั้งที่ฉันลูบไล้ต้นคอเพียงสองสามที เป็นอันรู้กันว่าเย็นนี้ฉันจะรอคุณ เขาไม่เคยปฏิเสธความต้องการของฉันแม้แต่นิดเดียวเช่นเดียวกันกับที่ฉันไม่เคยปฏิเสธความต้องการเขาเลยสักครั้ง
อา ใช่แล้วฉันต้องการเพียงเขา อ้อมกอดอุ่นๆที่ทำให้ฉันยิ้มในใจ ...แม้เพียงชั่วข้ามคืน....
ส่วนเขาน่ะเหรอ ฉันไม่เคยถามความต้องการที่แท้จริงของเขาเลย ฉันเดาเอาว่ามันคงเป็นความสุขที่ได้ลิ้มรสรักในซอกหลืบชีวิตกับฉัน ทุกครั้งที่ฉันปาดครีมรองพื้นเพื่อเพิ่มความมั่นใจก่อนเมคอัพ ฉันมักคิดถึงเรื่องนี้เสมอ....เขาเองคงไม่ต่างจากฉัน บางครั้งชีวิตอันแสนสุขภายใต้ครอบครัวอันอบอุ่นอาจเป็นครีมรองพื้นให้เขาอยู่ในสังคมได้อย่างสง่างามเต็มภาคภูมิ คงมีแต่ตอนที่อยู่กับฉันที่เขาจะได้เปลือยเปล่าทั้งร่างกายและจิตใจได้อย่างเต็มที่

บ่ายวันเสาร์ที่เดียวดายอีกครั้ง ความรู้สึกเจ็บลึกของคนกินน้ำใต้ศอก ถ้าใครไม่เจอกับตัวคงไม่เข้าใจและได้แต่สาปส่งตัวเองที่รักเขาหัวปักหัวปำถึงเพียงนี้ ฉันไม่ขอความเห็นใจจากใคร ในเมื่อฉันรู้อยู่แล้วว่าเขามี ตัวจริง เป็นตัวเป็นตนพร้อมพยานรักสองคน ฉันยังคงเผลอใจและปล่อยตัวไปอย่างหลงระเริง และบอกตัวเองสั้นๆว่า “ช่างมัน”
“สองคนเป็น กิ๊ก กันรึเปล่าเนี่ย” “โน่น กิ๊ก เธอมาโน่นแล้ว”
สารพัดเสียงหยอกล้อของเพื่อนที่ทำงาน ที่รู้อยู่ว่าเราเป็นอะไรกัน ฉันยังคงอ้ำอึ้งอยู่เสมอ ก็เราไม่เคยแสดงความรักกันอย่างเปิดเผยต่อหน้าสาธารณชน มีบ้างบางครั้งที่เราส่งสายตาคุยกัน และน้อยครั้งที่เราร่วมรักกันที่ลับๆในที่ทำงาน...ขอย้ำว่าน้อยครั้งจริงๆ เว้นแต่ช่วงที่ทนไม่ไหว
ฉันรักเขาหรือเปล่า ฉันเคยถามตัวเอง ...ในเมื่อวัยสาว...แม้จะไม่แรกรุ่นอย่างฉัน ยังมีชายโสด สนใจอยู่บ้าง แต่ฉันไม่เคยชายตาแล หรือแม้แต่ให้ความหวังไอ้หนุ่มหน้าไหนเลย ทั้งๆที่สาวออฟฟิตทุกคนต่างรอที่จะเดินจากเกมส์ ‘รถด่วนขบวนสุดท้ายกัน’ เป็นทิวแถว แต่ฉันไม่เคยสนใจ...หรือฉันรักเขา ก็เขามีเสน่ห์ดึงดูดอย่างประหลาด ไม่ว่ายามเขาใส่สูทขึงขัง หรือยามเปลือยล่อนจ้อนอยู่บนเตียง
แต่คงไม่สำคัญแล้วในเวลานี้ เมื่อฉันคืนร่างมาเป็นแม่สาวโสดเหงาๆเฉาๆอยู่คนเดียวในบ่ายวันเสาร์ ใบหน้าที่เปลือยเปล่าไร้ซึ่งเครื่องสำอางแต่งแต้ม เวลานี้ฉันสามารถโชว์ริ้วรอยทุกเส้นบนใบหน้าได้อย่างไม่อายใคร ไม่ต้องพึ่งครีมรองพื้นและบลัชออนให้ดูเนียนใสหรือกระชับเด้งกว่าวัย ในเมื่อครีมรองพื้นมีไว้ปกปิดจุด่างดำบนใบหน้าในยามที่อยู่กับเขาเท่านั้น เช่นเดียวกับบาดแผล
ในหัวใจที่ออกมาเปิดเผยความช้ำของคำว่า ‘ชู้’ อย่างเจ็บช้ำในเวลานี้ ฉันปล่อยให้ทั้งสองสิ่งได้ออกมาเปิดเผยบ้างในเวลาอันเดียวดาย แล้วค่อยปกปิดมันอีกครั้งในเช้าวันจันทร์ เมื่อฉันเดินไปหาเขาด้วยใบหน้าสดใสสวยอ่อนวัยอย่างเคย พร้อมกับปกปิดความปวดร้าวในหัวใจ และลืมความรู้สึกนั้นไปอีกพักใหญ่จนกว่าวันหยุดสุดสัปดาห์จะกลับมาอีกครั้ง
อา ...ฉันเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านครีมรองพื้นเสียแล้ว




Create Date : 22 พฤษภาคม 2554
Last Update : 26 พฤศจิกายน 2558 10:59:30 น.
Counter : 478 Pageviews.

2 comment
สายฝนกับความฝัน
สายฝนกับความฝัน

ฝนตกกระหน่ำราวกับว่าเมฆจะร่วงลงมาจากฟากฟ้า ผมนั่งมองดูหยาดฝนเม็ดใหญ่ตกกระทบพื้นดินจนเปียกชุ่ม พลันนึกถึงคำพูดใครคนหนึ่งลอยขึ้นมาในหัว “ความฝันไม่ใช่ก้อนเมฆ แต่ความฝันคือสายฝน” คำพูดนี้ยังคงติดตรึงในสมองผม ไม่มีวันคลาย
.............................................................

ในห้องเพนเฮ้าส์ของโรงแรมห้าดาวใจกลางกรุงเทพ เทพพิทักษ์นอนชื่นชมเมืองใหญ่ผ่านกระจกห้องน้ำสุดหรูอยู่ในอ่างอาบน้ำจากูชชี่ บรรยากาศโรแมนติกยามค่ำคืนดูชื่นฉ่ำตระการตาเป็นสองเท่าเมื่อในอ่างอาบน้ำไม่ได้มีเพียงเขา
...ใช่แล้ว....มิเชลนางแบบลูกครึ่งฝรั่งเศสร่างระหงคนดังที่หนุ่มๆหลายคนหมายตานอนเปลื้องผ้าในอ่างน้ำเดียวกับเขา
“จำได้มั้ยครับ วันที่เราพบกันฝนก็ตกหนักแบบนี้”
เทพพิทักษ์เอามือลูบไล้แก้มข้างขวาของมิเชลอย่างเบามือ

เขากับมิเชลพบกันในวันงานเปิดตัวน้ำหอมชื่อดัง มิเชลไปเดินแบบให้น้ำหอมชื่อดัง ในขณะที่เทพพิทักษ์ได้รับเกียรติให้ไปร่วมงาน แขกในงานล้วนแล้วแต่เป็นแบบที่เรียกว่า “ไฮโซ” รวย มีชื่อเสียงด้วยกันทั้งนั้น ส่วนเทพพิทักษ์เป็นเพียงเด็กบ้านนอกที่บังเอิญไต่เต้าถึงขั้นเป็นผู้จัดการกองทุนมืออาชีพจึงเป็นที่ภูมิใจและสร้างแรงผลักดันให้เทพพิทักษ์ใช้เงินต่อเงินไปเรื่อยๆจนถึงจุดที่เขามีเงินมากมายไม่ต่างจากพวก”ไฮโซ”เหล่านั้นเลย

“เฮ้ มิเชล” เสียงมนัส เพื่อนนักลงทุนหุ้นตัวยงของเทพพิทักษ์ทักทายมิเชลอ่างสนิทสนม
“ไฮ ไมเคิล แอมไฟน์ แล้วยูล่ะ เป็นไงบ้าง”
เสียงทักทายแบบไทยคำอังกฤษคำทำให้เทพพิทักษ์รู้ว่าหญิงสาวลูกครึ่งหน้าตาสะสวยคนนี้พูดภาษาไทยชัดไม่เบา
“เออ...มิเชล นี่เทพพิทักษ์เพื่อนไอเอง”
แววตาแรกที่มิเชลจ้องมองเทพพิทักษ์พร้อมรอยยิ้มหวานๆทำให้เทพพิทักษ์รู้ว่าต้องพิชิตใจหญิงสาวคนนี้ให้ได้
นับตั้งแต่วันนั้นมา เทพพิทักษ์ตามเทียวไล้เที่ยวขื่อหญิงสาว ไม่ว่าจะดอกไม้แพงที่สุด ร้านอาหารที่ดีที่สุดเทพพิทักษ์ก็ยอมเสียเงินแลกเพียงเพื่อให้มิเชลพอใจ จนถึงวันนี้ที่เทพพิทักษ์ได้มิเชลมาครอบครองโดยพฤตินัยอย่างสมบูรณ์แบบ

ติ๊ด.... ติ๊ด……
“ฮัลโหล เฮ้มนัสเป็นไงบ้าง หายหน้าไปนานเชียว”
เสียงปลายสายคือมนัสเพื่อนนักลงทุนหน้าเดิมโทรศัพท์มาให้เทพพิทักษ์ออกไปพบที่ผับแห่งหนึ่ง
เทพพิทักษ์จำเป็นต้องไปพบเพื่อนอย่างไม่เต็มใจนัก แม้เขากำลังมีความสุขอยู่กับมิเชลที่ต่างนอนตากลมห่มฟ้าด้วยกันทั้งคู่
.....................................................

ในผับย่านทองหล่อ เทพพิทักษ์ไปพบมนัสตามที่ได้นัดหมายกันไว้ มนัสบอกกับเทพพิทักษ์ว่า เขามีเพื่อนชาวต่างชาติฐานะดีคนหนึ่งเดินทางมาปักหลักอยู่เมืองไทยและกำลังอยากได้ที่ปรึกษาทางการเงิน
มนัสเกิดปิ๊งไอเดียว่า เขาทั้งสองน่าจะร่วมมือกันจัดตั้งบริษัทที่ปรึกษาทางการเงินส่วนบุคคลอย่างจริงจังเสียที
เดิมทีงานของเทพพิทักษ์คือการเป็นผู้จัดการกองทุนส่วนบุคคล เขานำเงินของบรรดาไฮโซทั้งหลายมาจัดสรรปันส่วนลงทุนในหุ้นบ้าง ฝากธนาคารบ้าง และเอาไปลงทุนในทรัพย์สินต่างๆบ้าง เพียงแต่ทำให้เงินเหล่านั้นผลิดอกออกผลมากขึ้น เขาได้ผลตอบแทนเป็นเปอร์เซ็นส่วนเพิ่มจากการลงทุนที่ต้องแบ่งให้บริษัทส่วนหนึ่ง และเขาอีกส่วนหนึ่งซึ่งก็มากถึงหกหลักอยู่แล้ว แต่ถ้าตัดสินใจร่วมทุนกับมนัสเชื่อแน่ว่าผลตอบแทนที่จะได้ต้องมากกว่าหกหลักเป็นแน่!

และเป็นจริงตามคาด บริษัทที่ปรึกษาทางการเงินของเขาสร้างรายได้อย่างงามฉุดรายได้เทพพิทักษ์พุ่งเป็นเจ็ดหลักต่อเดือน เทพพิทักษ์สามารถใช้ชีวิตหรูหราโอ่อ่าไม่ต่างจากไฮโซคนหนึ่ง เขามีเงินปรนเปรอมิเชล และกิ๊กสาวๆ อีกหลายคน กินอาหารมื้อละหมื่น มีงานเลี้ยงสังสรรค์หรืองานฉลองอย่างไร้เหตุผลแทบไม่เว้นแต่ละวัน เสมือนน้ำเงินช่วยเติมเต็มชีวิตให้สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้นจนถึงขั้นที่เรียกได้ว่า เขามีอาการติดเงิน เขาซื้อสิ่งของหรือแม้กระทั่งคน ด้วยเงิน
เทพพิทักษ์ไม่เคยรู้สึกประหวั่นพรั่นพรึงถึงการจ่ายเงินมากมายของตนด้วยว่าเขามีเงินต่อเงิน เงินช่างหาง่ายเหลือเกิน ระยะหลังมานี้อาการติดเงินเพิ่มมากขึ้น หลายครั้งที่เขาและมนัสจิ๊กเงินหลักแสนจากบัญชีลูกค้ามาใช้ด้วยเหตุผลที่มนัสให้ว่า เงินมากมายหลายสิบล้านหายไปสักล้านจะเป็นไรไป
เหตุการณ์เริ่มบานปลายเมื่อเงินของลูกค้าเริ่มสร้างรายได้น้อยลงจนถึงวันที่ลูกค้าเริ่มสืบเสาะพบว่าบริษัทของเทพพิทักษ์ถูกฟ้องเรียกค่าเสียหายร่วมสิบล้าน ข้อหา ฉ้อโกงเงินผู้อื่นโดยเจตนา!!

ในขณะที่เทพพิทักษ์หาทางสู้คดี มนัสเพื่อนผู้ก่อตั้งบริษัทมาด้วยกันและเป็นผู้ร่วมอุดมการณ์ฉ้อโกงลูกค้าหอบเงินกองทุนก้อนสุดท้ายหลบหนีไปต่างประเทศโดยไม่รู้ตัว นี่สินะที่เขาเรียกว่า”เพื่อนกินหาง่าย เพื่อนตายหายาก”
………………………………………………..

ในห้องเพนเฮาส์ของโรงแรมระดับห้าดาวของเทพพิทักษ์
“รถพร้อมแล้วครับท่าน”
เสียงพนักงานโรงแรมแจ้งอย่างสุภาพ เทพพิทักษ์หันมาทำหน้ารับรู้ก่อนจะเดินออกจากห้องด้วยมาดผู้บริหารทรงคุณวุฒิ อีกวันที่ฝนกระหน่ำเหนือม่านฟ้าเมืองกรุงราวกับว่าจะหลั่งน้ำฟ้าลงมาให้หมด

รถแท็กซี่จอดรออยู่ไม่ไกลนัก อา นี่ถือเป็นการนั่งแท็กซี่ครั้งแรกในรอบหลายปีของเทพพิทักษ์ ทั้งนี้เนื่องจากทั้งรถ บ้านและเงินในบัญชีถูกริบไปเป็นสินไหมทดแทนให้ลูกค้าผู้ชนะคดี ฉ้อโกงของเขา
แท็กซี่พาเทพพิทักษ์ไปยังสนามบินสุวรรณภูมิแทนที่จะนั่งรถลีมูซีนของโรงแรมอย่างเคย
เทพพิทักษ์นั่งคิดเรื่อยเปื่อย เม็ดฝนที่พร่างพรูเหมือนน้ำตาคนในยามเจ็บปวด หลั่งไหลไม่ขาดสาย

“ศาลพิพากษาให้ นายเทพพิทักษ์เป็นบุคคลล้มละลาย”

เสียงพิพากษายังก้องอยู่ในหัวเทพพิทักษ์ ความรู้สึกภาคภูมิใจในชีวิตพลันล่มสลายในพริบตา ความอับอายทำให้เขาต้องหลบหน้าผู้คนไปให้พ้นเสีย คงเป็นครั้งสุดท้ายที่เขาได้อาศัยห้องเพนเฮ้าส์ราวกับราชา เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพรุ่งนี้จะทำอย่างไร ในหัวนึกออกเพียงหนทางเดียวคือ หนีไปอยู่อเมริกาสักพักหนึ่ง ยังดีที่เขาไหวตัวทันเอาเงินไปฝากธนาคารแถบละตินอเมริกาเสียส่วนหนึ่ง ทว่าเป็นส่วนน้อยมาก แต่ก็ยังดีที่เขาไม่ต้องถึงขั้นหมดตัวจนต้องไปเป็นขอทาน

เงินก้อนสุดท้ายจึงทำให้เทพพิทักษ์พอมองเห็นลู่ทางอยู่บ้าง เขาก้าวขึ้นรถแท็กซี่ พร้อมปฏิญาณกับตัวเองว่า ยังไงก็ตามเขาจะกลับมาทวงบัลลังค์ ความสำเร็จและอำนาจเงินคืนมาให้ได้

“ล้มละลาย”เทพพิทักษ์เกลียดเกลียดคำนี้ ใครหนอเป็นคนคิดคำว่า ล้มละลาย คิดดูซิว่าคนเรา แค่ล้มก็เจ็บแค่ไหน นี่ยังละลายกลายเป็นอณูเล็ก แทบจะไม่รวมร่างกันเป็นกลุ่มก้อน ช่างเหยียดหยามความหมายของ”คน”เสียจริง

“ไปสนามบินใช่มั้ยครับ”
เสียงพนักงานขับรถถาม เทพพิทักษ์พยักหน้าเล็กเป็นสัญญาณตอบ ทอดสายตาออกไปเบื้องนอกครุ่นคิดถึงอดีตที่ผ่านมาและสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น
“อากาศดีนะครับ ฝนตก ผมชอบที่สุดเวลานั่งในรถตอนฝนตก “
บ้ารึเปล่าชอบฝนตกรถติดจะตาย เทพพิทักษ์คิดในใจและเริ่มรำคาญพนักงานคนนี้ขึ้นมาตะหงิดๆ
“จะไปเที่ยวเมืองนอกหรือครับ”
ช่างเป็นพนักงานที่สนใจความเป็นไปของลูกค้าเสียเหลือเกิน เขาจึงตอบไปแบบเสียไม่ได้ว่าผมจะไปทำร้านอาหารที่ต่างประเทศ
“แปลกนะทั้งๆที่ดูบุคลิกคุณ ผมคิดว่าคุณชอบเป็นนักธุรกิจ อยู่ในตึกหรูๆเสียอีก มิยักรู้ว่าคุณชอบทำร้านอาหารลุยๆ” พนักงานขับรถวัยสี่สิบเศษยังคงพูดเป็นต่อยหอย ดูสิว่าจะพูดไปได้ถึงไหนกัน
“ดีครับเลือกทำสิ่งที่ชอบยังดีกว่าไอ้พวกที่บ้าหาเงินมาโปะหนี้ไปวันๆ”
เทพพิทักษ์สะดุ้งนิดๆรู้สึกเหมือนร้อนตัวขึ้นมา “หมายความว่ายังไงที่ว่าบ้าหาเงิน”
“อ้าวคุณไม่เห็นหรือ คนทั่วๆไปที่เค้าคิดว่า ทำงานหาเงิน พอได้เงินแล้วก็หาความสุขให้ตัวเอง อย่างนี้จะเรียกได้ว่าความสุขได้อย่างไร ในเมื่อชีวิตไม่ต่างจากเครื่องปั่นน้ำผลไม้...ปั่นแค่เอาน้ำ กากที่เหลือยังดีมีประโยชน์ก็ทิ้งหมด เหมือนคนปั่นเงิน คิดแต่จะหาเงินเข้ากระเป๋าจนลืมแม้แต่เพื่อนบ้านชื่ออะไร”

พลันภาพเก่าๆในชีวิตลอยเข้ามาในหัว บัณฑิตมหาวิทยาลัยชั้นนำของประเทศอย่างเขา ไม่ยากเลยที่จะหางานเงินเดือนสูงๆ ยิ่งพูดภาษาอังกฤษได้ดียิ่งไม่มีคำว่า “ตกงาน” เทพพิทักษ์ได้งานด้านลงทุนที่บริษัทข้ามชาติยักษ์ใหญ่ ไม่นานความสามารถอันโดดเด่นนำพาผมมาเป็นผู้บริหารระดับต้นของบริษัท และกลายเป็นเจ้าของบริษัทที่ปรึกษาการลงทุน

ชีวิตคนธรรมดาจึงเริ่มมีสังคมเพื่อนฝูง งานเลี้ยงไม่มีวันเลิกราเป็นคำขวัญประจำตัวเทพพิทักษ์ เงินทุกบาทที่ได้มาจากกำลังสมองของตัวเองจึงไม่ใช่เรื่องผิดที่เขาจะใช้เงินหาความสุขให้ตัวเองบ้าง เมื่อเงินหาง่ายๆ ก็จ่ายสบายโดยไม่ต้องกังวลเรื่องการเงิน เก็บเงินบ้าบอ เหมือนพวกมนุษย์เงินเดือนทั่วๆไป ในเมื่อเขามีเงิน มีเพื่อนมากมาย การสังสรรค์ที่มากขึ้น มากขึ้น เทพพิทักษ์สังสรรค์ ดูหนังกับสาวๆนางแบบในวงการบันเทิง โดยเฉพาะ....มิเชล
“จ่ายเงินมากกว่า ไม่ได้รับประกันว่าจะมีความสุขมากขึ้น แล้วไอ้พวกบ้าเงินนี่ก็ไม่ยั่งยืนหรอกครับ มีเงินเที่ยวเล่น วันนึงมันก็ต้องจมอยู่กับกองทุกข์เพราะเงิน ที่เขาว่าเป็นหนี้บัตรกันรุงรัง” เขา พูดราวกับว่ารับรู้และเห็นภาพในสมองของเทพพิทักษ์….
”เพื่อนที่ว่ารักกัน พอหมดเงินก็หายตัว”
อีกครั้งที่ประโยคสั้นๆของชายคนขับรถช่างตรงกับชีวิตเทพพิทักษ์เหลือเกิน

“ผมว่า คุณคิดถูกแล้วที่ทำสิ่งที่รัก ยังหนุ่มยังแน่น ยังมีเวลาทำอะไรอีกเยอะ”

ชายหนุ่มยังคงนั่งเงียบ หงุดหงิดนิดหน่อยที่มีเสียงขัดจังหวะจินตนาการภาพอดีตอันเร่าร้อนระหว่างตนกับมิเชล ที่ป่านนี้หายไปพร้อมกับคำว่าล้มละลาย...โธ่ลุงช่างไม่รู้เลย ผมไม่ได้อยากทำร้านอาหาร แต่มันเป็นหนทางหนึ่งที่สร้างเงินได้ต่างหากล่ะ เพราะอย่างน้อยเขาจะได้อยู่ห่างจากคำว่า”ล้มละลาย”สักพัก

“บางคนเขาว่า ความฝันเหมือนก้อนเมฆอยู่สูง ยากจะเอื้อม แต่ผมว่า ความฝันเหมือนฝนมากกว่านะครับ มันสูงเสียดฟ้าตอนเริ่ม แต่สุดท้ายถ้าเรารอ มันจะตกลงมาเป็นฝน”
ฟังดูดีแฮะ ความฝันเหมือนสายฝน ลุงนี่น่าจะไปเขียนนิยายมากกว่าขับแท็กซี่ ตลกดีและคงต้องนั่งฟังไปอีกพักใหญ่เพราะฝนตกรถติดแน่สนิท

ความฝันไม่ใช่ก้อนเมฆที่ล่องลอยอยู่ในอากาศและมิอาจเอื้อมมาเป็นของตนได้ แต่ความฝันคือน้ำใสไหลเอื่อยไปตามกระแสของกาลเวลา มีบ้างบางครั้งที่ความฝันถูกโลกความจริงอันโหดร้ายร้อนแรง แผดเผาจนเกรียมไหมล่อนสลายกลายเป็นไอน้ำสู่เบื้องบน… ห่างไกล... สูงส่งเกินเอื้อม แต่สักวันหนึ่งเมื่อเราวิ่งไล่ตามความฝันแบบกัดไม่ปล่อย เหล่าไอน้ำแห่งความฝันจะกลั่นตัวตกลงมาเป็นฝน เป็นคำเปรียบเทียบที่ดูดีมีเหตุผลจนไม่เชื่อว่าจะมาจากปากคนขับรถรับจ้างคนหนึ่ง

นานแค่ไหนแล้วนะ ที่เทพพิทักษ์ลืมความฝันทิ้งไว้ในซอกหลืบที่เล็กที่สุดของความคิด...ครั้งหนึ่งเขาเคยฝันว่าจะเป็นครูสอนศิลปะ แต่เขาลืมมันไปนานแล้ว มีบ้างบางครั้งที่เขาเหงาๆ เซ็งๆ จากงานปาร์ตี้ ที่ไม่มีวันเลิกรา หยิบดินสอสีน้ำมันขึ้นมาระบายความฝันลงไปบนผืนผ้าใบ เวลาวาดรูป เขาสัมผัสได้ถึงความรู้สึกอิสรเสรีที่หาไม่ได้จากการทำงานด้านธุรกิจ แต่เพราะ”เงิน” เขาจึงเลือกทิ้งการวาดรูปอย่างจริงๆจังๆ ด้วยเหตุผลว่า “จิตรกรไส้แห้ง มีแต่จิตรกรดังๆที่ตายไปแล้วเท่านั้นที่จะทำเงิน” เทพพิทักษ์จึงทิ้งความสามารถด้านศิลปะและความฝันไว้เบื้องหลัง เก็บมันไว้ในลิ้นชักที่ลึกที่สุดของความคิด มุ่งมั่นเรียนธุรกิจเพื่อหาเงิน หวังว่าจะรวย และเขาก็ได้รวยสมใจมาแล้วครั้งหนึ่งแม้ทรัพย์สินก้อนโตจะจากไปแล้วก็ตาม

“ดีแล้วล่ะครับคุณ อย่าได้ปล่อยให้ชีวิตมันโกโรโกโสเหมือนผม ผมมันโง่ ตอนหนุ่มๆ มีเงินก็สังสรรค์ใช้เงินแลกความสุขไปเรื่อย คุณรู้มั้ย จริงๆ ผมควรจะได้นั่งในโรงแรมหรูๆ จิบบรั่นดี กับเขาเหมือนกัน เสียแต่ว่า....”
เสียงชายวัยดึกเงียบไปครู่ใหญ่ คงเป็นสิ่งที่เขาไม่อยากพูดเท่าไหร่นัก เทพพิทักษ์จึงไม่ถามต่อ

“คุณรู้มั้ย ผมเคยมีทุกอย่าง บ้าน รถ เพื่อน และผู้หญิง” เสียงเครือในลำคอชายสูงอายุฟังดูเศร้า
“ผมไม่เคยระวังตัวเลย จ่ายเพื่อเลี้ยงฉลอง คุณเชื่อมั้ย ตอนผมรวย เพื่อนเต็มบ้าน ผมไม่เคยต้องเหงาเลย มีเพื่อนตลอด….พอผมล้ม เพื่อนที่มีเป็นสิบๆ หายหัวไปหมด จะขอความช่วยเหลือจากใครไม่มีเลย ผมเหลือแต่ตัว สุดท้ายก็เดียวดายมาขับแท็กซี่นี่ล่ะครับ” เสียงลุงคนขับรถเงียบไปชั่วครู่ ฝนห่าใหญ่ยังคงกระหน่ำลงมาเหมือนงานเลี้ยงที่ไม่เลิกรา
“เมื่อก่อนผมเชื่อว่า เงินคือคำตอบของชีวิต เงินทำให้เราสบายใจ ปลอดภัย และมีความสุข...ผมจึงทิ้งความฝันที่ผมเคยอยากทำ...ผมเคยอยากเป็นจิตรกร ใช่ ผมรู้ จิตรกรไส้แห้ง ยากจน ผมเลยเลิกเรียนวาดรูปมาเป็น พนักงานขาย ทำไปรับเงินไป ได้เงินมาก็เอาไปเลี้ยงกับเพื่อนกับฝูง” ชีวประวัติฉบับย่อของชายขับแท็กซี่ช่างกระแทกใจเทพพิทักษ์เหลือเกิน ชีวิตในอดีตของชายผู้นี้คือภาพสะท้อนปัจจุบันของเขา
”ความฝันไม่ใช่ก้อนเมฆแต่ความฝันคือสายฝน” “จ่ายเงินมากกว่า ไม่ได้ทำให้มีความสุขมากกว่า”
“ทำในสิ่งที่รัก” สามประโยคทำให้ชายหนุ่มย้อนคิดถึงปัจจัย 3 สิ่งของชีวิต งาน เงิน และความสุข ความหมายชีวิตที่ผิดพลาดของเขา
“อย่าลืมรอนะครับ อย่าลืมอดทนรอให้ความฝัน เป็นความจริงนะครับ เหมือนกับฝน”เสียงสุดท้ายของชายขับแท็กซี่ที่เตือนสติเทพพิทักษ์ได้เป็นอย่างดี

จากวันนั้นในรถลีมูซีนกับพนักงานขับรถนักปรัชญาเดินดิน จนถึงวันนี้ สามปีแล้วสินะ เขายังจำเวลานั้นได้เสมอ

วันนี้เทพพิทักษ์นั่งอยู่ที่ตึกขนาดกลางย่านชานเมือง .....ในประเทศไทย...สุดท้ายเขาเลือกที่จะไม่ไปเมืองนอกเพื่อเปิดร้านอาหาร.... หลังจากลงจากรถแท็กซี่เมื่อสามปีที่แล้ว นั่งครุ่นคิดที่สนามบินครู่ใหญ่ สุดท้ายจึงตัดสินใจนับหนึ่งใหม่ที่โรงเรียนสอนศิลปะสำหรับเด็ก เงินไม่ใช่คำตอบสุดท้ายอีกต่อไป แต่เงินเป็นส่วนขับเคลื่อนให้ชีวิตดำเนินไปอย่างราบรื่น ทุกวันนี้เทพพิทักษ์เข้าใจคำว่า “มีเงินมากกว่า ไม่ได้รับประกันว่าชีวิตนี้จะมีความสุขมากกว่า” ไม่ใช่ว่า”เงิน”ไม่ แต่เราต้องไม่ตกเป็นทาสของเงิน

เงินก้อนสุดท้ายเมื่อสามปีที่แล้วงอกเงยเป็นทั้ง โรงเรียนสอนศิลปะ เงินกินอยู่ของเขาและยังเหลือเก็บจนทุกวันนี้ ด้วยมหัศจรรย์ของการประหยัดอดออม จากงเนหลักร้อยกลายเป็นหลักพันต่อเนื่องต่อไปอย่างช้าๆแต่ว่ามั่นคง...เขาเรียนรู้ว่าการใช้ชีวิตอยู่ตามหลักเศรฐษกิจพอเพียงไม่ใช่เพียงปรัชญาหรือนิยายอีกต่อไป

เงินไม่ใช่ทุกอย่างของชีวิต แต่เป็นส่วนเติมเต็มของชีวิต จงมีความสุข ทำในสิ่งที่ตนเองรัก มุ่งมั่น และอดทนรอให้ความฝันกลั่นตัวลงมาเป็นความจริง...หยาดฝนชุ่มฉ่ำ คือน้ำเงินที่จะหล่อเลี้ยงชีวิตในวันต่อไป

เทพพิทักษ์อยากขอบคุณคนขับรถคนนั้นเหลือเกิน บทสรุปชีวิตที่เรียนรู้ได้จากตัวเอง วันนี้ เขาสามารถนำความฝันและความจริงมาผสานจนเป็นเนื้อเดียวกันที่เรียกว่าความสุขโดยมี”เงิน”ซึ่งเป็นส่วนเติมเต็มให้ชีวิตสุขใจมากขึ้น
เขายังคงนั่งมองเม็ดฝนค่อยๆซาลงเรื่อยๆ เสียงเคาะประตูดังขึ้น เลขาสาวของเขาเดินเข้ามาบอกให้เตรียมตังก่อนแถลงข่าว 15นาที

พรุ่งนี้ สถาบันสอนศิลปะของเทพพิทักษ์จะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์



Create Date : 22 พฤษภาคม 2554
Last Update : 22 พฤษภาคม 2554 14:19:05 น.
Counter : 425 Pageviews.

0 comment

natstered
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]