|
เพลง คนไม่มีเวลา จากเรื่องจริงที่กินใจ
ถ้าพูดว่า คนไม่มีเวลา หลายๆคนคงนึกภาพของคนที่ยุ่งจนไม่มีเวลาทำอะไร, คนที่ชีวิตวุ่นวายรีบเร่ง แต่สำหรับ ว่าน ธนกฤต คนไม่มีเวลา มีความหมายต่างจากนั้นมากมายนัก
ข้อความต่อๆไป เกิดจากการพูดคุยสัมภาษณ์กับนักร้อง นักดนตรี รุ่นใหม่ ว่าน ธนกฤต
ผมกับพี่จั๊ก (ชวิน จิตร์สมบูรณ์) ทำงานเพลงร่วมกัน ซึ่งพี่จั๊ก แต่งทำนองเสร็จนานแล้ว และให้ผมเขียนเนื้อ แต่ผมก็ยังเขียนไม่ได้ซักที มีอยู่วันหนึ่ง ขณะที่ผมกำลังจัดรายการ ก็มีแฟนรายการคนนึงมาขออัดเสียงผม โดยบอกว่าจะเอาไปให้เพื่อนที่กำลังป่วยฟัง และเพื่อนคนนั้นเค้าชอบผมมาก ซึ่งผมก็บอกว่า อย่าอัดเสียงเลยครับ ผมไปเยี่ยมก็ได้ ซึ่งตอนแรกผมรู้เพียงว่า พี่คนนั้นเค้าป่วย ต้องผ่าตัดสมอง แต่ไม่รู้รายละเอียดว่า เค้าเป็นอะไรขนาดไหน
ซึ่งพอผมไปถึงที่โรงพยาบาล สิ่งแรกที่กระทบผมคือ เสียงเพลงจากอัลบั้มแรกของผมดังอยู่ในห้องนั้น ภาพที่ผมเห็นคือ ห้องคนป่วยที่บนผนังห้องติดโปสเตอร์ของผม รูปของผม และตารางจัดรายการของผม ส่วนพี่ที่นอนอยู่ในสภาพไม่รู้สึกตัว มีผ้าพันหัวและอุปกรณ์ช่วยชีวิตระโยงระยางเต็มไปหมด ผมได้พบกับครอบครัวของพี่เค้าด้วย ทุกคนในห้องเล่าให้ผมฟังว่า พี่ที่ป่วยชื่อพี่บี เป็นโรคเส้นเลือดในสมองแตก ต้องผ่าตัดสมองถึง 5 ครั้ง และตอนนี้ก็ยังไม่รู้สึกตัวเลย ทั้งแม่ และครอบครัว รวมถึงสามีของพี่บี ทุกคนเล่าให้ผมฟังว่า พี่บีดีขึ้น คือเริ่มขยับนิ้วได้บ้างแล้ว ทุกคนดูมีความหวังและกำลังใจ แต่สำหรับความรู้สึกของผม ผมกลับรู้สึกว่า เวลาในห้องนั้นได้หยุดเดิน ทุกคนที่รอ รออย่างไร้จุดหมาย เหมือนเวลามันได้ผ่านเลยไปสำหรับคนที่รออยู่
วันนั้น เมื่อกลับถึงบ้าน ผมเขียนเพลงที่ดองไว้นานเสร็จในเวลาแค่ครึ่งชั่วโมง เวลา อาจไม่มีความหมาย...สำหรับคนบางคน
ข้างล่าง เป็นเรื่องราวของพี่มืดและพี่บี
พี่มืดกับพี่บี รู้จักกันเพราะทำงานที่เดียวกัน และก็เป็นแฟนกันนาน 8-9 ปี หลังจากนั้นก็แต่งงานกัน พี่มืดทำงานเป็น ครีเอทีฟบริษัทโฆษณา ส่วนพี่บีเป็นอาร์ต ไดเรคเตอร์ ทั้ง 2 คนเรียนจบเมืองนอก และบ้างานด้วยกันทั้งคู่ เมื่อแต่งงานกัน ทั้งคู่จึงมีแผนจะสร้างบ้านหลังใหม่ขึ้นมา และต้องใช้เงินอีกก้อนใหญ่ พี่บีซึ่งปกติทำงานเยอะอยู่แล้ว ก็รับจ๊อบเพิ่มขึ้น เพื่อหาเงินสร้างบ้าน งานเยอะก็เครียดหนัก จนปวดหัวประจำ และมีไมเกรนเป็นโรคประจำตัว
หลังจากแต่งงานกันมา 1 ปี 2 เดือน เช้าวันนั้น พี่มืดแต่งตัวเสร็จแล้ว เตรียมตัวไปทำงาน แต่พี่บียังไม่ลุกจากที่นอนและบ่นว่าปวดหัว พี่มืดเลยบอกให้นอนพักอยู่กับบ้าน ไม่ต้องไปทำงาน แล้วพี่มืดก็ออกไปทำงาน
นั่นเป็นเช้าวันสุดท้ายที่พี่มืดได้คุยกับพี่บี
พี่มืดเล่าว่า พี่บีเส้นเลือดในสมองแตก เพราะอาการปวดหัวอย่างหนัก ช่วงบ่ายวันที่เกิดเรื่อง พี่บีปวดหัวจนสลบไป และพี่สาวต้องพาไปส่งโรงพยาบาล หมอบอกว่า เส้นเลือดในสมองแตก และต้องเข้ารับการผ่าตัดถึง 5 ครั้ง ผ่าเส้นนี้อีกเส้นก็แตก ผ่าแล้วก็แตกถึง 5 รอบ จนสุดท้าย หมอก็บอกว่า คงไม่มีเส้นไหนให้แตกอีกแล้ว พี่บีออกจากห้องผ่าตัดมาก็ยังไม่ฟื้นอีกเลย
เมื่อเหตุการณ์เกิดขึ้นแบบไม่ทันตั้งตัว พี่มืดรับไม่ได้ ไม่ไปทำงาน ไม่กินไม่นอน ได้แต่นั่งเฝ้าอยู่ที่โรงพยาบาล ไม่เข้าใจว่าโชคชะตาเล่นตลกอะไรกับเค้า เหมือนตกจมดิ่งไปในหลุมลึกที่ไม่มีทางขึ้น ดิ้นรนทำทุกทางเพื่อคนรัก
พี่บีอยู่โรงพยาบาล 3 เดือน แบบไม่รู้สึกตัว จนวันหนึ่ง อยู่ๆพี่บีก็ลืมตาขึ้นมา พี่มืดและครอบครัวดีใจกันมาก แต่พี่บีก็แค่ลืมตา กระพริบตา ไม่ได้รับรู้อะไร นิ้วก็เริ่มกระดิกได้ ความหวังของพี่มืดเริ่มเกิดอีกครั้ง พี่มืดเอาแหวนแต่งงานที่ต้องถอดออกมาใส่ให้ แต่นิ้วพี่บีบวมใสไม่ได้ พี่มืดพูดติดตลกทั้งน้ำตากับพี่บีว่า อ้วนขึ้นนะเธอ ลุกขึ้นมาเดินได้แล้ว
หมอบอกว่า สำหรับคนเป็นโรคแบบนี้ รักษาอะไรไม่ได้ นอกจากรอ บางคนก็จะฟื้นตื่นขึ้นมาเอง บางคนตื่นก็หาย บางคนถึงตื่นมาก็ช่วยตัวเองไม่ได้ แต่บางคนก็อาจจะเป็นเจ้าหญิงนิทราตลอดไป ขอแค่มีความหวังและกำลังใจ อะไรก็เกิดขึ้นได้ หมอแนะนำให้พาพี่บีกลับไปดูแลที่บ้าน
พี่มืดต้องพยายามทำให้ตัวเองอยู่ได้ ทั้งเพื่อตัวเอง และเพื่อพี่บี
ชีวิตทุกวันนี้ พี่มืดตื่นขึ้นเพราะหมาที่พี่บีเคยเลี้ยงไว้ เข้ามาเลียหน้าปลุก พี่มืดต้องเปิดประตูบ้านให้มันออกไปข้างนอก ลงมาข้างล่างชงกาแฟ และแวะเข้าไปหาพี่บีที่ห้อง พี่มืดจะนั่งคุยเรื่องราวทั่วไป เปิดเพลง บางทีก็เอากาแฟเข้าไปใกล้ๆจมูกพี่บี เพราะพี่บีก็ติดกาแฟเหมือนกัน ถ้าอยากกินก็ตื่นขึ้นมากินนะ พี่มืดจะบอกพี่บีอย่างนี้ หลังจากดูพี่บีเสร็จก็ออกไปทำงาน ไปทำงานแล้วก็กลับบ้าน มานั่งเป็นเพื่อนพี่บี เป็นกิจวัตรอย่างนี้ทุกวัน
จากคนที่เคยสนุกสนานเฮฮาปาร์ตี้ ก็กลับเป็นคนเงียบสงบ รถติดก็จะหยิบหนังสือสวดมนต์มาอ่าน จนทุกวันนี้ท่องจบได้เป็นหน้าๆ ทำบุญ เข้าวัด โดยหวังบุญกุศลจะส่งผลถึงคนรัก ที่บ้านก็ต้องเปิดเพลงที่พี่บีชอบ ต้องนั่งพูดคุยเรื่องต่างๆให้ฟังทุกวัน พยายามหาอะไรที่เค้าชอบมาให้ได้รับรู้ อะไรก็ได้ ที่จะทำให้เธอกลับมาดังเดิม
จนทุกวันนี้เวลาผ่านไปเกือบ 1 ปีแล้ว ตั้งแต่กลับมาอยู่บ้าน พี่บีก็ยังเหมือนเดิม ตาที่ลืมขึ้นมา ก็มองอย่างเหม่อลอย โดยหาจุดโฟกัสไม่ได้ นิ้วมือทำได้แค่เพียงกระดิก แต่พี่มืดเชื่อว่า พี่บีรับรู้อยู่ข้างในแต่แสดงออกมาไม่ได้ พี่บีก็คงกำลังต่อสู้อย่างหนักเพื่อที่จะกลับมา พี่มืดก็จะต่อสู้เหมือนกัน เค้าจะไม่ทิ้งไปไหน และจะทำทุกอย่างเท่าที่ชีวิตนี้จะทำให้ได้ จะรอคอยอย่างมีความหวังต่อไป แม้เวลาจะนานต่อไปอีกแค่ไหน
เมื่อถามว่า ถ้าพี่บีตื่นขึ้นมา พี่มืดอยากพูดอะไรกับพี่บีเป็นคำแรก
พี่มืดตอบว่า ผมอยากจะขอบคุณเค้า เพราะ ที่เค้าเป็นแบบนี้ทำให้ผมรู้ว่าผมรักเค้ามากแค่ไหน และถ้าผมเป็นคนที่นอนอยู่ตรงนั้นแทนที่จะเป็นเค้า ผมเชื่อว่า เค้าคงดูแลผมได้ดีกว่าที่ผมดูแลเค้า
หลายคนบอกว่า ไม่มีอะไรเอาชนะกาลเวลาได้ แต่เราเชื่อว่าความรักสามารถเอาชนะวันเวลาได้ ขอบคุณพี่มืด พี่บี และครอบครัว ที่ทำให้เรารู้จักคุณค่าของความรักที่ยิ่งใหญ่เหนือเวลา
ขอบคุณที่ได้มีโอกาสอ่านข้อความนี้ ได้ดู MV เพลงนี้ ทำให้ตัวเองมีกำลังใจมากขึ้น และจะต้องหาเวลาให้กับตัวเอง และคนรอบข้างมากขึ้น ก่อนที่จะไม่มีเวลาที่จะให้ทำอะไรดีๆ ต่อกัน...
ซึ้งมากมายเลย..ขอบคุณคะ
Create Date : 18 กันยายน 2552 | | |
Last Update : 18 กันยายน 2552 13:24:49 น. |
Counter : 2809 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
ความดือนร้อนของคนหาเช้ากินค่ำ
เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา นั่งรถเมล์กลับบ้านตามปกติ แต่วันนี้นั่งรอน้องที่อนุสาวรีย์ ช่วงระหว่างที่นั่งรอ ก็มองเพลินไปรอบๆ ก็ได้เจอแก๊งค์ล้วงกระเป๋า กำลังทำงานกันง่วนเลย ระหว่างที่พวกนั้น ยังไม่ได้เงินกระเป๋าคนอื่น(รึป่าว) พวกมันก็เดินผ่านตรงหน้าเรา แล้วก็ส่งซิกกัน ให้นั่งประกบผู้หญิงคนนึง ที่นั่งอยู่ข้างๆ เรา ซึ่งผู้หญิงคนนั้ หิ้วกระเป๋าถือแบบผู้หญิงๆ ใบใหญ่ใบนึง พร้อมกับถุงกระดาษอีก 2 ใบ ดูพะรุงพะรังเล็กน้อย เหมาะอย่างยิ่งกับการที่ผู้หญิงคนนี้จะไม่ค่อยระวังตัว
เราเองก็เห็นเหตุการณ์อยู่ตั้งนานแล้ว ตั้งแต่ที่พวกมันไปทำการล้วงกระเป๋าอยู่ตรงถนนด้านนอก จนไปถึงการส่งซิกกันให้นั่งประกบผู้หญิงที่นั่งอยู่ข้างๆ เรา แล้วเราจะบอกผู้หญิงคนนี้ยังไงดี...? หรือเราจะไม่บอกดี ..? ถ้าบอก แล้วมันจะรู้มั๊ย แล้วมันจะจำหน้าเราได้มั๊ย..? แล้วถ้ามันจำได้ แล้วเราจะซวยมั๊ย..?
มีคำถามเกิดขึ้นระหว่างที่เราจะตัดสินใจ แต่สุดท้ายก็ได้คำตอบว่า.. ไม่บอก ไม่ได้แล้วหละ
เราก็หยิบกระดาษในกระเป๋าขึ้นมา พยายามมองไปข้างนอกเรื่อยๆ ทำนับนิ้วเพื่อนับเลข ใช้ปากกาเขียนไปเขียนมา เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ เพื่อให้มันคิดว่า เราคิดเลขอยู่ .. แล้วเราก็เขียนลงไปในการดาษ "พี่คะระวังคนข้างๆ ล้วงกระเป๋า"
แล้วก็มองไปมองมา ว่ามันดูอยู่หรือป่าว มือสะกิดผู้หญิงที่ไหล่คนนั้น โชคดีที่เค้าหันมาแต่หน้า ไม่ได้หันเยอะ แล้วก็อ่านกระดาษที่เราให้เค้าดู พอเค้าอ่านจบ เค้าก็รวบของทุกสิ่ง ทุกอย่างเอาไว้ใกล้ๆ ตัว แล้วล้วงกระเป๋าถือ สำรจข้าวของ พร้อมกับหยิบโทรศัพท์ ไม่รู้หรอกว่าเค้าโทรหาใคร และเราก็ทำเป็นมองนู่น มองนี่ไปเรื่อยๆ
แต่ก็แอบสักเกตุ พวกเลวนั่น มันคงรู้แล้วแน่เลย ว่าผู้หญิงคนนี้รู้ตัวแล้ว สักพักมันก็ลุกไป ไปที่ถนนด้านนอก เพื่อทำงานต่อไป แต่ระหว่างนั้น มันก็ยังแอบมอง เรากับผู้หญิงคนนี้ด้วย...
แล้วเราเล่าให้เค้าฟัง เค้าฟังแล้วก็ขอบคุณ และพอดีว่าน้องเรามาเราก็ขอตัวกลับบ้านก่อน เราก็เล่าให้น้องเราฟัง น้องเราก็เสนอว่า ไม่ถามเค้าหละว่ากลับรถสายอะไร เผื่อจะได้กลับด้วยกัน จะได้ปลอดภัยด้วย
แล้วเรากับน้องก็เดินกลับไปหาผู้หญิงคนนั้นอีกรอบ ถามเค้า แต่ว่าเค้ากลับคนละสายกับเรา เราก็เลยรีบกลับบ้านดีกว่า อยู่นานเดี๋ยวเจอพวกมันอีก จะไม่ดีกับตัวเเรา
เฮ้อ!! ไอ้แก๊งนี้ เราเห็นมันตั้งนานแล้ว ก็ไม่เห็นมันจะโดนจับอะไรเลย ก็ยังล้วงกระเป๋าคนนู้น คนนี้อยู่ประจำ ไม่รู้ว่าตำรวจเค้ารู้บ้างหรือป่าว ยังไงก็ ว่างๆ ช่วยไปตวรจตราความเดือนร้อนของประชาชนแถวอนุสาวรีย์มั่งนะค่ะ
ใครที่กลับบ้านต้องใช้บริการรถที่อนุสาวรีย์ก็ระวังกระเป๋ากันมั่งนะคะ ด้วยความหวังดี ... จากเจ้าของบล็อคคะ
Create Date : 22 มกราคม 2552 | | |
Last Update : 22 มกราคม 2552 8:27:18 น. |
Counter : 644 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
Happy New Year 2009 ค่ะ ทุกคน
สวัสดีปีใหม่ค่ะ ทุกคน
Create Date : 03 มกราคม 2552 | | |
Last Update : 3 มกราคม 2552 23:42:22 น. |
Counter : 505 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
หนังเศร้าๆ กับกอดอุ่นๆ
หนังเรื่อง Happy Birthday หนังรักในแบบ พงษ์พัฒน์ วชิรบรรจง .....ของขวัญจากคนมือบอน 2 คน กับความรักในแบบของพวกเขา.....
เรื่องราวความรักของชายหนุ่ม เต็น (อนันดา เอเวอริ่งแฮม) และหญิงสาว เภา (ฉายนันทน์ มโนมัยสันติภาพ) ที่บุพเพสันนิวาสชักนำให้พวกเขาได้มารู้จักกันผ่านตัวหนังสือ ในหนังสือท่องเที่ยวที่เต็มไปด้วยข้อความที่ถูกเขียนส่งต่อ ให้กันและกัน โดยที่พวกเขาไม่เคยแม้แต่พบหน้ากัน... แต่มันกลายเป็นสื่อกลางที่ทำให้คนมือบอน 2 คนได้มาพบ และรู้จักกัน
.
จีบได้เปล่า?...คิดจะจีบ ดีพอแล้วเหรอ
คำถามที่ เภา ทิ้งไว้ให้ เต็น ในระหว่างที่ความสัมพันธ์ของทั้งคู่กำลังคืบหน้าไปอย่างช้า ๆ กระทั่งถึงวันครบรอบวันเกิดของ เต็น
เภา ได้เดินทางนำของขวัญวันเกิดมามอบให้แก่ เต็น ...ทว่าของขวัญชิ้นนั้นกลับไปไม่ถึงมือของเต็น มีเพียงข้อความที่เภาเขียนทิ้งไว้ในการ์ดอวยพรวันเกิดให้กับเต็นว่า
สัญญานะว่าจะดูแลกันตลอดไป
.
และนี่คือจุดเริ่มของการพิสูจน์คำสัญญาที่เต็นมีต่อเภา
.
รายละเอียดต่างๆ เราคงไม่เอ่ยถึง เพราะเป็นหนังที่ต้องเข้าไปเก็บรายละเอียดในหนังกันเอง หนังรักเศร้าๆ ที่ทำบ่อน้ำตาเราแตก ไปซะหลายฉาก แต่ก็ยังคงประทับใจอยู่
และกับกอดอุ่นๆ ที่พิเศษที่สุดกับ ดีเจอ้อย นภาพร พี่อ้อยมาเป็นพิธีกรในงานเปิดตัวหนัง HBDแค่ได้ยินเสียงพี่อ้อยบนเวที ใจก็แทบไม่อยู่กับเนื้อกับตัวแล้ว แต่หลังจากที่พี่อ้อยทำงานเสร็จ เราก็เข้าไปทักกับพี่อ้อย พี่อ้อยก้จำเราได้ เราจับมือกับพี่อ้อยแน่น พี่อ้อยบอกว่า "เรามือสั่น และเย็นเฉียบเชียว" ก็มันดีใจนี่ค่ะพี่ ..อิอิ
และก็ขอถ่ายรูปคู่กับพี่อ้อย ปิดท้ายรูปด้วยการกอดกันกับพี่อ้อย กอดอุ่นๆ กับคนพิเศษ หนาวนี้ คงไม่หนาวใจแล้ว ขอบคุณมากๆค่ะ พี่อ้อย
Create Date : 16 ธันวาคม 2551 | | |
Last Update : 16 ธันวาคม 2551 22:15:25 น. |
Counter : 2084 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
| |
|
|