All Blog
ถามตอบบางข้อสงสัยของอิสลาม
ส่วนหนึ่งจากผู้ที่สงสัยและสอบถามเกี่ยวกับอิสลามในหน้าเวปบอร์ดของห้องศาสนาค่ะ

ป้ากบขอบคุณทุกท่านที่มาร่วมกันให้ความรู้กับป้ากบ ป้ากบตั้งใจจะขอถามวันนี้เป็นวันสุดท้ายเพราะ ป้ากบเกรงใจค่ะรบกวนหลายหน และที่สำคัญป้ากบต้องใช้เวลาทำความเข้าใจกับข้อมูลทั้งหมดที่ท่านทั้งหลายให้มาก่อน ป้ากบไม่ใช่คนฉลาดต้องค่อยๆคิดตามค่ะ ป้ากบเคยเรียนมาแต่พันธะสัญญาใหม่ค่ะ ความรู้ที่ได้จากพวกท่านเหมือนกับจะตอบปัญหาที่ป้ากบสงสัยมาเกือบทั้งชีวิตเลยคะ จากวันนี้ไปป้ากบจะเข้าไปค้นคว้าในห้องสมุดต่อมีตรงไหนติดขัดคงต้องกลับมารบกวนอีกนะคะ สำหรับวันนี้ป้ากบขอถาม

ขอความสันติสุขจงมีแด่ท่านทั้งหลาย

ยินดีค่ะ ไม่เคยรังเกียจที่จะตอบคำถามที่ต้องการรู้จักในอิสลาม ชอบในความน่ารักสุภาพของคุณมากค่ะ

1. สัตว์มีวิญญาณมั้ยคะ ป้ากบเคยได้ยินว่าถ้าฆ่าเค้าต้องมีการสวดส่งวิญญาณ ส่งไปที่ไหนคะ ในโลกกึ่งกลางรึเปล่าคะแล้วคนที่ฆ่าบาปมั้ยคะ ??

ตอบ มีค่ะ สัตว์ก็มีวิญญาณ ดังนั้น อิสลามจะไม่วาด,ปั้น รูปสัตว์ เมื่อจะเชือดสัตว์เพื่ออาหารหรือ ในการประกอบพิธีฮัจย์/ / วันอิดิ้ลอัฏฮา/ เพื่ออะกิเกาะฮฺ เด็กเกิดใหม่ นั้นจะต้องกล่าวนามของพระเจ้า ส่วนเรื่องวิญญาณของสัตว์นั้นจะถูกเก็บไว้เช่นกันค่ะ ที่ไหนนั้น อัลลอฮุอะลัม พระเจ้าเท่านั้นที่ทรงรู้



2. ในเมื่อยอมรับว่าอิสลามกับคริสต์มีพระเจ้าองค์เดียวกัน มุสลิมสามารถกราบพระของคริสต์ได้มั้ยคะ ??

ตอบ เรากราบเคารพสักการะไม่ได้ค่ะ เพราะมีหลักศรัทธาที่แตกต่างกันในเรื่องพระเจ้าค่ะ เนื่องจากไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮฺ และนบีมูฮำหมัด (ขอความสันติจงมีแด่ท่าน) เป็นศาสนาทูตของพระองค์ ต้องเคารพภักดีต่อพระองค์องค์เดียว ไม่เพิ่มเติมตัดทอน เปลี่ยนแปลงคุณลักษณะต่างๆ ซึ่งคัมภีร์อัลกุรอานได้บอกคุณลักษณะของพระเจ้ามาแล้ว และไม่มีคุณลักษณะใดที่เหมือนมนุษย์เลย

3. ทำไมมุสลิมถึงใส่เสื้อที่มีรูปสัตว์ไม่ได้คะ แล้วทำไมใส่รูปดอกไม้ได้คะ ??

ตอบ ตัวบทเกี่ยวกับการวาดรูป,ปั้นรูปนั้น ท่านร่อซูล ได้กล่าวเตือนไว้โดยมีรายงานเป็นหะดีษว่า ท่านรสูลุลลอฮฺกล่าวว่า "บุคคลที่ทำรูป (วาดรูป) จะถูกลงโทษ (ในวันกิยามะฮฺ) และเขาจะถูกบังคับให้เป่าลงบนรูป (วาด) นั้น (ให้มีวิญญาณขึ้นมา) แต่ไม่มีบุคคลใดเป่าให้รูปวาดนั้น (มีวิญญาณ)ได้" รายงานโดย ท่านอิบนุอับบาส (บันทึกโดยบุคอรีย์)

หะดีษข้างต้นเป็นตัวบทที่บอกถึงการไม่อนุญาตให้วาดรูป หรือปั้นรูปสิ่งที่มีวิญญาณ อาทิเช่น รูปภาพมนุษย์ หรือรูปภาพสัตว์


สรุปความว่า
ไม่อนุญาตให้ปั้น,วาด เขียนภาพ (อนุโลมในทัศนะ ของผู้รู้บางท่านในการวาดเขียน ) คนและสัตว์ ซึ่งสิ่งมีชีวิต จะเป็นการเลียนแบบสิ่งที่พระเจ้าได้สร้างไว้ ไม่สามารถนำมาใส่บนข้าวของเครื่องใช้ หรือนำแสดงโดยแขวนรูปในบ้าน
ส่วนรูปภาพอื่นจากรูปคนหรือรูปภาพสัตว์ ศาสนาอนุญาตให้ติดหรือแขวนได้ อาทิเช่น รูปต้นไม้,ดอกไม้, ป่าเขา, ทะเล,น้ำตก, ท้องฟ้า ฯลฯ

ส่วนภาพกะบะฮฺ หรือมัสยิดฮะรอม ที่มักกะฮฺ หรือมัสยิดนะบะวีที่มะดีนะฮฺ หรือมัสยิดใดๆที่มีภาพของมนุษย์อยู่ด้วยนั้น ถ้าติดไว้ในบ้านโดยมีจุดประสงค์เืพื้อการระลึกถึง หรือ ความสวยงามเช่นนี้ไม่ีมีปัญหาค่ะ เพราะไม่ได้มีจุดประสงค์เ้พื่อความลุ่มหลงหลงใหลใดๆ เกี่ยวกับบุคคลเช่น ภาพดาราคนดังต่างๆ กับ ตั้งภาคี(เคารพสักการะ หวังในความช่วยเหลือใดๆนอกเหนือจากพระเจ้า) แต่ถ้าเป็นภาพ สัตว์กึ่งม้า กึ่งมนุษย์ที่มีคนนำมาติดแล้วบอกว่านี่คือ พาหนะของท่านรอซูลลุลลอฮฺ ในการเดินทางข้ามคืนนั้น ไม่การสมควรค่ะ เพราะสิ่งนั้นคือภาพเขียนในจินตนาการนั่นเอง เพราะอิสลามไม่อนุญาตในเรื่องภาพวาดของสิ่งมีชีวิตอยู่แล้วนั่นเอง


4. เคยได้ยินมาว่ามุสลิมไม่สามารถก้มลงกราบใครกับพื้นหมายถึงกราบเท้านะค่ะ จริงรึเปล่าคะ??

การกราบนั้นใช้สำหรับการเคารพพระเจ้าเท่านั้นค่ะ ดังนั้นการกราบของอิสลามจะใช้ในการละหมาด เรียกว่า สุญูด คือฝ่ามือ หน้าผาก หัวเ่ข่า สัมผัสกับพื้น

5. ศาสนาอิสลามที่สอนให้ดูแลซึ่งกันและกัน และมีสันติ ทำไมภาพที่ออกมาถึงดูเหมือนจะแข็งๆคะ ป้ากบอ่านดูหลักๆก็อบอุ่นมากทำไมข่าวที่ออกมาเหมือนคนในศาสนาเองเข้าใจหลักผิดรึเปล่าคะ(ป้ากบขอร้องคนที่ไม่ใช่อิสลามห้ามตอบนะคะ ป้ากบสงสัยแต่ไม่ต้องการให้มาโจมตีกันนะคะ ??

ขอบคุณในความกรุณานะคะ

ตอบ ใช่ค่ะ หลักการศาสนาเป็นเช่นนั้น เนื่องจากอิสลามครอบคลุมทั้งหมด จึงจำเป็นต้องมีการเรียนการสอนและการเรียนรู้ให้ครอบคลุม
แต่โดยมาก จะรู้กันไม่มาก ทำแต่สิ่งหลักๆเพียงแค่ ละหมาด ถือศีลอด จ่ายซะกาต ไม่ทานหมู
ซึ่งความจริงนั้น มุสลิมที่ดีจะต้องมีจรรยามารยาทที่ดีงาม สุภาพเรียบร้อย ไม่ว่าจะกินจะเดินนอนนั่ง ต้องรักษาความสะอาด ไม่สร้างความเดือดร้อนให้ใคร เอื้อเฟื่อเผื่อแผ่ มีน้ำใจ กับทุกคนไม่เว้นแม้แต่คนต่างศาสนิก เรียกว่า รักษาสุนนะฮฺ หรือจริยะวัตรของท่านนบี(ขอความสันติจงมีแด่ท่าน) ให้มากที่สุด

ด้วยความเคารพและยินดีที่ได้สนทนาเช่นกันค่ะ



Create Date : 05 มิถุนายน 2550
Last Update : 27 มิถุนายน 2551 7:15:05 น.
Counter : 1985 Pageviews.

5 comment
มีคำตอบ...ทำไมอิสลามไม่ทานหมู??
ทำไมอิสลามไม่ทานหมู??

ขอความสันติสุขจงมีแด่ท่าน



เหตุที่มุสลิมไม่ทานหมูข้าพเจ้าขอชี้แจงดังนี้...


เมื่อบุคคลใดเรียกตัวเองว่ามุสลิม ก็ต้องปฏิบัติตามบทบัญญัติ คำสั่งห้าม/ใช้ ตามคัมภีร์อัล-กุรอาน ซึ่งเป็นวะยูห์จากพระเจ้า และคำสั่งสอนของท่านนบีมูฮำมัด ศ็อลลอลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ผู้เป็นศาสนทูต คนสุดท้ายของอิสลาม



" พระองค์ทรงห้ามพวกเจ้านั้นเพียงแต่สัตว์ที่ตายเอง และเลือด และเนื้อสุกรและสัตว์ที่ถูกกล่าวนามอื่นนอกจากอัลลอฮฺ(เมื่อถูกเชือด) แต่ผู้ใดได้รับความคับขันโดย และมิใช่เจตนาขัดขืน และมิใช่เป็นผู้ละเมิดขอบเขตแล้วไซร้ ก็ไม่มีบาปใด ๆ แก่เขา แท้จริงอัลลอฮฺเป็นผู้ทรงอภัยโทษผู้ทรงเมตตาเสมอ "
จากอัลกุรอาน บทที่ 2 : โองการ173



" แท้จริง พระองค์เพียงแต่ทรงห้ามสูเจ้า (มิให้บริโภค) สัตว์ที่ตายเอง และเลือดและเนื้อของสุกร และที่ถูกเปล่งนามอื่นนอกจากอัลลอฮฺ (เมื่อเชือด) แต่ผู้ใดก็ดีที่อยู่ในภาวะคับขันไม่เจตนาดื้อดึง และมิใช่ละเมิด ฉะนั้นแท้จริง อัลลอฮฺเป็นผู้ทรงให้อภัย ผู้ทรงเมตตาเสมอ "

จากอัลกุรอาน บทที่ 16 : โองการ115





จากคำสั่งนี้ มุสลิมทุกคนต้องปฏิบัติโดยไม่มีเงื่อนไข

แต่ ในกุรอานมีตอนหนึ่งกล่าวว่า " แต่ผู้ใดอยู่ในภาวะคับขัน " เช่นอยู่ในภาวะอดอยากขาดแคลนจนไม่มีอะไรกินประทังชีวิต ก็อนุญาตให้รับทาน หรือถ้าหากมีใครเอาอาวุธ หรือถูกบังคับเพื่อให้ทานหมู และเขาไม่อาจต่อสู้ได้ ในกรณีนี้ก็สามารถทำได้ ถ้าหากว่ามุสลิมไม่เคารพตัวเองโดยตั้งใจที่จะกินหมู นั่นก็แสดงว่า เขาไม่เชื่อมั่นในหลักการ เป็นคนที่ไม่มีความละอายต่อบาปเลย





และการการค้นคว้าทางการแพทย์ พบว่า

เนื้อ วัวเนื้อแพะนั้น สามารถ ย่อยสลายภายในท้องมนุษย์นั้น ใช้ ภาย 3 ชม. ส่วนเนื้อหมูนั้น ต้องใช้เวลา 4 ชม.




การไม่ทานหมูของอิสลามนั้นวางอยู่บนพื้นฐานของเหตุผลเรื่องสุขอนามัยและความบริสุทธิ์สะอาดให้แก่ตัวมนุษย์

ในคำสอนของอิสลามนั้น การห้ามกินหมูเป็นเพียง ส่วนหนึ่งของคำสอนศาสนาอิสลาม และอิสลามยังมีข้อห้ามอย่างอื่นด้วยเช่นกัน มิใช่ห้ามแต่หมูเท่านั้น



" มนุษย์เอ๋ยจงบริโภคสิ่งที่อนุมัติและที่ดีจากที่มีอยู่ในแผ่นดิน และอย่าปฏิบัติตามรอยเท้าของมาร แท้จริง มันเป็นศัตรูที่เปิดเผยสำหรับสูเจ้า " จากอัลกุรอาน บทที่ 2 : โองการที่168


คำว่าอนุมัตินั้น ภาษาอาหรับเรียกว่า "ฮะลาล " ไม่เฉพาะกับสิ่งที่เรากินเท่านั้น ยังหมายถึง วิธีการได้มาซึ่งเงิน และสิ่งๆอื่นๆที่ต้องห้าม สิ่งใดที่ห้ามไม่อนุมัติจะเรียกว่า " ฮะรอม " การคดโกงมาก็เรียกว่า ฮะรอม เช่นกัน




อิสลาม จะทานอาหารที่ศาสนาอนุมัติเท่านั้น


ความจริง อิสลามไม่ได้ห้ามทานหมูอย่างเดียว!!มีอีกหลายอย่างที่ ห้ามทาน แต่คนที่ไม่เคร่งครัด หรือรู้ไม่มาก เขาก็จะจำแค่อย่างเดียวว่าไม่ทาน หมู หรือถ้ากินอยู่ หามทัก (มีมากสำหรับคนที่ไม่รู้จักละอายต่อบาป)





ศาสนายูดาย หรือ ยิวก็เช่นกัน ที่ไม่ทานหมู มีหลายศาสนาเลย ก็ไม่ทานหมู

ทางยูดาย หรือ ยิว อาหารที่ อนุมัติเรียกว่า" โคเชอร์" (กินได้)

ไม่อนุมัติให้กินนั้นเรียกว่า "เทรฟาห์ " (สิ่งต้องห้าม)



ในคัมภีร์ไบเบิ้ลเก่า บทเลวิกิโต11.7-8 ".. หมูเพราะมันเป็นสัตว์แยกกีบและมีกีบผ่าแต่ไม่เคี้ยวเอื้อง จึงเป็นสัตว์มลทินแก่เจ้าอย่ารับประทานเนื้อของสัตว์เหล่านี้เลย และเจ้าอย่าแตะต้องซากของมันมันเป็นมลทินแก่เจ้า " ชาวยิวที่เคร่งครัดทั้งหลายก็ยังคงปฏิบัติเรื่องนี้อย่างเคร่งครัด




สิ่งที่ศาสนาอิสลามห้ามทานคือ

1) เนื้อหมู และผลิตภัณฑ์ทุกอย่างที่ทำมาจากตัวหมู เช่น เจลาตินหากทำมาจากหมู มุสลิมก็ถือว่าเป็นที่ฮะรอม (ต้องห้าม) แต่ยิวจะถือว่าเป็นโคเชอร์(กินได้)

2) เลือด ไม่ว่าจะนำไปต้มหรือไปทำพาสเจอร์ไรส์หรือไปทำเป็นผลิตภัณฑ์อะไรก็แล้วแต่ถือเป็นที่ต้องห้ามตามหลักการอิสลาม

3) เนื้อของสัตว์ที่ตายเองโดยธรรมชาติหรือตายโดยไม่รู้สาเหตุ

4) เนื้อของสัตว์ที่ตกจากที่สูงตาย ถูกทุบ และถูกรัดคอ

5) เนื้อของสัตว์ที่เชือดโดยไม่กล่าวนามของพระเจ้า เหตุผลก็เพราะสัตว์มีชีวิตและชีวิตของสัตว์ก็เป็นของพระเจ้า ถ้าจะกินเนื้อของมันก็ต้องขออนุญาตจากพระเจ้าเพื่อเอาชีวิตของมันเสียก่อน

6) ของเซ่นไหว้ทุกชนิด

7) สัตว์ที่ใช้กรงเล็บและเขี้ยวจับหรือฉีกเหยื่อกินเป็นอาหาร เช่น นกอินทรี งู เสือ หมี และอื่นๆ

8) สิ่งมึนเมาทุกประเภท โดยเฉพาะสุรา





"ไก่" ก็เช่นกัน หลายคนหวังดี ซื้อไก่ทั้งหลาย มาฝากเพื่อนมุสลิม เพราะคิดว่าทานได้ ความจริงทานไม่ได้ !!


ถ้าไม่ใช่ อาหารที่มุสลิมทำมา เขาไม่สามารถทานได้

แต่ปัจจุบัน มันมีคนทำแบบนี้แยะ ไม่เคร่งครัด คนทั่วไปเลยเข้าใจว่าถ้าเป็นไก่มุสลิมก็ทานได้หมด ตามร้านและ สินค้าทั่วไปจะได้ทานก็ต้องมี เครื่องหมาย ฮะลาล ค่ะ





สัญลักษณ์แบบนี้




สรุปสั้นๆ เรื่องนี้ว่า
1. เป็นคำสั่งใช้ จากพระเจ้า ศรัทธาแต่ใจไม่ได้ แต่ต้องปฏิบัติตามด้วย จะเอาคนที่ละเลยมาเป็นแนวทางไม่ได้(เพราะคนต่างศาสนาชอบถามแยะว่าทำไมอีกคนยังทาน แถมบอกว่าห้ามทัก)
2. ในคำสั่งห้ามนั้น ยังมีข้ออนุโลม หากจำเป็น... ก็ทานได้
3. ยังมีระบุในคัมภีร์เดิมของยิว และคริสต์ (ก่อนจะละเลยแก้ไข) แต่ยิวยังคงการปฏิบัติอยู่
4. และในสั่งห้ามรับประทานนั้น มีฮิกมะฮฺ แฝงอยู่ด้วย ว่าทำไมถึงห้ามทาน นักวิทยาศาสตร์และมนุษย์ที่ช่างสงสัย จึุงทำการหาทดลองทดสอบ หา คำตอบเลยพบว่า มันไม่สะอาด ไม่ปลอดภัยต่อชีวิต จริงอยู่ ไม่ได้ตายทันทีที่ทาน แต่ช้าๆ สะสมไปเรื่อยๆ ในข้ออนุโลมให้ทาน จึงทานได้ เพราะไม่ได้ทานแล้วตายทันที
5. ถ้าห้ามทานแล้วสร้างมาทำไม ก็เป็นการทดสอบของพระองค์ ว่ามนุษย์ที่ศรัทธาในพระองค์จะเลือกปฏิบัติตามไหม

หวังว่า คงเข้าใจในหลักการของอิสลามกันนะคะ

ด้วยความเคารพค่ะ



***********************










Create Date : 13 มีนาคม 2550
Last Update : 27 มิถุนายน 2551 6:57:14 น.
Counter : 7204 Pageviews.

สาเหตุที่ชายมุสลิม ไม่ได้รับการอนุมัติให้สวมใส่ทองคำ-ผ้าไหม
ขอความสันติสุขจงมีแด่ท่าน

สาเหตุที่ ชายมุสลิม ( มุสลิมีน) ไม่ได้รับการอนุมัติให้สวมใส่ทองคำ ผ้าไหม
สืบเนื่องจาก อิสลามต้องการรักษาเอกลักษณ์ความเป็นผู้ชายไว้สำหรับความเป็นผู้นำที่จะต้องเข้มแข็ง
ไม่หลงใหลกับสิ่งฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือยที่จะก่อให้เกิดความลุ่มหลงและจะนำไปสู่ความหายนะในที่สุด

ทองคำและผ้าไหมควรเป็นเครื่องประดับของผู้หญิงที่มีสัญชาตญาณรักสวยรักงาม !!

อิสลามจึงไม่ห้ามผู้หญิงที่จะนำทองคำและผ้าไหมมาใช้เป็นเครื่องประดับร่างกาย แต่ห้ามใช้ทองคำมาทำเป็นภาชนะและอุปกรณ์เครื่องใช้ต่างๆ นอกจากนั้นแล้ว อิสลามยังวางกฎไว้ด้วยว่าเมื่อสิ้นปีทองคำที่มีอยู่จะต้องนำมาจ่ายซะกาตด้วย


การนมาซ(ละหมาด) ขณะที่มุสลิมชายผู้หนึ่งสวมใส่ทองคำ หรือผ้าไหมนั้นการนมาซของเขาพระองค์อัลลอฮฺจะไม่ให้ผลบุญในการนมาซของเขา เพราะเขานมาซในสภาพที่สวมใส่สิ่งที่หะรอม


3 ฮะดีษ ที่แสดงว่า ศาสนาห้ามเรื่องนี้ไว้

1. ท่านอุมามะฮฺเล่าว่าเขาได้ยินท่านรสูลุลลอฮฺกล่าวว่า
" บุคคลใดที่ปรากฏว่าเขาศรัทธาต่ออัลลอฮฺ และวันสุดท้าย เช่นนั้นเขาอย่าสวมใส่ผ้าไหม หรือ (สวมใส่) ทองคำ " (บันทึกโดยอะหฺมัด หะดีษที่ 21218)


2. จากท่านอบูฮุร็อยเราะฮฺจากท่านรสูลุลลอฮฺ "โดยท่านรสูลห้ามสวมแหวนทอง" (บันทึกโดยบุคอรีย์ หะดีษที่ 5415 และมุสลิมหะดีษที่ 3896)


3. จากท่านอบูมูสา อัลอัชอารีย์เล่าว่า ท่านรสูลุลลอฮฺกล่าวว่า "เสื้อผ้าไหม และทองคำถูกห้ามสำหรับเพศชายซึ่งเป็นอุมมะฮฺของฉัน แต่อนุญาตให้สำหรับสตรีของพวกเขา" (บันทึกโดยติรฺมิซีย์ ลำดับหะดีษที่ 1642 และนะสาอีย์ ลำดับหะดีษที่ 5057)


จากฮะดีษทั้ง3 นี้นั้นบ่งชี้ว่า ศาสนาห้ามชายมุสลิมสวมใส่ทอง และผ้าไหมโดยเด็ดขาด ไม่ว่าจะเป็น เด็กชาย หรือ ผู้ใหญ่


และอิสลามได้ห้ามการสวมแหวนที่นิ้วชี้และนิ้วกลาง
ดังหลักฐานนี้

ท่านอบูบุรฺดะฮฺ เล่าว่า ฉันได้ฟังท่านอฺลีย์
“ท่านนบีของอัลลอฮฺห้ามฉันสวมใส่แหวนนิ้วชี้และนิ้วกลาง" (บันทึกโดยนะสาอีย์ หะดีษที่ 5191)

หะดีษนี้ระบุชัดว่า ห้ามใช้ที่นิ้วชี้และนิ้วกลาง และห้ามทั้งชายและหญิง



ส่วนในกรณีที่ผู้ชายเก็บทองคำไว้ หรือมีทองคำไว้ในการครอบครอง เช่นนี้ไม่มีข้อห้ามทางศาสนา
หมายถึงศาสนาอนุญาตให้ผู้ชายมีทองคำเก็บไว้ หรือสะสมไว้ได้ เพียงแต่ หากทองคำที่เก็บไว้ครบตามที่ศาสนาระบุ
หมายถึง ถ้ามีทองเก็บไว้มากกว่า 6 บาท และครบปี เช่นนี้วาญิบ(จำเป็น) จะต้องออกซะกาต (บริจาคทาน)





ด้วยความเคารพและจิตคารวะค่ะ
วัสลาม



Create Date : 18 กุมภาพันธ์ 2550
Last Update : 27 มิถุนายน 2551 7:34:33 น.
Counter : 20379 Pageviews.

12 comment
คนต่างศาสนา เข้าสุเหร่าได้ไหมครับ ??
คนต่างศาสนา เข้าสุเหร่าได้ไหมครับ
มีคนเคยบอกว่า ห้ามเข้า... ??

อย่างศาสนาคริสต์ ผมเคยเข้าไปในโบสถ์สี่ห้าครั้ง
ทั้งใน และต่างประเทศ(ที่อังกฤษ) เขาให้ถ่ายภาพได้
และเข้าไปคุยกับบาทหลวงด้วย

ถ้าผมจะเข้าไปเยี่ยมชมในสุเหร่า
แบบเดียวกับโยสถ์คริสต์บ้าง

แต่เป็นคนที่อยู่นอกศาสนาอิสลาม
จะเป็นข้อห้ามในทางศาสนาไหมครับ
จากคุณ : DigiTaL-KRASH!!!




ตอบ

การไปที่มัสยิดของคนต่างศาสนานั้น สามารถทำได้ค่ะ
แต่ต้องดูจุดประสงค์ด้วยว่า เข้าไปทำอะไร
ถ้า หาเสียง ขายของหรือประกอบธุรกิจอื่นใดนั้น
อย่าเข้าดีกว่าค่ะ ไม่เป็นการเหมาะสมอย่างยิ่ง

หากเพื่อเยี่ยมชม นั้นไม่มีปัญหาค่ะ และบางที่ก็ควรสอบถามจากคนที่ดูแลมัสยิด
และก็ควรเคารพ,ให้เกียรติสถานที่ ไม่ไปทำสิ่งที่ไม่ควร รวมทั้งรักษามารยาทค่ะ
และหากเป็นเวลาที่เขาประกอบศาสนกิจนั้น ก็อย่าเข้าไปเลยค่ะ
จะเป็นรบกวนการประกอบศาสนกิจของเขานั่นเอง

ในยุคสมัยของท่านศาสนทูต นบีมูฮำมัด (ซล.)
ก็เคยมีคนที่ไม่ได้นับถืออิสลามเข้ามาพักที่มัสยิดเช่นกันค่ะ
เขาคือ "ษุมามะฮฺก็เคยนอนในมัสญิดก่อนที่เขาจะเข้ารับอิสลาม"




ถามต่อว่า ไม่ค่อยเห็นหญิงมุสลิมไปละหมาดที่มัสยิดเลย ??



ตอบ

ส่วนเรื่อง การไปละหมาดของสตรีที่มัสยิดนั้น

ท่านรสูลุลลอฮฺกล่าวว่า
"พวกท่านอย่าห้ามบรรดาสตรีของพวกท่านไป (ละหมาดที่)มัสยิด
ซึ่ง (การละหมาดใน)บ้านของพวกนางดียิ่งสำหรับพวกนาง"
(บันทึกโดยอบูดาวูด และอะหฺมัด)



สรุปความว่า

" สตรี ละหมาดที่มัสยิดได้ค่ะ และการละหมาดที่บ้านนั้นประเสริฐกว่าที่มัสยิด
บางสถานที่นั้น ก็อาจเห็นมุสลิมะฮฺ มาละหมาดที่มัสยิดค่ะ แต่บางสถานที่ อาจไม่พบมุสลิมะฮฺเลย
นั่นเพราะนางถือว่า การละหมาดที่บ้านประเสริฐกว่า มัสยิด
และไม่มีข้องห้ามทางศาสนาที่จะห้ามสตรีมุสลิมมาละหมาดที่มัสยิดค่ะ




ด้วยความเคารพและจิตคารวะค่ะ




Create Date : 04 กุมภาพันธ์ 2550
Last Update : 27 มิถุนายน 2551 7:27:33 น.
Counter : 4179 Pageviews.

26 comment
วันรื่นเริงของอิสลาม
ขอความสันติสุขจงประสบแด่ท่านทั้งหลายค่ะ

วันสำคัญของศาสนาอิสลามมีเพียง 2 วันเท่านั้น
ได้แก่

1.วันอีดิ้ลฟิตริ เรียกว่า อีดเล็ก ภาษากลาง หรือ รายอเล็ก หรืออาจเรียก รายอฟิตริ (ภาษายาวี)

2. อีดิ้ลอัฎฮา เรียกว่า อีดใหญ่ ภาษากลาง หรือ รายอใหญ่ หรืออาจเรียก รายออัฎฮา (ภาษายาวี)


ส่วนพิธีการในวันอีดทั้งสองก็มีการนมาซสองร็อกอะฮฺ และคุฏบะฮฺ(บรรยายธรรมตักเตือน)ในช่วงเช้า
หากเป็นอีดิ้ลอัฎฮา (ที่ตรงกับช่วงพิธีฮัจญ์ในวันวุกุฟ) นั้นมีการเชือดสัตว์กุรฺบานอีกด้วย

ในวันอีดทั้งสองศาสนาอนุญาตให้รื่นเริง และสนุกสนานได้ภายใต้ขอบเขตที่ศาสนาอนุมัติให้สนุกสนาน
และส่งเสริมให้เยี่ยมญาติ พี่น้อง ขออภัยซึ่งกันและกัน ส่วนมากก็จะเป็นการทำขนมกันทุกบ้านแล้วทำการแลกเปลี่ยน บางบ้านจะมีการแจกเงินเด็กๆ จับของขวัญ หรือแจกจ่ายข้าวของต่างๆ

อีดิ้ลอัฎฮา จะมีการชือดสัตว์ แล้วจ่ายจ่ายเนื้อนั้นแก่ผู้ยากไร้
และพี่ๆน้องมุสลิมหลายคนคงก็คิดแล้วจะทำอะไรทานกันดี
ซึ่งโดยมาก เพื่อนบ้านและเพื่อนร่วมงาน และคนต่างศาสนิกจะได้รับตรงนี้ไปด้วยเรื่องอาหารการกิน
ทุกท่านจะทำนั่นเอง


ขอยกตัวอย่าง
บางบ้านก็จะเป็นการแจกเงินเด็กๆ และขนมแจกจ่ายแลกเปลี่ยนกัน ค่ะ
ก่อนกลับบ้านก็จะแวะเยี่ยมญาติพี่น้องรายทาง แวะบ้านไหนก็อิ่มทุกบ้านเพราะมีแต่ขนมและของกินค่ะ
มุสลิมก็สนุกสนานกันแบบนี้เองโดยอยู่บนพื้นฐานอิสลามค่ะ


ด้วยความเคารพและจิตคารวะค่ะ
วัสลาม



Create Date : 28 มกราคม 2550
Last Update : 27 มิถุนายน 2551 7:14:30 น.
Counter : 1481 Pageviews.

4 comment
1  2  3  4  5  6  

นะ(รก)
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 26 คน [?]



เพราะเราไม่รู้ว่า ลมหายใจจะหมดลงเมื่อใด
The Doomsday Book
Date Conversion
Gregorian to Hijri Hijri to Gregorian
Day: Month: Year
Website Counter
New Comments