All Blog
|
จ้างหัวใจไว้จับรัก / สิตา
จ้างหัวใจไว้จับรัก สิตา หนังสือเล่มนี้พิเศษอย่างหนึ่งว่าคนเขียนใจดี๊...ใจดี ส่งมาให้เรา ไอ้เราก็ชอบสิ อ่านจังตังค์อยู่ครบ (ไม่ครบบ้างก็ช่วงงานสัปดาห์หนังสือที่ผ่านมา) ดังนั้นต้องขอบคุณคุณสิตาไว้ ณ ที่นี้ด้วยค่ะ เรื่องนี้คนเขียนบอกว่าไม่ซับซ้อน อ่านง่ายสบาย ซึ่งก็จริงค่ะ พระเอก ศุวิล เป็นอดีตตำรวจที่ผันตัวมาเป็นนักสืบ เจอะกับนางเอก พราวนับเดือน สาวหวานที่เจอกันครั้งแรกก็จ้างเขาไปฆ่าคน! คนที่เธอแค้นคือวุฒิโชติ เพลย์บอยว่าที่พี่เขยของฝาแฝดเธอ ซึ่งเขายกเลิกงานแต่งและทำให้พี่สาวฝาแฝดเธอต้องใจสลาย นั่นคือจุดเริ่มต้นของเรื่องราวโอละพ่อเล่มนี้ ไม่ขอเอ่ยถึงรายละเอียดมากนะคะ (เพราะควรไปหาอ่านกันเอง) สิ่งที่ชอบคือคาแรกเตอร์ตัวละครในเรื่องนี้ครื้นเครงดี มีตั้งแต่เบ๊ในสังกัดพระเอกที่หลากคาแรกเตอร์ (ชอบนัทค่ะ เป็นนักสืบสาวที่มีคาแรกเตอร์เก๋ดี นางโผล่มาน้อยแต่จัดการได้เยอะอยู่นา) ส่วนเป้าหมายอย่างวุฒิโชตินี่น่าโดนเจี๋ยนไปให้เป็ดกินมากค่ะ สมควรที่จะโดนรุมยำในตอนท้ายเรื่องอย่างสาใจ ตัวเรื่องอ่านเพลินๆ มีเรื่องราวนักสืบปะปนผสมกับความฮาน่ารักของพระเอก-นางเอก แต่ก็แอบขำตรงที่ลูกน้องพระเอก(นัท) ยังเคยพูดเลยว่า "นายมันไม่มีดวงพระเอก" คือถ้าพระเอกแบบทั่วๆ ไปก็ต้องหล่อรวยสมาร์ท มีรถขับโทรศัพท์ถ่ายรูปได้ แต่พระเอกคนนี้เขาถึงจะไม่ได้มาแนวเท่ดาร์คๆ แต่เขาก็มีคาแรกเตอร์ของเขานะเออ อาจจะไม่รวยมีธุรกิจพันล้าน ขับมอเตอร์ไซด์แม่บ้านแถมดูเซอร์ แต่ "ใจ" ที่ให้นางเอกเนี่ยเต็มๆ เลย (แถมพระ-นาง คู่นี้จู๋จี้กันบ่อยกว่าเล่มอื่นของคุณสิตาที่เคยอ่านผ่านตาด้วยนะ) ปล. บั้นท้ายพระเอกน่าจะแน่นอยู่ เห็นเพื่อนนางเอกแซว เรียกว่าเป็นนิยายรักเบาสมองอ่านง่ายสบายใจดีจริงๆ ค่ะ และอดคิดไม่ได้ว่าถ้านิยายเล่มนี้ได้เป็นหนังฟีลกู้ดของ GTH นี่ก็คงจะแหล่มเลย เพราะคาแรกเตอร์และการเดินเรื่องมันเหมาะมาก โดมิโนแสงดาว / แพรพลอย
โดมิโนแสงดาว / แพรพลอย อุดมคตินั้นก็เหมือนดวงดาวแม้แตะต้องไม่ได้ แต่ช่วยนำทางเราสู่จุดหมายได้ อนรรฆและแทนดาว สองหนุ่มสาวที่ไม่รู้จักกันมาก่อน # # # ลุ้นระทึกเหมือนนั่งดูหนังแอคชั่นหักหลังกันทุกเม็ดจนหยดสุดท้าย หนังสือเล่มนี้การันตีด้วยรางวัลชมเชยโครงการวรรณกรรมแว่นแก้วส่วนตัวแล้วที่อยากอ่านเรื่องนี้เพราะดูจากโครงเรื่องแล้วรู้เลยว่านี่เป็นแนวที่เราชอบแนวการเมืองประเทศโลกที่สามที่สับสนในวังวนอำนาจ และโดมิโนแสงดาวก็ได้เล่าเรื่องราวอันเข้มข้นของการแย่งชิงอำนาจอย่างชัดเจน เริ่มต้นบทแรกกับการพบกันของสองหนุ่มสาวที่กำลังจะเดินทางไปประเทศเล็กๆที่เต็มไปด้วยความขัดแย้งทางการเมืองคนเขียนก็สามารถดึงให้คนอ่านเดินทางตามกันไปอย่างง่ายดายด้วยการเล่ากระชับแต่สละสลวย ชวนให้อยากรู้ว่า ซีนินทาวน์ มีสภาพเป็นอย่างไรแล้วสองหนุ่มสาวชาวไทยจะพบเจออะไรบ้าง แพรดาว นักเขียนสาวผู้มีอุดมการณ์ท่ามกลางแผงนิยายที่เต็มไปด้วยนิยายรักหวือหวางานเขียนของเธอจึงถูกค่อนแคะว่าขายไม่ได้ แต่เธอก็ไม่ท้อเดินทางไปหาข้อมูลเขียนหนังสือถึงประเทศเพื่อนบ้าน งานนี้เธอต้องแท็คทีมกับ อนรรฆนักเขียนสารคดีหนุ่มฝีปากกล้า แม้ตอนแรกเขาจะไม่อยากเดินทางกับผู้หญิงตัวบางๆแต่สุดท้ายก็จำยอม ทั้งคู่จึงเดินทางไปยังซีนินทาวน์ด้วยกัน ซีนินทาวน์ ประเทศเพื่อนบ้านที่ปกครองด้วยรัฐบาลทหารมาชั่วนาตาปีมีความเป็นอยู่ค่อนข้างล้าหลัง มีกลุ่มก๊กทางการเมืองอันแตกแยกเป็นฝักฝ่ายที่เป็นประเด็นหลักในเรื่องคือการแก่งแย่งอำนาจปกครองในตัวเมืองใหญ่ ส่วนประเด็นชนกลุ่มน้อยชายแดนบ้างแต่ไม่ใช่ประเด็นหลักขับเคลื่อนตัวเรื่องแต่อย่างใด อย่างที่โปรยไว้ว่านิยายเรื่องนี้ทำให้คนอ่านเห็นภาพเป็นหนังแอ็คชั่นเพราะเริ่มต้นจากตัวพระเอกนางเอกถูกใส่ไคล้เป็นแพะรับบาปทางการเมืองจากนั้นเรื่องราวก็มะรุมมะตุ้มเพราะมีการหลบหนี การต่อสู้แย่งชิง การยึดอำนาจการลอบฆ่า ฯลฯ สถานการณ์ต่างๆ ช่างบีบคั้นโดยมีตัวละครต่างชาติอย่างพระเอก-นางเอกที่จะต้องเอาตัวรอดให้ได้ท่ามกลางความขัดแย้งที่เกือบจะเรียกว่าสงครามกลางเมือง นานแล้วที่ไม่ได้อ่านนิยายที่มีรสชาติอย่างนี้ ตอนอ่านเหมือนได้อ่านงานสารคดีชิ้นงามที่พาไปพบประเทศแห่งหนึ่งซึ่งเต็มไปด้วยความขัดแย้งทางการเมืองและทหาร(คุ้นๆ กับประเทศนี้เหมือนกันนะ) คนเขียนเล่ารายละเอียด้วยภาษาสละสลวยเข้าใจง่ายการเล่าไม่มากไม่น้อยไป กลมกล่อม ทำให้คนอ่านรู้สึกเหมือนได้เดินทางไปที่นั่นด้วยตัวเองได้ลุ้นกับเหตุการณ์พลิกผัน ได้ซาบซึ้งและผูกพันกับผู้คนและเรื่องราวจนกระทั่งเรื่องเดินถึงจุดจบ แน่ใจว่าคนเขียนได้บ่มเพาะการอ่านและมุมมองมามากพอจึงเขียนออกมาจนทำให้รู้สึกว่าซีนินทาวน์ เป็นประเทศจริงอันซุกซ่อนระหว่างไทย-พม่า ได้อย่างน่าทึ่งตัวละครแต่ละตัวมีการเอาตัวรอดของตนนักการเมืองและทหารในเรื่องอาจจะฝักใฝ่อำนาจแต่หลายตัวละครก็มีแนวคิดที่น่าสนใจเพราะบ้างแก่งแย่งเพื่ออำนาจตน แต่บ้างก็ทำเพราะคิดว่านี่คือผลประโยชน์ของคนในชาติ พระเอกนางเอกของเรื่องเป็นคนนอกสถานะจึงเป็นตัวประกอบมากกว่าจะแสดงภาพการเมืองของที่นี่ได้ชัดเจน แต่ตัวละครหลากหลายมากมายกลับดูมีสีสันซึ่งถ้าถามว่าชอบแนวคิดใคร กลับชอบแนวคิดอินเลชายหนุ่มผู้เป็นบุตรชายคนเล็กของท่านผู้นำทหาร เพราะเป็นแนวคิดของนักปกครองที่ดีในเชิงหลักการแม้ว่าคาแรกเตอร์เขาจะถูกสร้างมาให้อ่อนแอไปสักนิด แต่ถ้าปรับให้เข้มแข็งจะสามารถกลายพระเอกที่น่าเกรงขามมากเพราะปูมหลังครอบครัวน่าสนใจ จุดสะดุดของหนังสือเล่มนี้สำหรับเราแล้วมีเพียงนิดเดียวคือชื่อตัวละครและสถานที่นั้นตรงกับบุคคลและสถานที่ที่มีจริงในประวัติศาสตร์การเมืองพม่าจึงทำให้คนอ่านอย่างเราเกิดการสับสนบ้างเล็กน้อยขณะอ่าน (เพราะยังติดภาพลักษณ์บุคคลจริงหรือชื่อสถานที่ซึ่งมีจริงในพิกัดทางภูมิศาสตร์)แต่เมื่อตั้งสติอ่านต่อก็ละวางในจุดนี้ได้และเพลิดเพลินกับเรื่องราวห้ำหั่นกันต่อไป แต่เมื่อจบเรื่องราวก็รู้สึกว่าได้อะไรดีๆ จากหนังสือเล่มนี้มาก ขอบคุณคนเขียนที่เขียนเรื่องดีๆ อย่างนี้ออกมารู้สึกได้ว่าคนเขียนตั้งใจอย่างมาก ชอบที่นางเอกกล่าวว่า อุดมคตินั้นก็เหมือนดวงดาว แม้แตะต้องไม่ได้ แต่ช่วยนำทางเราสู่จุดหมายได้ หนักแน่นและกินใจมากค่ะ ปล. ชอบอีกจุดคือนางเอกเรื่องนี้เป็นนักเขียนที่มีอุดมการณ์ถึงอายุจะขึ้นเลขสามแล้ว แต่เธอก็ยังมีความน่ารักสดใสและมองโลกแง่ดีทำให้คนวัยนี้รู้สึกกระชุ่มกระชวยว่าสามสิบกว่าก็ยังแจ๋วนะเออ(แถมยังเป็นนางเอกที่มีฮาเร็มหนุ่มๆ มารุมตอบเพียบ ตบมือรัวๆ) ต่างเวลา A New Edition / ชลนิล
ต่างเวลา A New Edition / ชลนิล เจอเพื่อนเก่าในเวอร์ชั่นใหม่ ไฉไลกว่าเดิม ต่างเวลา เป็นงานเขียนชิ้นแรกๆ ของเฮียชลนิลที่เราได้อ่านและได้ดูตอนเป็นละครสั้นทางช่อง7 ด้วย (อยากจะบอกว่าตอนนั้นเรายังเป็นละอ่อนน้อยอยู่เลยนะ#เวลาผ่านไปไวเหมือนโกหก T_T) นี่ก็เป็นอีกเล่มที่อภินันทนาการมาจากเฮียผู้ใจดี๊...ใจดีให้เวอร์ชั่นใหม่มาด้วย พร้อมบอกว่าเวอร์ชั่นเดิมน่ะเกือบยี่สิบปีแล้วอันนี้รีไรท์ใหม่ เพิ่มเติมอะไรไปเยอะ เฮียบอกลองอ่านดู ที่เปลี่ยนไปชัดเจนคือ ตอนจบ ไม่คิดว่าคนเขียนจะแหกโค้งงานเขียนของตัวเองได้ขนาดนี้คือมันก็จบแนวแฮปปี้เหมือนกันล่ะแต่เวอร์ชั่นเก่าจะจบแบบโหยหา..แต่อิ่มใจส่วนเวอร์ชั่นใหม่ จบแบบเหมือนจะไม่ได้เจอ แต่สุดท้ายก็ได้เจอแต่คนเขียนทำเนียนแอบสับขาหลอก นึกว่าคุณเมเนเจอร์วงบอยแบนด์จะเป็นพระเอก เปล่าเป็นอีกคนที่ทำเงียบๆ (ทำให้มองเห็นลักษณะเขาไม่ชัดเท่าไหร่) แหมๆๆ แต่ไม่เป็นไรพลิกมาแบบนี้ก็รับได้ จบแบบฟินจุงเบย ยังไงสุดท้ายเขาและเธอก็ได้เจอกันอีกครั้ง ม่านมนตรา / ชลนิล
ม่านมนตรา / ชลนิล ฤกษ์งามยามดีที่ได้เยือนบ้านเกิดรอบที่ผ่านมาเราก็นึกครึ้มใจติดต่อกับนักเขียน(ใหญ่)ที่คุ้นเคยกันอย่างคุณพี่ชลนิลซึ่งก็โป๊ะเช๊ะเพราะขุ่นพี่เขาว่างพอดี นัดเจอกันได้เลยในครึ่งชั่วโมง แหม...ดวงคนจะเจอกันนี่นัดกันแป๊บเดียวก็ได้เจอ เนื่องด้วยการพบปะสังสรรค์ครั้งนี้เรามีของฝากไปสักการะท่านชลนิลซึ่งเป็นปูชนียบุคคลของเราขุ่นพี่ก็เลยใจดีอีกรอบด้วยการหอบหนังสือของตัวเองมาให้สองเล่มไอ้เราก็เกรงใจ๊...เกรงใจ (แต่เอามั้ย เอา!) พี่ชลนิลก็เลยบอกว่างั้นอ่านแล้วคอมเมนต์มาแล้วกันถือเป็นการบ้านจากการได้หนังสืออภินันทาการ ซึ่งเล่มแรกก็คือ ม่านมนตราและอีกเล่มคือ ต่างเวลา วันนี้ขอเอ่ยถึงม่านมนตราก่อนก็แล้วกันเพราะสำหรับเราไม่ได้อ่านเล่มนี้มาก่อนแม้จะพอทราบเนื่อเรื่องคร่าวๆ(ส่วนต่างเวลาเคยอ่านเวอร์ชั่นเก่ามาแล้ว) พล้อตหลักๆ ก็คือการต่อสู้ระหว่าง มรรคาชายหนุ่มผู้เพียบพร้อมซึ่งเป็นเทพจุติลงมาเกิดเป็นมนุษย์ กับ จ้าวซึ่งเป็นคล้ายภูตผีปีศาจที่สถิตอยู่บริเวณหนึ่ง คำเตือน ข้อความต่อไปนี้อาจมีสปอยล์ครั้งใหญ่ถ้าท่านยังไม่ได้อ่านและอยากได้อรรถรสในการอ่าน กรุณาข้ามไปเถิด และเป็นการรีวิวโดยเอารสนิยมการอ่านตัวเองมาเป็นหลัก หากไม่ถูกใจใครก็ขออภัยไว้ณ ที่นี้ การดำเนินเรื่อง ผูกปม ทำได้ดีอย่างมาตรฐานของนามปากกานี้มรรคาเป็นเจ้าของกิจการร่ำรวย ที่ตอนนี้เจอะกับปัญหาป่าอาถรรพ์ในที่ดินที่เขากำลังจะสร้างโรงงานที่แห่งนั้นเขาเริ่มสัมผัสได้ถึงพลังงานบางอย่างที่ไม่ได้มาดี นั่นคือภูตพรายที่มีอิทธิฤทธ์ประมาณเจ้าพ่อรากไทร(อุ้ย สปอยล์มั้ยเนี่ย) แต่เป็นเจ้าพ่อที่มีที่มาที่ไปว่ามาเพื่อล้างแค้นกันโดยเฉพาะ งานนี้มีตัวช่วยพระเอกหลายทาง ไม่ว่าจะแม่หมออย่างพันเกลียวที่มีที่มาน่าสนใจ หรือวิญญาณสาวอับโชคอย่าง กะพ้อ ที่พยายามปรากฏตัวและช่วยเหลือมรรคาสุดๆแม้ว่าเธอจะช่วยอะไรเขาได้ไม่มาก และสุดท้ายที่คาดไม่ถึง ก็คือปีกแก้วน้องสาวบุญธรรมที่เติบโตมากับมรรคาและเข้ามาช่วยต่อสู้กับจ้าวได้อีกแรงหนึ่ง(ซึ่งเป็นอะไรที่พลิกล็อคคนอ่านอย่างเรามาก) แต่สิ่งที่เป็นเอกลักษณ์ที่ทำให้เรื่องน่าสนใจคือการเดินเรื่องที่ค่อยๆเปิดปม แล้วคลายปม เรื่องราวผีสางที่ทำให้บรรยากาศน่าติดตามมีบทต่อสู้ทางจิตระหว่างภูติและมนุษย์ที่เชือดเฉือน สำคัญและเป็นลายเซ็นนักเขียนท่านนี้ไปแล้วคือการแทรกธรรมะซึ่งแม้ว่าสุดท้ายแล้วพระเอกย่อมชนะตัวร้ายแต่ตัวร้ายก็ยังได้รับความเมตตาจากตัวเอกคือไม่ได้เป็นการสู้ห้ำหั่นให้ตายกันไปข้างนึง แต่สู้กันแบบแมนๆ ถ้าเทียบเฉพาะตัวพล้อตนี้ก็ถือว่าครบรสในแง่นิยายแต่ถ้าเป็นรสนิยมการอ่านส่วนตัวแล้วเราคิดว่าเรายังติดขัดในใจกับการเกลี่ยบทบาทในเรื่องนี้อยู่เพราะถ้าให้เจาะบุคลิกตัวละคร เรากลับคิดว่าตัวที่เด่นและแมนที่สุดกลับเป็นพันเกลียวเพราะปูมหลัง-คำพูด-การกระทำ ของตัวละครนี้หนักแน่น ชัดเจน มีบทบาทในเรื่องตั้งแต่เริ่ม ส่วนตัวมรรคานั้นเด่นด้วยตัวพล้อตที่เล่าเรื่องโดยเขาเป็นแกนกลางอยู่แล้วแถมในเรื่องเขายังเป็นพระเอกที่เป็นที่หมายปองของตัวละครหญิงทั้งสามคน(ฮาเร็มเชียวนะคะคู้ณ) และถ้าถามว่าใครบทน้อยลงมา ตัวแรกเราว่ากะพ้อเป็นตัวละครที่อับแสงด้วยตัวคาแรกเตอร์เธอเองตั้งแต่ต้นยันจบ ส่วนปีกแก้วนั้นเหมือนถูกซุกไว้ในหีบอยู่ค่อนเรื่องแล้วค่อยมาเฉลยว่าเป็นคู่บารมีของมรรคาที่ตามมาเกิดคู่กันเชียวนะ ซึ่งอ่านถึงตอนจบแล้วเราแอบรู้สึกว่าเคมีดูยังไม่ค่อยเข้ากันเท่าไหร่ คือความสัมพันธ์เป็นแบบเป็นพี่น้องกันมาตลอดแล้วตอนท้ายจะให้พลิกกลายเป็นรักแบบคนรัก มันก็เลย...อืม... พูดยาก อาจเพราะคนอ่านอย่างเราไม่ได้ผูกพันกับตัวละครอย่างปีกแก้วเพราะเธอดูมีมิติเดียวคือน่ารักสดใส ไม่เหมือนตัวละครอื่นที่มีมิติมากกว่า ดังนั้นนิยายเรื่องนี้เรามองว่าเด่นในด้านพล้อตดังที่คนเขียนบอกว่าไม่ถนัดแนวรักหรืออะไรหวานๆ อ่านเรื่องนี้แล้วเข้าใจเลย SMA ไม่มีคำว่าเสียใจ แม้ในหยดน้ำตา
SMA ไม่มีคำว่าเสียใจ แม้ในหยดน้ำตา เพทาย จิรคงพิพัฒน์ 'เทวดาคงมองเห็นศักยภาพของฉัน ท่านจึงส่งบทพิสูจน์ที่ยากกว่าผู้อื่นมาให้' ห่างหายจากการรีวิวหนังสือไปบ้างแต่เล่มนี้เป็นหนังสือที่อ่านแล้วอดไม่ได้จะเอ่ยถึงเพราะแม้จะเล่มเล็กบางอ่านแป๊บเดียวก็จบแต่การได้รับรู้ว่ามีนักเขียนคนหนึ่งก้าวพ้นข้อจำกัดทางร่างกายของตัวเองจนมีผลงานตีพิมพ์ออกมาได้ขนาดนี้มันก็เป็นเรื่องที่ทำให้ทั้งอึ้งผสมตื้นตันในความสู้ชีวิตของเธอคนนั้น เธอคนนั้นคือคุณแพรว เพทายจิรคงพิพัฒน์ หรือที่ตัวเรารู้จักเธอคนนี้ในนามปากกา ภาพิมล พิมลภา ต้องขอออกตัวก่อนว่านี่อาจไม่ใช่การรีวิวหนังสือเพราะเราเองเคยติดตามงานเขียนของนักเขียนคนดังกล่าวมาเป็นระยะทักทายพูดคุยกันทางเวบบอร์ดมาก่อน จึงเหมือนเอาหนังสือของคนรู้จักทางอินเทอร์เนทมาเอ่ยถึงเสียมากกว่าด้วยว่าเราเคยตามอ่านนิยายคุณแพรวและทึ่งในความขยันทางงานเขียน ซึ่งคุณแพรวก็บอกตรงๆว่าร่างกายเธอมี ข้อจำกัด บางอย่างทำให้ไม่สามารถทำงานได้อย่างคนปกติการเขียนนิยายจึงเป็นสิ่งหนึ่งที่เธอทำได้...ทั้งเพื่อต่อเติมความฝันและหาเลี้ยงตนเอง ตอนนั้นยังไม่เข้าใจนักว่าข้อจำกัดนั้นคืออะไรจนหนังสือเล่มดังกล่าวออกมา พร้อมกระแส Ice-bucket challenge ที่จุดประสงค์เพื่อผู้ป่วย ALS หนังสือเล่าเรื่องราวของตัวเองเล่มนี้ของคุณแพรวจึงได้มีโอกาสออกมาสู่สาธารณะและทำให้เราได้เข้าใจอีกมุมหนึ่งของนักเขียนคนนี้มากกว่าเดิมด้วย ตัวเล่มของหนังสือเล่าเรื่องราวชีวิตของคุณแพรวตั้งแต่เด็กจนโตด้วยภาษาและการเรียบเรียงแบบง่ายๆ ไม่มีอะไรซับซ้อนว่าโรคที่คุณแพรวเป็นนั้นมีภาษาทางการแพทย์เรียกว่าSMA ซึ่งเป็นโรคทางพันธุกรรมที่หายาก กล้ามเนื้อเธออ่อนแรงลงเรื่อยๆจากที่ตอนเด็กยังเคยเดินเหินได้ ต่อมาก็ต้องนั่งรถเข็น ก่อนหน้านี้นิ้วทั้งสิบเคยพิมพ์อะไรได้จนล้มป่วย...ก็กลายเป็นว่าตอนนี้คุณแพรวมีเพียงนิ้วเดียวที่พอจะขยับได้ และนิ้วเดียวนั่นล่ะ...ที่คุณแพรวใช้พิมพ์นิยายความยาวเป็นร้อยๆหน้าออกมาได้ อึ้ง...ทึ่ง...บอกตรงๆว่าอ่านไปแล้วนึกภาพคนกำลังปั่นนิยายด้วยนิ้วเดียว... คนเขียนต้องใช้เวลามากแค่ไหนกันนะกว่าจะเขียนออกมาได้สักหน้าสองหน้านึกถึงตอนอารมณ์ความเป็นนักเขียนพุ่งพล่านแล้วตอนนั้นสมองคนเราจะแล่นได้เร็วมากเราจำได้ว่าตอนมีไฟในงานเขียนนั้นสิบนิ้วที่พิมพ์คอมพ์บางทียังรู้สึกไวไม่ทันความคิดเลยแล้วนี่คุณแพรวมีแค่นิ้วเดียว....ต้องใช้ความอดทนแค่ไหนในการเขียนออกมาได้แต่ละเรื่องแต่ละเล่ม...นับถือจริงๆ สิ่งหนึ่งที่ชื่นชมคือคุณแพรวไม่เคยเอาประเด็นนี้ของตัวเองมาเป็นข้อจำกัดหรือจุดขายเรียกร้องความสนใจ คุณแพรวเป็นคนมีความพยายามเพราะเราเห็นคุณแพรวเขียนนิยายมานานแล้วและนิยายบางเรื่องกว่าจะผ่านพิจารณาก็ไม่ใช่ของง่าย แต่จนถึงวันนี้คุณแพรวก็มีงานเขียนเป็นเล่มของตัวเองหลายเล่มแล้ว ที่สำคัญ...เท่าที่เคยพูดคุยผ่านเวบบอร์ดคุณแพรวเป็นนักเขียนที่อ่อนน้อมถ่อมตน รับฟังความคิดเห็นของทุกท่านพร้อมจะพัฒนาตัวเอง และมีจินตนาการที่ดี (แม้ว่าร่างกายเธอมีข้อจำกัดแต่ใจเธอเป็นอิสระมาก) ความจริงแล้วหนังสือเล่มนี้คุณแพรวเขียนเล่าเรื่องชีวิตตัวเองแบบสบายๆไม่มีมุมไหนรันทดหดหู่ แต่ด้วยความที่คนอ่านอย่างเรา อิน ไปด้วยเพราะบางทีก็เผลอคิดว่าถ้าเราต้องอยู่ในสภาพแบบเธอคนนี้...เราจะยอมรับความจริงกับชีวิตได้ไหมเราจะเข้มแข็งได้อย่างคุณแพรวไหม คิดถึงจุดนั้น...มันรู้สึกเหมือนน้ำตาจะปริ่มเข้าใจแล้วว่าคุณแพรวเป็นคนเข้มแข็งและมองโลกแง่ดีแค่ไหน ความจริงหลังได้เล่มนี้มาก็ได้ส่งกำลังใจให้คุณแพรวไปแล้วแต่ก็รู้สึกว่าอยากจะเอ่ยถึงหนังสือเล่มนี้เพราะปกติแล้วในวงการหนังสือนั้น รู้ๆกันอยู่ว่าการที่นักเขียนหน้าใหม่สักคนจะได้รวมเล่มไม่ใช่เรื่องง่ายอยู่แล้ว แต่นี่คุณแพรวก็สามารถฝ่าฟันทั้งอุปสรรคทางกายและทางด่านวรรณกรรมจนมีผลงานรวมเล่มได้ขนาดนี้ความพยายามและกำลังใจของเธอคนนี้ไม่ใช่ระดับธรรมดา ท้ายนี้ดังที่บอกว่านี่อาจไม่ใช่รีวิวหนังสือที่ดีเพราะไม่ได้เจาะลึกอะไรมากมายแต่ที่ขอเอ่ยถึงเล่มนี้เพราะการได้รู้จักอีกแง่มุมหนึ่งของคนเขียน ทำให้รู้สึกถึงแรงบันดาลใจที่จะมีชีวิตต่อไปและสร้างสรรค์งานดีๆต่อไป เพราะในชีวิตคนเรา...ไม่ว่าจะยากดีมีจน มีร่างกายสมบูรณ์หรือมีอะไรขาดตกบกพร่อง...เรามักจะต้องเจอเรื่องราวหนักหนาเข้ามาทดสอบความเข้มแข็งของเราเสมอ คุณแพรวได้พิสูจน์แล้วว่าเธอก้าวพ้นบททดสอบนั้นได้ดังนั้นตัวเราเองก็หวังว่าจะก้าวพ้นดังเช่นคุณแพรวเหมือนกัน |
ณ พิชา
Rss Feed Smember ผู้ติดตามบล็อก : 4 คน [?] I think, therefore, I am Link |