Part 11

มือเรียวยาวผูกจดหมายเข้าที่ขาของนกฮูกเหยี่ยวตัวใหญ่ก่อนจะปล่อยมันให้บินหวือขึ้นไปบนท้องฟ้าครามเต็มไปด้วยเมฆหมอก ใบหน้าขาวค่อนข้างซีดมีเค้าความเคร่งขรึมไม่คลายมาตั้งแต่เหตุการณ์เมื่อคืน

ตอนนี้เขาต้องการเพียงคำตอบ...สำหรับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น

…………………………………………………………….

ได้โปรด...ติดปีกให้ฉันบินขึ้นไปถึงดวงจันทร์...

ให้ฉันได้ล่องลอย...ท่ามกลางมวลหมู่ดาว...


ร่างสูงยืนนิ่งขึงอยู่ตรงนั้น ดวงตาสีฟ้าแห้งผากเต็มไปด้วยคำถามจ้องเข้าไปในดวงตาสีมรกตชุ่มด้วยหยาดน้ำ

ทำไม? เธอ...พอตเตอร์?

กล่องคริสตัลในมือยังคงย้ำแหบพร่า

“อย่าลืม...ผู้ถือครอง เราจะขอรับค่าตอบแทน...ชีวิตของร่างนี้...หรือมิฉะนั้น ก็จงถอนคำขอซะ” เสียงเย็นชาของมันบอกชัดว่าไม่แยแสต่อสถานการณ์ตรงหน้าแม้แต่น้อย “แต่...”

แสงสีเขียวค่อยๆ หายไปพร้อมกับเสียงที่เบาแผ่ว

“จำไว้ว่า ท่านไม่มีโอกาสเปลี่ยนใจอีกแล้ว...”

หลังจากนั้นแสงจากกล่องคริสตัลก็ดับวูบ ทิ้งให้ร่างทั้งสองตกอยู่ในความมืด มีเพียงแสงสลัวจากแสงจันทร์ภายนอกเท่านั้นที่สาดส่องเข้ามาเพียงให้เห็นรูปเงาของกันและกัน ในที่สุดร่างบางก็เอ่ยออกมาช้าๆ

“เอเรียล คือ แฮร์รี่”

เสียงนิ่งมั่นคงบอกชัด เจ้าตัวคงจะรู้มานานแล้วว่าเวลาที่จะอธิบายทุกสิ่งต้องมาถึงเข้าสักวัน หากแต่ร่างสูงยังไม่มีปฏิกิริยาตอบรับ เขานิ่งเงียบและปล่อยให้คำพูดของอีกฝ่ายค่อยๆ ไขความสงสัยในใจออกไปทีละข้อ

“เอเรียลอยู่ภายในตัวแฮร์รี่ เป็นส่วนหนึ่งที่เขาไม่เคยรู้ว่ามีอยู่ ส่วนที่อ่อนแอที่เขาไม่อยากยอมรับ”

ดวงตาสีเขียวมรกตเงยขึ้นมองเขา ทำไมเด็กหนุ่มไม่เคยเอะใจว่า ดวงตาคู่นี้แทบไม่แตกต่างจากดวงตาอีกคู่ของคนที่เขาจงชังนักหนา...อาจจะเพราะประกายบางอย่างที่แตกต่างกันราวกลางวันที่กล้าแกร่งกับกลางคืนที่อ่อนหวานนั่นกระมัง

...ความเป็นเพศอีกเพศหนึ่งนั้น จะถูกกดลงไปอยู่ในส่วนของจิตใต้สำนึก ไม่ได้แสดงออกมาอีกยกเว้น...

ยกเว้น?...เด็กสาวตรงหน้า?

คำถามที่ไม่ได้ถูกเอ่ยได้รับคำตอบด้วยตัวเอง หน้าความทรงจำของเด็กหนุ่มค่อยๆ เปิดออก บางอย่างที่เขาลืมเลือน คำพูดและโทสะที่เป็นเหมือนสายลมพัดผ่าน


“ฉันไม่มีเวลาจะมาเสียให้กับการเล่นยุแหย่เป็นเด็กของนาย มัลฟอย! อย่ามายุ่งกับฉันอีก!” แฮร์รี่พูดก่อน
จะหันกลับไม่ไยดีกับร่างที่ยืนตะลึงมองตามด้วยสายตาเคียดแค้น

“ไอ้บ้าเอ๊ย!!” เดรโกกัดฟันกรอด

“แก!พอตเตอร์!ไอ้......!!ขอให้แก...อยู่ในสภาพทุเรศที่สุด...เท่าที่แกจะนึกกลัว...ขอให้....”


“กล่องนั่น...กับคำขอของฉัน?” ร่างสูงพึมพำ คำขอที่เขาไม่ได้ตั้งใจและไม่รู้ผลที่จะตามมาของมัน “สิ่งที่หมอนั่นกลัว?” เด็กหนุ่มก้มลงมองร่างเล็กบอบบางที่ยืนอยู่ตรงหน้า “...คือเธอ?” เอเรียลพยักหน้าทั้งที่ยังยิ้มเศร้า

“แฮร์รี่เกลียดน้ำตา เขาไม่เคยยกโทษให้ตัวเองที่อ่อนแอจนทำให้ซีเรียสต้อง...” เสียงหวานพูดแผ่วหาย น้ำตาบนแก้มเหือดหายไปแล้ว เหลือเพียงร่องรอยที่แห้งผาก

“แฮร์รี่สาบานว่าจะไม่ร้องไห้อีก”

เดรโกนึกภาพดวงตากร้าวของเด็กหนุ่มแห่งบ้านกริฟฟินดอร์ได้ชัดเจน ดูเหมือนตั้งแต่พ่อทูนหัวจากไป ความสดใสและอ่อนโยนของแฮร์รี่ พอตเตอร์ก็เลือนหายไปด้วย เหลือเพียงความเย็นชาที่เป็นกำแพงแห่งความเข้มแข็งซึ่งเด็กหนุ่มสร้างขึ้นมาปิดกั้นตนเอง

แล้วเดรโกก็นึกถึงท่าทางบริสุทธิ์สดใสและหยาดน้ำตาที่หลั่งออกมาเมื่อเขาพบเอเรียลเป็นครั้งแรก ท่าทางเศร้าสร้อย หวาดหวั่น และเคว้งคว้างราวกับเด็กหลงทางนั้นช่างตรงข้ามกันอย่างเห็นได้ชัด

ร่างสูงก้มลงมองคนตัวเล็กที่ตอนนี้สั่นสะท้าน เด็กสาวสะอื้นฮั่กโดยปราศจากเสียง ดวงตาสีเขียวมีแววหวั่นทำให้เดรโกรู้สึกวาบในใจจนต้องเอื้อมไปดึงอีกฝ่ายเข้ามาสู่อ้อมกอด น้ำตาที่เหือดหายเอ่อล้นออกมาอีกจนซึมเข้าไปในเสื้อเชิ้ตสีขาวของคนตัวสูงกว่า

เธอร้องไห้แทน ‘เขา’ ใช่มั้ย? ร้องไห้แทนเด็กหนุ่มที่ปฏิเสธมัน

เขาลูบผมหยักยาวสีดำสนิทอย่างปลอบประโลม

“ไม่เป็นไรนะ” เสียงทุ้มกระซิบแผ่วกับคนที่ยังสะอึกสะอื้น “ฉันอยู่นี่ เอเรียล นิ่งเสียคนดี...” เด็กหนุ่มกระชับอ้อมกอดแน่นขึ้น อยากให้ร่างที่กำลังสั่นสะท้านนั้นอบอุ่นขึ้นแม้สักนิด

..ทำไมไม่ปล่อยให้ฉันได้เห็น..ฤดูใบไม้ผลิบนดาวพฤหัสกับดาวอังคารเป็นอย่างไรนะ?...

แม้ว่าตอนนี้ในใจของเขาก็กำลังหวั่นไหวแทบไม่ต่างกัน

...ค่าตอบแทน...ชีวิต...หรือการสูญเสียคนในอ้อมกอดนี้ไปตลอดกาล

………………………………………………………


“ฮอร์ก รีบเอาคำตอบจากแม่ฉันกลับมาให้เร็วที่สุด”

เขาพึมพำสั่งเจ้านกฮูกที่ตอนนี้บินหายลับไปจากสายตา ร่างสูงหันหลังแล้วเดินเร็วๆ กลับเข้าไปในห้องโถงใหญ่ เกือบจะหมดเวลาอาหารเช้าแล้ว แต่ที่โต๊ะของแต่ละบ้านก็ยังมีคนนั่งอยู่ประปราย

“เดรโก เธอหายไปไหนมา ฉันรอตั้งนานแน่ะ ไปทานอาหารเช้าเถอะ”

แพนซี่รีบเดินเข้ามาเกาะแขนยิ้มหวานให้แต่เด็กหนุ่มไม่มีแก่ใจจะผละออกเช่นปกติ ร่างสูงปล่อยให้เพื่อนสาวร่วมบ้านดึงไปที่โต๊ะของสลิธิรินโดยไม่ได้พูดค้าน ดวงตาสีฟ้าเผลอเหลือบมองร่างบอบบางของใครบางคนที่นั่งอยู่อีกโต๊ะห่างออกไปเกือบคนละมุมห้อง

ใบหน้าของแฮร์รี่ พอตเตอร์ซีดขาวจนแทบไม่มีสีเลือด แม้มองจากตรงนี้ก็ยังเห็น เด็กหนุ่มนั่งอยู่ระหว่างเพื่อนสนิททั้งสองกำลังพยายามคะยั้นคะยอให้เขาทานอาหารมากขึ้นอีกนิด แต่รอยยิ้มปฏิเสธอย่างระโหยนั้นบอกชัดว่าเจ้าตัวคงไม่อยากจะกล้ำกลืนอะไรมากไปกว่านี้ ท่าทางอ่อนล้าราวกับถูกดูดเอาพลังชีวิตไปหมดทำให้ร่างนั้นดูเหมือนจะล้มลงได้ทุกเมื่อ

เดรโกเบือนหน้ากลับมา เขากัดริมฝีปากพร้อมกับกำมือแน่น

เหลือเวลาอีกไม่มาก...หรือเขาอาจจะต้องเลือก อย่างที่แม่ของเขาเคยเลือกมาแล้ว

………………………………………………………

ร่างในอ้อมแขนหลับใหลไปแล้วเพราะความเหนื่อยอ่อน แต่เด็กหนุ่มแห่งบ้านสลิธิรินยังคงนั่งพิงกำแพงหิน ดวงตาสีฟ้าครุ่นคิดหาทางออก ร่างสูงก้มลงมองใบหน้าสวยที่หลับพริ้ม คราบน้ำตายังเหลือร่องรอยบนแก้มใส อดไม่ได้ที่จะลูบปัดมันออกเบาๆ

ไม่อยากสูญเสียเธอ...

ความรู้สึกของการที่รู้ว่าอาจจะไม่ได้พบกับเด็กสาวคนนี้อีกทำให้เขาเสียววาบในใจจนต้องกระชับอ้อมกอดแน่นขึ้น เสียงหัวเราะแผ่วๆ แว่วมา เสียงที่เด็กหนุ่มเริ่มคุ้นเคยและไม่อยากได้ยิน

แต่ถึงอย่างนั้นเดรโกก็ยังหยิบกล่องคริสตัลออกจากกระเป๋าเสื้อคลุม

“ท่านไม่จำเป็นต้องเสียสาวน้อยคนนี้ไปนะ ผู้ถือครอง”

แสงสีเขียววูบวาบราวกับยั่วล้อต่างจากเมื่อครู่ที่ยื่นคำขาดแก่เขา “เพียงแค่จ่ายค่าตอบแทนให้เรา”

เด็กหนุ่มยิ้มเย็น “ค่าตอบแทนที่หมายถึงชีวิตคนหนึ่งคนไม่ใช่ของเล็กน้อย แกก็รู้นี่” เขาวางร่างบางในอ้อมแขนลงบนกองผ้าม่านข้างตัวก่อนจะหันกลับมา “แกอยากได้ชีวิตของพอตเตอร์ไปทำไมกัน?”

“ไม่มีเหตุผล มันเป็นกฎของเรา ตั้งแต่ผู้ถือครองคนแรกจนถึงท่าน ทุกคนล้วนต้องจ่าย”

คุณชายแห่งตระกุลมัลฟอยเลิกคิ้ว ผู้ถือครองก่อนหน้า? เด็กหนุ่มลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิท ผู้ที่ให้กล่องคริสตัลนี้แก่เขา…

แม่เคยได้รับพรจากกล่องนี้มาแล้ว

“งั้นแม่ของฉันก็เคยจ่ายค่าตอบแทนให้แก?” น้ำเสียงของเด็กหนุ่มกระตือรือร้นขึ้น ถ้าอย่างนั้นแม่อาจจะรู้ว่าจะหาทางออกได้อย่างไรสินะ

เสียงแหบพร่ากลั้วหัวเราะ “ท่านอยากเห็นไหมล่ะ ว่ามารดาท่านขออะไร”ร่างสูงขยับเข้ามาใกล้ถามด้วยเสียงไม่เชื่อใจนัก “แกทำให้ฉันเห็นได้?”

“แน่นอน” แสงจากกล่องวูบไหวเล็กน้อย “ถ้าท่านไม่กลัวจะเสียใจภายหลัง...ก็หลับตาซะ”

“ทำไมต้องกลัว” เดรโกบอกเสียงห้วนพร้อมกับหลับตาลงทันที


ภาพตรงหน้าเขาเปลี่ยนจากความมืดมืดเป็นแสงสว่างจ้า สายลมร้อนพัดมาปะทะใบหน้าจนเด็กหนุ่มต้องลืมตา ผืนหญ้ากว้างใหญ่สุดลูกตาสลับด้วยเนินเขาเตี้ยๆ ปรากฏขึ้น ทิวทัศน์ที่แสนคุ้นเคยตั้งแต่วัยเยาว์

บ้านของเรานี่นา?

เสียงหัวเราะดังดังขึ้นด้านหลัง ทำให้เด็กหนุ่มหันกลับไปมอง เด็กสาวสองคนกำลังนั่งคุยกันบนพื้นหญ้า ดูเหมือนทั้งสองจะไม่สังเกตเห็นเขาแม้แต่น้อย เดรโกรู้สึกคุ้นตากับร่างบอบบางที่มีผมสีบลอนด์ยาวนั้นจนต้องเพ่งมองซ้ำ และเมื่อใบหน้าเรียวขาวเงยขึ้นเขาก็จำได้ทันที...

แม่? ไม่สิ ตอนนี้มารดาดูอายุพอๆ กับเขา...นี่คงเป็นความทรงจำของกล่องนั่นสินะ

เด็กสาวผมสีดำสนิทหยิกขอดที่มีดวงตาค่อนข้างดุกำลังพยายามเกลี้ยกล่อมอะไรบางอย่างกับมารดาเขา

“น่านะ นาร์ซิซาร์ ขอดูหน่อยสิ นะนะ”

“มันก็แค่สมบัติตกทอดเท่านั้นเอง เบลลาทริกซ์” ใบหน้าเรียวยิ้มนิดๆ ก่อนจะหยิบกล่องคริสตัลที่เหมือนกับของเดรโกออกมาให้ผู้เป็นเพื่อนดู

อีกฝ่ายก้มลงพิจารณาอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเงยหน้าขึ้น

“อือ...มันดูธรรมดาจริงๆ ด้วยล่ะ ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมแม่เธอต้องกำชับเสียขนาดนั้น”

นาร์ซิซาร์ส่ายหน้า “ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน แม่คงไม่อยากให้เราอธิษฐานอะไรแบบไม่ตั้งใจจริงๆละมั้ง”ร่างบอบบางอธิบายพลางก้มลงเก็บข้าวของ “กลับเข้าไปข้างในกันเถอะ จะเย็นแล้ว เดี๋ยวต้องกลับบ้านกันอีก”

เบลาทริกซ์ยักไหล่ “นั่นสิ ไปเถอะ ป่านนี้ลูเซียสตามหาเธอแย่”

“ไม่หรอก” ใบหน้าหวานฝืนยิ้ม “เค้าจะมาตามหาฉันทำไม” พูดเสียงแผ่ว ตาสีฟ้าหม่นลง

เด็กสาวผมดำไม่ทันสังเกตสีหน้าของผู้เป็นเพื่อน “อ้าว ก็เป็นคู่หมั้นกันนี่นา ถึงจะหมั้นเพราะพ่อแม่สัญญากันไว้ตั้งแต่เด็กๆ ก็เหอะ” พูดแล้วก็แกล้งเย้าต่อ

“ดีออกน๊า ได้หมั้นกับผู้ชายที่ดูดีที่สุดในเครือญาติรุ่นเดียวกับพวกเราเนี่ย...คิดดูสิ ขืนต้องไปหมั้นกับเจ้าซีเรียสตาต่ำที่ชอบคบกับพวกเลือดสกปรก..แหวะ!” เบลาทริกซ์ทำท่าขนลุกเมื่อพูดถึงสมาชิกอีกคนของตระกูลแบล็คที่เธอเกลียดชังจนไม่อยากพบหน้า

นาร์ซิซัสขำท่าทางของเพื่อน “ไปเถอะ กลับกันดีกว่า” ร่างบอบบางลุกขึ้นพอดีกับที่ใครอีกคนก้าวเข้า
มา “ลูเซียส?” ใบหน้าสวยอดยิ้มอย่างดีใจออกมาไม่ได้ แต่เธอกลับไม่ได้รับรอยยิ้มตอบ ใบหน้าของชายหนุ่มอายุมากกว่าเฉยชาดังเช่นทุกครั้งที่ทั้งสองพบกัน

“คุณน้าให้ออกมาตาม” เสียงทุ้มพูดเรียบกึ่งหงุดหงิดเล็กน้อยที่ถูกทำให้เสียเวลา คนถูกตามจึงรีบเก็บข้าวของ

“ค่ะ เรากำลังจะกลับกันพอดี”

แต่พอหันไปหาเด็กสาวอีกคนก็ปรากฏว่าเบลาทริกซ์เดินหนีกลับไปก่อนเสียแล้ว ญาติกึ่งเพื่อนสนิทไม่วาย
เหลียวกลับมาขยิบตาให้...ไม่อยู่เป็นก้างล่ะนะ…

ไม่ใช่อย่างที่เธอคิดสักนิดเลยบัลเลทริกซ์....

ร่างบางหน้าเสีย ก่อนจะหันกลับมามองคนตัวสูงที่ตอนนี้กำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่างจนไม่ได้สนใจเธอแม้แต่น้อย “เอ่อ...ลูเซียสคะ” เสียงแผ่วเรียกเบาๆ พอดวงตาสีฟ้าซีดหันมามอง เด็กสาวก็อึกอัก

“เรื่องหมั้นของเรา....คุณไม่เต็มใจใช่ไหมคะ?” ใบหน้าสวยกลั้นใจถามออกมาจนได้ คำถามที่ค้างคาใจมานาน

“ถามทำไม?” คนตอบย้อนถามเสียงเย็น

“ก็...” ทำไมเธอจะไม่รู้...ท่าทางเย็นชาของอีกฝ่ายบอกชัดมาตั้งแต่แรก แต่ก็อยากได้ความมั่นใจจากปากของชายหนุ่มเอง “ฉันแค่อยากจะบอกว่า ถ้าคุณไม่เต็มใจ เราบอกให้พวกพ่อแม่ยกเลิกสัญญาเสีย...”

“ฉันไม่มีความเห็นอะไรกับเรื่องนี้” ชายหนุ่มตัดบท “ถ้าผู้ใหญ่อยากจะให้แต่งก็ตามใจ”

เขามีเรื่องที่ต้องคิดถึงมากมาย สัญญาเล็กๆ น้อยๆ ของบิดามารดาไม่มีความสำคัญเท่ากับแผนการและผู้เป็นนายเหนือที่จะนำอำนาจมาสู่เขาและตระกูล

ท่าทางไม่แยแสของอีกฝ่ายทำให้เจ็บแปลบ เด็กสาวพูดเสียงแผ่ว “แต่เราไม่ได้...รู้สึกรัก..กัน..” จะพูดให้ถูกคือ ชายหนุ่มตรงหน้าต่างหากที่ไม่ได้รู้สึกอะไรกับเธอแม้แต่น้อย

“ก็ใช่”รอยยิ้มกึ่งรำคาญกึ่งสมเพทเล็กๆ ที่มุมปากของชายหนุ่มทำให้นาร์ซิซาร์หน้าชาวูบ “ถ้าเธอคิดถึงเรื่องนี้นักก็บอกให้พ่อแม่ถอนหมั้นละกัน” เขาหันหลังกลับแล้วพูดทิ้งท้ายสั้นๆ

“ถ้าหมดธุระแล้ว ฉันขอตัว”

นาร์ซิซาร์มองตามคู่หมั้นไปด้วยสายตาหม่น เด็กสาวก้มหน้าลงเพื่อซ่อนน้ำตาที่กำลังเอ่อล้น...เธอมองเห็นอนาคตของตัวเองชัดเจน ตำแหน่งภรรยาที่ได้รับคงจะเป็นเพียงหน้าที่ ไร้ซึ่งความรู้สึก...ไม่มีความอบอุ่น หรือแม้แต่เศษเสี้ยวของความรัก

หยาดน้ำใสหยดลงบนมือเรียวที่กำกล่องคริสตัลแวววาวไว้แน่น

...ถ้าเพียงแต่ฉันขอได้....ถ้าเพียงแต่ให้ดวงตาเขามองมาที่ฉันบ้าง...ฉันยอมแลก...ทุกสิ่ง...


เด็กหนุ่มผมบลอนด์ลืมตาขึ้นด้วยความรู้สึกไม่อยากเชื่อ สิ่งที่เขาเห็นตั้งแต่จำความได้คือ ท่าทางอ่อนโยนของบิดาที่มีให้แก่ผู้เป็นภรรยา แม้ว่าจะปฏิบัติกับคนอื่นอย่างเย็นชาเข้มงวด แต่มีเพียงนาร์ซิซาร์ มัลฟอยเท่านั้นที่จะได้รับความไว้วางใจเต็มเปี่ยม รอยยิ้มบางๆ ที่นานครั้งจะมีให้เห็นนั้นมักจะมีสาเหตุมาจากนายหญิงของตระกูล

ทั้งหมด...มาจากอำนาจของกล่องนี่งั้นเหรอ?

“ไม่จริง...” เสียงพึมพำของเขาทำให้กล่องคริสตัลในมือหัวเราะออกมา

“เห็นกับตาท่านยังไม่เชื่ออีกรึ?”

เด็กหนุ่มพูดเสียงห้วน “แต่พ่อของฉันก็ยังอยู่ดี แกไม่ได้เอาชีวิตเขาไปสักหน่อย”

แสงสีเขียววูบวาบไปมา “ข้อตกลงของผู้ถือครองแต่ละคนก็ไม่เหมือนกันนักหรอก...” เสียงที่ตามมามีกระแสเยาะหยัน “ว่าแต่...ท่านไม่สังเกตรึ สมาชิกของตระกูลแบล็คน่ะ ไม่เหลือแม้แต่คนเดียว”

เดรโกยะเยือกขึ้นในใจ ใช่แล้ว หลังจากที่ซีเรียส แบล็คออกจากบ้าน...ตระกูลของมารดาเขาก็ไร้ทายาท สมาชิกที่เหลือส่วนใหญ่ไม่ว่าเด็กหรือแก่ต่างสิ้นชีวิตไปหมดตั้งแต่ก่อนที่เขาจะเกิดเสียอีก

ชีวิต..แลกกับคำขอ...

“ฉันไม่เชื่อ!”

เดรโกเผลอหลุดตะโกนเสียงกระด้าง มารดาเขาไม่มีทางทำแบบนั้นแน่ ไม่มีทางแลกชีวิตของคนทั้งตระกูลเพื่อความรักที่ไม่อาจได้มาครอบครอง

“ตามแต่ท่านจะคิด เราเพียงแต่ให้ท่านเห็นตัวอย่างเท่านั้น” แสงเรื่อเรืองเริ่มวูบลง “แต่มนุษย์ส่วนใหญ่...ก็มักจะมีสิ่งที่ไม่อาจยอมสูญเสีย...หรือไม่ใช่”

สิ่งที่ไม่อาจยอมสูญเสีย...

เด็กหนุ่มนิ่งอึ้ง ดวงตาสีฟ้าเหลือบมองร่างบางที่นอนหลับสนิทอยู่ข้างกาย เสียงจากกล่องแว่วหายพร้อมกับความมืดที่เข้าครอบงำหอคอยอีกครั้ง

“โปรดอย่าลืม ว่าเมื่อถึงวันพระจันทร์เต็มดวง ถ้าท่านยังไม่ถอนคำขอ เราก็จะรับค่าตอบแทนไป”
##############################

TBC

***Tals***

เหอเหอ หลังวิกฤตการณ์คอมเจ๊ง ตอนที่ 11 ออกมาจนได้ ที่จริงเราเขียนไว้นานแล้วแต่รู้สึกไม่ชอบใจอ่ะ แก้ไปแก้มาอยู่จนพอใจ พล็อตเรื่องของคุณพ่อลูเซียสกะคุณแม่นาร์ซีซาร์ก็คิดอยู่ว่าจะใส่ดีมั้ย แต่เห็นคนอ่านหลายท่านสงสัยเรื่องคุณแม่ทำไมให้กล่อง (บ้า) พระเอกของเรา เลยคิดว่า ใส่ไว้ดีกว่า---ผลเลยทำให้สงสัยเรื่องจะยาวขึ้นไปอีก แหะแหะ

เขียนไปชักเริ่มรู้สึกว่า ทำไมเดรมันพระเอ๊ะ พระเอกเหลือเกินฟะ!



Create Date : 13 มิถุนายน 2548
Last Update : 13 มิถุนายน 2548 11:29:05 น.
Counter : 540 Pageviews.

3 comment
Part 10
Part 10

“เอเรียล....”

เดรโก มัลฟอยเงยหน้าจากหนังสือที่อ่านอยู่เมื่อรู้สึกว่าเด็กสาวที่นั่งข้างๆเงียบเสียงไปพักใหญ่ ร่างบางนั่งเอาคางเกยเข่า ดวงตาสีเขียวมองออกไปยังทิวทัศน์ด้านนอกที่มีเพียงความมืดสลัว พรีเฟ็คแห่งบ้านสลิธิรินถอนใจออกมาเบาๆ ...เป็นแบบนี้อีกแล้ว...

เขาเอื้อมมือเขี่ยปอยผมสีดำที่เคลียแก้มใส คนใจลอยสะดุ้งโหยงหันกลับมา

“หือ? เดร?”

เดรโกยิ้มนิดๆ เมื่อเห็นสีหน้างงๆ ของอีกฝ่าย “คิดอะไรอยู่น่ะ เรียกก็ไม่ได้ยิน”

“เปล่า” อีกฝ่ายปฏิเสธเสียงเบาก่อนจะรีบฉีกยิ้มกว้าง เด็กสาวพยายามชวนเขาคุยเสียงแจ๋วๆ ต่อ

ดวงตาสีฟ้าซีดจ้องมองใบหน้าสวยที่พยายามทำท่าทางสนุกสนานแล้วก็อดรู้สึกกังวลไม่ได้ ความจริงตั้งแต่คืนนั้น ทุกอย่างก็กลับมาเป็นเหมือนเดิม เดรโกยังคงรับหน้าที่เดินตรวจยาม แล้วก็มาพบเอเรียลที่หอคอย จะต่างไปบ้างก็ตรงที่สาวน้อยตรงหน้าไม่ร่าเริงดังเคย แม้ว่าถ้าต่อหน้าเขาอีกฝ่ายจะพูดคุยหัวเราะตามปกติ แต่เวลาที่เผลอ ดวงตาสีเขียวนั่นก็มักจะครุ่นคิดปนกับมีแววเศร้าเจือจางทุกครั้ง

คิดแล้วเด็กหนุ่มก็นึกโทษตัวเองในใจ ไม่น่าหลุดปากเล่าเรื่องกล่องประหลาดนั่นให้เอเรียลฟังเลย ดูเหมือนยัยตัวเล็กจะคิดมากและกังวลยิ่งกว่าตัวเขาเองเสียอีก ถึงจะไม่แสดงออกก็เถอะ

ดูสิ คุยได้ไม่เท่าไหร่ก็เงียบไปเองอีกแล้ว...ร่างสูงขยับตัวดึงคนตัวเล็กกว่าที่อยู่ข้างๆ เข้ามาใกล้ เอื้อมมือไปลูบศีรษะที่มีผมนุ่มหยักยุ่งแล้วถามเสียงเบา

“เอเรียล...เป็นอะไรไป ทำไมไม่บอกฉันล่ะ?”

เด็กสาวหน้าเสียเมื่อถูกจับได้ว่าตนเองแสร้งทำเป็นร่าเริง แต่แล้วก็ส่ายหน้าเร็วๆ “เอเรียลไม่เป็นไรจริงๆนะ เดรจะอ่านหนังสือไม่ใช่เหรอ เอเรียลไม่กวนก็ได้” ร่างบางทำท่าจะถอยออกมา แต่ถูกดึงให้ทรุดนั่งลงอีกครั้ง แถมคราวนี้แขนยาวๆ ยังเอื้อมมารั้งเอวเล็กให้อิงเข้ากับอกกว้าง

“เดร?” ใบหน้าสวยมีแววฉงน รีบเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของอ้อมกอดที่อยู่ดีๆ ก็ยิ้มเจ้าเล่ห์ขึ้นมา

“ใครว่ากวนล่ะ เวลาเธออยู่ใกล้ๆ น่ะดีออกจะตาย”

คนพูดกระชับอ้อมแขนแน่นขึ้นราวกับจะแกล้ง เสียงทุ้มปนหัวเราะนั้นทำเอาคนตัวเล็กกว่าเลิกเครียดได้ทันควัน ใบหน้าสวยทำแก้มป่องพลางดิ้นขลุกขลัก

“ไม่เห็นดีเลย อยู่แบบนี้หายใจไม่ออก”

เดรโกอดขำคำท้วงแบบไร้จริตของคนตรงหน้าไม่ได้ ที่จริงเขาแค่อยากจะดึงความสนใจของเด็กสาวจากเรื่องกังวลเท่านั้น แต่ใบหน้านวลที่ซับสีเรื่อๆ นี่ก็ดูเพลินตาจนไม่อยากจะปล่อยเลยจริงๆ

“นี่...จำเพลงที่เธอเคยร้องให้ฉันฟังได้ไหม?” เด็กหนุ่มถามพร้อมกับเอาคางเกยศีรษะนุ่ม เอเรียลพยักหน้าหงึกหงัก

“Fly me to the moon จำได้ซี” คนตัวเล็กกว่าถามกลับบ้าง “เดรถามทำไม? อยากให้เอเรียลร้องให้ฟังอีกเหรอ?” รีบเงยหน้าถามเสียงกระตือรือร้น

คุณชายแห่งบ้านสลิธิรินส่ายหน้ายิ้มๆ “ไม่ใช่หรอก..ไม่ได้อยากให้เธอร้องให้ฟังแต่ว่า…” เขากระชับอ้อมกอดก่อนที่เสียงทุ้มๆ จะดังขึ้น


Poets often use many words.
To say a simple thing.
It takes through and time and rhyme to make a poem thing.

With music and words I've been playing.
For you I have written a song.
To be sure that you'll know what I'm saying.
I'll translate as I go along.

“เดร?!” เสียงอุทานปนประหลาดใจจากเด็กสาวทำให้เดรโกหยุดร้อง แสร้งก้มหน้าแบบฉงน“หือ? ทำไมเหรอ”

“เดรร้องเพลงนี้ได้?” ดวงตาสีเขียวเบิกกว้าง ไม่ใช่แค่ร้องได้ แต่รู้จักเนื้อเพลงเต็มๆ ที่เธอไม่เคยร้องให้ฟังเสียด้วย คนถูกถามทำท่าอมภูมิ “ไม่ได้มีแค่เธอคนเดียวนี่นาที่รู้จักเพลงของมักเกิ้ลน่ะ”

ความจริงเขาใช้เวลาคุ้ยข้อมูลจากหนังสือวิชามักเกิ้ลศึกษาในห้องสมุดอยู่นานทีเดียวกว่าจะเจอ ถ้าให้มาดามพินซ์ช่วยคงจะเร็วกว่านี้แล้ว แต่การตอบคำถามอาจารย์บรรณารักษ์ว่าเขาอยากได้เนื้อเพลงของมักเกิ้ลไปทำอะไรนี่คงจะลำบากกว่าแน่ๆ

ดูเหมือนความพยายามจะได้ผล เด็กสาวตัวเล็กดูจะตื่นเต้นขึ้นมาโดยไม่ต้องเสแสร้ง “เดรร้องเพลงนี้ได้จริงๆ เหรอ? ร้องต่อสิ นะๆ” ร่างบางขยับออกจากอ้อมกอด มือเรียวเอื้อมมาเขย่าแขนแบบกึ่งเร่งกึ่งอ้อน

“เอ...ร้องต่อดีมั้ยน๊อ...” เด็กหนุ่มผมบลอนด์เอามือแตะคางทำท่าครุ่นคิด

“น่านะ เดรนะ” อีกฝ่ายยิ่งรบเร้าหนักขึ้น เดรโกยิ้มออกมาอีกครั้ง

“งั้น...” ร่างสูงลุกขึ้นยืนแล้วดึงเอาคนตัวเล็กกว่าให้ลุกตาม “ร้องด้วยกันแล้วกัน” เขาดึงเด็กสาวไปที่ระเบียง ดวงจันทร์ด้านนอกส่องสว่างเข้ากับบรรยากาศ เสียงหวานร้องคลอกับเสียงของเด็กหนุ่ม

Fly me to the moon.
And let me play among the stars.
Won't you let me see what spring is like on Jupiter and Mars.

In other words..

อยู่ดีๆ เดรโกก็จับมือเรียวของอีกฝ่ายขึ้นมา “Hold my hand.” ดวงตาสีฟ้าที่จ้องมองนิ่งทำเอาเอเรียลที่
ปกติจะจ้องตอบแล้วยิ้มแบบเด็กๆ กระพริบตาปริบๆ ทำหน้าไม่ถูกเมื่อนึกถึงท่อนต่อไปขึ้นมาได้

“In other words”

พอใบหน้าของคนตัวสูงกว่าก้มลงมาหาพร้อมกับกระซิบ เสียงหวานก็ขาดหายไปแล้ว “…Darling kiss
me”

เด็กหนุ่มก้มหน้าลงแต่แล้วก็ชะงักกึก...

ก็ใบหน้าสวยตอนนี้หลับตาแน่น แถมทำหน้ากลั้นใจแบบประหลาดๆ จนดูน่าขำ สุดท้ายคนที่กำลังอยู่ในบรรยากาศโรแมนติกเลยต้องหายใจพรืด...นี่กลัวถูกจูบขนาดนั้นเลยเหรอ ดูซิ หลับตาปี๋เชียว

เดรโกส่ายหน้ายอมแพ้ “ก็ได้ๆ แค่นี้ก็ได้” เขาพึมพำก่อนที่จะก้มลงแตะริมฝีปากที่หน้าผากเนียนอย่างแผ่วเบา “เอ้า ลืมตาได้แล้วยัยเด็กน้อย เฮ่อ” ท้ายประโยคอดมีเสียงถอนใจแบบเสียดายนิดๆ ไม่ได้

อีกฝ่ายยังคงหลับตาแน่นอยู่ เดรโกเลยเอื้อมมือไปดึงจมูกโด่งรั้นนั่นไปมาอย่างมันเขี้ยว “จะกลัวไปถึงไหน”

“โอ้ย เดรนี่” ได้ผล ดวงตาสีเขียวลืมขึ้นแล้วประท้วงเสียงบู้บี้ เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังหัวเราะชอบใจ เด็กสาวเลยทำหน้าบู้ “แกล้งเอเรียลเหรอเนี่ย เอาอีกแล้วน๊า”

“หึหึ เปล่าสักหน่อย โอ้ย อย่าตีแรงสิ” ร่างสูงหัวเราะก่อนจะอุทานเมื่อถูกกำปั้นเล็กๆ ทุบเข้าที่ไหล่จนต้องหลบไปด้านหลัง ดึงให้คนจ้องทำร้ายหมุนตามไปด้วยจนสุดท้ายก็เหนื่อยจนต้องนั่งพักกันทั้งคู่

“เดร” เสียงหวานเรียกเบาๆ ก่อนจะถามด้วยสีหน้ากังวล “กล่องนั่นพูดอะไรอีกหรือเปล่า”

คุณชายแห่งตระกูลมัลฟอยส่ายหน้า “ไม่..ตั้งแต่วันนั้นมันก็ไม่ได้ส่งเสียงอะไรอีกเลย” เขาสบตากับดวงตาสีเขียวที่จ้องมองอย่างเศร้าๆ นั้นด้วยสายตากังวลไม่แพ้กัน

ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าสิ่งที่เจ้ากล่องประหลาดนั่นเรียกร้องคงจะไม่ใช่ของเล็กน้อยแต่...

มือยาวดึงเอาร่างบางเข้ามาชิด เดรโกกระซิบหน้าขรึมพร้อมกับลูบศีรษะเล็กอย่างปลอบโยน “ไม่เป็นไรหรอก...กล่องนั่นมันอยากได้อะไรก็ให้มันเอาไปเถอะ ไม่ต้องกังวลนะ”

คนในอ้อมกอดได้แต่นิ่งเงียบ ไม่พูดอะไรออกมาอีกเลย

......................................................................................................................................

ร่างสูงในชุดเสื้อคลุมควิชดิชสีเขียวก้าวไปตามระเบียง การซ้อมช่วงบ่ายวันนี้หนักไม่ใช่เล่น เจ้ากัปตันคนใหม่คงอยากแก้มือเต็มที่ เดรโกเดาะไม้กวาดนิมบัส 2001 ของตัวเองขึ้นพาดไหล่ เขาวางแผนจะรีบกลับหอไปจัดการการบ้านให้เสร็จเรียบร้อย เผื่อคืนนี้จะพายัยตัวเล็กไปขี่ไม้กวาดเล่นจะได้ไม่ต้องมีห่วง

เด็กหนุ่มหยุดกึกเมื่อเห็นร่างในชุดเสื้อคลุมนักเรียนที่กำลังยืนเกาะผนังอยู่ “พอตเตอร์?” เขาขมวดคิ้ว แค่มองจากระยะไกลก็พอจะเห็นแล้วว่าฝ่ายนั้นอาการไม่ค่อยดี ก็ไหล่บางหอบเสียขนาดนั้น

“อีกแล้วเหรอเนี่ย?”

ทำไมเวลาเขาเจอพอตเตอร์ตามลำพังทีไร ต้องเป็นตอนที่หมอนี่กำลังป่วยทุกทีเลยนะ? พรีเฟ็คแห่งบ้านสลิธิรินรีบสาวเท้าตรงไปหา

“หวัดดี พอตตี้ จะเป็นลมอีกแล้วเหรอ?”

เขาส่งเสียงทักแบบกวนประสาทตามเคย หลังจากที่ต่างฝ่ายต่างขอโทษเรื่องเมื่อวันก่อนไปแล้ว ทั้งเขาทั้งคนดังแห่งบ้านกริฟฟินดอร์ก็กลับมาแง่งๆ ใส่กันเหมือนเดิม ทุกอย่างแทบไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง คงเป็นนิสัยที่แก้ยากไปเสียแล้วนั่นแหละ

แฮร์รี่ พอตเตอร์พอได้ยินชัดว่าคนที่ทักตนเองจากด้านหลังเป็นใคร ร่างบางซึ่งกำลังรู้สึกวิงเวียนศีรษะก็รีบยืดตัวขึ้น สีหน้าติดจะบึ้งหันขวับไปประจันกับร่างสูงของเด็กหนุ่มผมบลอนด์

“ไม่มีอะไร มัลฟอย ฉันแค่เหนื่อยนิดหน่อย” รีบปฏิเสธ แต่ก็ไม่สามารถปิดบังใบหน้าซีดเผือดของตนจากดวงตาสีฟ้าของอีกฝ่ายได้

“นิดหน่อย? ไม่มั้ง” เดรโกย่นคิ้วล้อแล้วก้มลงมองคนตัวเล็กกว่า มือยาวเอื้อมไปคว้าข้อมือข้างที่ไม่ได้ถือหนังสือเรียนของอีกฝ่ายขึ้นมาโดยไม่ขออนุญาตสักคำ “นายมือสั่นด้วยล่ะ นอนน้อยไปหรือเปล่า?”

“ฉันสบายดี!” เด็กหนุ่มผมดำรีบสะบัดมือสั่นเทาของตนออกจากการเกาะกุมพร้อมกับเถียงเสียงเข้ม ส่งผลให้ฝ่ายตรงข้ามขมวดคิ้วไม่ค่อยชอบใจ

ยังไม่ชอบแสดงความอ่อนแอเหมือนเคย...

เดรโกวางไม้กวาดของตนพิงกำแพง แล้วกอดอกเอียงคอมองพิจารณาขึ้นๆลงๆ ด้วยสายตาแบบที่ทำให้คนถูกมองหน้าบึ้งมากขึ้นไปอีก

“จริงเหรอ? ฉันว่านายน่าจะไปห้องพยาบาลได้แล้วนะ” เสียงทุ้มแนะนำจริงจัง ไม่ใช่เพราะว่าห่วงเจ้าแว่นหัวยุ่งนี่หรอก ก็แค่เห็นว่าท่าทางช่วยตัวเองไม่ได้แบบนี้มันน่าสมเพทเท่านั้นเอง

“ฉันบอกว่า ฉัน-ไม่-เป็น-ไร!” แฮร์รี่กระแทกเสียง เด็กหนุ่มรู้สึกหงุดหงิดที่อีกฝ่ายซักไซ้ไม่เลิก แล้วก็พาลรำคาญร่างกายของตนเองที่อ่อนแอลงอย่างไม่มีสาเหตุ

ตอนแรกเขาคิดว่ามันเป็นเพราะความเครียดจากการสูญเสียพ่อทูนหัว แต่หลังๆ มานี่กลับไม่ใช่ แม้ว่าจะหายเศร้าจากเรื่องของซีเรียสไปมากแล้ว เขาก็ยังคงอ่อนแอลงเรื่อยๆ มีช่วงหนึ่งที่อาการดีขึ้น แต่ตอนนี้มันกลับแย่ลงอีกจนเพื่อนสนิททั้งสองเริ่มสังเกตเห็น เฮอร์ไมโอนี่กับรอนพยายามโน้มน้าวเขาด้วยประโยคเดียวกับมัลฟอยนี่แหละ...

“ถอยได้แล้วฉันจะไปห้องสมุด”

ร่างบางพยายามเบี่ยงตัวหลบออก แต่พอก้าวเท้าก็รู้สึกวูบจนเซอีกครั้ง ดีว่าแขนยาวของคนที่ยืนอยู่ข้างๆ เอื้อมมารับไว้ มีเสียงเดาะลิ้นอย่างไม่ชอบใจนักจากคนตัวสูงกว่าที่ก้าวเข้ามาชิด

“เอาเข้าไป กะอีแค่ไปห้องพยาบาลนี่มันเสียศักดิ์ศรีนายมากหรือไง พอตเตอร์?”

ใครบอก ฉันไปห้องพยาบาลบ่อยกว่าทุกคนในโรงเรียนด้วยซ้ำ! แฮร์รี่ขยับปากจะเถียงแต่คำพูดกลับหายวับเมื่อร่างสูงตรงหน้าคว้าตัวเขาขึ้นอุ้ม

“เฮ้ มัลฟอย ทำบ้าอะไรของนาย!” ซีกเกอร์ของกริฟฟินดอร์ตะโกนลั่นแต่อีกฝ่ายกลับรัดร่างเขาแน่นขึ้น

“ก็แค่จะพานายไปห้องพยาบาล อย่าตื่นตูมนักได้มั้ย”

เดรโกบอกแล้วก้าวเดินไปเรื่อยๆ คนในอ้อมแขนยังดิ้นไม่เลิกจนต้องจับขาไว้อีก ตกลงไม่สบายแน่หรือเปล่าเนี่ย แรงดีขนาดนี้

“ฉันเดินไปเองได้ ปล่อยฉันลง!” แฮร์รี่ประท้วงเสียงลั่นแต่เด็กหนุ่มผมบลอนด์ไม่ฟังแม้แต่น้อย ร่างบางโดนอุ้มเดินลิ่วๆ ไปแบบยากจะขัดขืน


โครม!!!!!

ขายาว ๆ ถีบประตูห้องพยาบาลให้เปิดผางออก ส่งผลให้คนที่นั่งอยู่ในห้องสะดุ้งโหยง เด็กปีสองบ้านฮัฟเฟิลพัพผู้โชคร้ายมาขอยาแก้ปวดท้องเบิกตากว้างเมื่อเห็นว่าผู้มาใหม่เป็นใคร

เดรโก มัลฟอยอุ้มแฮร์รี่ พอตเตอร์ที่กำลังดิ้นขลุกขลักอยู่เข้ามา “มาดามพร็อมพรีย์ล่ะ?” พรีเฟ็คของบ้านสลิธิรินถามเสียงห้วน

“ไป...ไปดูคนเจ็บ...ที่เรือนเพาะชำ..ครับ”

รุ่นน้องต่างบ้านตอบตะกุกตะกัก เหลือบมองเด็กหนุ่มผมดำในอ้อมแขนของร่างสูงที่ตอนนี้เงียบกริบทำสีหน้ากระอักกระอ่วน พยายามหลุบซ่อนใบหน้าของตนลงกับอกของคนอุ้มให้มากที่สุดแต่ดูจะไม่เป็นผล เมื่อพยานเห็นเต็มสองตาไปแล้วเมื่อครู่

ดวงตาสีฟ้ากวาดไปทั่วห้องพยาบาล ตอนนี้ไม่มีคนนอนป่วยอยู่ เตียงทุกเตียงว่างเปล่า “งั้นนาย...” เขาสะบัดหน้าไล่เจ้าเด็กหน้าจืด อีกฝ่ายก็ทำท่าจะหลบออกไปโดยดีแต่เสียงทุ้มเรียกไว้ก่อน “เดี๋ยว!”

“ค...ครับ?”

“อย่าเอาเรื่องนี้ไปโพทนา ถ้านายอยากอยู่ที่นี่ต่ออย่างสงบสุข” ใบหน้าเย็นชาที่มองคาดโทษ“เข้าใจไหม” เสียงคาดคั้นทำเอาเสียวสันหลังวาบจนต้องรีบรับคำแล้วเผ่นแบบไม่เหลียวหลัง

หลังจากผู้ร่วมเห็นเหตุการณ์ออกไปแล้ว แฮร์รี่ก็เงยหน้าขึ้นมาพูดเสียงห้วน “ถึงห้องพยาบาลแล้ว นายปล่อยฉันลงซะที!”

“ปล่อยแน่ คิดว่าฉันอยากอุ้มนายนักเรอะ” เดรโกตอบเสียงห้วนพอกัน เขาเดินไปถึงเตียงพยาบาลเตียงหนึ่งแล้ววางร่างบางลง

“เอ้า นอ…” พูดยังไม่ทันจบประโยค เพราะคนที่อุตส่าห์อุ้มมาตั้งนานทำท่าจะโดดลงจากเตียงแล้วเผ่นหนี ร่างสูงต้องคว้าแขนดึงกลับมา ส่งผลให้ร่างของทั้งคู่ลงไปกระแทกที่นอนเสียงดังโครม

“โอ้ย!”

“นี่นายจะดื้อไปถึงไหนหา!” คุณชายแห่งบ้านสลิธิรินชักจะหมดความอดทน

ร่างสูงคร่อมกดคนที่นอนอยู่ข้างใต้ไม่ให้ขยับหนีไปไหนได้อีก “ฉันเปลืองแรงอุ้มนายมาถึงนี่ ดังนั้นช่วยอยู่นิ่งๆ แล้วนอนหลับไปซะ!”

ใบหน้าเรียวของแฮร์รี่แดงก่ำ ตะโกนกลับเสียงดังไม่แพ้กัน “ฉันไม่ได้ขอให้นายพามาสักหน่อย ฉันไม่นอนเข้าใจมั้ย!”

เดรโกขมวดคิ้ว ดื้อนักนะ...

อยู่ดีๆ ร่างบางก็ต้องตัวแข็งนิ่งอึ้งเมื่อคนที่อยู่ด้านบนก้มหน้าลงมาหา ใกล้จนลมหายใจอุ่นๆ เป่ารดแก้ม “เฮ้ย!” เขาขยับจะหนีแต่มือของอีกฝ่ายล็อคแขนไว้แน่น เสียงทุ้มๆ กระซิบ

“ถ้านายยังโหวกเหวกอยู่แบบนี้ รับรองว่ามีขบวนพวกสอดรู้สอดเห็นตามเข้ามาเยี่ยมถึงห้องพยาบาลแน่ อยากให้พวกนั้นเห็นนายกับฉันอยู่ในสภาพนี้หรือไง พอตเตอร์?”

คนตัวเล็กกว่าชะงักกึก ดวงตาสีเขียวเบิกกว้างมองรอยยิ้มเย็นๆ ที่บอกว่าคนพูดไม่ได้ขู่เล่นๆ เขารีบส่ายหน้าดิ่ก จนคำประท้วงไปโดยปริยาย

“นายจะยอมนอนพักดีๆมั้ย?”

ใบหน้าเรียวที่เริ่มแดงก่ำได้แต่กลืนน้ำลายแล้วพยักหน้าตอบรับหงึกหงัก

เด็กหนุ่มผมบลอนด์ยิ้มอย่างผู้ชนะ “ดีมาก เอ้า นอนซะ” ร่างสูงลุกจากเตียงแล้วลากเก้าอี้มานั่งกอดอกเฝ้าไม่ยอมไปไหน ทำให้คนที่วางแผนจะหลบกลับเมื่ออีกฝ่ายออกไปแล้วต้องยอมแพ้ แฮร์รี่ยอมหลับตาลงทั้งที่ความสงสัยยังติดค้างอยู่ในใจ

ทำไมอยู่ดีๆ มัลฟอยมาใจดีกับเขาแบบนี้นะ....


...ก็ไม่ได้อยากจะช่วยหรอกนะ แค่รำคาญตากับท่าทางดื้อไม่ฟังใครของเจ้านี่เท่านั้นเอง

เดรโกมองคนบนเตียงที่วูบหลับไปอย่างง่ายดาย ดูก็รู้แล้วว่านอนน้อย มัวเอาเวลาช่วงกลางคืนไปทำอะไรอีกล่ะ? แต่พอเสียเวลาคิดอยู่ชั่วครู่เด็กหนุ่มผมบลอนด์ก็ยักไหล่ ช่างเหอะ ไม่ใช่เรื่องอะไรของเขาสักหน่อย ดวงตาสีฟ้าหันมาพิจาณาใบหน้าเรียวที่หลับพริ้มอยู่แทน...เพิ่งเคยเห็นหมอนี่ตอนไม่ใส่แว่นแฮะ

ผิวแก้มสีน้ำผึ้งอ่อนตอนนี้เริ่มมีสีเรื่อ เพราะเพิ่งออกอาการอาละวาดไปเมื่อครู่ ผมสีดำหยักยุ่งเริ่มยาวระกับหน้าผากเนียนบดบังรอยแผลเป็นรูปสายฟ้า ริมฝีปากบางคลายจากอาการบึ้งตึงเปลี่ยนเป็นอมยิ้มนิดๆ ราวกับกำลังฝันดีทำให้ใบหน้านั้นยิ่งน่าดูขึ้น ถ้าดวงตาสีเขียวนี่ลืมขึ้นมามองก็คงจะดูดีกว่านี้ ดูดีเหมือน....

บ้าน่า นายคิดบ้าอะไรของนาย เดรโก!

เด็กหนุ่มรีบละสายตาแล้วผุดลุกขึ้น ไม่มีทาง! จะเหมือนยัยนั่นได้ยังไง

พอได้แล้วเลิกวุ่นวายกับหมอนี่เสียที! ร่างสูงก้าวออกไปจากห้องพยาบาล ทิ้งผู้เป็นต้นเหตุของความสับสนให้หลับใหลอยู่บนเตียงตามลำพัง

........................................................................................................................................

บอกให้เลิกคิด!

เด็กหนุ่มผมบลอนด์สลัดศีรษะทั้งที่ยังก้าวเดินไปตามระเบียงทางเดินอันไร้ผู้คน ใบหน้าหล่อเหลาติดจะบูดบึ้งเมื่อนึกถึงความคิดไร้สาระเมื่อตอนบ่าย นั่นมันผู้ชาย...แถมเป็นแฮร์รี่ พอตเตอร์...ไม่มีทางจะเหมือนยัยนั่นอยู่แล้ว

บางที เอเรียลอาจจะเป็นญาติห่างๆ ของพอตตี้...

เด็กหนุ่มพยายามควานหาเหตุผล แต่รู้สึกว่ามันแสนจะงี่เง่าจนแม้แต่ตัวเขาเองยังรับไม่ได้ ใครๆ ก็รู้ว่า แฮร์รี่ พอตเตอร์ไม่มีญาติพี่น้องที่ไหนอีก ถ้าไม่นับมักเกิ้ลต่ำๆที่เลี้ยงหมอนั่นมา กับซีเรียส แบล็คที่เป็นพ่อทูนหัว

โว้ย เลิกคิดซะที!

ร่างสูงหยุดกึ่กบนทางเดินเพื่อสงบสติอารมณ์ เขาไม่อยากไปเจอเอเรียลทั้งที่ยังหงุดหงิดสับสนแบบนี้ ไม่อยากให้ยัยนั่นไม่สบายใจไปด้วยอีก เดรโกหันหน้าไปทางหน้าต่างบานกว้าง เดินเข้าไปใกล้หวังจะสูดอากาศให้อารมณ์ปลอดโปร่งขึ้น

เดือนหงายอีกแล้ว...ดวงจันทร์ครึ่งซีกลอยเด่นอยู่กลางผืนฟ้าสีเข้ม นี่ก็อีกเรื่อง สงสัยต้องหาวิธีใหม่หลบออกมาพบเอเรียลให้ได้ ก่อนที่ฟิลช์จะกลับมาทวงตำแหน่งคนตรวจยามคืนไป

อาจจะถึงเวลาต้องถามที่มาที่ไปของสาวน้อยปริศนาของเขาเสียทีแล้ว ทั้งที่เขาไม่คิดจะคาดคั้นถ้าเธอไม่อยากบอก แต่เดรโกอยากรู้ว่าเอเรียลเป็นใครมาจากไหนกันแน่ ไม่ใช่เพราะความระแวงแคลงใจ แต่เพื่อให้รู้ว่า ทำอย่างไร พวกเขาจึงจะได้อยู่ด้วยกันต่อไปต่างหาก เด็กหนุ่มแห่งบ้านสลิธิรินคิดหาหนทางไปเรื่อยๆ

ถ้ายัยนั่นยอมออกไปข้างนอกล่ะก็ เอาไปฝากให้แม่ดูแลก็คงได้...

เด็กน่ารักแบบเอเรียล แม่เขาต้องเอ็นดูอยู่แล้ว ยิ่งเธอไม่มีลูกชายคนเดียวมาคอยอ้อนแบบเมื่อก่อน คงยินดีรับลูกสาวคนใหม่ได้ไม่ยาก พ่อเขาเองก็คงไม่รังเกียจแม่มดสายเลือดบริสุทธิ์ ท่าทางยัยนั่นก็เป็นมีพลังเวทย์ไม่น้อยด้วย

พอคิดได้แบบนี้เด็กหนุ่มผมบลอนด์ก็คลี่ยิ้ม ไม่เห็นต้องมัวคิดมาก เอาเวลาไปหาวิธีหว่านล้อมยัยตัวเล็กแล้วก็พ่อแม่ของตัวเองดีกว่า

ร่างสูงทำท่าจะเดินต่อไปยังหอคอย แต่ก็ต้องสะดุดกึกอีกครั้งเมื่อมีเสียงเรียกเบาๆ

“ผู้ถือครอง”

เสียงแหบพร่าที่ทำให้เด็กหนุ่มนิ่งขึงก่อนจะหรี่ตาลง ถึงเวลาแล้วสินะ...เขาหยิบกล่องคริสตัลที่เอาติดตัวไว้ตลอดเวลาออกมา เดรโกรู้ว่ากล่องปริศนาจะต้องเรียกร้องค่าตอบแทนของตนไม่วันใดก็วันหนึ่ง และเขาก็ยินดีที่จะจ่ายให้มัน ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม

“ค่าตอบแทนของแกสินะ” เขาพูดออกมาเองโดยไม่ต้องรอให้เตือน ทำให้มีเสียงหัวเราะพอใจดังออกมาจากกล่องที่กำลังเปล่งแสงสีเขียวเรื่อเรือง

“ท่านยินดีรักษาสัญญา”

เสียงกึ่งหยันนั้นทำให้ผู้เป็นเจ้าของตอบหน้าขรึม “ใช่ รีบบอกมาสิ ว่าแกต้องการอะไร”

“อย่าใจร้อน”

เสียงแหบพร่าตอบ เดรโกมัวแต่สนใจมองมันจนไม่ทันสังเกตสิ่งอื่น มารู้สึกตัวก็เมื่อร่างบางของใครคนหนึ่งก้าวมาหยุดยืนตรงหน้าห่างออกไปเล็กน้อย เงามืดจากผนังทำให้ไม่เห็นใบหน้าของคนในชุดนอนรุ่มร่าม

“เอเรียล” เด็กหนุ่มแห่งบ้านสลิธิรินรีบเงยหน้าขึ้นอุทาน ที่จริงเขาไม่อยากให้เด็กสาวอยู่ตอนที่ไอ้กล่องเจ้าเล่ห์มันยื่นเงื่อนไข เดรโกยิ้มแล้วบอกอีกฝ่ายเสียงอ่อน “ออกมาทำไม..กลับไปก่อนเถอ..”

รอยยิ้มหายวับไปจากใบหน้าเมื่ออีกฝ่ายก้าวเข้าออกมาจากเงามืด

แฮร์รี่ พอตเตอร์!

ร่างบางยืนนิ่ง ดวงตาสีเขียวกลมโตปราศจากแว่นลอยคว้าง สีหน้านิ่งเลื่อนลอยราวกับคนตรงหน้าเขากำลังละเมอ หมอนี่ออกมาที่นี่ทำไมกัน?

ท่ามกลางความสับสนงุนงงของเด็กหนุ่ม เสียงแหบพร่าดังขึ้นอีกครั้ง

“ท่านอยากรู้ว่าค่าตอบแทนคืออะไรใช่ไหม”

เดรโกนิ่งอึ้งแทบไม่ได้ยินที่กล่องปริศนาเอ่ย เขาได้แต่จ้องมองคนตรงหน้า

และเมื่อร่างของคู่แข่งคนสำคัญก้าวเข้ามาใกล้ขึ้นอีกนิด ดวงตาสีฟ้าซีดก็เบิกกว้าง ร่างสูงตะลึงอยู่กับที่ได้แต่ตะกุกตะกัก

“เธอ...? ทำไม...?”

ลมจากหน้าต่างบานกว้างพัดเส้นผมยาวหยักจนปลิวไสว ใบหน้าเรียวหม่นลงพร้อมกับดวงตาสีเขียวคลอด้วยหยาดน้ำที่จ้องตอบเขาด้วยแววตาปวดร้าว

“ค่าตอบแทน...คือ ‘ชีวิต’ ของเจ้าของร่างนี้”




Create Date : 22 เมษายน 2548
Last Update : 22 เมษายน 2548 13:18:48 น.
Counter : 560 Pageviews.

3 comment
Part 9
ตอนที่ 9

แสงแดดที่ส่องเข้ามากระทบเปลือกตาปลุกให้ร่างสูงที่ฟุบหลับในท่านั่งกอดเข่าลืมตาขึ้นช้าๆ เดรโก มัลฟอยลุกขึ้นยืนทั้งที่ร่างกายยังเมื่อยล้า นี่เขารออยู่ทั้งคืนจนเผลอหลับไปเลยเหรอเนี่ย เด็กหนุ่มคิดก่อนที่ดวงตาสีฟ้าจะหม่นลง

แต่สุดท้ายยัยนั่นก็ไม่มา....

คุณชายแห่งบ้านสลิธิรินถอนใจเฮือกก่อนจะเดินลงจากหอคอยไปอย่างเงียบๆ


บรรยากาศภายในห้องโถงใหญ่เช้านี้ดูจะรื่นรมย์ขึ้นกว่าหลายวันก่อน คงเพราะข่าวที่ว่าผู้เสพความตายถูกจับได้กระจายออกไปแล้ว เดรโกเข้ามาในห้องโถงช้ากว่าคนอื่นเล็กน้อยเพราะต้องกลับหอไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า เด็กหนุ่มเดินไปถึงโต๊ะอาหารแล้วนั่งลงข้างๆ แครบกับกอยย์เหมือนปกติ

“เอ่อ มัลฟอย...” เพื่อนบ้านสลิธิรินคนหนึ่งที่นั่งอยู่ตรงข้ามเอ่ยเรียก

“ว่าไง?” เดรโกเงยหน้าขึ้นจึงเห็นว่ามีอีกหลายคนในโต๊ะที่กำลังมองมาที่เขาแบบเกรงๆ “ได้ข่าวว่าผู้เสพความตายถูกจับได้ พ่อแม่นายคงปลอดภัยแล้ว”เพื่อนคนเดิมพูดต่อช้าๆ “...ดีใจด้วยนะ” คนอื่นๆที่ฟังอยู่พยักหน้าเห็นด้วยเช่นกัน

ความจริงเด็กสลิธิรินไม่ได้รังเกียจเดรโก แต่ที่ไม่ค่อยมีใครกล้าเข้ามาเสวนากับเขา คงเพราะติดจะกลัวกันเสียมากกว่า ยิ่งในช่วงอารมณ์เคร่งเครียดอย่างหลายวันที่ผ่านมานี่ แค่ดวงตาสีฟ้าซีดมองเขม็งกวาดก็พาให้เงียบกริบกันเป็นแถว แต่วันนี้ใบหน้าหล่อเหลากลับคลี่รอยยิ้มบางๆ พร้อมกับพูดตอบเสียง

“ขอบใจมาก แล้วก็ขอโทษที่วันก่อนฉันตวาดพวกนาย”

ประโยคแรกว่าแปลกแล้ว ประโยคหลังยิ่งทำให้อึ้งกันทั้งโต๊ะ หลังจากหายงงทุกคนก็รับคำขอโทษกันด้วยสีหน้าที่ดีขึ้น ค่อยโล่งใจที่บรรยากาศมาคุหายไปเสียที

ร่างสูงลงมือทานอาหารเช้าพร้อมกับครุ่นคิด เขาจะเจอเอเรียลได้ที่ไหนนะ ถ้าหากเจ้าตัวไม่มาที่หอคอย ก็คงต้องออกตามหา สิทธิ์ในการเดินตรวจตอนกลางคืนก็เหลืออีกไม่มากเสียด้วย พอถึงวันพระจันทร์เต็มดวงคราวนี้ ยาที่รักษาโรคหัดแมวของมิสซิสนอริสก็คงจะใช้ได้แล้ว

ดวงตาสีฟ้าซีดเผลอมองไปทางโต๊ะของกริฟฟินดอร์ตอนที่แฮร์รี่ พอตเตอร์กำลังลุกขึ้นพอดี เดรโกเห็นร่างบางก้มลงพูดอะไรบางอย่างกับเพื่อนสนิททั้งสองแล้วเดินจากโต๊ะไป คุณชายแห่งสลิธิรินรีบเช็ดปากแล้วลุกตามโดยไม่สนใจเสียงร้องถามของแพนซี่หรือลูกสมุนทั้งสอง

นี่ก็อีกเรื่องหนึ่งที่ต้องทำ...


“พอตเตอร์!”

เสียงเรียกทำให้ร่างบางที่เดินอยู่หันกลับ “มัลฟอย?” ดวงตาสีเขียวภายใต้กรอบแว่นมีแววฉงนเมื่อเห็นว่าผู้ที่ตามมาเป็นใคร แต่ถึงกระนั้นเด็กหนุ่มแห่งบ้านกริฟฟินดอร์ก็ยังหยุดรอ

บริเวณระเบียงทางเดินตรงนั้นค่อนข้างโล่งเพราะนักเรียนคนอื่นยังทานอาหารเช้ากันอยู่ในห้องโถง ร่างสูงที่ก้าวเข้ามาหามีสีหน้ากระอักกระอ่วนเล็กน้อย พร้อมกับเอ่ยทักด้วยคำถามที่แม้แต่ตัวเขาเองยังรู้สึกว่างี่เง่าเป็นที่สุด

“เอ่อ...นาย...กินข้าวเสร็จไวจังนะ...”

ทำไงได้ล่ะ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาทักอีกฝ่ายก่อน ถ้าไม่นับตอนที่ตั้งใจจะหาเรื่องกวนประสาท

เด็กหนุ่มผมดำขมวดคิ้ว “ฉันลืมหนังสือเรียนไว้ที่หอ” ใบหน้าเรียวยังคงเรียบเฉยเมื่อถามกลับ “นายมีธุระอะไร?”

คนถูกถามพยายามคิดหาถ้อยคำ“คือ...เรื่องเมื่อวันก่อน...” เขารู้สึกรำคาญความอ้ำอึ้งของตนเองขึ้นมา “ที่ฉันจะชกนายน่ะ..เอ่อ...” แค่พูดเองน่า ไม่เห็นยากเลย

สุดท้ายเดรโกก็นึกไม่ออกเลยโพล่งออกมาดื้อๆ “ขอโทษ!”

แฮร์รี่ พอตเตอร์งงอยู่อึดใจก่อนจะถามช้าๆ “นายสบายดีนะ มัลฟอย?” ดวงตาสีเขียวกระพริบปริบๆบอกความประหลาดใจฉายชัด “ฉันเข้าใจว่าช่วงนี้นายค่อนข้างเครียดมาก ถ้าไปให้มาดามพร็อมพรีย์เสียหน่อย...”

“ฉันปกติดีน่า!” เด็กหนุ่มผมบลอนด์รีบแทรกพลางย่นหน้า “แค่เห็นนายต้องเจ็บตัวเพราะฉันเท่านั้นแหละ” การที่คนอย่างเขาจะขอโทษเนี่ยมันเรื่องผิดปกตินักหรือไง ทำไมต้องทำท่าอึ้งขนาดนี้ด้วย

“ก็...” เมื่อรู้ว่าเข้าใจผิด อีกฝ่ายจึงอึกอักขึ้นมาบ้าง “...ช่างเถอะ” ซีกเกอร์ของบ้านกริฟฟินดอร์กระแอมนิดๆ “ฉันเองก็ต้องขอโทษ ฉันพูดไม่ดีเรื่องพ่อนายทั้งที่นายกำลังเครียดอยู่”

เดรโกยิ้มขื่นเมื่อนึกถึงคำพูดเหล่านั้น “ถึงยังไงเรื่องที่นายกับ..” เด็กหนุ่มแว่บคิดถึงดวงตาสีเขียวอีกคู่ที่เขาอาจจะไม่ได้เจออีกแล้ว “...คนอื่นพูดก็ถูก พ่อฉันทำเรื่องเลวร้ายไว้มาก ทำให้หลายๆคนต้องจากไป”

ใบหน้าของเด็กหนุ่มผมดำหม่นลงเมื่อนึกถึงพ่อทูนหัว แต่ร่างบางยักไหล่ในที่สุด “เอาเป็นว่าต่างคนต่างรับคำขอโทษละกัน” เขาพูดแล้วก็คลี่ยิ้มบางๆ เป็นครั้งแรกที่แฮร์รี่ยิ้มให้คู่แข่งแห่งบ้านสลิธิรินคนนี้

ดูเหมือนเดรโกเองก็รู้ ดวงตาสีฟ้ามีแววประหลาดใจนิดๆ ก่อนที่จะยิ้มออกมาบ้างพร้อมกับยักไหล่

“โอเค ก็ดีนะ นายจะกลับหอแล้วใช่ไหม?”

ร่างสูงเบี่ยงตัวหลบให้พร้อมกับพิจารณาร่างของคนตัวเล็กกว่า “ที่ไม่สบายน่ะหายแล้วเหรอ นายยิ่งร่างกายอ่อนแออยู่นี่ ไปคนเดียว เกิดเป็นลมขึ้นมาไม่มีใครช่วยนะ”

พูดดี ๆ ได้สักสองคำก็หลุดคำแหย่อารมณ์ออกมาอีก ใบหน้าเรียวที่เพิ่งยิ้มได้เลยบึ้งขึ้นมาทันที

“ฉันสบายดี ไม่ต้องให้ใครมาคอยช่วย!” แฮร์รี่ขมวดคิ้ว กระชับหนังสือในอ้อมแขนแล้วรีบเดินหลบผ่านไป

คุณชายแห่งสลิธิรินมองตามร่างที่เดินลิ่วๆไปไกล รอยยิ้มแบบขำปนเอ็นดูปรากฏบนใบหน้า ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าคู่แข่งตลอดกาลคนนี้เกลียดคำว่า ‘อ่อนแอ’ ที่สุด แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังอดพูดกวนตามแบบฉบับไม่ได้อยู่ดีนั่นแหละ

แล้วดวงตาสีฟ้าหม่นลงอีกครั้ง

เหลืออีกคนเดียวสินะที่เขาต้องขอโทษ แต่ตอนนี้เธอไปอยู่เสียที่ไหนก็ไม่รู้

…………………………………………………………

ร่างสูงเดินช้าๆ ผ่านไปตามทางเดินในยามดึก แสงจันทร์เบาบางส่องให้เห็นเงาทาบทับกับผนังด้านหลัง เขาเดินผ่านหอคอยดาราศาสตร์สูงเสียดฟ้าที่ปกติจะเงียบเชียบ ยกเว้นคาบเรียนคืนวันพุธที่เซนทอร์จากป่าต้องห้ามมาสอน แต่ช่วงข้างขึ้นที่มองไม่เห็นดวงดาวแบบนี้ไม่มีใครเข้ามา

ที่นี่ไม่มี...

หอคอยทางทิศเหนือเองก็เงียบสงัด กลิ่นกำยานหวานๆ ลอยมาแตะจมูกเมื่อเดินผ่านทางขึ้น ทรีย์ลอนีย์คงจะรมควันห้องเรียนเตรียมไว้สำหรับวิชาพยากรณ์ศาสตร์พรุ่งนี้เช้าแน่ๆ

ที่นี่ก็ไม่อยู่เหมือนกัน...

ผู้รับหน้าที่ตรวจยามช่วงกลางคืนยืนนิ่งอยู่หน้าภาพเขียนรูปสุภาพสตรีอ้วนในชุดสีชมพูสด หล่อนเอาแต่ร้องถามว่าพรีเฟ็คบ้านสลิธิรินอย่างเขาเขามาทำอะไรดึกๆดื่นๆ หน้าหอที่ไม่ใช่หอของตัว เดรโกเดินเลี่ยงมาโดยไม่ตอบ เขาไม่ได้อยากมาวุ่นวายแถวหน้าหอของกริฟฟินดอร์สักนิด แค่ลองมาดูเผื่อยัยนั่นจะมาแถวนี้ก็เท่านั้น

แต่ก็ไม่มีวี่แวว...

สุดท้ายเด็กหนุ่มก็ต้องวกกลับไปยังหอคอยทิศตะวันตกมาตั้งต้นใหม่อีกครั้ง ร่างสูงทรุดนั่งบนกองผ้าม่านกองเดิมที่เขาเคยใช้รองนอนทุกคืน แต่ร่างอุ่นของคนที่เคยนั่งเคียงข้างกลับไม่รู้ว่าไปอยู่เสียที่ไหน

ร่างสูงเอนศีรษะไปด้านหลังพร้อมกับหลับตาลง “หายไปไหนของเธอนะ” เขาพึมพำราวกับหวังว่าคนที่คำนึงถึงจะได้ยิน

“นี่...ฉันขอโทษทุกคนหมดแล้วนะ แม้แต่เจ้าพอตเตอร์หัวบากน่ะ...แต่ฉันยังไม่ได้ขอโทษเธอเลย”

ภาพดวงตาสีเขียวที่เอ่อคลอด้วยหยาดน้ำยังติดตาอยู่จนถึงตอนนี้ แขนบอบบางที่ถูกบีบแน่นจากโทสะของเขาคงจะมีรอยช้ำ เด็กสาวคงทั้งเจ็บทั้งตกใจแน่ๆ

แต่ถึงอย่างนั้นมือเล็กๆที่อบอุ่นก็ยังยื่นเข้ามาหา

...และเขาปัดมันทิ้ง

เดรโกซบหน้าลงกับเข่าพร้อมกับพึมพำ “เอเรียล....ฉันขอโทษ กลับมาเถอะ”

เด็กหนุ่มรู้สึกว่าก้อนแข็งๆ แล่นเข้ามาจุกที่คอ ความคิดที่ว่าอาจจะไม่ได้เจอกับคนคนนั้นอีกทำให้เจ็บหัวใจขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้

กึก!

กล่องคริสตัลในกระเป๋าเสื้อคลุมกลิ้งตกลงมาที่พื้น มือยาวเอื้อมไปหยิบมันขึ้นมา กล่องวิเศษประหลาดของแม่?

ที่จริงจะว่าไปตั้งแต่วันนั้นเจ้ากล่องนี่ก็ไม่เคยออกเสียงเรียกร้องอะไรจากเขาอีกเลย ดวงตาสีฟ้าที่เหนื่อยอ่อนมีแววครุ่นคิดปรากฏขึ้น

มันจะเป็นไปได้ไหมนะถ้าหาก...

“นี่” เด็กหนุ่มร้องเรียกเบาๆ “แกได้ยินไหม” เขาลองพลิกมันไปมา

ชั่วครู่กล่องคริสตัลใสก็เปล่งแสงสีเขียวเรื่อพร้อมกับเสียงแหบพร่าดังขึ้นเบาๆ

“ผู้ถือครอง มีอะไรให้รับใช้”

เดรโกรู้สึกว่าน้ำเสียงของประโยคหลังไม่ได้นอบน้อมเช่นเนื้อความแต่เขาก็ยังพูดต่อ “แกบอกว่า แกทำตามคำขอได้ทุกอย่างใช่ไหม”

“แน่นอน”

“แกทำให้เอเรียลกลับมาได้หรือเปล่า” เด็กหนุ่มกลั้นใจรอคำตอบ เขาอาจจะท้อกับการตามหายัยนั่นจนหวังพึ่งเจ้ากล่องเพ้อฝันนี่

“นี่คือคำขอของท่านหรือ?” เสียงถามกลับแหบพร่ามีแววขันปนเย้ยนิดๆ “ผู้ถือครอง ท่านเพิ่งถอนคำขอไป?”

“ไม่เกี่ยวกับคำขอนั่น” พรีเฟ็คแห่งบ้านสลิธิรินพูด จนตอนนี้เขาก็ยังจำไม่ได้ว่าเขาเคยไปขออะไรไว้ “ตอนนี้แค่ให้เธอกลับมา แกทำได้มั้ย?”

“ท่านต้องจ่ายค่าตอบแทน”

เดรโกยิ้มขรึม “ถ้าหากเธอกลับมา แกอยากจะได้อะไรก็เอาไปเถอะ”

“ทุกสิ่งที่เราต้องการหรือ?”

“ใช่” ใบหน้าเรียวของเด็กหนุ่มพยักหน้า ดวงตาสีฟ้ามุ่งมั่น “ทุกอย่างที่แกต้องการ” ขอเพียงแค่ให้เด็กสาวคนนั้นกลับมา เขายอมแลกกับทุกสิ่ง

ดูเหมือนกล่องวิเศษจะพอใจกับคำตอบ มันส่งเสียงหัวเราะหึหึ “ตามที่ท่านสั่ง” สิ่งเสียงพูดแสงเรืองรองก็หายไป ทิ้งให้ห้องนั่นอยู่ท่ามกลางความมืดสลัวเงียบสงัดอีกครั้ง

คุณชายแห่งบ้านสลิธิรินั่งนิ่งอยู่หลายอึดใจ แต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น สุดท้ายเขาก็ถอนใจเฮือก

เราคงจะบ้าไปแล้วสินะที่หวังพึ่งเจ้ากล่องวิเศษเพ้อฝันนี่ ใบหน้าหล่อเหลายิ้มเศร้าก่อนจะหลับตาลง

...หรืออาจจะต้องตัดใจ


แต่แล้วเขากลับรู้สึกว่ามีมืออุ่นแตะที่แขนเบาๆ จนต้องลืมตาพรึ่บ!

ร่างเล็กบางในชุดนอนตัวโคร่งที่คุ้นตานั่งคุกเข่าอยู่ข้างๆ ใบหน้าสวยมีแววลังเลไม่แน่ใจ ก่อนจะคลี่รอยยิ้มอ่อนหวานบริสุทธิ์เช่นเคย

“เอเรียล!” ร่างสูงอุทาน เขารีบขยับเข้าไปหาพร้อมกับมองอีกฝ่ายอย่างไม่เชื่อสายตา

“เด...” เสียงหวานเรียกเบาๆ ยังไม่ทันจบก็ถูกรวบเข้าไปในอ้อมอกกว้าง

“เธอกลับมาแล้ว!” คนกอดกระชับอ้อมแขนแน่นขึ้นเพื่อให้แน่ใจว่าคนที่อยู่ตรงนี้ไม่ใช่ความฝัน“เธอกลับมาแล้วจริงๆ !”

“เดร?” เด็กสาวเรียกเสียงอู้อี้อยู่กับอก เดรโกจึงคลายอ้อมแขน มือข้างหนึ่งลูบแก้มใสเบาๆ “เธอหายไปไหนมา ฉันตามหาเสียทั่วเลยรู้ไหม”

อีกฝ่ายไม่ตอบคำถามแต่กลับพูดไปอีกเรื่อง “เดร เอเรียลว่าพ่อเดร...ทำให้เดรเสียใจ” ใบหน้าสวยก้มงุดแบบสำนึกผิด “เอเรียลขอโทษ”

“เด็กบ้า!” คนฟังพึมพำพร้อมกับมองดูใบหน้าเรียว ที่มีแววเหนื่อยอ่อน ดวงตาสีเขียวมีรอยแดงช้ำแบบนี้ คงจะร้องไห้มาหลายวันแล้วสินะ ยังจะมีแก่ใจห่วงคนอื่นอยู่อีก เดรโกยิ้มทั้งที่รู้สึกเต็มตื้น

“ฉันต่างหากที่ต้องขอโทษ”

ร่างสูงพูดพร้อมกับดึงอีกฝ่ายเข้ามาหาอีกครั้ง “ขอโทษที่ไล่เธอวันนั้น ฉันจะไม่ทำอีกแล้ว” เขาพึมพำกับกลุ่มผมหยักฟูที่มีกลิ่นหอมอ่อนๆ “อย่าหายไปไหนอีกนะ”

“อือ” เสียงพึมพำตอบรับจากคนที่ซบอยู่กับอกของเด็กหนุ่ม “เอเรียลอยากอยู่เดร…” แขนบอบบางที่เลื่อนมาโอบแผ่นหลังของร่างสูงกลับถ่ายทอดความอบอุ่นให้เต็มเปี่ยม แต่เงาสลัวทำให้เขาไม่เห็นสีหน้าของคนพูดชัดนัก

ท่ามกลางแสงจันทร์ที่เริ่มส่องสว่างและสายลมแห่งฤดูใบไม้ผลิที่แผ่วพลิ้วผ่าน เดรโกรู้สึกว่าหูแว่วได้ยินเสียงแหบพร่าหัวเราะอยู่ไกล ๆ

“อย่าลืม ท่านผู้ถือครอง ค่าตอบแทนของเรา”

เด็กหนุ่มกระชับร่างในอ้อมแขนแน่นราวกับจะไม่ยอมให้หายไปไหนอีก

ถ้าหากมีเธออยู่ จะให้เขาแลกกับอะไรก็ได้ทั้งนั้น...





Create Date : 01 เมษายน 2548
Last Update : 1 เมษายน 2548 11:53:19 น.
Counter : 558 Pageviews.

0 comment
Part 8
ตอนที่ 8

ดวงตาสีเขียวเอ่อคลอด้วยหยาดน้ำใส....

เธอร้องไห้อีกแล้วเหรอ?...ทำไมเวลาเราเจอกันที่ถึงชอบร้องไห้อยู่เรื่อยเลย ?

ใบหน้าเรียวมองตรงมา ผมสีดำสลวยยุ่งเหยิงเคลียแก้มที่เปียกชื้น

คราวนี้เธอร้องไห้เพราะฉันสินะ...แย่ชะมัด...

ร่างบางค่อยๆหันกลับ...

เดี๋ยวสิ! จะไปไหนน่ะ? รอก่อน!

เสี้ยวหน้าสวยหันมาพร้อมกับรอยยิ้มเศร้า ก่อนจะเบือนกลับแล้วเดินจากไปช้าๆ

มือยาวเอื้อมไปเพื่อจะดึงร่างนั้นไว้ แต่แล้วก็ชะงัก

เธอไป เพราะฉันไล่เธอสินะ....เอเรียล....

........................................................................................................................................

เดรโก มัลฟอยลืมตาขึ้นช้าๆ แสงแดดยามเช้าลอดผ่านม่านหน้าต่างเข้ามาถึงเตียงนอนสี่เสา เขาอยู่ในหอนอนชายบ้านสลิธิริน เด็กหนุ่มกระพริบตาก่อนจะยกมือของตัวเองขึ้นมาจ้อง

กี่คืนแล้วนะ ที่ฝันว่าจะดึงยัยนั่นไว้...แต่ก็ทำไม่ได้...

ร่างสูงถอนใจก่อนจะยันตัวขึ้นเพื่อเตรียมตัวไปทานอาหารเช้า

ตั้งแต่คืนนั้น เขาก็ไม่ได้ไปที่หอคอยนั่นอีก เพราะมาตรการป้องกันความปลอดภัย ภาระการเดินตรวจยามของเด็กหนุ่มเลยถูกยกเลิกไปโดยปริยาย หนำซ้ำดัมเบิลดอร์ยังให้สมาชิกภาคีผลัดกันมาคอยเฝ้าเขาตลอดเวลายกเว้นในหอนอนกับในห้องเรียนเท่านั้น แค่นี้เด็กหนุ่มก็ไม่สามารถจะขยับไปไหนได้

แต่จะว่าไป เขาเองก็ไม่มีหน้าจะไปพบเอเรียลอีก หลังจากที่ระบายโทสะใส่เด็กสาวอย่างรุนแรงทั้งที่เธอไม่ผิดสักนิด

คุณชายแห่งบ้านสลิธิรินแต่งตัวอยู่หน้ากระจก เพิ่งสังเกตว่าใบหน้าของตนดูอิดโรย คงเพราะความเครียดที่สะสม เขายิ้มเหนื่อยๆ ให้กับเงาสะท้อนก่อนจะเบือนสายตาลงมาบนโต๊ะ กล่องคริสตัลสีเงินแวววาวสะท้อนแสงแดดเป็นประกาย...ของขวัญจากแม่ของเขาที่ตอนนี้ยังไม่รู้ว่าปลอดภัยดีหรือเปล่า

เดรโกหยิบกล่องนั้นมาพลิกดู คำพูดของมารดาแว่วเข้ามาในหัว ถ้าเปิดกล่องได้ล่ะก็จะสมปรารถนา...

หากว่าขอได้ล่ะก็ ตอนนี้เขามีเรื่องอยากจะขอเต็มไปหมดเลยล่ะ ใบหน้าหล่อเหลายิ้มเศร้าก่อนจะเก็บมันลงในกระเป๋าเสื้อคลุมแล้วเดินออกจากหอนอนไป


ห้องโถงใหญ่ตอนนี้เต็มไปด้วยนักเรียนที่มาทานอาหารเช้า พรีเฟ็คแห่งบ้านสลิธิรินก้าวเข้าไปพร้อมกับแครบและกอยย์ ตามมาด้วยสามชิกภาคีหน้าเครียดขรึมอีกคนหนึ่ง เด็กหนุ่มไม่แยแสกับกลุ่มสายตาที่มองมาอย่างสนอกสนใจอีกต่อไป เขาเหลือบมองไปทางโต๊ะของกริฟฟินดอร์ แฮร์รี่ พอตเตอร์กับเพื่อนทั้งสองสนทนากันโดยมีสมาชิกภาคีที่เป็นหญิงสาวผมสีแดงเข้มสะดุดตานั่งอยู่ไม่ห่าง

เจ้านั่นเองก็ต้องมีคนคุ้มกันเหมือนกันสินะ...เด็กหนุ่มผมดำคงจะไม่มีปัญหายุ่งยากใจเท่าเขา ดูจากท่าทางที่หันไปพูดคุยกับบอดี้การ์ดของตัวเองอย่างสนิทสนมนั่นก็รู้แล้ว หมอนั่นอาจจะถูกคุ้มกันเสียจนชินล่ะมั้ง?

จะว่าไป ตอนนี้เดรโกรู้สึกว่าตนเองชักเข้าใจความรู้สึกอึดอัดจากการเป็นเป้าสายตาและหัวข้อซุบซิบที่แฮร์รี่ พอตเตอร์ต้องทนตลอด 2-3 ปีที่ผ่านมา แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้อารมณ์เขาหายกรุ่นจากคำพูดดูถูกเมื่อหลายวันก่อนหรอกนะ

เด็กหนุ่มกินอาหารเช้าอย่างรวดเร็ว บอกคนคุ้มกันว่าจะไปห้องเรียนก่อนแล้วรีบลุกเดินออกจากห้องโถง อย่างน้อยก็ขอเวลาอยู่คนเดียวเงียบๆ สักพักก็ยังดี เขาเฉียดผ่านโต๊ะของทรีโอบ้านกริฟฟินดอร์พอดีกับที่หญิงสาวผมแดงคนนั้นเอี้ยวตัวไปเอ่ยถามร่างบางที่นั่งข้างๆ

“แฮร์รี่ เธอไม่สบายหรือเปล่า ทำไมตาช้ำอย่างนั้นล่ะ”

“ไม่มีอะไรหรอกครับทองค์”

“หน้าเหมือนคนร้องไห้มาทั้งคืนเลย...” เสียงเฮอร์ไมโอนี่ เกรนเจอร์พูดแทรกขึ้นมา “ไม่สบายใจอะไรบอกพวกเราได้นะแฮร์รี่”

เดรโกได้ยินเพียงเท่านั้น ร่างสูงก้าวออกจากห้องโถงโดยไม่ได้สนใจว่าเจ้าพอตเตอร์จะพูดตอบว่าอะไรอีก

........................................................................................................................


เหงารึเปล่า?

เดรโกถามตัวเองในใจ ก่อนจะรีบปฏิเสธ ไม่สักนิด! แค่ไม่ได้เจอยัยนั่นไม่กี่คืน ไม่ทำให้เขาจะเป็นจะตายหรอกน่า ยิ่งตอนนี้มีเรื่องที่ต้องทำมากขนาดนี้

ร่างสูงเดินมาหยุดที่หน้าประตูหอนอนบ้านสลิธิริน เขาบอกรหัสผ่านก่อนจะก้าวเข้าไปภายในอย่างเงียบๆ

บริเวณห้องนั่งเล่นรวมไม่มีคนอยู่ ตอนนี้พวกนักเรียนในบ้านคงจะออกไปกินอาหารเช้ากันหมดแล้ว เดรโกหยิบผงฟลูที่เก็บไว้ในเสื้อคลุมออกมา แล้วสาดเข้าไปในเตาผิง “คฤหาสน์มัลฟอย” เขาบอกจุดหมายปลายทางสั้นๆ

เปลวไฟสีเขียวพุ่งขึ้นพร้อมกับที่เด็กหนุ่มยื่นหน้าเข้าไป ห้องนั่งเล่นที่แต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์โบราณดูทึบทึมปรากฏขึ้นตรงหน้า

“ใครอยู่บ้าง! มานี่เดี๋ยวนี้!” สิ้นเสียงเรียก เหล่าเอลฟ์บ้านร่างผอมบาง 2-3 รีบปรากฏกายขึ้นทันที หนึ่งในนั้นก้าวเข้ามาใกล้พร้อมกับค้อมตัวลงเคารพ “นายน้อย”

“พ่อติดต่อมาหรือยัง?” เสียงถามทรงอำนาจ

“ยังขอรับ”

“แล้วพวกลูกน้องพ่อล่ะ”

“รายงานมาเป็นระยะๆ ขอรับ แต่ยังไม่มีอะไรคืบหน้า...”

“ทำงานกันยังไง!” เสียงเข้มห้วนสั้นบอกอารมณ์ที่เริ่มกรุ่นจนผู้ฟังพากันตัวสั่น

“ต้องระวังมากขอรับ ไม่ให้ทั้งพวกผู้เสพความตายแล้วก็สมาชิกภาคีรู้”

ใบหน้าหล่อเหลาถอนใจสั่งเสียงขรึม “มีอะไรรีบรายงานฉัน ให้พวกแกตัวไหนสักตัวเอามา อย่าส่งมาทางไปรษณีย์นกฮูกล่ะ”

“ขอรับ”

เดรโกละจากเตาผิงแล้วรีบเดินขึ้นหอนอนไปหยิบหนังสือที่แกล้งทิ้งไว้ เพื่อให้พอจะมีข้อแก้ตัวในการกลับมาที่หอคนเดียว ร่างสูงยืนนิ่งอยู่หน้าเตียงครู่หนึ่งพลางครุ่นคิด

ยังไม่มีข่าวอะไรอีกแล้ว ขนาดเขาใช้ให้ลูกน้องคนสนิทของบิดาช่วยออกตามหาอีกแรง แต่ก็นั่นแหละ ลำพังคนพวกนั้นต้องหลบๆซ่อนๆ ก็แต่ละคนมันพวกนอกกฎหมายทั้งนั้น ถึงจะเคารพบิดาเขากับตระกูลมัลฟอยมากพอที่จะไว้วางใจ แต่ก็ให้ออกตามหาแบบโจ่งแจ้งนักไม่ได้อยู่ดี

ดวงตาสีฟ้าหลับตาลงพร้อมกับผ่อนลมหายใจ เขาคงทำได้แค่ตามหาแล้วก็ภาวนาขอให้พ่อกับแม่ปลอดภัยเท่านั้นสินะ

“ผู้ถือครอง”

เสียงเรียกดังแผ่วขึ้นมาจากที่ใดที่หนึ่งจนทำให้คนที่คิดว่าตนเองอยู่เพียงลำพังสะดุ้ง “ใคร!” เขาถามเร็วๆ

“ผู้ถือครอง...จะถึงเวลา...ชำระ...ค่าตอบแทน...แล้ว”


ผู้ถือครอง? ค่าตอบแทน? เสียงแหบพร่าแบบนี้มันเสียงในฝันของเขานี่นา ทั้งที่หมู่นี้ไม่ค่อยได้ยินแล้วแท้ๆ มันกลับมาหลอนตอนกลางวันเชียวเหรอ

“แกเป็นใคร? ทำไมฉันจะต้องตอบแทนแก?” เด็กหนุ่มถามเสียงห้วน เขาไม่กลัวพวกภูตปีศาจเหมือนคนขวัญอ่อนหรอกนะ เดรโกเริ่มสอดส่ายสายตาหาที่มาของเสียง

“ค่าตอบแทน...สำหรับคำขอ...ของท่าน”

เสียงดังอยู่ใกล้ๆ เขานี่เอง จะว่าไป มันเหมือนกับดังก้องออกมาจากตัวเขาด้วยซ้ำ มือยาวเอื้อมเข้าไปในเสื้อคลุมแล้วดงเอากล่องคริสตัลของแม่ออกมาจากอก

กล่องที่เคยเป็นสีเงินตอนนี้สะท้อนแสงสีเขียวเรื่อเรือง พร้อมกับเสียงที่เร่งเร้า “คำขอของท่าน...สัมฤทธิ์ผลแล้ว...ถึงเวลาจ่าย...ค่าตอบแทน”

ไอ้กล่องนี่มันใช้ได้จริงๆเรอะ! เดรโกนิ่งอึ้งก่อนจะรวบรวมสติถามซ้ำ “คำขอ? ใครขออะไรแก?”

“ท่าน...ผู้ถือครอง...คำขอ...”

มันจะไม่บอกอะไรมากกว่านี้ใช่ไหม! เดรโกคิดอย่างหงุดหงิด ช่างเถอะ! ไอ้กล่องบ้านี่มันอาจจะเก่าจนพังไปแล้วก็ได้ เขาไม่เคยขออะไรมันเหมือนพวกคนเพ้อฝันสักหน่อย

มือยาวเขวี้ยงกล่องคริสตัลลงบนเตียงนอนโดยแรงพร้อมกับพูดเสียงห้วน “เสียใจ, ฉันไม่คิดว่าฉันติดหนี้อะไรแก!”

“ผู้ถือครอง...จะถอนคำขอคืนงั้นหรือ?”

ร่างสูงทำท่าจะเดินออกไปจากห้องนอนก่อนจะหันกลับมาด้วยหน้าเรียบเฉย พลางยักไหล่แบบไม่แยแส “อยากเอาคืนก็ได้ ตามใจแกสิ”

พูดแล้วก็รีบก้าวลงบันไดไปเรียนให้ทันก่อนที่คนอารักขาจะผิดสังเกต

ให้ตายเถอะ! แค่นี้เขาก็ยุ่งยากมากพออยู่แล้ว อย่ามีเรื่องไร้สาระมาทำให้ปวดหัวอีกได้ไหม!

........................................................................................................................................

หมดคาบเรียนช่วงบ่าย คุณชายแห่งบ้านสลิธิรินเดินออกมาจากห้องปรุงยาด้วยใบหน้าซีดเซียว เขารู้สึกเพลียเล็กน้อย ความเครียดที่สะสมมาหลายวันบวกกับการมีเวลาพักผ่อนน้อยคงเพิ่งจะออกอาการเอาตอนนี้เอง แต่กระนั้นเมื่ออาจารย์ประจำบ้านถามอาการด้วยความเป็นห่วง เด็กหนุ่มก็ยังปฏิเสธอย่างสุภาพ

...ถึงยังไงศาสตราจารย์สเนปก็เป็นสมาชิกภาคี จะให้รู้เรื่องที่เขาใช้พวกนอกกฎหมายตามหาพ่อแม่ไม่ได้

ตุ่บ!

หนังสือในมือร่วงลงสู่พื้น นี่เขาเพลียจนมือไม้สั่นเลยเหรอเนี่ย? เดรโกสะบัดศีรษะแรงๆ ไล่ความมึนงงที่วิ่งขึ้นมา ราวกับว่าทางเดินตรงหน้าพร่ามัวไปชั่วขณะจนต้องหยุดเดิน ร่างสูงก้มลงไปเก็บหนังสือที่พื้น แต่ใครอีกคนหยิบมันขึ้นมาส่งให้เสียก่อน

ด้วยความที่ยังตาลาย เดรโกเอื้อมไปรับพร้อมกับพึมพำ “ขอบใจ…”

เขาชะงักเพียงแค่นั้นเมื่อเห็นชัดว่าอีกฝ่ายเป็นใคร

แฮร์รี่ พอตเตอร์...

เด็กหนุ่มผมสีดำยืนอยู่เพียงลำพัง ไม่มีเฮอร์ไมโอนี่ เกรนเจอร์กับโรนัลย์ วิสลีย์หรือผู้คุ้มกันอยู่ด้วยเหมือนปกติ ร่างบางถือหนังสือของตัวไว้ในมือข้างหนึ่งมืออีกข้างยื่นหนังสือให้เดรโก โดยที่ใบหน้าเรียวสีน้ำตาลยังอ่อนเรียบเฉย เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยังอึ้งอยู่ก็ยัดหนังสือใส่มือให้

“สีหน้านายไม่ดี ไปห้องพยาบาลเสียหน่อยนะ”

ร่างบางเดินจากไปทิ้งให้คนถูกเตือนมองตามด้วยสายตาพิศวง หมอนั่น..?

“เดรโก!”

เสียงเรียกจากด้านหลังทำให้เจ้าของชื่อหันกลับ อาจารย์ประจำบ้านสลิธิรินรีบเดินเข้ามาหาพร้อมกับสีหน้ายินดี

“อาจารย์ใหญ่เรียกเธอไปพบ พวกผู้เสพความตายถูกจับได้แล้ว!”

…………………………………………………………

ดัมเบิลดอร์ยื่นซองจดหมายสีขาวให้กับเด็กหนุ่มผมสีบลอนด์ที่ยังดูงุนงงไม่หาย “จดหมายจากพ่อแม่ของเธอ เราพบพวกเขาหลังจากที่จับผู้เสพความตายได้” พวกเขาอยู่ในห้องทำงานของอาจารย์ใหญ่โดยที่มีสมาชิกภาคีนกฟินิกส์ยืนรออยู่ด้านนอก

เดรโกรับซองจดหมายนั้นมา ผนึกตราประทับสีเทาของตระกูลมัลฟอยยังติดแน่นอยู่ บอกให้รู้ว่ามันไม่ได้ถูกสมาชิกเปิดอ่านเพื่อตรวจสอบเสียก่อนดังที่ควรจะเป็น นับว่าอาจารย์ใหญ่ของฮอกวอร์ดให้เกียรติและไว้ใจเขามากพอควร

“ขอบคุณครับ” เด็กหนุ่มพูดพร้อมกับเปิดจดหมายออกอ่าน ลายมือคุ้นตาของมารดาทำให้เขายิ้มออกมาได้เป็นครั้งแรกในรอบหลายวัน


เดรโกลูกรัก

ขอโทษด้วยที่พ่อแม่ไม่ได้ติดต่อกับลูกเลยตลอดช่วงที่ผ่านมา เราจำเป็นต้องระมัดระวังการสื่อสารกับภายนอกจริงๆ แต่ตอนนี้พ่อกับแม่ปลอดภัย กลับมาอยู่ที่บ้านแล้ว ลูกไม่ต้องเป็นห่วงนะจ๊ะ พ่อของลูกฝากบอกว่า ถ้าลูกกลับมาบ้านคราวหน้า พ่อเขามีเรื่องจะบอกหลายอย่าง เราคงต้องคุยกันนานเชียวล่ะ ตอนนี้ทำใจให้สบายก่อนนะ

,เรารักลูกจ้ะ
นาร์ซิซา มัลฟอย


พรีเฟ็คของบ้านสลิธิรินพับจดหมายเก็บใส่ซองแล้วกล่าวเรียบๆ “พ่อแม่ผมกลับไปบ้านแล้วครับ” เขารายงานสั้นๆในเมื่อผู้สูงวัยกว่าให้เกียรติเขาขนาดนี้ เขาก็ควรแสดงว่าเขาไว้ใจอีกฝ่ายเช่นกัน

ดัมเบิลดอร์พยักหน้าน้อยๆ “เธอก็คงหายห่วงได้แล้วนะ มิสเตอร์มัลฟอย การคุ้มกันก็คงยกเลิกได้แล้วล่ะ”

“ครับ” เดรโกถอนใจโล่งอก เขานิ่งเงียบก่อนจะเอ่ยปากถามสิ่งที่สงสัยมานาน “ศาสตราจารย์ครับ พ่อของผมก็เป็นผู้เสพความตายใช่ไหมครับ”

ชายชราตอบรับสั้นๆ “ใช่ เธอเองก็คงสงสัยมานานแล้วสินะ”

“ครับ ผมเห็นพวกที่มาหาพ่อที่บ้านก็พอจะรู้ว่าพ่อเกี่ยวข้องกับ...คนที่คุณก็รู้ว่าใคร แต่ไม่คิดว่า...”

เด็กหนุ่มหวนนึกถึงสีหน้าอึกอักของใครอีกคนที่เขาไม่ได้พบมาหลายวัน

พ่อของเดร...ไม่ดี...เขาช่วย..คนพวกนั้นฆ่า...

คำพูดเกรี้ยวกราดของพอตเตอร์เมื่อหลายวันก่อนลอยมา

“ลูกของคนที่มีส่วนในการตายของซีเรียสอย่างนายไม่มีสิทธิ์พูดถึงเขาแบบนี้!”

เดรโกถามต่อมือทั้งสองข้างแน่น “ไม่คิดว่า...เขาจะฆ่าคนด้วย”

ผู้เป็นอาจารย์ใหญ่ถอนใจเบาๆ ก่อนที่จะพูดเสียงอ่อน “มิสเตอร์มัลฟอย คนเราน่ะ มีทั้งดีและเลวอยู่ในตัวนะ บางครั้งก็อาจจะเลือกเดินทางผิดไปได้เหมือนกัน”

“ผมทราบครับ แต่ผมไม่เข้าใจว่าทำไมพ่อต้องปิดบังผม”

“พ่อทุกคนก็อยากให้ลูกภูมิใจในตัวเองทั้งนั้นแหละ...” ชายชราพูดต่อ “ครูว่าตอนนี้พ่อของเธอเองก็คงอยากจะอธิบายเรื่องที่ปิดบังเธอมานานเสียที”

“ครับ” เดรโกพยักหน้ารับในที่สุด “กลับไปบ้านคราวหน้าผมจะเข้าไปคุยกับพ่อ”

ดัมเบิลดอร์ยิ้ม “ดีแล้ว ครูเองก็ติดค้างคำขอโทษกับเธอเหมือนกันนะ ขอโทษด้วยที่ปล่อยให้กังวล โดยไม่ได้แจ้งข่าวอะไร เธอต้องวุ่นวายตามหาพ่อแม่เองอีก”

ประโยคสุดท้ายทำเอาเด็กหนุ่มร่างสูงสะดุ้งนิดๆ เมื่อเรื่องที่เขาแอบสืบหาพ่อแม่ไม่ได้เป็นความลับอย่างที่คิด แต่เมื่อเห็นว่าสีหน้าของอาจารย์ใหญ่ยังคงยิ้มอยู่เลยรู้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้ถือโกรธ เดรโกก้มศีรษะลงเล็กน้อย “ขอโทษด้วยครับที่ผมทำอะไรไปโดยพลการ”

ดัมเบิลดอร์หัวเราะหึๆ แบบอารมณ์ดี “ท่าทางว่าจบเรื่องนี้ เราคงมีเรื่องให้ขอโทษขอโพยกันวุ่นวายไปหมด ดูเหมือนเธอเองก็ต้องไปขอโทษคนอีกหลายคนเหมือนกันนี่” ดวงตาสีฟ้าภายใต้กรอบแว่นจันทร์เสี้ยวมองมาที่เขาแบบกึ่งเอ็นดูกึ่งรู้ทัน

“ในเมื่อการคุ้มกันยกเลิกแล้ว...ถ้าให้เธอรับหน้าที่เดินตรวจยามตอนกลางคืนอีกครั้งจะสะดวกไหม มิสเตอร์มัลฟอย?”

“ครับ” เดรโกพยักหน้ารับ เขาเริ่มเชื่อแล้วที่คนพูดกันว่า ไม่มีอะไรในโรงเรียนที่อาจารย์ใหญ่คนนี้จะไม่รู้

…………………………………………………………………………………….

กลางดึกคืนนั้น เดรโกจึงออกมาเดินตรวจความเรียบร้อยตามปกติ เด็กหนุ่มเดินช้าๆ ไปตามทางเดินชั้น 2 พลางพยายามเตือนตัวเองไม่ให้รีบไปที่หอคอยตะวันตก ภายนอกหน้าต่างกระจกของระเบียงส่องให้เห็นดวงจันทร์เสี้ยวบาง เข้าสู่ช่วงข้างขึ้นอีกครั้งแล้วสินะ

สุดท้ายเมื่อเวลาล่วงเลยไปมากพอสมควร เขาจึงเดินวกขึ้นไปตามบันไดสู่หอคอยจนได้

ห้องที่มีกำแพงหินสีเทาว่างเปล่า ผ้าม่านเก่าที่เคยใช้เป็นที่รองนั่งยังคงกองอยู่ที่เดิมเหมือนวันที่เขาไล่อีกฝ่ายให้ออกไป เดรโกมองแล้วก็ถอนใจเบาๆ ...ไม่อยู่จริงๆด้วย

ร่างสูงเดินออกไปสู่ระเบียงด้านนอกที่ใครอีกคนชอบมานั่งมองท้องฟ้าอยู่ทุกคืนไม่เคยเบื่อ ฤดูใบไม้ผลิที่กำลังใกล้เข้ามาทำให้อากาศเริ่มอุ่นขึ้น แต่คุณชายแห่งบ้านสลิธิรินกลับรู้สึกโหวงเหวงในใจอย่างประหลาด

ตั้งแต่คืนนั้น...เธอคงไม่ได้มาที่นี่อีกแล้ว...





Create Date : 18 มีนาคม 2548
Last Update : 18 มีนาคม 2548 13:58:43 น.
Counter : 588 Pageviews.

0 comment
Part 7
ตอนที่ 7

เดรโก มัลฟอยเดินออกมาจากห้องอาจารย์ใหญ่ด้วยสีหน้าเคร่งขรึม เขาเพิ่งถูกดัมเบิลดอร์กับคณะอาจารย์เรียกตัวมาเพื่อแจ้งข่าว แน่นอนว่าบิดามารดาของเขาหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย แม้แต่พวกภาคีนกฟินิกส์ก็ยังหาตัวไม่พบ แต่จากจดหมายเมื่อเช้าทำให้เดรโกใจชื้นขึ้นมานิดหนึ่งว่า อย่างน้อยตอนนี้พวกพ่อคงจะสามารถหาที่หลบภัยที่เป็นความลับได้แล้ว เพียงแต่จะซ่อนตัวจากพวกผู้เสพความตายกระหายเลือดนั่นได้นานแค่ไหนเท่านั้น...

มือหนึ่งแตะที่บ่าเบาๆ เมื่อหันกลับไปก็เห็นอาจารย์ประจำบ้านซึ่งเดินตามมาและกำลังมองเขาด้วยสายตากังวล

“เดรโก เธอไม่เป็นไรนะ” สเนปถามเมื่อเห็นว่าใบหน้าของลูกศิษย์คนโปรดซีดเผือด อีกฝ่ายพยักหน้าตอบ “ครับ..ผมสบายดีฮะ เพียงแค่ห่วงพวกพ่อนิดหน่อยเท่านั้น”

“ไม่ต้องห่วง” อาจารย์สอนปรุงยาพูดหน้าขรึม “ครูจะพยายามติดต่อพวกพ่อแม่เธอให้ได้เร็วที่สุด” พูดแล้วก็ตบบ่าลูกศิษย์หนักๆ อีกครั้ง “เธอเองก็ต้องระวังตัวเองด้วยนะ อย่างที่พวกสมาชิกภาคีบอก ถ้าหาพ่อแม่เธอไม่พบ พวกผู้เสพความตายอาจจะพุ่งเป้ามาที่เธอแทน”

เดรโกฟังนิ่ง มือของเขาเริ่มกำแน่นขึ้นนิดๆ แต่อีกฝ่ายไม่ทันสังเกตเห็นเพราะมัวแต่สนใจเรื่องที่กำลังพูดต่อ

“ตอนนี้อย่าออกไปนอกโรงเรียนจะปลอดภัยที่สุด เข้าใจไหม” เสียงเรียบแต่ดวงตาสีดำสนิทจ้องมองจริงจังราวกับต้องการคำรับปากจากอีกฝ่าย...จากที่ดูแลมาตั้งแต่ปีหนึ่ง ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าตอนนี้เด็กหนุ่มกำลังคิดจะทำอะไร...ยิ่งท่าทางภายนอกดูสงบแบบนี้ด้วยแล้ว

เดรโกนิ่งขึงอยู่อึดใจเมื่อถูกดักทางได้ เขาถอนใจก่อนจะพยักหน้าแล้วยิ้มฝืนๆ

“ครับ ผมจะระวัง ขอบคุณครับศาสตราจารย์”


หลังจากที่อาจารย์ประจำบ้านผละไปแล้ว เด็กหนุ่มก็ชะลอฝีเท้า ระเบียงทางเดินตรงนั้นร้างไร้ผู้คนจนทำให้เขาเผลอเอนหลังพิงกำแพง ท่าทางสงบนิ่งที่แสร้งทำยามอยู่ต่อหน้าพวกอาจารย์เมื่อครู่นี้เลือนหายไป ใบหน้าหล่อเหลาหลับตา กัดฟันพร้อมกับค่อยๆ ระบายลมหายใจหนัก มือทั้งสองข้างกำแน่นเพื่อสะกดอารมณ์

อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเครียดและหงุดหงิด ทั้งดัมเบิลดอร์....สมาชิกภาคี....พวกอาจารย์....แม้แต่อาจารย์ประจำบ้าน ทุกคนมองเขาเป็นเด็กน้อยอ่อนแอที่กำลังจะตกเป็นเหยื่อของการแก้แค้น ต้องถูกเก็บไว้ในปราสาท คอยระวังไม่ให้เป็นอันตรายทั้งที่เดรโกอยากจะกลับไปวิลเชียร์ตั้งแต่แรกที่ได้ข่าวร้ายนี่ด้วยซ้ำ

พ่อกับแม่....จะหลบอยู่ที่ไหนกันนะ พ่อน่ะไม่เท่าไหร่หรอก แต่แม่เขาตอนนี้ก็สุขภาพไม่ค่อยดี คิดแล้วก็เป็นห่วงลูกชายคนเดียวแทนที่จะช่วยได้ก็ต้องถูกกักอยู่ที่โรงเรียน

“บ้าชะมัด...โธ่เว้ย !”

เด็กหนุ่มหลุดปากออกมา กำปั้นข้างหนึ่งทุบกำแพงที่อยู่ด้านหลังจนรู้สึกเจ็บ

กึ่ก! เสียงฝีเท้าที่ก้าวผ่านมาตามระเบียงหยุดชะงัก เดรโกรีบลืมตาขึ้นมองทันที เขาไม่อยากให้ใครมาเห็นเวลาตัวเองเผลอหลุดความอ่อนแอออกมา

บนระเบียงทางเดินห่างออกไป ร่างผอมบางของแฮร์รี่ พอตเตอร์ยืนอยู่เพียงลำพัง คงจะถูกเรียกตัวมาพบเพราะเรื่องนี้เหมือนกันสินะ...เดรโกคิด คนที่จะเป็นเป้าของพวกผู้เสพความตายนอกจากเขาแล้วก็คงมีแต่ไอ้หมอนี่เท่านั้นแหละ

ใบหน้าเรียบเฉยของอีกฝ่ายยามเมื่อสบตาเขายิ่งทำให้ความหงุดหงิดในใจเพิ่มมากขึ้น

“มองอะไร!”

เดรโกถามเสียงเข้มแล้วพูดต่อราวกับจะหาเรื่อง “คงสมใจนายสินะ พอตเตอร์ พ่อของฉันที่เป็นศัตรูของนายกำลังจะเป็นอันตราย” ทั้งที่อีกฝ่ายไม่ได้พูดอะไรออกมาสักคำ แต่คุณชายแห่งบ้านสลิธิรินก็อยากจะพาล...ตอนนี้เขาหงุดหงิด...หงุดหงิดจนอยากจะระบายความเครียดนี้ให้คนอื่น

ใบหน้าเรียวของแฮร์รี่ พอตเตอร์เพียงแต่ถอนใจก่อนละสายตาแล้วทำท่าจะผละไปอย่างเมินเฉยราวกับว่าร่างสูงที่ยืนอยู่นั้นเป็นเพียงอากาศธาตุ เดรโกฉุนกึ่กขึ้นมาทันที แม้แต่หมอนี่ก็ยังทำท่าเหมือนเขาเป็นเด็กไม่รู้จักคิดงั้นเรอะ?

ไวเท่าใจคิด มือยาวเอื้อมไปกระชากแขนของคนที่จะผละหนีจนฝ่ายนั้นเซ “ทำไมไม่ตอบ!” เขากระชากเสียงถาม คิ้วขมวดมุ่น

อีกฝ่ายเงยหน้าขึ้นมอง ใบหน้าเฉยชาแสดงความไม่พอใจออกมานิดหนึ่ง แต่เมื่อเห็นสีหน้าเคร่งเครียดของเดรโก ริมฝีปากบางก็ปรากฏรอยเยาะหยัน “ต้องการให้ตอบหรือมัลฟอย?” แม้จะยิ้มแต่ดวงตาสีเขียวกลับแข็งกร้าว “ถ้าจะให้ตอบ ฉันว่ามันยังไม่สาสมกับสิ่งที่พ่อของนายกับพวกทำไว้ด้วยซ้ำ”

มือของเดรโกบีบต้นแขนของอีกฝ่ายแรงขึ้นโดยไม่รู้ตัว “หมายความว่ายังไง?” เขาเค้นเสียงถาม แทบจะเขย่าคนตรงหน้าซึ่งยังคงจ้องตาเขาอย่างไม่เกรงกลัว

“ต้องให้บอกด้วย? พ่อนายไม่เคยเล่าให้ฟังหรือไง ว่าเขาทำชั่วอะไรมาบ้าง!” แฮร์รี่กระซิบเยียบเย็น แขนเรียวพยายามจะสะบัดออก แต่กลับไม่สามารถสู้แรงของคนตัวสูงกว่าได้เลยแม้แต่น้อย เมื่อหลุดจากการเกาะกุมไม่ได้เจ้าตัวจึงพูดต่อ “พ่อนายสมควรจะได้รับกรรมจากสิ่งที่เขาก่อ!”

ปึ่ก!

ไหล่บางถูกยึดและดันจนเซไปกระแทกผนังด้านหลังด้วยมือของเด็กหนุ่มผมบลอนด์ที่บัดนี้กำลังหายใจหนักพยายามสะกดอารมณ์ เขากระชากเสียงห้วน มือหนักบิดไหล่อีกฝ่าย

“ถอนคำพูดเดี๋ยวนี้!”

แฮร์รี่ พอตเตอร์นิ่วหน้าเล็กน้อยด้วยความเจ็บแต่กลับตอบเสียงแข็ง “ไม่มีทาง!”

มือข้างหนึ่งของเดรโกเอื้อมไปบีบที่คางมนที่เพิ่งเอ่ยปาก “ฉันบอกให้ถอนคำพูด!” เขาพูดเสียงเหี้ยมแม้ว่าในใจจะขัดแย้ง ไม่คิดว่าการชวนหาเรื่องเมื่อครู่จะบานปลายรุนแรง...แต่เพราะเจ้าบ้านี่...เพราะท่าทางราวกับว่ารู้อะไรไปซะทุกอย่างของมัน...ทำให้เขาพลุ่งพล่านจนระงับความโกรธไว้ไม่ไหว

สิ่งที่ได้รับตอบกลับเป็นสีหน้าเคียดแค้นและเสียงเย็นชา “ถึงจะถอนคำพูดก็ไม่ทำให้ความจริงเปลี่ยนไปหรอก มัลฟอย รู้ไหมว่ามีคนตายจากฝีมือพวกพ่อนายกี่ค...”

ยังไม่ทันสิ้นประโยค คอเสื้อของร่างบางก็ถูกกระชากพร้อมกับที่เดรโกเงื้อหมัด เขาต้องชกมันสักทีให้สาสมกับความปากพล่อย!

แต่เด็กหนุ่มก็ต้องหยุดชะงักกึ่ก อีกฝ่ายยังคงจ้องหน้าเขาอย่างไม่เกรงกลัว ดวงตาสีเขียวแห้งผากที่ส่อแววเจ็บปวดนั่นช่างคล้ายคลึงกับดวงตาชุ่มหยาดน้ำของใครอีกคนจนเดรโกต้องกัดฟันกรอด

โครม!!!!

เขาสะบัดร่างผอมบางที่ยึดไว้จนลงไปกองกับพื้น ร่างสูงหันหลังขวับแล้วเดินจากมาโดยไม่สนใจคนที่ทรุดอยู่ตรงนั้นอีกต่อไป

ให้ตายเถอะ! ไม่ว่าหน้าไหนก็บ้ากันทั้งนั้น!


เดรโกเดินพรวดๆ เข้ามาในห้องนั่งเล่นของบ้านสลิธิรินโดยไม่ได้สนใจพวกเพื่อนในบ้านที่กำลังจับกลุ่มสนทนากันอย่างเคร่งเครียดหน้าเตาผิง แต่เมื่อร่างสูงก้าวเข้ามา สายตาทุกคู่ก็จ้องมาที่เขาด้วยความอยากรู้อยากเห็นปนกับท่าทางกระอักกระอ่วน ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเรื่องที่ผู้เสพความตายแหกคุกหนีออกมาแล้วไปทางบ้านเขา คงจะเป็นหัวข้อข่าวของวันนี้แน่นอน

“มัล..มัลฟอย เป็นไงบ้าง” แครบเอ่ยถามตะกุกตะกัก กอยย์ช่วยเสริม “ไปหาดัมเบิลดอร์มาเหรอ”

“เออ!ไม่มีอะไร!” คนถูกถามตอบกลับเสียงห้วน ทำท่าจะเดินขึ้นหอนอน แต่เสียงของเบลซ ซาบินี่ที่พูดขึ้นมาจากโซฟาหน้าเตาผิงที่เขากับพวกเด็กปี 4 กำลังเปิดเดลี่พร็อพเฟ็ตอ่านข่าวกันอยู่ทำให้เขาสะดุดกึก “หนังสือพิมพ์บอกว่าพวกผู้เสพความตายมุ่งหน้าไปทางวิลเชียร์ บ้านนายนี่นามัลฟอย พ่อนายไปทำให้พวกมันแค้นเอาหรือเปล่า”

“ฉันไม่รู้” เดรโกหน้าบึ้ง เขาไม่ชอบที่เจ้าพวกนี้จะมาวุ่นวายก้าวก่าย โดยเฉพาะ...ในสิ่งที่เขาเองก็ตอบไม่ได้

“พ่อนายคงไม่ได้ตกเป็นเป้าของมันหรอกใช่มั้ย”

“เขาหลบไปซ่อนตัวเหรอ”


“แล้วพวกภาคีจะมาคุ้มกันนายเหมือนพอตเตอร์รึเปล่า มัลฟอย”

เสียงถามจากคนโน้นคนนี้ จะเป็นห่วงด้วยเจตนาดีหรือว่าแค่อยากรู้เรื่องชาวบ้านก็ล้วนทำให้อารมณ์พลุ่งพล่านของเด็กหนุ่มสูงขึ้นทั้งนั้น

“ฉันไม่รู้โว้ย! เลิกถามซอกแซกเสียทีได้มั้ย!”

เขาตะโกนออกมากลบเสียงจ่อกแจ่กจนเงียบกริบกันไปทั้งห้อง ใบหน้าหล่อเหลาบึ้งจัด ดวงตาสีฟ้าอมเทาวาวโรจน์บอกอารมณ์โทสะที่พุ่งสูงจนเด็กบ้านสลิธิรินพากันหลบสายตา มีเพียงแพนซี่ พาร์กินสันเท่านั้นที่รีบเดินเข้ามาหาเขาด้วยสีหน้าเป็นห่วง “เดรโก พ่อแม่เธอไม่เป็นไรนะ” เสียงถามแผ่วๆ พร้อมกับแตะที่มือของเขาเบา ๆ แต่เดรโกสะบัดมันออก

“ฉันไม่รู้ อย่ามายุ่งกับฉัน!” เด็กหนุ่มพูดแล้วก้าวขึ้นบันไดหอนอนไปโดยไม่สนใจสายตานับสิบคู่ที่มองตามมา

ใช่...เขาไม่รู้อะไรเลย ไม่รู้ว่าตอนนี้พ่อแม่อยู่ไหน ไม่รู้ว่าพวกท่านจะปลอดภัยรึเปล่า ไม่รู้แม้แต่ว่าพ่อของตัวเองทำอะไรมาบ้าง ถึงได้ถูกผู้เสพความตายอาฆาตจนถึงกับแหกคุกออกมาตามล่า

ไม่รู้...ว่าทำไมดวงตาสีเขียวมรกตถึงจ้องมองเขาด้วยความรังเกียจและเคียดแค้นได้ขนาดนั้น


ร่างสูงก้าวขึ้นมาบนหอคอยตะวันตก เขาหลบจากห้องโถงโดยไม่ได้แตะต้องอาหารเย็น แค่เจอสายตาอยากรู้อยากเห็นที่พากันจ้องมองจากโต๊ะบ้านต่างๆ ก็ทำให้เอียนจนหันหลังกลับออกมาโดยไม่สนใจฟังเสียงเรียกของแพนซี่ ตอนนี้เขาไม่ต้องการจะตอบคำถามหรือแม้แต่รับความเป็นห่วงจากใครทั้งนั้น

ที่จริงเด็กหนุ่มตั้งใจว่าจะเดินไปเรื่อยๆ แต่ขาทั้งสองก็พามาที่หอคอยนี่โดยไม่ทันได้คิด เขาเดินเข้าไปภายในห้องด้านบน แดดยามสนทยากำลังทอแสงสีส้มอ่อนผ่านหน้าต่างเข้ามากระทบกับฝาผนังหิน...

ยังไม่ค่ำ งั้นคงยังไม่มาสินะ...

เดรโกทรุดนั่งลงริมหน้าต่างเอนหลังพิงพนัก รู้สึกว่าร่างกายอ่อนแอแทบไม่มีแรง สมองซึ่งแบกรับความเครียดมาทั้งวันก็ล้าจนไม่อยากจะคิดอะไรอีก ศีรษะที่มีเส้นผมสีทองสัมผัสกับผนังหินเย็นๆ ช่วยให้รู้สึกสบายขึ้นนิดหนึ่ง ใบหน้าหล่อเหลาจึงค่อยๆ ปิดเปลือกตาลงแล้วระบายลมหายใจแผ่ว

เขาคงจะเผลอหลับไปครู่หนึ่งด้วยความอ่อนเพลีย รู้สึกตัวอีกทีก็เมื่อมีมือเล็กๆ ที่อบอุ่นแตะที่แขน พอลืมตาขึ้นมาก็เห็นร่างบางในชุดนอนตัวโคร่งทรุดนั่งคุกเข่าอยู่ข้างๆ ดวงตาสีเขียวทอประกายแห่งความห่วงใยฉายชัด

“เอเรียล...” ใบหน้าหล่อเหลายิ้มให้ แม้ว่าจะฝืนเต็มที “มาแล้วเหรอ”

“วันนี้เดรมารอเอเรียล?” คนตัวเล็กถามด้วยความประหลาดใจพลางเขยิบเข้ามาใกล้

“อือ ก็แค่วันนี้ฉันว่าง...ไม่ต้องเดินตรวจแล้วน่ะ เลยไม่มีอะไรทำ” อีกฝ่ายแกล้งกลบเกลื่อน ก่อนจะลูบผมสีดำยุ่งเหยิงของคนตรงหน้าเบา ๆ “วันนี้ไปเที่ยวไหนกันดีฮึ?”

สีหน้าของเด็กสาวขมวดมุ่นเผลอหลุดปากออกไปโดยไม่ทันคิด“เดรไม่ควรออกไปไหนนะ อันตราย!” พูดแล้วเจ้าตัวก็หยุดกึก เดรโกเองก็ชะงัก มือที่ลูบผมของอีกฝ่ายอยู่ตกลงมา “เธอรู้?”

คนถูกถามทำท่าจะส่ายหน้าปฏิเสธ แต่เมื่อเห็นดวงตาสีฟ้าที่จ้องนิ่งก็หน้าม่อยลงพร้อมกับพยักหน้ายอมรับ

“งั้นก็รู้เรื่องพ่อของฉันโดนตามล่าด้วยล่ะสิ”

อีกฝ่ายพยักหน้าหงึกอีกครั้ง ท่าทางเหมือนสำนึกผิดนั้นทำให้ร่างสูงถอนใจเฮือก “เธอทำให้ฉันแปลกใจอยู่เรื่อยเลยนะ เอเรียล” แล้วใบหน้าหล่อเหลาหัวเราะเบาๆ ราวกับจะเยาะตัวเอง “...แต่ช่างเถอะ ยังไงคนก็รู้กันทั้งฮอกวอร์ต บางที...บางคนอาจจะรู้อะไรมากกว่าฉันด้วยซ้ำ” เมื่อคิดถึงไอ้หมอนั่นแล้วก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกหงุดหงิด เขาเผลอกำมือแน่นโดยไม่รู้ตัว

พ่อนายสมควรจะได้รับกรรมจากสิ่งที่เขาก่อ

มือของร่างบางแตะที่แขนเขาเบาๆ อีกครั้ง “เดร...เป็นอะไรไป?” เสียงหวานถามแผ่วๆ เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายนิ่งขึงไปอีก

“ไม่มีอะไรหรอก” เขาพูดแล้วแตะมืออุ่นของคนตัวเล็ก ใบหน้าหล่อเหลาจ้องเข้าไปในดวงตาสีเขียวกลมโตนั้น...ดวงตาที่ส่อแววห่วงใยอย่างชัดเจน...

ถ้าเป็นเธอ...คงจะเข้าใจฉันใช่มั้ย?...

“เอเรียล” เด็กหนุ่มจับมือเล็กขึ้นมา น้ำเสียงอ่อนล้าถามเบาๆ “เธอ....ไม่คิดใช่ไหม....ว่าพ่อฉันสมควรโดนตามล่าแบบนี้...”

เงียบ ไม่มีเสียงตอบ

“เอเรียล?” เขาเงยหน้าขึ้นมอง ใบหน้าเรียวสวยมีแววลำบากใจ “เธอคิด?...เธอคิดงั้นเหรอ?”

อีกฝ่ายกระพริบตาปริบๆ ก่อนจะพูดอึกอัก “เอเรียลชอบเดร...เดรใจดี...แต่ว่าพ่อของเดร...”

“ทำไม พ่อของฉันทำอะไร!”เด็กหนุ่มพูดเสียงห้วน มือจับที่แขนบอบบางแน่นขึ้นโดยไม่รู้ตัว

“ก็ พ่อของเดร...ไม่ดี...เขาช่วย..คนพวกนั้นฆ่า...” แล้วเด็กสาวก็สะดุดกึกไม่ยอมพูดต่อ

เดรโกขมวดคิ้ว ดวงตาสีฟ้าคาดคั้น “เขาฆ่าใคร...” เด็กหนุ่มหวนนึกถึงครั้งแรกที่พบกับเด็กสาว...เธอร้องไห้ราวกับว่าเสียคนที่รัก....อย่าบอกนะว่า... “พวกเขาฆ่าใคร...ฆ่าคนที่เธอรู้จักงั้นเหรอ....” เสียงเร่งเร้าให้คนตัวเล็กพูดออกมา

ใบหน้าเรียวเม้มริมฝีปากแน่นไม่ยอมแม้แต่จะเอ่ยเสียง

“เอเรียล บอกฉันสิ เธอรู้เหรอว่าพวกเขาฆ่าใครไป”

ดวงตาสีฟ้าจ้องเขม็งแต่คนตรงหน้ากลับหลุบตาลง เดรโกไม่ทันสังเกตเห็นท่าทางลำบากใจนั้นเพราะโทสะที่ครอบงำอยู่ มือหนักเขย่าแขนอีกฝ่าย กระชากเสียงจนแทบจะตะคอก

“เขาฆ่าใคร! บอกมาสิเอเรียล!”

“โอ้ย! เดร เจ็บ!” ร่างบางหลุดปากร้องออกมาพร้อมกับน้ำตาคลอดวงตาสีเขียว เดรโกชะงักกึก ปล่อยแขนอีกฝ่ายโดยเร็ว เด็กหนุ่มนิ่งอึ้ง ตามองรอยปื้นแดงที่ปรากฏชัดบนแขนบอบบาง แล้วร่างสูงก็ขยับตัวห่าง ใบหน้าหล่อเหลากัดริมฝีปากแน่น

“เดร?”

“เธอไปซะ…” คนพูดเสียงล้า...เจ็บใจที่โทสะของตัวเองทำร้ายอีกฝ่าย

“เดร...เอเรียลไม่เป็นไร...”

“บอกให้ออกไป!” เสียงห้าวเริ่มเข้มขึ้น

“เดร...” เสียงหวานที่พยายามปลอบประโลม มือเรียวอบอุ่นนั้นยื่นมาหา...ทว่า..แม้แต่เจ้าของความอบอุ่นนี้ก็ยังไม่เข้าใจเขาอยู่นั่นเอง...เดรโกปัดมือนั้นพร้อมกับตะคอกเสียงดัง

“ออกไปเดี๋ยวนี้ ได้ยินมั้ย! ฉันไม่อยากเห็นหน้าเธอ ออกไป!”

ร่างบางชะงักกึกนิ่งอึ้ง น้ำตาที่คลอดวงตาสีเขียวไหลลงมาข้างแก้มช้าๆ เดรโกหลับตาลงเพราะไม่อยากจะเห็นภาพนั้น...ภาพที่ทำให้เขายิ่งรู้สึกผิดมากขึ้นไปอีก “ออกไปซะเถอะนะ ได้โปรด....” เขากระซิบเสียงแผ่ว

ร่างบางเงียบกริบไม่ตอบโต้อีก แล้วก็มีเสียงลุกขึ้นก้าวเดินออกไปช้าๆ เมื่อเสียงฝีเท้าค่อยๆ แผ่วหายไป เด็กหนุ่มก็ยกมือข้างหนึ่งกุมหน้าผากพร้อมกับก้มหน้าลงซบเข่า เขาพูดลอดไรฟันออกมาเบาๆ

“บ้าที่สุด....”



Create Date : 31 มกราคม 2548
Last Update : 31 มกราคม 2548 10:12:36 น.
Counter : 574 Pageviews.

3 comment
1  2  3  4  

นะโอ
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 4 คน [?]