Part 3
สายวันต่อมา เมื่อซีเรียส แบล็กลืมตาตื่นขึ้นและมองออกไปนอกหน้าต่างห้องใต้หลังคานั้น เขาก็พบว่าโลกภายนอกกลายเป็นสีขาวบริสุทธิ์ไปหมด พื้นดินตลอดจนยอดไม้ถูกปกคลุมด้วยกองหิมะ น้ำค้างที่ย้อยลงมาตามร่องหลังคาจับตัวแข็งเป็นสาย เกล็ดสีขาวเกาะอยู่บนกระจกหน้าต่าง อากาศเย็นลงจนสัมผัสได้

“ปีนี้ท่าจะเป็นไวท์คริสมาสต์แฮะ”

เสียงทักทำให้คนที่กำลังมองทิวทัศน์เผลอสะดุ้งเล็กน้อย ร่างผอมบางมายืนชิดหน้าต่างกระจกอยู่ข้างๆ เขา ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ใบหน้าเรียวผอมหันมาส่งยิ้มให้ “ดีจังนะ ซีเรียส” แก้มใสซับสีชมพูจางจากความเย็นทำให้รู้ว่าฝ่ายเจ้าบ้านลุกไปล้างหน้าแต่งตัวเสร็จเรียบร้อยเสียนานแล้ว

“อือ” เด็กชายผมดำพยักหน้า รอยยิ้มยินดีจากใบหน้าเล็กทำให้เผลอยิ้มตอบโดยไม่รู้ตัว

อีกฝ่ายผละจากหน้าต่างดึงเพื่อนใหม่ให้รีบจัดการตัวเอง “เอาล่ะ เปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนเถอะ จะได้ลงไปทานอาหารเช้ากัน พ่อฉันคงใกล้จะกลับมาแล้วล่ะ”

เด็กทั้งสองจัดการเก็บเตียงเสร็จเรียบร้อย ถึงจะเป็นครั้งแรกที่คุณหนูตระกูลแบล็กต้องจัดการเครื่องนอนด้วยตัวเอง แต่เขาก็ช่วยอีกฝ่ายเหน็บชายผ้าคลุมลงบนที่นอนอย่างกระตือรือร้น ยังไม่ทันที่จะลงมาชั้นล่าง ประตูบานหนาหนักก็เปิดออกเสียก่อน

“กลับมาแล้ว!”

เสียงทุ้มดังมาจากชายร่างสูงที่สวมเสื้อคลุมสีน้ำตาลอมเทา เขาแขวนหมวกไว้ที่ตะขอบนผนังห้องแล้วหันกลับมา พอดีกับที่เด็กชายตัวบางรีบไต่บันไดลงจากชั้นบนแล้ววิ่งเข้าไปหา

“พ่อฮะ!”


ผู้เป็นบิดาคลี่ยิ้มแล้วช้อนตัวลูกชายขึ้นมาอุ้ม ปล่อยให้แขนเล็กๆ โอบรอบคอตนเอง “ไงเจ้าตัวน้อยของพ่อ กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่?” เสียงถามพร้อมกับขยี้เรือนผมสีอ่อนอย่างร่าเริง แม้ว่าท่าทางจะไม่เหมือนกัน แต่ก็แสดงถึงความห่วงใยไม่ต่างจากที่มิสซิสลูปินทำเมื่อวานยามลูกชายกลับมาถึงบ้าน

“เมื่อเย็นวานฮะ” คนที่อยู่ในอ้อมกอดตอบ ปล่อยแขนออกจากคอของผู้เป็นพ่อ ก่อนจะหันไปยังผู้เป็นแขกที่มองนิ่งโดยไม่เข้ามาขัดจังหวะ “พ่อฮะ นี่...”

“พ่อรู้แล้วจ้ะ” มิสเตอร์ลูปินตัดบทพร้อมกับวางคนบอกข่าวลงกับพื้น “แม่เขาเล่าให้ฟังเมื่อกี้นี้แล้วล่ะ” ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนคล้ายกับของผู้เป็นลูกหันมาทางเด็กชายผมดำด้วยท่าทางเอ็นดูปนสงสาร “หนูชื่อซีเรียสสินะ...” ชายหนุ่มทรุดตัวลงให้สายตาเสมอกับส่วนสูงของแขกตัวเล็ก

“ไม่ต้องห่วง เดี๋ยวเราจะพาหนูไปถามข่าวพ่อแม่ พวกเขาคงกำลังตามหาหนูอยู่แน่ๆ”

ท่าทางห่วงใยอย่างจริงใจนั้นทำให้คนฟังคลี่ยิ้มฝืนๆ สำหรับเขาน่ะ แค่ป่านนี้พ่อแม่เขาจะรู้ตัวว่าลูกชายหายตัวไปก็ถือว่าดีมากโขแล้ว แต่เด็กชายไม่รู้จะบอกเจ้าของบ้านที่แสนดีนี้อย่างไรจึงได้แต่พยักหน้ารับ

“ครับ”



………………………………………………………



มิสเตอร์ลูปินพาเด็กชายเข้าหมู่บ้านทันทีที่เสร็จสิ้นอาหารเช้า ซีเรียสรู้สึกเกรงใจอยู่ไม่น้อยเพราะดูเหมือนเจ้าของบ้านจะยังไม่ได้พักผ่อนเลยสักนิด ทำงานกลับถึงแล้วก็ต้องออกไปอีกเพราะเรื่องของเขา แต่ความร่าเริงของคนที่เดินอยู่ข้างๆ ก็ช่วยให้ลืมความลำบากใจไปได้บ้าง

“ซีเรียส ตรงนั้นเป็นไร่ข้าวสาลีล่ะ แล้วโน่นก็ไร่ข้าวโอ๊ต”

มือเล็กชี้โน่นนี่ให้เขาดู ปากก็เล่าประกอบไปด้วยอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย “พอถึงฤดูใบไม้ผลิ เห็นพวกลุงๆ ในไร่บอกว่า เขาจะปลูกแตงกวากับมะเขือเทศด้วยนะ แล้วก็ลงหัวมันฝรั่งในนาแถบโน้น”

ท่าทางสนุกสนานของอีกฝ่ายทำให้ผู้ที่เพิ่งมาครั้งแรกพลอยเพลิดเพลินไปด้วย

“เหรอ...เราไม่เคยรู้เลยแฮะ ว่าพวกมักเกิ้...เอ๊ย คนแถบนี้เขาปลูกพืชกันยังไง”

เด็กชายผมดำพึมพำ จะว่าไปเขาแทบไม่รู้อะไรนอกโลกเวทมนต์เลยด้วยซ้ำ แน่ล่ะตระกูลแบล็คที่แสนสูงส่งย่อมไม่ยอมให้ลูกชายคนโตของตระกูลมาเสียเวลากับเรื่องของพวกมักเกิ้ลต่ำต้อย วันๆ เขาถึงได้ต้องเอาแต่เรียนเวทมนต์กับฝึกมารยาทสังคมบ้าบอนั่นไงล่ะ

“นี่ ซีเรียส” เสียงเล็กๆ ดึงความคิดที่ล่องลอยไปกลับมา คนถูกเรียกหันไปเลิกคิ้วอย่างฉงน แต่เจ้าของเสียงที่พูดแจ้วๆ อยู่เมื่อครู่กลับมีท่าทางลังเลเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยถาม “ซีเรียสอยากกลับบ้านเร็วๆ หรือเปล่า?”

คนตัวใหญ่กว่าแต่อายุเท่ากันเกาแก้มนิดๆ “ก็...อยากกลับอยู่เหมือนกันแหละ” เขาครุ่นคิดถึงอะไรบางอย่าง “...พอดีมีเรื่องต้องทำนิดหน่อยน่ะ” กลับไปจัดการแก้แค้นพวกยัยเบลลาจอมโหดไงล่ะ จุดประสงค์นี้ลืมไม่ได้เด็ดขาด

“เหรอ...” ใบหน้าเรียวหงอยลงเล็กน้อย แต่ก็รีบคลี่ยิ้มก่อนที่อีกฝ่ายจะทันรู้สึก “ไม่ต้องห่วงนะ เราคงได้ข่าวพ่อแม่นายแน่ๆ” พูดแล้วก็ชวนเขาคุยต่อพลางเดินตามมิสเตอร์ลูปินไปตามทางเกวียนเข้าหมู่บ้านอย่างร่าเริง


………………………………………………………


“อ้าว จอห์น”

ชายร่างอ้วนใหญ่คาดผ้ากันเปื้อนผืนโตเลิกคิ้วอย่างแปลกใจเมื่อทั้งสามเปิดประตูเดินเข้ามาภายในร้าน “เพิ่งกลับบ้านไปไม่ใช่เรอะ? ลืมของหรือไง?”

“เปล่าหรอก” มิสเตอร์ลูปินถอดหมวกออกก่อนจะคลี่ยิ้มให้ “พอดีมีเรื่องนิดหน่อยนะ อัลเฟร็ด...”

ดวงตาสีอ่อนหันไปมองเด็กชายที่เดินตามมาด้วย ทำให้เจ้าของร้านของชำชะโงกหน้าจากเคาน์เตอร์สูงมามองบ้าง “มีใครมาถามหาเด็กหายบ้างหรือเปล่า เจ้าหนูนี่หลงทางกับพ่อแม่น่ะ”

“หือ? ไม่มีนา...” ชายร่างหนาส่ายหน้า “ใกล้คริสมาสต์แบบนี้มีแต่คนเดินทางก็จริง แต่ส่วนใหญ่ก็ขึ้นรถไฟกลับบ้านกันหมดแล้วล่ะ หมู่บ้านเรามันเมืองผ่านเสียด้วย...” คนพูดก้มลงพิจารณาเด็กชายแปลกหน้าอีกครั้ง ดูจากหน้าตากับการแต่งตัว น่าจะเป็นลูกคนมีเงิน ไม่น่าจะพลัดหลงกับพ่อแม่ได้ง่ายๆ

“หนูมาจากไหนรึ?” เขาถามเจ้าตัวที่ยังยืนนิ่ง

คำถามที่ไม่ทันตั้งตัวทำให้ซีเรียสอึกอักขึ้นมานิดหนึ่ง “เอ่อ...” ไอ้ครั้นจะบอกว่า หล่นลงมาจากรถไฟเพราะญาติจอมหยิ่งใช้คาถากลั่นแกล้ง มันก็คงไม่น่าเชื่อแหงๆ ยังไม่ทันที่เด็กชายจะตอบก็มีคนเข้ามาช่วยบอกเสียก่อน

“ผมเจอเขาที่ชายป่าน่ะฮะ” เสียงเล็กของคนข้างๆ เอ่ยแทรกขึ้นมาพร้อมกับรอยยิ้มสดใส

“อ้าว! รีมัสน้อยนี่เอง!” เจ้าของร้านของชำคลี่ยิ้มกว้างให้คนพูด “ไม่เจอตั้งนาน โตขึ้นเยอะเลยนี่เรา”

เขาเอี้ยวตัวมาขยี้ผมสีอ่อนของลูกเพื่อนอย่างเอ็นดู “ยังไปเล่นแถวชายป่าอีกรึ ระวังหน่อยนะ หมู่นี้มีคนได้ยินเสียงหอนของหมาป่าดังมาจากแถวนั้นน่ะ” ประโยคหลังหันมาเตือนผู้เป็นเพื่อน

สีหน้าของคนฟังเจื่อนไปเล็กน้อย “เรื่องนั้นช่างก่อนเถอะ อัลเฟร็ด ถ้ายังไงช่วยบอกต่อๆ กันไปหน่อยนะ เผื่อว่าใครได้ข่าวคนกำลังตามหาเด็กก็บอกฉันด้วยแล้วกัน”

“ได้สิ” ใบหน้าอูมยิ้มอย่างใจดี “วันคริสมาสต์อย่าลืมมาที่โบสถ์กันด้วยล่ะ ถึงครอบครัวนายจะมาอยู่ใหม่ แต่หมู่บ้านเราก็ยินดีต้อนรับอยู่แล้ว” เสียงพูดจริงใจนั้นทำให้มิสเตอร์ลูปินคลี่ยิ้มตอบบางๆ

“อือ ขอบใจมาก”

แล้วทุกคนก็ออกจากร้านขายของชำเพื่อเดินไปถามข่าวที่อื่นๆ ต่อ ซีเรียสกับรีมัสได้ลูกกวาดจากเจ้าของร้านใจดีกันคนละกำเล็กๆ ทั้งคู่ต่างแกะกินเม็ดหนึ่งก่อนจะเก็บที่เหลือใส่ไว้ในกระเป๋าเสื้อคลุม คุณหนูจากตระกูลแบล็กเพิ่งรู้ว่ารสชาติลูกกวาดมักเกิ้ลก็อร่อยไม่แพ้ลูกอมครบทุกรสของพ่อมดเลยทีเดียว

เด็กชายผมดำมองดูรอบๆ บริเวณอย่างสนใจ เพราะปกติเขาไม่ค่อยได้เข้าไปในชุมชนของพวกมักเกิ้ลบ่อยนัก นอกจากเวลาที่จะไปสถานีคิงส์ครอสเพื่อขึ้นรถไฟไปที่ไหนสักแห่ง

หมู่บ้านชนบทแห่งนี้ตั้งอยู่บนเนินเขาเตี้ยๆ ที่โอบล้อมด้วยทุ่งหญ้าและทิวเขา มีบ้านเรือนอยู่ไม่มากนัก ส่วนใหญ่จะเป็นตึกก่ออิฐขนาด 1-2 ชั้น สร้างเกือบชิดติดกันเป็นแนวรอบลานหินรูปวงกลมที่มีรูปปั้นของใครสักคน ซึ่งดูเหมือนจะเป็นนักบุญ ตรงข้ามกับถนนทางเข้าหมู่บ้าน คือโบสถ์หลังเล็กเรียบง่าย สร้างจากอิฐสีแดงอมน้ำตาล มีไม้กางเขนประดับอยู่เหนือยอดหลังคา

คนในหมู่บ้านนี้ดูมีอัธยาศัยดี แทบทุกคนยิ้มหรือไม่ก็ส่งเสียงทักชายหนุ่มที่เดินนำหน้าเขาอย่างเป็นมิตร หลายคนที่เข้าไปถามไถ่ข่าวคราวก็ช่วยกันบอกต่อให้อย่างเป็นห่วง แต่แน่นอนว่าไม่มีข่าวใครตามหาเด็กหาย (ซีเรียสไม่รู้สึกแปลกใจเลยสักนิด) มิสเตอร์ลูปินหันมามองเด็กชายผมดำอย่างสงสารปนปลอบใจอยู่เป็นระยะ

“ไม่เป็นไรนะ ซีเรียส ตอนนี้อากาศไม่ดี พวกเขาอาจจะเดินทางลำบาก”คนพูดตบไหล่เล็กเบาๆ

ใบหน้าที่มีเค้าคมเพียงแต่คลี่ยิ้มนิดๆ เขาออกจะเกรงใจเจ้าบ้านที่ต้องเสียเวลามาช่วยเขาเสียมากกว่าจะใจเสียเรื่องพ่อแม่ สำหรับเขาน่ะ ดีเสียอีกที่ไม่ต้องใช้เวลาอยู่กับพวกญาติชวนสยองนั่นนานๆ

“ไม่เป็นไรหรอกครับ”


………………………………………………………


“ยังไม่ได้ข่าวเลยหรือจ๊ะ พ่อ”

หญิงสาวผมสีอ่อนเอ่ยถามด้วยสีหน้ากังวล ขณะที่วางชามถั่วอบซึ่งเป็นอาหารกลางวันลงตรงหน้าผู้เป็นสามี

“อือ สงสัยว่าจะเพราะหิมะตกหนักน่ะ ได้ข่าวว่าทางตะวันออกมีทางรถไฟขาดด้วย” มิสเตอร์ลูปินตอบพลางเหลือบมองเด็กชายที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม “หนูคงต้องพักกับเราไปก่อนสัก 2-3 วันนะ ซีเรียส”

“ซีเรียสจะอยู่กับเราตอนคริสมาสต์เหรอฮะ!?” เสียงใสเอ่ยแทรกขึ้นมาก่อนที่เจ้าของเรื่องจะทันตอบ ใบหน้าเล็กหันกลับไปมองเพื่อนใหม่ด้วยดวงตาเป็นประกาย “ดีจัง มาฉลองคริสมาสต์ด้วยกันนะ ซีเรียส”

“เอ่อ...เรา...” คนถูกถามตั้งท่าจะปฏิเสธด้วยความเกรงใจ แต่พอเห็นท่าทางกระตือรือร้นของร่างเล็กที่นั่งติดกันแล้ว ความคิดที่จะแยกตัวออกไปพักที่โรงแรมหรือที่ว่าการหมู่บ้านก็เป็นอันพับไม่เรียบร้อย

“พักอยู่ที่นี่เถอะนะ ซีเรียส เทศกาลแบบนี้จะให้หนูออกไปอยู่คนเดียวได้ยังไง พรุ่งนี้ก็คริสมาสต์อีฟแล้ว”

มารดาของรีมัสเอ่ยสำทับด้วยสีหน้าห่วงใยจนเด็กชายผมดำทำอะไรไม่ได้นอกจากพยักหน้ารับ

มิสเตอร์ลูปินมองดูท่าทางนั้นก่อนจะคลี่ยิ้มใจดี “งั้นเดี๋ยวพ่อเข้าเมืองไปซื้อลูกกวาดคริสมาสต์มาเพิ่มแล้วกันนะ ชอบรสเปปเปอร์มินท์ไหม ซีเรียส?” ประโยคสุดท้ายหันไปถามผู้เป็นแขกวันคริสมาสต์คนแรกของครอบครัว

“ครับ” ใบหน้าที่มีเค้าคมยิ้มตอบ อดแปลกใจตัวเองขึ้นมานิดหน่อยไม่ได้ ทำไมเขาที่แสนจะดื้อดึงกับพวกผู้ใหญ่และบรรดาญาติสนิทถึงได้กลายเป็นเด็กดียามอยู่กับครอบครัวเล็กๆ ครอบครัวนี้ได้นะ

อาจจะเพราะ...ความอบอุ่นที่ไม่เคยได้สัมผัสนั้นค่อยๆ หลั่งไหลเข้ามาในหัวใจทีละเล็กทีละน้อยละมัง


………………………………………………………


“เฮ้! ใจเย็น! แกนี่คึกได้ตลอดเวลาเลยนะ”

เด็กชายผมดำร้องห้ามสุนัขตัวใหญ่ที่โผเข้ามาหาเขาทันทีที่เปิดประตูคอกม้าเข้ามา ใบหน้าคมหัวเราะพลางหันหนีลิ้นเปียกๆ ที่พยายามจะเลียหน้าเลียตาเขา ซิเรียสโอบรอบคอเจ้าหมาตัวใหญ่ ซุกหน้าลงกับขนฟูกระด้างของมันอย่างไม่นึกรังเกียจ “โห เหม็นนะเนี่ย ฮ่าฮ่า”

ประตูถูกเปิดขึ้นอีกครั้ง คราวนี้เจ้าขนฟูในอ้อมแขนซิเรียสผงะถอยออกห่างทันควันจนคุณชายตระกูลแบล็กงุนงง “เฮ้ย แกเป็นอะไรไปนะ?” พอหันกลับไปดู ก็เห็นร่างผอมบางถือชามไม้ใบย่อมยืนรออยู่โดยไม่เข้ามาใกล้ คงเพราะเสียงขู่ของสุนัขสีดำข้างกายเขานั่นเอง

ซิเรียสตบแผงคอที่ตั้งชันนั้นเบาๆ พร้อมกับเอ่ยปลอบ “เจ้าหมา เขาเอาอาหารมาให้แกนะ ไม่ต้องขู่หรอก”

เด็กชายขมวดคิ้วนิดๆ จะว่าเจ้าหนูนี่มันกลัวคนแปลกหน้าก็ไม่น่าใช่ ออกจะขี้อ้อน ชอบเข้ามานัวเนียเขาแบบนี้ แถมเมื่อเช้าตอนที่หญิงสาวเจ้าของบ้านเอาอาหารมาให้ ก็กระดิกหางรับเป็นอย่างดี จะมีก็แต่เพื่อนใหม่ของเขาเท่านั้นละมัง ที่มันยังตั้งท่ากลัวไม่เลิก

พอเจ้าของจำเป็นเอ่ยปลอบ บวกกับกลิ่นอาหารที่ลอยมาเข้าจมูก สุนัขสีดำก็ยอมสงบลงโดยดี

รีมัสยืนชามไม้ใส่เศษเนื้อกับขนมปังซึ่งเป็นของเหลือจากอาหารเย็นให้คนที่อยู่ก่อน แล้วจึงถอยออกมาทรุดนั่งดูกอดเข่าอยู่ห่างๆ ใบหน้าเรียวขาวไม่แสดงอาการตื่นกลัวเช่นคราวแรกที่ถูกขู่ เพียงแต่ถ้าสังเกตสักนิดก็จะเห็นว่า ดวงตาสีอ่อนนั้นหม่นลงเล็กน้อย

นิ่งเงียบกันไปชั่วอึดใจ เสียงใสก็ถามขึ้นเบาๆ “ซิเรียส...ตอนอยู่ที่บ้าน นายมีเพื่อนเยอะไหม?”

พอเห็นเด็กชายผมดำละสายตาจากสัตว์เลี้ยงขึ้นมามองเป็นเชิงสงสัย คนถามจึงรีบออกตัว “เอ่อ...ไม่มีอะไรหรอก ฉันเห็นนายเข้ากับเจ้าหมานี่ดีจังเลย”

พอได้ยินคำอธิบายแบบนั้นเข้า คุณชายจอมดื้อก็หัวเราะแก้เก้อ “สงสัยเพราะเป็นพวกถูกทิ้งเหมือนกันมั้ง อ๊ะ...ล้อเล่นนะ” เขารีบกลบเกลื่อนแล้วตอบคำถาม “อืม...ที่บ้าน เราไม่ค่อยมีเพื่อนหรอก จะว่าไงดีล่ะ...”

ที่จริงคนที่อยากจะเป็น ‘เพื่อน’ หรือพวกที่พ่อแม่เขาอยากให้สนิทด้วยน่ะ มีเยอะแยะเลยล่ะ แต่ก็เหลือทนกันทั้งนั้น มีแต่พวกสายเลือดบริสุทธิ์จอมหยิ่งที่วันๆ เอาแต่หาเรื่องมาข่มกัน

“มีแต่พวกน่าเบื่อน่ะ” เขาสรุป

“เหรอ...” คนตัวเล็กพยักหน้ารับรู้ก่อนจะพึมพำเบาๆ “ที่บ้านเก่า...ที่พวกฉันเคยอยู่น่ะ ฉันมีเพื่อนเยอะแยะเลยล่ะ พวกที่โรงเรียน แล้วก็แถวๆ บ้าน เราชอบออกไปเล่นในทุ่งข้าวสาลีกัน บางทีก็ไปจับปลาในลำธารมาให้พวกแม่ทำอาหารให้”

ดวงตาสีอ่อนเหม่อมองแสงตะเกียงที่วางอยู่บนพื้นเหมือนกำลังระลึกถึงช่วงเวลานั้น คนที่ฟังอยู่จึงเอ่ยถามขึ้นมาบ้าง “แล้วทำไมพวกนายถึงย้ายบ้านมาเสียล่ะ?”

คราวนี้ใบหน้านวลคลี่ยิ้มเศร้า “พอดี มีเรื่องจำเป็นนิดหน่อย...ฉันอยู่ที่ไหนนานนักไม่ได้...” มือเรียวเล็กลูบแขนตัวเองเพื่อไล่ความหนาวที่ลอดผ่านร่องไม้ของคอกม้าเข้ามา “หลังจากตอนนั้น ฉันก็ไม่ได้ไปโรงเรียนอีกเลย...”

คำตอบที่ได้รับทำให้เด็กชายผมดำหน้าเจื่อนไป สงสัยว่าตนเองจะไปจี้ใจอีกฝ่ายเข้าโดยไม่รู้ตัว ซิเรียสลูบต้นคอตัวเองอย่างลำบากใจก่อนจะเอ่ยปาก “เอ้อ...เราขอโทษนะ”

อีกฝ่ายส่ายหน้าเป็นเชิงว่าไม่เป็นไร แต่กระนั้นก็ยังมีแววหมองเห็นชัด

“เอ่อ..” ระหว่างที่ซิเรียสพยายามจะหาเรื่องคุยแก้สถานการณ์อึดอัด เจ้าหมาตัวโตซึ่งจัดการอาหารเย็นเรียบร้อยแล้วก็เข้ามาซุกหน้าลงกับตัวเขาอีกทั้งที่ปากยังเลอะคราบนม คราวนี้เด็กชายผมดำร้องลั่น

“หวา...แกนี่...!”


ดูท่าจะสายไปเสียแล้ว คราบสีขาวเปื้อนเสื้อเขาไปทั้งแถบ แต่เจ้าตัวดีก็ยังไม่ยอมหยุด ยิ่งหลบมันก็ยิ่งพยายามโถมตัวเข้าหา คงเข้าใจว่าท่าทางปัดป้องของเขาเป็นการชวนเล่นไปเสียแล้ว “เฮ้ย พอๆ”

“อุ๊บ หึหึหึ”

เสียงใสดังขึ้นจากใครอีกคน ซิเรียสรีบหันกลับไปมอง ใบหน้าเล็กที่เมื่อกี้ยังหม่นหมองตอนนี้กำลังพยายามกลั้นหัวเราะจนตัวสั่นกึกๆ “นี่! ไม่ต้องขำเลยนะ มาช่วยกันหน่อยสิ” เขาแยกเขี้ยวใส่พลางดันหน้าที่เต็มไปด้วยขนออกไปจากตัว พอเห็นสีหน้าที่สดใสขึ้นนั้นแล้ว ซีเรียสก็เหมือนจะนึกอะไรขึ้นมาได้

เด็กชายกอดเจ้าหมาไว้ในวงแขน ก่อนจะลองเสนอ

“ลองจับดูไหม?”

รีมัสชะงักไปเล็กน้อย มองดูสุนัขใหญ่ในอ้อมแขนของเพื่อนใหม่อย่างชั่งใจ จนคนชวนต้องรีบสำทับ “มันกินอิ่มแล้ว คงไม่กลัวนายแล้วล่ะ”

นั่นแหละร่างผอมจึงค่อยๆ เขยิบตัวเข้ามาหาช้าๆ มือเรียวยื่นออกมาข้างหน้านั้นเหมือนจะสั่นเล็กน้อย ส่วนซิเรียสเองก็รู้สึกว่าเจ้าหมาข้างๆ เขาเกร็งตัวขึ้นมานิดหนึ่ง เขาจึงช่วยลูบศีรษะให้เบาๆ พอให้มันสงบลงได้

นิ้วขาวแตะลงบนขนสีดำหยาบกระด้าง แล้วค่อยๆ ลูบศีรษะฟูพองเบาๆ เด็กชายผมสีอ่อนกลืนน้ำลายแล้วเหลือบมองคนตัวสูงกว่า ซิเรียสจึงคลายอ้อมแขนปล่อยให้สุนัขสีดำเป็นอิสระ มันกระพริบตาปริบอยู่ 2-3 ที แล้วก็กระดิกหาง ค่อยๆ เงยหน้าขึ้นเลียมือที่ลูบหัวตัวเองอยู่

“มันไม่กลัวนายแล้วจริงๆ ด้วย!”

เด็กชายผมดำอุทานอย่างยินดี ขณะที่ใบหน้าเล็กก็คลี่ยิ้มราวกับไม่เชื่อสายตาตนเอง ฝ่ายเจ้าหมาพอเห็นเจ้านายทำท่าดีใจก็พลอยคึกคักไปด้วย ใบหน้าที่เต็มไปด้วยขนเลยซุกกับอกของร่างแบบบางเข้าบ้าง

“หวา...ปากแกยังเปรอะอยู่นี่นา!” เสียงใสอุทานเมื่อเห็นคราบสีขาวบนเสื้อของตนเอง

หน้าเหวอของเขาเรียกเสียงหัวเราะจากคนที่โดนไปก่อน “ฮ่าฮ่าฮ่า คราวนี้นายเปรอะเหมือนเราเลย”

ซิเรียสพูดแล้วก็โถมเข้ากอดสัตว์เลี้ยงของตัวเป็นการให้รางวัล คราวนี้มันเลยยิ่งได้ใจ โถมเข้าไปหาร่างเล็กพร้อมกับเลียแผล่บลงบนแก้มใส

“ดีมาก เจ้าหมา!”

“ซิเรียส อย่าชมสิ มันเลียหน้าฉันเปียกหมดแล้ว!”

เสียงหัวเราะดังลั่นไปทั้งคอกม้าเล็กๆ ที่อบอุ่นนั้น ขณะที่เบื้องนอก หิมะสีขาวบางเบาเริ่มโปรยปรายลงจากท้องฟ้า ราวกับจะเตรียมต้อนรับเทศกาลคริสมาสต์ที่กำลังจะมาเยือนอีกครั้ง

TBC


............................................................



Talks

“เรื่อยๆ มาเรียงๆ นกบินเฉียงไปทั้งหมู่”

ตอนนี้ก็ยังราบเรียบ ที่จริงตั้งใจไว้ว่าอยากได้ความอบอุ่นแบบคริสมาสต์นั่นแหละ (เอามาลงตอนนี้จะร้อนไปหรือเปล่าก็ไม่รู้) ฉากโบสถ์กับลานจตุรัสกลางจิ้นมาจากหนังเรื่อง Chocola ค่ะ ชอบบรรยากาศชนบทแบบหมู่บ้านนี้เหมือนกันนะ นึกถึงเรื่องไฮดี้ด้วย นอนในที่นอนกองฟางกับกินขนมปังดำ อา...อยากไปเที่ยวจัง

เดือน พ.ค. ที่ผ่านมาร้านน้ำชาหยุดพักร้อน เนื่องจากเพิ่งลุยแต่งตอนพิเศษของ Sweet Home ไปซะ 3 ตอน โอคุงก็จบ UML แล้วด้วย กำลังเตรียมเรื่องใหม่ที่ใช้ข้อมูลค่อนข้างเยอะ แถมยังมีภาระแสงแดดอยู่ที่บล็อคอีก 1 เรื่อง อคาชาถึงกับบอกว่า “นี่มันไม่ได้หยุดนะเฟ้ย ลงฟิกทุกอาทิตย์เลย” (แต่อันนั้นไม่นับสินะ- - ฮา)

ตอนหน้ายังไม่รู้ว่าเมื่อไหร่นะครับผม (ที่จริงแอบอยากให้มันจบตอนคริสสะมาดนะเนี่ย จะมีใครว่าอะไรไหมหนอ?) หวังว่าจะพอเป็นกระสายให้แฟนๆ ซิริลู (และสหายโชตะทั้งหลาย) ได้ชุ่มชื่นหัวใจเน้อ



Create Date : 12 มิถุนายน 2550
Last Update : 12 มิถุนายน 2550 12:02:15 น.
Counter : 511 Pageviews.

0 comments
ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
 *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

นะโอ
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 4 คน [?]