Specail 4 [The Time Before Ever]
Note: ตอนนี้ได้แรงบันดาลใจจากหนังเรื่อง Turn Left, Turn Right มาเต็มๆ แบบว่าเศร้าปนเหงาหน่อยๆ (และยาวมาก) แต่คนเขียนก็ชอบมากเช่นกันนะ
###########################

Ever After special IV: The Time before Ever

“แฮร์รี่ นายเชื่อเรื่องพรหมลิขิตรึเปล่า”

ผมเงยหน้าขึ้นจากรอยของเพรูเวียน ไวเปอร์ทูทหรือเปรูเขี้ยวพิษที่เราสองคนกำลังตามรอยอยู่ “ท่าทางวันนี้ฝนจะตกนะเนี่ย นายแถมอะไรแบบนี้”

ใบหน้าตกกระของเพื่อนสนิทผมบึ้งเล็กน้อย “อะไรวะ ทำไมฉันจะถามไมได้”

“เฮอร์ไมโอนี่พาไปดูหนังรักหวานซึ้งมาหรือไง” ผมถามพลางก้มลงใช้ไม้กายสิทธิ์ชี้ไปที่รอยเท้ามังกรเพื่อให้หยดเลือดสีเข้มของมันเปล่งแสงสีเขียวที่ง่ายต่อการติดตาม....และเพื่อซ่อนแววตาที่อาจจะหม่นลงของตัวเองจากสายตาเขา

“เหอ อย่าพูดเลย ยัยนั่นน่ะ....ยุ่งทั้งปีทั้งชาติ ชวนเดทก็ไม่ยอมไป” รอนเบะปากแล้วเดินหมุนไม้กายสิทธิ์เข้ามาใกล้ “ได้ร่องรอยมั่งรึยัง” เขาถามเป็นงานเป็นการขึ้น

“เออ ได้ละ ไปทางตะวันตก” รอยหยดเลือดเปล่งแสงบอกแบบนั้น

“โอเค เสร็จงานนี้แล้วไปหาอะไรดื่มกันดีกว่า” ชายหนุ่มร่างสูงโย่งตรงหน้าผมทำท่ากระตือรือร้นจนผมอดยิ้มออกมาไม่ได้ “ยังไม่ทันจับได้เลยนะเว้ย ใจร้อนจริง กลัวเบียร์ที่ร้านต้นโอ๊กเฒ่ามันจะชืดหมดหรือไง”

“อาฮ่า นายรู้ด้วยเหรอว่าฉันติดใจเบียร์ที่นั่น โอ แฮร์รี่ผู้แสนรู้ใจไม่เคยเปลี่ยน”

“พูดมากน่า” ผมต้องอุบอิบพยายามบังคับไม่ให้ตัวเองยิ้ม “ไปไป ไปทำงานก่อน”ลุกขึ้นแล้วเดินนำเขาไป ลืมเสียสนิทว่าเขาถามอะไรผมไว้ก่อนหน้านี้

....................................................................

“เดรโกจ๊ะ เธอเชื่อเรื่องพรหมลิขิตไหม”

ผมหันไปมองร่างท้วมที่กำลังนั่งอาบแดดอุ่นอยู่บนเก้าอี้ผ้าใบ ท้องของเธอนูนกลมโต ใบหน้าอิ่มเอิบนั้นยิ้มให้ผมซึ่งกำลังจิบชาอยู่ข้างๆ

“ว่าที่คุณแม่เกิดอยากโรแมนติกขึ้นมาหรือไง” ผมถามกลับยิ้ม ๆ “ต้องไปถามคุณพ่อตัวจริงสิถึงจะถูก” ถึงจะเคยเบื่อหล่อนเหลือแสน แต่เมื่อเธอกลับกลายมาเป็นภรรยาของลูกน้องคนสำคัญ เราก็กลายเป็นเพื่อนสนิทกันจริงๆ

แพนซี่ย่นหน้า “วินเซนต์น่ะ ออกไปทำงานกับกอยย์อีกแล้ว” มือลูบท้องกลมของตัวเอง “ไม่รู้จะกลับมาทันเจ้าหนูนี่เกิดรึเปล่า”

“ทันสิน่า เดี๋ยวฉันเร่งให้เอง” ผมเอื้อมมือไปหยิบแอปเปิ้ลบนโต๊ะมากัด

“เดี๋ยวพ่อเธอก็สงสัยหรอก”

ผมถอนใจนิดหนึ่งก่อนจะพูด “ไม่หรอก พ่อเอาแต่อยู่ในห้องทั้งวันจะรู้ได้ยังไง” จริงสิ พ่อของผมตอนนี้ดู สงบพิกล ไม่หงุดหงิดง่ายเหมือนก่อน จะเพราะร่างกายที่อ่อนแอลง หรือเพราะเขากำลังสงสัยเรื่องที่เราปิดบังอยู่ ผมก็ไม่รู้

“งั้นเขาบ้านไปหาท่านกันหน่อยเถอะ” แพนซี่ลุกขึ้นยืน “ทำไมคุณแม่เธอไม่มาเที่ยวด้วยล่ะคราวนี้”

“แม่ไม่ชอบเวลล์น่ะ เห็นบอกว่าอยากอยู่คุมพวกเอลฟ์ตกแต่งบ้านรับขวัญหลานด้วย”

ดวงตาสีน้ำตาลตรงหน้าผมสลดลง “เราหลอกท่าน....ทำบาปจริง ๆ นะเดรโก”

ผมพยักหน้า “ขอโทษด้วยเหมือนกันที่ฉันทำให้เธอลำบากใจ”

“ไม่เป็นไรหรอกจ๊ะ เอาล่ะ เราเข้าไปหา ‘คุณพ่อ’ กันเถอะ” ผมประคองเธอเดินเข้าไปในบ้านที่มืดและเย็นอีกครั้ง แสงแดดจากภายนอกไม่ทำให้เรารู้สึกอุ่นอีกต่อไป

....................................................................

“แฮร์รี่ เอ้า อีกแก้วนึง!!!!!” เสียงรอนเริ่มจะคึกคักเกินเหตุแล้ว หน้าตาเขาแดงก่ำเพราะฤทธิ์เบียร์ที่กินเข้าไปหลายเหยือก

“พอแล้วน่า เดี๋ยวไม่มีคนแบกนายกลับนะเว้ย” ผมบอกแล้วเลื่อนแก้มเบียร์ค่อนแก้วของตัวเองหลบ

“โอเค โอเค เพื่อนร๊ากกกกกก” รอนว่าแล้วรินเบียร์ให้ตัวเองแทน

เจ้าหมอนี่เสร็จงานทีไรต้องหาร้านเหล้าท้องถิ่นกินฉลองทุกทีจนผมเคยชินเสียแล้ว แต่ร้านต้นโอ๊คเฒ่าที่เวลล์นี่บรรยากาศคึกคักน่านั่งจริง ๆ คนเต็มแน่นแม้ว่าจะเป็นวันธรรมดา อาจจะเพราะมันเป็นช่วงหยุดยาวของพ่อมดแม่มดหลาย ๆ คนก็ได้

“แฮร์...แฮร์รี่...กระจกมันสั่น” แขนยาว ๆ ของรอนยื่นกระจกสื่อสารในมือของเขาให้ผม “เฮอร์ไมโอนี่เรียกมาเช็คแน่ๆ นายรับให้หน่อยสิแล้วบอกว่าฉันไปห้องน้ำ อย่าบอกเขาว่าฉันเมานา” เขาพูดแล้วหันกลับไปซัดเบียร์ต่อ

“เจ้าบ้า ถ้าเปิดกระจกตอนนี้เขารู้แน่ นายน่ะอยู่ร้านเหล้าทีไรก็.....” แต่คนข้างๆ ไม่ฟังเสียแล้ว โอเคๆ ก็ได้ ผมต้องลุกจากเคาต์เตอร์เบียดผู้คนออกไปเปิดกระจกหน้าร้าน ตอนที่เดินออกไปเกือบถึงประตูกระจกก็สั่นมากขึ้น “รู้แล้วน่าเฮอร์ไมโอนี่ อ๊ะ!” ด้วยความเร่งรีบ ผมชนเข้ากับคนที่เพิ่งเดินเข้ามา

“ขอโทษครับ” ผมว่าแต่ไม่เห็นหน้าเขา

“ไม่เป็นไร” ร่างสูงนั้นเบียดผู้คนเข้าไปในร้าน ทำไมผมถึงคุ้นตากับเส้นผมสีทองแบบนั้นนักก็ไม่รู้ กระจกสั่นมากขึ้นอีกแล้ว ผมรีบหันกลับเดินออกไปนอกร้าน

“โอเคๆ เฮอร์ไมโอนี่ รับแล้ว รอนเหรอ อ๋อ ไปห้องน้ำน่ะ มากินข้าวกัน...”

....................................................................

“นายมาช้าจัง มัลฟอย”

ร่างใหญ่หนาทักเบา ๆ เมื่อผมทรุดนั่งลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามเขา “โทษที พ่อเรียกไปถามเรื่องงานอีกแล้ว” ผมตอบ

“ไม่เป็นไร” ยังไงแครบก็ยังเกรงใจผมไม่เปลี่ยน “แพนซี่สบายดีไหม”

“บ่นถึงนายทุกวันนั่นแหละ” ผมรินเบียร์ลงแก้วตัวเอง “งานเรียบร้อยรึเปล่า”

“อือ” แครบพยักหน้า “แต่...ท่าทางงานนี้ท่าทางมันยังไงอยู่ก็ไม่รู้สิ”

ผมกัดริมฝีปาก “นั่นสิ ฉันว่าจะรอเก็บรายละเอียดให้ชัดก่อนจะรายงานศาสตราจารย์สเนป”

ดวงตาของผู้เป็นลูกน้องของผมส่อความกังวลฉายชัด “ทั้งนายทั้งศาสตราจารย์เสี่ยงมากรู้ไหมเดรโก ถ้าพ่อนายรู้.....”

“อย่าพูดถึงมันเลยแครบ” ผมว่าพลางรินเบียร์ให้เขา พยายามเปลี่ยนเรื่อง “นี่ นายคิดตั้งชื่อลูกหรือยัง”

แครบยิ้มออกทันที “คิดแล้ว ถ้าเป็นผู้หญิงจะให้ชื่อพินซ์ ถ้าเป็นผู้ชายก็....”

ผมไม่ทันได้ฟังช่วงท้าย ๆ ประโยคเพราะสายตาดันไปปะทะกับไอ้คนที่เพิ่งเดินเข้ามา หัวยุ่ง ๆ แบบนั้นคนที่ชนเราเมื่อกี้นี่หว่า ท่าทางมันคุ้นตาพิกล แต่ช่างเหอะ กินเบียร์ต่อดีกว่า

....................................................................

“แฮร์รี่ นายจะกลับบ้านเลยหรือเปล่า”

รอนถามเมื่อเราสองคนลงรถไฟที่สถานีเรียบร้อยแล้ว

“อือ ว่าจะแวะไปที่ทำงานก่อน รีเบคคาบอกว่าฝากเอกสารไว้ให้” ผมพูดถึงเลขากองที่สนิทสนมกับเราสองคนดี

“ฉันว่ารีเบคคากะจีบนายแหงเลยว่ะ ชอบเรียกนายไปคนเดียวอยู่เรื่อย” รอนเย้า

ผมส่ายหน้า “อย่ามายุซะให้ยาก รีเบคคาแก่กว่าเราตั้งหลายปีนะเว้ย เค้าไม่มาสนใจพวกเจ้าหน้าที่เพิ่งทำงานปีแรกแบบฉันหรอก”

“อย่าถล่มตัวน่า คุณว่าที่ซีกเกอร์ทีมชาติ” ใบหน้าตกกระยังทะเล้นไม่เลิก

“ไปเลยไป จะไปหาเฮอร์ไมโอนี่ไม่ใช่เหรอ เมื่อคืนฉันต้องโกหกหาทางรอดให้นายแทบตาย แต่ดูท่าเขาจะไม่ค่อยเชื่อแฮะ” ผมหยอกกลับบ้าง แม้จะรู้สึกแปลบในใจ “เตรียมตัวโดนสอบสวนได้เลย คุณวีสลีย์”

“หวา ทำไมนายไม่บอกก่อนวะ” รอนหน้าเสียไปทันที รีบคว้ากระเป๋าเดินทางของตัวเอง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาบอกผม “เออ แฮร์รี่ นายว่าคนเราหมั้นกันนาน ๆ นี่ดีไหม”

“ก็แล้วแต่คู่นะ นายถามทำไมเหรอ”

ร่างสูงยักไหล่ “ไม่มีอะไรมาก ฉันกะว่าจะขอเฮอร์ไมโอนี่หมั้นไว้ก่อน ฉันต้องออกไปทำงานข้างนอกบ่อย ๆ กลัวไอ้หนุ่ม ๆ ที่ทำงานจะแอบมาจีบเขาน่ะสิ”

“ก็....ก็แล้วแต่นาย” ผมอึกอักเพราะคาดไม่ถึง

รอนยิ้มโดยไม่ทันสังเกตสีหน้าของผม “ถึงเวลาแต่งงาน นายต้องเป็นเพื่อนเจ้าบ่าวให้ฉันนะเว้ย ห้ามปฏิเสธ”

“อือ ฉันไปกระทรวงก่อนนะ” ผมหันกลับแล้วเดินแยกออกมา ปิดบังสีหน้าที่กำลังเจ็บปวดจากสายตาของเพื่อนสนิทที่สุดในชีวิต

....................................................................

“เข้ามาสิเดรโก”

เสียงเย็น ๆ อันแสนคุ้นเคยเรียกจากหลังประตูบานใหญ่ ผมเปิดประตูเข้าไปแล้วเพ่งมองมุมห้องที่มืดทึบ พ่อไม่เคยชอบเปิดหน้าต่างหรือเปิดไฟมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ยิ่งอาการป่วยทรุดลงเขาก็ยิ่งเก็บตัวมากขึ้น

“พ่อมีอะไรจะใช้ผมหรือครับ” ผมถาม เพราะพ่อไม่ได้เรียกผมเข้ามาหาเป็นส่วนตัวมาช่วงหนึ่งแล้ว ตั้งแต่พ่ออนุญาตผมออกมาจากแผนของกลุ่มทายาทผู้เสพความตาย ด้วยเหตุผลที่ว่าผมจะได้มีเวลาดูแล ‘ภรรยา’ ในช่วงเวลาใกล้คลอด

“นั่งก่อนสิ” ผู้เป็นบิดาของผมเอ่ยเสียงเย็น ๆ เนิบ ๆ

ทำไมผมถึงรู้สึกกังวลขึ้นมาโดยไม่รู้สาเหตุ อาจจะเพราะตอนนี้แครบสืบเกือบจะรู้แล้วว่าแผนการที่พ่อวานให้พวกสมาชิกในกลุ่มคืออะไร

“เดรโก แพนซี่เป็นไงบ้าง คลอดแล้วใช่ไหม”

“ครับ” ผมพยักหน้า แม้จะรู้สึกผิด “เมื่อวานนี้เอง ก่อนกำหนดแต่เด็กก็แข็งแรงดี เป็นเด็กผู้หญิงครับ”

“เด็กผู้หญิงงั้นเหรอ.....หึ เอาเถอะ ก็ยังดี อย่างน้อยสายเลือดมัลฟอยก็มีคนสืบต่อแล้ว”เสียงของพ่อกลายเป็นเย็นเยียบจนน่าขนลุก “คนทรยศอย่างแกก็ไม่จำเป็นอีกต่อไป”

เงาวูบไหวปรากฏขึ้นด้านหลังผม “อ๊ะ” มีคนอยู่ในห้องนี้นอกจากพวกเรา แต่ก่อนที่ผมจะไหวตัวทัน ก็ถูกกระชากยึดไว้ด้วยมือแข็งแกร่งปานเหล็ก ใบหน้าเหี้ยมเกรียมที่ก้มลงมองกับร่างสูงหนาด้านหลังอีกสองคน นี่พวกมันคนสนิทของพ่อ.....

บิดาของผมยังคงนั่งสงบอยู่บนเก้าอี้นวม ใบหน้าเย็นชานั้นบอกความหมายชัดเจนว่าไม่เห็นผมเป็นลูกอีกต่อไป “แกทรยศฉันได้นะ เดรโก โทษของแกคือตายเท่านั้น รวมไปถึง......” น้ำเสียงของเขาทำให้ผมเย็นเยือกจับใจ

“นังเมียที่ซื่อสัตย์ของแกด้วย เหลือเด็กไว้ก็พอ”

“อย่านะครับพ่อ อย่าทำอะไรแพนซี่ เธอไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้” อย่าทำให้พวกเธอกับแครบต้องเสียสละให้ฉันเลย ได้โปรด

“มันเป็นเมียแก ช่วยปิดบังฉันทำไมจะไม่เกี่ยว” พ่อผมไม่ยอมฟังเหตุผลแล้ว มือกร้านของบรรดาลูกสมุนยึดผมไว้แน่น

“ไม่ครับพ่อ” ผมหลุดปากออกไปในที่สุด อย่าน้อยขอให้กันพวกเขาออกไปได้ก็พอ “แพนซี่ไม่ได้เป็นภรรยาของผม เด็กคนนั้นก็ไม่ใช่ลูกผม อย่าทำอะไรพวกเธอเลยนะครับ ได้โปรด”

ต้องหาทางถ่วงเวลา ให้แครบพาแพนซี่กับลูกหนี “เธอไม่เกี่ยวข้อง พ่อฆ่าผมคนเดียวก็พอ”

“ไม่ใช่ลูกแก” ใบหน้าของพ่อผมตะลึงงัน ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นความโกรธอาฆาต “แก บังอาจหลอกฉัน ไอ้ทรยศ ไอ้ลูกอกตัญญู” ปลายไม้กายสิทธิ์ชี้ตรงมาที่ผม “จับมันมาทางนี้!” เขาพูดเสียงเหี้ยมปนหอบ

ผมยืนนิ่งปล่อยให้พวกลูกสมุนลากไปโดยดี เมื่ออยู่ต่อหน้าพ่อบังเกิดเกล้าที่กำลังจะลงมือฆ่า ใจของผมก็ยังสงบ ให้มันจบแบบนี้ก็ดีแล้ว “ฆ่าผมได้เลยครับ” ผมประสานสายตากับดวงตาจงเกลียดจงชังที่มองจ้องมา

แววตานั้นส่อแววปวดร้าวขึ้นวูบหนึ่งก่อนจะแปรเปลี่ยนกลับเป็นความเคียดแค้นสุดแสน รอยยิ้มเยาะบนใบหน้าที่บึ้งโกรธก่อนที่พ่อจะพูดด้วยเสียงเหี้ยม “แกอย่าหวังว่าแกจะได้ตายดี เดรโก ฉันมีวิธีทรมานแกมากกว่านั้น”

ปลายไม้กายสิทธิ์ยกขึ้น เสียงพ่อว่าคาถาเบา ๆ ลำแสงสีเขียวจะพุ่งตรงมาที่ผม ความเจ็บปวดที่ปะทะร่างนั้นสุดจะประมาณได้

“อ๊ากกกกกกกกกกกกกกก”

ผมได้ยินเสียงร้องโหยหวนของตัวเองก่อนที่จะทรุดลงไปนอนดิ้นทุรนทุรายอยู่บนพื้นโดยมีลำแสงสีเขียวเรื่อตามไปไม่ลดละ “อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกก” ร่างกายของผมเริ่มเย็นเยือกลงเรื่อย ๆ ราวกับกล้ามเนื้อ กระดูกและอวัยวะทุกส่วนกำลังหดเกร็ง เสียงว่าคาถาของพ่อยังดังก้อง “อ๊ากกกกกกกกกกกก”

และแล้วความทรมานก็สิ้นสุดเมื่อร่างของพ่อผงะทรุดแล้วกลิ้งตกลงมาจากเก้าอี้

“นายท่าน” เสียงบรรดาบริวารวิ่งเข้าไปหาร่างของพ่อ พวกเขาล้อมวงพยายามใช้คาถาช่วยปลุกเขาขึ้นมาโดยไม่สนใจร่างบอบช้ำของผมที่นอนอยู่ห่างออกไปอีก

“เดรโก” ประตูเปิดออกพร้อมกับร่างของแครบวิ่งเข้ามา หน้าเขาซีดเผือด และผงะเมื่อเห็นว่าเกิดอะไรขึ้น “บ้าชิบ มาช้าไปหรือนี่”

“แครบ ช่วย....” ผมพยายามพูดแต่เสียงไม่ออกจากปาก “ช่วย....แพนซี่กับ...ลูก....เร็ว”

“ตอนนี้ฉันต้องช่วยนายก่อนเดรโก” แครบว่าแล้วดึงผมขึ้นมา รีบลากผมออกไปจากห้องนั้น

“ตายแล้ว! เดรโก!” แพนซี่ซึ่งยังอยู่ในชุดนอนสีขาววิ่งเข้ามาและเอามือปิดปากทันทีที่เห็นสภาพผม แครบรีบปิดประตูห้อง “เราต้องรีบออกไปจากนี่ ไม้กวาดนายอยู่ไหนเดรโก”

“ใน...ในตู้” ผมพูด เมื่อได้พักสักครู่ดูเหมือนความเจ็บปวดจะค่อย ๆ จางไป

“มีกี่อัน” เสียงถามร้อนรน

“อันเดียว” ผมตอบ “ของส่วนตัวของฉัน”

เสียงเอะอะดังมาจากชั้นล่าง แครบสบตากับแพนซี่ ดูเหมือนอีกฝ่ายจะเข้าใจ เธอวิ่งไปที่เตียงเด็กแล้วห่อร่างเล็กๆ ด้วยผ้าห่มสีขาวอย่างรวดเร็ว

“นายรีบพาแพนซี่กับลูกหนีไปเถอะ” ผมบอก

แครบหันกลับมาพร้อมไม้กวาด “ไม่ คนที่จะไปคือนายต่างหาก”

“แครบ นายจะบ้าเรอะ” ผมผุดลุกขึ้นทันที

“ไม้กวาดนี่รับน้ำหนักได้แค่คนเดียว ไม่งั้นหนีไม่ทันแน่”

“ทันสิ ฉันจะถ่วงเวลาให้” ผมบอก เสียงตึงตังใกล้เข้ามาแล้ว ผมหันไปทางแพนซี่ที่รีบเข้ามายืนข้าง ๆ “นี่ครอบครัวของแกนะเว้ย”

“ใช่ นี่คือครอบครัวของฉัน” เขายิ้ม ใบหน้าซื่อทำให้นึกถึงเจ้าเด็กโข่งที่ตามผมต้อย ๆ หลายปีก่อนหน้านี้ “และนายเองก็เหมือนครอบครัวของฉัน เดรโก” เป็นครั้งแรกที่หมอนี่เรียกชื่อต้นของผม เขายื่นกระดาษแผ่นเล็ก ๆ ให้

“ไปลอนดอนตามที่อยู่นี้ เขาจะช่วยให้นายหนีออกไปนอกประเทศได้ ไปให้ไกลที่สุดนะ”

“ไม่มีเวลาแล้วรีบไปเถอะ” แพนซี่พยักหน้า เธอยื่นเด็กทารกในอ้อมแขนมาให้ผมอุ้ม “หวังว่าเธอจะดูแลเด็กคนนี้ให้ดีนะเดรโก ให้เธอโตขึ้นเป็นเด็กดี…” หญิงสาวตรงหน้าผมยิ้ม ทั้งที่น้ำตาคลอดวงตา

“พวกนาย....”

เสียงประตูถูกกระแทกดังขึ้น “ไม่มีเวลาแล้วรีบไปเร็ว” แครบดึงผมมาที่หน้าต่างผลักร่างผมลงไปบนไม้กวาด เขากับแพนซี่หยิบไม้กายสิทธิ์ออกมาถือไว้

“ไปสิ เดรโก” เสียงเร่งดังขึ้นพร้อมกับประตูถูกคาถาทำให้กระชากเปิดออก ผมกระชับร่างทารกในอ้อมแขนแล้วถีบขาพุ่งไม้กวาดออกจากที่แห่งนั้นโดยเร็วที่สุด

....................................................................

“ทุกอย่างเรียบร้อยแล้วค่ะ แฮร์รี่” เสียงหวานของรีเบคคาดังขึ้น

“แฮร์รี่?” เธอเรียกอีกครั้ง

ผมสะดุ้งเล็กน้อย แล้วรีบตอบรับ “ครับ รีเบคคา”

“เรียกตั้งหลายทีแล้ว เหม่ออะไรจ๊ะ หนุ่มน้อย” ใบหน้าของหญิงสาวตรงหน้ายิ้มพราย

“อ้อ คิดอะไรนิดหน่อยน่ะครับ” ผมบอก พลางยื่นมือไปรับเอกสาร “ขอบคุณมากครับ”

“บอกตั้งหลายทีแล้วว่าไม่ต้องพูดสุภาพกับฉันก็ได้ อ้อ แล้วนี่ไปติดใจสาวไหนเข้าหรือไงถึงเอาแต่เหม่อ”

“เปล่าหรอกครับ” ผมยิ้มปฏิเสธคำล้อของเธอ

รีเบคคาหันไปเก็บเอกสารบนโต๊ะ “เฮ่อ รอนก็จะหมั้นไปคนนึงแล้ว เมื่อไหร่คุณจะติดใจสาวไหนบ้างละฮึ แฮร์รี่ ปล่อยรอนเค้าแซงหน้าไปได้ รายนั้นหล่อน้อยกว่าคุณตั้งเยอะ”

“รอนเขารีบหมั้นเพราะเขาคบกับเฮอร์ไมโอนี่มาตั้งแต่สมัยเรียนแล้วนี่ครับ” ผมตอบ ไม่รู้ตัวว่ารอยยิ้มเจื่อนลงหรือเปล่า “ผมไปก่อนนะครับ”

“จ้า ตอนนี้อากาศหนาว รีบกลับบ้านไปพักเถอะ”

ผมรับคำแล้วออกจากที่ทำงานกระทรวง ตอนนี้ค่ำแล้ว อากาศภายนอกหนาวเยียบอย่างที่รีเบคคาบอกจริง ๆ แต่กระนั้นผมก็ยังสาวเท้าเดินไปเรื่อย ๆ บ้านที่ไม่มีคนรออยู่น่ะ จะกลับไปเมื่อไหร่ก็ได้ เมื่อก่อนรอนก็มาค้างด้วยบ่อย ๆ ทั้งตอนปิดเทอมและเมื่อเริ่มทำงาน แต่ต่อไปคงไม่มีอีกแล้ว....รอนเองก็คงมีบ้านของตัวเองที่เขาต้องกลับไป

ผมมัวคิดอะไรเรื่อยเปื่อยจนเดินมาถึงสวนสาธารณะเล็ก ๆ แห่งหนึ่งอย่างไม่รู้ตัว เด็กหญิงตัวน้อยในชุดเสื้อคลุมสีสดใสเดินสวนผ่านมา “พี่ชาย เตรียมของขวัญวันคริสมาสต์หรือยังคะ” เธอถาม ใบหน้าอ่อนใสยิ้มแย้ม

“ยังเลย” ผมตอบ ใบหน้านั้นยิ้มกว้างขึ้นก่อนจะยื่นกล่องกระดาษใบเล็กๆ มาตรงหน้า “ของจากมูลนิธิค่ะ ช่วยพ่อมดแม่มดชราที่ไม่มีคนดูแล”

ผมเลิกคิ้ว “หนูเป็นแม่มดเหรอ?”

“พี่ชายก็ใช่นี่คะ พี่คือแฮร์รี่ พอตเตอร์ใช่มั้ยล่ะ” เด็กน้อยยิ้มพร้อมกับจิ้มนิ้วที่หน้าผากตัวเอง ตำแหน่งแผลเป็นของผม

“งั้น กล่องเท่าไหร่จ๊ะ” ผมถามอย่างโล่งใจ

เด็กน้อยส่ายหน้า “หนูให้ค่ะ เกือบจะกล่องสุดท้ายแล้วล่ะ” เธอบอกแล้วก็เดินจากไปก่อนที่ผมจะทันท้วง

ผมถือกล่องไว้แล้วเดินเข้าไปทรุดนั่งที่ม้านั่งริมทางในสวน แสงไฟริบหรี่ส่องให้เห็นม้านั่งหินขนาดใหญ่แบ่งเป็นสองด้านโดยมีกระถางพุ่มไม้เล็กๆ กั้นตรงกลาง สวนสาธารณะในช่วงค่ำ ๆ แบบนี้แทบไม่มีคน เสียงเพลงจากย่านร้านค้าที่อยู่ไม่ไกลลอยมาเบา ๆ

ถึงเวลาแต่งงาน นายต้องเป็นเพื่อนเจ้าบ่าวให้ฉันนะ ห้ามปฏิเสธ

เสียงของรอนแว่วมา แน่นอน ในฐานะเพื่อนสนิทที่สุดของคู่บ่าวสาว ผมย่อมไม่สามารถปฏิเสธหน้าที่นี้ได้ แต่เมื่อนึกถึงความเจ็บแปลบที่หัวใจแล้วผมก็ต้องกัดริมฝีปาก

เมื่อไหร่ถึงจะลืมความรู้สึกนี้ได้นะ

ทั้งที่พยายามเก็บซ่อนเอาไว้ แต่ดูเหมือนความทรมานยิ่งทวีคูณ

ผมสูดลมหายใจลึก...นาน....แต่ทำไมดูเหมือนภาพตรงหน้าจะพร่าพรายไป

หยดน้ำอุ่น ๆ ที่หยาดจากตานี่มันอะไรกัน.....
....................................................................

“มัลฟอย เรือจะออกพรุ่งนี้ตอนสามโมงเย็นนะ”

เสียงญาติของแครบดังมา ผมหันไปมองเขาแล้วยิ้มนิด ๆ “ขอบใจมากที่ช่วยเหลือ”

“ไม่เป็นไร ว่าแต่นายจะเอาเด็กหนีไปด้วยจริงเหรอ มันจะกลายเป็นภาระ...” เขาถาม

ผมมองร่างทารกที่นอนหลบอยู่บนเตียงในห้องแคบ ๆ นั้น ใบหน้าไร้เดียงสามีแววคล้ายกับแพนซี่ ผมพูดเสียงเบา “ไม่ใช่ภาระ เป็น ‘หน้าที่’ ของฉัน”

“ตามใจนายเถอะ ว่าแต่ร่างกายนายปกติแล้วนะ”

คำถามนี้ทำให้ผมยิ้มขื่น หันหน้าไปทางกระจกเงามัว ๆ ริมผนัง เห็นร่างที่หดเล็กลงจากเดิม ใบหน้าที่ผิดแปลกวิปริตไปจนผมแทบจะจำตัวเองไม่ได้ในครั้งแรกมองตอบกลับมา “ฉันสบายดี ขอบใจมาก”

ผมหยิบเสื้อคลุมออกมา “ฝากพินซ์สักเดี๋ยวนะ ฉันจะออกไปข้างนอกหน่อย”

“ได้สิ ระวังตัวด้วย”

ผมพยักหน้าแล้วเปิดประตูห้องออกไป

อากาศภายนอกหนาวจนสะท้าน ยิ่งเมื่ออยู่ในร่างกายแบบนี้ ผมเดินเอื่อย ๆ ไปเรื่อย ๆ โดยไร้จุดหมาย ราวกับต้องการสั่งลาลอนดอน และประเทศอังกฤษ บ้าน...ที่ผมอาจจะไม่มีวันได้กลับมาอีก

ยามค่ำคืนที่ท้องฟ้ามืดทึมขมุกขมัว แต่เมืองเบื้องล่างกลับสว่างไสวไปด้วยแสงไฟ ใกล้คริสมาสต์แล้วสินะ ผมคิดขณะกระชับเสื้อคลุมแน่นเข้า

มัวคิดเพลินจนชนกับเด็กคนหนึ่งที่สวนทางมา

“อ๊ะ” ผมอุทานเมื่อไม้กายสิทธิ์หล่นลงมา เด็กคนนั้นเก็บมันขึ้นมาส่งให้พร้อมกับยิ้ม “พี่ก็เป็นแม่มดหรือคะ กำลังจะไปตรอกไดกอนหรือเปล่า” เธอถาม

“ใช่” ผมพยักหน้า “ฉันเป็นพ่อมด แต่ไม่ได้จะไปที่ตรอกไดกอนหรอก” ยัยเด็กนี่ท่าทางจะเป็นแม่มดสินะ

ใบหน้าอ่อนเยาว์นั้นฉีกยิ้มมากขึ้น “ดีจริง เจอแม่มดจนได้ นี่ค่ะ” เธอยื่นกล่องกระดาษเล็กๆ ในมือมาให้ “ของขายเพื่อบริจาคให้มูลนิธิช่วยเหลือพ่อมดชรา”

ผมถอนใจ พยายามจะปลีกตัวหนีโดยเร็วเพราะไม่อยากเป็นที่สังเกต “เท่าไหร่”

เด็กคนนั้นยัดกล่องใส่มือผมแล้วพูดหน้าบาน “ไม่คิดเงินหรอก พี่สาวสวยแบบนี้หนูให้ฟรี กล่องสุดท้ายแล้วด้วย สุขสันต์วันคริสมาสต์นะคะ” เธอบอกแล้วเดินจากไปโดยไม่ฟังเสียงผมที่เรียกอย่างหงุดหงิด

เฮ่อ เอาเถอะ ไปหาที่สงบ ๆ ดีกว่า ผมคิดขณะที่เท้าทั้งสองข้างพาเดินไปถึงสวนสาธารณะแห่งหนึ่ง แสงไฟริมทางส่องให้เห็นว่ามันเงียบสงบไม่มีใครเลยยกเว้นเงาคนคนหนึ่งที่นั่งนิ่งอยู่บนม้านั่งหิน

ท่าทางจะเป็นคนจรจัด

ผมคิดแล้วเดินไปทรุดนั่งลงบนม้านั่งอีกด้านหนึ่ง มือกลิ้งกล่องเล็กๆ ไปมาก่อนจะหลับตาลง

ใบหน้ามากมายลอยเข้ามาในห้วงนึก

ใบหน้าบิดเบี้ยวด้วยความเกลียดชังของพ่อ ใบหน้าเหี้ยมเกรียมของบรรดาลูกสมุน ใบหน้าเด็ดเดี่ยวของแครบยามที่เรียกชื่อผมแล้วบอกให้ผมหนีไป ใบหน้าที่มีน้ำตาคลอของแพนซี่เมื่อส่งลูกของเธอให้ผม ใบหน้าไร้เดียงสาของทารกที่เพิ่งจะเป็นกำพร้าหมาดๆ

และสุดท้าย ใบหน้าวิปริต ครึ่งหญิงครึ่งชายที่จ้องกลับมาจากกระจกเงา

หยาดน้ำตาค่อย ๆ กลิ้งลงมาสู่แก้ม

“อึ๊” ผมยกมือขึ้นปิดปาก ทำไมอยู่ดี ๆ ร่างทั้งร่างก็เหมือนจะสั่นเพราะแรงสะอื้น “ฮึ๊..” ผมพยายามกลั้นเสียงครางโหยหวนที่มันยากจะระงับ แล้วก็เกินจะทานทนไหว

“ฮึ่ก ฮึ่ก ฮือ”

สุดท้ายผมก็สะอื้นจนตัวโยนอยู่บนม้านั่งตัวนั้น

……………………………………………………………………………………

แฮร์รี่ พอตเตอร์หันขวับกลับทางด้านหลังเมื่อได้ยินเสียงสะอื้นที่ดังขึ้น ชายหนุ่มไม่รู้ตัวเลยว่ามีคนมานั่งที่ม้านั่งฝั่งตรงข้ามตั้งแต่เมื่อไหร่ แสงไฟเลือนรางและเงาของต้นไม้ทำให้มองร่างนั้นได้ไม่ชัดนัก เห็นแต่เงาร่างเล็กบอบบางที่สั่นสะท้าน ผู้หญิง....เขาคิด....คงมีเรื่องเสียใจมาก....

เขาเกือบจะลุกเข้าไปถามว่าหล่อนเป็นอะไร แต่เมื่อนึกถึงสภาพอารมณ์ของตัวเองเมื่อครู่ก็พอเข้าใจ เวลาแบบนี้ใคร ๆ ก็คงจะอยากร้องไห้เงียบ ๆ มากกว่าทั้งนั้น

ชายหนุ่มจึงนั่งนิ่ง เอนหลังพิงพนักเก้าอี้แล้วหลับตาลง ฟังเสียงสะอื้นแผ่วนั้นต่อไปเงียบ ๆ น้ำตาที่อยู่บนใบหน้าเริ่มเหือดแห้ง น่าแปลกที่เมื่อรู้ว่ามีคนกำลังร้องไห้เหมือนกันอยู่ข้าง ๆ แล้วกลับทำให้รู้สึกอุ่นใจขึ้น ทั้งที่อีกฝ่ายเป็นคนแปลกหน้าเท่านั้น

เดรโก มัลฟอยปล่อยให้ตัวเองร้องไห้จนพอใจแล้วค่อย ๆ คลายสะอื้น เขาสูดลมหายใจลึก พลางใช้มือเรียวเล็กปาดน้ำตาบนแก้มเร็ว ๆ พอได้ระบายออกไปแล้วค่อยรู้สึกโล่ง ความกดดันทั้งหลายที่ถาถมเข้ามาภายในค่ำคืนเดียวเบาบางลง

นาน...กว่าเขาจะได้ยินเสียงถอนหายใจเบา ๆ จากด้านตรงข้าม เดรโกหันขวับกลับไปมอง คนจรจัดนั่นยังนั่งอยู่อีกเหรอ เรามารบกวนเวลานอนของหมอนี่แน่...เขาอดคิดไม่ได้

กล่องกระดาษใบเล็กกลิ้งตกลงไปที่พื้น ร่างบางก้มลงเก็บมันขึ้นมา ในกล่องมันมีอะไรนะ เขาคิดแล้วค่อย ๆ แกะกล่องออก

แฮร์รี่หยิบกล่องกระดาษที่อยู่ข้างตัวขึ้นมา เปิดก่อนวันคริสมาสต์คงไม่เป็นไรมั้ง เขารำพึงแล้วค่อย ๆ เปิดฝากล่องเบา ๆ

ควันสีขาวเบาบางกระจายออกมาจากกล่องทั้งสองลอยขึ้นไปสู่เบื้องบน ก่อนที่จะประเปลี่ยนเป็นประกายสีเงินวับวาวราวดวงดาวนับพันร่วงหล่นลงมาสู่ร่างที่นั่งอยู่บนม้านั่งพร้อมกับเสียงเพลงเบาๆ ค่อย ๆ แผ่วพริ้ว

You fill up my senses
Like a night in a forest
Like a mountain in springtime
Like a walk in the rain Like a storm in the desert
Like a sleepy blue ocean

You fill up my senses
Come fill me again
Come let me love you
Let me give my life to you
Let me drown in your laughter
Let me die in your arms
Let lay down beside you
Let me always be with you
Come let me love you
Come love me again


แล้วเสียงเพลงก็ค่อย ๆ แผ่วหายพร้อมกับประกายสีเงินที่เลือนลาง

เดรโกนั่งนิ่ง Let me die in your arms เรอะ ไม่เห็นเข้ากับคริสมาสต์ตรงไหน ใครเป็นคนคิดกล่องนี้ขึ้นมาฟะ ถึงเพลงมันจะเพราะก็เถอะ “นี่มันเพลงอะไรเนี่ย” เขาเผลอพูดขึ้น

“Annie's Song ของจอห์น เดนเวอร์” เสียงตอบกลับมาจากด้านตรงข้าม

เดรโกตอบกลับ “อ้อ เหรอ ขอบใจนะ” เขาคิด คนจรจัดมักเกิ้ลก็คงรู้จักเพลงของพวกมักเกิ้ลดีสินะ

แฮร์รี่ไม่ได้ตอบเสียงขอบใจนั้น เป็นผู้หญิงที่เสียงห้าวจริงแฮะ ช่างเถอะ ท่าทางหล่อนจะหยุดร้องไห้แล้ว เขาคิดพลางลุกขึ้นยืน

กลับบ้านดีกว่า ชายหนุ่มเหลือบมองสายน้ำในสระของสวนสาธารณะซึ่งสะท้อนแสงดาวเป็นประกายแล้วแล้วยิ้มออกมา

สวยดี....แล้วไอ้เจ้าสีฟ้าแบบ a sleepy blue ocean นี่มันจะสวยไหมนะ ชายหนุ่มอดสงสัยไม่ได้ก่อนจะออกเดินไปทางด้านหน้าของสวนเพื่อกลับสู่บ้านเลขที่ 12 ถนนกริมโมเพลซ

เดรโกได้ยินเสียงเดินกุกกักทางด้านหลัง อ้าว ไม่นอนที่นี่หรอกเหรอ โธ่เอ๊ย เราก็นึกว่าคนจรจัด เขาส่ายหน้า ได้เวลากลับไปดูพินซ์เสียที ร่างบางฉุกคิดแล้วลุกขึ้นก้าวเดินออกไปทางประตูสวนอีกด้าน

พรุ่งนี้ก็ได้เวลาที่เขาจะไปจากที่นี่แล้วสินะ

“ลาก่อน”เดรโกงึมงำ

ทางเบื้องหลัง กล่องสองใบถูกวางทิ้งไว้บนม้านั่ง สงบนิ่งราวกับรอคอยบางอย่าง...

Let me always be with you
Come let me love you
Come love me again


รอคอย...เวลา....ที่จะได้พบกันอีกครั้ง





Create Date : 05 มกราคม 2548
Last Update : 5 มกราคม 2548 17:16:23 น.
Counter : 1345 Pageviews.

8 comments
  
โอ้โห...โรแมนติกสุดยอดเลย

กรี๊ดดดดด
โดย: อิงฟ้า IP: 61.90.10.126 วันที่: 17 กรกฎาคม 2548 เวลา:21:50:01 น.
  
ได้รับคำแนะนำให้เข้ามาอ่าน
อ่านจบแล้วชอบมากๆๆๆๆ
อ่านไปซึ้งไป (หมดไปครึ่งวัน -_-')
จะติดตามเป็นแฟนตลอดไปเลย ^^
ขอบคุณมากนะคะที่เขียนเรื่องดีๆ มาให้อ่าน
โดย: เด็กทะเล IP: 133.87.1.154 วันที่: 25 สิงหาคม 2548 เวลา:11:36:29 น.
  
เพิ่งจะมีโอกาสได้อ่านฟิคในบล็อคนี้ค่ะ
อยากจะบอกว่าชอบมาก ๆ เลยอ้ะ >____<~!!!!!

ขออนุญาตแอดบล็อคไว้เลยนะคะ แหะแหะ เผื่อต่อตอนใหม่เรื่องไหนจะได้ตามเข้ามาอ่านทันใจ ฮะๆๆ

แต่งฟิคดี ๆ แบบนี้มาให้อ่านอีกนะคะ
เราอ่านแล้วทั้งชอบ ทั้งซึ้ง ทั้งอึ้ง (กับจินตนาการ) คิดถึงน้องแฮร์รี่แล้วอ้ะ
โดย: too (=too= ) วันที่: 18 พฤษภาคม 2549 เวลา:4:39:58 น.
  

น่ารักจังค่ะ !!

โรแมนติกที่ซู้ดดด
ชอบ .. เพราะได้รับรู้ว่าเรื่องราวเป็นมาอย่างไร
อ่านแล้วก็แอบเศร้าๆใจนิสนุง

ร้ากเดรโกก กรี้สสส
โดย: PINGPING IP: 70.224.33.247 วันที่: 25 มิถุนายน 2551 เวลา:11:39:27 น.
  
อ่า รู้ซะทีที่แท้เจ้ารี่มันก็เคยชอบรอนนี่เอง
แครบกับแพนซี่เด็ดเดี่ยวจัง ปรบมือๆ
เดรน่าสงสาร เจ้ารี่ด้วย
สุดท้ายก็มานั่งปลอบใจกันแบบบังเอิญ โรแมนติกกก
สุดท้ายก็ได้กลับมาพบกันอีกสินะ
อ๊าย อยากให้มีต่อ ชอบมากมาย
ขอบคุณไรเตอร์อีกครั้งนะคะ ที่แต่งฟิคดีๆให้อ่าน =))
โดย: เชอร์ลอก โฮมส์ IP: 124.121.131.137 วันที่: 19 พฤษภาคม 2553 เวลา:2:30:48 น.
  
อ่า สนุกมากๆเลยค่ะ
ตอนแรกกะจะเก็บไว้อ่านหลายๆวัน
แต่อดใจไม่ไหวอ่านรวดเดียวเลย 5555
แต่งได้น่าเชื่อมากๆเรื่องราวอะไรทุกอย่างมันดูลงตัวสุดๆเลยค่ะ ^^ ครบทุกรสมากๆ
ขอบคุณไรท์เตอร์ๆมากที่เขียนฟิคแบบนี้ขึ้นมา
สมัยนี้นี้นักเขียนมีเยอะมากแต่หาที่มีคุณภาพแบบนี้ยากจริงๆ เจอเรื่องแล้วรู้สึกว่านี่แหละสำนวนแบบนี้มันใช่
เห็นว่าแต่งไว้ตั้งแต่2548ไม่รู้พี่จะได้กลับมาอ่านรึเปล่า 55555
แต่ขอบคุณมากๆจริงๆนะคะ ฟิคเรื่องนี้ทำให้เรามีความสุขมากๆ : ) จากใจเลย
โดย: mana IP: 58.11.22.112 วันที่: 17 กรกฎาคม 2553 เวลา:0:44:10 น.
  
อยากจะบอกว่าเรื่องนี้มันยิ่งกว่า Ever after เป็นการพบกันครั้งแรกโดยที่ทั้งสองคนไม่รู้ว่าจะได้กลับมาพบกันอีก มันคือพรหมลิขิตงั้นหรอ? หรือเพราะว่ามันเป็นเรื่องของสองคนนี้

อืม ยังไงก็เหอะ ก่อนวาเลนไทน์แล้วได้อ่านฟิคดีๆแบบนี้น่ะมันรู้สึกดีมากจริงๆนะ

ขอบคุณไรเตอร์จริงๆที่แต่งฟิคดีๆแบบนี้เอาไว้ ถึงจะผ่านมาหลายปีแล้วก็ตาม

ขอบคุณจริงๆค่ะ
โดย: hyukinuii IP: 110.168.10.156 วันที่: 9 กุมภาพันธ์ 2554 เวลา:22:14:21 น.
  
น่ารักอบอุ่นดีจังคู๋นี้ ชอบๆ
โดย: ดาว IP: 14.207.68.221 วันที่: 20 พฤษภาคม 2556 เวลา:4:10:58 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

นะโอ
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 4 คน [?]