Group Blog
 
All blogs
 

Mind Game (2004): แนวกว่านี้ยังมีอีกมั้ย?


Mind Game (2004) :
แค่โปสเตอร์ก็ดูออกแนวๆ มั่วๆ ยังไงชอบกลแล้วสำหรับผลงานจาก Studio 4°C เจ้าของผลงานแจ่มๆ อย่าง Memories (1995), Spriggan (1998) และอนิเมะตอน Kid's Story ใน The Animatrix (2003) เรื่องนี้ที่เป็นการนำเอาหนังสือการ์ตูนชื่อเดียวกันของนักเขียนสุดแนว โรบิน นิชิ มาสร้าง ซึ่งก็ได้อนิเมเตอร์หนุ่มผู้มีวิสัยทัศน์อย่าง มาซาอากิ ยูอาสะ มาถ่ายทอดความแนวสุดๆ ฉุดไม่อยู่ให้ต้องเหวอกันไปข้างหนึ่งเลยทีเดียวเชียว


งานด้านภาพมีหลากหลายสไตล์(มาก)
ส่วนเนื้อเรื่องนี่เล่ากันไม่ถูกเลย(ก็เล่นแนวจัดซะแบบนี้) เอาเป็นว่าในเรื่องนี้ท่านจะได้พบกับเรื่องราวสุดมหัศจรรย์พันลึกของ ยากูซ่าบ้าฟุตบอล, ไอ้หนุ่มนักเขียนการ์ตูนขี้แพ้, สาวอกบึ้มแสนน่ารัก, ปลาวาฬยักษ์ที่กลืนเรือเดินสมุทรและแม้แต่กระทั่งเครื่องบินโบ้อิ้งเข้าพุงไปได้เฉยเลย และพระเจ้าที่รูปร่างหน้าตาเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ทุกวินาที ด้วยเหตุผลที่ว่าทั่นตัดสินใจไม่ได้ว่าตกลงจะมีรูปร่างหน้าตายังไงดีก็เลยเหมาหมดซะงั้น เป็นต้น(เอิ่ม...นี่ยังแค่บางส่วนของความแนวในหนังนะ)


เริงระบำในท้องปลาวาฬ
แค่เริ่มต้นมาก็แนวได้ใจแล้ว(แนวจะมั่ว) ด้วยการตัดต่อภาพเหตุการณ์ต่างๆ โยนใส่คนดูแบบไม่รู้ที่มาที่ไปจนต้องเล่นเอาเหวอและสับสนไปตามๆ กันแน่ แถมสไตล์ด้านภาพก็หลากหลายและเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาตลอดเลยเสียด้วย ดังนั้นอย่าได้แปลกใจที่ในช่วงแรกของหนังจะทำให้ท่านต้องรำพึงในใจว่า 'หนังบ้าอะไรของมันวะเนี่ย?!' แต่พอสักพักไปเมื่อเริ่มจับทางได้จนคุ้นกับสไตล์ของหนังแล้ว ก็อย่าได้แปลกใจที่ท่านจะต้องรำพึงในใจอีกว่า 'หนังบ้าอะไรของมันวะเนี่ย... เจ๋งโคตร!' ซึ่งก็คิดไม่ผิดไปหรอกครับ เพราะว่านี่เป็นอนิเมะที่เจ๋งโคตรจริงๆ นะครับพี่น้อง


ตัวอะไรก็ไม่รู้กำลังแทะหูตัวโกงอยู่
หนังมีจุดเด่นตรงงานด้านภาพหลากหลายสไตล์ ที่ทั้งจัดจ้านและสร้างสรรค์ ลายเส้นก็ไม่เน้นหล่อเน้นสวยแต่เน้นเอามันส์เป็นหลัก ดนตรีประกอบก็สุดจะชวนคึกเข้ากับเรื่องราวเป็นอย่างดีแล้ว หนังยังออกมาดูสนุก ดูเพลิน ไม่มีน่าเบื่อ แถมยังเต็มไปด้วยอารมณ์ขันสุดกวนและเชิงสัญลักษณ์มากมายที่ชวนให้คิดตีความหมายอีกด้วย เรียกได้ว่าจะดูเอาสไตล์สุดแนวต่างๆ ก็ได้ จะดูเอาเพลินก็ได้ จะดูเอาสาระก็ยังได้อีกแน่ะ(ถ้าหาเจอนะ) อืม... ครบเครื่องจริงๆ นะเนี่ยเรื่องนี้


สีสันฉูดฉาดซะจริงเรื่องนี้
แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าดูแล้วจะชอบกันได้ทุกคน เพราะปัญหาก็คือความแนวจัดของหนังเองซึ่งถือเป็นจุดอ่อนใหญ่เลยล่ะ หลายคนจะพบว่าหนังช่างมั่วซั่วดูไม่รู้เรื่องเลยสักนิด(ซึ่งแม้แต่คนที่เก็ตมุกของหนังก็ยังไม่สามารถเข้าใจทุกอย่างในหนังได้จากการดูแค่ครั้งเดียวเลย) และถึงจะเป็นการ์ตูนแต่เรื่องราวก็ไม่ใช่แนวที่เหมาะจะดูกันได้ทุกเพศทุกวัย ซึ่งถ้าสิ่งที่เอ่ยถึงข้างต้นนั้นไม่ใช่อุปสรรคสำหรับท่านแล้ว ก็จะพบว่านี่ช่างเป็นอนิเมะที่บ้าพลังและสร้างสรรค์ที่สุดเรื่องหนึ่งเท่าที่เคยดูมาเลยทีเดียว เจ๋งโคตร!

คู่พระนางของเรื่องกำลังจู๋จี๋กัน
  • น่าดูเพราะ: เป็นอนิเมะสุดแนว ที่สุดสร้างสรรค์ บ้าพลัง งานด้านภาพจัดจ้านหลากสไตล์ ที่คออนิเมะที่ชอบลองอะไรใหม่ๆ แนวๆ ไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง
  • ไม่น่าดูเพราะ: ออกแนวมั่ว ดูแล้วงง มึน โฮ ไม่เหมาะสำหรับคนที่ชอบดูอะไรย่อยง่ายๆ จบแล้วก็จบกันนัก




 

Create Date : 30 ตุลาคม 2553    
Last Update : 30 ตุลาคม 2553 7:32:49 น.
Counter : 2644 Pageviews.  

Barefoot Gen (1983): ไอ้หนูตีนเปล่ากับนิวเคลียร์ถล่มเมือง



Barefoot Gen (1983) :
นี่คือผลงานการ์ตูนสำหรับฉายโรงเรื่องแรกของสตูดิโอ Madhouse เจ้าของผลงานที่คออนิเมะล้วนรู้จักกันดีอย่าง Ninja Scroll, Vampire Hunter D: Bloodlust, Trigun ซึ่งหนังเรื่องนี้สร้างมาจากหนังสือการ์ตูนชุดสิบเล่มจบของ เคอิจิ นาคาซาวะ ที่คลาสสิคซะจนถูกหยิบไปสร้างเป็น ละครทีวี หนังโรง หนังการ์ตูน หรือแม้แต่ละครเพลง มานับหลายต่อหลายครั้งแล้ว


เจอนิวเคลียร์แบบนี้เป็นใครก็ต้องเหงื่อตก
หนังพาย้อนไปญี่ปุ่นช่วงปลายสงครามโลกครั้งที่สองเพื่อเสนอเรื่องราวของหนูน้อย เก็น นาคาโอกะ และครอบครัวอันประกอบด้วยพี่สาวแสนสวย น้องชายแสนซน พ่อแสนใจดี และแม่ที่กำลังท้องแก่ ซึ่งถึงพวกเขาจะอยู่อย่างยากจนข้นแค้นเพราะประเทศกำลังอยู่ในภาวะข้าวยากหมากแพงจากสงคราม แต่พวกเขาก็ยังมีความสุขเฮฮาไปตามอัตภาพกันได้อยู่ แม้เก็นและน้องชายจะเบื่อหน่ายที่ต้องคอยวิ่งหนีลงหลุมหลบภัยในยามที่ได้ยินเสียงสัญญาณเตือนภัยดังอยู่บ่อยๆ ก็ตาม


ไปทำอะไรให้คุณแม่ร้องไห้เนี่ย
ครอบครัวของเขาก็คงจะพยุงกันจนผ่านพ้นช่วงสงครามไปได้เป็นอย่างดีด้วยความรักความเข้าใจที่มีต่อกัน ถ้าไม่ใช่เพราะว่าพวกเขาดันอาศัยอยู่ในเมือง ฮิโรชิม่า เช่นนี้ซะก่อน(กรรม) ซึ่งในเช้า
วันหนึ่งชีวิตของเก็นและครอบครัวก็ต้องเปลี่ยนไปตลอดกาล เมื่ออยู่ๆ ระเบิดนิวเคลียร์ก็ถูกทิ้งลงมากลางเมือง ส่งผลให้ทุกอย่างพังพินาศ ผู้คนล้มตาย ซึ่งแม้เก็นจะรอดตายมาได้อย่างหวุดหวิด แต่ก็เหมือนตกนรกทั้งเป็นอยู่ดีจากผลพวงของกัมมันตภาพรังสี ซึ่งเราก็ต้องเอาใจช่วยกันต่อไปว่าชีวิตของหนูน้อยเก็นผู้กล้าหาญจะเป็นยังไงต่อไปล่ะจ้า


ตัวการ์ตูนหน้าตาน่ารักต้องมาเจอเรื่องโหดร้ายแสนสาหัส
เวอร์ชั่นนี้กำกับโดย โมริ มาซากิ ซึ่งนำเสนอลายเส้นที่ดูเรียบง่ายและน่ารักกว่าในหนังสือการ์ตูนขึ้นมาหน่อย(ลายเส้นออกแนวการ์ตูนอิคคิวซัง) ที่มาพร้อมอารมณ์ขันเฮฮาในช่วงต้นเรื่อง โดยโฟกัสไปที่ตัวเก็นและน้องชายที่แม้ชีวิตพวกเขาจะเข้าขั้นลำบากแต่ก็ยังสดใสตามประสาเด็กได้อยู่(แบบที่เรียกว่าหัวเราะร่าน้ำตารินแหล่ะ) แต่พอเข้าช่วงระเบิดลงนั่นแหล่ะตัวหนังก็ไม่รีรอที่จะแสดงให้เห็นถึงพิษสงของระเบิดเลย โดยเน้นกันให้เห็นจะๆ ถึงสภาพของคนที่โดนระเบิดทั้งเด็กและผู้ใหญ่ซึ่งเป็นอะไรที่สยองปนหดหู่มากๆ

ลายเส้นเรียบง่ายแต่กลับมีพลังสะกดคนดู
ถึงลายเส้นจะเรียบง่ายตามประสาการ์ตูนเก่าแต่ก็รับใช้เรื่องราวได้อย่างมีพลัง และอย่าได้แปลกใจถ้าดูการ์ตูนเรื่องนี้แล้วจะร้องไห้น้ำตานองหน้าไปกับโชคชะตาของเก็นและครอบครัวรวมถึงชาวบ้านตาดำๆ ผู้ไม่รู้อิโหน่อิเหน่แต่ต้องมาเจอระเบิดนิวเคลียร์แบบนี้เข้า ซึ่งจะว่าไปแล้วการ์ตูนเรื่องนี้ก็เปรียบเสมือนพี่ชายต่างมารดาของ Grave of the Fireflies (1988) ที่หลายคนเคยเสียน้ำตาให้ก็ว่าได้ เพราะทั้งคู่อยู่ในช่วงเวลาไล่เลี่ยกันและนำเสนอผลพวงของสงครามโลกครั้งที่สองผ่านสายตาของเด็กเช่นเดียวกัน เพียงแต่ว่าเรื่องนี้จะเต็มไปด้วยความหวังและมีโทนสดใสมากกว่าเรื่องนั้นอยู่บ้าง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ถือว่าเป็นการ์ตูนคลาสสิคอีกเรื่องที่ควรค่าแก่การชมยิ่งนัก ถ้าเจอก็รีบคว้ามาดูเลยเน้อ

ปล.อันที่จริงเขามีภาคสองด้วยนะ แต่เอาไว้ได้ดูแล้วจะมารีวิวกันอีกทีเน้อ
  • น่าดูเพราะ: เป็นอนิเมะสุดคลาสสิคอีกเรื่อง ที่จะเรียกน้ำตาท่านไม่น้อยไปกว่า Grave of the Fireflies เลย คออนิเมะคุณภาพไม่ควรพลาดเลยจ้า
  • ไม่น่าดูเพราะ: เต็มไปด้วยเรื่องราว สลด หดหู่ รันทด (แต่ก็เต็มไปด้วยความหวังด้วย) ไม่ใช่การ์ตูนที่ดูเอาสนุกเน้อ





*ช่วงอันเนื่องมาจากหนัง*

ภาพ'Little Boy'ลงที่ฮิโรชิม่า
คงมีหลายคนที่ยังค่อยไม่รู้ที่มาที่ไปของเหตุการณ์ระเบิดนิวเคลียร์ลงแบบที่เห็นในหนังนัก ทางบล็อกจึงขอสรุปสั้นๆ แบบพอเข้าใจให้ดังนี้คือ ในช่วงปี ค.ศ.1945 ซึ่งเป็นช่วงท้ายสงครามโลกครั้งที่สองนั้น ญี่ปุ่นซึ่งยึดครองเอเซียอยู่เริ่มเพลี่ยงพล้ำต่อฝ่ายสัมพันธมิตรที่นำโดยอเมริกา แต่พวกเขาก็ไม่ยอมแพ้สักที ทางอเมริกาเห็นท่าไม่ดีเพราะถ้าขืนรบต่อไปเหมือนเดิมคงต้องใช้เวลาอีกเป็นปีๆ แน่ ดังนั้นพวกเขาจึงต้องนำเอาอาวุธลับที่ซุ่มผลิตมานานแล้วนั่นก็คือ'ระเบิดนิวเคลียร์'มาใช้กับญี่ปุ่นเป็นรายแรกซะเลย

นิวเคลียร์ที่ถูกนำมาใช้กับญี่ปุ่นมีสองลูกซึ่งแต่ละลูกก็มีชื่อเล่นตามรูปร่างของมันว่า 'Fat Man' และ 'Little Boy' โดยอเมริกากะเล่นเมือง ฮิโรชิม่า ซึ่งเป็นจุดยุทธศาตร์ที่สำคัญของญี่ปุ่นก่อน และแล้วในเช้าวันที่ 6 ส.ค.1945 เวลา 08.15 น. 'Little Boy' ก็ถูกทิ้งลงกลางเมืองฮิโรชิม่า ซึ่งส่งผลให้เมืองพังพินาศ ชาวบ้านตายทันทีแปดหมื่นคน(แต่ยอดรวมในอีกสี่เดือนต่อมาคือหนึ่งแสนหกหมื่นหกพันคน)



ภาพ 'Fat Man' ที่นางาซากิ
แต่ถึงกระนั้นทางการญี่ปุ่นก็ยังดื้อแพ่งหาได้ยอมแพ้ไม่ จนในอีกสามวันต่อมาทางสหรัฐจึงได้ทิ้ง 'Fat Man' ที่ นางาซากิ ซึ่งก็สังเวยกันไปอีกสี่หมื่นคน(ยอดรวมแปดหมื่น) คราวนี้ในอีกหกวันต่อมาทางการญี่ปุ่นจึงได้ประกาศยอมแพ้อย่างไม่มีเงื่อนไข ปิดฉากสงครามโลกด้านเอเซียลงไปในที่สุด ซึ่งความชีช้ำครั้งนั้นเป็นอะไรที่คนญี่ปุ่นอยากจะลืมแต่ก็ลืมไม่ลงมาจนทุกวันนี้ ยังไงก็หวังว่าคงจะไม่มีใครถูกนิวเคลียร์ถล่มในเร็ววันนี้อีกนะ


*รวบรวมข้อมูลแบบมั่วๆ มาจาก wikipedia เน้อ*




 

Create Date : 24 ตุลาคม 2553    
Last Update : 17 มีนาคม 2554 3:15:29 น.
Counter : 8275 Pageviews.  

How to Train Your Dragon (2010): มาเปิดฟาร์มเลี้ยงมังกรกันเถ๊อะ

How to Train Your Dragon (2010) :
นอกจาก Pixar ที่เป็นเจ้ายุทธจักรด้าน CGI Animation แล้ว ก็มี DreamWorks Animation นี่แหล่ะที่พอจะเรียกได้ว่าเป็นรองเจ้ายุทธจักรด้านนี้ได้อยู่บ้าง โดยมีหนังชุด Shrek เป็นตัวทำเงินทำทองประจำสตูดิโอ แต่ทว่านับวันมนต์ขลังของเจ้า Shrek ดูจะยิ่งเสื่อมลงๆ เข้าทุกที เพราะผู้สร้างเริ่มหมดมุกแล้ว(แต่ก็ยังทำเงินได้เป็นกอบเป็นกำได้อยู่ดี) ทางสตูดิโอเลยต้องเร่งหาแฟรนไชส์สุดฮิตเรื่องใหม่โดยเร็ว ซึ่งก็ได้ Kung Fu Panda (2008) มาเรื่องหนึ่งละ และนี่ก็คือความหวังลำดับต่อไปที่ก็ทำท่าว่าจะช่วยให้สตูดิโอหากินได้อีกยาวทีเดียวล่ะ


ฉากโบยบินนี่ช่างสวยงามเสียจริงๆ
ที่บอกว่าหากินกันได้อีกยาวก็เพราะว่าหนังสร้างจากหนังสือเด็กของนักเขียนอังกฤษ Cressida Cowell (ทำไมนักเขียนที่ฮอลลีวู้ดชอบมักมาจากอังกฤษหนอ?) ซึ่งเป็นเล่มแรกจากทั้งหมดแปดเล่ม(และกำลังจะมีเล่มที่เก้าออกมาในปีหน้า) ว่าด้วยเรื่องราวของหนุ่มน้อยชาวไวกิ้งนาม Hiccup (ให้เสียงโดย Jay Baruchel จาก The Sorcerer's Apprentice [2010]) ที่เผอิญได้พบมังกรพันธุ์หายากและก็สามารถฝึกมันสำเร็จซะด้วย ซึ่งการค้นพบครั้งนี้ก็อาจจะทำให้เขาเป็นเพียงผู้เดียวที่สามารถหยุดสงครามอันยาวนานระหว่างเผ่าพันธุ์ของเขาและพวกมังกรได้ทีเดียวเชียว(โอ้ว!!)


เหล่าตัวละครสมทบในเรื่อง
หนังได้สอง ผกก.ลูกหม้อเก่าของดีสนี่ย์อย่าง Dean DeBlois และ Chris Sanders ที่เคยช่วยกันกำกับ Lilo & Stitch (2002) มาดูแล ซึ่งทั้งคู่ก็พาเสน่ห์มายังหนังได้มากมาย แถมค่อนข้างจะเล่าเรื่องอย่างจริงจังไม่ติดตลกสไตล์กวนๆ ที่มักมากับอนิเมชั่นของทางสตูดิโอเสียด้วยซ้ำ ส่วนเหล่ามังกรก็ไม่ได้ทำออกมาให้ดูน่ารักคิกขุ แต่ออกจะน่าเกลียดน่ากลัว ทว่าบทจะน่ารักพวกมันก็ยังน่ารักออกกันได้อยู่ ในขณะที่งานด้านภาพนั้นก็สวยงามสุดยอด โดยเฉพาะฉากโบยบินบนท้องฟ้าที่แสนจะตื่นตาตื่นใจจริงๆ เชียว

เหล่ามังกรดูน่าเกลียดกันพิลึก
แต่ถ้าเป็นคอหนังที่ชอบคิดมาก(เช่นเราแล้ว)จะพบว่าในช่วงท้ายหนังจะมีอะไรสะดุดอารมณ์นิดๆ และสรุปเรื่องราวง่ายไปหน่อย ยกตัวอย่างเช่นพระเอกเราฝึกมังกรซะตั้งนานสองนาน แต่พวกเพื่อนพระเอกที่เพิ่งหัดขี่กลับพากันขี่พวกมันโฉบไปโฉบมาได้โดยง่าย รวมทั้งความสัมพันธ์กับชาวไวกิ้งกับพวกมังกรที่ดีกันง่ายและเร็วไปนิดมั้ย อ่อ ฉากสุดท้ายพวกมังกรตัวจ้อยที่กลัวพญามังกรนักหนา ทำไมจู่ๆ ก็พากันโจมตีนายใหญ่พวกมันอย่างกล้าหาญหนอ จริงอยู่หลายท่านอาจจะบอกว่า จะเอาอะไรมากกับอนิเมชั่นสำหรับเด็กแบบนี้นักหนา แต่ทีอนิเมชั่นของ Pixar เขาก็ทำมาสำหรับเด็ก(และผู้ใหญ่) ก็ไม่เคยดูแล้วสะดุดอารมณ์แบบนี้นิ


ที่นี่สปาต้าร์! เอ้ย ผิดเรื่องละ
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นแล้ว โดยรวมก็ยังถือว่าเป็นอนิเมชั่นที่ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ก็สามารถดูสนุกดูเพลินได้ ภาพก็สวย ข้อคิดก็มี โดยเฉพาะแนวคิดสมานฉันท์ ที่บอกว่าแทนที่เราจะมุ่งแต่รบราฆ่าฟันกัน ก็เรียนรู้ที่จะอยู่ด้วยกันอย่างสันติไม่ดีกว่าหรือ คนกับมังกรเขายังอยู่กันได้ แล้วนับประสาอะไรกับคนชาติเดียวกันที่ต่างเรียกตนเองว่าเป็น 'คนไทย' ล่ะเนอะ อ้าว? จากมังกรแล้ววกเข้าการเมืองได้ไงล่ะเนี่ย แบบนี้เห็นทีต้องขอตัวไปกระชับพื้นที่ก่อนละเน้อ แว๊บบ

ปล.สำหรับสิ่งที่เกิดขึ้นกับพระเอกเราในตอนจบไม่ได้มีในหนังสือต้นฉบับ แต่ทางผู้แต่งหนังสือ(และเรา)ก็ชื่นชมที่ผู้สร้างกล้าทำอะไรที่ไม่ได้เป็นเทพนิยายเต็มร้อยเช่นนี้ ได้ใจไปเลยจ้า


ดูเอาเองว่าใครพากย์เป็นใครกัน

เฮียคนข้างล่างก็มากะเขาด้วย


  • น่าดูเพราะ: เป็นอนิเมชั่นที่สนุก ดูเพลิน ภาพสวยงามน่าประทับใจ ดูได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่(ใจเด็ก) ให้แง่คิดอีกต่างหาก ปี 2013 รอเจอภาค 2 เลยจ้า
  • ไม่น่าดูเพราะ: คิดไม่ออก เพราะหนังดีน่าดูออกจะตายไป แต่ก็อย่างว่าเนอะบางคนเขาคิดว่าการ์ตูนมีไว้สำหรับเด็กเท่านั้น เลยอาจไม่สนใจเอาก็มี




*ช่วงเพลงในหนัง*

Jónsi กับเพลงในช่วงท้ายหนังเรื่องนี้
นอกจากหนังจะได้ John Powell (จากหนังชุด Jason Bourne) มาทำสกอร์ให้แล้ว ยังได้ Jónsi หนุ่มเกย์แห่งวงอัลเทอร์เนทีฟสุดแนวจากไอส์แลนด์อย่าง Sigur Rós มาขับขานเพลงชื่อ Sticks & Stones ในช่วงเอนด์เครดิตอีกด้วย ซึ่งก็ให้อารมณ์เพราะแบบแปลกๆ แต่เปี่ยมไปด้วยความหวังอันสดใส คึกคัก ดึ๋งดั๋ง ส่งท้ายคนดูออกจากโรงหนังได้แบบแฮปปี้ดีแทคจริงๆ หนอ





 

Create Date : 09 ตุลาคม 2553    
Last Update : 9 ตุลาคม 2553 17:53:57 น.
Counter : 2559 Pageviews.  

Toy Story 3 (2010): สิ่งเล็กๆ ที่เรียกว่า...ของเล่น


Toy Story 3 (2010) :
ทิ้งช่วงจากภาคที่แล้วถึง 11 ปีเชียว สำหรับอนิเมชั่นสุดคลาสสิคซีรี่ส์นี้ ซึ่งก็ทำเงินระเบิดระเบ้อทุบสถิติต่างๆ ไปทั่ว (ตอนนี้กวาดเงินไปทั่วโลกกว่า 920 ล้านเหรียญแล้ว) ส่วนพี่ไทยเราถึงจะฉายช้ากว่าที่อเมริกากว่าสองสามเดือนแต่ก็ไม่มีปัญหา เพราะบรรดาผู้ปกครองก็ยังแห่พากันจูงลูกจูงหลานไปดูกันอย่างอุ่นหนาฝาคั่งเชียว เห็นแบบนี้ก็น่าชื่นใจแทน Pixar ซะจริงหนอ


บรรดาตัวละครอันแสนคุ้นเคยกลับมา(เกือบ)จะพร้อมหน้ากันเชียว
มาคราวนี้พลพรรคของเล่นเราต้องมีอันได้ผจญภัยกันอีกครั้งเมื่อ Andy เจ้าของสุดรักโตจนอายุ 17 ขวบ จะย้ายไปอยู่มหาวิทยาลัยแล้ว และก็เตรียมเก็บของเล่นเหล่านี้ไปไว้ห้องใต้เพดาน(ยกเว้น Woody ที่ได้ตามไปมหาวิทยาลัยด้วย) แต่ด้วยความเข้าใจผิดบางประการทำให้พวกที่เหลือต้องถูกบริจาคให้ไปอยู่ที่สถานรับเลี้ยงเด็กแทนซะงั้น ซึ่งดูเผินๆ แล้วก็น่าอยู่ดีหรอกนะ แต่จริงๆ แล้วที่นี่ก็คือ "คุกมฤตยู"สำหรับของเล่นดีๆ นี่เอง ร้อนถึง Woody เราต้องตามไปช่วยบรรดาเพื่อนซี้ของเขากลับมาบ้านให้ทันก่อนที่ Andy จะไปมหาวิทยาลัยให้ได้เอย

คราวนี้ได้มาผจญภัยกันที่สถานรับเลี้ยงเด็ก
และแล้ว Pixar ก็สามารถพาเสน่ห์อันแสนคุ้นเคยของเหล่าของเล่นตัวจ้อยนี้กลับมาได้เป็นอย่างดีอีกครั้ง เพราะนอกจากหนังจะดูสนุกแล้วยังแสนประทับใจอีกด้วย เหมือนอย่างที่ทางผู้สร้างย้ำนักย้ำหนาว่าพวกเขาให้ความสำคัญกับเรื่องราวที่จะเล่ามากกว่างานด้านเทคนิค กระนั้นงานด้านภาพก็อยู่ในระดับเต้ยอยู่แล้ว ถึงพวกเขาจะตั้งใจสร้างออกมาเป็นแบบ 3D แต่ถ้าดูในแบบ 2D ธรรมดาๆ ก็ยังดูได้ดูดีอยู่นั่นแล แถมยังมีเหล่าตัวละครใหม่ๆ ที่มีเสน่ห์สมทบเข้ามาอีก เลยเป็นอะไรที่ดูเพลิดเพลินจริงๆ เชียว (แค่เห็นตุ๊กตาเจ้า Totoro จากอนิเมชั่นของ Ghibli อย่าง My Neighbor Totoro (1988) โผล่มาร่วมแจมแว๊บๆ คออนิเมชั่นก็ยิ้มแทบไม่หุบกันแล้ว)

Andy โตจนจะเข้ามหาวิทยาลัยซะแล้ว
รอบที่ดูเป็นรอบที่บรรดาผู้ปกครองพาลูกหลานมาดูกันเต็มโรง การที่ได้ยินเสียงเด็กๆ พากันหัวเราะอย่างมีความสุขไปกับเรื่องราวในหนังก็ได้บรรยากาศไปอีกแบบ ในขณะที่บรรดาคนดูที่โตมา(หรืออาจจะแก่มา)กับหนังชุดนี้อย่างเราๆ ท่านๆ ก็ยังดูสนุกและประทับใจได้อีก เรียกได้ว่าเป็นอะไรที่ทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่ต่างดูได้ดูดีทั้งนั้น จึงถือว่านี่เป็นการส่งท้ายอย่างงดงามสำหรับไตรภาคหนังชุดนี้ ที่งานนี้แฟนๆ อาจมีน้ำตาริน แต่ไม่ใช่เพราะโศกเศร้าเสียใจอะไรหากเป็นเพราะเต็มตื้นไปกับเรื่องราวของเหล่าของเล่นตัวน้อยที่พวกเขารักต่างหาก (ปล.หวังว่าคงไม่แถสร้างภาคต่อออกมาหาเงินเข้ากระเป๋าอีกแบบในรายของ Shrek ก็แล้วกันเน้อ เหอๆ)
  • น่าดูเพราะ: Pixar ไม่ทำให้ผิดหวังอีกแล้ว ถือว่าเป็นการปิดท้ายไตรภาคอย่างงดงามในแบบที่แฟนเก่าแฟนใหม่คงเป็นปลื้มกันแน่ เป็นอนิเมชั่นสำหรับคนทุกเพศทุกวัยจริงๆ
  • ไม่น่าดูเพราะ: ถ้าไม่ชอบอนิเมชั่นต่อให้ทำดีแค่ไหน ก็คงไม่ทำให้อยากดูขึ้นมาหรอก สำหรับคนที่คิดว่า การ์ตูนเป็นแค่เรื่องไร้สาระสำหรับเด็กๆ เท่านั้น




*ช่วงเพลงในหนัง*
Randy Newman เจ้าเก่ามาอีกแล้วจ้า
ในด้านเพลงประกอบ ภาคนี้ก็ยังได้ Randy Newman เจ้าเก่ามาดูแลเช่นเดิม ซึ่งนอกจากจะมีเพลงคลาสสิคอย่าง You've Got a Friend in Me ในเวอร์ชั่นดั้งเดิมให้ฟังกันแล้ว ยังมีเวอร์ชั่นสแปนิชของวง Gipsy Kings มาให้ฟังกันอีกด้วย ซึ่งก็ฟังเก๋น่ารักไปอีกแบบเชียว ว่าแล้วเราก็เลยขอนำทั้งสองเวอร์ชั่นมาให้ฟังเป็นการส่งท้ายไตรภาคนี้กันซะเลยจ้า




 

Create Date : 14 สิงหาคม 2553    
Last Update : 14 สิงหาคม 2553 19:55:09 น.
Counter : 1577 Pageviews.  

Summer Wars (2009): ครอบครัวกู้โลก


Summer Wars (2009) :
ถ้าจะเอ่ยถึงสตูดิโอ Madhouse คออนิเมะคงจะรู้จักมักคุ้นกันเป็นอย่างดี เพราะตลอดเกือบ 40 ปีมานี้ทางสตูดิโอก็ได้สร้างสรรค์ผลงานดีมีคุณภาพออกมาให้แฟนๆ ซูฮกโดยตลอด จนแทบจะเรียกได้ว่าในแวดวงอนิเมะแล้ว พวกเขามีชื่อเสียงน้อยกว่าสตูดิโอ Ghibli อยู่นิดหน่อยเอง


หนังมีลายเส้นงดงามและน่าทึ่ง
แถมนี่ยังเป็นผลงานล่าสุดของ ผกก.มาโมรุ โฮโซดะ เจ้าของผลงานอนิเมะสุดจี๊ดที่ทำเอาคออนิเมะติดอกติดใจกันมาแล้วอย่าง The Girl Who Leapt Through Time (2006) นั่นเอง โดยคราวนี้มากับเรื่องราวของหนุ่มน้อย เคนจิ นักเรียนชั้น ม.5 ที่เก่งคำนวณโคตรๆ แต่ก็อ่อนซ้อมเรื่องจีบสาวๆ แบบสุดๆ แล้วในช่วงสุดสัปดาห์เขาก็ดันได้ติดสอยห้อยตามสาว นัทซึกิ รุ่นพี่ที่เป็นดาวประจำโรงเรียน ไปช่วยงานวันเกิดคุณยายของเธอที่อยู่ ตจว. ซึ่งพอไปถึงเขาก็ต้องอึ้งเพราะสาวเจ้าดันประกาศแก่ทุกคนในครอบครัวว่าเขาน่ะแหล่ะแฟนของเธอ ฮ่วย!(พี่รู้นะน้อง ว่าแอบดีใจ เหอๆ)

นี่คือหน้าตาของตัวละครในโลกไซเบอร์
เท่านั้นยังไม่พอ ด้วยความเมาขี้ตาของเขาทำให้เผลอถอดรหัสให้แฮคเกอร์นิรนามเจาะเข้าไปป่วนใน OZ ซึ่งเป็นโลกไซเบอร์ยอดนิยมของคนทั่วโลกได้สำเร็จ จนก่อให้เกิดความวุ่นวายใหญ่หลวงไปทั่ว งานนี้นอกจากพ่อหนุ่ม เคนจิ เราจะเจอเรื่องวุ่นวายในชีวิตจริงแล้ว ยังต้องว้าวุ่นกันยกกำลังสองในโลกไซเบอร์ โดยมีโชคชะตาของคนทั้งโลกเป็นเดิมพันเชียวนะเนี่ย(ป๊าด!)

หนังเต็มไปด้วยตัวการ์ตูนน่ารักๆ
และแล้วสตูดิโอนี้ก็ไม่ทำให้แฟนๆ ต้องผิดหวัง เพราะงานสร้างออกมายอดเยี่ยม สวยงาม มีเสน่ห์และเต็มไปด้วยรายละเอียดตามมาตรฐานอันดีเลิศของสตูดิโออยู่แล้ว ทั้งนี้ยังสามารถนำคอมพิวเตอร์มาสร้างงานด้านภาพในฉากที่เกี่ยวกับโลกไซเบอร์ได้อย่างน่าดูมากๆ อีกด้วย ในขณะที่การเล่าเรื่องของ ผกก.โฮโซดะ ก็ยังไหลลื่น น่าประทับใจ ดูเพลินและน่าติดตามดีมาก แม้จะไม่มีอะไรเกินคาด หรือจี๊ดได้อย่างผลงานเรื่องก่อนของเขาก็ตามที

ฉากต่อสู้ในโลกไซเบอร์ก็มีให้ดู
สิ่งที่น่าชื่นชมอีกอย่างหนึ่งของอนิเมะญี่ปุ่นก็คือสามารถผสมผสานเรื่องราวชีวิตของชาวบ้านปกติธรรมดาทั่วๆไป เข้ากับเรื่องราวแนวไซไฟสุดล้ำได้อย่างเนียนๆ ซึ่งสำหรับประเด็นในอนิเมะเรื่องนี้ก็คงจะไม่พ้นของ 'ความเป็นครอบครัว' ที่คนในครอบครัวไม่ควรจะทอดทิ้งกันไป แม้ว่าเราอาจจะเจอเรื่องแย่ๆ ร้ายๆ ผ่านเข้ามาในชีวิต แต่อย่างน้อยเราก็ยังรู้ว่า เมื่อเราหิว ก็ยังสามารถนั่งลงกินข้าวพร้อมหน้าพร้อมตากับครอบครัวที่พร้อมจะอยู่เคียงข้างเราเสมอ เพราะไม่มีอะไรจะแย่ไปกว่าการที่หิวโซแล้วยังต้องอยู่สู้ชีวิตตามลำพังอีกแล้วล่ะเนอะ แหม่... อนิเมะจากสตูดิโอนี้เขามีสาระมาฝากอีกแล้วครับทั่น!


นางเอกและบรรดาวงศาคณาญาติของเธอ
  • น่าดูเพราะ: เป็นอนิเมะที่ ลายเส้นงดงาม ดูเพลิน ดูสนุก ให้แง่คิดอีกต่างหาก คออนิเมะไม่ควรพลาด
  • ไม่น่าดูเพราะ: ไม่มีอะไรเกินคาด ขาดอะไรที่ดูแล้ว 'โอ้โห' และถ้าชอบอนิเมะแนวบู๊ระเบิดดาวล่ะบอกผ่านได้เลย




 

Create Date : 25 มิถุนายน 2553    
Last Update : 25 มิถุนายน 2553 8:24:50 น.
Counter : 3778 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  

Nanatakara
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 43 คน [?]




  • Friends' blogs
    [Add Nanatakara's blog to your web]
    Links
     

     Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.