Group Blog
 
All blogs
 

It Might Get Loud (2008): สนทนาภาษาร็อค



It Might Get Loud (2008) :
เห็นโปสเตอร์สารคดีเรื่องนี้ปุ๊บก็น่าจะเดาได้ไม่ยากเลยว่างานนี้เกี่ยวกับดนตรีแน่นอน ซึ่งถ้าหากท่านเป็นคอเพลงร็อคด้วยแล้วล่ะก็เป็นได้ซี้ดซ้าดกันด้วยความเสียวซ่านแน่ เพราะบนโปสเตอร์โชว์หราชื่อของสามเซียนกีต้าร์สามหนุ่มสามเจเรเนชั่นไล่ตั้งแต่ Jimmy Page (68 ขวบ) มือกีต้าร์สุดเทพของ Led Zeppelin วงร็อคในตำนานจากเกาะอังกฤษ, The Edge (51 ขวบ) มือกีต้าร์จอมเทคนิคของ U2 วงร็อคก้องโลกจากไอร์แลนด์ และหนุ่ม Jack White (37 ขวบ) แห่งวง The White Stripes และ The Raconteurs จากอเมริกา (โอ้ว!!!)

สามหนุ่มสามรุ่นมาแจมกีต้าร์กันจนมันส์หยดติ๋งๆ
สารคดีทำเก๋ในการจีบให้ทั้งสามมานั่งแลกเปลี่ยนทัศนคติทางดนตรีกันอย่างเปิดอกและเป็นกันเอง เพื่อพูดถึงรากเหง้าทางดนตรี ความลุ่มหลงในดนตรี เล่าถึงอดีตที่มาที่ไปของตนกว่าจะมาดัง และยังแลกเปลี่ยนเทคนิคสไตล์การเล่นของแต่ละคนแก่กัน ก่อนจะปิดท้ายด้วยการแจมเพลง "The Weight" ของ The Band กันอย่างม่วนซื่นโฮแซวทั้งคนเล่นคนดูอีกด้วย นับเป็นอะไรที่หาดูไม่ใช่ง่ายๆ เลยนะเนี่ย ขอบอก!! 

มาดยิ้มกริ่มของหนุ่ม Jack White ผู้มากความสามารถ
ผกก.Davis Guggenheim เจ้าของผลงานสารคดีรักษ์โลกเรื่องดังอย่าง An Inconvenient Truth (2006) พาเราก้าวเข้าสู่โลกของดนตรีร็อคโดยมีสามมือกีต้าร์ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันมาทำหน้าที่เป็นไกด์กิตติมศักดิ์นำเที่ยวย้อนรอยชีวิตในอดีตของแต่ละคน ตัดสลับกับการที่ทั้งสามมานั่งจับเข่าคุยกันสดๆ ในโรงถ่าย ซึ่งงานนี้ไม่มีคำว่าน่าเบื่อเจือปนอยู่แม้แต่นิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าหากท่านเป็นคอเพลง แฟนเพลงของพวกเขา หรือผู้รักการเล่นดนตรีด้วยแล้วล่ะก็ งานนี้ต้องปลื้มกันสุดๆ ไปเลยทีเดียว!!

น้า The Edge กับสำเนียงกีต้าร์ที่เท่อย่าบอกใคร
ส่วนการเลือกเอาทั้งสามมานั้นก็นับว่าเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจเพราะนอกจากจะมากันคนละยุคสมัยแล้ว ทั้งสามยังต่างพื้นเพ ต่างสังคม ต่างวิถีชีวิตกันจนส่งผลต่อทางดนตรีของพวกเขาอีกด้วย อาทิ Jimmy Page ที่เคยเล่นเพลงป็อปสมัยวัยรุ่น และเคยเป็นมือกีต้าร์รับจ้าง ซึ่งได้รับอิทธิพลจากเพลงสไตล์บลูส์ โฟล์คและแจ๊ซ ก่อนจะมาเป็น Led Zeppelin ในที่สุด, The Edge ที่ยากจนข้นแค้นจนต้องทำกีต้าร์ขึ้นมาเล่นเอง และได้รับอิทธิพลจากวงพั้งค์ในช่วงยุค 70 ซึ่งทำให้อยากตั้งวงมาปลดปล่อยกับเขาบ้าง, Jack White ที่ก็จนเหมือนกัน แต่ก็ลุ่มหลงในดนตรีมาตั้งแต่วัยรุ่น โดยเฉพาะดนตรีแนวบลูส์และการาจร็อค ในขณะที่วัยรุ่นยุคนั้นเขาฟังแต่เพลงเฮ้าส์และเพลงแด๊นซ์กระป๋องกัน!!

Jack White โชว์เทพในการประดิษฐ์กีต้าร์ไฟฟ้าจากเศษไม้และขวดโค้ก
อย่างที่บอกว่าถ้าหากท่านเป็นคอเพลง นักดนตรี หรือผู้ที่สนใจแล้วจะพบว่าสารคดีเรื่องนี้ช่างสุดยอดจริงๆ แต่ถ้าหากเป็นขาจรคนทั่วไปก็อาจจะไม่ค่อยอินและไม่ค่อยจะเข้าใจเท่าไหร่นัก กระนั้นถึงจะเป็นสารคดีเกี่ยวกับดนตรีร็อคแบบเน้นๆ เช่นนี้ก็ยังอุตส่าห์มีข้อคิดมาฝาก อย่างเช่นการที่ทั้งสามมีทุกวันนี้ขึ้นมาได้ นอกจากพวกเขาจะมีฝีมือเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว (อันนี้แน่นอน) พวกเขายังมีความมุ่งมั่น ทุ่มเท และกล้าที่จะลุกขึ้นมาทำบางสิ่งบางอย่างที่แตกต่าง เพื่อตามให้ทันความใฝ่ฝัน ซึ่งตรงนี้นี่แหล่ะที่ทำให้พวกเขามายืนอยู่ในจุดนี้ จุดที่พวกเขากลายเป็นตำนานและเป็นที่รักของแฟนเพลงทั่วโลกได้ในทุกวันนี้!!
  • + สารคดีเพื่อชาวร็อค คอเพลง นักดนตรี หรือผู้ที่สนใจ ดูไม่น่าเบื่อและเต็มไปด้วยความรู้ เจ๋งๆ
  • - สำหรับขาจรทั่วไปคงดูไม่น่าสนใจเท่าไหร่



*ของแถม*
เราเอาคลิปช่วงเอนด์เครดิตของสารคดีที่ทั้งสามมาร่วมร้องเล่น "The Weight" ของ The Band ได้อย่างน่าจดจำ มาฝากด้วยจ้า :D 




*รีวิวสารคดีสำหรับคนพันธุ์ร็อคเรื่องอื่นๆ ภายในบล็อก*




 

Create Date : 30 กันยายน 2555    
Last Update : 30 กันยายน 2555 2:22:58 น.
Counter : 2801 Pageviews.  

Jiro Dreams of Sushi (2011): เจาะตำนานซูชิขั้นเทพ



Jiro Dreams of Sushi (2011) :
หากจะพูดถึงอาหารญี่ปุ่นยอดนิยมอันดับต้นๆ ของคนไทยเราแล้ว แน่นอนเป็นต้องนึกถึง มาม่า...อาหร่อย ไม่ใช่สิ ต้อง 'ซูชิ' หรือ 'ข้าวปั้นมีหน้า' ที่ได้รับความนิยมสุดๆ ขนาดที่ว่าเวลาไปห้างเดินผ่านร้านอาหารญี่ปุ่นเป็นต้องเห็นคนไปใช้บริการจนแน่นร้านอยู่เกือบตลอด แม้ว่าสนนราคาเมนูซูชิจะไม่ใช่ถูกๆ ก็ตาม ส่วนคนเบี้ยน้อยหอยน้อย (อย่างเรา) ก็ไม่ต้องกลัวตกเทรนด์เพราะเดี๋ยวนี้เขามีทำขายแถวตลาดนัดชิ้นละห้าบาท สิบชิ้นแถมหนึ่งให้ได้เลือกหม่ำด้วยนะ ขอบอก เหอๆ

ปรมาจารย์ซูชิอันดับหนึ่งของญี่ปุ่น (และของโลก)
พล่ามมาซะยืดยาว เรื่องของเรื่องก็คือหนังสารคดีเรื่องนี้นั้นจะพาท่านไปพบกับยอดปรมาจารย์ซูชิชาวญี่ปุ่นนาม จิโร่ โอโนะ วัย 85 ขวบ (ในขณะถ่ายทำ) แห่งร้าน สุกิบายาชิ จิโร่ ที่ถึงเป็นร้านเล็กๆ มีความจุแค่สิบที่นั่งแต่ก็ขึ้นชื่อเรื่องความอร่อยจนสามารถคว้าสามดาวจาก Michelin Guide มาครอง ซึ่งมีเพียงแค่ 14 ร้านในโตเกียว (และแถบใกล้เคียง) เท่านั้นที่ได้สามดาวหมึกดำชวนชิมนี้มาครอง จากบรรดาร้านอาหารทั้งสิ้นกว่า 266 แห่งและโรงแรมอีก 46 แห่ง รัฐบาลญี่ปุ่นเลยยกย่องให้แกเป็น 'บุคคลผู้เป็นสมบัติของชาติ' ส่งผลให้ประชาชีแห่แหนไปกินร้านแกจนต้องจองล่วงหน้ากันถึงสองเดือนกว่าจะถึงคิวอร่อยเลยทีเดียว (ส่วนสนนราคาก็แพงหูฉี่เหยียบหมื่นบาทต่อหัวเลยล่ะครั่บ)

นี่คือสารคดีเพื่อคนที่ชอบกินซูชิ
David Gelb ผกก.หนุ่มวัย 29 ขวบรับหน้าที่ถ่ายทอดเรื่องราวของปู่จิโร่ได้อย่างน่าชื่นชม ด้วยการพาไปดูทุกขั้นตอนการทำซูชิที่ใส่ใจในทุกรายละเอียดแบบสุดๆ ของปู่และบริวาร จนออกมาเป็นซูชิที่อร่อยแสงออกปากเงินหมดกระเป๋า พร้อมกับเจาะเรื่องราวชีวิตของปู่และลูกชายทั้งสอง และปรัชญาการทำงาน การดำเนินชีวิตของปู่ที่มองการทำซูชิเปรียบดั่งงานศิลป์ เป็นงานที่แกมอบถวายชีวิตให้กับมันแบบไม่มีลิมิตชีวิตเกินร้อยมาตลอดหลายสิบปี จนไม่มีทีท่าว่าแกจะยอมปลดเกษียณให้ลูกชายมารับช่วงต่อซะที (จะขอทำจนตายว่างั้นเหอะ)

สองพ่อลูกช่วยกันทำมาหากิน
งานนี้คนที่ชอบกินซูชิคงจะถูกใจกันเป็นพิเศษ เพราะหนังจัดซูชิมายั่วน้ำลายแบบเต็มๆ หลากหลายหน้า ชนิดที่ว่าอย่าได้ดูสารคดีเรื่องนี้ในขณะท้องว่าง เพราะหากดูแล้วต้องทำให้ท่านน้ำลายยืดอยากกินซูชิขึ้นมาอย่างสุดๆ เป็นแน่ ตัวสารคดีทำออกมาแบบเรียบง่าย นุ่มนวล แต่ดูเพลินไม่น่าเบื่อ เต็มไปด้วยข้อคิดดีๆ จากคุณปู่ รวมทั้งให้สาระความรู้ในเรื่องวิถีชิวิตอีกมุมหนึ่งของชาวญี่ปุ่น แม้ว่าจะยังเจาะชีวิตของปู่และครอบครัวได้ไม่ค่อยลงลึกเกินไปกว่าเรื่องที่ทำงานก็ตามที (คือไม่ยักพาไปดูบ้านปู่ซะหน่อยว่าแกนอนที่ไหนยังไง)

ขายซูชิจนรวยแทบแย่ยังปั่นจักรยานไปซื้อปลาอยู่เลย
จริงๆ แล้วหนังมีประเด็นที่น่าสนใจมานำเสนอเยอะแยะ แต่ตัวสารคดีเลือกที่จะเน้นไปที่ความลุ่มหลงในซูชิของปู่จิโร่ ที่ความทุ่มเทอุตสาหะของแกตลอดทั้งชีวิตที่ผ่านมาก็ได้ส่งผลให้แกมีชื่อเสียงระดับโลกและกลายเป็นตำนานที่ยังมีลมหายใจไปแล้วในทุกวันนี้ ซึ่งสารคดีเรื่องนี้ก็แสดงให้เห็นอีกครั้งว่าชาวญี่ปุ่นเนี่ยเวลาจะทำอะไรก็ทุ่มเทตั้งใจโคตรๆ ซึ่งเป็นวิธีคิดและค่านิยมที่น่าเอาเยี่ยงอย่างจริงๆ ว่าแล้วก็ไปตลาดนัดหาซื้อซูชิชิ้นละห้าบาทมากินตามยถากรรมต่อดีกว่าเรา หุหุ

นี่ไม่ใช่ขบวนการพาวเวอร์เรนเจอร์หรือวงบอยแบนด์ที่ไหนเน้อ
  • + สารคดีสำหรับคนชอบกินซูชิ (แต่ไม่ชอบก็ยังดูเอาสาระได้อยู่) ที่นอกจากจะน่ากิน น่าดูแล้วยังให้ความรู้ ข้อคิดอีกตรึม
  • - ยังเจาะชีวิตของปู่ไม่ครบทุกด้าน และสำหรับคนที่เฉยๆ กับซูชิก็อาจจะเบื่อสารคดีเรื่องเอาได้ง่ายๆ นะ



*รีวิวสารคดีที่เกี่ยวกับญี่ปุ่นเรื่องอื่นๆ ภายในบล็อก*




 

Create Date : 09 กรกฎาคม 2555    
Last Update : 9 กรกฎาคม 2555 18:17:06 น.
Counter : 3555 Pageviews.  

Pearl Jam Twenty (2011): ความหลังพลังร็อค


Pearl Jam Twenty (2011) :
คอเพลงสากลที่โตทันต้นยุค '90 ซึ่งเป็นสมัยที่เพลงร็อคแนวกรั๊นจ์ครองโลกนั้นคงจะรู้จัก 4 วงหัวหอกของแนวนี้จากซีแอตเทิล อเมริกา อย่าง Nirvana, Pearl Jam, Soundgarden และ Alice in Chains (ที่เราขอเรียกว่า 4 จตุรกรั๊นจ์) กันดี แม้ว่าหลังการจากไปของ Kurt Cobain แห่ง Nirvana จะมีส่วนทำให้เพลงแนวนี้ค่อยๆ เสื่อมความนิยมลงและส่งผลให้วงชั้นนำที่เหลือแตกวงกันไปในเวลาต่อมา (ก่อนจะกลับมาฟอร์มวงกันใหม่เมื่อไม่นานมานี้) แต่ก็ยังมีวงหนึ่งในจตุรกรั๊นจ์ที่ยังอยู่ยงคงกระพันมาจนทุกวันนี้ ซึ่งนั่นก็คือ Pearl Jam นั่นเอง


ลีลาร็อคสุดเร้าใจของทางวง
และในวาระดิถีที่ Pearl Jam โลดแล่นบนถนนสายดนตรีร็อคมาได้ 20 ปี (กับผลงาน 9 อัลบั้ม) ผกก.Cameron Crowe แห่ง Almost Famous (2006) จึงขอทำสารคดีย้อนรอยตำนานร็อคของทางวงเรื่องนี้ขึ้นมา โดยคัดเอาช็อตเด็ดๆ จากบรรดาฟุตเตจหายากของวงที่มีความยาวกว่า 12,000 ชม.มานำเสนอ พร้อมภาพการสัมภาษณ์สมาชิกแต่ละคนของวง รวมถึงบรรดาคนดังที่เกี่ยวข้องอย่าง Chris Cornell แห่ง Soundgarden ไปจนถึงกระทั่ง ผกก.David Lynch เลยเชียว


เฮีย Eddie เคยมานั่งเรือชมคลองที่เมืองไทยด้วย
ในสารคดีเล่าเรื่องราวตั้งแต่สมัยพวกเขายังหนุ่มแน่นสมัยเป็นวง Green River และ Mother Love Bone กระทั่งมาเป็นวง Pearl Jam ที่ประสบความสำเร็จมหาศาลตั้งแต่อัลบั้มแรกอย่าง 'Ten (1991)' การมีคดีความกับ Ticketmaster กระทั่งเกิดโศกนาฏกรรมที่แฟนเพลงเบียดกันตาย 9 ศพในคอนเสิร์ตที่ Roskilde Festival ประเทศเดนมาร์ก เมื่อปีค.ศ.2000 และเรื่องดีๆ ร้ายๆ อีกมากที่วงเคยประสบพบเจอมา


ผกก.Crowe ชักรูปกับเฮีย Eddie สมัยยังหนุ่ม
สำหรับคนที่ชื่นชอบวงนี้อยู่แล้วคงจะเป็นปลื้มที่ได้ย้อนอดีตไปสัมผัสความยิ่งใหญ่ของพวกเขาอีกครั้ง สารคดีเล่าเรื่องอย่างลื่นไหล เต็มไปด้วยภาพหายากที่แสดงให้เห็นตัวตนของพวกเขา ทั้งลีลาการแสดงสดที่แสนเร้าใจและเต็มไปด้วยพลังของคนหนุ่ม ความรักใคร่กลมเกลียวกันของสมาชิกภายในวงที่เป็นเหมือนทั้งเพื่อนและพี่น้อง (แม้แต่ความสัมพันธ์อันแนบแน่นระหว่างวงอื่นๆใน ซีแอตเทิลเอง) หรือการที่ไม่เคยเปลี่ยนตัวสมาชิกในวงเลยตลอดยี่สิบปีที่ผ่านมา ยกเว้นก็แต่มือกลองที่เปลี่ยนไปหลายคนแล้ว


เปรียบเทียบเฮีย Eddie สมัยยังหนุ่มและปัจจุบัน
และก็อย่างว่าที่หนังเหมาะสำหรับแฟนเพลงของวงและผู้สนใจความเป็นมาของวงที่พอจะรู้เรื่องราวของซีนดนตรีสมัยนั้นมาบ้าง แต่สำหรับขาจรแล้วก็คงไม่ค่อยเข้าใจนักนอกจากภาพของวงดนตรีร็อคเคยดังมากจากยุค '90 วงหนึ่ง ที่หลายครั้งเคยเมาปลิ้นในขณะแสดงสดตามประสาคนหนุ่ม ที่ตอนนี้ก็เริ่มแก่และนิ่งกันแล้ว แต่เอาเป็นว่าใครอยากรู้จักกับวงที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นวงร็อคอเมริกันยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งทศวรรษที่ '90 วงนี้แล้วล่ะก็ ไม่มีผิดหวังแน่นอนจ้า


Pearl Jam ยุคปัจจุบัน
แม้ปัจจุบันพวกเขาจะไม่ดังเปรี้ยงปร้างเหมือนในอดีต แต่ก็มีแฟนประจำทั้งรุ่นเก่ารุ่นใหม่ที่ยังตามสนับสนุนผลงานอยู่เสมอ สารคดีปิดท้ายอย่างน่าประทับใจกับภาพของแฟนเพลงที่ให้สัมภาษณ์ได้อย่างน่าฟังว่า หลายปีที่ผ่านมานี้ Pearl Jam ผ่านร้อนผ่านหนาวมามาก แต่ปัจจุบันก็เปรียบเสมือนแค่การเริ่มต้นของทางวงเท่านั้น ซึ่งนั่นก็คือการเริ่มต้นของการเป็น'ตำนาน'ที่ยังมีลมหายใจอยู่ ที่จะยังคงยืนหยัดอยู่คู่วงการร็อคต่อไปอย่างที่ในเพลง 'Alive' ของพวกเขาเคยบอกเอาไว้ว่า...

I, oh, I'm still alive
Hey I, oh, I'm still alive
Hey I, but, I'm still alive
Yeah I, ooh, I'm still alive
Yeah yeah yeah yeah yeah yeah

yeah! สู้ต่อไปนะเฮียๆ ทั้งหลาย ข้าน้อยขอคารวะสามจอกเลยครั่บ ^^
  • + สารคดีร็อคสุดเจ๋งของวงร็อคสุดแจ่มแห่งยุค '90 คนที่เป็นแฟนเพลงของวงนี้และผู้สนใจไม่ผิดหวังแน่นอน
  • - เหมาะสำหรับคอเพลงร็อค หรือแฟนเพลงที่สนใจเท่านั้น ขาจรคงไม่หือไม่อือเท่าไหร่นัก




*ช่วงเพลงในหนัง*

Pearl Jam สมัยเหล่าสมาชิกยังผมดกปรกไหล่
เป็นสารคดีร็อคเยี่ยงนี้ก็ต้องมีเพลงของ Pearl Jam มาให้ฟังเพียบอยู่แล้ว ซึ่งก็มีทั้งเพลงจากบันทึกการแสดงสด หรือจากอัลบั้ม และสำหรับผู้ที่เกิดไม่ทันวงนี้ หรือไม่คุ้นเคยกับผลงานของพวกเขา เราก็มีมาให้ดูให้ฟังกัน ทั้งการแสดงสดและเอ็มวี โดยจะขอเลือกเอาเพลงสมัย 'Ten' อัลบั้มชุดแรกที่ทำให้พวกเขาประสบความสำเร็จระดับโลกและเป็นหัวหอกนำเพลงแนวกรั๊นจ์ ให้เป็นที่นิยมร่วมกับ Nirvana (และอีกหลายวง) ว่าแล้วก็มาฟังมาดูกันเลยจ้า

ดูจำนวนคนที่มาดูก็รู้ว่าพวกเขาดังแค่ไหน



MV เพลงสุดฮิตของพวกเขา


MP3: Pearl Jam - Jeremy


ลีลาการแสดงสดสุดเร้าใจ



เพลงจาก 'Backspacer' ชุดล่าสุดเมื่อปี 2009 ของพวกเขา




*รีวิวสารคดีร็อคเรื่องอื่นๆ ภายในบล็อก*




 

Create Date : 31 ตุลาคม 2554    
Last Update : 31 ตุลาคม 2554 18:41:09 น.
Counter : 3719 Pageviews.  

Foo Fighters: Back and Forth (2011): ย้อนตำนานควายถึกอัลเทอร์ฯ

Foo Fighters: Back and Forth (2011) :
สำหรับบรรดาคอเพลงร็อคสากลออกแนวอัลเทอร์ฯ แล้ว คงจะรู้จักกันดีกับวง Foo Fighters ที่นำโดยเฮีย Dave Grohl (อดีตมือกลองแห่ง Nirvana) ที่สื่อดนตรีไทยบางเจ้าเคยตั้งฉายาให้เฮียว่า 'ควายถึกแห่งวงการอัลเทอร์เนทีฟ' ซึ่งก็ไม่ได้หมายความว่าเฮียเขาโง่จนเคี้ยวหญ้าหรอกนะแต่หมายถึงความทนทานสุดอึดชนิดไม่หวั่นแม้วันมามากของเฮียต่างหากเล๊า อิอิ


จากไอ้หนุ่มผมยาวกลายเป็นไอ้หนุ่มใหญ่ผมยาวไปซะแล้ว
แต่น้อยคนนักที่จะรู้ว่า Foo Fighters ซึ่งโลดแล่นบนถนนสายร็อคมากว่า 16 ปี ด้วยสตูดิโออัลบั้มอีก 7 ชุด และกลายเป็นวงร็อคระดับเต้ยไปแล้วในทุกวันนี้ กว่าที่พวกเขาจะมายืนอยู่จุดนี้ได้นั้นต้องผ่านอุปสรรคขวากหนามสุดดราม่ามามากมายแค่ไหน ว่าแล้ว ผกก.James Moll มือทำสารคดีสุดเก๋า จึงขออาสาพาท่านย้อนตำนานของวงไปยังสมัยที่วงเพิ่งตั้งไข่เมื่อปี 1994 มาจนกระทั่งถึงช่วงที่พวกเขาบันทึกเสียงอัลบั้มชุดล่าสุด Wasting Light ที่เพิ่งวางแผงไปเมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมานี่เอง


(ซ้าย) บรรยากาศการทำสารคดี
สารคดีเล่าเรื่องตั้งแต่สมัยที่เฮีย Grohl ยังอยู่สุดยอดวงกรั๊นจ์ในตำนานอย่าง Nirvana จนกระทั่ง Kurt Cobain ฆ่าตัวตายชนิดแฟนเพลงช็อคกันไปทั้งโลก เขาจึงต้องตัดสินใจเลือกก้าวที่สำคัญอีกก้าวของชีวิต ระหว่างการไปเป็นมือกลองให้วงอื่นๆ ไปตลอดชีวิต หรือจะลุกขึ้นมาจับกีต้าร์ร้องเพลงและตั้งวงให้เป็นเรื่องเป็นราวตามฝัน ซึ่งก็แน่นอนที่เขาเลือกอย่างหลัง แต่การที่เขาเลือกมาตั้งวงก็แทบจะเป็นการกลับไปเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่เลยทีเดียว เพราะลำพังไอ้ชื่อเสียงบุญเก่าที่ติดตัวมาจาก Nirvana ก็คงช่วยให้เขาหากินได้ไม่นาน ถ้าเขาไม่เจ๋งพอก็คงจะเจ๊งไปในที่สุดแน่

น้า Pat ฉุขึ้นตามสังขาร
แต่เขาก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่ามีดีพอ และพาวงผ่านมรสุมต่างๆ นาๆ มาได้ แม้จะมีขลุกขลักขลุกขลิกทั้งจากตนเองและคนรอบข้างให้เสียเซลฟ์เป็นระยะๆ ก็ตาม จนถึงจุดที่ประสบความสำเร็จมหาศาล กลายเป็นวงร็อคเจ้าประจำของรางวัลแกรมมี่และเล่นคอนเสิร์ตระดับ เวมบลีย์ สเตเดี้ยม มีคนมาดูทีเป็นหมื่นๆ ซึ่งตอนเล่นคอนเสิร์ตที่นั่นเฮียเขาก็ถึงกับหลั่งน้ำตาด้วยความปลาบปลื้มชนิดเม้มไม่อยู่ที่วงของตนซึ่งมีแต่คนสบประมาทในตอนแรกนั้นจะมาได้ไกลถึงเพียงนี้ และก้าวพ้นจากเงาของ Nirvana อย่างเต็มภาคภูมิได้ในที่สุด

(ขวา) รูปสมัยวงเพิ่งตั้งไข่
หนังเล่าเรื่องราวตั้งแต่อดีตแบบเป็นขั้นเป็นตอน โดยตัดภาพไปมาระหว่างการสัมภาษณ์สมาชิกวงกับคลิปวีดีโอบันทึกการแสดง และรูปภาพเก่าๆ ตามพิมพ์นิยมของสารคดีทั่วๆ ไป ซึ่งก็ดูไม่งงและเข้าใจง่ายดี แล้วการที่เฮีย Grohl แกเป็นคนฮาๆ เลยมักปล่อยมุกหรือทำหน้าตาตลกๆ ให้ได้ขำกันตลอดด้วย แต่สำหรับขาจรทั่วไปคงจะไม่ค่อยหือไม่ค่อยอือเท่าไหร่ เมื่อเทียบกับแฟนๆ พันธุ์หนักที่น่าจะดื่มด่ำกับสารคดีได้มากเป็นพิเศษ เพราะนอกจากจะได้รู้ความเป็นมาของ Foo Fighters แบบจะๆ แล้ว ยังได้เห็นซีนดนตรีร็อคยุค '90 อีกด้วยแหน่ะ

หน้าตาของ ผกก.สารคดีเรื่องนี้
อีกสิ่งที่น่าประทับใจคือถึงแม้พวกเขาจะเป็นวงร็อคระดับโลก แต่ก็ให้ความสำคัญต่อครอบครัวของตนเสมอ โดยเฉพาะเฮีย Grohl ผู้เป็นแกนหลักของวง ซึ่งมีอยู่ตอนหนึ่งที่ต้องปลีกตัวกลางคันจากการบันทึกเสียงที่กำลังติดพัน เพราะต้องพาลูกสาวสุดที่รักไปเล่นน้ำตามที่เคยให้สัญญาไว้ ก่อนจะรีบแจ้นกลับมาบันทึกเสียงกันต่อชนิดผมยังไม่ทันแห้งดีเลย และเฮียยังอุตส่าห์ทิ้งท้ายสารคดีไว้แบบฮาๆ ว่า "นี่ถ้าผมรู้ว่าวงจะมาได้สวยขนาดนี้นะ คงไม่ตั้งชื่อวงเห่ยๆ ว่า Foo Fighters ตั้งแต่แรกหร๊อก" (ฮ่าฮ่า)
  • + เป็นสารคดีเกี่ยวกับความเป็นมาของ Foo Fighters ที่แฟนๆ หรือผู้ที่อยากทำความรู้จักกับวงนี้มากขึ้นไม่ควรพลาดเลยเชียว
  • - สำหรับขาจรทั่วไปก็คงจะเห็นเป็นแค่สารคดีวงดนตรีธรรมดาๆ นั่นแหล่ะ




*ช่วงเพลงในหนัง*

ปัจจุบันนี้พวกเขากลายเป็นวง 5 หน่อไปซะแล้ว
หลายคนที่กำลังดูสารคดีเรื่องนี้คงจะคิดกันอยู่เลยว่าทำไมไม่เห็นนาย Krist Novoselic อดีตมือเบสของ Nirvana โผล่มาให้สัมภาษณ์ถึงเฮีย Grohl เพื่อนเก่าบ้างหนอ แต่แล้วในตอนหนึ่ง Novoselic ก็โผล่มาร่วมบันทึกเสียงโดยเล่นเบสให้เพลง I Should Have Known ที่อยู่ในอัลบั้ม Wasting Light ซะด้วย ซึ่งแม้จะโผล่มาให้เห็นแป๊บๆ แต่สำหรับคนที่เป็นแฟนเพลงของ Nirvana คงได้เป็นปลื้มกันมากมายที่ได้เห็น Novoselic กับ Grohl กลับมาร่วมงานกันอีกครั้ง (แม้จะแค่เพลงเดียวก็เหอะ) ว่าแล้วเราก็มีเพลงนี้มาให้ฟังอีกทีซะเลยจ้า

MP3: Foo Fighters - I Should Have Known


*รีวิวสารคดีดนตรีเรื่องอื่นๆ ภายในบล็อก*




 

Create Date : 30 กรกฎาคม 2554    
Last Update : 30 กรกฎาคม 2554 6:31:54 น.
Counter : 2594 Pageviews.  

A Film Unfinished (2010): หนังเรื่องนี้มีแต่จุ๊


A Film Unfinished (2010) :
หลังจากสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่สอง มีการค้นพบฟิล์มหนังขาวดำสี่ม้วนที่ฝ่ายเยอรมันเก็บซ่อนไว้ในหุบเขา โดยหนังเรื่องนี้ไม่มีชื่อหรือเครดิตทีมสร้าง นอกจากจะเขียนไว้บนตลับฟิล์มว่า 'The Ghetto' ซึ่งพอนำมาเปิดดูก็พบว่าเป็นหนังโฆษณาชวนเชื่อที่ฝ่ายนาซีสร้างขึ้นเพื่อแสดงให้โลกเห็นว่า ชาวยิวจำนวนสี่แสนสี่หมื่นคนที่ถูกรวบรวมไปอาศัยรวมกันอยู่ภายในเขตแออัดขนาดสามไมล์ ณ กรุงวอร์ซอว์ โปแลนด์ เมื่อปี 1942 นั้น มีคนจำนวนหนึ่งที่อยู่กันสุขสบายมากแค่ไหน


โปรดักชั่นหนังเรื่องนี้ใหญ่กว่าระดับฮอลลีวู้ดเลยนะเนี่ย
แต่ในขณะเดียวกันก็ยังแสดงให้เห็นว่ายังมีชาวยิวอีกจำนวนหนึ่งที่มีความเป็นอยู่ต่างกันราวฟ้ากับเหว เพราะต้องอยู่อย่างแออัดยัดเยียด ยากจนข้นแค้น อดอยากจนกระทั่งล้มตายเป็นจำนวนมาก และในแต่ละวันจะมีศพหนังหุ้มกระดูกของคนเหล่านั้นนอนเกลื่อนตามท้องถนนให้เห็นอยู่ตลอด ซึ่งก็จะถูกเก็บใส่รถเข็นไปฝังกลบรวมกันราวกับเป็นขยะ แต่ศพพวกคนรวยก็จะถูกนำใส่โลงอย่างหรูแห่ไปฝังในสุสาน โดยการนำเสนอความเป็นอยู่ที่แสนจะขัดแย้งกันเช่นนี้ก็ช่างชวนให้คิดไปว่าชาวยิวที่ร่ำรวยช่างไร้หัวจิตหัวใจและเห็นแก่ตัวเสียจริงๆ


ภาพที่เห็นคือการจัดฉากขึ้นมาทั้งสิ้น
แล้วหนังเรื่องนี้ก็จุดประกายให้ ผกก.ชาวอิสราเอลอย่าง Yael Hersonski ลุกขึ้นมาทำสารคดีตีแผ่ความจริงเกี่ยวกับหนัง โดยได้เชิญชาวยิวบางคนที่เคยอาศัยอยู่ใน Ghetto แห่งนั้น มานั่งดูหนังทุกม้วน และการสืบหาทีมสร้างหนังเรื่องนี้ ที่ก็ตามพบมาได้เพียงคนเดียวเท่านั้น คือตากล้องชาวเยอรมันคนหนึ่ง มานั่งให้สัมภาษณ์ รวมทั้งยังมีข้อมูลจากไดอารี่ของชาวยิวหลายคนในนั้นมาเสริมข้อเท็จจริงให้กระจ่างชัดมากขึ้นอีกด้วย


ฟิล์มหนังยังอยู่ในสภาพดีอยู่เลย
ซึ่งจากปากคำของทุกฝ่ายก็ล้วนบ่งบอกอย่างชัดเจนว่าภาพที่เห็นในหนังเกือบทั้งหมดเป็นการจัดฉากจากฝ่ายเยอรมันทั้งสิ้น โดยเฉพาะภาพความเป็นอยู่อย่างสุขสบายของชาวยิวทั้งหลาย เพราะตามสภาพความเป็นจริงแล้วชาวยิวในนั้นล้วนอยู่กันอย่างตกระกำลำบากไม่ว่าจะยากดีมีจนแค่ไหนก็ตาม และทุกคนล้วนยังต้องจำยอมให้ความร่วมมือเป็นดาราจำเป็นกันแต่โดยดี เพราะถ้าใครไม่ยอมร่วมมือ หรือแสดงไม่โดนใจกองถ่าย ก็ต้องโดนลากไปยิงเป้ากันสถานเดียว


โฉมหน้า ผกก. Yael Hersonski
สารคดีเรื่องนี้ยังคงสามารถตอกย้ำให้เห็นถึงความเลวทรามต่ำช้าของพวกนาซีที่มีต่อชาวยิวสมัยสงครามโลกครั้งที่สองได้อย่างจะๆ อีกครั้งหนึ่ง โดยเฉพาะในแง่ความขี้จุ๊ ที่พยายามจัดฉากให้โลกภายนอกเห็นว่าชาวยิวน่าหมั่นไส้เพียงไหน (แต่ว่าดูยังไงๆ ชาวยิวในหนังก็ช่างน่าสงสารเห็นใจเป็นอย่างยิ่งอยู่ดี) ซึ่งเราก็จะได้ดูฟิล์มทั้งสี่ม้วนกันแบบเต็มๆ สลับกับภาพของชาวยิวบางคนที่มานั่งดูหนังไปด้วยและคอมเม้นต์แฉหนังไปด้วย ในขณะที่ฝ่ายเยอรมันที่ถูกสัมภาษณ์ก็ตอบแบบอ้อมแอ้มด้วยสีหน้าสำนึกผิด มีตราบาปคอยหลอกหลอนมาตลอดชีวิต นี่จึงสารคดีที่มีภาพทางประวัติศาสตร์ที่หาดูได้ยาก ผู้ที่สนใจเกี่ยวกับสงครามโลกครั้งที่สองหรือเรื่องราวของชนชาติยิวก็ไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวงจ้า
  • จุดเด่น: เป็นหนังสารคดีที่เสนอแง่มุมอีกแง่มุมหนึ่งเกี่ยวกับชาวยิวในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองได้อย่างน่าสนใจ กับฟุตเตจฟิล์มที่หาดูที่ไหนไม่ได้อีกแล้ว
  • จุดด้อย: มีแต่ภาพหนังขาวดำชีวิตความเป็นอยู่ของชาวยิวในนั้น ที่ไม่ชวนเจริญหูเจริญตานัก จึงไม่ใช่สารคดีที่ดูกันเพลินได้สำหรับทุกคน แต่น่าจะเหมาะกับผู้ที่สนใจเฉพาะทางจริงๆ มากกว่า





*รีวิวหนังที่เกี่ยวกับชาวยิวสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง ภายในบล็อก (คลิกรูปเพื่ออ่าน)*




 

Create Date : 14 มีนาคม 2554    
Last Update : 7 ตุลาคม 2554 2:07:33 น.
Counter : 2780 Pageviews.  

1  2  3  4  

Nanatakara
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 43 คน [?]




  • Friends' blogs
    [Add Nanatakara's blog to your web]
    Links
     

     Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.