Group Blog
 
All blogs
 

13 Assassins (2010): 13 ดาบดับเกรียนทรราช


ญี่ปุ่น

13 Assassins (2010) :
ผกก.ทาคาชิ มิอิเกะ ราชาหนังแนวเหวอปนซาดิสม์จากแดนปลาดิบ เจ้าของผลงานขวัญใจคอหนังคัลต์อย่าง Audition (1999), Visitor Q (2001), Ichi the Killer (2001) ฯลฯ นับเป็น ผกก.ที่ขยันจนถึงขั้นบ้าพลังสุดๆ คนหนึ่งแห่งยุคนี้ เพราะเฮียแกเล่นทำหนังดะไปหมดซะแทบทุกแนวตั้งแต่หนังผี หนังเพลง หนังคาวบอยไปยันหนังยอดมนุษย์ (ป๊าด!) และมีผลงานออกมาปีละสองสามเรื่องเป็นเรื่องปกติของแกเลยล่ะ


งานนี้บู๊กันซะหัวล้านไปตามๆ กันเชียว
และสำหรับหนังซามูไรที่รีเมคจากหนังขาวดำชื่อเดียวกันที่ออกฉายเมื่อปี 1963 เรื่องนี้ของเฮียแก ก็ออกมาแจ่มแจ๋วจนได้เข้าชิงรางวัล Japan Academy Prize (ออสก้าร์ของญี่ปุ่น) ปีล่าสุดถึง 10 สาขา (แต่สุดท้ายหนัง Confessions ของเจ๊ ทาคาโกะ มัตสึ ก็ซิวรางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมไปซะนี่) แถมยังได้เข้าชิงรางวัลสิงโตทองคำจากเทศกาลหนังเวนิสครั้งล่าสุดเสียด้วยสิ (แต่ก็แห้วอีกงาน)

หนังมีทุนหนาไม่ใช่เล่น
หนังสร้างจากเหตุการณ์จริงในประวัติศาสตร์ของญี่ปุ่นเมื่อซามูไร 13 คนถูกมอบหมายให้ไปลอบสังหารขุนนางจอมชั่วช้าที่เป็นถึงน้องชายต่างมารดาของโชกุน เพราะถ้าขืนปล่อยให้หมอนี่ลอยนวลได้เป็นใหญ่เป็นโตกว่านี้ในอนาคตแล้วล่ะก็บ้านเมืองคงต้องลุกเป็นไฟเป็นแน่แท้ ซึ่งก็แน่นอนว่างานนี้คงจะไม่ใช่อะไรที่ง่ายๆ เลย เพราะพวกเขาทั้ง 13 คนต้องฝ่าด่านซามูไรกว่าสองร้อยคนที่คอยอารักขาเป้าหมายรายนี้ไปให้ได้ก่อน


นักแสดงมีแต่คุ้นหน้าคุ้นตาคอหนังญี่ปุ่นกันทั้งนั้น
สำหรับคนที่กลัวใจเฮียว่าจะทำให้เรื่องนี้ออกมาอารมณ์เดียวกับหนังซามูไรสุดเหวอของแกอย่าง Izo (2004) แล้วล่ะก็สบายใจได้เลย เพราะหนังเรื่องนี้ออกจะซีเรียส เข้มข้น จริงจัง ไม่มีเหวอ แถมยังจะค่อนข้างออกไปทางหนังซามูไรยุคเก่าเสียด้วยซ้ำ แต่ในส่วนของความถึงเลือดถึงเนื้อ เลือดสาด บู๊กระจายเนี่ยไว้ใจได้เลย ในขณะที่การได้ร่วมทุนกับนายทุนจากอังกฤษก็ช่วยให้งานด้านเสื้อผ้าหน้าผม ฉากเฉิกอะไรดูดีมีทุนหนา สเกลหนังออกมาดูใหญ่โตไม่ใช่เล่น

ซามูไรเขาชอบตกปลากันนักแล
ช่วงแรกของหนังค่อนข้างจะเนิบนาบปนชวนสับสนกับชื่อของบรรดาตัวละคร แต่พอตั้งหลักได้หนังก็เข้มข้นน่าดู ไปจนถึงช่วงบู๊สะบั้นหั่นแหลกแบบนอนสต๊อปที่คงจะเป็นที่ถูกใจคอหนังซามูไรกันน่าดู จะว่าไปแล้วหนังก็ชวนให้นึกถึง Seven Samurai (1954) อยู่เหมือนกัน เพียงแต่แทนที่พวกพระเอกจะเป็นฝ่ายรับคอยปกป้องชาวบ้านจากพวกโจร ก็กลายเป็นฝ่ายรุกที่ต้องบุกไปสังหารขุนนางชั่วแทน หนังมีสิ่งที่ชวนให้คิดก็คือเรื่องความจงรักภักดีของคนเรา ว่าระหว่างการจงรักภักดียอมรับใช้คนชั่วช้าโดยไม่ลืมหูลืมตานั้น เป็นสิ่งที่พึงกระทำแล้วหรือ
  • + เฮีย มิอิเกะ ทำหนังซามูไรระดับคุณภาพ ขึงขังจริงจัง บู๊กระหน่ำแหลก ไม่มีเหวอ ทุนสูงอีกต่างหาก คอหนังซามูไรทราบแล้วเปลี่ยน
  • - หนังในช่วงแรกเอื่อยและชวนสับสนอยู่บ้าง ส่วนการที่เป็นหนังรีเมคเลยไม่มีอะไรใหม่ๆ เกินคาดเดามาฝากกัน




*รีวิวหนังของ ผกก.ทาคาชิ มิอิเกะ และหนังเรื่องอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องภายในบล็อก*




 

Create Date : 04 เมษายน 2554    
Last Update : 4 กันยายน 2554 19:30:07 น.
Counter : 8194 Pageviews.  

71: Into the Fire (2010): หน่วยรบนักเรียน


เกาหลีใต้

71: Into the Fire (2010) :
นี่คือหนังสงครามที่สร้างมาจากเรื่องจริงซึ่งเกิดขึ้นในช่วงสงครามเกาหลีกำลังร้อนระอุ (ปีค.ศ.1950) เมื่อเหล่านักศึกษาชายจำนวน 71 คนผู้แทบจะไร้ซึ่งประสบการณ์ในการรบต้องมาตรึงกำลัง ณ โรงเรียนแห่งหนึ่งเพื่อต่อต้านการรุกรานจากทหารฝ่ายเกาหลีเหนือจำนวนนับพัน โดยหวังว่าจะมีกองหนุนที่เป็นทหารตัวจริงเสียงจริงโผล่มาช่วยพวกเขาได้อย่างทันควันก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป


ฉากรบพุ่งดุเดือดใช้ได้เลยทีเดียว
ผกก.John H. Lee (A Moment to Remember [2004]) ควงแขนพ่อหนุ่ม ชเว ซึงฮยอน (หรือ T.O.P แห่งวงบอยแบนด์เกาหลีขวัญใจสาวๆ Big Bang) มาพร้อมหนังที่สร้างจากเรื่องจริงทางประวัติศาสตร์อันน่าทึ่งที่เป็นเหมือนกับ 300, ศึกบางระจัน หรือ Alamo ของชาวเกาหลีใต้เอง โดยได้งานสร้างฉากรบพุ่งที่ทุ่มทุน ยิ่งใหญ่ ดุเดือดสมจริงในระดับไม่ยิ่งหย่อนไปกว่า Taegukgi (2004) มาช่วยทำให้หนังออกมาเป็นที่น่าถูกอกถูกใจคอหนังสงครามยิ่งนักเชียว

พ่อหนุ่ม T.O.P เขาหน้ามอมซะตลอดเรื่องเชียว
ทว่าถึงหนังจะเต็มไปด้วยฉากรบพุ่งสุดมันส์และงานสร้างที่ดูดีมีทุนหนา ก็ยังพบว่าหนังยังไม่ค่อยลงตัวนักกับเวลาสองชั่วโมงที่มีอยู่ในด้านการสร้างความผูกพันของคนดูต่อชะตากรรมของทั้ง 71 คนนี้ นอกจากนั้นยังค่อนข้างจะพยายามเค้นอารมณ์ตามประสาหนังเกาหลีและจบแบบตามฟอร์มไปบ้าง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นหนังโดยรวมก็ยังอยู่ในระดับที่น่าพอใจ ดูเอาบู๊ก็สนุก ดูด้านประวัติศาสตร์ก็ได้ความรู้ หรือจะดูหนุ่ม T.O.P ก็ทำหน้าที่ได้ดีชนิดไม่ห่วงหล่อพะวงเก๊กแต่อย่างใด


ดูมาดของทั้งสองฝ่ายเสียก่อน
หนังสร้างอารมณ์เลือดรักชาติกิมจิขึ้นหน้าได้ดีมาก แม้แต่คนที่ไม่ใช่ชาวเกาหลีเองก็ยังรู้สึกอินไปด้วยได้ ซึ่งอีกจุดหนึ่งที่น่าชื่นชมคือการที่หนังไม่ได้ยัดเยียดให้ฝ่ายเกาหลีเหนือเป็นพวกโหดเหี้ยม ม.ม้าหายแต่อย่างใด แต่ดูแล้วก็อดสะท้อนใจเสียมิได้ที่เห็นคนชาติเดียวกัน คนร่วมแผ่นดินเดียวกันต้องมาเข่นฆ่ากันเช่นนี้ ซึ่งแม้ตอนนี้ในบ้านเมืองเราจะเกิดความขัดแย้งแบ่งแยกเป็นหลายก๊วนหลายสี แต่ก็ยังดีอยู่ที่ยังไม่ถึงกับร้ายแรงเท่ากับที่เคยเกิดขึ้นกับชาวเกาหลีเขานะว่ามั้ย?


โหลๆ ที่นี่ที่ไหน?
  • + เป็นหนังสงครามเกาหลีที่สร้างจากเรื่องจริงอันน่าทึ่ง งานสร้างดีเด่น ฉากสงครามสุดแหล่ม คอหนังสงครามไม่ผิดหวังแน่
  • - จบแบบตามฟอร์มและเค้นอารมณ์ไปนิด อีกทั้งยังสร้างความผูกพันต่อคนดูได้ไม่ถึงระดับนัก




*รีวิวหนังแนวศึกบางระจันเรื่องอื่นๆ ภายในบล็อก*





 

Create Date : 02 เมษายน 2554    
Last Update : 8 ตุลาคม 2554 6:33:49 น.
Counter : 3723 Pageviews.  

Noroi: The Curse (2005): คำสาปสยอง ปีศาจหน้ามึน


ญี่ปุ่น


Noroi: The Curse (2005) :
นับตั้งแต่หนังสยองแนว'เรื่องจริงผ่านจอกำมะลอ'อย่าง The Blair Witch Project (1999) เกิดฮิตสนั่นซะ ทั้งๆ ที่หนังก็ไม่ได้สนุกหรือดีเด่อะไรมากมายนัก แต่มันก็ได้กลายเป็นอิทธิพลให้แก่ผู้สร้างหนังรุ่นหลัง จนเกิดหนังแนวกล้องสั่นอย่าง [Rec] (2007), Paranormal Activity (2007), Cloverfield (2008), The Last Exorcism (2010) หรือแม้แต่หนังล่ายักษ์ของนอร์เวย์อย่าง The Troll Hunter (2010) และอีกมากมายที่ไม่ได้ยังเอ่ยถึงในที่นี้ (เพราะยังไม่ได้ดู) ตามมากันให้รึ่ม


คนมันน่ารักจะทำหน้ากลัวก็ยังดูน่ารัก
หนังสยองขวัญจากญี่ปุ่นเรื่องนี้ก็เป็นอีกหนึ่งที่ขอเข้าร่วมขบวนการกล้องสั่นกับเขาด้วย โดยหนังเสนอเรื่องราวของนาย โคบายาชิ มาซาฟูมิ ผู้เชี่ยวชาญเรื่องลี้ลับเหนือธรรมชาติ ที่พยายามออกสืบค้นและไขความลับเรื่องราวลี้ลับทั่วแดนปลาดิบ โดยได้บันทึกเหตุการณ์ทุกอย่างไว้ในกล้องวีดีโอ (ชวนให้นึกถึงดีเจป๋อง กพล ทองพลับ ในใบหน้าที่คล้าย อ.ยิ่งศักดิ์ ชอบกล) ซึ่งไปๆ มาๆ เขาก็พบว่าหลายเหตุการณ์ที่เจอล้วนเกี่ยวข้องกับปีศาจที่ชื่อ 'คากูทาบะ' ทั้งนั้น เขาจึงมุ่งมั่นที่จะค้นหาความจริงเกี่ยวกับเรื่องนี้ จนได้พบพานกับเรื่องราวสุดหลอนมากมายเหลือคณานับเลยเชียว


เห็นผีหน้าตามึนๆ แบบนี้ก็เหอะ แต่หลอนเอาการเลยทีเดียว
ดูหน้าหนังกับพล็อตเรื่องแล้วก็ชวนให้คิดว่าคงจะเป็นเหมือนหนัง j-horror ธรรมดาๆ ทั่วไป แต่ผกก.โคจิ ชิราอิชิ (เจ้าของหนังสุดเสื่อมเรื่อง Grotesque [2008] ซึ่งเป็นเพียงเรื่องเดียวที่ทางบล็อกงดให้ดาว) ก็ฉลาดในการนำเสนอ โดยนอกจากยืนพื้นด้วยการจะใช้เทคนิคกล้องสั่นแล้ว ยังสลับกับการใช้ภาพจากรายการทีวี, ข่าวหรือคลิปเก่าๆจากกล้อง 16 มม. (ซึ่งทุกอย่างปลอมหมด) ที่นอกจากจะทำให้มีความหลากหลายในการนำเสนอแล้ว ยังช่วยสร้างความน่าเชื่อถือให้กับเรื่องราวมากขึ้นไปอีกด้วย


มีภาพจากรายการทีวี (ปลอมๆ) มาให้ดูด้วย
ส่วนด้านความน่ากลัวนั้นก็หลอนและชวนขนลุกเอาการเลยทีเดียว แต่จะเป็นไปในลักษณะที่เน้นบรรยากาศมาคุกับดนตรีประกอบสุดหลอนซะมากกว่าที่จะเล่นมุกผีหลอกตุ๊งแช่ หรือมีผีโผล่มาให้เห็นจะๆ ในขณะที่เหล่านักแสดงก็โอเว่อร์แอ็กติ้งกันตามฟอร์มหนังญี่ปุ่น (หรือคนญี่ปุ่นเขาบุคลิกเป็นแบบนี้กันจริงๆ นะ) ซึ่งก็ทำให้ดูออกกันตั้งแต่แรกเลยว่านี่มันหนัง ไม่ใช่เรื่องจริงผ่านจออย่างที่ตั้งใจทำให้เชื่อ แต่นั่นก็ไม่ใช่ปัญหาเลย เพราะหนังทำได้หลอนมากพอที่จะทำให้คนดูลืมคิดจับผิดไปเลยทีเดียว


แว๊ก!?
แต่ที่ชมมาซะเยอะก็ไม่ใช่หมายความว่าหนังเรื่องนี้จะดูแล้วชอบกันได้ทุกคน เพราะการที่หนังทั้งยาวเกือบสอง ชม. หากแทบไม่มีฉากระทึกๆ ชวนลุ้นเลยเช่นนี้ หลายคนคงจะเซ็งกันได้ง่ายๆ แต่ยังไงซะ ถ้าใครชอบหนังสยองขวัญแนวผีสางที่เน้นบรรยากาศสุดหลอนชวนขนลุก มีวิธีการนำเสนอที่เข้าท่าหลากหลายไม่ได้กล้องสั่นกันตลอดทั้งเรื่องจนน่าเวียนหัว และยังทำให้ได้รู้ถึงความเชื่อในเรื่องภูติผีปีศาจของคนญี่ปุ่นมากขึ้น ก็คงจะถูกใจเรื่องนี้กันแน่ ซึ่งถ้าจะเทียบกับหนังผีญี่ปุ่นอีกหลายๆ เรื่องแล้ว หนังเรื่องนี้กินขาดไปหลายขุมเลยจ้า
  • จุดเด่น: เป็นหนังผีแนวเรื่องจริงผ่านจอกำมะลอจากญี่ปุ่น ที่ทำออกมาได้น่าสนใจ มีวิธีการนำเสนอที่หลากหลาย บรรยากาศของหนังก็หลอนไม่ใช่เล่น
  • จุดด้อย: ถ้าคาดหวังว่าจะเห็นผีจะๆ แบบหนังผีญี่ปุ่นทั่วๆ ไป ก็คงจะผิดหวัง นี่ยิ่งหนังยาวเกือบ 2 ชม.เลยด้วย งานนี้อาจมีเซ็ง





*รีวิวหนังแนว'เรื่องจริงผ่านจอกำมะลอ'และหนังเรื่องอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องในบล็อก*





 

Create Date : 24 กุมภาพันธ์ 2554    
Last Update : 24 กุมภาพันธ์ 2554 0:27:07 น.
Counter : 10323 Pageviews.  

Bedevilled (2010): เกาะสะใภ้คลั่ง


เกาหลีใต้


Bedevilled (2010) :
แฮวอน สาวสวยแต่ไร้คู่วัย 30 ขวบ พนักงานธนาคารในกรุงโซล เจอเรื่องแย่ๆ ประดังเข้ามาในชีวิตเนื่องด้วยความใจแคบของเธอเอง (ซะงั้น) เจ้านายของเธอจึงแนะนำแกมบังคับให้ลาพักร้อนซะหนึ่งอาทิตย์ เธอก็เลยตัดสินใจหลบไปปลีกวิเวกยังเกาะเล็กๆ ไกลปืนเที่ยงแห่งหนึ่ง ซึ่งเธอเคยไปเยี่ยมปู่ยาตายายของเธอสมัยยังเด็ก ถึงตอนนี้พวกท่านจะเสียไปหมดแล้ว แต่แฮวอน ก็ยังมีเพื่อนสมัยเด็กอย่าง บ๊อกนัม ซึ่งอาศัยอยู่ที่นั่นมาตลอดคอยต้อนรับขับสู้เธอเป็นอย่างดี


หนังเรื่องนี้ไม่ได้มีเคียวไว้เกี่ยวข้าวนะจ้ะ
แต่พอไปถึงไม่นานแฮวอนก็เริ่มสังเกตเห็นถึงสิ่งผิดปกติที่เกิดขึ้นที่เกิดขึ้นกับบ๊อกนัม ไม่ว่าจะการที่เธอถูกสามีและบรรดาญาติๆ ที่มีแต่ป้าๆ ยายๆ ข่มเหงอย่างหนัก ซึ่งเธอก็กัดฟันสู้ทนต่อการถูกกระทำระยำตำบอนต่างๆ นาๆ มาตลอดเพราะเห็นแก่ลูกสาววัย 10 ขวบของตน จนกระทั่งฟางเส้นสุดท้ายขาดสะบั้นลง บ๊อคนัมก็สติแตกเที่ยวประเคนความโหดแก่ทุกคนบนเกาะไม่มีเว้นแม้กระทั่งเพื่อนอย่างแฮวอน ที่ก็ต้องพยายามเอาชีวิตรอดจากเกาะสะใภ้คลั่งแห่งนี้มาให้ได้เช่นกัน


เจ๊คนขวาเล่นได้จิตมากๆ
ถึงจะเป็นผลงานเรื่องแรกของ ผกก.ชอล ซูยอง แต่ด้วยความที่เขาเคยเป็นผู้ช่วยผู้กำกับของ คิม คีดุก ผกก.จอมซาดิสม์ปนติสท์แตกที่คอหนัง (นอกเกาหลี) ชื่นชอบกันดี เขาก็ย่อมจะได้รับอิทธิพลมาใช้ในผลงานของตนไม่น้อย หนังจึงออกมาทั้งชีช้ำ หดหู่ รุนแรง โป๊ เอาการทีเดียว หนังเสนอความระยำตำบอนของผู้คนที่กระทำต่อบ๊อกนัมเพื่อพาไปสู่การลุกขึ้นเอาคืนแบบสุดโหดของเธอ แต่มันก็ไม่ได้ชวนให้รู้สึกสะใจในช่วงนี้สไตล์หนังฝรั่งแนวแก้แค้นแต่อย่างใด เพราะหนังเรื่องนี้ออกจะชวนสลดหดหู่ซะมากกว่า


ท่านคงไม่อยากมาเป็นสะใภ้บ้านนี้แน่ๆ
นักแสดงที่โดดเด่นที่สุดคงจะไม่พ้นคุณ ซอ ยองฮี ที่รับบทหนักเป็นสาวชาวเกาะใจซื่อที่แสนเก็บกดไม่เคยมีปากมีเสียง และเป็นผู้ถูกกระทำมาตลอดหลายปีจนถึงจุดที่ทนไม่ไหวอีกต่อไป ซึ่งในช่วงที่เธอคลั่งก็ชวนให้ทั้งรู้สึกสงสารและกลัวเธอได้เวลาเดียวกันได้อย่างน่าชื่นชม ในขณะที่งานด้านอื่นๆ โดยเฉพาะเอฟเฟกต์ฉากเลือดสาดก็ถ่ายทอดออกมาเน้นๆ จะๆ ได้อย่างสมจริงเห็นแล้วน่าหวาดเสียวทีเดียว

สาวสองคนนี้คือตัวละครเด่นในเรื่อง
แม้ช่วงท้ายๆ จะออกแนวหนังยัยโรคจิตที่พิมพ์นิยมไปนิด แต่รวมๆ แล้วก็ถือว่าเป็นหนังแรงๆ ชวนอึ้งทึ่งเสียวที่ถึงคุณภาพ จนน่าจับตาดูผลงานของ ผกก.คนนี้ต่อไปยิ่งนัก สำหรับคนที่เริ่มจะเบื่อหนังเกาหลีแนวรักหวานเลี่ยนที่มีอยู่เกลื่อนกลาด ก็เปลี่ยนบรรยากาศมาสัมผัสด้านมืด ด้านเสื่อม ด้านโหด ของหนังเกาหลีจากหนังเรื่องนี้บ้างก็ไม่เลวนะ แล้วท่านจะรู้ว่า หนังเกาหลียังมีอะไรเด็ดๆ ให้คุณมากกว่าที่คิด เหอๆ
  • จุดเด่น: เป็นหนังเกาหลี แรงๆ โหดๆ แต่ถึงคุณภาพ ดูแล้วจะลืมไม่ลงเลยเชียว
  • จุดด้อย: หนังชวนหดหู่จิตตก มืดหม่น โหดแบบนี้ ไม่ใช่อะไรที่คอหนังเกาหลีส่วนใหญ่จะรับได้หรอกนะ





 

Create Date : 17 กุมภาพันธ์ 2554    
Last Update : 17 กุมภาพันธ์ 2554 22:40:15 น.
Counter : 12127 Pageviews.  

Gantz (2011): เกม หล่อ ล่า เลี่ยน


ญี่ปุ่น

Gantz (2011):
มาอีกเรื่องแล้วครับพี่น้อง สำหรับหนังที่สร้างจากหนังสือการ์ตูน โดยคราวนี้ถึงคิวของ Gantz การ์ตูนแอ็คชั่นติดเรทขวัญใจคอการ์ตูนของ ฮิโรยะ โอกุ ซึ่งในเวอร์ชั่นหนังนี้ได้สองหนุ่มขวัญใจสาวๆ อย่าง คาซึนาริ นิโนมิยะ (จากวง Arashi) และ เคนอิชิ มัตซึยาม่า (หรือ L จากหนัง Death Note) มาเป็นนายกวักเรียกคนดู (สาวๆ) ให้สองมือล้วงกระเป๋า (ตังค์) สองเท้าก้าวเข้าโรงหนังเชียวนะเนี่ย


สองหนุ่มขวัญใจสาวๆ มาแล้วจ้า
หลังจากพยายามช่วยคนที่ตกลงไปในรางรถไฟ เคอิ คุโรโนะ (นิโนมิยะ) และ มาซารุ คาโตะ (มัตซึยาม่า) สองหนุ่มอดีตเพื่อนซี้สมัยเด็กดันเป็นฝ่ายโดนรถไฟเหยียบเสียเองซะงั้น แต่พอฟื้นขึ้นมาอีกที พวกเขากลับมาโผล่ในห้องๆ หนึ่ง พร้อมคนแปลกหน้าที่ล้วนเพิ่งจะตายมาแล้วทั้งสิ้น โดยมีลูกโลหะทรงกลมสีดำอันเบ้อเริ่มวางอยู่ตรงหน้า และกว่าจะรู้ตัวอีกทีพวกเขาก็ได้เข้าสู่การเล่นเกมล่าเอเลี่ยนครั้งแล้วครั้งเล่า เพื่อสะสมพ้อยท์ให้ครบ 100 คะแนนไว้แลกกับอิสระภาพของตนอีกครั้ง


ท่าน L ขอมาสวีทในเรื่องนี้ด้วย
ก่อนอื่นต้องขอออกตัวว่าไม่เคยดูเวอร์ชั่นการ์ตูนมาก่อน เลยไม่รู้ว่ามันแตกต่างกันมากแค่ไหน (รู้เพียงว่าเวอร์ชั่นหนังคงต้องลดความรุนแรงลงไปเยอะ ทว่าหนังก็ยังโหดอยู่ดีแล) แต่เท่าที่เห็นก็ถือว่าทำออกมาได้ดี เล่าเรื่องราวออกมาได้จริงจัง ไม่ติงต๊อง แถมงานด้านเอฟเฟกต์ก็ยังออกมาดูดี เข้าท่าเอามากๆ ซะด้วย หนังก็เลยน่าดูน่าชมไม่ใช่เล่นเลยทีเดียวเชียว ซึ่งจะว่าไปแล้วก็ขอเปรียบเทียบหนังให้เป็น Men in Black เวอร์ชั่นติดเรทที่เรื่องราวลึกลับซับซ้อนกว่าก็แล้วกันนะ

ถึงจะลดความแรงไปเยอะแต่ก็ยังโหดได้เรื่องอยู่
แต่น่าเสียดายนิดนึงที่ถึงหนังจะมีองค์ประกอบทุกส่วนที่เข้าท่าและเอื้อมากๆ อยู่แล้ว ทว่าดันใช้ศักยภาพที่มีอยู่ไม่เต็มที่ โดยเฉพาะในฉากบู๊ที่ไม่มันส์อย่างที่ควรจะเป็นเสียเลย คิดดูสิ ตัวละครมีทั้งชุดสุดแจ่มและปืนสุดเท่ แต่สิ่งที่พวกเขาทำยามเจอเอเลี่ยนคือยืนทื่อหรือไม่ก็วิ่งหนีโดยไม่คิดแม้แต่จะยิงปืนที่อยู่ในมือตนสักนัดด้วยซ้ำ แต่ยังไงซะโดยรวมแล้วหนังก็ยังถือว่าทำออกมาได้ดีไม่เสียของ ดูเอาเพลินได้ในระดับหนึ่ง และตอนท้ายก็เห็นมีแปะโฆษณาภาคสองมากระตุ้นต่อมอยากดูอีกด้วย ซึ่งก็คิดว่าน่าจะออกมาสนุกเข้มข้นกว่าภาคแรกล่ะมั้งนะ อิอิ


ภาพจากเวอร์ชั่นการ์ตูน
  • จุดเด่น: หนังดัดแปลงมาจากเวอร์ชั่นการ์ตูนได้ดี ไม่เสียของ เอฟเฟกต์แจ่ม เข้าท่าไม่ใช่เล่น
  • จุดด้อย: ฉากแอ็คชั่นค่อนข้างลีลา อ้อยอิ่ง ไม่สนุก ทั้งที่องค์ประกอบหลายอย่างของหนังเอื้อซะขนาดนั้นแล้ว




 

Create Date : 16 กุมภาพันธ์ 2554    
Last Update : 16 กุมภาพันธ์ 2554 7:04:46 น.
Counter : 2200 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  

Nanatakara
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 43 คน [?]




  • Friends' blogs
    [Add Nanatakara's blog to your web]
    Links
     

     Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.